ผู้เขียน หัวข้อ: ชนกลุ่มแรกในทวีปอเมริกา-สารคดี-เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก  (อ่าน 1044 ครั้ง)

pani

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 756
    • ดูรายละเอียด

ภาพ : ชนกลุ่มแรกในทวีปอเมริกา
ภาพโดย : พอล นิกเคลน
คำบรรยายภาพ : กะโหลกศีรษะของสตรีวัยเยาว์คนหนึ่งถูกวางหงายขึ้นเพื่อให้ฟันอยู่กับที่ กะโหลกซึ่งพบในถ้ำใต้น้ำในประเทศเม็กซิโกนี้เผยให้เห็นโฉมหน้าผู้อยู่อาศัยกลุ่มแรกในดินแดนโลกใหม่

การค้นพบทางโบราณคดี ทฤษฎี และงานวิจัยใหม่ๆด้านพันธุกรรม ช่วยไขปริศนาที่มีมานานเรื่องชนกลุ่มแรกสุดในทวีปอเมริกา

ใบหน้าแรกของมนุษย์คนแรกๆในทวีปอเมริกาเป็นของเด็กหญิงวัยรุ่นผู้อับโชคที่ตกลงไปเสียชีวิตในถ้ำบนคาบสมุทรยูกาตานเมื่อราว 12,000 ถึง 13,000 ปีมาแล้ว เรื่องราวการค้นพบเธอเปิดฉากขึ้นในปี 2007 เมื่อทีมนักดำน้ำชาวเม็กซิกันนำโดยอัลเบร์โต นาบา พบสิ่งที่น่าตื่นใจ นั่นคือถ้ำมหึมาใต้น้ำที่พวกเขาตั้งชื่อว่า โอโยเนโกร (Hoyo Negro) หรือ “หลุมดำ” แสงไฟของพวกเขาส่องให้เห็นกระดูกสมัยก่อนประวัติศาสตร์กองสุมอยู่บนพื้นถ้ำอันมืดมิด รวมทั้งโครงกระดูกมนุษย์ที่เกือบจะสมบูรณ์อย่างน้อยหนึ่งโครง

นาบารายงานการค้นพบนี้ไปยังสถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติของเม็กซิโก ซึ่งได้รวบรวมทีมนักโบราณคดีและนักวิจัยสาขาอื่นๆจากนานาชาติมาทำการสำรวจถ้ำและสิ่งที่อยู่ภายใน โครงกระดูกซึ่งได้รับการขนานนามอย่างรักใคร่เอ็นดูว่า ไนอา (Naia) ตามชื่อของนางไม้ที่สิงสถิตอยู่ในน้ำในเทพปกรณัมกรีก ได้กลายเป็นโครงกระดูกเก่าแก่ที่สุดโครงหนึ่งเท่าที่เคยพบในทวีปอเมริกา และเป็นโครงกระดูกแรกสุดที่อยู่ในสภาพดีพอจะใช้เป็น ฐานเพื่อจำลองใบหน้าขึ้นใหม่ แม้แต่นักพันธุศาสตร์ยังสามารถสกัดตัวอย่างดีเอ็นเอของเธอได้

เศษซากและหลักฐานเหล่านี้อาจร่วมกันไขปริศนาที่มีมานานเรื่องการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในทวีปอเมริกา กล่าวคือถ้าชาวอเมริกันพื้นเมืองสืบเชื้อสายมาจากผู้บุกเบิกชาวเอเชียซึ่งอพยพมายังทวีปอเมริกาตอนปลายสมัยน้ำแข็งครั้งสุดท้าย เหตุไฉนพวกเขาจึงไม่มีความคล้ายคลึงกับบรรพบุรุษยุคโบราณของตนเลย

จากรูปลักษณ์ทุกอย่างที่เห็น ชนกลุ่มแรกสุดในทวีปอเมริกาเป็นพวกก้าวร้าวเลือดร้อน หากเรามองดูซากโครงกระดูกของคนในทวีปอเมริกาสมัยดึกดำบรรพ์ (Paleo-American) จะเห็นว่า ผู้ชายกว่าครึ่งได้รับบาดเจ็บจากความรุนแรง และสี่ในสิบคนมีรอยแตกร้าวที่กะโหลกศีรษะ ซึ่งไม่คล้ายกับรอยที่เกิดจากอุบัติเหตุในการล่าสัตว์ และไม่มีร่องรอยใดบ่งบอกถึงการต่อสู้ในสงคราม แต่กลับดูเหมือนว่าเป็นการต่อสู้กันเอง

พวกผู้หญิงไม่มีการบาดเจ็บในลักษณะนี้ แต่มีรูปร่างเล็กกว่าพวกผู้ชายมาก อีกทั้งมีร่องรอยของภาวะทุพโภชนาการและการเป็นเหยื่อความรุนแรงภายในครอบครัว

