ผู้เขียน หัวข้อ: ฟ้อง รพ.เอกชนชื่อดัง ตรวจเลือดผิดบอกติด “เอชไอวี” รักษา 4 ปี สุดท้ายไม่ใช่  (อ่าน 1492 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9759
    • ดูรายละเอียด
ผู้ป่วยฟ้องร้อง รพ.เอกชนชื่อดัง ตรวจเลือดผิด ผลแล็บชี้ติดเชื้อ “เอชไอวี” ทนรักษานานกว่า 4 ปี ผลสุดท้ายกลับไม่ใช่ แฉแพทย์อ้างร่างกายผู้ป่วยล้างเชื้อเอชไอวีได้ ด้าน “ปรียนันท์” เผยอยู่ระหว่างกระบวนการฟ้องร้อง ชี้ มี พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหาย ช่วยป้องกันฟ้องร้องได้
       
       นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุถึงความผิดพลาดของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่ทำการตรวจเลือดในห้องปฏิบัติการ แต่ตรวจผิดว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี จนนำไปสู่การฟ้องร้อง และเบื้องต้นศาลได้ตัดสินว่าแพทย์มีความผิด จนต้องจ่ายค่าเสียหาย แต่ปรากฏว่า รพ.เอกชน กลับไม่มีความผิดใด ๆ
       
       ทั้งนี้ นางปรียนันท์ กล่าวว่า เรื่องนี้สืบเนื่องจากมีผู้ป่วยมาร้องเรียนว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตรวจเลือดผิด พบว่า เป็นเอชไอวี และรับประทานยาต้านไวรัสมาโดยตลอด จนมาทราบภายหลัง ว่า ไม่ใช่ ขณะที่แพทย์โรงพยาบาลนี้ กลับให้คำตอบว่า เป็นเพราะร่างกายผู้ป่วยล้างเชื้อเอชไอวีได้เอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลย จึงนำไปสู่การฟ้องร้อง ส่วนการวินิจฉัยที่ออกมาว่าเป็นความผิดแพทย์นั้น มองว่า เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับผลแล็บที่ออกมา จึงถือเป็นความรับผิดชอบของโรงพยาบาลโดยตรงด้วย อย่างไรก็ตาม กรณีแพทย์นั้นเบื้องต้นได้หารือกับทางผู้เสียหายเห็นว่า ไม่ร้องต่อแพทยสภา เนื่องจากคงไม่มีประโยชน์
       
       นางปรียนันท์ กล่าวอีกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มาตรฐานการตรวจ มาตรฐานห้องแล็บเป็นอย่างไรกันแน่ ทั้งที่ผลแล็บเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะส่งผลต่อชีวิตของคนไข้ โดยเฉพาะเชื้อเอชไอวีที่รักษาไม่หาย เมื่อคนไข้รู้ผลย่อมเกิดความทุกข์และทรมานจิตใจ ไม่กล้าแม้แต่จะไปตรวจซ้ำที่อื่นเพราะอับอาย กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะเป็น รพ.เอกชนชื่อดัง ก็ผิดพลาดได้ แต่เมื่อผิดพลาดแล้วกลับไม่มีความรับผิดชอบ ต้องให้ผู้เสียหายไปฟ้องศาลเอาเอง ซึ่งขณะนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว คงปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ซึ่งยังต้องสู้กันต่อไปในชั้นอุทธรณ์ และฎีกา ไม่รู้อีกกี่ปีจึงจะสิ้นสุด เฉพาะศาลชั้นต้นก็ 3 ปีกว่าแล้ว ทั้งนี้ หากมี พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหายฯ เชื่อว่า กรณีนี้จะจบลงอย่างรวดเร็วภายใน 1 ปี และความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้กับโรงพยาบาลก็คงไม่ไปจบลงที่การฟ้องร้องแน่นอน แต่ขณะนี้ไม่มีจึงอยากวิงวอนถึง รมว.สาธารณสุขคนใหม่ ผลักดันนำร่าง พ.ร.บ. เข้า ครม. ในเร็ววัน เพื่อลดปัญหาการฟ้องร้อง
       
