สช.เผยกฎหมายใหม่ ผู้ป่วยอายุ 18 ปีขึ้นไปมีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกขอไม่รับการรักษาพยาบาลเพื่อยื้อชีวิตได้ เพียงแต่มีญาติใกล้ชิดเป็นผู้รับรองเท่านั้น ชี้เป็นการปฏิวัติสังคม พลิกความเชื่อเทคโนโลยีคือสุดยอดการรักษา ให้หันมาทบทวนคุณค่าการใช้ชีวิต เชื่อเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย เร่งจัดทำหนังสือเผยแพร่ทำความเข้าใจแก่แพทย์ พยาบาลทั่วประเทศ
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเวที "สช.เจาะประเด็นเรื่องบั้นปลายชีวิตลิขิตได้ ตามกฎกระทรวง" ที่ออกตามความในมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่กำหนดให้ผู้ป่วยสามารถแสดงเจตนา รมณ์ในการไม่ขอรับบริการสาธารณสุขเพื่อยุติ ความทรมานจากการเจ็บป่วย ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2554 โดย นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุข ภาพแห่งชาติ กล่าวว่า การที่กฎหมายให้สิทธิ์ผู้ป่วยในการเขียนหนังสือแสดงเจตนาในการไม่ขอรับการรักษาเพื่อยื้อชีวิต เป็นสิทธิ์ของผู้ป่วยที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ยังมีสติสัมปชัญญะสามารถทำได้ แต่หากเป็นผู้ป่วยที่ไร้สติ แพทย์จะต้องหารือกับญาติใกล้ชิดเพื่อทำความเข้าใจเรื่องการรักษาที่ตรงกันก่อน ส่วนผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่เป็นโรคเรื้อรังก็สามารถทำได้ โดยต้องมีญาติใกล้ชิดเป็นผู้รับรอง
เลขาธิการ สช. กล่าวต่อว่า การทำหนัง สือดังกล่าวจะทำให้ทั้งแพทย์ ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย รู้ความต้องการและหาแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่เหมาะสมยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน รพ.สังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทุกระดับจะต้องให้ ความรู้กับประชาชนในเรื่องดังกล่าวด้วย ซึ่งขณะ นี้ สช.ได้จัดทำหนังสืออธิบายถึงการปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวอย่างละเอียด เพื่อแจกจ่ายให้กับ รพ.ทั้งภาครัฐ และเอกชนทั่วประเทศแล้ว
ด้าน นพ.อนุวัฒน์ ศุภชุติกุล ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาและรองรับคุณภาพโรงพยา บาล กล่าวว่า การปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ที่ออก มานี้ รพ.จะต้องดำเนินการต่อใน 4 เรื่อง คือ 1.ช่วยให้คำแนะนำแก่ผู้ที่ต้องการทำหนังสือแสดง เจตนาไม่รับการรักษา 2.เมื่อได้รับหนังสือดังกล่าว แล้วจะต้องถ่ายสำเนาเก็บไว้ ส่วนตัวจริงให้คืน แก่ผู้ป่วยหรือญาติ จากนั้นจึงเร่งประสานทำความ เข้าใจกับคณะแพทย์ที่จะทำการรักษา รวมถึงเมื่อ มีการย้าย รพ.จะต้องประสานทำความเข้าใจกับ รพ.ที่ผู้ป่วยย้ายไปด้วย 3.แจ้งอาการเจ็บป่วยให้ ญาติทราบ เพราะบางครั้งยังมีความจำเป็นที่ต้อง รักษาอาการบางอย่างของผู้ป่วยอยู่ ดังนั้นทาง รพ.จะต้องเรียนรู้เรื่องการชั่งน้ำหนัก และ 4.ต้อง ปฏิบัติตามความประสงค์ของผู้ป่วย พร้อมกันนี้จะต้องทำการรักษาแบบประคับประคองอาการไปด้วย
"แต่มีปัญหาคือ รพ.ต้องการเห็นหนังสือที่ชัดเจนว่าสิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้ แต่การเขียนรายละเอียดเกินไปนั้นผู้ป่วยถือว่าเป็นการเสียศักดิ์ศรี จึงเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้เขียนตามความต้องการของตัวเอง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ รพ.ที่ต้องพิจารณาการรักษาจากหนังสือ ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิวัติสังคมที่จะรื้อฟื้นจากการที่หลงผิดว่าเทคโนโลยีคือสุดยอดของการรักษา ได้หันมาทบ ทวนการมีคุณค่าในการใช้ชีวิต" นพ.อนุวัฒน์กล่าว
พร้อมกันนี้ นพ.สุรชัย โชคครรชิตไชย รอง ผอ.รพ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า การใช้กฎหมายดังกล่าว แพทย์จะต้องดูว่าเข้าข่ายเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือไม่ หากไม่ใช่ จะถือว่าหนังสือนั้นไม่มีผลบังคับ เช่น กรณีอุบัติเหตุ แพทย์จะต้องทำการรักษาตามปกติ ทั้งนี้ หากหนังสือที่นำมาแสดงเป็นเพียงสำเนาเอกสาร แพทย์ผู้รักษาต้องสอบถามความจริงจากผู้ป่วยที่ยังมีสติหรือญาติใกล้ชิด ทั้งนี้ ทาง รพ.ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลและปฏิบัติตามมาตรา 12 โดย เฉพาะที่มีแพทย์และพยาบาลเป็นที่ปรึกษา ส่วนกรณีที่ไม่มีหนังสือแสดงเจตนา ทาง รพ.จะมีคณะทำงานที่ไปเจรจาทำความเข้าใจร่วมกันกับญาติที่ใกล้ชิด เช่น ลูก พ่อ แม่ ซึ่งเชื่อว่าเมื่อมีการพูดคุยกันแล้วจะทำให้เข้าใจตรงกันมากขึ้น.
ไทยโพสต์ 26 พฤษภาคม 2554