ผู้เขียน หัวข้อ: เอกสารสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกลูโคซามีน(คณะทำงานวิชาการทางการแพทย์กรมบัญชีกลาง)  (อ่าน 1856 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9745
    • ดูรายละเอียด
คณะทำงานวิชาการทางการแพทย์
ภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนามาตรฐานการรักษาพยาบาล
และการจ่ายเงิน กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง

ตุลาคม 2553
ฉบับปรับปรุงแก้ไขครั้งที่ 5 (ธันวาคม 2553)

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร

1. กลูโคซามีนเป็นสารธรรมชาติที่พบในร่างกายมนุษย์ มีน้ำตาลกลูโคสเป็นส่วนประกอบ
หลัก ร่างกายใช้เป็นสารตั้งต้นในการสร้างเนื้อเยื่อของกระดูกอ่อนและน้ำไขข้อ ผลิตได้
ทั้งจากเปลือกของสัตว์ทะเล และด้วยวิธีการผลิตอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์ทะเล ร่างกาย
สามารถสร้างกลูโคซามีนขึ้นได้เองจากกลูโคส

2. กลูโคซามีนแบ่งเป็น 2 ชนิดคือกลูโคซามีนซัลเฟต (GS) และ กลูโคซามีนไฮโดรคลอไรด์
(GH) ในประเทศไทยใช้ GS เป็นหลัก

3. กลูโคซามีนจัดเป็นอาหารเสริมในบางประเทศ ส่วนในประเทศไทยจัดเป็นยา และมีบาง
ประเทศจัดไว้ทั้งสองสถานะ เช่นสหราชอาณาจักรมี GH ขึ้นทะเบียนเป็นยา ในขณะที่
GS จัดเป็นอาหารเสริม

4. กลูโคซามีนเป็นที่นิยมใช้มากในประเทศไทย ทั้งการซื้อใช้เองโดยประชาชนและการจ่าย
เป็นยาให้กับผู้ป่วย โดยมีมูลค่าการใช้ประมาณร้อยละ 10 ของมูลค่ายาราคาสูงที่มี
การเบิกจ่ายจากกรมบัญชีกลาง คิดเป็นค่ายากลูโคซามีนที่ข้าราชการเบิกไม่น้อยกว่า 459
ล้านบาท/ปี โดยอัตราการใช้กลูโคซามีนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปีอย่างรวดเร็ว ทั้งที่จัด
เป็นยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ

5. การใช้กลูโคซามีนอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องนาน 1 ปี มีค่าใช้จ่ายระหว่าง 2,700-13,000
บาทขึ้นกับผลิตภัณฑ์ ในประเทศไทยผลิตภัณฑ์จากบริษัท Rottapharm (Viartril-S®)
ซึ่งเป็นยาต้นแบบได้รับความนิยมสูงสุด

6. มีการกล่าวอ้างสรรพคุณของกลูโคซามีนไว้มากมายหลายประการ การรับรู้ของประชาชน
ทั่วไปคือช่วยบรรเทาอาการปวดของโรคข้อเสื่อม ทำให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ข้อลื่นขึ้น
เสียงดังในข้อหายไป ช่วยชะลอการเสื่อมของข้อเข่า และช่วยชะลอการเปลี่ยนข้อเข่า

7. ผลการศึกษาของ NIH Glucosamine/chondroitin Arthritis Intervention Trial (GAIT)
ซึ่งสนับสนุนการวิจัยโดย NIH (National Institute of Health) แห่งสหรัฐอเมริกา
เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับกลูโคซามีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก (จำนวนผู้ป่วย 1,583 คน) รายงานผล
ครั้งแรกในปีค.ศ. 2006 สรุปผลการวิจัยไว้ว่ากลูโคซามีนไม่มีผลในการบรรเทาอาการ
ปวดข้อ ไม่มีผลต่อความแข็งตึงและการเคลื่อนไหวของข้อ ไม่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
และไม่ลดปริมาณการใช้ยาแก้ปวด รวมทั้งเมื่อติดตามผลในระยะยาวไม่พบว่าช่วยชะลอ
การเสื่อมของข้อแต่อย่างใด งานวิจัยนี้ใช้ GH ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่มีจำหน่าย
ในสหรัฐอเมริกาในการวิจัย

8. จากงานวิจัยข้างต้น พบว่าแพทย์ผู้รักษามีความพอใจในผลการรักษาต่ำ และไม่สามารถ
บอกความแตกต่างระหว่างกลุ่มที่ให้กลูโคซามีนกับยาหลอก

9. Towheed และคณะ (2009) ได้ทำการทบทวนประสิทธิผลของ GS โดยวิเคราะห์ผลลัพธ์
ของงานวิจัยจำนวน 25 เรื่อง ซึ่งมีผู้ป่วยในงานวิจัยทั้งสิ้น 4,963 คน เมื่อคัดเลือกมา
วิเคราะห์เฉพาะงานวิจัยที่มีคุณภาพดีพบว่า GS ช่วยบรรเทาปวดให้กับผู้ป่วยโรคข้อเข่า
เสื่อมได้ไม่แตกต่างจากการให้ยาหลอก แสดงให้เห็นว่า GS ไม่มีประสิทธิผลจริง

