ผู้เขียน หัวข้อ: ทีมแพทย์ไทย (ชุดแรก) ไปญี่ปุ่น  (อ่าน 1486 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9739
    • ดูรายละเอียด
ทีมแพทย์ไทย (ชุดแรก) ไปญี่ปุ่น
« เมื่อ: 26 มีนาคม 2011, 16:30:57 »
หลังจากบินไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อช่วยดูแลสุขภาพคนไทยตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค. ทีมแพทย์ไทย(ชุดแรก) จาก รพ.ราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นำโดย นพ.ไพโรจน์ เครือกาญจนา พร้อมลูกทีม คือ นพ.จิรพงษ์ ศุภเสาวภาคย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวช ศาสตร์ฉุกเฉิน และ นายปัญจศิลป์ สมบูรณ์ พยาบาลวิชาชีพ ก็กลับถึงประเทศไทยแล้วตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา
   
นพ.ไพโรจน์ บอกว่า ไปอยู่ที่วัดปากน้ำ และตามสถานที่ที่ทางสถานทูตไทยจัดให้ ก็จะมีภารกิจเป็นวัน ๆ ไป เช่น มีคนไทยอยู่ที่เมืองไหนรวมกลุ่มกัน ทีมเราก็ไป ทีมแพทย์ได้เข้าไปที่ จ.ฟูกูชิมา ห่างจากโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ประมาณ 55 กม. ก่อนไปได้ยืมเครื่องมือวัดรังสีจากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติพกติดตัวไปด้วย ทำให้รู้ว่าจะเข้าไปที่ไหนได้บ้าง ปลอดภัยหรือไม่ เข้าไปแล้วจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ ไปอยู่ 7 วันก็ไม่เห็นมีอะไร วัดปริมาณรังสีในอากาศก็ไม่ได้สูงจนน่ากลัว
   
ตอนไปอยู่ที่นั่นแผ่นดินไหวทุกวัน ส่วนตัวไม่กังวลอะไร อาหารการกินก็ไม่ได้มีความลำบากอะไร แต่สำหรับคนญี่ปุ่นที่มีปัญหาคือคนที่สูญเสียบ้าน ไม่มีบ้านอยู่ 2-3 แสนคนซึ่งน่าสงสาร นอจากนี้ยังมีปัญหาการขาดแคลนน้ำมันต้องเข้าคิวซื้อน้ำมันได้คนละ 10-20 ลิตร ซื้ออาหารก็ต้องเข้าคิว ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้มีในช่วงแรกเท่านั้น
   
คนไทยที่ไปอยู่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีปัญหาความเครียด ตอนนี้ทีมสุขภาพจิตก็ได้เดินทางไปดูแลและให้คำปรึกษาแล้ว ในช่วงแรก ๆ คนไทยก็กังวลอยากกลับ แต่ช่วงหลังทุกอย่างนิ่งขึ้นก็ไม่อยากกลับ อีกอย่างคนไทยไปแต่งงานอยู่กินกับคนญี่ปุ่น ถ้าเกิดเหตุแล้วหนีกลับ การจะกลับไปญี่ปุ่นอีกจะถูกมองอย่างไร เพราะคนญี่ปุ่นแทบจะไม่มีใครออกจากประเทศ เท่าที่ดูออกมาแค่ 3-4 คน เพราะสงสารภรรยาและลูกที่ยังเล็กอยู่ ผมเจอครอบครัวหนึ่งลูกยังเล็กวัยขวบกว่า และ 3 ขวบกว่า ที่ ฟูกูชิมา คนญี่ปุ่นที่เป็นสามีบอกว่าเขาไม่ไปไหน ภรรยาก็เลยบอกไม่ไป เขาบอกว่าเขาเชื่อใจในรัฐบาลของเขา แต่ถ้ารุนแรงกว่านี้อาจจะออกมา เท่าที่ได้คุยกับคนญี่ปุ่นเยอะแยะก็ไม่เห็นกังวลอะไร
   
คนที่กังวลส่วนใหญ่เป็นคนไทย ที่ได้รับข่าวสารจากประเทศไทยทางอินเทอร์เน็ต หรือแมสเสจจากญาติ ๆ เช่น มีอยู่วันหนึ่งมีคนไทยแจ้งว่า ประเทศญี่ปุ่นจะแย่แล้ว ให้คนที่อยู่ในโตเกียวเคลื่อนย้ายออกมาภายใน 10 ชม. ทุกคนก็ตกใจกลัว ผมได้ยินก็ยังงงอยู่ พอโทรศัพท์สอบถามเพื่อนหมอที่เป็นคนญี่ปุ่น หรือคนที่รู้จัก ทุกคนก็บอกไม่เห็นมีอะไร
   
