1.โปรดเกล้าฯ ยกเลิกกฎอัยการศึกแล้ว ด้าน บิ๊กตู่ ใช้อำนาจ ม.44 ออกคำสั่ง 14 ข้อดูแลความเรียบร้อย!
เมื่อวันที่ 1 เม.ย. ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึก ความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้มีประกาศกองทัพบก เรื่อง การประกาศใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ลงวันที่ 20 พ.ค.2557 และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่อง ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ลงวันที่ 22 พ.ค.2557 เป็นต้นมานั้น บัดนี้ สถานการณ์หมดความจำเป็นที่จะต้องใช้กฎอัยการศึกตามประกาศทั้งสองฉบับแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เลิกใช้กฎอัยการศึก โดยมีผลตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ใช้อำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ออกคำสั่ง 14 ข้อ เพื่อบังคับใช้แทนกฎอัยการศึก เช่น ให้ข้าราชการทหารที่หัวหน้า คสช.แต่งตั้ง เป็นเจ้าพนักงานและผู้ช่วยเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดต่อไปนี้ให้สัมฤทธิ์ผลโดยเร็ว ได้แก่ ความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ,ความผิดต่อความมั่นคง ,ความผิดเกี่ยวกับอาวุธ ,ความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง คสช.หรือหัวหน้า คสช.
โดยให้เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย มีหน้าที่ดังนี้ ออกคำสั่งเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดต่อสถาบัน-ความมั่นคง-เกี่ยวกับอาวุธ-ขัดคำสั่ง คสช.มารายงานตัว ,จับกุมผู้ที่ทำผิดซึ่งหน้าและคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน ,ร่วมกับพนักงานสอบสวนในการสอบสวนผู้กระทำผิดใน 4 ฐานความผิดข้างต้น ,สามารถเข้าตรวจค้นเคหสถานหรือยานพาหนะกรณีมีเหตุสงสัยว่ามีผู้กระทำผิดตาม 4 ฐานความผิดดังกล่าวโดยไม่ต้องมีหมายค้น หากการรอหมายค้นจะทำให้ผู้ต้องสงสัยหลบหนีไปก่อน ,หลังเข้าตรวจค้น สามารถยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดได้ และในกรณีที่จำเป็น ให้เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยมีอำนาจออกคำสั่งห้ามเสนอข่าว จำหน่าย จ่ายแจกหนังสือหรือสิ่งพิมพ์หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดจนกระทบต่อความมั่นคงของชาติและความสงบเรียบร้อยของประชาชน
นอกจากนี้ กรณีที่มีเหตุสงสัยว่าบุคคลใดกระทำผิดคดีเกี่ยวกับสถาบัน-ความมั่นคง-อาวุธ-ขัดคำสั่ง คสช. ให้เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยมีอำนาจเรียกตัวบุคคลนั้นมาสอบถามหรือให้ถ้อยคำได้ และหากยังสอบถามไม่แล้วเสร็จ สามารถควบคุมตัวไว้ได้แต่ต้องไม่เกิน 7 วัน โดยต้องไม่ควบคุมไว้ในสถานีตำรวจ หรือเรือนจำ และจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเหมือนเป็นผู้ต้องขังไม่ได้ ทั้งนี้ ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานฯ หรือต่อสู้ขัดขวาง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ ยังระบุว่า การกระทำใดของเจ้าพนักงานหรือผู้ช่วยเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย หากกระทำตามอำนาจหน้าที่โดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินกว่าเหตุ ย่อมได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของเจ้าหน้าที่ สำหรับการชุมนุมทางการเมืองหรือมั่วสุมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปนั้น จะกระทำไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากหัวหน้า คสช. หากฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย แถลงถึงความแตกต่างของกฎอัยการศึกกับคำสั่งของหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ว่า มี 4 ประการ คือ 1. การไม่มีกฎอัยการศึกช่วยลดความหวาดระแวงของประชาคมโลก ซึ่งจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยว และการทำประกัน โดยจะทำให้บริษัทประกันภัยไม่มีข้อแก้ตัวในการไม่รับทำประกันอีกต่อไป 2. เมื่อยกเลิกกฎอัยการศึก ศาลทหารจะกลับมาเป็นศาลทหารในเวลาปกติ คือมี 3 ศาล อุทธรณ์และฎีกาได้ 3. อำนาจของเจ้าหน้าที่จะเหลือเพียงที่เขียนอยู่ในคำสั่งของหัวหน้า คสช. เท่านั้น ซึ่งเป็นอำนาจที่ลอกมาจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ 4. เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยจะต้องเป็นนายทหารยศร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรี ขึ้นไป และเป็นคนที่หัวหน้า คสช. ออกคำสั่งแต่งตั้งเท่านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเป็นเจ้าพนักงานตามคำสั่งหัวหน้า คสช. แต่ทหารสามารถขอความร่วมมือตำรวจเข้าร่วมปฏิบัติการได้
นายวิษณุ เผยเหตุผลที่หัวหน้า คสช.ต้องใช้อำนาจตามมาตรา 44 ในการออกคำสั่งเพื่อดูแลสถานการณ์แทนกฎอัยการศึกด้วยว่า เนื่องจากยังมีสถานการณ์ที่วางใจไม่ได้ 5 สถานการณ์ คือ 1. อาจมีผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองในอดีตบางคนก่อความไม่สงบเรียบร้อยขึ้น 2. กลุ่มทุน กลุ่มเศรษฐกิจ กลุ่มอิทธิพล ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคม อาจก่อความไม่สงบขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง 3. กลุ่มที่รู้ว่ากำลังจะเข้าโรดแมประยะที่ 3 คือ เตรียมจะจัดการเลือกตั้ง การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ อาจก่อความไม่สงบเรียบร้อยบางอย่างขึ้นในบางพื้นที่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ฉวยโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต 4. กลุ่มสร้างสถานการณ์ให้เกิดความไม่เรียบร้อยขึ้น อาจจะไม่มีเจตนาทางการเมือง แต่เจตนาเรื่องอื่น และ 5. กลุ่มที่รู้สึกได้รับความเดือดร้อน ไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นกลุ่มสุจริต ไม่มีเจตนาทางการเมือง แต่อาจจะระบายโดยการก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก เมื่อมีเหตุการณ์เหล่านี้อยู่ จึงเป็นหน้าที่ของ คสช. ในการรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ให้กลับไปสู่เหตุการณ์ลักษณะเหมือนเลือดไหลออก
ทั้งนี้ หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ยกเลิกกฎอัยการศึกและใช้อำนาจตามมาตรา 44 แทน ได้เกิดปฏิกิริยาจากฝ่ายต่างๆ ทั้งบวกและลบ ด้านลบส่วนใหญ่มาจากแกนนำพรรคเพื่อไทย และต่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรป(อียู) เหน็บว่า การที่ไทยยกเลิกกฎอัยการศึก แล้วเปลี่ยนมาเป็นคำสั่งของหัวหน้า คสช. ไม่ได้นำไทยเข้าใกล้รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด
ขณะที่ภาคเอกชนของไทยต่างขานรับมาตรา 44 โดยนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) แถลงว่า การยกเลิกกฎอัยการศึกเป็นสิ่งที่ดี เพราะหากมีอยู่จะเป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยวและการลงทุน และว่า มาตรา 44 เป็นเรื่องที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่รัฐบาลเพิ่งออกมา ซึ่งไม่กังวล และคิดว่า หากนายกรัฐมนตรีนำมาตรา 44 มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม จะส่งผลดี เพราะสามารถขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น
เช่นเดียวกับนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า จากการสำรวจของหอการค้าไทยและหอการค้าต่างประเทศพบว่า ภาคเอกชนตอบรับมาตรา 44 ดี และรู้สึกสบายใจขึ้น และว่า มาตรา 44 ขึ้นอยู่กับประกาศที่ออกมา และอยู่ที่วิธีใช้ว่าจะใช้อย่างสร้างสรรค์หรือไม่ ซึ่งโดยทั่วไปคาดว่าการลงทุนจะดีขึ้นและสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนมากขึ้น
2.นายกฯ นำ ปชช.จุดเทียนชัยถวายพระพร สมเด็จพระเทพฯ เจริญพระชนมายุ 60 พรรษา ด้านกรมราชทัณฑ์ เผย ผู้ต้องขังได้รับอภัยโทษ 3.8 หมื่นราย!
