ผู้เขียน หัวข้อ: อันตราย! กดจุด-นวดหนักหน่วงรุนแรง ปลัด สธ.เตือนส่องใบประกอบวิชาชีพ “หมอนวด” ก่อน  (อ่าน 669 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9742
    • ดูรายละเอียด
 ปลัด สธ. เตือนส่องใบประกอบวิชาชีพ “หมอนวด” ก่อนรับบริการ อย่าหลงเชื่อกดจุด นวดหนักหน่วง ชี้ อันตราย ไม่ได้รับการยอมรับ อาจถึงขั้นเสียชีวิต สบส.กำชับตรวจตราการนวดอันตรายเข้มงวด
       
       จากกรณีการเผยแพร่คลิปการนวดเปิดประตูสมอง ที่มีการกดคอทั้งสองข้างพร้อมกัน จนทำให้ผู้ถูกนวดคอพับนิ่งไปพักหนึ่ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนว่าเป็นอันตราย เพราะเป็นการปิดกั้นหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ไปเลี้ยงสมอง อาจทำให้เสียชีวิตได้ และสมาพันธ์แพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทยออกมาชี้แจงว่าผิดหลักวิชาการนวดไทยนั้น
       
       วันนี้ (10 ต.ค.) นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า การนวดเปิดสมองถือว่าอันตรายมาก เนื่องจากบริเวณคอเป็นจุดที่มีเส้นเลือดใหญ่ และมีเส้นประสาทที่ต้องระมัดระวัง บางคนกดโดนหนัก ๆ ไม่ได้เลย อาจทำให้เป็นลม ช็อก เพราะการไปกดเช่นนั้นจะทำให้เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้สมองขาดเลือดขาดออกซิเจน อาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้น หากจะเข้าไปนวดร้านใดก็ตาม ต้องพิจารณาให้ดี ๆ ว่า ได้มาตรฐานมีผู้ประกอบวิชาชีพที่ได้รับการฝึกอบรมมาหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการอบรมจากกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หรือการฝึกอบรมจากกระทรวงแรงงาน ซึ่งจะมีเลขทะเบียนใบประกอบวิชาชีพ หรือใบผ่านหลักสูตรอยู่ สิ่งสำคัญการนวดต้องไม่นวดที่แปลก ๆ หรือมีการกดจุดหนัก ๆ ยิ่งจุดเสี่ยงบริเวณคอ ยิ่งน่ากลัว รวมไปถึงคนที่ปวดหลังก็ไม่ควรไปหักไปกดมาก ๆ เสี่ยงอันตรายต่อเส้นประสาท เส้นเลือดทั้งหมด
       
       “จะมอบให้ทางกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ไปดูในเรื่องของมาตรฐานการนวด รวมไปถึงกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ไปดูเรื่องข้อกฎหมายว่าจะดูแลร้านหรือผู้ประกอบการนวดไทยอย่างไรให้ได้คุณภาพ ซึ่งการนวดก็จะมีทั้งนวดเพื่อผ่อนคลาย และการนวดเพื่อรักษา ก็ต้องดูว่าถูกต้องตามกฎหมายกำหนดหรือไม่ โดยล่าสุด สบส. มี พ.ร.บ. สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. 2559 ซึ่งก็จะมาดูแล และกรองร้านนวดที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพให้มีมาตรฐานขึ้น” ปลัด สธ. กล่าว
       
       นพ.ภัทรพล จึงสมเจตไพศาล ผอ.กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ สบส. กล่าวว่า ปัจจุบันมีร้านนวดเพื่อสุขภาพขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายอยู่ประมาณ 1,700 แห่ง แต่ปัจจุบันเนื่องจากมีการออก พ.ร.บ. สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. 2559 ขึ้นมามีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 27 ต.ค. ที่ผ่านมา แต่อยู่ระหว่างการออกกฎหมายลูกต่าง ๆ ตามมา ทำให้ตรงนี้ยังเป็นช่วงสุญญากาศที่ร้านนวดจะเร่งขออนุญาตเปิดให้บริการตามข้อกำหนดของกฎหมายใหม่ ล่าสุด มีผู้มายื่นขอดำเนินการแล้วกว่า 4,000 ราย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา สบส. ได้ตรวจสอบจับกุมมักเป็นร้านนวดพริตตี้แฝงการค้าประเวณี ยังไม่พบการนวดที่อันตรายอย่างการนวดเปิดประตูสมอง และก็ไม่เคยมีการร้องเรียนเรื่องนี้เข้ามา อย่างไรก็ตาม เมื่อพบว่ามีลักษณะดังกล่าว สบส. จึงได้กำชับไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดให้ตรวจตราอย่างเข้มงวด
       
