ผู้เขียน หัวข้อ: ความจริงกลับด้าน!เมื่องานวิจัยพบว่าคอเลสเตอรอลสูงขึ้นแต่อัตราการเกิดโรคหลอดเลือด  (อ่าน 1347 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
 สำหรับโรคหลอดเลือดและหัวใจ (Cardiovascular disease) ที่จะกล่าวต่อไปนี้ จะกล่าวถึงทั้งโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดในสมองที่มาจากการทั้ง ตีบ อุดตัน หรือแตก ซึ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็ถือว่าเป็นโรคในหมวดเดียวกันว่าด้วยเรื่องของโรคหลอดเลือด
       
        ด็อกเตอร์จอร์จ แมนน์ (George Mann) นักชีวเคมีและแพทย์ที่ปัจจุบันทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ เมืองแนชวิลล์ มลรัฐเทนเนสซี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เคยศึกษาประชากรหมู่บ้านมาซาย (Masai) ประเทศเคนยา ในทศวรรษที่ 1970 (พ.ศ. 2513 -พ.ศ.2523) เขาพบว่า "คนที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงที่สุดและบริโภคไขมันอิ่มตัวอย่างมาก เช่น นม เนื้อ และไขมัน แต่กลับปรากฏว่าที่หมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีใครเป็นโรคหัวใจเลย" จุดเริ่มต้นตรงนี้เองทำให้ ด็อกเตอร์จอร์จ แมนน์ (George Mann) กลายเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่กำลังต่อสู้อย่างยาวนานกับบริษัทขายยาลดคอเลสเตอรอลและอุตสาหกรรมน้ำมันเมล็ดพืช (เช่น น้ำมันถั่วเหลือง มาร์การีน ฯลฯ)ถึงกับเขียนในวารสารยาของนิวอิงแลนด์ว่า
       
        "นี่คือสิ่งที่เจ้าเล่ห์ที่สุดของบริษัทยา"
       
        ต่อเมื่อปี พ.ศ. 2551 นักวิจัยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและสุขภาพ ภาควิชาสาธารณสุขมหาวิทยาลัยแห่งอ๊อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ได้ทำการศึกษาและสำรวจเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดของประชากรชาวยุโรป 40 ประเทศ กลับพบว่าปริมาณการบริโภคไขมันอิ่มตัวของประชากรในยุโรปไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตโรคหัวใจเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามการบริโภคไขมันอิ่มตัวที่มากกว่ากลับมีแนวโน้มที่จะทำให้เป็นโรคหัวใจน้อยลงเสียด้วยซ้ำไป


ภาพ : กราฟแสดงการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ แสดงความสัมพันธ์การบริโภคไขมันอิ่มตัวมากขึ้นใน 40 ประเทศในยุโรปพบว่าอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจลดลง
       เมื่อพิจารณาจากภาพที่ 1 เป็นกราฟแสดงความสัมพันธ์การเปรียบเทียบสถิติการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจใน 40 ประเทศ ยุโรปต่อประชากร 100,000 คน (จุดสีแดง) กับ อัตราร้อยละของปริมาณการบริโภคไขมันอิ่มตัว (กราฟแท่งสีฟ้า) ผลลัพธ์ได้ตามกราฟเส้นตรงสีเขียวแสดงค่าเฉลี่ยอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเมื่อบริโภคไขมันอิ่มตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งพบว่า "การบริโภคไขมันอิ่มตัวที่เพิ่มขึ้นไม่ได้มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจเลย แต่ตรงกันข้ามกลับมีแนวโน้มการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจลดลงเมื่อมีการบริโภคไขมันอิ่มตัวสูงขึ้น"
       
        นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเพราะเมื่อปี พ.ศ. 2541 มีงานสำรวจก่อนหน้านี้ขององค์การอนามัยโลก ในการสำรวจที่กลุ่มประเทศยุโรปก็ได้ผลแบบเดียวกันอีกเช่นกันคือ 7 ประเทศในกลุ่มที่บริโภคไขมันอิ่มตัวในระดับต่ำที่สุดกลับพบว่ามีอัตราการเกิดโรคหัวใจมากกว่า 7 ประเทศในกลุ่มที่บริโภคไขมันอิ่มตัวในระดับสูงที่สุดอย่างมีนัยยะสำคัญ


