1. ศาล พิพากษาจำคุก ศุภชัย 32 ปี คดียักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ คลองจั่น แต่เจ้าตัวกลับคำให้การเป็นรับสารภาพ ลดโทษให้เหลือ 16 ปี ไม่รอลงอาญา!
เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ศาลอาญา ได้นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อายุ 59 ปี อดีตประธานกรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เป็นจำเลย ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ผู้อื่น และจัดการทรัพย์สินผู้อื่นโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 และ 354
คดีนี้ โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 58 ว่า เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 56 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2555 และที่ประชุมมีมติเลือกนายศุภชัย จำเลย เป็นประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์ชุดที่ 29 อยู่ในตำแหน่ง 2 ปี ต่อมานายทะเบียนสหกรณ์ตรวจสอบพบว่า การเรียกประชุมใหญ่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับและกฎหมาย นายทะเบียนจึงมีหนังสือไม่รับรองตำแหน่งประธานกรรมการจากการประชุมดังกล่าว ต่อมาสหกรณ์ฯ คลองจั่น ได้ประชุมใหญ่วิสามัญและมีมติให้การรับรองนายศุภชัย เป็นประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์อีกครั้ง และยังเปิดประชุมคณะกรรมการดำเนินการชุดที่ 2 สมัยสามัญ และมีมติแต่งตั้งนายศุภชัย ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการสหกรณ์ฯ อีกตำแหน่งด้วย กระทั่งวันที่ 10 เม.ย.-8 ต.ค. 56 จำเลย ซึ่งเป็นประธานกรรมการสหกรณ์ฯ คลองจั่น ได้กระทำการทุจริต โดยให้เจ้าหน้าที่บัญชีเบิกเงินสดของสหกรณ์ฯ หลายครั้งหลายหนรวม 8 ครั้งๆ ละ 184,000 บาท-6 ล้านบาท รวม 22,132,000 บาท เข้าบัญชีของจำเลย หรือบุคคลที่ 3 โดยทุจริต ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ก่อนเริ่มกระบวนพิจารณา นายศุภชัย จำเลยได้แถลงต่อศาลขอกลับคำให้การเดิมที่เคยปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี เป็นให้การรับสารภาพ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาว่า จำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก, 353, 354 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 8 กระทง จำคุกกระทงละ 3-5 ปี รวมจำคุก 32 ปี อย่างไรก็ตาม คำให้การของจำเลยที่รับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 16 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วนับเป็นเรื่องร้ายแรง โทษจำคุกจึงไม่มีเหตุให้รอลงอาญา
หลังฟังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายศุภชัย จำเลย ซึ่งถูกเบิกตัวจากเรือนจำมาศาล ไปควบคุมตามคำพิพากษาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต่อไป โดยนายศุภชัยมีสีหน้าเคร่งเครียด
ทั้งนี้ นายศุภชัย ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินรายใหญ่ของวัดพระธรรมกาย ยังมีสำนวนคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ คลองจั่น ที่ยังรออัยการพิจารณาสั่งคดีอีก 1 สำนวน โดยคดีดังกล่าว พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดีเอสไอ สรุปสำนวนกล่าวหานายศุภชัยกับพวกอีก 3 คน ซึ่งเป็นอดีตกรรมการสหกรณ์ฯ คลองจั่น ฝ่ายการเงิน-สินเชื่อ มูลค่าความเสียหายกว่า 12,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบสวนเพิ่มเติม
ส่วนสำนวนคดีฉ้อโกงสหกรณ์ฯ คลองจั่น กว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งดีเอสไอสรุปสำนวนสมควรสั่งฟ้องนายศุภชัยกับพวกรวม 12 ราย ให้อัยการสำนักงานคดีพิเศษเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 58 ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ ส่วนพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และพระรูปอื่นๆ ในเครือธรรมกาย ซึ่งรับเช็คจากนายศุภชัยจำนวน 878 ฉบับ เป็นเงินประมาณ 2,000 ล้านบาทนั้น ดีเอสไออยู่ระหว่างสอบสวน ซึ่งอาจเข้าข่ายฟอกเงินหรือรับของโจร
2. ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ ชี้ ธาริต ร่ำรวยผิดปกติ 346 ล้านบาท ให้อัยการสูงสุดชงศาลยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดิน!
