ผู้เขียน หัวข้อ: แฉ‘เกย์’อิสราเอล ฮิตจ้างไทยอุ้มบุญ  (อ่าน 699 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด


ภายหลังมีข่าวชาวจีนนิยมเดินทางเข้ามาในประเทศไทย เพื่อใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ หรือการทำเด็กหลอดแก้ว โดยมีการขายไข่และสามารถเลือกเพศได้ ในการขายไข่ อุ้มบุญ ต่อมา นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา ได้ประกาศจัดระเบียบคลินิกทำเด็กหลอดแก้วเลือกเพศ เพราะถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องผิดจริยธรรมตามประกาศแพทยสภา เนื่องจากปัจจุบันไทยมีข้อห้ามซื้อขายอวัยวะต่างๆ จะทำได้เฉพาะกรณีที่บริจาคด้วยความสมัครใจและเป็นเครือญาติกันเท่านั้น หากพบว่ามีสถานพยาบาลใดหรือผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมรายใด ลักลอบทำการซื้อขายไข่จะถูกตรวจสอบการกระทำต่อไป หากผิดจริงจะมีโทษถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพนั้น

ความคืบหน้าเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 23 ก.ค.ว่า นอกจากปัญหาชาวจีนเข้ามาจ้างหญิงไทยอุ้มบุญเด็กหลอดแก้ว เพราะสามารถเลือกเพศได้นั้น ยังมีปัญหาชายรักร่วมเพศจากต่างประเทศมาจ้างหญิงไทยตั้งครรภ์แทน โดยนำน้ำเชื้ออสุจิของชายรักร่วมเพศชาวต่างชาติ ที่อยากมีบุตรมาผสม และจ่ายค่าจ้างอุ้มบุญให้แก่หญิงไทย จากนั้นจะนำเด็กที่เกิดกลับประเทศของบิดาที่เป็นเจ้าของเชื้ออสุจิ แต่เกิดปัญหาในขั้นตอนนำเด็กกลับประเทศ เนื่องจากทางกองสัญชาติและนิติกรณ์ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ไม่รับรองเอกสารใบสูติบัตรของเด็กที่เกิด เพื่อนำไปประกอบหลักฐานการออกหนังสือเดินทาง เนื่องจากเห็นว่าการรับจ้างอุ้มบุญลักษณะดังกล่าวเป็นการพาณิชย์ เข้าข่ายการค้ามนุษย์ ผิดกฎหมายของไทย โดยปัญหาดังกล่าวมีการฟ้องร้องกันถึงศาลเยาวชนและครอบครัวของไทยแล้ว จากชายรักร่วมเพศชาวอิสราเอล ที่นิยมมาจ้างหญิงไทยอุ้มบุญและพยายามนำเด็กกลับประเทศอิสราเอล

นายธงชัย ชาสวัสดิ์ อธิบดีกรมการกงสุล เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ปัญหาชายรักร่วมเพศชาวอิสราเอลมาจ้างหญิงไทยอุ้มบุญมีจริงและมีปัญหาในการนำเด็กกลับประเทศเกิดขึ้นจริง เนื่องจากระยะหลังมีชายรักร่วมเพศที่อยากมีบุตร ได้เข้ามาจ้างหญิงไทยอุ้มบุญมากขึ้น มีทั้งนำเชื้ออสุจิชายรักร่วมเพศมาผสมกับรังไข่ของหญิงไทยที่รับจ้างตั้งครรภ์ อีกวิธีคือผสมน้ำเชื้ออสุจิมาเรียบร้อยแล้ว จากนั้นมาฉีดฝากตั้งครรภ์ ขณะนี้เด็กเริ่มทยอยคลอดออกมาแล้วประมาณ 9 ราย เมื่อเด็กเกิดมาก็ได้สัญชาติไทยตามมารดา แต่มีปัญหาตอนชายรักร่วมเพศที่เป็นบิดา จะรับเด็กกลับไปอยู่ที่อิสราเอลเป็นการถาวร เพราะกฎหมายอิสราเอล เด็กที่มีบิดาเป็นชาวอิสราเอลจะได้สัญชาติตามบิดา เมื่อมีการนำใบสูติบัตรเด็กและใบยินยอมของมารดา ไปแปลเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปยื่นทำหนังสือ เดินทางอิสราเอล กองสัญชาติและนิติกรณ์ ซึ่งรู้ว่าเป็นเรื่องการพาณิชย์รับจ้างอุ้มบุญ เข้าลักษณะผิดกฎหมายการค้ามนุษย์ จึงไม่รับรองเอกสารให้ ทำให้เป็นปัญหา