ภาพ: กราฟแท่งเปรียบเทียบแสดง 7 ประเทศที่มี % ปริมาณการบริโภคไขมันอิ่มตัวเมื่อเทียบกับจำนวนแคลอรี่ที่บริโภคต่ำที่สุดในยุโรป กับ อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจต่อประชากร 100,000 คน
       


ภาพ: กราฟแท่งเปรียบเทียบแสดง 7 ประเทศที่มี % ปริมาณการบริโภคไขมันอิ่มตัวเมื่อเทียบกับจำนวนแคลอรี่ที่บริโภคสูงที่สุดในยุโรป กับ อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจต่อประชากร 100,000 คน
       เป็นที่น่าสังเกตว่าประชากรชาวฝรั่งเศสนั้นกินไขมันอิ่มตัวมากกว่าชาวอังกฤษ สูบบุหรี่มากกว่า ออกกำลังกายน้อยกว่า มีระดับคอเลสเตอรอล และแอลดีแอล LDL (ที่มักเรียกว่าไขมันตัวเลว)ในกระแสเลือดเฉลี่ยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับชาวอังกฤษ อีกทั้งยังมีระดับความดันโลหิตตลอดจนอัตราการเกิดโรคอ้วนนั้นใกล้เคียงกับคนในอังกฤษด้วย แต่ปรากฏว่า ชาวฝรั่งเศสมีมีอัตราการเกิดโรคหัวใจเพียงแค่ 1 ใน 4 (25%) เมื่อเทียบกับชาวอังกฤษได้อย่างไร ?
       
        ความจริงแล้วชาวฝรั่งเศสนั้นมีการบริโภคไขมันอิ่มตัวมากกว่าชนชาติใดในยุโรป แต่กลับมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยที่สุด รองลงมาคือชาวสวิสเซอร์แลนด์ ทั้งๆที่ชาวสวิสเซอร์แลนด์มีอัตราการบริโภคไขมันอิ่มตัวเป็นอันดับที่ 2 ของยุโรปรองจากชาวฝรั่งเศสอีกด้วย
       
        มาถึงชั้นนี้จึงขอแวะไปที่กรดไขมันไม่อิ่มตัว 2 ชนิด ชนิดหนึ่งคือ กรดไลโนเลอิก หรือที่เรียกว่าโอเมก้า 6 ออกฤทธิ์ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือด มีฤทธิ์ทำให้เกิดความอักเสบ ทำให้ความดันโลหิตสูง พบมากในถั่วเหลือง ข้าวโพด ดอกทานตะวัน รำข้าว
       
       ในขณะที่ไขมันไม่อิ่มตัวอีกชนิดหนึ่งคือ กรดไลโนเลนิค หรือที่เรียกว่า ไขมันโอเมก้า 3 ออกฤทธิ์ทำให้เลือดเหลวอ่อนตัว ทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ลดการอักเสบ พบมากใน น้ำมันปลา สาหร่าย งาขี้ม้อน ผักใบเขียว เมล็ดเฟล็กซ์ อย่างไรก็ตามเนื่องจากโอเมก้า 3 นั้น มีความไม่อิ่มตัวถึง 3 ตำแหน่ง จึงทำให้เหม็นหืนง่าย ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้ง่ายมาก โดนความร้อนไม่ได้ แม้แต่ร่างกายมนุษย์ที่มีอุณหภูมิสูงกว่าก็ทำให้ฤทธิ์ของน้ำมันประเภทนี้ด้อยคุณค่าลงได้ด้วยเช่นกัน
       
        แต่ก็เป็นความเชื่อที่ว่าเมื่อเรากินไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า 6 มากๆ ควรจะกินโอเมก้า 3 ไปบางส่วนบ้าง ในอัตราส่วนของ โอเมก้า 6 ต่อ โอเมก้า 3 คือ 4:1 กล่าวเพียงสั้นๆในเรื่องนี้เอาไว้เพียงแค่นี้ก่อนเพื่อจะโยงมาหาคำตอบว่าทำไมคนสวิตเซอร์แลนด์ถึงได้เป็นโรคหัวใจน้อยทั้งๆ ที่กินเนยมาก กินชีสมาก ?
       
