ผู้เขียน หัวข้อ: นมัสเต...อินเดีย วันแรมทางกลางนครสีชมพู  (อ่าน 862 ครั้ง)

pani

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 756
    • ดูรายละเอียด
นมัสเต...อินเดีย วันแรมทางกลางนครสีชมพู
« เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2016, 18:48:54 »
เมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ผมเพิ่งไปเที่ยวอินเดีย 5 วัน 5 คืนกับกลุ่มเพื่อน โดยเราไปเที่ยวที่อัครา ชัยปุระ และเดลี กันมา สมาชิกร่วมก๊วนในครั้งนี้ต่างมีเป้าหมายในการมาเที่ยวต่างกัน บางคนอยากมาเห็นทัชมาฮาล บางคนอยากไปเยือนชัยปุระ-นครสีชมพู แต่สำหรับผม จุดมุ่งหมายในการขอไปเยือนเมืองแขกซักครั้งนั้นเพราะว่าผมเป็นคนที่ชอบอาหารแขกมาก เลยอยากลองไปกินแบบต้นตำรับแท้ๆ ถึงถิ่นว่ารสชาติจะเป็นยังไง ส่วนการได้มาเที่ยวนั้นถือซะว่าเป็นผลพลอยได้

        เหินฟ้าสู่ดินแดนภารตะ มุ่งสู่อัครา
       พวกเราลงเครื่องที่เดลีก่อนจะเดินทางไปอัครา เพื่อความสะดวกพวกเราเช่ารถพร้อมคนขับตลอดทั้งการเดินทาง ซึ่งทำให้ชีวิตดีมากกกก เพราะกำหนดตารางการเดินทางได้เอง ออกสายก็ไม่ต้องกลัวตกรถ อ้อ แล้วเวลาเปิดปิดสถานที่ท่องเที่ยวของพี่แขกนี่ก็ฮาดีนะ แทนที่จะบอกว่าเปิดกี่โมงถึงกี่โมง พี่แกเล่นบอกเวลาทำการว่า Sunrise to Sunset ถ้าไม่คุ้นจะรู้สึกยากกับการจัดตารางเที่ยวเล็กน้อย

        เส้นทางระหว่างเดลีไปอัคราโดยมากมีสภาพเป็นท้องทุ่งนา มีโรงเผาอิฐเห็นเป็นปล่องควันสูงๆ เป็นระยะๆ บางครั้งก็เจอไร่มัสตาร์ดเล็กๆ สีเหลืองสดกลางทุ่ง บางครั้งอยู่ดีๆ ก็เจอโรงเรียนโผล่ขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว และเห็นกลุ่มเด็กนักเรียนตัวน้อยในเครื่องแบบกำลังเดินตามกันบนทางเล็กๆ กลางทุ่งนั้นไปโรงเรียน
       
       สภาพบนท้องถนนนี่เรียกได้ว่าวุ่นวายดีแท้ เบียดกันไปแทรกกันไปปาดกันไป คนนึกจะข้ามถนนก็ข้ามกัน บางทีวัว ลา อูฐ ก็ขึ้นมาเดินเล่นนอนเล่น คนขับก็ต้องหลบให้ดีๆ เสียงแตรดังสนั่น นั่งรถไปก็เกร็งเสียวกันไปตลอดทาง

        ทัชมาฮาล
       แวบแรกที่ได้เห็นทัชมาฮาล ความรู้สึกคือขนลุก ตื้นตัน ประทับใจ ไม่ใช่ด้วยความยิ่งใหญ่สวยงามอย่างเดียวนะ แต่เพราะนี่มันคือสถานที่ระดับโลกที่เราเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ จนวันนี้มันอยู่ตรงหน้าเราแล้ว ไปถึงที่นั่นประมาณสี่โมงครึ่ง ถ่ายรูปกำลังสวยเลย เราก็พยายามเก็บภาพคู่กับทัชมาฮาลกัน ซึ่งการเอาตัวรอดและช่วงชิงทรัพยากรต่างๆ ในเมืองแขกนี่ใจต้องแข็งจริงๆ ตรงมุมมหาชนมีคนออกันรอคิวถ่ายรูปอยู่มากมาย แรกๆ เราก็คิดจะรอตามคิว ปรากฏว่าพอเหมือนจะถึงคิวเรา ก็จะมีคนอื่นเบียดแทรกเข้าไปยืนถ่ายกันเฉย เลยไม่สนแล้ว ดูจังหวะดีๆ เข้าได้คือเข้าไปเลย ที่หนักกว่าคือบางทีต่อให้เรากำลังถ่ายรูปอยู่ตรงนั้นแล้ว ก็จะมีคนมายืนจะถ่ายรูปของตัวเองด้วยจนบังเราหรือเข้ามาในเฟรมเราเหมือนกัน เอากับพี่แกสิ

