ผู้เขียน หัวข้อ: ยังไม่จบ!"หม่อมโจ้"เขียนจม.ตอบทูตอิสราเอลชี้ต้องเปิดความจริง ช่วยคนไทยพ้นภาวะทาส  (อ่าน 2947 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9742
    • ดูรายละเอียด
ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร หรือ หม่อมโจ้ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกตอบโต้เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว หลังจากที่ทูตอิสราเอลเขียนตำหนิหม่อมโจ้ ในกรณีโพสต์ข้อความปกป้องอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำเผด็จการเยอรมนี ในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีเนื้อหา ดังนี้


เรียน ท่านเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย H.E. Mr. Simon Roded

ข้าพเจ้ารับทราบถึงความไม่พอใจของท่านกับบทความของข้าพเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ข้าพเจ้าได้เขียน เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจ อันเป็นสิทธิที่ข้าพเจ้าจะแสดงได้ โดยความเห็นของข้าพเจ้านั้น เป็นไปตามข้อมูลหลักฐานอันมีจริงทางประวัติศาสตร์ที่ได้มีความพยายามในการกลบและบิดเบือน

แม้กระนั้น ท่านอาจแปลกใจคิดว่า แล้วไฉนทั้งที่ข้าพเจ้าและประเทศไทยที่ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ข้าพเจ้าจึงต้องไปเขียนในเรื่องราวสร้างความบาดหมางให้แก่ท่าน ข้าพเจ้าจึงใครที่จะชี้แจงตรงนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพื่อที่จะก่อความบาดหมางให้แก่ท่านหรือแก่ผู้ใด และ เรื่องราวที่ข้าพเจ้าเขียนนั้น มีความเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าและและต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง

อย่างแรก ‘กลุ่มทุนธนาคารยิว Zionist’ ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ากล่าวถึงคนเพียงกลุ่มหนึ่ง มิใช่ชาวยิวทั้งหมด โดยคำว่า ‘Zionist’ แม้แต่ชาวยิวแท้ Orthodox Jews ที่ยึดมั่นใน Torah จำนวนมากก็ไม่ได้เห็นด้วยเลย ดังที่พวกเขาได้ออกมาประท้วง ประกาศว่า ‘Zionism’ ไม่ใช่ ‘Judaism’ เอง ท่านทูตน่าจะพอทราบอยู่ เพราะใน Israel ก็มีการจับชาวยิวแท้ ที่มีอัธยาศัยดีเหล่านี้ ไปจำคุกอยู่จำนวนหนึ่ง

‘ทุนธนาคาร Zionist’ ที่ข้าพเจ้าพูดถึง หมายถึงกลุ่มทุนธนาคารที่เป็นผู้มีอำนาจที่สุดในโลก มีอำนาจเหนือรัฐหลายรัฐ รวมถึงมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา เขาคุมการเงินโดยกลุ่มของเขาเอง เป็นเจ้าของ Federal Reserve Bank ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่พิมพ์เงินให้รัฐบาลสหรัฐต้องกู้ มิใช่ของประชาชนชาวอเมริกันตามที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด กลุ่มทุนธนาคารของเขาเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทยักษ์ใหญ่แทบทั้งสิ้นทั่วโลก รวมถึง 6 บริษัทที่คุม 90%ของสื่อในสหรัฐอเมริกา เขาคุมแหล่งนํ้ามันและก๊าซหลักๆทั่วโลก และกำลังรุกเพื่อควบคุมผูกขาดอาหารของโลกโดยการผลิต GMO แม้แต่องค์กรโลกเช่น UN ที่ให้กำเนิด World Bank และ IMF ล้วนเป็นองค์กรที่พวกเขาจัดตั้งขึ้น และควบคุมทั้งสิ้น

ชื่อตระกูลที่โดดเด่นมีอิทธิพลสูงสุดใน ‘ทุนธนาคาร Zionist’ นี้ได้ แก่ ‘Rothschild’ และ ‘Rockefeller’ ชื่อ ‘Rothschild’ ท่านทูตย่อมรู้จักเป็นอย่างดี

โดยใน ‘Independence Hall’ ที่ Tel Aviv เมืองหลวงของท่านเอง ก็มีนิทรรศการเอกสารชิ้นสำคัญมากชิ้นหนึ่งเรียกว่า ‘The Balfour Declaration’ เป็นจดหมายจากรัฐบาลอังกฤษ จ่าหัวถึง ‘Lord Rothschild’ ใน 1917 แสดงถึงการที่รัฐบาลอังกฤษสนับสนุนให้เกิด บ้านอยู่ (national home) ของชาวยิว ที่ Palestine แก่ ‘Lord Rothschild’ Baron Edmond (Abraham Benjamin) Rothschild จึงมีสถานะเป็น "the Father of the Settlements" (Avi ha-Yishuv) หรือบิดาแห่งอิสราเอล

