ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องผัวๆ เมียๆ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ถึงรัชกาลที่ ๗ ผ่านกฎหมาย คดีความและฎีกา  (อ่าน 1700 ครั้ง)

pani

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 756
    • ดูรายละเอียด
การที่หญิงชายจะเป็นผัวเป็นเมีย ไม่ว่าจะมีจุดเริ่มต้นมาจากความรัก หรือในทางกลับกันการเป็นผัวเป็นเมียจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรักที่ตามมาก็ ตาม แต่ที่แน่นอนการเป็นผัวเมียเป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วไปและยังมีลักษณะทาง ประวัติศาสตร์ เมื่อการเป็นผัวเมียถือเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของสังคมในแต่ละยุค กล่าวคือในแต่ละยุคการเป็นผัวเมียในแง่หนึ่งย่อมถูกกำหนดโดยกฎหมายและถูก ครอบงำจากค่านิยมในสังคม อันมีผลให้การเป็นผัวเมียแตกต่างกันไปตามแต่ละเงื่อนไขของสังคมแต่ละยุค สมัย
 
บทความนี้จึงพยายามทำความเข้าใจการเป็นผัวเมียในสมัยปฏิรูปนับตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ ๕-รัชกาลที่ ๗ อันเป็นช่วงเวลาที่สยามประเทศเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ตามแบบตะวันตกทั้งด้าน การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จากการที่อิทธิพลของมหาอำนาจตะวันตกแพร่ขยายเข้ามา แต่ถ้าหากพิจารณาเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่าง �ผัวเมียŽ อาจกล่าวได้ว่าประเด็นเรื่องผัวๆ เมียๆ กลับถูกสังคมแช่แข็งเอาไว้ โดยเป็นเรื่องที่ชนชั้นปกครองของสยามพยายามสงวนรักษาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ที่น้อยที่สุด ตัวอย่างที่ปรากฏชัดเจนคือ กฎหมายครอบครัวสมัยใหม่ ที่จะจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างผัวกับเมียที่แน่นอนตายตัว รวมถึงมีความทันสมัยแบบตะวันตก กลับยังไม่มีการประกาศใช้ในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้นความเป็นผัวเมียในสมัยปฏิรูปจึงต้องพิจารณาจากกฎหมายดั้งเดิมใน กฎหมายลักษณะผัวเมีย

โดยในบทความนี้จะเริ่มอธิบายจากประเด็นผัวเมียนั้นเป็นกันเมื่อใดจากการ พิจารณากฎหมายลักษณะผัวเมีย จากนั้นจึงกล่าวถึงหน้าที่ของผัวเมียต้องมีอะไรบ้าง มีเงื่อนไขใดเป็นเกณฑ์กำหนดการจะเป็นผัวเมียกัน ซึ่งในส่วนนี้จะแสดงเรื่องราวระหว่างผัวกับเมีย (หญิงกับชาย) ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาสมัยปฏิรูป ซึ่งปรากฏเป็นข้อพิพาทในเอกสารประเภทคดีความและฎีกา โดยเอกสารเหล่านี้จะสะท้อนค่านิยมรวมถึงการนำข้อกำหนดทางกฎหมายเกี่ยวกับ ความเป็นผัวเมียที่ใช้ในการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม อันจะทำให้สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างผัวกับเมียในสมัยปฏิรูปได้มาก ขึ้น

ผัวเมียเป็นกันเมื่อใด?              

หญิงกับชายจะมีสถานภาพเป็นผัวเป็นเมียกันเมื่อใด กฎหมายลักษณะผัวเมีย (ผ.ม.) มิได้มีบทบัญญัติไว้โดยชัดเจนว่า หญิงชายจะต้องพฤติกันอย่างใดจึงจะถือว่าเป็นผัวเมียกันตามกฎหมาย หากแต่เมื่อนำบทบัญญัติต่างๆ มาพิเคราะห์ดูตามที่นายเซี้ยงเนติบัณฑิต ได้เรียบเรียงกฎหมายผัวเมียไว้ กล่าวได้ว่า หญิงชายไม่ได้เป็นผัวเมียกันเพราะเหตุว่าได้ร่วมประเวณีกัน โดยในบางบทบัญญัติหญิงกับชายยังมิได้ได้เสียกัน กฎหมายก็ถือว่าหญิงกับชายได้เป็นผัวเมียกัน ดังจะเห็นได้จาก (ผ.ม. ๑๑๙) ว่า ชายใดพึงใจลูกสาวหลานสาวท่าน ให้ผู้เถ้าผู้แก่ไปสู่ขอเปนคำนับแก่บิดามานดาหญิง บิดามานดาหญิงยกลูกสาวหลานสาวนั้นให้แก่ชายผู้สู่ขอ ทำการมงคลแล้ว ชายนั้นมีกิจราชการไป ยังมิได้มาอยู่ด้วยหญิง ถ้าชายกลับมาไซ้ ท่านให้ส่งตัวหญิงนั้นให้แก่ชาย

