ผู้เขียน หัวข้อ: อุ้มบุญ-คัดเพศ สะพัด 4 พันล้าน!  (อ่าน 560 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
อุ้มบุญ-คัดเพศ สะพัด 4 พันล้าน!
« เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2014, 05:38:29 »


รอยเตอร์แฉไทยแหล่งใหญ่ หลายหน่วยเต้น-จี้ล้อมคอก

เผยชายรักร่วมเพศอิสราเอลที่มาจ้างหญิงไทย “อุ้มบุญ” มีกว่า 100 ราย มีกำหนดคลอดไล่มาตั้งแต่เดือน พ.ย.2556 จนถึงปัจจุบัน ขณะที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพชี้ หากเรื่องที่ชายรักร่วมเพศชาวอิสราเอลมาจ้างหญิงไทยตั้งครรภ์แทนเป็นเรื่องจริง ถือว่ามีความผิดตามมาตรฐานของแพทยสภา รอยเตอร์แฉอีก ลูกค้าคัดแยกเพศลูกในไทย มีทั้งจีน ทั้งออสเตรเลีย เพียบ สร้างเม็ดเงินกว่า 4 พันล้านบาทต่อปี

ภายหลังไทยรัฐเปิดเผยกรณีมีชายรักร่วมเพศชาวอิสราเอลมาจ้างหญิงไทย “อุ้มบุญ” ตั้งครรภ์แทน แต่ไม่สามารถนำเด็กกลับประเทศได้ เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศไม่รับรองเอกสารใบสูติบัตร ของเด็กนั้น เมื่อวันที่ 24 ก.ค. นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า หากเรื่องที่ชายรักร่วมเพศชาวอิสราเอลมาจ้างหญิงไทยตั้งครรภ์แทนเป็นเรื่องจริง ถือว่ามีความผิดตามมาตรฐานของแพทยสภา เพราะแพทยสภาประกาศมาตรฐานชัดเจนว่า คนที่จะอุ้มบุญได้ต้องเป็นญาติและไม่มีเงินตอบแทน ดังนั้น เมื่อมีการจ้างเกิดขึ้น ก็ถือว่ามีความผิดแน่นอน โดยความผิดนั้นจะเข้าข่ายการผิดมาตรฐานของสถานพยาบาล นอกจากนี้ หากมีเด็กเกิดขึ้นมาจากแม่อุ้มบุญนั้น ปัจจุบันกฎหมายไทยระบุว่า เด็กที่เกิดจากแม่อุ้มบุญจะต้องเป็นลูกของแม่ที่อุ้มท้องเท่านั้น ดังนั้นการจะเอาเด็ก ออกนอกประเทศก็ต้องดำเนินการตามระเบียบของกฎหมายไทย ไม่เช่นนั้นอาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมายการค้ามนุษย์

วันเดียวกัน น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ลงพื้นที่จัดระเบียบคลินิกใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ที่คลินิกเฉพาะทาง หมอสูตินรี ย่านถนนวิทยุ กรุงเทพฯ และให้สัมภาษณ์ว่า การดำเนินการครั้งนี้ตามนโยบายในการจัดระเบียบคลินิกใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์หรือการทำเด็กหลอดแก้ว จากการตรวจสอบพบว่าคลินิกดังกล่าวมีการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นคลินิกเฉพาะทางสูตินรี เป็นคลินิกที่ขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย เป็นคลินิกเวช-กรรมเฉพาะทาง มีผู้ดำเนินการที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง แต่สิ่งที่เข้าข่ายว่าผิดคือคลินิกแห่งนี้ยังไม่ได้ดำเนินการขออนุญาตใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ถือว่าผิดตามประกาศของแพทยสภา ซึ่งเบื้องต้นคลินิกระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการที่จะขออนุญาต

น.ต.นพ.บุญเรืองกล่าวต่อว่า แต่จากการที่คลินิกดังกล่าวไม่ดำเนินการตามประกาศมาตรฐานของแพทยสภาที่ระบุไว้ ถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาลตามมาตรา 34(2) มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี และได้สั่งให้คลินิกไปขอใบรับรองการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งจะนำเรื่องดังกล่าวส่งไปยังแพทยสภาให้ช่วยดูในเรื่องของจริยธรรมว่าแพทย์ที่ไม่ทำตามมาตรฐาน จะต้องได้รับโทษทางจริยธรรมด้วยหรือไม่ การลงตรวจครั้งนี้ก็เพื่อส่งสัญญาณว่า ต่อไปคลินิกที่จะใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ต้องทำตามระเบียบของแพทยสภา ในวันที่ 30 ก.ค.นี้ จะจัดประชุมใหญ่เพื่อชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ คาดว่าจะมีคลินิกเข้าร่วมประชุมประมาณ 300 แห่ง

