ผู้เขียน หัวข้อ: รถไฟของมวลชนผู้ถูกลืมเลือน-สารคดี(เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก)  (อ่าน 958 ครั้ง)

pani

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 756
    • ดูรายละเอียด
ที่พึ่งทางการแพทย์เพียงหนึ่งเดียวของชาวบ้านไกลปืนเที่ยงในไซบีเรีย

คนป่วยและคนเจ็บต่างตั้งตาคอยรถไฟขบวนนี้ ที่หมู่บ้านฮานีซึ่งมีลูกบ้าน 742 คน ตั้งอยู่ระหว่างหมู่ยอดเขาห่มหิมะของเทือกเขาสตาโนวอย ผู้ป่วยพากันออกจากอาคารคอนกรีตมาออกันอยู่ตามรางรถไฟเพื่อรอรับการรักษาพยาบาล ชายคนหนึ่งเมาตกบันไดข้อเท้าหักทั้งสองข้าง ส่วนครูของโรงเรียนเพียงแห่งเดียวในเมืองก็พาลูกสาววัย 14 ปีมาตรวจร่างกายหลังจากป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบเมื่อเดือนก่อน  และโชคดีที่ถูกส่งตัวขึ้นรถไฟไปรับการผ่าตัดที่เมืองชาราซึ่งอยู่ห่างออกไปถึงสามชั่วโมง

ผู้ป่วยเหล่านี้รวมถึงคนอื่นๆกำลังรอขึ้นรถไฟพยาบาลขบวน มัตเวย์ มูดรอฟ (Matvei Mudrov) ซึ่งเปรียบได้กับเส้นเลือดหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนในฮานี  รถไฟขบวนนี้เป็นคลินิกแพทย์เคลื่อนที่ซึ่งมีอุปกรณ์พื้นฐาน ห้องตรวจ และแพทย์ประจำ 12-15 คน ดำเนินงานโดยการรถไฟของรัสเซีย และได้รับการตั้งชื่อตามนายแพทย์สมัยศตวรรษที่สิบเก้า ผู้ช่วยวางรากฐานแนวทางปฏิบัติในการรักษาพยาบาลของรัสเซีย

ฮานีไม่ต่างจากชุมชนอื่นๆตามทางรถไฟสายนี้  ตัวเมืองประกอบด้วยลานกรวดและหินหยาบๆ ล้อมรอบด้วยอาคารอพาร์ตเมนต์สำเร็จรูปสูงห้าชั้นซึ่งดูเหมือนถูกทิ้งร้าง  ในเมืองไม่มีศัลยแพทย์หรือแพทย์เฉพาะทาง มีเพียงคลินิกเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งใช้เครื่องมือเก่าตั้งแต่ยุคโซเวียตกับแพทย์เพียงคนเดียวที่จบมาทางทันตแพทย์  แต่ต้องรักษาทุกโรค

รถไฟขบวน มัตเวย์ มูดรอฟ ให้บริการแก่หมู่บ้านแบบเดียวกับฮานีอีกหลายสิบแห่ง ซึ่งตั้งอยู่ตามทางรถไฟสายหลักไบคาล-อามูร์ หรือบีเอเอ็ม (Baikal-Amur Mainline: BAM) ชื่อนี้มาจากเส้นทางที่ทอดยาวจากทะเลสาบไบคาลไปจนถึงแม่น้ำอามูร์ ทางรถไฟสายบีเอเอ็มที่ยาว 4,300 กิโลเมตรทอดขนานไปกับทางรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรียซึ่งเป็นที่รู้จักมากกว่า  แต่อยู่ห่างขึ้นไปทางเหนือราว 650 กิโลเมตร  เส้นทางนี้สร้างขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ต่อต้นทศวรรษ 1980 เป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่โครงการสุดท้ายของโซเวียต

เลโอนิด เบรจเนฟ ผู้นำโซเวียตในตอนนั้นมอบหมายให้คอมโซมอล (Komsomol) หรือยุวชนแห่งพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างทางรถไฟสายบีเอเอ็มซึ่งคอมโซมอลก็รับงานนี้อย่างกระตือรือร้น ระหว่างปี 1974 ถึง 1984 ประชาชนราวห้าแสนคนมีส่วนร่วมในการก่อสร้างทางรถไฟ  สิ่งที่ดึงดูดพวกเขาคือภาพฝันของการได้นอนหลับพักผ่อนในโรงเรือนไม้กลางป่า กับเงินเดือนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโซเวียตถึงสามเท่า

คนหนุ่มสาวผู้บุกเบิกเหล่านี้แทบไม่รู้เลยว่า จุดจบของการทดลองอันหาญกล้าของพวกเขาจะมาถึงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายลงในปี 1991  เช่นเดียวกับทรัพยากรและความกระตือรือร้นในการส่งเสริมและบำรุงรักษาทางรถไฟบีเอเอ็มที่เหือดหายไป   เมื่อถึงกลางทศวรรษ 1990 ภูมิภาคนี้ก็ถูกรุมเร้าด้วยปัญหาการติดสุราเรื้อรัง ความยากจนและการถูกโดดเดี่ยว  ผู้คนมากมายพากันละทิ้งถิ่นฐาน  ส่วนคนที่ยังอยู่ก็แก่ชราลงท่ามกลางสภาพแวดล้อมยากลำบาก ในฤดูหนาวอุณหภูมิมักลดต่ำถึงลบ 50 องศาเซลเซียส  สำหรับภูมิภาคที่มีถนนสภาพดีพอให้รถวิ่งได้เพียงไม่กี่สายเช่นนี้ รถไฟจึงเป็นเส้นทางคมนาคมหลัก หมู่บ้านตามแนวทางรถไฟบีเอเอ็มยืนหยัดอยู่รอดราวกับกลุ่มเกาะที่กอปรไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยตั้งอยู่กระจัดกระจายท่ามกลางความรกร้างว่างเปล่า  จึงไม่น่าแปลกใจที่การเข้าถึงการรักษา พยาบาลที่จำเป็นจึงถูกจำกัดไปด้วย