นายธงชัยเปิดเผยอีกว่า เรื่องนี้เมื่อปลายปี 2556 กระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือหารือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ได้รับแจ้งตอบจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติว่า กรณีดังกล่าวผิดกฎหมายปราบปรามการค้ามนุษย์ของไทย แพทยสภาแจ้งตอบกลับว่า ได้เคยมีประกาศแพทยสภาเกี่ยวกับมาตรฐานการให้บริการด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์แล้ว เป็นการผิดกฎหมาย ส่วนสำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งตอบว่า กรณีดังกล่าวไม่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายปราบปรามการค้ามนุษย์ ของไทย จากปัญหาดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศ จึงเสนอ ให้มีการประชุมร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งว่าจะพิจารณากรณีนี้อย่างไร

ด้านนายธาตรี เชาวชตา ผอ.กองสัญชาติและ นิติกรณ์ กรมการกงสุล เปิดเผยว่า เท่าที่ทราบชายรักร่วมเพศชาวอิสราเอล เริ่มมาจ้างหญิงไทยอุ้มบุญ เมื่อปี 2522 และเมื่อเดือน ต.ค.2556 ได้รับแจ้งจากสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยว่า มีทารก 1 ราย เกิดจากการรับตั้งครรภ์แทน หรืออุ้มบุญในประเทศไทยของหญิงไทยกับบิดาโดยสายเลือดชาวอิสราเอล กระทั่งเดือน ธ.ค.2556 ทราบว่ามีเด็กคลอดมาแล้ว 9 ราย บิดาโดยสายเลือดชาวอิสราเอล ที่เป็นชายรักร่วมเพศจะนำเด็กกลับประเทศ แต่ติดปัญหาเรื่องการรับรองเอกสารของเด็กในส่วนของประเทศไทย ที่จะนำไปประกอบการยื่นทำหนังสือเดินทาง เด็ก ที่สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลฯ เนื่องจากกอง สัญชาติและนิติกรณ์ เห็นว่าเข้าข่ายการพาณิชย์ ผิดกฎหมายการค้ามนุษย์ของไทย ผู้รับรองเอกสารอาจมีความผิดได้ และกำลังเป็นปัญหาใหญ่ เนื่องจากมีหญิงรับจ้างตั้งครรภ์ในลักษณะดังกล่าว รอคลอดอีกประมาณ 50 ราย

นายธาตรีเปิดเผยอีกว่า ที่ผ่านมามีบิดาชาวอิสราเอล 2 ราย ได้ตรวจดีเอ็นเอยืนยันการมีสายสัมพันธ์ ทางพันธุกรรม ให้ทนายความยื่นร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัว เพื่อยืนยันความเป็นบิดา ขอมีสิทธิ นำบุตรกลับไปประเทศอิสราเอลได้ โดยไม่มีหน่วยงานใดไปยื่นคัดค้านพิสูจน์ว่ากรณีนี้ผิดกฎหมายการค้า มนุษย์หรือไม่ ศาลพิจารณาตามพยานหลักฐานจึงตัดสินให้บิดามีสิทธิในตัวเด็กตามกฎหมาย ทำให้บิดาสามารถนำบุตรกลับประเทศได้ กองสัญชาติและนิติกรณ์ จึงต้องรับรองเอกสารให้ตามคำสั่งศาลฯในรายต่อไปหากไม่มีหน่วยงานใดไปยื่นคัดค้านต่อศาลฯ กองสัญชาติและนิติกรณ์ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลฯ เช่น 2 รายที่ผ่านมา


ไทยรัฐออนไลน์ 24 ก.ค. 2557