ขณะที่ในบางครั้งหญิงกับชายได้เสียกัน กฎหมายก็ไม่ถือว่าชายกับหญิงเป็นผัวเมียกัน โดยเฉพาะเมื่อผู้ปกครองของหญิงมิได้ยินยอม การกระทำดังกล่าวจะถือเป็นการลักพา ซึ่งฝ่ายชายมีความผิดฐานละเมิดอำนาจอิศระของผู้ปกครอง ดังจะเห็นได้จาก (ผ.ม. ๘๑, ๘๒, ๑๒๖, ๑๓๕) ที่มีเนื้อความว่า เมื่อหญิงใดยังอยู่ใต้อำนาจอิศระของพ่อแม่ (ผู้ปกครอง) การที่ชายมาลอบทำชู้ด้วย หรือลักพาเอาไปนั้นเปนการเลมิดอำนาจพ่อแม่ เขาอาจฟ้องร้องเรียกสินไหมได้ จากบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวจึงพอสรุปได้ว่า การที่ชายกับหญิงจะเป็นผัวเมียกันเกณฑ์สำคัญก็คือ เมื่อฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง (หรือผู้ปกครองหญิง) ตกลงยินยอมเป็นผัวเมียกัน และทั้งสองฝ่ายได้รับรอง หรือแสดงต่อธาระกำนันว่าเขาทั้งสองเป็นผัวเมียกัน

การรับรองหรือแสดงต่อธารกำนัลว่าหญิงกับชายเป็นผัวเมียกันเกิดได้จาก การกล่าวด้วยวาจาและการแสดงกิริยาหลายประการ ประการหนึ่งคือ �การมีพิธีแต่งงานŽ ตามที่กล่าวใน (ผ.ม. ๑๑๙) ซึ่งการแต่งงานนี้กฎหมายไม่ได้กำหนดเอาไว้ว่าต้องมีพิธีอย่างไร หากแต่ให้เพียงเป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นการแต่งงาน อีกประการที่สำคัญคือ ′การเลี้ยงดูอยู่กินอย่างผัวเมีย′ ซึ่งในกฎหมายมีบทบัญญัติกล่าวถึงหลายบท อาทิ (ผ.ม. ๓๓) ′หญิงข้าก็ดี ไทก็ดี มาขออาไศรยอยู่ด้วยชายก็ดี ชายรับประกันไว้ก็ดี...ถ้าชายไปมาหาสู่มัน เกิดลูกด้วยมัน  มันนอกใจมีชู้ ให้ไหมชายชู้แลหญิงนั้นโดยฉันอณุภรรยา′ ซึ่งจากบทบัญญัติดังกล่าวนี้ ควรสังเกตว่า การที่หญิงกับชายจะเป็นผัวเมียข้อสำคัญคือ ′เกิดลูกด้วยมัน′ เพราะไม่ทำให้ผู้อื่นนึกว่าหญิงเป็นแต่ผู้อาศัย

และใน (ผ.ม. ๘๕) ′ฝูงไพร่ฟ้าข้าคนทังหลาย หาขันหมากมิใคร่กันอยู่ด้วยกันเปล่าๆ พ่อแม่แห่งหญิงรู้มิได้ร้องฟ้องว่ากล่าวแลมันปลูกเรือนบ้างต่างเรือนแฝงอยู่ กินด้วยกันโดยฉันผัวเมีย หาบุตรมิได้ก็ดี หญิงสิทธิเปนเมียชาย ถ้าแลผู้ใดมิได้ปลูกเรือนอยู่มิได้ทำเลี้ยงกันโดยฉันผัวฉันเมีย ท่านว่ามิได้เปนเมียสิทธิแก่ชายเลย′ ซึ่งสังเกตได้ว่า การที่พ่อแม่รู้แล้วไม่ฟ้องร้องว่ากล่าว กฎหมายถือว่าพ่อแม่ได้ยินยอม และการปลูกเรือนอยู่ด้วยกันก็ย่อมทำให้ผู้อื่นรับรู้ว่าชายกับหญิงเป็นผัว เมียกัน ขณะเดียวกันในกรณีที่ชายกับหญิงเลี้ยงดูอยู่กินกันเป็นเวลา ๒-๓ ปี ชายกับหญิงก็ถือเป็นผัวเมียกัน โดยคาดได้ว่าเวลาดังกล่าวน่าจะนานพอที่จะทำให้คนทั่วไปรับรู้ ดังใน (ผ.ม. ๑๐๒) ที่ว่า ′ชายขอลูกท่านถึงหลบฝาก (หลบฝาก แปลว่า ไม่ออกหน้า) ยังแต่จะทำงาน แลพ่อแม่หญิงให้ชายฝากบำเรอ แลทำกินอยู่ด้วยกันเปน ๒-๓ ปี แลพ่อแม่หญิงให้ชายอยู่ด้วยกันไซ้ ท่านว่าเปนเมียสิทธิแก่เจ้าผัวเสมือนเมียทำงาน...′

ผัวเมียมีหน้าที่อะไรบ้าง?            

จากการที่การเป็นผัวเป็นเมียตามกฎหมายแต่เดิมไม่มีหลักฐานกำหนดไว้อย่าง ชัดเจน ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นก็คือ การต้องพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง เมื่อฝ่ายหนึ่งอ้างสิทธิที่เกิดจากการเป็นผัวเป็นเมีย ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งกลับปฏิเสธความสัมพันธ์เพื่อยืนยันสิทธิของตนเองและ ปฏิเสธหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบในฐานะผัวหรือเมีย โดยเฉพาะในข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สิน ซึ่งในการพิสูจน์ความสัมพันธ์ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต่างก็หยิบยกเอา ′หน้าที่ของการเป็นผัว′ กับ ′หน้าที่ของการเป็นเมีย′ มาต่อสู้กัน อันสามารถแสดงให้เข้าใจได้ว่าผัวเมียนั้นเป็นกันอย่างไร
              