       “การนวดที่อ้างว่าเป็นการนวดเปิดประตูสมองถือเป็นการนวดที่อันตราย และทำให้ศาสตร์การนวดแผนไทยถูกมองว่าเป็นเรื่องอันตรายไปด้วย ซึ่งที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ทำผิด เพราะมีร้านนวดที่มีคุณภาพมาตรฐานอยู่จำนวนมาก จึงอยากเตือนประชาชนที่เวลาไปรับบริการขอให้ตรวจสอบว่าเป็นร้านนวดที่ได้มาตรฐานหรือไม่ คือ ต้องมีหมอนวดที่ผ่านการอบรมหลักสูตรการนวดไทย มีใบรับรองชัดเจน เพราะผู้ที่เป็นหมอนวดไทยจะมีความรู้เรื่องการนวดดี รู้เรื่องกายวิภาคต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังต้องมีใบรับรองการเปิดสถานบริการจาก สบส. ด้วย” นพ.ภัทรพล กล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 11 ตุลาคม เวลา 13.00 น. กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกจะมีการเสวนาเรื่องการนวด ที่กรมฯ โดยจะมีทั้งผู้แทนกรมฯ ผู้แทนสมาพันธ์แพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย ผู้แทนกรม สบส. เข้าร่วมเสวนา

โดย MGR Online       10 ตุลาคม 2559

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9742
    • ดูรายละเอียด
 สมาพันธ์แพทย์แผนไทยฯ ชี้ “นวดเปิดสมอง” เสี่ยงหินปูนอุดตันหลอดเลือดสมอง ทำอัมพาต - ตายได้ ห่วงอวดแพร่คลิป “นวดพิสดาร” สร้างราคาให้ตัวเอง อันตรายต่อวงการแพทย์แผนไทย ปลุกระดมสังคมช่วยปกป้อง หวั่นไปไม่ถึงมรดกโลก กรมแพทย์แผนไทยเตือนสติ 5 เรื่องก่อนนวด พิจารณา “หมอนวด” ให้ดี หวั่นคนแอบอ้างหมอพื้นบ้าน กลุ่มนวดเพื่อสุขภาพอวดอ้างรักษาโรคได้
       
       จากกรณีการเผยแพร่คลิปการนวดเปิดประตูสมอง ที่มีการกดคอทั้งสองข้างพร้อมกัน จนทำให้ผู้ถูกนวดคอพับนิ่งไปพักหนึ่ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนว่าเป็นอันตราย เพราะเป็นการปิดกั้นหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ไปเลี้ยงสมอง อาจทำให้เสียชีวิตได้ และสมาพันธ์แพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทยออกมาชี้แจงว่าผิดหลักวิชาการนวดไทยนั้น
       
       วันนี้ (11 ต.ค.) ในงานเสวนากรณีศึกษา “นวดเปิดสมอง : ของแท้หรือหลอกลวง” จัดโดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สภาการแพทย์แผนไทย สถาบันการศึกษาด้านการแพทย์แผนไทย และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) โดย ภก.ยงศักดิ์ ตันติปิฎก รองประธานสมาพันธ์แพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การนวดเปิดสมองดังกล่าวถือว่าผิดหลักวิชาการการนวดไทย ซึ่งตามภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาและมีการทำเป็นตำรับตำราในการสอน และผ่านการกลั่นกรองมาแล้วว่ามีความปลอดภัย ก็ชัดเจนว่า การนวดดังกล่าวเป็นจุดต้องห้าม เพราะหลอดเลือดแดงใหญ่คาโรติด อาเทอรี (Carotid Artery) บริเวณที่คอเป็นเส้นเลือดแดงที่ตรงจากหัวใจไปสู่สมอง หากกดบริเวณดังกล่าวจะทำให้ความดันโลหิตลดลง หน้ามืดตาลาย และหากกดเป็นเวลานานทำให้สมองขาดออกซิเจน ถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นความรู้พื้นฐานที่คนเรียนนวดต้องรู้ หรือแม้แต่คนเรียนศิลปะการต่อสู้ก็จะทราบว่าเป็นจุดอ่อนของร่างกาย ถ้าฟันเข้าไปแรง ๆ ตรงจุดนั้นทำให้หมดสติได้ทันที
       