       ด้านผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหาย กล่าวว่า รู้สึกเสียใจและเสียความรู้สึกกับระบบเช่นนี้ เนื่องจากไปตรวจเลือด และพบว่าติดเชื้อเอชไอวี และเข้าใจเช่นนี้มาเป็นเวลา 4 ปี โดยไม่กล้าไปตรวจซ้ำที่อื่น ซึ่งตอนนั้นเพิ่งเลิกกับสามี ซึ่งค่อนข้างเจ้าชู้เลยเข้าใจว่าอาจติดจากสามีหรือไม่ แต่พอช่วงหลัง ๆ สังเกตอาการตัวเองแล้วทำไมถึงสุขภาพยังดีอยู่ จนมาตรวจกับแพทย์อีกท่านที่โรงพยาบาลเดิม กลับพบว่า ไม่มีเชื้อเอชไอวี และได้รับคำตอบจากโรงพยาบาล ว่า ร่างกายตนเองสามารถทำลายเชื้อเอชไอวี หากเป็นเช่นนั้นจริง ทั่วโลกคงมาเอาเลือดไปทำยาแล้ว ซึ่งรู้สึกว่าโรงพยาบาลปัดความรับผิดชอบมาก กรณีแบบนี้เป็นการละเมิดสิทธิอย่างมาก

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 กันยายน 2558

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9759
    • ดูรายละเอียด
รองเลขาธิการแพทยสภาโพสต์เฟซบุ๊ก ชี้เคสผลแล็บ “เอชไอวี” ผิด ต้องพิจารณารอบด้าน ตั้งข้อสังเกตแพทย์แปลผลผิด ห้องแล็บบอกผลผิด หรือภาวะบวกเทียมทางแล็บ ระบุต้องมีผู้รับผิดชอบ แต่หากผลบวกจริงแล้วเป็นลบ ถือเป็นความหวังของผู้ป่วยเอดส์ แพทย์เผยโอกาสตรวจเลือดเป็นบวกแล้วเป็นลบมี แต่น้อยราย แต่ยันร่างกายกำจัดเชื้อเองไม่ได้
       
       พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณี นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ เปิดเผยเรื่องมีผู้ป่วยฟ้องร้อง รพ.เอกชนชื่อดัง หลังผู้ป่วยรายนั้นไปตรวจการติดเชื้อเอชไอวีแล้วพบผลเป็นบวก คือ ติดเชื้อ และทำการรักษาด้วยยาต้านไวรัสนานกว่า 4 ปี สุดท้ายกลับไม่ได้ติดเชื้อ ว่า ข้อเท็จจริงที่น่ารู้ก่อนฟ้อง คือ การตรวจเลือดและรายงาน เป็นงานของนักเทคนิคการแพทย์ในห้องแล็บ ซึ่งแพทย์ต้องรักษาตามผลแล็บที่รายงานมา รายนี้จึงต้องตรวจสอบว่าผลบวกครั้งแรกเป็นการรายงานออกจากแล็บ หรือการแปลผลบวกผิดพลาดจากแพทย์ ซึ่งการร้องเรียนเพื่อตรวจสอบแพทย์นั้นสามารถทำได้
       
       ทั้งนี้ มีข้อสังเกตคือ 1. ถ้าห้องแล็บบอกว่าผลเป็นลบ แล้วแพทย์แปลผลผิดพลาดว่าเป็นบวก และรักษา ซึ่งผิดมาตรฐาน แพทย์จะต้องรับผิดชอบ 2. ถ้าห้องแล็บบอกว่าผลเป็นบวก แพทย์แปลผลตามเป็นบวก และรักษา ถือว่าแพทย์รักษาตามมาตรฐาน 3. ถ้าห้องแล็บบอกว่าผลเป็นบวก แต่จริง ๆ ผลเป็นลบในครั้งแรก และอีก 4 ปีต่อมาผลเป็นลบนั้น อาจเกิดได้จากการรายงาน “ผิด” ด้วยเหตุต่าง ๆ ทางเทคนิคที่ต้องสืบค้นข้อมูลว่าความผิดพลาดอยู่ที่ใด และ 4. ถ้าห้องแล็บบอกว่าเป็นบวก และพิสูจน์พบว่าผลก็เป็นบวกจริงตามมาตรฐานในครั้งแรก และอีก 4 ปีต่อมาผลเป็นลบนั้น อาจเกิดจากการรายงาน “ถูกต้อง” แต่เป็นภาวะบวกเทียมทางแล็บ หรือเป็นภาวะบวกจริง ๆ จากสภาวะผู้ป่วยเอง เพราะเวลานานอาจมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปี อาจได้รับยาและรักษาอะไรมาบ้างหรือไม่ ซึ่งต้องใช้หลักฐานประกอบอื่นๆ เช่น ผลเลือดตรวจจำนวนไวรัสอื่น ๆ ก่อนตัดสินข้อเท็จจริง
       