ในสี่บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก หรือ ‘The Four Horsemen of Oil’ ที่อยู่เบื้องหลังนโยบายการครอบครองน้ำมันของสหรัฐ 2 บริษัท คือ BP Amoco และ Royal Dutch/Shell อยู่ภายไต้การควบคุมของตระกูล Rothschild ที่ถือหุ้นใหญ่ ส่วน อีกสอง Exxon Mobil และ Chevron คือ บริษัทที่มาจาก Standard Oil ของ John D. Rockefeller โดยกรรมการของบริษัทน้ำมันเหล่านี้จำนวนหนึ่ง ไขว้กันเองเป็นใย และไขว้เป็นกรรมการของธนาคารยักษ์ใหญ่เช่น JP Morgan Chase ของ Rockefeller และ Citigroup, Bank of America, Wells Fargo, N. M. Rothschild & Sons โดยตระกูล Rothschild ควบคุม และมีการเชื่อมโยงถือหุ้นไขว้กันกับกลุ่มทุนนอมินียักษ์เช่น BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ที่ถือหุ้นใหญ่บริษัทยักษ์ใหญ่ แทบทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย

ในการสร้างอำนาจเหนือรัฐต่างๆ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ เหล่านี้ ได้จัดตั้งองค์กร Front ของเขา อาทิเช่น The Bilderberg Group, Council on Foreign Relations (CFR) และ The Trilateral Commission (TC) โดยองค์กรเหล่านี้จะรวมกลุ่ม ‘ทุนธนาคาร Zionist’ และบรรดาผู้มีอิทธิผล เช่นอดีตประธานาธิบดี บริวารมือขวาของเขา Henry Kissinger นักการเมืองทุกขั้ว ทหาร หัวหน้าหน่วยงานลับ ของประเทศสำคัญในยุโรป และสหรัฐ โดยใน Trilateral Commission จะมีสมาชิกเป็นบุคคลสำคัญของประเทศในทวีปเอเชียต่างๆที่รับใช้พวกเขา ‘ทุนธนาคาร Zionist’ จึงมีอิทธิผลอำนาจเหนือรัฐ เช่นมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา

ด้วยความละโมบของพวกเขา ในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยกำลังก็ดี โดยวิธีแห่งการให้สินบนแก่ผู้ขายชาติตนเองก็ดี โดยการบีบบังคับด้วยหนี้สินก็ดี โดยการแทรกแซงการเมืองภายในก็ดี ‘ทุนธนาคาร Zionist’ เหล่านี้ ได้เข้ายึดครองทรัพยากร พลังงาน เศรษฐกิจ และการเงิน ของประเทศต่างๆทั่วโลก ทำให้ประชาชนของประเทศนั้นๆตกเป็นทาสของพวกเขา โดยในประเทศไทยเอง ปรากฏหลักฐานชัดเจนถึงการกระทำ ที่ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ พร้อมการร่วมมือของ ‘คนไทย’ ที่ได้ขายตัวขายจิตวิญญาณให้พวกเขา ได้ร่วมกระทำ ดังต่อไปนี้
(1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย
(2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงิน
(3) การชักใยอยู่เบื้องหลังทุกฝ่าย ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ ‘แบ่งแยกแล้วปกครอง’ เพื่อการยึดครองประเทศเป็นเมืองขึ้นยิ่งขึ้นไป มีรายละเอียดดังต่อไปนี้:

(1) การปล้นโกงนํ้ามันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย โดย ‘ทุนธนาคาร Zionist’

ทั้งที่ประเทศไทย มีอธิปไตยของตนเอง โดยอธิปไตย นั้นเป็นของปวงชนชาวไทย อันหมายความว่าทรัพยากรของชาตินั้นเป็นของประชาชนคนไทย แต่ปรากฏว่า กฎหมายว่าด้วยน้ำมันและก๊าซ (พรบ. ปิโตรเลียม 2514) มิได้มีการเขียนขึ้นไม่ว่าจะ ‘โดย’ ประชาชน หรือ ‘เพื่อ’ ประชาชน แต่อย่างใด แต่ได้ถูกเขียนขึ้นโดย Walter James Levi สมาชิกทั้ง CFR และ The Trilateral Commission ผู้ทำงานให้รัฐบาลสหรัฐ ขั้นขึ้นชื่อว่าเป็น หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์พลังงานของสหรัฐอเมริกา (the dean of United States oil economists) และ ได้เป็นผู้บริหารบริษัทของตระกูล Rockefeller เองคือ Standard Oil Company of New York หรือ Socony (ปัจจุบันคือ Exxon) คนที่เขียนกฎหมายนี้ของประเทศไทย ไม่ใช่คนไทย แต่คือคนของ ‘ทุนธนาคาร Zionist’

เนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวเอง ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ โดยมีลักษณะของกฎหมายสำหรับเมืองขึ้นอันไม่เป็นธรรม คือ น้ำมันและก๊าซทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับสัมปทาน การได้สัมปทานเป็นไปโดยไม่มีการประมูลอย่างโปรงใส ค่าตอบแทนเป็นไปอย่างต่ำ และ ประชาชนคนไทยที่เป็นเจ้าของโดยแท้จริง ไม่สามารถตรวจสอบรับทราบความจริงได้เลย โดยวิธีที่สามารถจะเรียกว่าโปรงใสได้ ว่าปริมาณทรัพยากรที่มีการขุดไปนั้นมีปริมาณที่แท้จริงมากน้อยเพียงใด ประเทศไทยมีพลังงานมากน้อยแค่ไหนโดยต้องยอมรับตามตัวเลข ที่บริษัทพลังงานต่างๆแจ้งเท่านั้น