หน้าที่ของการเป็นผัว              

จากการพิจารณาเอกสารประเภทคดีความและฎีกาในสมัยรัชกาลที่ ๕-รัชกาลที่ ๗ หน้าที่ของการเป็นผัว อาจสังเกตได้จากข้อพิพาทเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินระหว่างผัวเมีย และข้อพิพาทเมียกล่าวโทษผัวว่าไม่เลี้ยงดู ซึ่งข้อพิพาทเหล่านี้สามารถจะสะท้อนหน้าที่ของผัวคือ ′การเลี้ยงดูครอบครัว′
 
ในข้อพิพาทเรื่องทรัพย์สินระหว่างผัวเมีย ตัวอย่างเช่น คดีความที่เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ระหว่างเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี และคุณหญิงสุ่น พิพาทกันด้วยเรื่องที่ดินริมวังบูรพาภิรมย์ ด้านหน้าจดถนนพาหุรัด มีผลประโยชน์เป็นรายได้จากค่าเช่าตึกแถว ในคดีนี้นอกเหนือจากการต่อสู้ตามตัวบทกฎหมายแล้ว ทั้ง ๒ ฝ่ายต่างหยิบยกเอาหน้าที่ของการเป็นผัวมาต่อสู้กันเพื่ออ้างกรรมสิทธิ์ใน ที่ดิน  

ทั้งนี้ ′คุณหญิงสุ่น′ มีคำให้การว่า    

"เจ้าพระยาภาณุวงษ์ได้ทะเลาะวิวาทกับสุ่นถึงแก่ความแตกร้าวละทิ้งเรือนไป ไม่ได้นำพาเหลียวแลจนทุกวันนี้ถึง ๕๐ ปีแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าเปนผู้ปกครองหาเลี้ยงบุตรตลอดจนทุกวันนี้ แลเหย้าเรือนที่ปลูกสร้างแลให้มีผู้เช่าเปนทุนทรัพย์ของสุ่นแต่คงเปนสินสมรศ แต่ครั้นเกิดเพลิงไหม้ถึง ๓ ครั้ง ข้าพระพุทธเจ้าก็ลงทุนทำก่อสร้างเป็น ๔ ครั้ง ทั้งครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทุนรอนของเจ้าพระยาภาณุวงษ์ แลข้าพระพุทธเจ้าได้เปนความด้วยเรื่องที่นี้จนชนะแลทั้งได้แบ่งขายที่นี้ โดยมิประกาศโฆษณาในนามของสุ่นผู้เดียว เจ้าพระยาภาณุวงษ์ก็หาได้ทักทวงว่าตามกฎหมายไม่ จึงถือว่าที่นี้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ข้าพระพุทธเจ้า"

จากคำให้การของคุณหญิงสุ่นข้างต้น ความหมายก็คือ เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ ไม่ได้ทำหน้าที่ของผัวที่จะต้องดูแลเลี้ยงดูเมีย ซึ่งเป็นสิทธิที่เมียทุกคนจะต้องได้รับ เป็นเวลานานถึง ๕๐ ปี ดังนั้นสิทธิการเป็นผัวของเจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ ที่มีเหนือเมีย (สุ่น) จึงสิ้นสุดลงไปด้วย ในแง่นี้เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ จึงไม่มีสิทธิในที่ดินรายนี้ในแง่ที่เป็นสินสมรส เพราะทั้งสองไม่ได้เป็นผัวเมียกันแล้ว โดยคุณหญิงสุ่นอ้างสิทธิปกครองจากการลงทุนทำประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว ตามลักษณะสิทธิในการครอบครองที่ดินทั่วไป ซึ่งในที่นี้คุณหญิงสุ่นน่าจะมองตนเองในฐานะคนทำมาหากินที่สามารถเลี้ยงชีพ ได้ด้วยตนเอง หรือมีอำนาจปกครองตนเอง ไม่ได้อยู่ใต้ปกครองของเจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ ที่เป็นผัว ดังปรากฏจากคำให้การที่คุณหญิงสุ่นที่พยายามเน้นให้ศาลเชื่อว่าตัวเธอกับ เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ ได้ขาดจากการเป็นผัวเมียกันแล้ว
 