       “การนวดเปิดประตูสมองดังกล่าว เป็นการพยายามสร้างให้เห็นการนวดพิศดาร แปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร เป็นการสร้างราคาให้ตัวเอง ทำให้คนแปลกใจ ทำแล้วน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ผู้รู้จะทราบว่าไม่สมควรทำ” ภก.ยงศักดิ์ กล่าวและว่า แม้แต่การแพทย์แผนปัจจุบันก็ทราบดีว่าเป็นจุดอันตราย เพราะมีจุดที่เรียกว่า แคโรติดไซนัส บนหลอดเลือดแดงดังกล่าว ซึ่งไวต่อการสัมผัสและการกดมาก ถ้าไปกดกระตุ้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้อัตราการเต้นหัวใจและความดันเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็มีการนำไปใช้ประโยชน์ แต่ต้องทำโดยการคลึงเบา ๆ ทีละข้าง โดยผู้เชี่ยวชาญ และในห้องต้องมีเครื่องช่วยหายใจ เครื่องวัดความดัน และเครื่องช่วยชีวิต เพราะมีโอกาสผิดพลาดขึ้นมาได้ โดยยืนยันว่าไม่มีใครทำในการกดหลอดเลือดแดงพร้อมกันสองข้าง เพราะเป็นการบล็อกเลือดเลี้ยงสมองพร้อมกันทั้งสองข้าง
       
       ภก.ยงศักดิ์ กล่าวว่า การนวดกดบริเวณหลอดเลือดแดงใหญ่ดังกล่าว ยังอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้อีก คือ คราบหินปูนที่เกาะอยู่บริเวณผนังหลอดเลือดอาจหลุดออก และเข้าไปอุดตันในเส้นเลือดสมองได้ เพราะเส้นเลือดดังกล่าวนำเลือดไปเลี้ยงสมอง หากอุดหลอดเลือดขนาดเล็กในสมองอาจทำให้เกิดอาการอัมพาตได้ และหากเข้าไปอุดตันในเส้นเลือดสำคัญก็อาจทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน จึงอยากจะฝากให้ทุกคนในสังคมช่วยกันดูแล โดยเฉพาะแพทย์แผนไทยที่จะต้องออกมาปกป้อง เมื่อพบเห็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะขณะนี้ประเทศไทยอยู่ระหว่างผลักดันการนวดไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้กับยูเนสโก ซึ่งหากมีการแอบอ้างการนวดไทยทำให้เกิดความเสียหายเช่นนี้ และไม่มีกระบวนการปกป้องดูแลวัฒนธรรมภูมิปัญญา อาจแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยไม่พร้อมที่จะช่วยปกป้อง อาจทำให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ได้
       
       ทพ.อาคม ประดิษฐ์สุวรรณ ผอ.สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ สบส. กล่าวว่า การนวดจับเส้นเป็นการนวดเพื่อบำบัดรักษาโรคและฟื้นฟูสุขภาพ โดยใช้ศาสตร์นวดไทย จึงจัดเป็นการประกอบวิชาชีพการแพทยืแผนไทย ซึ่งตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 กำหนดให้ต้องขออนุญาตเป็นเป็นสถานพยาบาลและผู้ดำเนินการต้องขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์แผนไทย หากกระทำโดยไม่มีใบประกอบวิชาชีพถือว่าผิดกฎหมาย ข้อหาเปิดสถานพยาบาลเถื่อนโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีความผิดข้อหาประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2556 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท ทั้งนี้ ปัจจุบันมีคลินิกการแพทย์แผนไทยขึ้นทะเบียนถูกต้องกับ สบส. จำนวน 804 แห่ง และคลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์จำนวน 109 แห่ง โดยยืนยันว่าการนวดเพื่อส่งเสริมสุขภาพ นวดผ่อนคลาย จึงเป้นการเปิดร้านเพื่อสุขภาพตาม พ.ร.บ. สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. 2559 จึงไม่สามารถให้บริการรักษา จับเส้น และกดจุดได้

นพ.ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก  กล่าวว่า คนไทยสมัยนี้เสพข่าวเร็ว ทั้งที่น่ากลัวมาก จริงๆคนไทยต้องเรียนรู้ว่าอะไรที่รวดเร็วทันใจไม่ได้มีผลดีเลย ดังนั้น ก่อนการรับบริการนวดไทยอยากให้พิจารณา 5 เรื่อง คือ