        เพราะหลายคนสงสัยว่าทำไมการบริโภคผลิตภัณฑ์จากวัวเหมือนกัน ถึงได้เกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ต่างกัน มาได้คำตอบจากบทความในวารสารข่าววิทยาศาสตร์ Science News ฉบับวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2547 ว่า
       
       ชีสจากนมวัวในยุโรปแม้ไขมันส่วนใหญ่จะเป็นไขมันอิ่มตัว แต่ก็มีมีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวเพียงเล็กน้อย และพบว่าไขมันไม่อิ่มตัวเหล่านั้นกลับมีกรดไลโนเลนิค หรือที่เรียกกันว่า โอเมก้า 3 ในปริมาณที่มาก (เพราะโอเมก้า 3 ได้จากพืชใบเขียวด้วย) เพราะวัวเหล่านี้ถูกเลี้ยงด้วยหญ้าบริสุทธิ์บนเทือกเขาแอลป์ ซึ่งหญ้าเหล่านี้มีชีวิตในอุณหภูมิเย็นทำให้ชีสที่ได้จากนมของวัวที่กินหญ้าเหล่านั้นมีไขมันโอเมาก้า 3 มากกว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับ Cheddar (เนยแข็งสีเหลืองๆ) ซึ่งปริมาณมีมากกว่าโอเมก้า 6 (ไลโนเลอิก) ถึง 3 เท่าตัว และมีน้อยกว่า 20 % เมื่อเทียบกับไขมันอิ่มตัวในกรดปาล์มิติก
       
        ส่วนคนฝรั่งเศสนอกจากผลิตภัณฑ์เนย ชีสที่มีโอเมก้า 3 แล้ว ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจเป็นไปได้คือคนฝรั่งเศสมีพฤติกรรมการดื่มไวน์ด้วย แม้จะมีข้อสันนิษฐานว่าการดื่มไวน์อาจจะส่งผลทำให้ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจในฝรั่งเศส แต่ก็อาจจะเหมาะกับในพื้นที่ซึ่งมีอุณหภูมิอากาศเย็นเพราะเมื่อร่างกายอุ่นขึ้นจึงกระตุ้นทำให้มีอัตราการเผาผลาญสูงขึ้น แต่แอลกอฮอล์ก็จะเป็นพิษได้หากดื่มมากไปก็มีผลตรงกันข้ามและเกิดโรคหลอดเลือดได้มากเช่นกัน โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตร้อนอย่างประเทศไทย
       
        แต่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ความสมดุลเอาไว้ ยุโรปมีอากาศหนาวไม่มีต้นมะพร้าวจึงไม่มีไขมันอิ่มตัว แต่มีผลิตภัณฑ์จากน้ำมันถั่วเหลืองที่ขึ้นในอุณหภูมิเย็นมีโอเมก้า 6 สูงทำให้หลอดเลือดแข็งตัว เกิดการอักเสบ แต่ก็สร้างสรรค์น้ำมันโอเมก้า 3 เพื่อลดการแข็งตัวในหลอดเลือดนั้น ด้วยการบริโภคเนย และ ชีสของผลิตภัณฑ์จากนมวัวซึ่งแม้ส่วนใหญ่จะมีไขมันอิ่มตัวแต่ก็มี โอเมก้า 3 จากการที่กินหญ้ามาทดแทนให้สมดุลด้วย ในข้อคิดนี้ทำให้เราอาจเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าธรรมชาติจะสร้างสรรค์ให้วัตถุดิบที่เหมาะกับอุณหภูมิแต่ละพื้นที่ได้อย่างลงตัว
       
        เช่นเดียวกับประเทศไทยใกล้เขตร้อนชื้นมีแสงแดดมากมะพร้าวจึงเกิดและเติบโตขึ้นและออกแบบให้มีน้ำมันอิ่มตัวที่เกิดและมีชีวิตในอุณหภูมิที่ร้อนจึงทนความร้อนได้ดี และน้ำมันมะพร้าวมีโอเมก้า 6 ในปริมาณที่ต่ำมากๆจนเรียกว่าแทบไม่มีก็ว่าได้ จึงไม่ได้สร้างปัญหาหลอดเลือดแข็งตัวดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหรือแสวงหาโอเมก้า 3 มาสมดุลเลย หากเพียงแค่เลือกใช้น้ำมันมะพร้าวเท่านั้น ยังไม่นับผักใบเขียวเข้มที่คนไทยมักจะหารับประทานกันได้ง่ายเพื่อหาโอเมก้า 3 ตามธรรมชาติได้อยู่แล้ว
       