ขณะที่ ′เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ′ มีคำให้การว่า  

"ที่รายนี้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงษ์ได้ยกให้เกล้าฯ...ข้าพระ พุทธเจ้าจึงให้สุ่น มารดาพระยาสุธรรมไมตรีผู้เปนภรรยาข้าพระพุทธเจ้าอยู่รักษาบ้าน เพราะตัวเขาสมัครจะอยู่รักษาบ้านนี้ด้วย สุ่นก็อยู่เก็บค่าเช่ารับพระราชทานต่อมา...ครั้นเพลิงไหม้บ้านครั้งนี้ สุ่นไปเที่ยวหาเงินมาทำตึกแถว โดยไม่ปรฤษาข้าพระพุทธเจ้าเลย แลพูดว่าที่รายนี้อยู่ในกรรมสิทธิ์ของสุ่นผู้เดียว...ข้อที่ต้องพิจารณาใน ชั้นนี้ก็มีอย่างเดียวคือ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ได้มาในระหว่างเป็นผัวเมียกันแล้ว (แลที่รายนี้ที่ผัวให้) ผัวมีอิศระหรือไม่ แลถ้าเมียจะเอาไปถลุงเสียฝ่ายเดียวโดยไม่ปรกษาได้หรือไม่ ตามกฎหมายเข้าใจว่า  ผัวมีอิศระในทรัพย์สมบัติทั้งปวงที่เปนเดิมก็ดี เปนสมรสก็ดี เมียจะเอาไปทำอะไรต้องได้รับอนุญาตจากผัวก่อน...ในที่สุดข้อที่สุ่นกล่า วว่า  เกล้าฯ ลงเรือนมาไม่ได้เลี้ยงดูอย่างฉันสามีภรรยาถึง ๕๐ ปีแล้วนั้น แปลว่ากระไร ที่ดินก็ให้อยู่ ค่าเช่าก็ให้เก็บกิน เจ็บไข้ก็ได้รับไปรักษาพยาบาล (เมื่อครั้งเปนบ้า) และเมื่อหายแล้วมีทุกข์ศุกสิ่งใดก็ได้มาปฤกษาหาฤาช่วยเหลือตามกำลัง...มี อยู่อย่างเดียวก็คือ ความสังวาศ แต่ข้อนี้ก็เหลือนิไสเพราะอายุ ๗๐ เศษด้วยกันแล้ว อนึ่งแต่เหตุนี้เท่านั้น เกล้าฯ เข้าใจว่ากฎหมายไม่ถือเปนสิ่งที่ให้หญิงชายขาดจากการเปนภรรยากัน"
 
จากคำให้การของ ′เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ′ ความหมายก็คือ เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ พยายามต่อสู้ว่า ตัวท่านได้ทำหน้าที่ของผัว โดยท่านได้เลี้ยงดูคุณหญิงสุ่นในฐานะเมีย ทั้งในยามปกติ ยามที่เจ็บป่วย ไม่เคยทอดทิ้งให้ต้องลำบาก ในแง่นี้ตามกฎหมายท่านกับคุณหญิงสุ่นจึงยังไม่ขาดจากการเป็นผัวเมีย ดังนั้นในฐานะผัว เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ จึงมีสิทธิในทรัพย์สินที่หามาได้ระหว่างสมรส (สินสมรส) ซึ่งแม้คุณหญิงสุ่นจะอ้างกรรมสิทธิ์ที่ดินจากการที่เป็นผู้ลงทุนทำกิจการโดย ที่เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ ไม่รู้เห็น ก็ถือได้ว่าเป็นเพียงการที่เมียละเมิดอำนาจของผัวเท่านั้น
 
หน้าที่ของการเป็นเมีย
              
หน้าที่ของการเป็นเมีย ตามที่ปรากฏในคดีความและฎีกาในสมัยรัชกาลที่ ๕-รัชกาลที่ ๗ โดยเฉพาะในข้อพิพาทเรื่องเมียกล่าวโทษว่าผัวไม่เลี้ยงดู ในข้อพิพาทนี้ฝ่ายชายมักจะกล่าวหาว่าฝ่ายหญิงไม่ได้ทำหน้าที่ของเมียที่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เลี้ยงดูพวกเธอ ในทางตรงข้ามกันฝ่ายเมียก็มักจะกล่าวถึงตนเองว่าได้ทำหน้าที่เมียที่ดี เพื่อที่เรียกร้องสิทธิที่จะได้รับการเลี้ยงดูในฐานะเมีย โดยหน้าที่ของการเป็นเมียที่ประมวลได้จากคดีความและฎีกา ที่สำคัญคือ หน้าที่ของ ′การเป็นแม่บ้านแม่เรือน′ หน้าที่ต้อง ′เคารพเชื่อฟังผัว′ และหน้าที่ต้อง ′ช่วยเหลืออุปการะเกื้อกูลกัน′
 
หน้าที่ของ ′การเป็นแม่บ้านแม่เรือน′ ตัวอย่างเช่น เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ หม่อมแสงมณีกล่าวโทษหม่อมเจ้าทองเชื้อธรรมชาติว่า ประพฤติชั่วทอดทิ้งไม่เลี้ยงดูลูกเมีย จึงร้องขอให้หม่อมเจ้าทองเชื้อธรรมชาติจ่ายค่าเลี้ยงดูและแบ่งทรัพย์สินให้ แก่ลูกๆ
  
ในหนังสือของ′หม่อมเจ้าทองเชื้อธรรมชาติ′ กล่าวว่า
 
"การทางบ้านซึ่งเปนน่าที่ของแม่เจ้าเรือนก็มิได้จัดการทำ การบริโภคก็อัตคัดทุกอย่าง เที่ยวหาซื้อตามหาบตามที่มีผู้มาขายก็เห็นว่าพอ ครั้นเมื่อมีเพื่อนฝูงซึ่งเปนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไปมาหาข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าก็ต้องเลี้ยงดูรับรองท่านให้สมแก่เกียรติยศท่าน กลับใช้วาจาว่าเอาเนื้อหมาให้มันกินก็ได้ ถึงการบริโภคทุกวันนี้ข้าพระพุทธเจ้าก็ได้อาไศรยมารดาข้าพระพุทธเจ้าเท่า นั้น หม่อมแสงมณีทองแถมณกรุงเทพไม่พยายามหาความศุขให้ข้าพระพุทธเจ้าเลย เงินทองส่งไปเท่าใดก็ว่าหมดและไม่พอใช้ กลับเขี้ยวเข็ญด่าว่าต่อไปอีก"
 
จากคำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่เป็นเมียมีหน้าที่ดูแลปรนนิบัติผัวให้ได้รับความสุข โดยจัดการดูแลกิจการภายในบ้านให้เรียบร้อย เช่น จัดเตรียมเครื่องอุปโภคบริโภคให้เหมาะสมไม่ขาดเหลือ รู้จักต้อนรับแขก ตลอดจนมีหน้าที่ควบคุมรายรับรายจ่ายของครอบครัวให้เหมาะสม
 
หน้าที่สำคัญอีกประการของเมียคือ หน้าที่ ′ต้องเคารพเชื่อฟังผัว′ ดังปรากฏจากคำกล่าวของฝ่ายผัวที่มักจะกล่าวหาว่าฝ่ายเมียแสดงกิริยาที่ไม่ เหมาะสมกับผัวจนเป็นสาเหตุทำให้เขาไม่เลี้ยงดูพวกเธอ เช่น ใช้คำหยาบต่อว่าผัว พูดจาไม่เชื่อ ซึ่งหน้าที่นี้ยังรวมไปถึงการเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ของผัวด้วย
 
ดังในหนังสือของ ′หม่อมเจ้าทองเชื้อธรรมชาติ′ ที่ต่อว่าฝ่ายหม่อมแสงมณีว่า
 
′(หม่อมแสงมณี) ใช้คำหยาบและด่าต่อหน้าประชุมชน...ด่าว่าข้าพระพุทธเจ้าเปนสัตว์ และลูกไม้ไม่หล่นไกลต้น ข้อนี้ข้าพระพุทธเจ้าถือว่าด่าบิดาข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าเปนกิริยาและวาจาที่ไม่สมควรที่สุภาพสัตรีจะพึงใช้ ใช่แต่เท่านั้น ยังใช้คำว่าหน้าด้านเลวกว่าฝุ่นตามถนนเสียอีก ชาติสัตว์ นอกจากนี้ยังด่าทอถึงพี่ป้าอาลุงของข้าพระพุทธเจ้า...ทำให้ข้าพระพุทธเจ้า รู้สึกว่าข้าพระพุทธเจ้าเกลียดอะไรในโลกนี้เท่ากับเกลียดหม่อมแสงมณีทองแถม ณกรุงเทพ เปนไม่มี′

โดยการที่เมียจะต้องเคารพผัว อาจเนื่องจากว่า ในกรณีครอบครัว สังคมมีค่านิยมให้ �ผัวŽ (ผู้ชาย) เป็นหัวหน้าครอบครัว และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้หารายได้มาจุนเจือครอบครัว ส่วน �เมียŽ (ผู้หญิง) เป็นฝ่ายต้องพึ่งพา ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพียงเรื่องในบ้าน ดังนั้นผู้หญิงจึงต้องอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของฝ่ายชาย
 
หน้าที่สำคัญอีกประการของการเป็นเมียคือ ช่วยเหลืออุปการะเกื้อกูลกัน ซึ่งตัวอย่างของหน้าที่นี้สะท้อนได้จากกรณีฎีกาของอำแดงใหญ่ (เมีย) กล่าวโทษหลวงสถานพิทักษ์ (ผัว) ว่าไม่เลี้ยงดู ในฎีกาอำแดงใหญ่พยายามบอกว่า เธอเป็นผู้คอยช่วยเหลือหลวงสถานพิทักษ์เมื่อต้องคดี เมื่อหลวงสถานพิทักษ์ต้องคดี ข้าพระพุทธเจ้าได้ช่วยเปนธุระในการที่ทนายจะว่าความตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด ก็สู้ยอมเสียเงิน โดยคิดหวังการข้างหน้า เผื่อว่าหลวงสถานพิทักษ์หลุดพ้นโทษไปได้ จะได้เลี้ยงดูข้าพระพุทธเจ้าเปนแม่นมั่นนั้น ซึ่งในแง่นี้อาจกล่าวได้ว่า เธอพยายามเน้นย้ำว่าเธอได้หน้าที่ของเมียที่จะต้อง ′ช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกัน′ไม่ว่าจะในยามสุขหรือยามทุกข์ ดังนั้นการที่อำแดงใหญ่กล่าวว่า เธออยู่คอยช่วยเหลือหลวงสถานพิทักษ์ในยามต้องเดือดร้อนจำคุก เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอได้ทำหน้าที่ของเมียที่ดีอย่างสม่ำเสมอ เธอในฐานะของเมียก็ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้หลวงสถานพิทักษ์เลี้ยงดูเธอ

นอกจากหน้าที่ของเมียที่กล่าวข้างต้น เมื่อพิจารณาข้อพิพาทระหว่างผัวเมียจากเอกสารประเภทคดีความและฎีกา ในคำกล่าวของฝ่ายชายมักจะกล่าวถึงผู้หญิงที่ผิดจากภาพของการเป็นเมียที่ดี จากการมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อาทิ การเล่นพนัน การดื่มสุรา การเที่ยวกลางคืน ฯลฯ โดยการที่ฝ่ายชายหยิบยกพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนี้มากล่าวอ้าง ในแง่หนึ่งก็อาจเป็นเพราะผู้หญิงมีหน้าที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน ซึ่งต้องดูแลจัดการการเงินในครอบครัว ดังนั้นการที่เมียใช้จ่ายเงินในทางที่ผิด จึงเป็นเหตุให้ผัวใช้เป็นข้ออ้างในการหย่าหรือไม่เลี้ยงดูเมีย ตัวอย่างเช่น พระสรลักษณ์ลิขิต กล่าวว่า เหตุที่ต้องอย่ากับนางม้วนก็เพราะนางม้วนเปนนังเลงการพะนัน กล่าวไม่เชื่อ ส่วนบุตรข้าพระพุทธเจ้ายินดีจะรับเลี้ยงเอง แต่ไม่ยอมส่งค่าเลี้ยงดู เพราะเกรงว่านางม้วนจะเอาไปเล่นพนัน


pani

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 756
    • ดูรายละเอียด
การจดทะเบียนครอบครัว :

