ผู้เขียน หัวข้อ: โสเภณี 10 แบบในประวัติศาสตร์โลก  (อ่าน 1592 ครั้ง)

science

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 184
    • ดูรายละเอียด
โสเภณี 10 แบบในประวัติศาสตร์โลก
« เมื่อ: 26 ธันวาคม 2014, 00:32:41 »
 คอลัมน์ Sexociety โดย Dr.DEN

มันถูกเรียกว่าอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
       
       การค้าประเวณี มีอยู่ทุกหนแห่งตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกประวัติศาสตร์กันมาแล้ว และมันเป็นอาชีพที่มีเวลาอันยาวนานที่สุดในการเจริญเติบโต โสเภณีมิได้เป็นเพียงโสเภณีอย่างเดียว มีผู้หญิงมากมายหลายแบบตลอดประวัติศาสตร์ที่ให้บริการหลากหลายระดับในสังคมเมือง ตั้งแต่ออหรี่ชั้นต่ำจนถึงหญิงงามเมืองของสังคมชั้นสูง

   
        1) หยิง-ชิ (Ying-Chi)
       
       หยิง-ชิ เป็นโสเภณีอิสระอย่างเป็นทางการพวกแรกในประวัติศาสตร์จีน โดยมีพวกเธอมาตั้งแต่ สมัยจักรพรรดิหวู่ ซึ่งว่ากันว่าพระองค์เกณฑ์บรรดาข้าราชบริพารฝ่ายหญิงให้มารับหน้าที่อย่างเดียว คือ การบำเรอทหารในกองทัพของพระองค์ขณะเดินทัพระยะไกล
       
       คำว่า หยิง-ชิ นั้น แปลตามตัวได้ว่า “โสเภณีในค่ายทหาร” ซึ่งถือว่าเป็นคำยกย่องอย่างสูงในยุค 100 ปีก่อนคริสต์ศักราช
       
       แหล่งข่าวบางแห่งตั้งข้อสงสัยว่าหญิงสาวเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นโสเภณีจีนพวกแรก ว่ากันว่า กษัตริย์แห่งเย่ว์ (มณฑลกวางตุ้งในประเทศจีน) ได้จัดตั้งค่ายค้าประเวณีเป็นแห่งแรก ซึ่งประกอบด้วยบรรดาแม่ม่ายของทหารที่ล้มตาย ผู้หญิงเหล่านี้แตกต่างจาก หยิง-ชิ เป็นอันมาก เพราะ หยิง-ชิ เป็นที่นิยมยกย่องและมีบทบาทในการมอบ “มิตรภาพ” ให้แก่ชายชาติทหารเท่านั้น
       
       นอกจากนี้ หยิง-ชิ ยังแตกต่างจากผู้หญิงที่ทำงานในซ่องโสเภณีที่ดำเนินกิจการโดยรัฐบาล ซึ่งเป็นสถาบันที่เก่าแก่มากกว่า โดยสามารถย้อนหลังไปได้ถึง 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช

   
        2) โสเภณีวิหาร (Temple Prostitutes)
       
       บทบาทของ โสเภณีวิหาร ในสังคมกรีก-โรมันโบราณนั้น เป็นเรื่องที่เคยถกเถียงกันมามาก ไม่ใช่เรื่องที่เถียงกันว่ามันเป็นการปฏิบัติที่นิยมกันหรือไม่ ข้อนั้นมันแน่อยู่แล้ว แต่รายละเอียดของการปฏิบัติต่างหากที่ยังต้องมีการตีความ
       
       โสเภณีวิหาร คือ พวกผู้หญิงที่ขายบริการภายใต้ความศักดิ์สิทธิ์ของวิหาร และด้วยการอนุญาตจากนักบวชของวิหาร นอกจากนี้พวกเธอยังทำงานเพื่อเทพเจ้าของพวกเธออีกด้วย
       
       การบริการทางศาสนาของโสเภณีวิหารเหล่านี้จะได้รับค่าตอบแทนกี่มากน้อยนั้นไม่มีใครรู้ นักวิชาการบางคนแย้งว่าพวกเธอเป็นเพียงทาสที่ขายบริการเพื่อให้ได้รับเงินมาเข้าวิหารเท่านั้น บางคนเชื่อว่าพวกเธอมีบทบาทที่ได้รับการเคารพมากกว่านั้นเยอะ
       
