4. ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง สนธิ-ASTV พาดพิง ทักษิณ ทำสถาบันกษัตริย์อ่อนแอ ชี้ปราศรัยติชมด้วยความเป็นธรรม!
เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ศาลอาญาได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 โจทก์ และ นายทักษิณ ชินวัตร โจทก์ร่วมยื่นฟ้อง บริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด โดยนายพชร สมุทวณิช และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช กรรมการผู้มีอำนาจ, บริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด โดยนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กรรมการผู้มีอำนาจ และนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลย ที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร การกระจายเสียงหรือภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 กรณีปราศรัยหมิ่นนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
โดยคำฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2551 นายสนธิ แกนนำพันธมิตรฯ จำเลยที่ 3 ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ บริเวณทำเนียบรัฐบาล ผ่านเครื่องขยายเสียงให้ผู้ชุมนุมฟังทำนองว่า นายทักษิณจาบจ้วงสถาบัน และพยายามซื้อรากหญ้า ยึดตำรวจและเอาเงินไปจ่ายให้ทหารบางคนเพื่อให้สถาบันกษัตริย์อ่อนแอ ทำลายรากฐานของกษัตริย์ โดยมีจำเลยที่ 1-2 เป็นผู้ถ่ายทอดสัญญาณภาพและเสียงผ่านสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี และเว็บไซต์ผู้จัดการ ซึ่งข้อความที่นายสนธิกล่าว ทำให้นายทักษิณ เสื่อมเสียชื่อเสียง ขณะที่จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้อง ต่อมาอัยการโจทก์ไม่ยื่นอุทธรณ์ แต่โจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า ประเด็นข้อความที่จำเลยที่ 3 กล่าวว่า วันนี้ผมไม่รู้ว่าสื่อมวลชน นักคอลัมนิสต์ คนที่ทำงานโทรทัศน์จะโง่ หรือว่าแกล้งโง่ที่ยังดูไม่ออกอีกหรือว่ารัฐบาลชุดนี้ ภายใต้บงการของนายทักษิณ ชินวัตร ใช้เงินมาซื้อข้าราชการและประชาชนบางส่วน... นั้น แม้จะเป็นข้อความหมิ่นประมาท ที่ทำให้โจทก์ร่วมเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ที่ฝ่ายจำเลยนำสืบนั้นปรากฎว่า มีบุคคลอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวพันร่วมกับโจทก์ร่วมในทางการเมือง บุคคลใกล้ชิดและบริวารโจทก์ร่วม เช่น นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เคยถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามมาตรา 112 จึงเห็นว่าจำเลยที่ 3 มีความเชื่อหรือสงสัยว่าโจทก์ร่วมอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย อันเป็นการแสดงความเห็น หรือกล่าวติชม ด้วยความเป็นธรรมในเรื่องบ้านเมืองและกิจการสาธารณะ ที่บุคคลและประชาชนทั่วไปสามารถกระทำได้ การกระทำของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) เมื่อศาลพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 ไม่เป็นความผิด จำเลยที่ 1 และ 2 จึงไม่มีความผิดด้วย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยพิพากยืนยกฟ้อง
5. อัยการสั่งฟ้อง สรยุทธกับพวก คดีปลอมเอกสารเพื่อโกงค่าโฆษณา อสมท 138 ล้าน พร้อมนำตัวส่งศาล ก่อนได้ประกันตัว!
เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ร.ท.สมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้แถลงผลการพิจารณาคดีบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ปลอมแปลงเอกสาร อสมท ภายหลังรับมอบสำนวนหลักฐานจากพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่กล่าวหาบริษัท ไร่ส้ม, น.ส.สุกัญญา แซ่ลิ่ม, น.ส.อังคณา วัฒนมงคลศิลป์, นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา อดีตพิธีกรรายการเล่าข่าวชื่อดัง และกรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม, น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่บริษัท ไร่ส้ม และนางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด หรือนางชนาภา บุญโต อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ผู้ต้องหาที่ 1-6 ฐานร่วมกันฉ้อโกง และร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และร่วมกันทำให้เสียหาย และทำลายเอกสารของผู้อื่น จากกรณีที่ไม่ชำระค่าโฆษณาส่วนเกินกว่า 138 ล้านบาท โดยสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งฟ้องบริษัท ไร่ส้ม, นายสรยุทธ, น.ส.มณฑา และนางพิชชาภา ผู้ต้องหาที่ 1, 4-6 ฐานร่วมกันฉ้อโกง และร่วมกันปลอมเอกสารฯ และเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง น.ส.สุกัญญา และ น.ส.อังคณา ซึ่งเป็นพนักงานบริษัท ไร่ส้ม