การปล้นอธิปไตยโดย ‘ทุนธนาคาร Zionist’ เป็นไปได้ด้วยการข่มขู่ไม่ให้ความร่วมมือ พร้อมการให้สินบนแก่ ‘คนไทยที่ขายชาติตัวเอง’ ซึ่งจากนั้นมา การรุกครอบครองนํ้ามันและก๊าซของประชาชนคนไทย โดยวิธีการดังกล่าวได้ขยายไปเรื่อยๆ มีการแก้ใขกฎหมายเพิ่มเติม ให้เอื้ออำนวยผู้รับสัมปทานอย่างล้นพ้น โดยภายหลังจะเห็นได้ชัดเจนถึงผู้เข้ามามีอำนาจในไทย ไม่ว่าขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ได้สานต่อไปในทาง ‘ขายชาติตัวเอง’ ให้แก่ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ เหล่านี้เพื่อค่าคอมมิชชั่น ถึงขั้นร่วมกันชง ส่งลูกกันข้ามรัฐบาล ยกดินแดนไทยให้กัมพูชา อันส่งผลให้พื้นที่ไทยในทะเลอ่าวไทย 27,000 ตารางกิโลเมตรอันอุดมด้วยนํ้ามันและก๊าซที่สุดแห่งหนึ่ง ต้องตกกลายเป็นพื้นที่พิพาท ระหว่างไทยกับกัมพูชา

ซึ่งในพื้นที่นี้ บริษัท Chevron คือบริษัทที่จ่อล็อคจะถือสัมปทานจากทั้ง 2 ประเทศ ในกรณีนี้ที่มีการพิพาทเรื่องพื้นที่ในอ่าวไทย หากไทยและกัมพูชา ให้สัมปทานในพื้นที่นี้ ผู้ที่จะมีอิทธิพลสูงสุดในการครอบครอง ย่อมมิใช่ไทยหรือกัมพูชาอีกทั้งนั้น แต่จะเป็นสหรัฐอเมริกาภายใต้กลุ่ม ‘ทุนธนาคาร Zionist’ เพราะสัมปทานจะเป็นของ Chevron โดยเอกฉันท์ ฝ่ายใดที่ให้ประโยชน์แก่สหรัฐสูงสุด สหรัฐย่อมสนับสนุนฝ่ายนั้น

ในปัจจุบัน การถูกปล้นอธิปไตย การตกเป็นอาณานิคมของ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ อย่างเต็มรูปแบบในเรื่องพลังงาน ก็ประจักษ์ชัดเจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยในปัจจุบัน นาย ณรงค์ชัย อัครเสรณี ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง ได้เป็นสมาชิก The Trilateral Commission (TC) องค์กรของ ‘กลุ่มทุนธนาคาร Zionist’ ยาวนานถึง 30 ปี โดยเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่รีรอที่จะประกาศผลักดันเปิดสัมปทานในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยไม่สนใจ และไม่มีการชี้แจงอันใดเกี่ยวกับการเสียดินแดนของประเทศไทย ทั้งที่มีการคัดค้าน

ด้วยประการฉะนี้ การปล้นโกงนํ้ามันและก๊าซ โดย ‘ทุนธนาคาร Zionist’ จึงมิได้ครอบคลุมเพียงแค่นํ้ามันและก๊าซอีกต่อไป แต่ ได้ขยายไปเป็นการปล้นดินแดนไทย จากประชาชนคนไทย ไปโดยเรียบร้อย

(2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงินของประเทศ

การที่เถ้าแก่สามานย์รายใดจะต้องการยึดที่ดินสวยๆของชาวนาวิธีที่เขาจะกระทำคือ ให้ชาวนากู้เงิน ทำให้จ่ายหนี้ไม่ได้ เมื่อจ่ายช้าก็อายัดที่ดินนั้น บังคับขายในราคาตํ่ากว่าจริงสิบเท่า แล้วเข้าซื้อเอง

วิธีการของ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ ก็เป็นเช่นนั้น ทำให้ประเทศเป็นหนี้ หลังการปล่อยกู้เงินให้แก่ประเทศไทยจำนวนมากให้คน น้อยกว่า 1% อย่างฟุ่มเฟือย George Soros สมาชิกอาวุโส CFR ได้นำกลุ่ม ‘ทุนธนาคาร Zionist’ มาโจมตีค่าเงินบาท จาก 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ กลายเป็น 56 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ เพราะกู้เงินจากต่างชาติมามาก เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่วิกฤติ มีการล่มสลายของธุรกิจจำนวนมาก

ต่อมาก็เป็นไปตามแบบแผนวิธีการของ IMF และ World Bank ที่ 51% เป็นของ US Treasury ควบคุมโดย ‘ทุนธนาคาร Zionist’ ของ Rothschild ตามขั้นตอนที่ Joseph Stiglitz ผู้เป็นอดีตประธานที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจของ President Bill Clinton อดีตรองประธาน และ Chief Economist ของ World Bank ได้เปิดโปงให้แก่หนังสือ The Observer และ Newsweek หลังมีเอกสารลับหลุดออกมาจาก World Bank คือในการขอความช่วยเหลือทางการเงิน จำต้องเซ็นสัญญา โดยในสัญญาจะตกลงใน (a) Privatization การแปรรูป โดยรัฐจะต้องยินยอมขายสมบัติของชาติเกี่ยวเนื่องกับสิ่งจำเป็น อาทิเช่น นํ้า ไฟฟ้า นํ้ามันและก๊าซ (b) Capital Market Liberalization การเปิดให้ทุนไหลเข้าออก โดยส่วนใหญ่มักจะไหลออก (c) Market-based pricing การขึ้นราคา อาหาร ไฟฟ้า นํ้ามันและก๊าซ โดยอ้างว่าเป็นราคาตลาดโลก (d) Free Trade การค้าเสรี ตามกฎของ WTO และ World Bank