เมื่อวันที่ 10 มี.ค. นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และนายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการ ป.ป.ช.แถลงว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ร่ำรวยผิดปกติ และต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติของนายธาริต, นางวรรษมล ภรรยา และบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นการชั่วคราว รวมมูลค่ากว่า 90 ล้านบาทนั้น
ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณารายงานผลการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า นายธาริตและนางวรรษมล มีทรัพย์สินจำนวนมาก หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาก หรือหนี้สินลดลงมากเกินกว่าฐานะและรายได้ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะพึงมีได้ อีกทั้งยังปรากฏพฤติการณ์โอน ยักย้าย แปรสภาพหรือซุกซ่อนทรัพย์สิน จึงมีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ว่า นายธาริตมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ โดยจะส่งรายงานและสำนวนการไต่สวนให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน และให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนนายธาริต ดำเนินการทางวินัยต่อไป ซึ่งปัจจุบัน นายธาริตดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนั้นผู้ที่จะลงโทษทางวินัยนายธาริตได้ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
ด้านนายวรวิทย์ กล่าวว่า กรณีนี้สืบเนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนข้าราชการระดับสูงสร้างบ้านบริเวณเขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และเกรงว่าจะมีการบุกรุกเขตป่าสงวนแห่งชาติเขาใหญ่ ทาง ป.ป.ช.จึงตรวจสอบและพบว่าเจ้าของบ้านคือ นางวรรษมล ภรรยานายธาริต โดยบ้านดังกล่าวใช้ชื่อว่า "ฟิออเร่ ปาร์ค" มูลค่ากว่า 21 ล้านบาท ทาง ป.ป.ช.จึงตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของนายธาริตที่เคยแสดงบัญชีต่อ ป.ป.ช. ว่ามีรายการดังกล่าวอยู่หรือไม่ ซึ่งไม่พบรายการดังกล่าว จึงตั้งอนุกรรมการไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐาน จากนั้นพบพฤติการณ์ยักย้ายแปรสภาพซุกซ่อนทรัพย์สิน ป.ป.ช.จึงสั่งอายัดไว้ 2 ครั้ง มูลค่ากว่า 90 ล้านบาท ต่อมาได้แจ้งข้อกล่าวหานายธาริต ซึ่งนายธาริตได้มารับทราบข้อกล่าวหา แต่ไม่ยอมมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าไม่เข้าใจข้อกล่าวหาของอนุกรรมการฯ และบอกว่า อนุกรรมการฯ ไม่ให้ความเป็นธรรม ซึ่งอนุกรรมการฯ ได้เปรียบเทียบรายได้ของนายธาริต พบว่า มีทรัพย์สินที่ไม่มีที่มาที่ไป และมีที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมายกว่า 346 ล้านบาท จึงมีมติชี้มูลความผิดกรณีร่ำรวยผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม เมื่อพบว่าทรัพย์สินดังกล่าวบางส่วนมีการโอนย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อน ทำให้ไม่สามารถติดตามทรัพย์สินได้ คงเหลือทรัพย์สินที่ ป.ป.ช.เคยสั่งอายัดไว้กว่า 90 ล้านบาท ดังนั้นทรัพย์สินที่ได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติในส่วนที่เหลืออีกกว่า 256 ล้านบาท ให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของนายธาริตและนางวรรษมล เช่น เงินฝากในบัญชีธนาคาร, ที่ดิน, รถเบนซ์ เป็นต้น
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ลงมติชี้มูลความผิดเป็นเอกฉันท์จำนวน 7 เสียงนั้น มีกรรมการ 2 คนที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม คือ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ ที่ติดภารกิจ และ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง ที่ขอไม่เข้าร่วมประชุม เนื่องจากทนายความของนายธาริตมีนามสกุลเดียวกับ พล.ต.อ.สถาพร จึงเกรงว่าจะมีส่วนได้ส่วนเสีย