ที่มาของการกำหนดมาตรฐาน ′เมีย′
 
จากการที่การเป็นผัวเมียแต่เดิมนั้นกระทำกันเพียงแต่ความสมัครใจอยู่กิน กัน หรือกระทำพิธีแต่งงาน แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานแสดงความเป็นผัวเมียไว้แต่อย่างใด ครั้นถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ได้มีพระราชดำริที่จะให้การเป็นผัวเป็นเมียของชาวสยามมีหลักฐานให้ชัดเจน ขึ้นเพื่อมิให้มีการสำส่อนทางเพศ หรือมีการหลอกลวงหญิงโดยไม่เลี้ยงดู รวมทั้งการเป็นคู่โดยไม่รู้ว่าเป็นผัวเมียของผู้ใด อันมักเกิดเป็นปัญหาเมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นในศาลแล้วต้องเสียเวลาสืบพยาน ในการนี้จึงได้มีการยกร่าง �พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะผัวเมียŽ โดยกำหนดให้การเป็นผัวเมียจะกระทำได้ด้วยการจดทะเบียนสมรสเท่านั้น ถ้ามิได้จดทะเบียนจะไม่นับว่าเป็นผัวเมียกันตามกฎหมาย (พระราชบัญญัตินี้ยังคงยอมรับให้ชายมีเมียหลายคน) แต่หากว่าในการจัดทำกฎหมายดังกล่าวได้เกิดปัญหาโต้แย้งว่า การกำหนดให้จดทะเบียน ควรกำหนดให้ชายมีเมียได้เพียงคนเดียว (monogamy) ตามหลักสากลในนานาอารยประเทศ หรือจะยังคงกฎหมายที่ยอมรับให้ชายมีเมียได้หลายคนต่อไป (polygamy) ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการยุติการยกร่างกฎหมายที่จะให้มีการจดทะเบียนสมรสเอา ไว้ก่อน

อย่างไรก็ตาม ในสมัยรัชกาลที่ ๖ พระองค์ก็ได้มีพระราชดำริให้บัญญัติ �กฎมนเทียรบาลว่าด้วยครอบครัวแห่งข้าราชการในพระราชสำนัก พ.ศ. ๒๔๕๗ บังคับใช้ตั้งแต่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ โดยในคำปรารภระบุว่า จำต้องบัญญัติกฎนี้เพื่อป้องปราบความประพฤติของข้าราชการในพระราชสำนัก ซึ่งอยู่ใกล้ชิดพระองค์ สมควรจะปฏิบัติตัวให้ไม่ทรงรังเกียจ และไม่ให้เป็นที่ติฉินนินทาของคนอื่นได้ เพราะว่าคนทั่วไปไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าใกล้ชิดเพื่อรับทราบพระราชนิยมโดยถนัด ต้องเพ่งเล็งดูทางปฏิบัติและจรรยาแห่งข้าราชการในราชสำนักเป็นหลัก เพื่อสันนิษฐานทางแห่งพระราชนิยม เนื่องจากว่าข้าราชการในราชสำนักที่ยังเป็นหนุ่มมักเอาแต่ใจตนเอง อวดดีทำตนเป็นคนสมัยใหม่ ขณะที่ผู้ใหญ่ก็ไม่สามารถสั่งสอนตักเตือนได้ เพราะประพฤติตนเหลวไหลเช่นกันฝ่ายผู้ใหญ่จะว่าผู้น้อยไม่ได้เต็มปากก็เพราะ ตนเองก็ประพฤติเหลวไหลอยู่เช่นนั้นเหมือนกัน ตรงกับโบราณภาษิตว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ไม่มีใครกล้าทำอะไรใครได้ โดยข้อที่สำคัญก็คือพฤติกรรมในเรื่องครอบครัว ดังนั้นเพื่อมิให้เป็นที่ครหาจึงควรมีการกำหนดระเบียบให้ชัดเจน
 
การที่ประพฤติพระราชนิยมในข้อใดๆ ก็ไม่สำคัญเท่าในข้อที่เกี่ยวด้วยการมีครอบครัว เพราะหญิงดีย่อมเป็นศรีแก่ชาย แต่หญิงร้ายย่อมนำความพินาศฉิบหายมาสู่ผู้ที่สมพาส หาเสนียดจัญไรอย่างใดเสมอเหมือนได้โดยยาก เพราะฉะนั้นจึงทรงดำริว่า เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องกวดขันเรื่องครอบครัวแห่งข้าราชการในพระราช สำนักให้ยิ่งขึ้น เพื่อมิให้เป็นที่ติฉันนินทาแห่งผู้อื่นใด แต่ครั้นว่าจะเป็นเพียงพระราชทานพระบรมราโชวาทอย่างเช่นที่เคยมาแล้วนั้น ถ้าราชเสวกคนที่อวดฉลาดก็ดีก็จะหาหนทางหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกระแสพระบรม ราโชวาท ก็จะเป็นเครื่องเสียพระบรมเดชานุภาพ ทั้งจะเป็นหนทางให้คนอวดดีอวดฉลาดมีความกำเริบได้ใจยิ่งขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องวางระเบียบลงไว้ให้เป็นหลักฐานมั่นคง อันจะไม่มีหนทางหลีกเลี่ยงได้
 