       กรณี 3 และ 4 จะอยู่ในความรับผิดชอบของห้องแล็บ และนักเทคนิคการแพทย์ สามารถตรวจสอบมาตรฐานของแล็บได้ โดย สธ. และสภาเทคนิคการแพทย์ ไม่ใช่แพทยสภา ตามข่าวรายนี้คาดว่าผลแล็บออกมาว่าบวก คือ “เป็นเอชไอวี” ปกติแพทย์ต้องรักษาให้ยาตามมาตรฐาน ถ้าพบแพทย์รายนี้ข้อมูลไม่ชัดว่าได้รับการรักษาอย่างไรหรือไม่ จน 4 ปี มาตรวจซ้ำผลแล็บว่าลบ คือ “ไม่เจอ” ซึ่งน่าจะถือเป็นโชคดีของคนไข้ ถ้าเป็นจริง น่าสนใจบทสรุปว่า 1. ผลเลือดบวกนี้เป็นความพลาด (Medical Error) ทางเทคนิค ที่ต้องมีผู้รับผิดชอบ หรือเป็นเรื่องจริงทางการแพทย์ที่คนไข้เคยบวก แล้วกลับลบได้ ซึ่งเป็นความหวังของคนไข้เอดส์ทุกคน 2. สุดท้ายจะเป็นความรับผิดชอบของใคร 3. คดีเรียกร้องค่าเสียหายทุกข์ใจจะจบลงอย่างไร
       
       ด้าน พญ.นิตยา ภานุภาค พึ่งพาพงศ์ หัวหน้าหน่วยป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า การตรวจเชื้อเอชไอวีมีอยู่ 2 วิธี คือ 1. การตรวจหาภูมิต้านทานเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะมีหลายรุ่น แต่จะใช้เวลาหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 2 - 3 สัปดาห์ และ 2.การตรวจหาเชื้อเอชไอวีโดยตรงด้วยวิธีแนต (Nucleic Acid Amplification Testing : NAT) จะตรวจได้เร็วหลังรับเชื้อประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ ซึ่งการตรวจทั้ง 2 ประเภทจะมีแม่นยำอยู่แล้ว ทั้งนี้ โดยปกติแล้วหากตรวจครั้งแรกให้ผลเลือดเป็นบวก จะต้องมีการตรวจซ้ำอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน จึงจะสามารถยืนยันผลได้ว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการผิดพลาดนั้นเป็นไปได้ เช่น การตรวจเลือด 3 ครั้ง ให้ผลยืนยันเป็นบวกทั้งหมด แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปกลับไม่พบว่าผู้ป่วยป่วยจริง ๆ ซึ่งเรื่องแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ แต่โอกาสเกิดขึ้นมีน้อย 1 ในหมื่นหรือแสนคน
       