วันเดียวกัน(10 มี.ค.) นายธาริต ได้ทำเอกสารชี้แจงถึงสื่อมวลชน โดยอ้างว่า ป.ป.ช.คิดคำนวณเงินในบัญชีของตนและภรรยาที่เปิดไว้กับธนาคารต่างๆ ไม่เป็นไปตามหลักการทางบัญชี และนำทรัพย์สินอื่นมาบวกรวมกันให้เห็นว่า มีทรัพย์สินมากเกินความเป็นจริง แล้วกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ ทั้งที่ทรัพย์สินส่วนใหญ่ก็ไม่มีอยู่จริง ไม่ได้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติแต่อย่างใด
นอกจากนี้ นายธาริตยังอ้างว่า ป.ป.ช.ใช้วิธีคิดคำนวณรายได้จากเงินเดือนและค่าตอบแทนเฉพาะการรับราชการของตนและภรรยาเท่านั้น ไม่ได้ตรวจสอบถึงรายได้จากการทำธุรกิจ เช่น การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ การซื้อขายที่ดิน และการลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆ เช่น ทองคำและอัญมณี ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ข้าราชการทำได้โดยชอบ ทั้งนี้ นายธาริตได้ตั้งคำถาม ป.ป.ช.ว่า ได้คิดคำนวณทรัพย์สินของตนตามหลักการทางบัญชีหรือไม่ ปฏิบัติต่อตนตามกฎหมายหรือไม่ และปฏิบัติต่อตนเท่าเทียมกับบุคคลอื่นหรือไม่
ด้านนายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนกรณีกล่าวหานายธาริต ร่ำรวยผิดปกติ ยืนยันว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาเรื่องนายธาริตอย่างละเอียดถี่ถ้วน รอบคอบ และกว่าที่จะชี้มูลความผิดได้ มีการพิจารณาพยานหลักฐานอยู่หลายรอบ ไม่ใช่ทำเพียงไม่กี่ครั้ง
3. สนช.ผ่านร่างแก้ไข รธน.57 สามวาระรวดรองรับประชามติ ยึดเสียงข้างมากของผู้ใช้สิทธิ-ให้ สนช.ตั้งคำถามพ่วง ด้าน ทักษิณ ยังต่อรองเจรจา ถ้าไม่อยากให้เคลื่อนไหว!
ความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างพิจารณาปรับแก้เป็นรายมาตราหลังได้รับข้อเสนอแนะจากฝ่ายต่างๆ เช่น คณะรัฐมนตรี(ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท. ) พรรคการเมือง องค์กรอิสระ ฯลฯ เพื่อมาพิจารณาประกอบการร่างรัฐธรรมนูญร่างสุดท้ายให้แล้วเสร็จในวันที่ 29 มี.ค.นี้
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 7 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ประชุมประธานของแม่น้ำ 5 สาย(คสช.-ครม.-สนช.-สปท.-กรธ.) เพื่อเร่งรัดการทำงานของแม่น้ำแต่ละสาย แต่ปรากฏว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.ไม่ได้เข้าร่วมประชุมแต่อย่างใด ซึ่งนายมีชัย เผยในเวลาต่อมาถึงเหตุที่ไม่เข้าประชุมแม่น้ำ 5 สายว่า ไม่ใช่เพราะ กรธ.ได้หารือนอกรอบกับ ครม.มาก่อนหน้านี้ แต่เป็นเพราะหากเข้าร่วม กลัวจะถูกผูกมัด ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ไม่ไปเพราะกลัวถูกใบสั่งใช่หรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่า หากจะสั่งก็สั่งได้ แต่สั่งแล้วจะฟังหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุผล
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เผยหลังประชุมแม่น้ำ 4 สาย เพราะ กรธ.ไม่เข้าร่วมประชุมว่า กรธ.ได้แจ้งว่า ติดประชุม เนื่องจากเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน จะต้องทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ คสช.เลยบอกว่าไม่เป็นไร และว่า ที่ประชุมแม่น้ำ 4 สาย ได้พิจารณา 2 เรื่อง คือ 1. ติดตามงานที่แต่ละฝ่ายได้ทำไปว่า ติดขัดส่วนใดบ้าง และคาดว่านายกฯ อาจสั่งให้มีการประชุมแม่น้ำ 5 สายในเร็วๆ นี้ คาดว่าในเดือน มี.ค.นี้หรือ เม.ย. และ 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ(ชั่วคราว) พ.ศ.2557 เพื่อทำประชามติ