        เมื่อปี พ.ศ. 2538 วารสารทางการแพทย์ เดอะ แลนเซ็ท (The Lancet) ได้เผยแพร่งานวิจัยชิ้นหนึ่งชื่อ "Cholesterol, diastolic blood pressure, and stroke: 13,000 strokes in 450,000 people in 45 prospective cohorts. Prospective studies collaboration." เป็นการสำรวจประชากรจำนวน 450,000 คนในช่วงเวลา 16 ปีติดต่อกัน โดยในจำนวนนี้มีคนป่วยด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจประมาณ 13,000 คน แต่เป็นตัวแทนของกลุ่มประชากร 7.3 ล้านคนที่ได้ถูกเฝ้าสังเกตการณ์ ซึ่งผลการติดตามผลเป็นเวลาถึง 16 ปีติดต่อกัน งานวิจัยชิ้นนี้สรุปว่า
       
        "ไม่มีความสัมพันธ์กันระหว่างปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดกับการป่วยด้วยโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจเลย"
       
        งานวิจัยที่ได้ผลเช่นนี้เท่ากับกำลังทำให้เกิดการทลายกำแพงสำคัญที่คนทั่วไปเชื่อว่า คอเลสเตอรอลในเลือดสูง จะทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหรือโรคหัวใจ อาจจะกำลังเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกอีกต่อไป
       
        แต่ยังมีงานวิจัยที่สรุปไปไกลกว่านั้นคือระบุว่าการมีคอเลสเตอรอลอยู่ในระดับสูงยังทำให้การเกิดโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจลดลงเสียด้วยซ้ำไป
       
        ย้อนเมื่อ ปี พ.ศ. 2524 ศาสตราจารย์ไมเคิล โอลิเวอร์ (Michael Oliver) อดีตประธานวิทยาลัยแพทย์รอยัล สหราชอาณาจักร ได้เผยแพร่ข้อมูลในวารสารทางการแพทย์เดอะ แลนเซ็ท The Lancet หลังจากได้ศึกษาและติดตามการสำรวจต่อเนื่องที่ประเทศ ฟินแลนด์ เป็นเวลา 10 ปี ได้ค้นพบเรื่องสำคัญว่า
       
        "คนที่ควบคุมอาหารเพื่อให้ระดับคอเลสอเตอรอลต่ำนั้น มีอัตราการเกิดโรคหัวใจมากเป็น 2 เท่าของคนที่ไม่ได้ควบคุมอาหารเลย"
       
        ความจริงในเรื่องนี้ องค์การอาหารและเกษตร แห่งองค์การสหประชาชาติได้เคยรวบรวมรายงานของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับไขมันและน้ำมันในส่วนของโภชนาการในมนุษย์ และได้เผยแพร่ผลงานการวิจัยในญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2519 ในวารสารของญี่ปุ่น Japanese Circulation Journal SS: 189-207 โดย โคมาชิ (Komachi) และคณะวิจัยที่ได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ของภูมิศาสตร์และอาชีพของชาวญี่ปุ่นโดยเปรียบเทียบกับความเสี่ยงเรื่องอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจพบว่า:
       
        "ความเสี่ยงเรื่องโรคหลอดเลือดในสมองจะเพิ่มขึ้นในหมู่ของประชากรชาวญี่ปุ่นที่มีระดับคอเลสเตอรอลอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะพบในประชากรที่มีความดันโลหิตสูง"   
       
        องค์การอาหารและการเกษตร แห่งองค์การสหประชาชาติยังเคยได้รายงานที่อ้างอิงการศึกษาอีก 2 ชิ้น ได้แก่การศึกษาเรื่องปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคเส้นโลหิตในสมองในชาวญี่ปุ่นที่อยู่ที่เกาะฮาวาย โดยแคนแกน (Kangan) และคณะ ใน ปี พ.ศ. 2523 ที่เรียกว่าการศึกษาหัวใจของฮอนโนลูลู (The Honolulu Heart Study) ตีพิมพ์ในวารสาร Stoke และ การศึกษาระดับคอเลสเตอรอลและการเสียชีวิตในช่วงเวลา 6 ปี ที่พบในผู้ชายจำนวน 350,977 คนที่ได้คัดเลือกที่มีความเสี่ยงในรูปแบบแตกต่างๆกัน โดย Iso และคณะ ปี 2532 ตีพิมพ์ในวารสารยาของนิวอิงแลนด์พบว่า:
       