ร.ท.สมนึกกล่าวว่า คณะทำงานฯ พิจารณาพยานหลักฐานทั้งในสำนวนสอบสวนและหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาแล้ว เห็นว่าประเด็นที่ผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมทั้งหมด รับฟังได้เฉพาะข้อหาร่วมกันฉ้อโกงที่ขอให้อัยการสั่งยุติการดำเนินคดี คณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นควรยุติการดำเนินคดีข้อหาดังกล่าวกับผู้ต้องหาทั้งหมด เพราะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว และผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแล้ว ไม่ว่าจะฟ้องก่อนหรือหลังจากที่พนักงานอัยการได้รับสำนวนการสอบสวน ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 55(9)
ส่วนประเด็นอื่นที่ร้องขอความเป็นธรรม ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานในสำนวนคดีได้ คดีมีหลักฐานพอฟ้อง เห็นควรสั่งฟ้องบริษัท ไร่ส้ม, นายสรยุทธ, น.ส.มณฑา และนางพิชชาภา ในความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอม และร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารของผู้อื่นในอันที่น่าเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 188, 264, 265 และ 268 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ขอริบใบคิวโฆษณาของกลาง และขอนับโทษต่อจากโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลอาญา ที่อัยการยื่นฟ้องตามความผิด พ.ร.บ.พนักงานองค์การของรัฐฯ ซึ่งศาลพิพากษาให้จำคุกนายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา คนละ 13 ปี 4 เดือน และจำคุกนางพิชชาภา 20 ปี ปรับบริษัท ไร่ส้ม 8 หมื่นบาท และคดีอาญาของศาลแขวงพระนครเหนือ และเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 2-3 ในข้อหาดังกล่าว เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
ทั้งนี้ หลังเห็นควรสั่งฟ้อง อัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลในวันเดียวกัน โดยอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท ไร่ส้ม, นายสรยุทธ, น.ส.มณฑา และนางพิชชาภา เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอม และร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91,188,264, 265 และ 268 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4
โดยคำฟ้องระบุว่า จากกรณีเมื่อประมาณกลางเดือน ก.ค. 2549 จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและทำให้เสียหาย ทำลายซึ่งเอกสาร และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันนำเอกสารใบคิวโฆษณารายการคุยคุ้ยข่าวระหว่างเดือน ม.ค. - พ.ค. 2549 จำนวน 139 แผ่น ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิที่จำเลยร่วมกันทำปลอมขึ้น ไปใช้ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นหลักฐานในการโฆษณาและคิดค่าโฆษณาส่วนเกินในรายการคุยคุ้ยข่าว ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ อสมท หลงเชื่อว่าเอกสารใบคิวโฆษณานั้นเป็นเอกสารจริง ทำให้บริษัท ไร่ส้ม จำเลยที่ 1 ไม่ต้องเสียค่าโฆษณาหรือเสียค่าโฆษณาส่วนเกินน้อยกว่าความเป็นจริง การกระทำดังกล่าวทำให้บริษัท อสมท ได้รับความเสียหาย ต่อมาวันที่ 29 ต.ค. 2550 เจ้าพนักงานได้ร่วมกันยึดเอกสาร ใบคิวโฆษณาปลอมจำนวน 139 แผ่นไว้เป็นของกลาง จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และขอให้นับโทษต่อจากคดีของศาลอาญา ที่อัยการยื่นฟ้องตามความผิด พ.ร.บ.พนักงานองค์การของรัฐฯ ซึ่งศาลพิพากษาแล้วให้จำคุกนายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา คนละ 13 ปี 4 เดือน จำคุก น.ส.พิชชาภา 20 ปี ปรับบริษัท ไร่ส้ม 8 หมื่นบาท และคดีอาญาของศาลแขวงพระนครเหนือ
ทั้งนี้ ศาลได้ประทับรับฟ้องไว้ จากนั้น นายสรยุทธและจำเลยทั้งหมดได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างสู้คดี ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกันคนละ 3 แสนบาท พร้อมนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 29 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น. จากนั้น นายสรยุทธได้เดินทางกลับทันทีโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ
อย่างไรก็ตาม นายสรยุทธได้ชี้แจงผ่านอินสตาแกรมในภายหลัง โดยอ้างว่า อัยการฟ้องซ้ำซ้อนกับคดีที่ อสมท.ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค.2558 ซึ่งศาลอยู่ระหว่างไต่สวนมูลฟ้องว่าศาลจะรับคำฟ้องไว้พิจารณาต่อหรือไม่ อัยการจึงไม่จำเป็นต้องฟ้องคดีเองอีก พร้อมชี้ว่า การที่อัยการดำเนินคดีกับตนหลายครั้งจากการกระทำครั้งเดียว น่าจะขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 39(4) และทำให้ตนและบุคคลอื่นๆ ได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรจากการถูกดำเนินคดีซ้ำซ้อน ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์ของผม และขอใช้สิทธิตามกระบวนการยุติธรรม เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผมในศาลอาญาต่อไป
MGR Online 4 มิถุนายน 2559