กรีซตกเป็นเป้าสายตาของโลกว่าจะอยู่หรือไป จากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) หลังการเจรจากับเจ้าหนี้ใหญ่อย่างอียู กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และ ธนาคารกลางสหภาพยุโรป (อีซีบี) เพื่อแลกกับเงินกู้สำหรับชำระหนี้เงินกู้ไอเอ็มเอฟ วงเงิน 1.6 พันล้านยูโร (ครบกำหนดชำระวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา) ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และกรีซยังมีภาระต้องคืนหนี้อีซีบีอีก 6.7 พันล้านยูโรระหว่างเดือนกรกฎาคมสิงหาคม ที่จะถึงนี้
เจรจาล้มเหลว
ความล้มเหลวในการเจรจาส่อแววตั้งแต่การประชุมจะเริ่มขึ้นเมื่อเจ้าหนี้รายใหญ่เรียกร้องให้กรีซเพิ่มความเข้มข้นในแผนปฏิรูปเศรษฐกิจที่เสนอเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา ขณะที่กรีซเองก็มองว่าเจ้าหนี้บีบคั้นกันมากเกินไปแล้ว ก่อน อเล็กซิส ซีปราส นายกรัฐมนตรีกรีซ ตัดสินใจผละออกจากที่ประชุมร่วมผู้นำอียูกลางคัน แล้ว
กลับมาผลักดันให้ประชาชนทั่วประเทศลงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับต่อแผนปฏิรูปเศรษฐกิจที่เจ้าหนี้เสนอหรือไม่ ในวันที่ 5 กรกฎาคมนี้
ขณะที่เจ้าหนี้ยังไม่ทันหายประหลาดใจจากแผนลงประชามติของนายกฯซีปราส สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกฯกรีซวัย 40 ปี ได้เพิ่มความประหลาดใจให้กลุ่มเจ้าหนี้โดยถ้วนหน้า เมื่อเขาประกาศการควบคุมเงินทุนด้วยการปิดธนาคาร ตลาดหุ้น 6 วัน (เริ่ม 29 มิ.ย.) และจำกัดการถอนเงินของประชาชนเหลือ 60 ยูโรต่อคนต่อวัน ซีปราสให้เหตุ
ผลที่ตัดสินใจเช่นนั้นว่า เพราะเจ้าหนี้บีบจนไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว
เวลานี้โลกกำลังลุ้นว่ากรีซจะมีทางออกอื่นหรือไม่ที่จะคงสถานะชาติสมาชิกอียูหากผิดนัดชำระหนี้ไอเอ็มเอฟและถ้ากรีซต้องออกจากการเป็นสมาชิกยูโรจริงๆผลที่จะตามมาคืออะไร ความผันผวนของดัชนีตลาดหุ้นหลักทั่วโลกที่ดัชนีปิดตลาดย่อลง คือ ดัชนีบ่งชี้ถึงความตึงเครียดในระบบเศรษฐกิจโลกต่อวิกฤติหนี้กรีซที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้งหลังสงบอยู่หลายปี
ย้อนรอย
วิกฤติหนี้กรีซวันนี้เป็นปัญหาสะสมต่อเนื่องของประเทศที่เป็นต้นกำเนิดประชาธิปไตยมานานนับทศวรรษการดำเนินนโยบายการคลังขาดดุลต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2517 และขับเคลื่อนมาตรการเศรษฐกิจแบบประชานิยม เช่นให้เงินอุดหนุนภาคธุรกิจ สร้างอาชีพ เพิ่มค่าแรง 3% ลดภาษีคนซื้อรถคันแรก เพิ่มบำนาญ รวมทั้งมาตรการทางสังคมอื่นๆ กล่าวกันว่าระบบบำนาญของกรีซใหญ่โตจนกลายเป็นภาระของประเทศ (ราว 16% ของจีดีพี) และตั้งแต่ปี 2536 สัดส่วนหนี้สาธารณะของกรีซเพิ่มขึ้นถึง 100% ต่อจีดีพี นอกจากจัดทำงบประมาณขาดดุล ต่อเนื่องจนหนี้สาธารณะพอกพูนแล้วการที่กรีซเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกในปี 2547 Athens Games 2004 ที่ใช้เงินสูงถึง 1.2 หมื่นล้านยูโรเป็นอีกจุดที่ทำให้กรีซกลายเป็นลูกหนี้มีปัญหาของโลกในวันนี้