        "การสำรวจครั้งใหญ่ของผู้ชายในสหรัฐอเมริกาที่มีคอเลสเตอรรอลต่ำนั้นเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเส้นโลหิตสมองแตก (Haemorrhagic stoke) และความเสี่ยงของโรคเส้นโลหิตสมองอุดตันหรือตีบ (Ischaemic Stroke) รวมถึงโรคหัวใจ (Heart disease) และรวมถึงโรคหลอดเลือดโดยรวมมีผลดีเมื่อมีปริมาณคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดที่สูงขึ้น"
       
        เรากำลังถูกใครหลอกหรือเปล่า โปรดติดตามตอนต่อไป!!!

ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ASTVผู้จัดการรายวัน    28 กุมภาพันธ์ 2557

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
ด็อกเตอร์มัลคอล์ม เคนดริค (Malcolm Kendrick) ได้เขียนหนังสือชื่อ “The Great Cholesterol Con” ซึ่งได้ศึกษาเชิงเปรียบเทียบเรื่องผลดีของคอเลสเตอรอลโดยรวบรวมข้อมูลการศึกษา 14 ประเทศ ได้อธิบายย้อนกลับข้อมูลของญี่ปุ่น พบว่า เมื่อปี พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) ชาวญี่ปุ่น กินอาหารให้พลังงานรวมประมาณ 2,837 แคลอรี่ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2542 ( ค.ศ.1999) ชาวญี่ปุ่นกินอาหารให้พลังงานรวมลดน้อยลงเหลือประมาณ 2,202 แคลอรี่ ช่วงเวลา 41 ปีที่ผ่านไปนั้น ชาวญี่ปุ่นได้เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยรับประทานคาร์โบไฮเดรตในสัดส่วนน้อยลง จาก 84% เหลือ 62% รับประทานโปรตีนมากขึ้นจาก 11% เหลือ 18% และรับประทานไขมันเพิ่มมากขึ้นจาก 5% เป็น 20%
       
        ฟังดูเผินๆถ้าคิดแบบดั้งเดิมเราคงต้องคิดว่าคนญี่ปุ่นน่าจะเป็นโรคหัวใจเพิ่มมากขึ้นใช่หรือไม่?


       ผลจากการบริโภคดังกล่าวที่เปลี่ยนไปในช่วงเวลา 41 ปี ปรากฏว่าชาวญี่ปุ่นมีคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นจาก 3.9 มิลลิโมลต่อลิตร (mmol/l) เทียบเท่า 150.58 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dl) ในปี พ.ศ. 2501 (ค.ศ.1958) มาเป็น 4.9 มิลลิโมลต่อลิตร เทียบเท่า 189.19 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ในปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999)
       
       สรุปก็คือตลอดระยะเวลา 41 ปีที่คนญี่ปุ่นมีคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น 20% ปรากฏว่าชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันลดลง และโรคหลอดเลือดในสมองนั้นลดลงอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดในสมองของผู้ชายญี่ปุ่นที่อายุระหว่าง 60-69 ปีนั้น ลดลงไปถึงกว่า 83%
       
        อย่างไรก็ตามการศึกษาและติดตามที่ยาวนานที่สุดเกี่ยวกับเรื่องโรคหลอดเลือดและหัวใจนั้น คงจะต้องกล่าวถึงการศึกษาในเมืองฟรามิงแฮม Framingham study มลรัฐแมสซาชูเซท ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำการศึกษาและติดตามโรคหลอดเลือดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) ด้วยการติดตามผลจากประชากร 5,209 คน ต่อมาในปี พ.ศ. 2514 ได้มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยบอสตัน รวมถึงได้รับความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญอีกหลายโรงพยาบาลและหลายมหาวิทยาลัย และปัจจุบันก็ยังดำเนินการศึกษาอยู่ในประชากรรุ่นที่ 3 แล้ว จึงถือว่าเป็นการศึกษาที่มีความต่อเนื่องยาวนานที่ทั่วโลกให้ความสำคัญและจับตามอง
       
        เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2530 วารสารแห่งสมาคมแพทย์อเมริกัน ได้ตีพิมพ์บทความ เรื่อง คอเลสเตอรอลและอัตราการเสียชีวิต โดยติดตามผล 30 ปีจากการศึกษาของฟรามิงแฮม “Cholesterol and mortality.30 years of follow-up from the Frmingham Study” จัดทำโดย แอนเดอร์สัน (Keaven M. Anderson) และคณะ เอาไว้อย่างน่าสนใจเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างอายุของคนกับการมีคอเลสเตอรอลซึ่งสรุปเอาไว้ว่า:
       
        “หากอายุน้อยกว่า 50 ปี ระดับปริมาณของคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดมีผลโดยไปในทางเดียวกันกับอัตราการเสียชีวิตโดยรวมและโรคหลอดเลือดโดยรวมในช่วงเวลา 30 ปี โดยทุกๆ 10 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรของคอเลสเตอรอลที่เพิ่มขึ้น จะมีอัตราความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้นด้วยประมาณ 5% ในขณะเดียวกันก็จะเพิ่มอัตราความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจเพิ่มขึ้น 9 %
       
       ในขณะที่ประชากรเมื่ออายุมากกว่า 50 ปีไปแล้ว กลับพบว่าไม่มีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทั้งคนที่คอเลสเตอรอลต่ำหรือสูง อย่างไรก็ตามพบความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในการลดลงของคอเลสเตอรอลในช่วง 14 ปีแรกของกลุ่มสำรวจ และติดตามผลอัตราการเสียชีวิตในรอบ 18 ปีในกลุ่มคนที่อายุ 50 ปี ขึ้นไปพบว่า
       
       "เมื่อระดับคอเลสเตอรอลลดลง 1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร กลับทำให้อัตราการเสียชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้น 11% และอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจเพิ่มขึ้น 14% หรืออีกนัยหนึ่งหากคอเลสเตอรอลลดลงไป 1 มิลลิโมลต่อลิตร (ลดไป 38 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) ความเสี่ยงในการเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นถึง 429 %”
       
        จากข้อมูลเหล่านี้คณะผู้ศึกษาวิจัยจึงแนะนำว่าคนที่อายุน้อยกว่า 50 ปี ให้รักษาระดับคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับต่ำเพื่อพัฒนาขยายอายุขัยเพราะร่างกายสังเคราะห์คอเลสเตอรอลเองได้สูงอยู่แล้ว (ทั้งๆที่ความจริงคนเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปีนั้นถือเป็นส่วนน้อย แต่คนส่วนใหญ่ที่ป่วยด้วยโรคไหลเวียนเลือดและหัวใจจะมีอายุเกินกว่า 50 ปีขึ้นไป) แต่หลังอายุ 50 ปีไปแล้ว พบความสัมพันธ์ของอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มประชากรที่มีระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดที่ลดลง
       
       นอกจากนี้ ยังพบรายงานการศึกษาอีกหลายชิ้น ที่ยืนยันว่าคนที่มีอายุเกินกว่า 50 ปีแล้วหากมีคอเลสเตอรอลต่ำ นั่นหมายถึงความเสี่ยงในการเสียชีวิตจะเพิ่มมากขึ้น ดังนี้
       
       วารสารสุขภาพผู้หญิง ได้ตีพิมพ์รายงานการศึกษาผู้ที่มีคอเลสเตอรอลต่ำและอัตราการเสียชีวิตในประเทศออสเตรีย ด้วยการศึกษาประชากรมากถึง 149,650 ทั้งชายและหญิง โดยการศึกษานี้ในช่วง 15 ปีสุดท้ายได้ติดตามผลจับตาอย่างใกล้ชิดเป้าหมายผู้ชาย 70,000 คน และในผู้หญิงมากกว่า 80,000 คน ที่มีอายุระหว่าง 20 ปี ถึง 95 ปี และสรุปว่า ผู้หญิงที่อายุมากกว่า 50 ปี และมีคอเลสเตอรอลอยู่ในระดับต่ำมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยยะสำคัญกับแทบทุกสาเหตุของการเสียชีวิต และยังแสดงให้เห็นว่าคอเลสเตอรอลที่ต่ำนั้นยังมีสัมพันธ์กับสาเหตุการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง โรคตับ และผู้ป่วยทางจิตด้วย
       