       ในวิหารและในการบวงสรวงเทพเจ้าของพวกเธอ และเชื่อว่าการไปเยือนโสเภณีวิหารและจ้างเธอ (หรือเขา) มาให้บริการนั้น เป็นรูปแบบของการบวงสรวงอย่างหนึ่ง ทฤษฎีนี้เป็นที่นิยมเป็นพิเศษในลัทธิการเจริญพันธุ์และผู้บูชากามเทวีอย่าง แอโฟรไดต์ (วีนัส) แนวความคิดของโสเภณีวิหารนั้น เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ และมีระดับชั้นที่แตกต่างกันตาม
       
       สมณะศักดิ์ของวิหาร สาวพรหมจรรย์จำนวนมากทุกระดับชั้นในสังคมถูกนำมาที่วิหาร เพื่ออุทิศชีวิตและร่างกายของพวกเธอให้แก่การบวงสรวงเทพเจ้าและเทวีของพวกเขา
       
       บางแหล่งข่าวระบุว่าหญิงสาวที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปีเท่านั้น ที่จะได้เป็นโสเภณีวิหารในยุคกรีกโบราณ มีหลักฐานจำนวนมหาศาลที่ขัดแย้งกันว่าโสเภณีวิหารมีบทบาทอย่างไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ พวกเธอเป็นส่วนสำคัญของวิถีชีวิตแห่งวิหาร

   
        3) เทวทาสี (Devadasis)
       
       เทวทาสี คือ ผู้หญิงที่ถูกบังคับให้เข้าสู่วิถีชีวิตของการค้าประเวณี เพื่อรับใช้กามเทวีของฮินดูที่ชื่อ เยลลัมมา เมื่อเด็กหญิงเหล่านั้นถึงวัยเจริญพันธุ์ พ่อแม่ของพวกเธอก็นำพรหมจรรย์ของพวกเธอออกประมูลและขายให้แก่ผู้ให้ราคาสูงสุด
       
       ในทันทีที่พรหมจรรย์ของพวกเธอถูกทำลาย พวกเธอก็ถูกอุทิศให้กับเทวีองค์นั้น และใช้เวลาที่เหลือในชีวิตเป็นโสเภณีในพระนามของเยลลัมมา ทุกคืนชะตากรรมของพวกเธอไม่เคยเปลี่ยน กล่าวคือ ถูกขายให้ใครก็ตามที่จ่ายมากที่สุด
       
       สำหรับพ่อแม่ มันไม่ใช่การกระทำที่เลวร้ายแต่อย่างใด ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ต้องจ่ายค่าสินสอดให้กับผู้ชายที่จะมาแต่งงานกับลูกสาวของพวกเขาเท่านั้น แต่พ่อแม่หลายคนยังเก็บเงินที่ลูกสาวหามาได้อีกด้วย
       
       การปฏิบัติดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในศาสนาของเยลลัมมาที่ปฏิบัติกันมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ แต่ถึงแม้ว่ามันเป็นสิ่งผิดกฎหมายในอินเดียในค.ศ. 1988 การปฏิบัติเช่นนี้ก็ยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน ตราบาปที่ติดตัวเทวทาสีนั้นหนักหนาสาหัส
       
       แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจที่จะเลิกใช้ชีวิตแบบนี้ พวกเธอก็จะไม่มีวันได้แต่งงาน ทันทีที่พวกเธอถูกอุทิศให้แก่เทวีของพวกเธอ ก็ไม่มีทางหันกลับมาอีกได้ เทวทาสีส่วนใหญ่ถูกขับออกจากวิหารในวัย 45 ปี เมื่อพวกเธอถูกพิจารณาว่าไม่เป็นสาวและไม่มีเสน่ห์พอที่จะนำเกียรติศักดิ์มาสู่เทวีของพวกเธอได้แล้ว และส่วนใหญ่กลายเป็นขอทานเพื่อประทังชีวิตส่วนที่เหลือไปจนวันตาย


        4) นางโลม (Comfort Women)
       
       นางโลม หรือที่เรียกอีกอย่างว่า “หญิงประโลมใจ” ในสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น เป็นเชิงอรรถทางประวัติศาสตร์อันดำมืด และถูกมองข้ามอยู่บ่อยๆ มันเริ่มต้นในปี 1932 เมื่อทหารญี่ปุ่นเริ่มเกณฑ์ผู้หญิงซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีมาทำงานใน “สถานีประโลมใจ” ที่จัดตั้งขึ้นใหม่
       