        สถาปัตยกรรมของทัชมาฮาลนี่สวยงามจริงๆ ที่ชอบมากคือสีสันลวดลายดอกไม้ต่างๆ ที่เกิดจากการแซะหินอ่อนให้เป็นร่องรูปร่างที่ต้องการ แล้วเอาหินสีต่างๆ ฝังลงไปในร่องนั้นและใช้กาวชนิดพิเศษยึดไว้ก่อนที่จะขัดผิวหน้าให้เนียนเรียบอีกที ซึ่งเป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ทักษะ ความอดทน และกำลังคนจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีการตกแต่งด้วยหินอ่อนแกะสลักสวยๆ อีกมากมาย

        ชัยปุระ
       ด้วยความที่เป็นเมืองหลวงของรัฐราชสถาน ความเจริญต่างๆ ก็มีเป็นธรรมดา ตึกรามบ้านช่องใหญ่โต ย่านการค้าครึกครื้น ผังเมืองสวยงาม ถนนกว้างขวาง ถึงคนจะเยอะรถจะแยะ แต่มันดูไม่วุ่นวายเท่ากับเดลี ชัยปุระได้ชื่อว่านครสีชมพูจากตึกรามบ้านช่องในเขตเมืองเก่าที่ทาด้วยสีชมพูทั้งหมด เนื่องมาจากเมื่อปี 1876 มหาราชาที่ครองนครในยุคนั้นมีรับสั่งให้ประชาชนทาอาคารบ้านเรือนต่างๆ ให้เป็นสีชมพูทั้งหมดเพื่อต้อนรับเจ้าชายจากอังกฤษ ภายหลังรัฐบาลได้ออกกฎหมายให้อาคารบ้านเรือนในเขตเมืองเก่าต้องทาสีชมพูเพื่อคงเอกลักษณ์นี้ไว้ แต่เอาจริงๆ แล้วสีชมพูที่ว่ามันก็ไม่ได้ชมพูหรอก มันคือสีดินเหนียวออกส้มๆ น้ำตาลๆ ซึ่งเป็นสีที่แสดงถึงการต้อนรับและไมตรีจิตของเขา แต่ทำไมสมัยนั้นเขาถึงเรียกสีชมพูอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ

       Hawa Mahal เป็นส่วนหนึ่งของ City Palace มีลักษณะเป็นเหมือนตึกแถวสูงๆ สร้างจากหินทรายสีแดงและสีชมพู มีหน้าต่างมากมายเกือบหนึ่งพันบาน สวยงามและสง่ามาก เลียนทรงมาจากมงกุฎของพระวิษณุ พี่ไกด์บอกว่ามีไว้ให้เหล่านางสนมขึ้นมาแอบส่องดูความเป็นไปของชาวเมืองผ่านช่องหน้าต่างโดยที่คนข้างนอกมองเข้ามาไม่เห็น
       
       หลังจากนั้นเราก็ไป Amber Fort หรือ Amer Fort ซึ่งต้องออกนอกตัวเมืองไปประมาณสิบกิโลเมตร โดยเป็นป้อมและวังบนภูเขา เมื่อใกล้ถึงเราจะเริ่มเห็นตัววังตระหง่านอยู่บนเนินเขา ซึ่งตัดกับท้องฟ้าสีสดใสเป็นฉากหลัง และด้านหน้าเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่สะท้อนภาพตัวป้อมและวังทอดในเงาน้ำสวยมาก ระหว่างทางเจอหมองูแขกมาโชว์เป่าปี่สะกดงูให้ดูด้วย เคยเห็นแต่ในการ์ตูนขายหัวเราะสมัยก่อน จู่ๆ ก็ได้มาเห็นของจริง สนุกดีจัง วิวจากข้างบนป้อมสวยมาก ตัวอาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆ ก็สวยงาม เช่น ตำหนักที่ตกแต่งด้วยกระจกทั้งหลัง ประตูพิฆเนศวร ซึ่งความพิเศษคือสีที่ใช้ระบายลวดลายต่างๆ นั้นผสมอัญมณีบดละเอียดสีนั้นๆ ลงไปด้วย


