ผู้เขียน หัวข้อ: ร้องปปท.ตรวจสอบกรรมการสปสช. ส่อทุจริตโครงการ30บาท  (อ่าน 417 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
ศึกวงการหมอระอุร้องป.ป.ท.ตรวจสอบกรรมการ สปสช.5ประเด็น ส่อทุจริตโครงการ30บาท มีผลประโยชน์ทับซ้อน อมค่าคอมมิชชั่นยา 600 ล้านดูงานต่างประเทศ

นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยว่า ป.ป.ท.ได้รับหนังสือร้องเรียนกล่าวหาการดำเนินการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ( สปสช. ) กองทุน 30บาทรักษาทุกโรค ในประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนผูกขาดจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ และนำงบประมาณไปปรับเพิ่มเงินเดือนจนส่งผลกระทบต่อการบริหารงานโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 800 แห่ง ขาดสภาพคล่องทางด้านการเงินถึง 300-500แห่ง และอาจอยู่ในภาวะวิกฤต ที่ไม่สามารถได้รับเงินสนับสนุนจำนวนประมาณ 105 แห่ง ซึ่งป.ป.ท.จะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบหลักฐานส่อถึงการทุจริตจะเร่งรายงานให้พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับทราบเพื่อดำเนินการไม่ให้ความเสียหายขยายวงกว้างเพิ่มขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับหนังสือร้องเรียนให้ตรวจสอบสปสช.แยกเป็นประเด็น ดังนี้ 1. คณะกรรมการ สปสช. บางคนมีผลประโยชน์ทับซ้อนโดยจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนเพื่อใช้ในด้านต่างๆ และมีกรรมการ สปสช. เป็นประธานอนุกรรมการหรืออนุกรรมการใช้กระบวนการออกระเบียบที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายเงิน เพื่อให้สามารถนำเงินกองทุน 30 บาท รักษาทุกโรค ไปใช้โดยไม่เป็นไปตามกฎหมาย เช่นในกรณี ให้มูลนิธิ ชมรม หรือบุคคล ซึ่งคณะกรรมการสปสช. บางคนหรืออนุกรรมการบางคนใน สปสช. เป็นประธานมูลนิธิ หรือคณะกรรมการมูลนิธิ มูลนิธิ ชมรม ทั้งที่ไม่ใช่หน่วยบริการที่สามารถรับเงินจาก สปสช.ได้

ประเด็นที่ 2 คณะกรรมการ สปสช. ได้นำเงินไปใช้ในโครงการต่าง ๆ ในโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งไม่ใช่หน่วยบริการตามกฎหมาย สปสช. ที่สามารถรับเงินจากกองทุนได้ อันเป็นการบริหารงานที่เป็นลักษณะเอื้อประโยชน์ต่อโรงพยาบาลเอกชนโดยไม่สนับสนุนหน่วยบริการของรัฐที่มีหน้าที่โดยตรง หรือหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รักษาพยาบาลโดยตรง อีกทั้ง ไม่มีหลักเกณฑ์ในการรับรองประสิทธิภาพการรักษาผู้ป่วยจากโรคเฉพาะทางตามโครงการ แต่เป็นการนำเงินกองทุนไปทำให้เอกชนได้ประโยชน์และเกิดรายได้จากโครงการที่สนับสนุนโดยไม่ชอบ ซึ่งมีการเสนอขอแก้มติและระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้สามารถใช้จ่ายเงินได้

ประเด็นที่ 3 คณะกรรมการ สปสช. ทำหน้าที่ในการดูแลประสานภาพรวมของเงินกองทุน 30 บาททั่วประเทศ โดยได้มีการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือทางแพทย์ ในลักษณะผูกขาด วงเงินปีละกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งหน่วยบริการหรือโรงพยาบาลของรัฐที่เป็นหน่วยที่ใช้ยาจริงไม่ได้กำหนด ทั้งยังปรากฏ มีเงินตอบแทนหรือค่าคอมมิชชั่นประมาณ 10% จากวงเงินดังกล่าว ประมาณ 600 ล้านบาท คืนกลับไปยังสวัสดิการของ สปสช. แทนที่สปสช.จะคืนเงินกลับเข้ากองทุน 30 บาท หรือโรงพยาบาลที่ใช้ยาจริง แต่กลับนำเงินตอบแทนไปใช้ประโยชน์เพื่อพวกพ้อง เช่น การนำบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ หรือไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลร่วมคณะเดินทางไปดูงานต่างประเทศ

​ประเด็นที่ 4 มีลักษณะการกระทำเป็นการตกแต่งบัญชีเพื่อให้เข้าใจว่า สปสช. สามารถบริหารเงินกองทุนที่ได้รับการจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพ (ใช้งบประมาณหมด) โดยวิธีการโอนงบประมาณไปให้โรงพยาบาลต่าง ๆ จำนวน 250 โรงพยาบาล กว่า 2,000 ล้านบาท เมื่อมีการพิจารณาจากโบนัสให้กับพนักงาน และได้รับงบประมาณก้อนใหม่ สปสช.จะเรียกเงินคืนจากโรงพยาบาลโดยอาจเป็นการโอนผิด ซึ่งอาจมีลักษณะเกี่ยวโยงถึงการประเมินผลงานและโบนัสประจำปีของสำนักงาน

และประเด็นที่ 5 เป็นการร้องเรียนให้ตรวจสอบ การปรับอัตราเงินเดือนค่าตอบแทนของคณะกรรมการหรือเลขาธิการ สปสช. ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี กล่าวคือ ใช้ในอัตราสูงสุดที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยไม่ได้เป็นการเพิ่มขึ้นเป็นลำดับขั้น หรือแม้แต่ค่าตอบแทนเบี้ยประชุมของคณะอนุกรรมการมีอัตราเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเช่นกัน


 กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 08 มีนาคม 2558