       ผู้หญิงเหล่านี้ได้รับคำสัญญาว่าจะมีงานทำ แต่สิ่งที่ทางญี่ปุ่นไม่ได้บอกพวกเธอ ก็คือว่า สถานีเป็นซ่องโสเภณีสำหรับบริการทหารญี่ปุ่น
        ในที่สุดผู้หญิงประมาณ 200,000 คน ถูกลำเลียงไปทางเรือเพื่อเป็นนางโลม และประมาณการกันว่ามีเพียง 25-30% ของผู้หญิงเหล่านี้ที่รอดชีวิตจากเคราะห์กรรมของพวกเธอ เด็กหญิงอายุแค่ 11 ขวบถูกบังคับให้บริการทางเพศแก่ผู้ชายวันละประมาณ 50-100 คน และจะถูกเฆี่ยนตีถ้าพวกเธอปฏิเสธ
       
       ในขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นเคยกล่าวคำขอโทษด้วยวาจามาบ้างแล้ว แต่พวกเขาปฏิเสธการชดเชยด้านการเงินให้แก่นางโลมและครอบครัวของพวกเธอ พอถึงปี 2014 ก็มีนางโลมเพียง 55 คนที่ยังมีชีวิตอยู่

   
        5) โอเลทริดิส (Auletrides)
       
       โอเลทริดิส คือ โสเภณีชั้นหนึ่งของกรีกซึ่งมีตำแหน่งอันน่าพึงพอใจในสังคมกรีกโบราณ ผู้หญิงเหล่านี้ห่างไกลจากออหรี่ธรรมดาด้วยทักษะที่มากกว่าแค่การขายบริการทางเพศ พวกเธอเป็นนักเป่าขลุ่ยและนักเต้นระบำที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี
       
       บางคนมีความสามารถอื่นๆ ที่ทำให้พวกเธอเป็นนักแสดงอันเป็นที่หลงใหลต่อสาธารณชน อย่างเช่น การโยนของสลับมือ การฟันดาบ และการเล่นกายกรรม หลายคนถูกนำไปแสดงปาหี่ตามถนน รวมทั้งในการเฉลิมฉลองทางศาสนาและเทศกาลต่างๆ แหล่งข่าวบางคนกล่าวว่าพวกเธอยังเป็นผู้ให้ความบันเทิงยอดนิยมสำหรับเด็กๆ อีกด้วย
       
       โอเลทริดิสยังถูกจองตัวไว้สำหรับแสดงในงานเลี้ยงส่วนตัวได้อีกด้วย และมักจะจบลงด้วยการให้บริการทางเพศด้วยความชำนาญของพวกเธอ ความสามารถพิเศษอื่นๆ ของพวกเธอบางคนก็ยังมีอีก เช่น เป็นนักเล่นพิณหรือนักเล่นกีตาร์ หญิงสาวเหล่านี้ (บางทีก็เป็นเด็กหนุ่ม) มักขึ้นสังกัดกับแม่เล้าซึ่งจ้างพวกเธอออกไปหาลำไพ่ในงานเลี้ยงส่วนตัว

 ASTVผู้จัดการออนไลน์
   11 ธันวาคม 2557

science

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 184
    • ดูรายละเอียด
Re: โสเภณี 10 แบบในประวัติศาสตร์โลก
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2014, 00:33:39 »
6. คณิกา (Ganika)
       
       คณิกาก็คือ เกอิชาในเวอร์ชั่นอินเดียนั่นเอง ผู้หญิงเหล่านี้ชื่นมื่นกับที่ยืนในระดับสูงของสังคม และการมีนางคณิกาไว้ใกล้ๆ ตัวสักคนหนึ่ง มันหมายถึงคุณจะมีโชคดีและความมั่งคั่งตามมา
       
       นางคณิกาจะไม่มีวันได้แต่งงาน และไม่มีวันเป็นแม่ม่าย พวกเธอจึงรอดพ้นจากตราบาปของสังคมในความเป็นแม่ม่าย เพราะแม่ม่ายของชาวฮินดูนั้นถูกพิจารณาว่าเป็นกาลกิณี และถูกห้ามมิให้ปรากฏตัวต่อสาธารณะ
       
       สังคมอินเดียยอมรับการมีโสเภณี 9 แบบ และคณิกาเป็นโสเภณีชั้นสูงสุด นอกจากพรสวรรค์ทางเพศแล้ว โสเภณีชั้นสูงของอินเดียเหล่านี้ยังถูกคาดหวังให้เรียนรู้ทักษะอื่นๆ ในด้านการแสดงศิลปะอีกด้วย ทันทีที่พวกเธอศึกษาครบจนกระบวนความ ผู้หญิงเหล่านี้ก็จะถูกยกระดับขึ้นเป็นนางคณิกา
       