Stiglitz ได้ระบุในการสัมภาษณ์ อย่างชัดเจนว่า การยินยอมในการตกลงนั้นเกิดขึ้นไม่ยากโดย (ก) World Bank IMF สามารถสั่ง Financial Blockage การกีดกันทางการเงินหากไม่ร่วมมือ และ (ข) นักการเมืองในประเทศนั้นๆ ยินดีที่จะยกบริษัท นํ้า ไฟฟ้า นํ้ามันและก๊าซ ให้โดย ‘เขาจะตาโตกันเลย เมือเขานึกถึงค่าคอมมิชชั่นที่เขาจะได้กัน จากการลดราคาเป็นพันๆล้านในการแปรรูป’ โดยเขาจะสามารถใช้ข้ออ้างว่า ถูก World Bank IMF บังคับ

แล้วการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับก็ได้ตามมา พร้อมการขายสมบัติชาติแบบล็อคสเป็กในราคาที่ตํ่ากว่าทุนถึง 5 เท่า ตามด้วยการแปรรูปบริษัทนํ้ามันก๊าซของชาติ โดยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าไม่ว่าจะในกรณี การยกดินแดนให้ต่างชาติ หรือ การแปรรูป จะเกิดขึ้นโดยการร่วมมือของมากกว่าหนึ่งรัฐบาล โดยฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายชง อีกฝ่ายเป็นฝ่ายจัดการ ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นไปเพื่อการสามารถโยนความผิดกันไปมาได้ โดยไม่มีใครผิดเต็มๆ โดยในกรณีนี้ แม้ขั้วนักการเมืองกลุ่มที่รับข้อตกลงรับรายละเอียดในการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับจาก ‘ทุนธนาคาร Zionist’ นี้พยายามจะโยนความผิดให้ผู้ริเริ่มการตกลง แต่ก็ปรากฏให้เห็นได้ถึงการการตอบแทน เมื่อคนของเขาได้ไปนั่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO

โดยการโจมตีค่าเงิน การบีบข่มขู่ การให้สินบนแก่ผู้เข้ามามีอำนาจทุกขั้ว ที่ร่วมกันขายชาติตนเอง ‘ทุนธนาคาร Zionist’ อาทิเช่น JP Morgan Chase, BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ได้เข้ามายึดครองควบคุม บริษัทนํ้ามันก๊าซ ธนาคาร และ เศรษฐกิจการเงินของประเทศไทย ไปจากคนไทย และยังรุกคืบยิ่ง ณ ปัจจุบัน ตามข่าวการแปรรูปที่ปรากฎอยู่

(3) การชักใยอยู่เบื้องหลัง ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ ‘แบ่งแยกแล้วปกครอง’ (Divide and Conquer) เพื่อการยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ

เป็นที่ประจักษ์ ว่าไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ที่เข้ามามีอำนาจ ล้วนให้ความร่วมมือกับ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ ในการขายทำลายชาติ โดยมีค่าคอมมิชชั่น ทั้งในทรัพยากรและในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม สามารถควบคุม ชักใยได้ทุกฝ่าย
ยุทธศาสตร์ ‘แบ่งแยกแล้วปกครอง เป็นยุทธศาสตร์ที่มีตัวอย่างเห็นได้ในโลกปัจจุบันมากมายในการเข้ายึดครองประเทศต่างๆของ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ โดยการยุยงให้เหยื่อตีกันเอง บางกรณีให้อาวุธทั้ง 2 ฝ่าย ทำลายภูมิคุ้มกันความสามัคคีของชนชาตินั้นๆ สร้างความแตกแยก โดยเมื่อมีรอยแตก ก็สามารถจะแทรกเข้าไป ยึดครองประเทศนั้นๆ

ความแตกแยก ปัญหาความขัดแย้งเสื้อสี ที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทย ล้วนมีการชักใย มีการสนับสนุน ทั้ง 2 ฝ่ายการเมือง โดยมีกลุ่ม ‘ทุนธนาคาร Zionist’ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนักการเมืองทั้ง 2 ขั้ว โดยทั้ง 2 ขั้ว นั้นล้วนมีผลประโยชน์ในเรื่องคอมมิชชั่น จากกลุ่ม ‘ทุนธนาคาร Zionist’ และถูกชักใยให้ปลุกปั้นประชาชน ให้มาตีกันเองโดยการรู้ไม่เท่าทันของประชาชน ว่าโดยแท้จริงแล้ว นักการเมืองและผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ล้วนให้ความรวมมือ ขายชาติตนเองแก่ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ ทั้งสิ้น

หลักฐานปรากฎชัดเจนว่าสมาชิก CFR ของ ‘กลุ่มทุนธนาคาร Zionist’ อาทิเช่น (a) Robert Blackville สมาชิก CFR มือขวาการต่างประเทศของ Henry Kissinger จาก Barbour Griffif & Rogers (CFR) (b) Keneth Adelman สมาชิก CFR อดีตทูต UN ของสหรัฐ จาก Baker & Botts Robert (CFR) (c) Robert Amsterdam จาก Amsterdam & Peroff (Chatham House) ได้ทำหน้าที่เป็น lobbyist ให้อดีตนักการเมืองที่หลบอยู่ที่ Dubai และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการเสื้อแดง และองค์กร NED ได้ให้เงินสนับสนุน Website ของเสื้อแดงจำนวนมาก โดยต้องเป็นที่กล่าวว่า นักการเมืองไทยที่หลบหนีอยู่ที่ Dubai นั้น โดยแท้จริงแล้วเป็นเพียงหุ่นเชิด ที่ ‘กลุ่มทุนธนาคาร Zionist’ ชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งโดยลำพังเขาไม่สามารถ ที่จะทำเองได้เลย

ส่วนนักการเมืองผู้เข้ามามีอำนาจ ฝ่ายอื่นๆ ที่โหน อ้าง ปกป้อง สถาบันสำคัญๆ ฝ่ายนี้ โดยการขายตัวขายชาติ การปรารถนาได้ค่าคอมมิชชั่น ทั้งในนํ้ามันก๊าซ และในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม ก็ไม่พ้นการอยู่ภายใต้อำนาจการชักใยของ ‘กลุ่มทุนธนาคาร Zionist’ ที่เป็นผู้กำกับการแสดง จูงทั้งสองสามฝ่าย ให้ชงและส่งลูกให้กัน เสี้ยมให้ชาติ ล่มสลาย เพื่อการปล้นยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จ ในระหว่างที่สหรัฐ แขนขวาของ ‘กลุ่มทุนธนาคาร Zionist’ สนับสนุนฝ่ายหนึ่ง แขนซ้าย ก็ทำตัวเข้าสนับสนุนอีกฝ่าย

ข้าพเจ้าจึงจะประกาศ ณ ที่นี้ว่าข้าพเจ้ามิได้รังเกียจประชาชนของชนชาติใด จะเป็นชาวอเมริกันหรือชาวยิวหรือชาติใดใดทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารังเกียจ คือพฤติกรรม เอาเปรียบ เบียดเบียน แทรกแซง ปล้นทั้งทรัพยากรและดินแดน ทำลายชาติอื่น ที่ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ นี้ได้กระทำทั่วโลก

ดังนั้น กับคำกล่าวของท่านว่าข้าพเจ้าเหยียดชนชาติ เมื่อความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่เดือดร้อนใดใดทั้งสิ้น แต่ว่าในโลกปัจจุบัน เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีค่ายนักโทษอันใดที่กระทำความทารุณโหดร้ายร้ายเท่ากับที่สถานที่ชื่อ Gaza และในเมื่อประเทศของท่านเองยังกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาว Palestine อย่างที่กระทำอยู่ ท่านยังจะกล้าบังอาจเรียกผู้ใดว่าเหยียดชนชาติได้เสียอย่างไร?

จะเรียกใครว่าอย่างไรท่านจงมองตัวเองบ้างเสียเถิด ท่านจงสำเนียกเสียบ้างเถิดว่า พฤติกรรมร้องทำจะเป็นจะตายว่าพวกตนถูกทำร้าย ทั้งที่พวกตนนั้นแหละคือผู้ที่กระทำชำเราเขาไปทั่ว ท่านคิดว่าอย่างไร พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่น่าสมเพชหรือไม่?

ไม่ว่าจะประชาชนชนชาติใด เขาก็ย่อมปรารถนาความสงบสุข เขาย่อมปรารถนาอธิปไตยในชาติของเขาเอง เขาย่อมปรารถนาที่จะตัดสินอนาคตเขาเองเอง เขาย่อมปรารถนาว่าทรัพยากรของเขาจะถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของเขาด้วยความเป็นธรรม เขาย่อมไม่ต้องการให้ใครมาเอาดินแดนของเขาไป แต่ในประเทศไทย ด้วยการชักใย การซื้อคนไทยที่ขายชาติตนเองทุกขั้ว การซื้อสื่อ การปลุกปั้นโดย ‘ทุนธนาคาร Zionist’ เป็นอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น

ผลคือ คนไทย แทนที่จะรักใครสามัคคีกัน แทนที่จะได้รับผลประโยชน์จากสมบัติอันมีค่าของเขา แทนที่จะมีรัฐสวัสดิการ การรักษาพยาบาล การศึกษา ที่มีคุณภาพ แทนที่จะมีชีวิตที่มีคุณภาพความสุขที่พวกเขาควรได้รับ เขากลับต้องมาเกลียดชังกันเอง ทะเลาะสู้กันเอง เขากลับต้องมาเป็นทาสของ‘ทุนธนาคาร Zionist’ ต้องมาเป็นทาสที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายสู้กันเอง แทนที่จะสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยพวกตนจากความเป็นทาส เพราะความไม่รู้เท่าทัน เพราะการหลอกลวงโดยนักการเมือง ผู้เข้ามามีอำนาจที่หิวโหย ที่ล้วนทำเพื่อตนเอง โดยรับใช้ ถูกชักใยจากนายคนเดียวกันคือ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ ทั้งนั้น

ข้าพเจ้าจึงมีความจำเป็นที่จะเปิดเผยความจริง ความจริงโดยรอบด้าน และความจริงที่จริงที่สุด โดย เมื่อประชาชนชาวไทยตื่นรู้กับความจริง การเป็นทาสที่ถูกหลอกให้สู้กันเองย่อมหมดไป ความสามัคคีย่อมกลับมา โดยสิ่งนี้สิ่งเดียว คือ การตื่นรู้เท่านั้น ที่จะทำให้ชนชาติไทยรอดพ้นภัยไปได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น มิใช่ว่าประชาชนชาวไทยจะต้องไปเป็นศัตรูกับใคร การตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดังฉันใด และ เมื่อคนไทยตื่นรู้เลิกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันปราบปรามเหล่าคนไทยที่ขายชาติตนเองทั้งหลายแล้ว ประเทศและประชาชนชาวไทยย่อมพ้นจากการเป็นอาณานิคม พ้นจากการเป็นเป็นทาส ไม่ว่าจะเป็น ทาสของ ‘ทุนธนาคาร Zionist’ หรือ กลุ่มทุนอื่นใด

จึงเรียนมาเพื่อทราบ

ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร


27 พ.ค. 2558
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9742
    • ดูรายละเอียด


หลังการพ่ายสงครามโลกครั้งที่ 1 ตามมติของ Versailles Conference 1919 เยอรมันจำต้องจ่าย ทองคำมูลค่า 1 แสนล้าน Mark รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 2 แสนกว่าล้าน Mark ให้กับผู้ชนะ เมื่อจ่ายได้ไม่หมด ฝรั่งเศสก็ได้เข้ามายึดพื้นที่ต่างๆพร้อมทรัพยากร ส่วนทางเยอรมันเอง เมื่อไม่เหลือทองคำในคลังเลย ไม่มีหลักคํ้าเงินสกุล เงินสกุล Mark จึงกลายเป็นเศษกระดาษที่ไม่มีค่า ในเวลาเดียวกัน กลุ่มทุนธนาคารยิวก็ได้เข้ามาปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยสูง โดยสถานะของเงิน Mark นั้นถูกทุบลงไปเรื่อยๆ จากปี 1918 มีมูลค่า 5.2 Mark ต่อ 1 USD ต่อมาในปี 1921 มีมูลค่า 64.9 Mark ต่อ 1 USD และ ในที่สุดในปี 1923 มีมูลค่า เพียง 4.2 ล้านล้าน Mark ต่อ 1 USD


 สำหรับชาวเยอรมันในเวลานั้น ขนมปังหนึ่งโหลมีราคา 2 ล้านล้าน Mark เงินสะสมของประชาชนทุกคนหมดค่ากลายเป็นศูนย์ ด้วยนํ้ามือของกลุ่มทุนธนาคารยิว ประชาชนสิ้นหวัง มีการฆ่าตัวตายจำนวนมาก ตำรวจหาเงินด้วยการทุจริต ในเวลาเดียวกันกลุ่มทุนยิวมองว่าเป็นโอกาสทองในการทำกำไรโดยการลงทุนที่ตํ่า การเก็บดอกเบี้ยสูงอันส่งผลให้เกิดบังคับขาย สูญเสียทรัพย์สินของผู้กู้ชาวเยอรมันให้กับกลุ่มทุนยิว ที่ได้เข้ามาครอบงำทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สื่อ พร้อมทั้งการทำลายวัฒนธรรมของชาวเยอรมัน


 ภายหลังการจงใจล้มตลาดทุน Wall Street ใน 1929 กระทำโดยกลุ่มของ Rockefeller JPMorgan Rothschilds ที่ได้ทำลายธนาคารเล็กๆในสหรัฐ 16,000 แห่ง โดยทุนใหญ่ของพวกตนได้ถอนตัวออกก่อนกาล กว้านซื้อทุกอย่างในราคาที่ถูก สหรัฐได้เรียกหนี้คืนจากเยอรมันภายใน 90 วัน อันส่งผลให้เยอรมันเป็นประเทศที่ล้มละลายโดยสมบูรณ์ อุตสาหกรรมต่างๆล้มกัน การว่างงานจาก 650,000 คนในปี 1928 ขึ้นมาเป็น 3 ล้านคนในปี 1930 สูงสุดในปี 1933 มีการว่างงานระหว่าง 6-7 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชายทั้งสิ้น ไม่มีเงินสำหรับอาหาร เสื้อผ้า การทำความอุ่นในครัวเรือนตนเอง


 ประชาชนจึงเห็น National Socialist (สังคมนิยมแห่งชาติ) นำโดย Hitler เป็นทางออก ซึ่งประกาศตัวเป็นทั้งศัตรูของลัทธิของยิวทั้งสองขั่ว ได้แก่ ระบบทุนนิยม และ ระบบ Communist โดยเมื่อ Hitler ได้เข้ามามีอำนาจ ประเทศไม่มีเงินในคลังเลย แต่มีปัญหาคนว่างงาน 6-7 ล้านคน โดยภายหลังรับตำแหน่ง 3 สัปดาห์ ฝ่ายที่เริ่มประกาศสงครามระหว่าง Hitler กับ ยิว ไม่ใช่ Hitler แต่คือ Jewish World Congress ของยิว 14 ล้านคน ซึ่งได้ประกาศสงครามกับเยอรมัน พร้อมการควํ่าบาตร เมื่อเป็นเช่นนี้ Hitler จึงได้ตอบโต้อีก 3 เดือนต่อมา ด้วยการประกาศสงครามกับชาวยิว ซึ่งในเยอรมันเองมีประมาณ 5 แสนคน หรือ 2 เปอร์เซนต์ พร้อมการควํ่าบาตรสินค้ายิว


