ผู้เขียน หัวข้อ: สธ.จับมือจับมือ "กองทุนประชากรสหประชาชาติ" เดินหน้าแผนงานสาธารณสุข  (อ่าน 1552 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
“จุรินทร์”เผยสาธารณสุขไทย จับมือกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ นำเอาประชากรศาสตร์ เป็นตัวตั้งในการแก้ปัญหาและวางแผนพัฒนางานด้านสาธาณรสุข
       
       วันนี้(20 เม.ย.) ที่ห้องประชุมรัฐสภา กทม. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า นายนาจิบบุลเลาะห์ อัสซิฟิ(Mr.Najib Assifi)ผู้แทนกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA)ประจำประเทศไทยและรองผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เข้าพบหารือร่วมกันในการเดินหน้าแผนงานความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติต่อไปในอนาคต โดยจะทำแผน 5 ปี เริ่มเดินหน้าตั้งแต่ พ.ศ. 2555
       
       โดยขอบเขตความร่วมมือ มีหลายเรื่อง เช่น

1.งานอนามัยแม่และเด็ก เป็น นโยบายที่สำคัญของรัฐบาลและเป็นหนึ่งหัวข้อสำคัญของโครงการปฎิรูปประเทศไทย ที่นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานเปิดโครงการในวันที่ 23 เมษายน 2554 นี้ โดยก ระทรวงสาธารณสุขได้มีการดำเนินงานเรื่องนี้มาต่อเนื่อง และคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบพระราชบัญญัติการอนามัยเจริญพันธุ์ รวมทั้งให้ความสนใจกรณีเด็กหญิงแม่ โดยการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นมีแนวโน้มสูงขึ้น จากการคลอดของผู้หญิงที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13 ใน พ.ศ.2548 เป็นร้อยละ 16 ในปีพ.ศ.2553 และพระราชบัญญัติการอนามัยเจริญพันธุ์ ระบุชัดเจนให้นักเรียนที่ตั้งครรภ์สามารถเรียนต่อได้
       
       นอกจากนี้ จะได้ร่วมกันจัดบริการคลินิกที่เป็นมิตรกับวัยรุ่นในโรงพยาบาลของในกระทรวง สาธารณสุขทุกแห่ง รวมทั้งเสนอแนะให้กระทรวงศึกษาธิการ เพิ่มพัฒนาครูผู้สอนหลักสูตรเพศศึกษา และให้พัฒนาหลักสูตรเพศศึกษาอย่างรอบด้าน

2.ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว เป็น อีกกลุ่มคนที่กองทุนประชากรฯต้องการเข้าถึง ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายจัดตั้งอาสาสมัครสาธารณสุขแรงงาน ต่างด้าวขึ้น ในพื้นที่ที่มีแรงงานต่างด้าวอาศัยอยู่ เช่น ที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งงานของกองทุนประชากรฯ สามารถส่งผ่านทาง อสม.แรงงานต่างด้าวได้
       
       
3.ด้านโรคเอดส์ ล่า สุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 เม.ย) ที่ประชุม คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)มีมติให้จ่ายยาต้านไวรัสเอดส์ให้แก่ผู้ติดเชื้อที่มี ซีดีโฟร์ ต่ำกว่า 350 โดยมีรายละเอียดในการให้ผู้ติดเชื้อที่มีข้อบ่งชี้ต่างๆ 4.ในกลุ่มผู้สูงอายุ กระทรวง สาธารณสุขได้จัดช่องทางพิเศษในโรงพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุ นอกจากนี้รัฐบาลได้จ่ายเบี้ยยังชีพเดือนละ 500 บาทต่อเดือนต่อคน แล้วในอนาคตรัฐบาลจะจัดทำ พระราชบัญญัติบำนาญประชาชน ภายใต้พระราชบัญญัติการออมแห่งชาติ
       
       ทั้งนี้ ความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์ในแง่ของการนำเอาประชากรศาสตร์ มาเป็นตัวตั้งในการแก้ปัญหาและวางแผนพัฒนาทุกๆด้าน รวมทั้งด้านสาธารณสุขด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 เมษายน 2554