ผู้เขียน หัวข้อ: ผอ.รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจงยอดสั่งซื้อพุ่ง120 ล. เป็นยอดรวม3ปี  (อ่าน 1328 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
ผอ.รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี แถลงยืนยันความบริสุทธิ์ แจงสาเหตุเกิดจากมีญาติผู้ป่วยเบิกแทนแล้ว ไม่ลงลายมือชื่อให้ อ้าง ยอดสั่งซื้อสูงถึง 120 ล้าน เป็นยอมรวม 3 ปี...

ที่ห้องประชา สัมพันธ์ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี นายแพทย์มนัส กนกศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี พร้อมทีมผู้บริหาร ได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเพื่อชี้แจงกรณีเมื่อวันที่ 8 เมย.54 ที่ผ่านมาได้มีข่าวของกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์มีการ ปฏิบัติผิดระเบียบส่อในทางทุจริต และมีการสั่งซื้อยานอกบัญชียาหลักค่อนข้างมากนั้น

นายแพทย์มัส กนกศิลป์ เปิดเผยว่า จากการที่สำนักพัฒนาระบบตรวจสอบการรักษาพยาบาลซึ่งได้รับมอบหมายจากกรมบัญชี กลาง กระทรวงการคลังให้มาตรวสอบระบบเวชระเบียนของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ เมื่อวันที่ 13-14 มค.54 ที่ผ่านมา จนกลายเป็นประเด็นข่าวว่าทางโรงพยาบาลส่อไปในทางทุจริตในเรื่องการเบิกจ่าย ตรงสิทธิข้าราชการ กรณีญาติเบิกแทนแล้วไม่ลงลายมือชื่อ เนื่องจากในระเบียบผู้ป่วยสิทธิเบิกจ่ายตรงของกรมบัญชีกลางไม่ได้กำหนดให้ ผู้ป่วยหรือญาติผู้รับยาแทนต้องเซ็นรับยา ซึ่งโรงพยาบาลทั่วประเทศก็ได้ไม่ได้ถือปฏิบัติในการเซ็นรับยาและไม่มีคำสั่ง โดยตรง

อีกทั้งการดูแลรักษาผู้ป่วยหรือสั่งยาของโรงพยาบาลสรรพสิทธิ ประสงค์ต้องมีบันทึกประวัติการรักษาใน OPD CARD ทุกราย และไม่อนุญาตให้พยาบาลเป็นผู้สั่งยาผู้ป่วยด้วย

ส่วนประเด็นการจัด ซื้อยานอกบัญชียาหลัก 2 รายการ คือ ROSUVASTATIN (CRETOR หรือยาลดไขมัน) และ ESOMEPRAZOLE (NEXIUM หรือยาลดการหลั่งกรด) ที่มีการตรวจสอบพบยอดการสั่งซื้อมูลค่า 120 ล้านบาท ตามที่เป็นข่าวไปนั้น ข้อเท็จจริงเป็นข้อมูลที่รวมยอดการสั่งซื้อ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2551-2553 เฉลี่ยปีละ 40 ล้านบาท โดยมียอดสั่งซื้อจริงดังนี้ ยาลดไขมัน CRESTOR ปี 2551ซื้อ14,632,757 บาท ปี 2552 ซื้อ 18,662,990 บาท ปี 2553 21,052,208 บาท ส่วนยาลดการหลั่งกรด NEXIUM ปี2553 ซื้อ 10,701,138 บาท ปี 2552 ซื้อ 14,718,467 บาท และปี 2553 ซื้อ 13,576,015 บาท

ซึ่งการสั่งซื้อดัง กล่าวก็ได้สอดคล้องกับจำนวนและบริมาณคนไข้ที่ใช้ยานี้ โดยมีผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ ในปี 2553 ผู้ป่วยนอก 671,914 ราย ผู้ป่วยใน 90,216 ราย เป็นอันดับ 2 ของประเทศ และยังมีจำนวนแพทย์เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลใกล้เคียงกันน้อยกว่า ภาระงานที่ตรวจคนไข้เยอะกว่าโดยเฉพาะจำนวนยอดการสั่งซื้อยาที่แพทย์เป็นคน เซ็นจ่ายยาก็ต้องมากกว่า เนื่องจากภาระแพทย์ที่ต้องรับผิดชอบแต่ละรายสูงกว่า

สำหรับการสั่ง ซื้อยาทั้ง 2 รายการที่กล่าวมาแล้วข้างตน โรงพยาบาลได้ดำเนินการจัดซื้อยาในรูปของคณะกรรมการ โดยวิธีการประกวดราคาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธี การทางอิเล็กทรอนิกทุกประการ โดยจำนวนแพทย์ปี 2551 มี 138 คน ปี 2553 มี 161 คน เพิ่มขึ้นประมาณ 16% แต่ยอดสั่งซื้อยาปี2553 เพิ่มขึ้น 12.8% ในขณะเดียวกันยอดยาที่สั่งซื้อกลุ่มยาบดกรด ลดลง 7.8% ขณะที่ผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น 6% ผู้ป่วยในเพิ่มขึ้น 3% และแพทย์เพิมขึ้น 16% จึงเห็นได้ว่าการใช้ยาไม่ได้มากเกินความจำเป็นเลย

โดยภายหลังมี ข่าวตามที่ดีเอสไอแถลงต่อสื่อมวลชนไปแล้วนั้น แพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ก็ไม่ได้มีการเสียขวัญกำลังใจแต่อย่างใด ยังคงทำงานด้วยความมุ่งมั่นต่อไปโดยเน้นผลการรักษาคนไข้เป็นหลักไม่ได้เน้น เรื่องผลกำไรขาดทุน เพราะโรงพยาบาลมีหน้าที่ช่วยเหลือและรักษาประชาชน ซึ่งต้องรอผลสอบข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการตรวจสอบต่อไป เพราะที่ดีเอสไอแถลงออกมาเป็นเพียงส่อในทางทุจริตเท่านั้นและทุกข้อกล่าวหา ทางโรงพยาบาลก็สามารถชี้แจ้งได้ทั้งหมด

ไทยรัฐ
15 เมย 2554