       ในขณะที่โสเภณีแบบอื่นๆ เป็นเพียงแม่บ้านทั่วไปที่หาลำไพ่พิเศษ เพื่อช่วยเหลือสามีซึ่งควบคุมพวกเธอ หรือไม่ก็เป็นสาวใช้ที่ถูกกำหนดให้รับใช้เจ้านายในทางเพศควบคู่ไปกับการรับใช้ทั่วไป
       
       แต่คณิกาจะได้รับเกียรติให้รับใช้ในราชสำนัก และมีเพลงกับบทกวีที่เขียนขึ้นเพื่อสรรเสริญความงาม และทักษะของพวกเธอ ในขณะที่พวกเธอรับใช้ชนชั้นสูงของสังคมนั้น พวกเธอก็ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายของรัฐ นอกจากนี้พวกเธอยังเป็นสมบัติของรัฐด้วย และจะถูกเฆี่ยนหรือปรับถ้าปฏิเสธลูกค้าที่เป็นชนชั้นสูงคนใดคนหนึ่ง

   
        7. โซนาห์ (Zonah)
       
       โซนาห์คือ โสเภณีในคัมภีร์ฮิบรู พวกเธอแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ ตรงที่ไม่มีผู้ชายคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของ และไม่ต้องรับผิดชอบในการผลิตลูกเพื่อสืบสกุล
       
       โซนาห์มีตัวตนอยู่นอกกฎหมายของคัมภีร์ฮิบรู มีข้อห้ามในคัมภีร์เพียงไม่กี่ข้อสำหรับกำหนดพฤติกรรมของผู้หญิงเหล่านี้
       
       ข้อห้ามที่สำคัญมากข้อหนึ่งก็คือ ห้ามผู้เป็นพ่อขายลูกสาวไปเป็นโสเภณี และถ้าลูกสาวของนักบวชกลายเป็นโซนาห์ เธอก็จะถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็นจนตาย นักบวชถูกห้ามแต่งงานกับโซนาห์ แต่ชายอื่นๆ สามารถแต่งงานและมีความสุขทางเพศกับพวกเธอได้อย่างเท่าเทียมกัน
       
       โสเภณีแบบอื่นๆ นั้นประจำอยู่ที่วิหารของเทพเจ้านอกศาสนาฮิบรู ว่ากันว่ามีข้อห้ามมิให้ผู้หญิงชาวอิสราเอลเป็นโสเภณีประจำวิหารเหล่านั้น

   
        8. เฮไทรา (Hetaira)
       
       เฮไทราคือ โสเภณีชั้นสูงในกรุงเอเธนส์ของกรีกโบราณ เนื่องจากการค้าประเวณีเป็นสิ่งถูกกฎหมายในมหานครแห่งนี้ และด้วยเหตุที่พลเมืองเอเธนส์ไม่สามารถเป็นโสเภณีได้ เฮไทราจึงมักเป็นทาสคนหนึ่ง บางทีก็เป็นผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในเอเธนส์ แต่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่ได้เกิดจากชาวเอเธนส์
       
       เฮไทราแตกต่างจากโสเภณีแบบอื่นๆที่ประกอบอาชีพอยู่หลังห้องปิด กล่าวคือพวกเธอมักจะถูกพบเห็นว่าทำงานรับใช้อยู่ในงานเลี้ยง พวกเธอถูกห้ามแต่งงานกับพลเมืองเอเธนส์ แต่สามารถถูกซื้อและปลดปล่อยให้เป็นอิสระได้
       
       แม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะไม่เป็นที่ชื่นชมของสังคมก็ตาม สถานภาพเฮไทราของพวกเธอจะไม่มีวันถูกลบล้างไปได้ และถ้าพวกเธอถูกจับได้ว่าแสร้งกระทำตนเป็นพลเมืองเต็มตัว พวกเธอก็จะถูกจับตัวส่งฟ้องศาล ถ้าพบว่ามีความผิดจริงก็จะถูกสั่งให้กลายเป็นทาสไปตลอดชีวิต
       
       เฮไทราถูกซื้อไปเป็นเมียเก็บของผู้มีอิทธิพลชั้นสูงอยู่บ่อยๆ และเป็นที่รู้กันดีว่าพวกเธอถูกจ้างให้มานั่งเป็นนางแบบสำหรับการแกะสลักรูปปั้นเทพีวีนัส ทั้งนี้ก็เพราะความสง่างามเป็นเลิศของพวกเธอนั่นเอง