ด้านนายธงชัย ชาสวัสดิ์ อธิบดีกรมการกงสุล เปิดเผยถึงปัญหาชายรักร่วมเพศชาวอิสราเอลแห่มาจ้างหญิงไทยอุ้มบุญว่า ยอมรับว่าขณะนี้ประเทศไทย เป็นแหล่งรับจ้างอุ้มบุญของชายรักร่วมเพศชาวต่างชาติ เช่น อิสราเอล ออสเตรเลีย บราซิล ยุโรป และอเมริกา เดิมทีชายรักร่วมเพศชาวอิสราเอลไปจ้างหญิงอุ้มบุญที่อินเดีย ต่อมาอินเดียทราบถึงปัญหาดังกล่าวจึงไม่อนุญาตให้หญิงชาวอินเดียรับจ้างอุ้มบุญ ชายรักร่วมเพศอิสราเอลจึงหลบไปจ้างอุ้มบุญที่ประเทศเนปาล เมื่อทางการเนปาลทราบเรื่องก็ไม่อนุญาตอีก ชาวอิสราเอลจึงได้หันมาใช้ประเทศไทยเป็นแหล่งรับจ้างอุ้มบุญ รวมทั้งชายรักร่วมเพศจากต่างชาติ โดยมีบริษัทนายหน้าติดต่อและดูแลจนกระทั่งนำเด็กกลับประเทศ ตัวเลขหญิงไทยที่รับจ้างชาวอิสราเอลอุ้มบุญและตั้งครรภ์ในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 100 ราย

“ความเห็นส่วนตัวคิดว่าควรคัดค้านการรับจ้าง อุ้มบุญในลักษณะนี้ มันเป็นเหมือนโศกนาฏกรรมสำหรับเด็กที่เกิดมา คือ 1. กรณีหญิงไทยรับจ้างอุ้มบุญ โดยวิธีนำเชื้ออสุจิชายรักร่วมเพศมาผสมกับไข่ของตัวเอง ก็ย่อมมีความผูกพันในสายเลือดเช่นกัน และเด็กเกิดมาเป็นคนไทยก็ต้องได้สัญชาติไทย แต่ก็ต้องยอมให้เด็กแก่ชาย จ้างอุ้มบุญเหมือนการขายลูก 2. ชายรักร่วมเพศบางคนนำเชื้ออสุจิของตัวเองไปผสมกับไข่ของคนอื่นที่ตัวเองเลือก แล้วนำมาฝากให้หญิงไทยตั้งครรภ์ เมื่อนำเด็กกลับไปเลี้ยงจะมีความผูกพันกันอย่างไร อนาคตเด็กโตขึ้นจะเป็นอย่างไร และ 3. หากเด็กคลอดมาแล้วตกลงกันไม่ได้ เด็กก็ต้องอยู่ในประเทศไทย กลายเป็นภาระทางสังคมตามมาอีก จึงเป็นปัญหาที่กรมการกงสุลประสบอยู่ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหาข้อสรุปในปัญหานี้ร่วมกัน

นายธาตรี เชาวชตา ผอ.กองสัญชาติและนิติกร กรมการกงสุล เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ปัญหาชายรักร่วมเพศชาวอิสราเอลจ้างหญิงไทยอุ้มบุญว่า กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้มีหนังสือถึงสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ให้แจ้งปัญหาดังกล่าวให้ทางการอิสราเอลทราบแล้ว และทราบว่าการจ้างอุ้มบุญในอิสราเอล เป็นเรื่องต้องห้ามตามกฎหมายแล้ว จึงได้ไปจ้างอุ้มบุญในต่างประเทศ เดิมทีในประเทศอิสราเอล ค่าจ้างอุ้มบุญรายละ 1 ล้านบาท แต่มาจ้างอุ้มบุญในไทยราคาไม่เกิน 300,000 บาท จากตัวเลขที่ตรวจสอบล่าสุดทราบว่ามีการจ้างอุ้มบุญในไทยและหญิงที่รับจ้างอุ้มบุญตั้งครรภ์แล้วประมาณ 100 ราย มีกำหนดคลอดไล่มาตั้งแต่เดือน พ.ย.2556 ทราบว่าอิสราเอลจะออกหนังสือเดินทางให้เด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญในไทยจนถึงเดือน พ.ย.2557 นี้เท่านั้น เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับเด็กที่กำลังจะเกิดจากการอุ้มบุญในปัจจุบัน