ในปี 2551 กรีซเป็นตัวแสดงหลักในวิกฤติหนี้สาธารณะยุโรป หรือที่รู้จักกันในชื่อ PIGS (โปรตุเกสอิตาลีกรีซสเปน) ในปี 2553 รัฐบาลกรีซ ออกมาประกาศว่ากรีซมีหนี้สาธารณะ 300 ล้านยูโร สูงสุดในกลุ่มยูโรโซน หรือประมาณ 135% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี ในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกันนั้น กรีซบรรลุข้อตกลงกับ กลุ่มประเทศยูโรโซน และ ไอเอ็มเอฟ ในการกู้เงิน 1.1 แสนล้านยูโร ดอกเบี้ย 5% ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าแพงเมื่อเทียบกับมาตรฐานทั่วไป โดยแลกกับมาตรการรัดเข็มขัด แต่เพียงปีเศษ หลังจากนั้นกรีซตกที่นั่งลำบากเพราะไม่สามารถดำเนินการตามเงื่อนไข ไอเอ็มเอฟ และกลุ่มยูโรโซน ในฐานะผู้ให้กู้ได้ เช่นการจัดทำงบประมาณขาดดุล ผู้ให้กู้กำหนดว่า ต้องลดเหลือ 7.6% ในปีนี้ แต่กรีซทำได้แค่ 8.5% จนมีกระแสข่าวว่ากรีซอาจผิดนัดชำระหนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นและตลาดเงินทั่วโลกปั่นป่วนเช่นเดียวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
เงื่อนไขที่ปฏิบัติไม่ได้
ทั้งนี้แรงกดดันจากเจ้าหนี้ที่อยากเห็นแผนปฏิรูปที่รัดเข็มขัดมากกว่านี้ หรือนัยหนึ่งคือ หลักประกันว่ากรีซจะสามารถใช้คืนเจ้าหนี้รายใหญ่ (ไอเอ็มเอฟ อีซีบี และธนาคารใหญ่อีกหลายแห่งในยุโรป) ได้อย่างครบถ้วน แรงกดดันจากเจ้าหนี้นำไปสู่การประท้วงของชาวกรีซที่คุ้นเคยกับมาตรการอุดหนุนจากรัฐบาลหลายคณะมาอย่างยาวนาน ส่งผลให้การเมืองในประเทศพลิกผันรัฐบาลเวลานั้นลาออกเปิดทางไปสู่การตั้งรัฐบาลผสม ในปี 2556 และการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ชาวกรีซตัดสินใจเทคะแนนเลือก อเล็กซิส ซีปราส หัวหน้าพรรคซิริชาซึ่งชูนโยบาย ไม่เอามาตรการรัดเข็มขัด ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของเขาคือเจรจาปรับปรุงแผนปฏิรูปฉบับเจ้าหนี้
หากมองปฏิกิริยาของประชาชนและรัฐบาลกรีซชัดเจนว่าพวกเขาไม่อาจยอมรับ เพราะมองว่าเป็นเงื่อนไขที่ปฏิบัติไม่ได้ โดยเฉพาะการจำกัดการจ่ายเงินบำนาญที่คนกรีซคุ้นเคย และลดจำนวนข้าราชการ ในแผนปฏิรูปใหม่ที่นายกฯซีปราสเสนอให้ชาติเจ้าหนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสาระสำคัญๆดังนี้ ปราบปรามการเลี่ยงภาษี กำจัดคอร์รัปชัน แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ไม่ขึ้นงบประมาณสาธารณะ ปรับโครงสร้างบริหารราชการลดกระทรวงจาก 16 กระทรวง เหลือ 10 กระทรวง ขึ้นภาษีนิติบุคคลและสินค้าฟุ่มเฟือย ขึ้นภาษีผู้มีรายได้มากกว่า 5 แสนยูโรต่อปี ตั้งเป้างบประมาณต้องเกินดุล 1% ในปีนี้ (2% ในปีถัดไป ) ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3 ระดับ 23% 13% และ 6% แต่ชาติเจ้าหนี้กลับบอกทำนองว่า ไปทำมาใหม่ ซึ่งเป็นจุดให้ นายกฯซีปราส หันมาใช้การเมืองหนุนการกำหนดท่าทีของเขา ด้วยการให้เปิดลงประชามติพร้อมกันทั่วประเทศว่าจะรับหรือไม่รับ แผนปฏิรูปเศรษฐกิจที่เจ้าหนี้เสนอมา ในวันที่ 5 กรกฎาคมนี้ตามที่กล่าวข้างต้น
นักวิเคราะห์เชื่อว่าแม้กรีซจะผิดนัดชำระหนี้ไอเอ็มเอฟแต่คงไม่ใช่เหตุให้ต้องออกจากการเป็นชาติสมาชิกยูโร แต่ถ้าคนกรีซส่วนใหญ่ลงประชามติในวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ว่า ไม่รับแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ มีความเป็นไปได้ว่ากรีซคงต้องออกจากการเป็นสมาชิกอียู เมื่อถึงเวลานั้นโลกย่อมมีผลกระทบแน่นอนแม้ขนาดเศรษฐกิจของกรีซไม่ใหญ่นักก็ตาม
บทเรียนจากวิกฤติหนี้กรีซที่สะสมมาตั้งแต่ปี 2517 ผ่านนโยบายประชานิยมของรัฐบาลชุดแล้วชุดเล่า ให้ความสำเร็จทางการเมืองเฉพาะหน้า แต่ทิ้งมรดกหนี้ก้อนมหึมาไว้เป็นภาระเบื้องหลัง ดังที่ลูกหลานของชาวกรีซเผชิญอยู่เวลานี้
2 กรกฎาคม, 2558 ฐานเศรษฐกิจ