        9. ทาวาอิฟ (Tawaif)
       
       ทาวาอิฟ ถูกรู้จักในฐานะศิลปินนักแสดงในอินเดียเหนือระหว่างศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ทาวาอิฟก็เหมือนกับเกอิชาของญี่ปุ่นเช่นกัน พวกเธอเป็นนักเต้นระบำและนักเล่นดนตรี โดยทั่วไปไม่มีใครคิดว่าพวกเธอเป็นโสเภณี แต่เป็นนักแสดงที่มีกลุ่มผู้อุปถัมภ์ขาประจำแทนที่จะมีลูกค้าขาจร หลายคนร่ำรวย โดยเฉพาะคนที่เลือกผู้อุปถัมภ์อย่างฉลาด
       
       ทาวาอิฟที่มีลูกสาวสามารถส่งต่อมรดกอันมั่งคั่งนั้นได้ และมักมีการสืบทอดอาชีพกันเป็นส่วนใหญ่ จริงๆ แล้ว การมาจากการสืบตระกูลทาวาอิฟอันยาวนานนั้นเป็นการเพิ่มฐานะทางสังคมให้แก่พวกเธอด้วย
       
       พวกเธอถูกห้ามแต่งงาน แต่สามารถมีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับผู้อุปถัมภ์ของพวกเธอได้ ซึ่งทำให้พวกเธอมีสถานะเหมือภรรยาคนหนึ่งทุกอย่าง ยกเว้นทางกฎหมาย เป็นที่น่าสนใจว่าพวกเธอมักจะถูกพบเห็นว่าอยู่เคียงข้างภรรยาตามประเพณีเสมอ เหมือนด้านทั้งสองของเหรียญเดียวกัน
       
       ในขณะที่ภรรยาตามกฎหมายสามารถสืบตระกูลได้อย่างน่านับถือ แต่ทาวาอิฟก็เป็นสาวสวยที่อยู่เคียงข้างกายบนเตียงนอนของบุรุษผู้มีอำนาจวาสนา

   
        10. มุตาห์ (Mutah)
       
       เรื่องของมุตาห์นั้นเป็นความเจ้าเล่ห์แสนกลพอสมควร มันเป็นการแต่งงานชั่วคราวของชาวอิสลาม ซึ่งทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงว่าจะแต่งงานกันแค่ช่วงเวลาหนึ่งตามที่กำหนด สัญญาอาจเป็นลายลักษณ์อักษรหรือวาจาก็ได้ และส่วนต่างๆ ของการแต่งงานจะถูกตกลงกันไว้ล่วงหน้า รวมทั้งข้อที่ว่าฝ่ายหญิงจะได้รับสินสอดเท่าไร จะมีการแตะเนื้อต้องตัวกันได้แค่ไหน และการแต่งงานจะยืนยาวเท่าใด
       
       ในทางหนึ่ง มันก็คือวิธีที่จะทำให้คนสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก่อนการแต่งานเต็มรูปแบบ เพื่อดูว่าพวกเขาจะเหมาะสมกันหรือไม่ โดยไม่ต้องฝ่าฝืนกฎหมายอิสลามข้อใดๆ
       
       บางสัญญาสามารถระบุว่าจะไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวก็ได้ และบางสัญญาก็กระทำกันภายใต้การจับตามองของพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย บางสัญญาสามารถระบุได้ว่าการแต่งงานครั้งนั้นจะยืนยาวแค่ไม่กี่ชั่วโมง และฝ่ายหญิงจะได้รับค่าตอบแทนด้วย
       
       พูดให้ชัดๆ ก็คือ มันสามารถถูกใช้เป็นการค้าประเวณีแบบหัวหมอเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามทางศาสนาอิสลาม ซึ่งชาวมุสลิมบางนิกายอย่างสุหนี่ต่อต้านเรื่องการค้าประเวณีอย่างแข็งขัน ด้วยเหตุที่ระยะเวลาถูกจำกัดและมีการจ่ายเงิน จึงเห็นได้ชัดว่ามุตาห์ก็คือ ช่องโหว่ทางกฏหมายที่จะทำให้หนุ่มสาวสามารถมีคู่นอนได้โดยไม่ผิดหลักศาสนา คือไม่ต้องแต่งงานกันจริงๆ ก็สามารถมีเซ็กซ์กันได้

 ASTVผู้จัดการออนไลน์
   18 ธันวาคม 2557