ทำไมคนญี่ปุ่นไม่ตื่นตระหนก? นพ.ไพโรจน์ กล่าวว่า เขาเชื่อข้อมูลที่ได้รับ ผมก็ถามแท็กซี่คนหนึ่งว่ากังวลอะไรหรือไม่ และเชื่อแหล่งข้อมูลอะไรมากที่สุด เขาก็บอกว่า เขาไม่เชื่อใครมากที่สุด เขาก็ฟังจากหลาย ๆ สื่อ ฟังแล้วก็มาคิด ซึ่งถ้าสารกัมมันตรังสีรั่วไหล คงจะไม่มีใครเป็นอะไรคนเดียว คงต้องมีคนเป็นอะไรเยอะ ๆ เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนคน แต่นี่ไม่มีอะไร ส่วนเรื่องอาหารทุกอย่างมีการปนเปื้อนอยู่แล้ว ถามว่าปนเปื้อนแล้วอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายหรือไม่ ที่ญี่ปุ่นก็ปนเปื้อนแต่ไม่ถึงขีดอันตราย และวันนี้ญี่ปุ่นก็มีการควบคุมแล้ว ทุกคนก็รู้ว่าระบบมาตรฐานของญี่ปุ่นเป็นอย่างไร แม้แต่คนที่ไปฉีดน้ำลดอุณหภูมิโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ก็มีคนแค่ 10-11 คนที่เข้าไปดับแล้วมีปัญหาระดับรังสีสูงกว่าปกติ แต่ไม่ถึงเกณฑ์อันตราย ซึ่งคนเหล่านี้ก็ให้หยุดพักไป ไม่มีใครไม่สบายจนเจ็บป่วย ญี่ปุ่นก็รับสมัครคนเพิ่มเป็นอาสาสมัครเข้าไปช่วยอีกคือเข้าไปแล้วก็ออกมา เขามีระบบท่อน้ำฉีดแรงดันสูง ฉีดน้ำเข้าไปได้ไกลถึง 350 เมตร เพื่อให้เจ้าหน้าที่อยู่ห่างมากที่สุด
   
ได้คุยกับหมอที่ดูแลภาพรวมของญี่ปุ่น ทุกวันนี้เขาก็ไม่ได้กังวลอะไร คนป่วยก็ไม่เยอะ ที่มีปัญหาคือเรื่องคนที่สูญเสียบ้านไม่มีที่พัก ถนนหนทาง ระบบไฟฟ้า น้ำประปา แก๊ส น้ำมัน แต่ทางญี่ปุ่นก็ซ่อมถนนหนทางทั้งวันทั้งคืน ทางด่วนปิดหมดก็เพื่อให้รถอาหาร รถพยาบาล รถที่จะเข้าไปซ่อมแซม ส่งอาหารเข้าไปช่วย คนญี่ปุ่นก็ไม่มีใครด่า ไม่มีใครว่า ว่าทำไมรถถึงติด เขายอมที่จะทน อย่างกรณีที่รัฐบาลญี่ปุ่นบอกว่าจะปิดไฟจังหวัดละ 3 ชม. เพื่อหมุนเวียนไฟฟ้าส่งไปยังศูนย์อพยพ ทุกจังหวัดยอมหมด อย่างบางจังหวัดบอกว่ารัฐบาลบอกจะดับไฟแล้วทำไมไม่ดับ วันรุ่งขึ้นมาด่ารัฐบาลอีก เพราะเขาเตรียมใจ ซื้อเทียนไขแล้ว ทำไมไม่ดับ เพราะเขาอยากช่วยจริง ๆ
   
ที่ญี่ปุ่นมีการแจกโปแตสเซียมไอโอไดด์ให้กับประชาชนหรือไม่? นพ.ไพโรจน์ กล่าวว่า ต้องบอกว่าในญี่ปุ่นไม่มีการออกข่าวอะไรเลย ผมมีโอกาสพบกับครอบครัวหนึ่งอยู่ห่างจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ประมาณ 15 กม. ครอบครัวนี้มี 6 คน ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก ลูกสะใภ้ หลาน 2 คน อายุ 5 ขวบ และ 3 ขวบ และอีก 1 คนอยู่ในครรภ์ 3 เดือน เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงมาก เขาก็มาตรวจรังสี เพราะกังวลว่าหลานในครรภ์จะเป็นอะไรหรือไม่ พอตรวจทั้ง 6 คนก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ผมก็ถามเขาว่าได้กินโปแตสเซียมไอโอไดด์หรือไม่ เขาบอกว่า เขาไม่ได้กิน ทั้งนี้คงเป็นเพราะมีการวิจัยมาแล้วว่า คนญี่ปุ่นมีไอโอดีนในตัวเองมากเกินพอจากการกินอาหารทะเลอยู่แล้ว อีกทั้งถ้าพูดเรื่องมะเร็งธัยรอยด์ ต้องบอกว่ามะเร็งธัยรอยด์ตายยากที่สุด
   
“จากประสบการณ์ที่ได้จากญี่ปุ่น ซึ่งผมได้มาพูดในวอร์รูมของกระทรวงสาธารณสุข คือ ต่อไปประเทศไทยต้องกลับมาคิดแล้วว่า ญี่ปุ่นเขาเผชิญทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ ระบบนิวเคลียร์รั่ว การขาดอาหาร ถนนหนทางที่สูญเสีย แล้วทำไมเขาไม่มีกลียุค ทำไมคนของเขายังมีระเบียบวินัย ไม่มีขโมยมากขึ้น เขามีระบบการเตรียมพร้อมในขณะที่ถูกภัยพิบัติรุมในครั้งเดียว ผมคิดว่าประเทศไทยต้องมานั่งคิดกันว่า หากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้วเราจะเป็นอย่างไร”.

เดลินิวส์
26 มีนาคม 2554