เมื่อวันที่ 2 เม.ย. เวลา 08.00 น.สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯ ไปทรงปล่อยพันธุ์ปลาที่ท่าวาสุกรี เพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา โดยกรมประมงน้อมเกล้าฯ ถวายปลาไทย 9 ชนิด จำนวน 590,000 ตัว และปลากระเบนเจ้าพระยา ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำตัว 1.5 เมตร จำนวน 1 ตัว
ต่อมา เวลา 16.55 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในการพระราชพิธีฉลองพระชนมายุ 5 รอบ สมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ และประชาชน ได้ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในช่วงเช้าวันที่ 2 เม.ย.ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง จากนั้นในช่วงค่ำ พล.อ.ประยุทธ์ ได้นำประชาชนจุดเทียนชัยถวายพระพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างพร้อมใจกันสวมเสื้อสีม่วง ซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพ เพื่อแสดงความจงรักภักดีอย่างพร้อมเพรียง
ด้านนายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 31 มี.ค. ว่า มี พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษผู้ต้องขังเนื่องในโอกาสพระราชพิธีฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เม.ย.ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ ผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวตาม พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ ซึ่งต้องเข้าเกณฑ์ที่กำหนด เช่น เป็นนักโทษเด็ดขาดที่ไม่ได้ทำความผิดในคดีร้ายแรงและเหลือโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือเป็นนักโทษเด็ดขาดอายุ 70 ปีบริบูรณ์หรืออายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์แต่ไม่เกิน 70 ปี เหลือโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ฯลฯ ซึ่งกลุ่มนี้มีจำนวน 38,000 คน
กลุ่มสอง คือ นักโทษเด็ดขาดที่ได้รับการลดวันต้องโทษ ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำอยู่แล้ว มีจำนวนประมาณ 140,000 คน และกลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเกิน 8 ปี รวมถึงนักโทษเด็ดขาดชั้นเลว เลวมาก และผู้ที่กลับมาทำผิดซ้ำภายใน 5 ปี
สำหรับนักโทษรายสำคัญที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษในครั้งนี้ ได้แก่ พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ หรือ ผู้พันตึ๋ง ซึ่งต้องโทษคดีฆ่าอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยได้รับลดหย่อนผ่อนโทษ ขณะที่นายสมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ ได้รับการลดหย่อนโทษในคดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี 4 เดือน ได้สิทธิลดโทษ 1 ใน 5 คือลดวันต้องโทษลง 8 เดือน ส่วนคดีร่วมกันจ้างวานให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งถูกศาลพิพากษาจำคุก 25 ปีนั้น ได้สิทธิลดวันต้องโทษลง 5 ปี นอกจากนี้นักโทษเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และนักโทษตระกูลสุวะดี ก็ได้รับการลดหย่อนโทษในคดีอื่น ยกเว้นคดีความผิดตามมาตรา 112 เช่นเดียวกับนายอภิรุจ และนางวันทนีย์ สุวะดี บิดามารดาท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ ก็ได้รับการลดหย่อนโทษในคดีอื่น ยกเว้นคดีความผิดตามมาตรา 112 เช่นกัน
ด้านนางสิริพร ชุติกุลัง ผอ.ทัณฑสถานหญิงกลาง เผยว่า ที่ทัณฑสถานหญิงกลางมีผู้ต้องขังหญิงที่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับการอภัยโทษ และได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 3 เม.ย.จำนวน 99 ราย โดยหนึ่งในนั้นมี น.ส.ศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์ หรือ ป้าเช็ง อายุ 74 ปี ผู้ต้องโทษฐานขายยาหยอดตาเจียรนัยเพชรโดยไม่ได้ขึ้นตำรับยา ทำให้ผู้ใช้ตาบอด ซึ่งถูกศาลสั่งจำคุก 18 เดือน รวมอยู่ด้วย
3.กมธ.ยกร่าง รธน.ถอย ปรับแก้ที่มานายกฯ คนนอก ต้องโหวต 2 ใน 3 ขณะที่ ส.ว.ให้มาจาก 3 ทาง!
เมื่อวันที่ 1 เม.ย. พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงผลการพิจารณาทบทวนร่างรัฐธรรมนูญว่า กมธ.ยกร่างฯ ได้ทบทวนมาตรา 182 ที่กำหนดให้ใช้เสียงของ ส.ส.เกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส.ที่มีอยู่ทั้งหมดเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้เพิ่มเติมว่า หากจะเลือกนายกรัฐมนตรีคนนอก จะต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด ส่วนวาระการดำรงตำแหน่ง ให้ 4 ปีทุกกรณี เพื่อเปิดช่องในยามวิกฤต ที่สภาต้องการคนนอกมาทำหน้าที่ เช่น กรณีเหตุการณ์ก่อนวันที่ 22 พ.ค.2557 บ้านเมืองไม่มีทางออก จนนำมาสู่การรัฐประหาร
นอกจากนี้ที่ประชุมยังปรับแก้เรื่องที่มา ส.ว. มาตรา 121 โดยยังคงให้ ส.ว.มีจำนวน 200 คน แต่เปลี่ยนที่มา ให้มาจาก 3 กลุ่ม กลุ่มแรกมาจากการเลือกตั้ง 77 จังหวัด จังหวัดละ 1 คน โดยจะตั้งกรรมการสรรหา เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครในแต่ละด้านและคัดให้เหลือผู้สมัคร 10 คน จาก 10 ด้าน จากนั้นจึงให้ประชาชนเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน โดยจะพิจารณาในสัปดาห์หน้า เบื้องต้นกำหนดให้การเลือกตั้ง ส.ว. จัดพร้อมกับวันเลือกตั้ง ส.ส. และมอบหมายให้คณะกรรมการจัดการเลือกตั้ง(กจต.) เป็นผู้รับผิดชอบ
กลุ่มที่สองมาจากการเลือกตั้งกันเอง แบ่งเป็น อดีตข้าราชการพลเรือน ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ซึ่งเป็นตำแหน่งบริหาร ไม่เกิน 10 คน ข้าราชการฝ่ายทหารที่ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เลือกตั้งกันเองไม่เกิน 10 คน ผู้แทนสภาวิชาชีพ องค์กรวิชาชีพ หรืออาชีพที่มีกฎหมายจัดตั้ง ไม่เกิน 15 คน และจากการเลือกตั้งกันเองของผู้แทนองค์กรด้านการเกษตร ด้านแรงงาน ด้านวิชาการ ด้านชุมชนและท้องถิ่น ไม่เกิน 30 คน
กลุ่มที่สาม สรรหาจากผู้ทรงคุณวุฒิและคุณธรรม ด้านการเมือง ความมั่นคง การบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การปกครองท้องถิ่น การศึกษา การสาธารณสุข การเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ผังเมือง ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคม ชาติพันธุ์ ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม คุ้มครองผู้บริโภค ด้านเด็กและเยาวชน สตรี ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ และด้านอื่นๆ โดยจะตั้งคณะกรรมการสรรหาขึ้นมาอีกชุดหนึ่งเช่นกัน
สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งของ ส.ว. 6 ปี แต่ใน 3 ปีแรก จะให้ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งกันเอง 65 คน และ ส.ว.จากการสรรหา 58 คน จับสลากออก 35 คน เพื่อให้มี ส.ว.รวม 100 คน พ้นจากตำแหน่งในช่วงแรกก่อน แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ที่พ้นจากตำแหน่ง โดยสามารถใช้สิทธิลงสมัครเป็น ส.ว.ได้อีก