 สิ่งที่ Hitler ได้สัญญาให้ความหวังกับประชาชน คือ การมีงานทำ และ มีอาหารรับประทาน ซึ่งเขาได้รักษาคำพูดของเขาโดยสมบูรณ์ Hitler ได้เน้นระบบเศรษฐกิจเพื่อประชาชน และ ‘Autarky’ หรือเศรษฐกิจพึงพาตนเอง (Self-Sufficient) พร้อมได้สร้างความสามัคคีระหว่างแรงงานและผู้จ้างงาน โดยเมื่อผ่านไป 2 ปี ครึ่ง ปัญหาการว่างงานได้ลดลงไปมาก และภายใน 5 ปี เขาได้ขจัดปัญหาการว่างงานในเยอรมนีโดยสิ้นเชิง


 การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ Hitler ได้กระทำทำโดยปราศจากเงินจากกลุ่มทุนธนาคารยิวแม้แต่น้อย Hitler สร้าง Autobahn ทางหลวงเยอรมนีจากวัสดุผลิตในเยอรมันล้วนๆ และหลังจากการเจรจาสร้างรถยนต์กับ German Auto Industry ซึ่ง Hitler มองว่าแพงเกินไป เขาได้หันไปหา Ferdinand Porsche แทน และได้ร่วมออกแบบรถ Volkswagen แปลว่า ‘รถของประชาชน’ ในราคาที่ถูกกว่าเกือบครี่งหนึ่ง โดยรถเต่าทองนี้ที่คนส่วนใหญ่รู้จักได้เป็นรถที่มีการสร้างมากที่สุดในโลก จึงยากที่จะถูกลบออกจากประวัติศาสตร์


 สำหรับการผลิตเสื้อผ้า ในเมื่อการซื้อฝ้าย (Cotton) จำเป็นต้องซื้อโดยการใช้ USD ภายให้ Hitler จึงได้มีการคิดค้นผลิตผ้า Rayon ขึ้นมา โดยการนำขนแกะเยอรมันมาผลิต


 ภานใน 4 ปี Hitler ได้สร้างบ้าน 1.5 ล้านหลัง โดยให้ประชาชนสามารถผ่อนได้ 10 ปี หากมีลูก 1 คนให้ลดหนี้ลง 25% หากมีลูกถึง 4 คน ให้ยกเลิกหนี้ทั้งหมด โดยเขาเชื่อว่าครอบครัวที่ใหญ่จะมีการจับจ่ายมาก จะมีการจ่ายภาษีคุ้มกับการลดปลดหนี้ ปรากฏว่าภายในไม่กี่ปี การเก็บภาษีของรัฐเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว


 สำหรับแรงงานผู้เช่าอาศัย ค่าเช่าจะอยู่ไม่เกิน 1 ใน 8 ของรายได้ต่อเดือน และเป็นครั้งแรกในโลกที่แรงงานสามารถพาครอบครัวไปเที่ยวพักร้อนต่างประเทศ โดย Hitler ได้สร้างเรือ Cruise หลายลำเพื่อเให้แรงงานชาวเยอรมันสามารถไปเที่ยวได้ในราคาที่ถูก โดยส่วนใหญ่เรือ Cruise จะไปตามเกาะแถบสเปน


 เขาได้จัดการศึกษาให้เรียนฟรีถึงระดับปริญญา และได้สร้างบ้านพักจำนวนมากให้เกษตรกร สำหรับผู้ให้แรงงานทั่วไป เปรียบเทียบกับก่อน Hitler เข้ามา มีรายได้มากกว่าเดิม 2 เท่าโดยค่าเงินยังคงเดิม


 Hitler ได้สร้างระบบการค้าของเยอรมัน โดยไม่ใช้เงิน USD เลย แต่จะเน้นในการ Barter แลกเปลี่ยนเป็นหลัก จากระบบนี้เองที่ กลุ่ม Anglo American Jewish Banksters เสียผลประโยชน์ กลัวว่าเยอรมันที่ประสบความสำเร็จ จะเป็นแบบอย่างเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศอื่นทั่วโลก แทนระบบที่พวกตนเองควบคุม จึงได้สร้างเงื่อนไขจนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2


 Hitler ได้นำพาประชาชนชนชาติเขากลับมามีศักดิ์ศรีอีกครั้ง มีอธิปไตย เสรีภาพ พ้นจากการเป็นหนี้ เป็นทาสทุนสามานย์ แม้ Winston Churchill ผู้เป็นอริกับเยอรมันที่สุด ยังได้ส่งถึง Hitler ในปี 1938 ก่อนจะมีสงครามว่า ‘หากวันใดสหราชอาณาจักร ตกในหายนะดังเช่นเยอรมันใน 1918 ข้าพเจ้าขอให้พระเจ้าประทาน บุคคลที่มีความเข้มแข็ง และ ลักษณะของท่าน’ ส่วน Lloyd George นายกรัฐมนตรีอีกท่านได้กล่าวกับชาวเยอรมัน ‘ ท่านควรขอบคุณพระเจ้า ที่ท่านมีบุรุษผู้ยอดเยี่ยมเป็นผู้นำ’
แล้วสาเหตุคืออะไร จึงได้มาทำลายทุกอย่างที่เขาได้สร้างไว้ ?


 เพราะว่าเขาสามารถหาวิธีกู้ชนชาติเขาพ้นจากความเป็นทาสได้?


 เพราะว่าพวกเขาแสดงให้โลกเห็นว่า สามารถสร้างอนาคตที่ดีกว่าโดยปราศจากระบบของกลุ่มทุน Zionist ได้?