       วารสารแพทย์อังกฤษ ได้ตีพิมพ์เมี่อปี พ.ศ. 2538 ว่า ผู้ที่มีคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดต่ำกว่า 4.8 มิลลิโมลต่อลิตร หรือต่ำกว่า 185 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร มีอยู่ในผู้ชายประมาณ 5% ซึ่งพบว่ามีความสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตสูงสุดในทุกสาเหตุแห่งโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
       
       วารสารอเมริกันแห่งการระบาดวิทยา ได้ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2535 ถึงกรณีศึกษาชาวฟินแลนด์ ซึ่งได้ติดตามผลใน 7 ประเทศเป็นเวลา 25 ปี ได้ผลสรุปว่า ในระหว่าง 10 ปีของการติดตามผล ผู้ชายที่มีคอเลสเตอรอลสูงกลับมีอัตราการเสียชีวิตด้วยสาเหตุของทุกโรคอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า เพราะมีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและโรคอื่นๆอยู่ในระดับต่ำ
       
       วารสารทางการแพทย์เดอะ แลนเซ็ท (The Lancet) ได้ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2541 ว่าผู้ที่สูงวัยเกินกว่า 85 ปี พบว่า การเพิ่มขึ้นของคอเลสเตอรอลทุกๆ 1 มิลลิโมลต่อลิตร (38 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) มีความสัมพันธ์ทำให้สาเหตุของการเสียชีวิตโดยทั่วไปลดลงไป 15%
       
       วารสารทางการแพทย์ The Lancet ได้ตีพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2532 ได้ทำการศึกษาผู้หญิง 92 คนที่พักอาศัยอยู่สถานพยาบาลบ้านพักคนชราแห่งหนึ่งที่ฝรั่งเศส และสำรวจคนที่เสียชีวิตใน 5 ปีที่มีการสำรวจพบว่า กลุ่มคนที่มีคอเลสเตอรอลในระดับสูงโดยมีค่าเฉลี่ย 7.0 มิลลิโมลต่อลิตร (270 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) กลับพบว่าเป็นกลุ่มอัตราการเสียชีวิตต่ำที่สุด แต่กลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดกลับเป็นกลุ่มที่มีคอเลสเตอรอลในระดับต่ำที่มีค่าเฉลี่ย 4.0 มิลลิโมลต่อลิตร (154.44 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) กลุ่มคนที่เสียชีวิตที่มีคอเลสเตอรอลต่ำดังกล่าวนี้มีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าคนที่มีคอเลสเตอรอลในระดับสูงถึง 5.2 เท่าตัว


       ถามว่าทำไมข้อมูลมันกลับด้านเช่นนี้ คำตอบเบื้องต้นมีดังนี้
       
       เพราะคอเลสเตอรอลนั้นมีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น เป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญในการสร้างฮอร์โมนเพศ วิตามินดี เยื่อหุ้มเซลล์ น้ำดี และฉนวนหุ้มใยประสาท ดังนั้นถ้าเรามีคอเลสเตอรอลลดลงก็แปลว่า การสังเคราะห์ ฮอร์โมนเพศ วิตามินดี เยื่อหุ้มเซลล์ น้ำดี และฉนวนหุ้มใยประสาทก็จะลดลงไปด้วย ก็หมายถึงว่าเรากำลังเข้าสู่ความเสื่อมของสุขภาพร่างกายแล้ว
       
       คอเลสเตอรอลส่วนใหญ่ร่างกายผลิตขึ้นได้เองถึง 80% ส่วนใหญ่ถูกสังเคราะห์มาจากตับ สมอง ลำไส้เล็ก ต่อมหมวกไต ในยามอดอาหารคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดจะเพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการใช้งาน เมื่อรับประทานอาหารมื้อแรกหลังการอดอาหารคอเลสเตอรอลจะลดระดับลงโดยทันที นั่นหมายความว่าร่างกายเราออกแบบกำหนดปริมาณคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ตามการใช้งานให้สัมพันธ์กับการบริโภคของเราได้
       
       คอเลสเตอรอลไม่ใช่สาเหตุของการอุดตันในเส้นเลือด แท้ที่จริงสาเหตุมาจากไขมันทรานส์ (ซึ่งมาจากเนยเทียม มาการ์รีน และพวกน้ำมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง ข้าวโพด น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันรำข้าวที่โดนความร้อนสูงจนเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมี) และ พลาก (Plauges) ที่มีทั้งลิ่มเลือด คอเลสเตอรอล แคลเซียม ฯลