ผู้เขียน หัวข้อ: ฉันผิดหรือที่ลาออกจากระบบราชการ‏--ข้อคิดเห็นดีๆ จาก นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา  (อ่าน 4643 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9745
    • ดูรายละเอียด
ผมอ่านความเห็นของพวกเรามาหลายวันแล้ว ผมจะไม่ออกความเห็นเองแต่จะเอาความเห็นของคนสำคัญมาอ้าง

ตอนที่ผมได้รับทุนอานันทมหิดลไปศึกษาต่างประเทศ ผมได้ถาม อาจารย์หม่อมหลวงเกษตร สนิทวงค์ซึ่งเป็นเลขาธิการของมูลนิธิ ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่าอย่างไร

ถาม---เมื่อผมเรียนจบกลับมาผมต้องใช้ทุนหรือไม่
คำตอบ---ไม่ต้องใช้ทุนคืน ไม่มีข้อผูกพัน พระองค์ท่านต้องการพัฒนาคนไทยให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศ (ใช้เงินสร้างคน
ไม่ได้เน้นสร้างวัตถุ)

ถาม---เมื่อกลับมาต้องรับราชการหรือไม่
คำตอบ---ไม่จำเป็น ทำงานที่ใดก็ช่วยประเทศชาติและคนไทยได้ เพียงแต่ทำอย่างดีที่สุดเพื่อประโยชน์ของคนไทยไม่จำเป็นต้องรับราชการ

ถาม---ถ้าผมอยู่ในสหรัฐอเมริกาต่อไม่กลับประเทศไทยจะได้หรือไม่
คำตอบ---ถ้ามีความรู้และอายุขนาดนี้แล้วไม่รู้จักบุญคุณ พระองค์ท่านก็จะปล่อยไป ไม่ต้องชดใช้ทุนคืน
 
ผลคือผมต้องกลับประเทศไทยทั้งที่มีใบประกอบวิชาชีพที่สหรัฐฯแล้ว ไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเนรคุณ ตอนเรียนก็พยายามประหยัด ไปเป็น half-time instructor ได้ยกเว้นค่าเล่าเรียน รับเงินจากมูลนิธิเดือนละ US$ 150.00 เมื่อผมเป็นประธานจัดประชุม Western Pacific Congress of Chemotherapy and Infectious Diseases ที่ศูนย์สิริกิติ ผมได้ถวายเงินกำไรทั้งหมดให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อใช้ตามพระราช อัชฌาสัยเป็นเงิน สิบสี่ล้านบาทโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการจัดงานและสมาคมโรคติดเชื้อ
 
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือบทสัมภาษณ์ของลีกวนยูโดย ทอม แพลท ในหนังสือ Citizen Singapore: How to build a nation. เติงเสี่ยวผิง (Deng Xiaoping) ได้มาพบลีกวนยู เมื่อปี พ.ศ.2521 ก่อนที่เติงจะเป็นใหญ่ ลีกวนยูได้บอก เติงว่า แนวคิดของคอมมิวนิสต์คือทุกคนต้องเสียสละตนเองและครอบครัวเพื่อเพื่อนร่วม ชาติ แต่สิงคโปรมีแนวคิดว่า เราจะต้องทำเพื่อตนเองและครอบครัวก่อนแต่ต้องรู้จักพอและกลับมาช่วยเหลือผู้ อื่นที่ด้อยโอกาสกว่า ซึ่งเติง เห็นด้วยเมื่อเขาเป็นใหญ่เขายกที่ดินให้ชาวนาทำเองไม่ใช่ทำให้รัฐโดยตนเอง ไม่ได้อะไร  ปรับปรุงเมืองชายทะเลให้เจริญ เมื่อได้เงินมากก็ไปสร้างถนน ที่อยู่อาศัยและพัฒนาให้กับท้องถิ่นที่ยังไม่เจริญ

      บนเครื่องบินเขาจะแนะนำว่าถ้าความดันในเดรื่องบินตกให้เราใส่หน้ากาก ออกซิเจนของเราก่อนแล้วจึงใส่ไห้เด็ก ไม่ใช่ช่วยคนอื่นที่เขาช่วยตัวเองไม่ได้ก่อนเพราะจะทำให้เราที่จะช่วยคนอื่น ได้เลยไม่ได้ช่วยเพราะเราตายก่อนเลยไม่ได้ช่วยคนอื่น

      เมื่อหลายปีก่อน UNICEF โฆษณาในวารสารต่างประเทศ ( เช่น Time Magazine) เรื่องช่วยคนตาบอด เขาบอกว่าอย่าเอาเงินไปช่วยคนตาบอด และให้เอาเงินไปให้จักษุแพทย์แทน เพื่อให้จักษุแพทย์มีทุนไปช่วยรักษาคนตาบอดได้จำนวนมาก แต่ถ้าเอาเงินไปให้คนตาบอด อาจช่วยได้ไม่กี่คนและเป็นระยะสั้น

     ผมอยากจะสรุปสั้นๆว่าการช่วยเหลือประชาชน ไม่จำเป็นต้องรับราชการ  เอกชนช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐฯ ทำให้รัฐฯไม่ต้องเอาเงินมาใช้ลงทุน เอกชนแบ่งเบาให้คนที่พอช่วยตนเองได้ไม่ต้องไปแย่งกับคนที่ด้อยโอกาส เอกชนต้องจ่ายเงินกำไรให้กับรัฐอย่างน้อย 30% เอกชนช่วยให้คนมีงานทำและเสียภาษีรายได้ให้รัฐ แต่ราชการนั้นเอาเงินภาษีมาใช้และไม่ได้เสียภาษีด้วย

    การจะช่วยเหลือคนอื่นเราต้องทำเรื่องใกล้ตัวก่อน ช่วยตัวเองและครอบครัวก่อน ไม่ใช่ทำงานจนทิ้งครอบครัวช่วยตนอื่นแต่ทำบาปในครอบครัวของตน แต่ขณะเดียวกันต้องรู้จักพอ รู้จักให้และช่วยเหลือผู้อื่นที่สมควรช่วยด้วย การให้นั้นต้องให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่หวังผลตอบแทน และไม่ทวงบุญคุณ
 
สมศักดิ์ โล่ห์เลขา
13 มีค 2554
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มีนาคม 2011, 12:03:16 โดย story »

หมอธรรมดาๆ

  • Verified User
  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 36
    • ดูรายละเอียด
เป็นข้อคิดเห็นที่ยอดเยี่ยมมากครับ  นับถือๆๆ  :)