นายธาตรีเปิดเผยอีกว่า จำนวนชายที่มายื่นขอรับรองเอกสารเกี่ยวกับเด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญและไม่ได้รับรองเอกสารให้ไป นอกจากชายชาวอิสราเอล 9 รายแล้ว ยังมีชายสัญชาติบราซิล 1 ราย (26 พ.ค.2557) ชาวจีน 1 ราย (9 มิ.ย.2557) และออสเตรเลีย 1 ราย (25 มิ.ย.2557) แต่เมื่อวันที่ 7 และ 10 ก.ค.2557 มีชายชาวอิสราเอลนำคำสั่งศาลเยาวชนและครอบครัว อนุญาตให้จดทะเบียนรับผู้เยาว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายและเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว มายื่นขอรับรองเอกสารเกี่ยวกับเด็ก กองสัญชาติและนิติกรจึงรับรองให้ตามคำสั่งศาลฯดังกล่าว ส่วนรายอื่นๆยังไม่รับรองให้ไป เพราะยังมีความเห็นว่าเป็นการพาณิชย์และเข้าข่ายการค้ามนุษย์

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานถึงเรื่องนี้ว่า มีหญิงชาวจีนแผ่นดินใหญ่และจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกง รวมทั้งจากออสเตรเลียนิยมซื้อแพ็กเกจเดินทางเข้ามาทำเด็กหลอดแก้ว หรือไอวีเอฟ (In-vitro fertilization หรือ IVF) ที่สถานพยาบาลหรือคลินิกในไทยเป็นจำนวนมาก เพราะสามารถเลือกเพศลูกได้และไม่ผิดกฎหมาย อีกทั้งในอีก 2 ประเทศ ที่ไม่มีกฎหมายห้ามอย่างสหรัฐฯและแอฟริกาใต้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าโดยมีตัวแทนชาวฮ่องกงที่เป็นคนขาย คือนาย อัลเฟรด ซิ่ว อิง-ฟง โดยขายแพ็กเกจเลือกเพศลูกให้สามีภรรยาชาวจีนประมาณ 200 คู่ต่อปี ซึ่งนายซิ่วมีให้เลือก 2 แพ็กเกจ คือราคาประมาณ 280,000 บาท สำหรับการบริการพื้นฐานรวมทั้งค่าเครื่องบินและที่พัก กับแพ็กเกจวีไอพีที่รวมทั้งคนดูแลและอาหาร ต้องจ่ายประมาณ 900,000 บาท และยังเผยว่า เมื่อปีที่แล้วคาดว่ามีการทำเด็กหลอดแก้วเพื่อเลือกเพศลูกประมาณ 10,000 ครั้ง ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายครั้งละ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 480,000 บาท) ส่วนคลินิกในไทยส่วนใหญ่มีแพทย์และพยาบาลที่ได้รับการฝึกอบรมจากต่างประเทศและสั่งเข้ามาเฉพาะอุปกรณ์ทางการแพทย์และยา

ข่าวระบุด้วยว่า สำหรับบางแพ็กเกจที่รวมทั้งการรักษานาน 2-3 สัปดาห์ สามีภรรยาที่ต้องการทำเด็กหลอดแก้วต้องจ่ายเงินสูงถึงเกือบ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 960,000 บาท) ด้านผู้จัดทัวร์แพ็กเกจเลือกเพศลูกในฮ่องกงคนหนึ่งเผยด้วยว่า เมื่อปีที่แล้วธุรกิจด้านนี้ทำเงินรวมประมาณ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 4,800 ล้านบาท) ส่วนผู้แทนธุรกิจชาวไทยระบุว่า ความต้องการเข้ามาทำเด็กหลอดแก้วเพื่อเลือกเพศกำลังเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 20% ทำให้มีคลินิกในไทยผุดขึ้นตามเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว

ขณะที่นายแพทย์โรเบิร์ต วูลคอตต์ ผู้อำนวยการบริษัท “Genea” จำกัด บริษัททำเด็กหลอดแก้วที่ใหญ่สุดอันดับ 3 ในออสเตรเลีย ระบุว่า มีแม่ชาวออสเตรเลียเดินทางมาทำเด็กหลอดแก้วเลือกเพศลูกในไทยปีละนับร้อยคน โดยทางบริษัท Genea จะแนะนำผู้ที่อยากเลือกเพศลูกให้มารับบริการที่คลินิกที่บริษัทร่วมเป็นเจ้าของในไทยเพราะออสเตรเลียมีกฎหมายห้าม ส่วนราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ของไทย ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทำเด็กหลอดแก้วเผยว่า ปัจจุบันไทยมีคลินิกทำเด็กหลอดแก้ว 44 แห่ง แต่เฉพาะปีที่แล้วมีคลินิกเปิดใหม่ 7 แห่ง และยังมีผู้ขอใบอนุญาตเปิดใหม่เดือนละ 2-3 ราย


ไทยรัฐออนไลน์  25 ก.ค. 2557