 ความจริงคือเช่นนั้น

 
 เขาเป็นบุรุษของประชาชนเขา เป็นบิดาของเยอรมนี ประชาชนของเขารักเขาทั้งนั้น และเขาก็รักประชาชนของเขา
Heil Hitler.....Herzlichen Gl?ckwunsch zum Geburtstag


 ป.ล. เนื่องในวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิด อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จึงได้นำเรื่องมาแสดงให้ทราบความจริงเกี่ยวกับบุรุษที่น่าชื่นชมผู้นี้ แม้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จะมีผิดความพลาดในบางส่วน แต่ความเป็นอัจฉริยะและความรักชาตินั้นมีอยู่มาก ควรแก่การศึกษาโดยมองว่าประเทศของเรา หากมีวิกฤติเศรษฐกิจโดนทุบค่าเงินอีกครั้ง คราวนี้จะไม่เหมือนคราวที่ก่อนที่ได้เกิดขึ้นในขณะที่เรายังอยู่ในสภาพที่ดีอยู่ หากคราวนี้หากเงินคลังหลวงหมด อาจหมายถึงการที่ประเทศเราจะถูกยึดอย่างเบ็ดเสร็จ คล้ายคลึงกับเยอรมนีสมัยนั้น หวังว่าประชาชนจะตื่นรู้ได้เสียก่อนจะต้องถึงสถานการณ์นั้น

 
 ประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกคือประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนโดยผู้ชนะสงคราม โดยหลังแพ้สงครามไป ฝ่ายพันธมิตร anglo-american ที่รับใช่ทุนธนาคารยิว Zionist ผู้ร้ายตัวจริง ได้ใส่ร้ายบิดเบือนปิดบังความจริงต่างๆนานา รวมถึงเรื่อง Holocaust หรือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อันเป็นเรื่องหลอกลวง ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น ความจริงที่เกิดขึ้นคือ ได้มีการเซ็นสัญญา ระหว่างตระกูล Rothschilds และรัฐบาลอังกฤษ ว่าหาก Rothschilds สามารถนำสหรัฐ มาร่วมสงคราม รัฐบาลอังกฤษจะต้องยกดินแดน Palestine ซึงเป็นของชาว Palestine ที่ได้อาศัยอยู่มาแต่ไหนแต่ไร มาเป็นแผ่นดินของชาวยิว เรื่องราวเกี่ยวกับ Holocaust มิใช่อะไรนอกจาก propaganda หลอกลวง มีจุดเป้าหมายหลักคือการสร้างความเห็นอกเห็นใจในการ เข้าไป ไล่ ฆ่า ชาว Palestine นับล้านออกจากดินแดนของเขา เพื่อให้ชาวยิวได้มีรัฐของตนเอง พร้อมกับอีกจุดประสงค์ คือการทำลายลบล้าง ตำนานอัจฉริยภาพทางเศรษฐศาสตร์ ของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ นั่นเอง

ขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ค รุ่งคุณ กิติยากร , Israel in Thailand และ นิตยสาร Mars

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1431580407

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9742
    • ดูรายละเอียด
จากกรณีที่ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร หรือหม่อมโจ้ เขียนบทความที่โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยตั้งค่าเข้าถึงเป็นสาธารณะ ซึ่งบทความดังกล่าวอ้างว่าเขียนขึ้นเพื่อต้องการนำเสนอ "ความจริงอีกด้าน" ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำเผด็จการของเยอรมนี โดยสรุปว่าหม่อมโจ้ออกมาปกป้อง "ฮิตเลอร์" ชี้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนับล้านคน เป็นเรื่องหลอกลวง


 ล่าสุดวันที่ 14 พ.ค. นายชีมอน โรเด็ด เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ได้ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวผ่านทางเพจ Israel in Thailand ว่า "เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ยังมีคนที่น่าจะได้รับการอบรมที่ดี คนที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ คนที่ได้รับการศึกษาสูง และมีช่องทางที่จะค้นคว้าหาความรู้เพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา แต่กลับไม่มีวิจารณญานที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรคือเรื่องจริง อะไรคือโฆษณาชวนเชื่อ ทั้งยังไม่ค้นคว้าเพิ่มเติมในเรื่องที่เป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งมีหลักฐานปรากฏชัดเจนไม่ว่าจะเป็นลายลักษณ์อักษร พยานวัตถุและพยานบุคคล


 การที่จะเขียนเรื่องในประวัติศาสตร์สำคัญที่เกี่ยวข้อง และมีผลกระทบต่อคนหลายเชื้อชาติจำนวนมากอย่างเรื่องนี้ ให้ผิดไปจากข้อเท็จจริงด้วยอัตวิสัยส่วนตัว แทนที่จะแสดงว่าเป็นผู้รู้มากกว่าคนอื่น ในทางกลับกันกลับบ่งชี้ว่าต้องการนำความเคราะห์ร้ายของชนชาติหนึ่งมาบิดเบือน เพียงเพื่อต้องการจะผลักดันให้ตนเองได้รับความสนใจมากขึ้นเท่านั้น ข้อความนี้บ่งชัดถึงความเขลาในเรื่องการเหยียดเชื้อชาติของบุคคลเพียงคนเดียว ที่นำความอับอายมาสู่ประเทศนี้เป็นอย่างยิ่ง"


14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1431580407

pokpook555

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 2
    • ดูรายละเอียด
น่าสนใจคับ




ร่วมเล่นสนุกๆไปกับพวกเรา ได้ที่นี่ คาสิโนออนไลน์