ในความเห็นของจิม แชตเทอร์ส นักโบราณคดีและผู้นำร่วมของทีมวิจัยโอโยเนโกร เห็นว่า ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่า คนในทวีปอเมริการุ่นแรกสุดเป็นพวกที่เขาเรียกว่า “คนเถื่อนของซีกโลกเหนือ” คือมีความกล้าบ้าบิ่นและก้าวร้าว  พวกผู้ชายมีความเป็นชายสูงเกินปกติ ส่วนพวกผู้หญิงมีร่างเล็กและอยู่ใต้อำนาจของฝ่ายชาย เขาคิดว่านี่คือเหตุผลที่ลักษณะใบหน้าของคนกลุ่มแรกสุดในทวีปอเมริกาดูช่างแตกต่างจากใบหน้าของชาวอเมริกันพื้นเมืองรุ่นหลังๆมาก คนเหล่านี้เป็นนักบุกเบิกและชอบเสี่ยงภัย พวกผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดจะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติและชนะในการต่อสู้แย่งชิงผู้หญิง ด้วยเหตุนี้ ลักษณะนิสัยแกร่งกร้าวและรูปร่างบึกบึนจึงได้รับคัดเลือกมากกว่าพวกที่นุ่มนวลและก้าวร้าวน้อยกว่า ซึ่งปรากฏให้เห็นในประชากรรุ่นต่อๆมาที่อยู่เป็นหลักแหล่งมากขึ้น

ไนอามีลักษณะใบหน้าเหมือนคนในทวีปอเมริการุ่นแรกสุดทั่วไป เช่นเดียวกับลายเซ็นทางพันธุกรรม (genetic signature) แบบเดียวกับที่พบในชาวอเมริกันพื้นเมืองปัจจุบัน นี่แสดงว่าคนทั้งสองกลุ่มไม่ได้แตกต่างกันเพราะประชากร รุ่นแรกสุดถูกแทนที่ด้วยประชากรรุ่นหลังๆซึ่งอพยพมาจากเอเชีย ดังที่นักมานุษยวิทยาบางคนยืนยัน หากเกิดจากการที่ประชากรกลุ่มแรกวิวัฒน์หรือเปลี่ยนแปลงไปหลังมาถึงทวีปอเมริกาแล้วต่างหาก

ตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ของศตวรรษที่ยี่สิบ เป็นที่เข้าใจกันว่า ปริศนาเกี่ยวกับคนกลุ่มแรกสุดในทวีปอเมริกาได้รับการไขให้กระจ่างแล้วไม่มากก็น้อย ย้อนหลังไปเมื่อปี 1908 โคบาลคนหนึ่งที่หมู่บ้านฟอลซอม รัฐนิวเม็กซิโกพบซากของไบซันโบราณซึ่งเป็นชนิดย่อยที่สูญพันธุ์ไปแล้วของไบซันเขายาว พวกมันเคยท่องไปทั่วพื้นที่แถบนั้นเมื่อกว่า 10,000 ปีมาแล้ว ต่อมานักวิจัยของพิพิธภัณฑ์พบปลายหอกปะปนอยู่กับกองกระดูก ซึ่งเป็นหลักฐานชี้ชัดว่ามีคนอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือมาเนิ่นนานก่อนช่วงเวลาที่เราเคยเชื่อกัน หลังจากนั้นไม่นานก็พบปลายหอกอายุ 13,000 ปีใกล้กับเมืองโคลวิส รัฐนิวเม็กซิโก และภายหลังก็มีผู้พบสิ่งที่รู้จักกันในนามปลายหอกโคลวิสนี้ในแหล่งโบราณคดีต่างๆอีกหลายสิบแห่งทั่วทวีปอเมริกาเหนือ

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่า ทวีปเอเชียและทวีปอเมริกาเหนือเคยเชื่อมต่อกันด้วยมวลแผ่นดินกว้างใหญ่ที่เรียกว่า เบอรินเจีย (Beringia) ในช่วงสมัยน้ำแข็งครั้งสุดท้าย กอปรกับชนกลุ่มแรกในทวีปอเมริกาดูเหมือนจะเป็นพวกพรานล่าสัตว์ใหญ่ที่เคลื่อนย้ายตลอด จึงฟังดูสมเหตุสมผลที่จะสรุปว่า พวกเขาคงตามแมมมอทและสัตว์ที่ล่าอื่นๆออกมาจากทวีปเอเชีย ข้ามเบอรินเจียลงมาทางใต้ ผ่านฉนวนเปิดหรือเส้นทางระหว่างพืดน้ำแข็งแคนาดาขนาดมโหฬารสองแผ่น และในเมื่อไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือใดมาสนับสนุนว่าเคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ก่อนช่วงเวลาของพรานโคลวิส จึงเป็นที่มาของทฤษฎีที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางมาตลอดว่า พรานโคลวิสคือชนกลุ่มแรกในทวีปอเมริกา

แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในปี 1997 เมื่อทีมนักโบราณคดีมีชื่อหลายคนไปเยือนแหล่งโบราณคดีชื่อมอนเตเวร์เด (Monte Verde) ทางตอนใต้ของประเทศชิลี ที่นั่น ทอม ดิลเลเฮย์ จากมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ อ้างว่าได้พบหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์เมื่อกว่า 14,000 ปีมาแล้ว คำกล่าวอ้างนี้จุดประเด็นโต้แย้งเช่นเดียวกับการกล่าวถึงมนุษย์ก่อนยุคโคลวิสอื่นๆ ดิลเลเฮย์ถึงกับถูกกล่าวหาว่าไปจัดฉากโบราณวัตถุและสร้างข้อมูลขึ้นมาเอง แต่หลังจากพิจารณาหลักฐานซ้ำอีกครั้ง ทีมผู้เชี่ยวชาญก็ลงความเห็นว่า คำกล่าวอ้างของเขามีน้ำหนักน่าเชื่อถือ

ในช่วง 18 ปีนับตั้งแต่ “ระเบิด” มอนเตเวร์เดตกลงมาสร้างความสั่นสะเทือนให้วงการโบราณคดี  คำถามดั้งเดิมที่ว่า โคลวิสคือคนกลุ่มแรกใช่หรือไม่  ได้รับคำตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลักฐานจากแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในทวีปอเมริกาเหนือเผยให้เห็นว่า เคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนยุคโคลวิส โดยเฉพาะแหล่งโบราณคดีเดบรา แอล. ฟรีดกิน (Debra L. Friedkin Site) ทางตอนกลางของรัฐเทกซัส ซึ่งอาจถึงกับเป็นสถานที่อยู่อาศัย แห่งแรกสุดของมนุษย์ในซีกโลกตะวันตกที่สามารถพิสูจน์ได้

เมื่อปี 2011 ไมเคิล วอเตอร์ส นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม ประกาศว่า เขาและทีมงานขุดพบหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์เป็นบริเวณกว้าง โดยมีอายุเก่าแก่ถึง 15,500 ปี หรือราว 2,500 ปีก่อนพรานโคลวิสกลุ่มแรกจะมาถึง แหล่งโบราณคดีฟรีดกินตั้งอยู่ในหุบเขาเล็กๆ ห่างจากเมืองออสตินไปทางเหนือราวหนึ่งชั่วโมงทางรถยนต์ ที่นั่นมีธารน้ำเล็กๆไหลรินชั่วนาตาปี ปัจจุบันเรียกว่า ลำธารบัตเตอร์มิลก์ ขนาบข้างด้วยต้นไม้ให้ร่มเงาและชั้นหินเชิร์ตซึ่งเป็นหินที่ใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ ทำให้พื้นที่แถบนี้เหมาะแก่การอยู่อาศัยของผู้คนตลอดระยะเวลาหลายพันปี

“หุบเขาแห่งนี้มีบางอย่างต่างจากที่อื่นครับ” วอเตอร์สบอก เราเคยคิดกันมานานว่า คนกลุ่มแรกสุดในทวีปอเมริกาเป็นพวกล่าสัตว์ใหญ่กันเป็นหลัก โดยติดตามแมมมอทและมาสโตดอนพันธุ์อเมริกันข้ามทวีปเข้ามา แต่หุบเขานี้เป็นทำเลเหมาะมากสำหรับพวกเก็บของป่าล่าสัตว์ ผู้คนที่นี่น่าจะกินถั่วและรากพืช กุ้งเครย์ฟิชและเต่า และคงล่าสัตว์ เช่น กวาง ไก่งวง และกระรอก พูดอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนเหล่านี้คงไม่ได้มาแวะพักระหว่างเดินทางต่อไปยังที่อื่น แต่พวกเขาอยู่อาศัยกันที่นี่

วอเตอร์สบอกว่า “ผมคิดว่าข้อมูลนี้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่ามีคนเข้ามาอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือเมื่อ 16,000 ปีก่อน เวลาจะพิสูจน์ว่าหลักฐานดังกล่าวคือตัวแทนของการอยู่อาศัยแรกเริ่มในทวีปอเมริกาได้หรือไม่ หรือว่ามีอะไรอื่นที่เก่ากว่านี้”

 เรื่องโดย เกลนน์ ฮอดเจส
มกราคม