       Baori หรือ Stepwell คือบ่อน้ำใหญ่ เป็นภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนในการขุดเจาะน้ำบาดาลไว้ใช้และทำเป็นบันไดเพื่อลงไปเอาน้ำได้ ซึ่งเป็นการผสมผสานภูมิปัญญาด้านสถาปัตยกรรมเอาไว้ และใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจพบปะเพื่อนฝูงได้อีกด้วย
       Chand Baori นั้นเป็น Baori ที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งอยู่แถวๆ ชัยปุระ ซึ่งพวกเราอยากแวะไปดูก่อนกลับแต่พบว่ามันต้องย้อนกลับไปอีกทาง ต้องเสียเวลาเพิ่มอีกกว่า 4 ชั่วโมง พวกเรากำลังจะตัดใจมุ่งหน้ากลับเดลีอยู่แล้วเชียว จู่ๆ พี่คนขับแกก็นึกได้ว่ามันมี Baori เล็กๆ แถวนี้อยู่เลยพาพวกเราไปดู ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากนัก ตอนที่เราไป ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลย น้ำในบ่อเป็นสีเขียวสดใสจากพวกตะไคร่และสาหร่าย มีเศษขยะลอยอยู่เล็กน้อย โชคดีมากที่บ่อน้ำที่นี่เล็กและคนมาไม่มาก ทำให้เราสามารถลงไปได้ถึงชั้นล่างสุดโดยที่ไม่มีอะไรมากั้นเหมือนที่ Chand Baori นั่งมองไปก็นึกถึงสมัยโบราณ ที่ตรงนี้คงครึกครื้นเป็นศูนย์รวมของชาวบ้านแถบนี้ แต่พอมีระบบประปาแล้ว สถานที่นี้ก็เลยถูกทิ้งร้างไป

        เก็บตกก่อนกลับ
       ยอมรับว่าอังกฤษมาสร้างและวางผังเมืองไว้ให้ดีจริงๆ ถนนกว้างขวางเป็นระเบียบ มีต้นไม้ใหญ่ ตึกทรงสวยงาม พูดถึงอินเดียแล้วจะไม่พูดถึงการซื้อของนี่ไม่ได้เลย ทักษะการขายของของพ่อค้าแม่ค้าที่นี่คือปลิงเรียกพ่อ ไก่เรียกแม่ คือทั้งเกาะติด ทั้งจิกลูกค้าแบบสุดยอด แค่เดินผ่านแล้วเรียกนี่ยังนับว่าธรรมดา บางทีถามราคาแล้วไม่เอานี่พี่แกถือของเดินตามจิกเป็นสิบนาทีเลยนะ ถ้าเราไม่สนก็เดินกลับไป แล้วกลับมาใหม่พร้อมสินค้าชิ้นใหม่ที่พยายามนำเสนอเผื่อถูกใจอีก ระดับหนักสุดคือเดินผ่านเฉยๆ ไม่ได้มองด้วยซ้ำแต่กลับเข้ามาเสนอสินค้าเอง แล้วก็เดินตามเรื่อยๆ เสนอราคามาให้แล้วก็ลดให้เอง ผมเจอคนมาเสนอขายแส้หนังด้วยวิธีนี้ จากตอนแรก 1,500 รูปี เดินตามเรามาเรื่อยๆ ลดไปลดมาเหลือ 150 รูปี คือประมาณ 80 กว่าบาท ตื๊อจนเพื่อนผมแนะนำว่าซื้อๆ ไปเถอะ แล้วเอามาฟาดใส่ตาพ่อค้านี่แหละฐานที่ตื๊อดีนัก 5555 ที่อินเดียนี่น่าซื้อของมาก เพราะราคาถูกจริงๆ ของสวยๆ ดีๆ มันก็มีเยอะแยะ บางอย่างมันลดได้จนถูกเหลือเชื่อ จนแอบคิดไม่ได้ว่าคนผลิตต้นน้ำเขาจะได้กำไรหรือค่าแรงเท่าไหร่เนี่ย


        แล้วพบกันใหม่
       การมาเที่ยวครั้งนี้ได้เปิดประสบการณ์ ภาพลักษณ์ ความเข้าใจใหม่ๆ เกี่ยวกับอินเดียให้กับพวกผมมาก การมารู้มาเห็นด้วยตัวเองมันยิ่งทำให้ภาพต่างๆ ชัดขึ้นว่า จริงๆ มันก็ไม่ได้ลำบากหรือน่ากลัวอะไรขนาดนั้น แต่ก็เข้าใจนะว่าการเดินทางโดยรถยนต์และมาเที่ยวแต่ในย่านเจริญในหัวเมืองใหญ่ ทำให้เราได้เจอแต่ความสะดวกสบายเสียเป็นส่วนมาก อาจจะยังไม่ได้สัมผัสอินเดียจริงๆ ครบทุกแง่มุมซึ่งยังมีอะไรมากกว่านี้อีกเยอะ สำหรับผมสิ่งที่ได้จากการมาอินเดียอีกอย่างคือการได้มาเห็นร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีตทั้งที่ยังคงสภาพและที่ทรุดโทรมไปแล้ว มันทำให้เราอดทึ่งถึงความยิ่งใหญ่และความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักรโบราณที่เคยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ไม่ได้ว่า ครั้งหนึ่งที่แห่งนี้เคยเป็นที่ที่มีความศิวิไลซ์อันดับต้นๆ ของโลก และยิ่งเข้าใจถึงคำว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มากขึ้นไปอีก ที่แห่งนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่ดึงดูดให้ผมกลับมาเรียนรู้ ค้นหา
       
       แล้วพบกันใหม่นะ...อินเดีย


โดย Marsmag    24 ธันวาคม 2558