ทั้งนี้ กฎมนเทียรบาลว่าด้วยครอบครัวแห่งข้าราชการในพระราชสำนัก พ.ศ. ๒๔๕๗ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ข้าราชการที่มีสำนักงานอยู่ในกำแพงพระมหาราชวัง จดทะเบียนครอบครัวและเคหสถาน ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเป็นสามีภรรยาก็คือ มีการห้ามไม่ให้รับจดทะเบียนหญิงนครโสเภณี หรือหญิงแพศยา หรือหญิงซึ่งชายสมจรด้วยเป็นครั้งคราวเป็นภรรยา ดังความตอนหนึ่งว่า
 
มาตรา ๑๙ ...ภรรยา คือหญิงที่ได้กระทำการแต่งงานสมรสตามประเพณีเมือง หรือที่ชายเลี้ยงดูโดยให้อยู่ร่วมเคหะสถานและยกย่องเชิดหน้าเชิดตาโดยเปิด เผย เพราะฉะนั้นห้ามมิให้รับจดทะเบียนหญิงนครโสเภณี หรือหญิงแพศยา หรือหญิงซึ่งชายสมจรด้วยเป็นครั้งคราวนั้นเป็นอันขาด
 
อนึ่ง หญิงที่ชายสมจรอยู่ด้วยโดยอาการที่เรียกว่าเป็น ′เมียลับ′ คือไม่ออกหน้าและมิได้อยู่ร่วมเคหะสถาน ห้ามมิให้รับลงทะเบียนเป็นภรรยาเป็นอันขาด...
 
จากข้อกำหนดดังกล่าว แม้ว่าจะต้องการควบคุมพฤติกรรมในเรื่องเพศของข้าราชสำนักชาย แต่ในอีกแง่หนึ่งก็กลายเป็นการกำหนดมาตรฐานสถานภาพของผู้หญิงที่ชอบด้วย �ความเป็นเมียหรือภรรยาŽ อันนำมาซึ่งข้อพิพาทที่หญิงกล่าวโทษชายไม่เลี้ยงดูเป็นเมีย ภรรยา โดยฝ่ายชายที่เป็นข้าราชการในราชสำนักมักจะกล่าวถึงผู้หญิงในภาพของผู้หญิง ไม่ดี ซึ่งไม่เหมาะสมจะเลี้ยงดูเป็นภรรยาจดทะเบียนตามกฎมนเทียรบาล เพื่อจะปฏิเสธความรับผิดชอบในหน้าที่ของสามีที่จะต้องเลี้ยงดูภรรยา ตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ อำแดงแดงทูลเกล้าฯ ถวายฎีกากล่าวโทษหลวงศุภกิจวิเลขการไม่เลี้ยงดูเธอเป็นภรรยา โดยฎีกาของ ′อำแดงแดง′ ได้ระบุว่าหลวงศุภกิจฯ ได้พูดจาเกลี้ยกล่อมเธอว่าจะเลี้ยงเธอเป็นภรรยา รวมถึงจะส่งเงินเดือนให้เธอเดือนละ ๕๐ บาททุกเดือน ดังนั้นเธอจึงยอมเป็นภรรยาของหลวงศุภกิจฯ
 
ขณะที่ฝ่ายของ ′หลวงศุภกิจวิเลขการ′ กลับมีคำให้การว่าอำแดงแดงเป็นผู้หญิงไม่ดี ไม่สมควรเป็นเมียของเขา ดังความว่า
 
ความจริงมีเพียงเคยได้หลับนอนด้วยกันในเวลาเดือนหนึ่ง แต่ก็โดยเปนการลับจะมีผู้ทราบความแน่ชัดคนเดียวก็หามิได้ แล้วภายหลังอำแดงแดงไปได้กับข้าราชการผู้อื่นอีกโดยมีผู้ทราบความอยู่หลายคน แต่ก็เปนโดยทางลับเหมือนกัน แล้วแต่นั้นมาจนบัดนี้เปนเวลาได้ ๔ ปีเศษอำแดงแดงกับข้าพระพุทธเจ้าก็หาได้เกี่ยวข้องกันอย่างใด โดยข้าพระพุทธเจ้ามิได้มีความสมัครักใคร่ที่จะเลี้ยงดูอำแดงแดงอย่างฉันสามี ภรรยาเลย ที่ได้หลับนอนร่วมกันก็โดยความประสงค์ของอำแดงแดงเอง
           
อีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ นางสาวใหญ่ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกากล่าวโทษหลวงสถานพิทักษ์ว่าไม่เลี้ยงดูเธอเป็นภรรยา ในฎีกาของ ′นางสาวใหญ่′ กล่าวว่า หลวงสถานพิทักษ์ได้ไปขอขมาต่อปุ้ยมารดาข้าพระพุทธเจ้า และได้ทำหนังสือต่อมาให้ไว้แก่ปุ้ยมารดาหนึ่งฉบับ ว่าจะเลี้ยงดูข้าพระพุทธเจ้าเปนภรรยาออกหน้า และจะได้จดชื่อข้าพระพุทธเจ้าลงในฐะเบียรภรรยาตามข้อบังคับกระทรวงวังด้วย ส่วนทางฝ่าย ′หลวงสถานพิทักษ์′ ได้ปฏิเสธที่จะเลี้ยงดูนางสาวใหญ่เป็นภรรยาเนื่องจากเธอมีพฤติกรรมไม่เหมาะ สมในฐานะภรรยาว่า การที่เกล้ากระหม่อมไม่เลี้ยงดูใหญ่เปนภรรยาทั้งนี้ ก็เพราะเกล้ากระหม่อมเห็นว่า ใหญ่ประพฤติตนไม่สมควรเปนภรรยาข้าราชการ มีเที่ยวกลางคืนเปนต้น