       “กรณีตรวจพบ แล้วภายหลังตรวจไม่พบ ปัญหาไม่ได้มาจากชุดตรวจ แต่เป็นเรื่องของตัวคนเป็นหลัก เช่น เลือดของผู้ป่วยสลับกัน การอ่านค่าผิด หรือตรวจเพียง 1 - 2 ครั้ง พอให้ผลเลือดเป็นบวกแล้วก็แจ้งคนไข้เลย ไม่ได้มีการตรวจซ้ำก่อน” พญ.นิตยา กล่าวและว่า สำหรับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีจริง ๆ หากไม่ได้รับยาต้านไวรัสเลย บางรายจะเริ่มมีอาการป่วยในระยะ 5 - 6 ปี โดยเฉลี่ย อาการที่พบคือมีผื่น มีตุ่มขึ้นตามตัว เชื้อราในช่องปาก งูสวัด อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ป่วยร้อยละ 5 ที่ไม่แสดงอาการใด ๆ เลย แต่ขณะเดียวกัน ก็มีผู้ป่วยร้อยละ 5 - 10 แสดงอาการแบบเต็มรูปแบบได้อย่างรวดเร็ว
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ร่างกายของผู้ป่วยสามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีออกไปได้เอง พญ.นิตยา กล่าวว่า สมัยก่อนเราไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่ที่ผ่านมามีการศึกษาวิจัยพบว่า กรณีผู้ที่เพิ่งได้รับเชื้อเอชไอวีมาใหม่ ๆ ยังไม่ถึงเดือน แล้วให้รับประทานยาต้านไวรัสติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน พอมาตรวจเลือดซ้ำหลังจากนี้ก็พบเชื้อลดลงมาก แทบไม่เจอ แต่พอให้หยุดรับประทานยาต้านไวรัส แล้วมาตรวจซ้ำอีกครั้งก็พบว่าเชื้อยังอยู่ในร่างกายเหมือนเดิม ดังนั้น ข้อมูลทุกวันนี้จึงยังไม่พบว่าร่างกายคนเราสามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีออกไปได้เอง


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    10 กันยายน 2558

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9759
    • ดูรายละเอียด
นายกแพทยสภาชี้ ตรวจ HIV มีโอกาสเกิด “ผลบวกปลอม” ได้
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 11 กันยายน 2015, 09:46:26 »
กรณี เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ออกมาเปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายคนหนึ่ง โดยผู้เสียหายได้เข้ารับการตรวจเลือดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคใต้ ซึ่งได้รับการตรวจวินิจฉัยว่ามีเชื้อเอชไอวี (HIV) ทำให้ผู้ป่วยเข้าใจเช่นนั้นมาตลอด 4 ปี กระทั่งผู้ป่วยสังเกตอาการตัวเองพบว่าสุขภาพร่างกายยังคงแข็งแรงอยู่ จึงตัดสินใจไปตรวจรอบ 2 กับแพทย์อีกท่านที่โรงพยาบาลเดิม กลับไม่พบเชื้อเอชไอวี เมื่อถามไปยังโรงพยาบาล กลับได้รับคำตอบจากแพทย์ว่า ร่างกายผู้ป่วยขับเชื้อออกไปเอง โดยเรื่องนี้ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว

ทั้งนี้ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา เปิดเผยกับทางสปริงนิวส์ว่า จะใช้ว่าวินิจฉัยผิดพลาด เป็นความผิดของโรงพยาบาลดังกล่าวนั้น ไม่ได้ เพราะน้ำยาตรวจเอดส์มันมีความไวสูงมาก ถ้าคนเป็นร้อยละ 99.9 ต้องตรวจเจอ และมันมีโอกาสเกิดผลบวกปลอมได้ เทียบประมาณ 1 ใน 1,000 หรือ 10,000 จึงต้องเช็คโดยวิธีอื่น ในการเจาะครั้งหนึ่ง แพทย์จะตรวจ 3 วิธี แต่ก็ยังมีโอากาสพลาดได้ ตามหลักการคือถ้าตรวจครั้งแรกมีผลเป็นบวก โดยพบว่าไม่มีตนเองอาการอะไร ต้องมาตรวจซ้ำอีก ถ้าเกิดมาตรวจซ้ำๆแล้วให้ลองเปลี่ยนโรงพยาบาล เพราะน้ำยาที่ใช้ตรวจอาจเป็นคนละชนิดกัน เพราะในแง่ของเทคโนโลยีปัจจุบันยังก็ยังไม่ 100% แต่ถือว่าดีกว่าเมื่อสมัยก่อน

ซึ่งในปัจจุบัน หากรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ตัวยาสามารถทำให้เชื้อหายไปได้แม้อาจจะไม่หายจริง โดยเวลาตรวจเลือดแล้วจะไม่พบเชื้อ แต่หากหยุดยาไปเชื้อก็อาจกลับมาใหม่


10 กันยายน 2015
http://www.springnews.co.th/social/237003