1. ตัวผู้ให้บริการ หรือหมอนวด แบ่งเป็น สามกลุ่ม คือ หนึ่ง หมอนวดที่ร่ำเรียนสืบทอดภูมิปัญญา หรือหมอพื้นบ้าน โดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ได้ขึ้นทะเบียนหมอกลุ่มนี้  5 หมื่นกว่าคน ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ดูแลพี่น้องประชาชนในชุมชน การควบคุมอาจไม่สามารถใช้สภาวิชาชีพ หรือกฎหมายสถานพยาบาล แต่จะใช้ลักษณะการออกหลักเกณฑ์ในการดูแล โดยให้ทาง สสจ. และหน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลของรัฐไปให้การดูแล  จากจุดนี้อาจมีกลุ่มที่ไปแอบอ้างได้ มีการโพสต์ในโซเชียลมีเดียอวดอ้างจำนวนมาก ซึ่งวงการวิชาชีพต้องมาคิดหากระบวนการป้องกัน
       
       “สอง กลุ่มที่ฝึกอบรมการนวดมา เข้าหลักสูตรการอบรมนวดต่าง ๆ ทั้งนวดตัว นวดฝ่าเท้า และก็มาเปิดร้านนวด ตามกฎหมายจะต้องเป็นการบริการส่งเสริมสุขภาพเท่านั้น ไม่สามารถให้บริการนวดในลักษณะการรักษาได้ โดยคนกลุ่มนี้พบว่า เมื่อนวดไปสักพักเริ่มเห็นโอกาส และแอบฝึกฝนเอง ครูพักลักจำ และไปโฆษณาว่า ตัวเองนวดรักษาได้ จุดนี้อันตราย เพราะความรู้งู ๆ ปลา ๆ แต่อยากมานวดรักษา ซึ่งจะทำให้เสียหายมากต้องหาทางยับยั้ง และกำจัดออกจากระบบ มิเช่นนั้นแวดวงการแพทย์แผนไทยเสียหาย และสาม กลุ่มที่ได้ใบประกอบวิชาชีพแล้ว เรียกว่าหมอนวดเต็มตัว สามารถรักษา บำบัดอาการต่าง ๆ ได้ โดยหลักต้องผ่านการอบรมหลักสูตรอย่างน้อย 800 ชั่วโมง ต้องเรียนเป็นปี ๆ ต้องเรียนกายวิภาคศาสตร์ กล้ามเนื้อมีกี่มัด เส้นเลือด เส้นประสาทอยู่ตรงไหนต้องมีความรู้ ไม่ใช่ใครก็ได้ไปนวด” นพ.ขวัญชัย กล่าว       

2. พิจารณาสถานที่ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เป็นการนวดส่งเสริมสุขภาพเท่านั้น ห้ามนวดบำบัดรักษาอาการ และอีกกลุ่มเป็นคลินิก หมอที่สอบใบประกอบวิชาชีพสามารถเปิดคลินิกนวด ทำหัตถเวชกรรมไปรักษาได้ แต่ต้องดูประกอบด้วยว่าการนวดนั้นมีความเสี่ยงมากหรือไม่

3. พิจารณาตัวเองมีโรคประจำตัวอะไรที่เป็นข้อห้ามการนวดหรือไม่ อย่างมีประวัติกระดูกหัก ข้อหลุด เส้นเลือดแข็งตัว โป่งพอง เป็นข้อห้ามต้องบอกให้ข้อมูลด้วย เพื่อจะได้ระมัดระวังความปลอดภัย 

4. ผู้ที่จะไปรับบริการนวดต้องมีองค์ความรู้ด้วย อย่างการนวดเปิดสมองเห็นชัดว่านวดแล้วทำให้สลบลงไป ต้องตระหนักว่าเป็นอันตราย อย่าเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง และ

5. ต้องรู้ถ้าเกิดปัญหาผลข้างเคียงเสียหาย จะไปร้องเรียนใคร ซึ่งสามารถร้องเรียนได้ที่สำนักสถานพยาบาลฯ หรือสอบถามกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ทั้งนี้ อยากฝากว่า ควรเลือกใช้บริการอย่างมีสติ มีเหตุผล มีข้อมูลเพียงพอ เพราะเป็นความปลอดภัย และเป็นสุขภาพในชีวิตเราเอง ไม่ใช่เชื่อแค่ที่ส่งต่อกันมา อย่างการรักษาอาการปวดหัว ไมเกรนต่าง ๆ ทั้งแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบันต่างก็มีวิธีที่ปลอดภัยกว่านวดเปิดประตูสมอง ซึ่งผิดหลักวิชาการ

โดย MGR Online       11 ตุลาคม 2559