ขณะเดียวกัน ในอีกแง่หนึ่งการจำแนกว่าผู้หญิงที่ดีเท่านั้นที่จะสามารถเป็นภรรยา ส่วนผู้หญิงไม่ดี อาทิ หญิงนครโสเภณี หญิงแพศยา หญิงสมสู่ชายเป็นครั้งคราว รวมทั้งเมียลับ ถูกห้ามไม่ให้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโดยไม่ให้จดทะเบียนภรรยา ก็ยังถือเป็นการจำกัดสิทธิในฐานะภรรยาของผู้หญิงเหล่านี้ กล่าวคือ การที่ผู้หญิงไม่ดีดังกล่าวถูกห้ามมิให้จดทะเบียนเป็นภรรยาของข้าราชการใน ราชสำนัก พวกเธอจึงไม่มีสิทธิใดๆ ในฐานะภรรยาตามกฎหมาย ในทางตรงกันข้าม หากเป็นในครอบครัวสามัญทั่วไป ถ้าผู้หญิงไม่ดีดังกล่าวสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นภรรยาชาย พวกเธอก็ยังคงได้รับสิทธิในฐานะภรรยาตามกฎหมาย ดังกรณีที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ เป็นเรื่องทรัพย์สมบัติของนายใหม่ซึ่งเสียชีวิต โดยนางเชื้ออ้างตัวเป็นเมียนายใหม่ ขอแบ่งสินสมรสและมรดกจากเจ้าจอมสมบุญ ซึ่งเป็นพี่สาวนายใหม่และเป็นผู้เก็บรวมรวมทรัพย์สมบัติของนายใหม่ไว้ ในคดีนี้เจ้าจอมสมบุญกล่าวอ้างว่า นางเชื้อมิได้เปนภรรยาอันควรได้รับมรฎกนายใหม่ เพราะเหตุว่านางเชื้อเปนแต่หญิงที่มีอาชีวะในทางเปนหญิงนครโสเภณี มิได้อยู่กินกับนายใหม่ฉันผัวเมีย ในแง่นี้คือเป็นการอาศัยคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสมของการเป็นเมียตามค่านิยมใน สังคมขึ้นมาต่อสู้ แต่อย่างไรก็ตาม นางเชื้อได้พยายามยืนยันการเป็นเมียนายใหม่โดยกล่าวอ้างว่า ได้อยู่กินร่วมเรือนกลับนายใหม่เป็นผัวเมียกันมาประมาณ ๘ ปี จนนายใหม่ถึงแก่กรรม ในความหมายก็คือการเน้นย้ำว่าทั้งสองเป็นผัวเมียกัน โดยได้อยู่กินกันมีผู้รับรู้เป็นเวลานาน ไม่ใช่เป็นเพียงความสัมพันธ์แบบชั่วคราวอย่างโสเภณี ซึ่งในคดีนี้ศาลเชื่อว่า นางเชื้อเป็นเมียนายใหม่ เพราะมีพยานรู้เห็นว่าทั้งสองอยู่กินเป็นผัวเมียกัน ศาลจึงตัดสินให้นางเชื้อจึงมีสิทธิในทรัพย์สมบัติของนายใหม่

ความส่งท้าย

ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าในช่วงที่สยามเข้าสู่ภาวะสมัยใหม่สมัยรัชกาลที่ ๕ จนถึงรัชกาลที่ ๗ ความสัมพันธ์ระหว่างผัวกับเมียได้ถูกกำหนดโดยกฎหมายดั้งเดิมคือ กฎหมายลักษณะผัวเมีย ซึ่งความเป็นผัวเมียจะเกิดขึ้นได้จากการยินยอมของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง (การยินยอมของผู้ปกครองหญิง) นอกจากนี้ความเป็นผัวเมียยังสามารถเกิดขึ้นจากการรับรองของสังคม โดยข้อกำหนดเกี่ยวกับความเป็นผัวเมียได้มีเงื่อนไขเพิ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ ขณะเดียวกันความเป็นผัวเมียยังสัมพันธ์กับค่านิยมในสังคม ที่มีส่วนสำคัญต่อการกำหนดบทบาทหน้าที่ของผัวเมีย ดังสะท้อนได้จากข้อพิพาทระหว่างผัวกับเมียในเอกสารประเภทคดีความและฎีกา เช่น ฝ่ายชายมีหน้าที่ต้องทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัว ส่วนฝ่ายหญิงมีหน้าที่ดูแลกิจการภายในบ้าน เคารพเชื่อฟังสามี ช่วยเหลือเกื้อกูลสามี เป็นต้น

ซึ่งค่านิยมบางอย่างได้ถูกฝังแน่นในสังคมมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างผัวเมียทางกฎหมายจะถูกเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญหลัง การปฏิวัติสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็ตาม

โดย...ภาวิณี บุนนาค
มติชนออนไลน์
1 เมษายน พ.ศ. 2554