รถไฟขบวน มัตเวย์ มูดรอฟ ไม่มีอุปกรณ์เพียงพอแม้กระทั่งสำหรับการรักษาผู้ป่วยที่อาการไม่หนักมากนักหรือผู้ป่วยนอก ส่วนการผ่าตัดยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้ว่าแพทย์บนขบวนรถไฟจะสามารถวินิจฉัยโรคและแนะนำวิธีการรักษาได้ก็ตาม กระนั้น รถไฟขบวนนี้ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ช่องทางที่ช่วยให้ชาวบ้านตามแนวทางรถไฟสามารถติดต่อกับพื้นที่อื่นๆของประเทศได้ และเป็นเครื่องย้ำเตือนให้พวกเขารู้ว่า “โลกส่วนที่เหลือ” ของรัสเซียยังรับรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ ยังจดจำ และอาจใส่ใจอยู่บ้างว่า พวกเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร

มีฮาอิล ซดาโนวิช ชายวัย 61 ปี เป็นคนไข้รายหนึ่งที่ยืนรอรถไฟขบวน มัตเวย์ มูดรอฟ อยู่ที่เมืองเบียร์คาคิต  แขนขวาของเขามีผ้าคล้องไว้เพราะไหล่หลุด และมีกำหนดเข้ารับการผ่าตัดที่เมืองคาบารอฟสค์ซึ่งอยู่ห่างออกไป 1,600 กิโลเมตร แต่นั่นก็อีกหลายเดือนกว่าจะถึง ซดาโนวิชอยากพบแพทย์ก่อนเพื่อปรึกษาว่า เขาควรทำงานไปพลางๆหรือไม่

ซดาโนวิชเท้าความหลังให้ฟังว่า เขาถูกส่งตัวไปที่โครงการบีเอเอ็มเมื่อปี 1976 หลังเพิ่งปลดประจำการจากกองทัพ ตอนนั้นเบียร์คาคิตยังเป็นชุมชนขนาดเล็กที่มีคนหนุ่มสาวราวร้อยคนอาศัยอยู่ในหอพักที่สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ชีวิตตอนนั้นยากลำบาก แต่ก็เรียบง่ายและมีเสน่ห์ การทำงานท่ามกลางอากาศหนาวยะเยือกจัดว่าลำเค็ญ แต่ก็พออยู่ได้เพราะการสังสรรค์ยามค่ำคืนด้วยบรั่นดีและแชมเปญทำในโซเวียต

ตอนนี้เขาทำงานเป็นช่างที่อู่ซ่อมรถไฟของเมือง สามปีก่อนเขาไหล่หลุดขณะเข็นรถไฟขึ้นราง บรรดาเจ้านายจากการรถไฟบอกให้เขากลับบ้านไปพักผ่อน และกำชับไม่ให้รายงานเรื่องที่เกิดขึ้น ซดาโนวิชก็ก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บปวดกับไหล่ที่แทบขยับไม่ได้นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทว่าเขาก็ทนอยู่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ได้เจ็บขนาดที่ทำให้เขายอมนั่งรถไฟข้ามวันข้ามคืนเพื่อไปรักษาตัวในโรงพยาบาล

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มหกรรมการก่อสร้างของมอสโกที่ขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงินจากอุตสาหกรรมน้ำมันหาได้ส่งอานิสงส์มาถึงที่นี่ ไม่มีการสร้างศูนย์การค้า อพาร์ตเมนต์ หรือโรงภาพยนตร์ใหม่ๆ เลยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

เมื่อซดาโนวิชเดินเข้าไปในห้องตรวจของเยเลนา มีรอชนีเชนโก ศัลยแพทย์ประจำรถไฟขบวนนี้ เธอก็ร้องขึ้นว่า “นั่นไง มีฮาอิล ปาฟโลวิช ถึงว่าฉันจำเสียงคุณได้!” เขาถอดสายคล้องแขนออกให้มีรอชนีเชนโกตรวจไหล่ อันที่จริงเจ้านายของเขาควรมอบหมายงานด้านเทคนิคอื่นๆให้ทำ แต่คนพวกนั้นกลับยังให้เขาทำงานใช้แรงงานหนักๆที่อู่ซ่อมรถไฟ เขาถามมีรอชนีเชนโกว่า ต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ถ้าจะขอนัดผ่าตัดให้เร็วขึ้น เธอบอกว่าไม่น่าจะต้องจ่าย แต่เขียนจดหมายระบุว่า เขามีสภาพร่างกายไม่เหมาะกับการทำงานใช้แรงงานในช่วงนี้ ซดาโนวิชเดินออกไปอย่างมีความสุข แล้วอีกครู่เดียวก็กลับเข้ามาพร้อมพายผักกาดอบใหม่ๆและเหยือกแก้วใส่นมแพะ “รับไปสิครับ” เขาคะยั้นคะยอ หลังจากรักษาคนไข้ในหมู่บ้านเล็กๆตามเส้นทางบีเอเอ็มมาหลายปี “คุณไม่ได้รู้จักแค่คนหรอกนะคะ แต่รู้จักไปถึงสุนัขของพวกเขาเลยเชียวล่ะ” คุณหมอมีรอชนีเชนโก บอก

เรื่องโดย โจชัว ยัฟฟา
มิถุนายน 2557