10. ไม่มีคำแนะนำทางการแพทย์ใดในทวีปยุโรป สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกาในช่วง
5 ปีหลัง ที่แนะนำให้ใช้กลูโคซามีนในโรคข้อเสื่อม

11. มีหลักฐานจำนวนมากที่แสดงว่ากลูโคซามีนไม่มีความคุ้มค่าทั้งโดยมาตรฐานของประเทศ
ในยุโรป เช่นสหราชอาณาจักร สก๊อตแลนด์ สวีเดน และสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ประเทศ
ต่างๆ ที่กล่าวมาจึงได้ประกาศงดเว้นการเบิก (reimbursement) กลูโคซามีนภายใต้ระบบ
สาธารณสุขภาครัฐรวมทั้งระบบสวัสดิการ เช่นข้าราชการทหารของกระทรวงกลาโหม
สหรัฐอเมริกาไม่สามารถเบิกกลูโคซามีนได้จากระบบสวัสดิการ

12. กลูโคซามีนไม่มีความคุ้มค่าอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อใช้เกณฑ์ความคุ้มค่าของประเทศไทย
โดยมีค่าใช้จ่ายต่อปีสุขภาวะระหว่าง 7-26 เท่า (ขึ้นกับงานวิจัย) ของค่าใช้จ่ายต่อปีสุขภาวะ
ที่ยอมรับได้ของไทย

13. งานวิจัยล่าสุดในปี 2010 โดย Wandel และคณะ ระบุว่ากลูโคซามีน และคอนดรอยตินซัลเฟต
ไม่มีประสิทธิผลในการบรรเทาปวด และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางภาพรังสีของข้อ
จึงแนะนำว่าผู้ให้บริการสาธารณสุข (ภาครัฐ) และผู้รับประกันค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ
(ภาคเอกชน) ไม่ควรให้เบิกจ่ายค่ายาในกลุ่มนี้ และแพทย์ไม่ควรสั่งยาเหล่านี้ให้กับผู้ป่วย
รายใหม่ที่ไม่เคยใช้ยาเหล่านี้มาก่อน

14. คอนดรอยตินซัลเฟต และไดอะเซอเรน เป็นยาที่มีเป้าประสงค์การใช้ไม่แตกต่างจาก
กลูโคซามีน

15. หลักฐานด้านประสิทธิผลของคอนดรอยตินมีความแน่ชัดหรือทำให้เชื่อมั่นได้น้อยกว่า
กลูโคซามีน ดังนั้น National Institute for Health and Clinical Excellence (NICE)
แห่งสหราชอาณาจักร จึงไม่แนะนำให้ใช้คอนดรอยตินในการรักษาโรคข้อเสื่อมในระบบ
บริการสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร

16. แนวปฏิบัติบริการสาธารณสุข โรคข้อเข่าเสื่อม พ.ศ. 2553 (ร่างฉบับประชาพิจารณ์)
ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบุว่า “ไม่แน่ใจว่าคอนดรอยติน และไดอะเซอเรน
(รวมทั้งกลูโคซามีน) มีความเหมาะสมกับสถานการณ์และสถานภาพของการประกอบ
วิชาชีพเวชกรรมในประเทศไทย และไม่แน่ใจว่ามีความคุ้มค่าในบริบทของสังคมไทย”

17. ไดอะเซอเรน ให้ผลการบรรเทาปวดใกล้เคียงกับกลูโคซามีน และมีราคายาต่อวันใกล้เคียงกัน
ดังนั้นไดอะเซอเรนย่อมมีความไม่คุ้มค่าในลักษณะเดียวกันกับกลูโคซามีน

18. งานวิจัยของ Arrich และคณะ (2005) ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าไฮยาลูโรแนนชนิดฉีด
เข้าข้อ (IAHA) เป็นยาที่ไม่มีประสิทธิผลจริงทางคลินิก และอาจเพิ่มความเสี่ยงจาก
การใช้ยาให้กับผู้ป่วย ดังนั้นจึงไม่ควรให้การรักษานี้กับผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม (ยกเว้นใช้กับ
ผู้ป่วยในงานวิจัย)

19. NICE guideline (2008) ระบุว่า IAHA ต้องมีประสิทธิผลสูงกว่าที่ปรากฏในงานวิจัย
ในปัจจุบัน 3-5 เท่า จึงจะเริ่มเห็นความคุ้มค่าของการใช้ยาตามมาตรฐานด้านความคุ้มค่า
ของสหราชอาณาจักร ซึ่งยายังต้องมีราคาถูกลงอีกอย่างน้อย 10 เท่า จึงจะเริ่มเห็น
ความคุ้มค่าตามมาตรฐานความคุ้มค่าของระบบสาธารณสุขของประเทศไทย

20. ด้วยหลักฐานและเหตุผลต่างๆ ข้างต้น คณะทำงานวิชาการทางการแพทย์ฯ จึงมีความ
เห็นว่ารัฐไม่ควรให้มีการเบิกจ่ายยาในกลุ่ม SYSADOA ได้แก่กลูโคซามีน คอนดรอยติน-
ซัลเฟต และไดอะเซอเรนทุกรูปแบบ รวมทั้งไฮยาลูโรแนนชนิดฉีดเข้าข้อ
........................................จบข่าว