วันต่อมา(8 มี.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการประชุมแม่น้ำ 4 สายเมื่อวันที่ 7 มี.ค. ว่า ได้มีการหารือถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว เพื่อให้มีการทำประชามติได้ พร้อมยอมรับว่า มีการหารือถึงแนวคิดให้มี ส.ว.สรรหา ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งได้มีการพูดคุยว่า ถ้า ส.ว.มาจากการสรรหาทั้งหมดจะเป็นอย่างไร ถ้าผสมจะเป็นอย่างไร คัดสรรจะเป็นอย่างไร อยากให้ทุกคนทบทวน ดูวันเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับเรื่องอะไรมาบ้าง แต่ท่านต้องคำนึงว่าจบหรือยัง การเมืองทั้งหมดทุกกลุ่มพร้อมร่วมมือเดินหน้าประเทศหรือยัง ถ้าตอบได้ว่าพร้อมแล้ว บอกผมมา ใครมั่นใจจะรับรองแทนบ้าง เพราะวันนี้ยังตีกันอยู่ทุกวัน ขณะผมมีอำนาจยังขนาดนี้ ผมไม่รู้ว่าวันหน้าจะแค่ไหน ผมถึงบอกว่าไปคิดกันมา ไม่ว่าจะเป็น กรธ. สนช. ไปหาวิธีการทำอย่างไรให้สถานการณ์เหล่านี้บรรเทาเบาบางลง เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ท่าที พล.อ.ประยุทธ์ จะดูสนับสนุนการมี ส.ว.สรรหาในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดให้ ส.ว.มีส่วนร่วมในการเลือกนายกรัฐมนตรี
ด้านนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ยังไม่มีความคิดเห็นกับแนวคิดให้มี ส.ว.จากการสรรหาทั้งหมดในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยบอกว่า ต้องรอให้รัฐบาลส่งข้อเสนอที่เป็นลายลักษณ์อักษรเข้ามาก่อน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ได้มีการประชุม สนช.เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนเกี่ยวกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ที่ ครม.และ คสช.เสนอ หลังจากมีการแก้ไขเพิ่มเติม 5 ประเด็น เพื่อรองรับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ โดยที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบ 3 วาระรวด สำหรับประเด็นที่มีการแก้ไข ได้แก่ การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ จะผ่านต้องยึดคะแนนเสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิลงประชามติให้ความเห็นชอบ, การแจกจ่ายร่างรัฐธรรมนูญ เปิดโอกาสให้มีการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญด้วยวิธีอื่นได้ นอกเหนือจากการให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) แจกจ่ายไปตามครัวเรือนร้อยละ 80, กำหนดให้ สนช.ตั้งคำถามเพิ่มเติมในการออกเสียงประชามติ โดยให้ สปท.เข้ามามีส่วนร่วมในการตั้งคำถามด้วย ฯลฯ ส่วนการออกร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่รัฐบาลได้รับร่างจาก กกต.แล้วนั้น จะมีการนำเข้าที่ประชุม ครม.วันที่ 15 มี.ค.นี้
เป็นที่น่าสังเกตว่า มีสมาชิก สนช.หลายคน อภิปรายหนุนให้มีกลไกขับเคลื่อนประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่าน เช่น นายตวง อันทะไชย โดยชี้ว่า ควรระบุไว้ในบทเฉพาะกาล รวมทั้งขอให้นำประเด็นในช่วงเปลี่ยนผ่านไปตั้งเป็นคำถามในการทำประชามติของ สนช.ด้วย
ด้านนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา คดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ ได้ไปร่วมเสวนาเกี่ยวกับความท้าทายของเศรษฐกิจโลกในยุคปัจจุบันและทิศทางของประเทศไทย ซึ่งจัดโดยสถาบันนโยบายโลก(WPI) ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง ฟิล คันนิ่งแฮม อดีตนักวิจัยในสถาบันฟุลไบรท์ เคยระบุว่า WPI ไม่เป็นที่รู้จักในหมู่คนอเมริกัน และคนทั่วไป รวมทั้งไม่ได้รับความเชื่อถือในหมู่นักการเมืองอเมริกัน ทั้งนี้ นายทักษิณ ได้วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญที่ กรธ.กำลังร่างอยู่ว่า คงยากที่จะทำให้ได้รัฐบาลที่ประชาชนต้องการ อีกทั้งยังไม่ตอบสนองความท้าทายในศตวรรษที่ 21 นายทักษิณ ยังให้สัมภาษณ์นิวยอร์ก ไทม์ส ด้วยว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำอยู่จะลากประเทศไทยให้ถอยหลัง และว่า หากรัฐบาลกังวลการออกมาเคลื่อนไหวของตน ก็ขอให้ติดต่อมาพูดคุยกับตนโดยตรง
ขณะที่ท่าทีของบุคคลในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ รวมทั้ง กรธ. ต่างไม่ให้ความสำคัญกับการวิพากษ์วิจารณ์ของนายทักษิณแต่อย่างใด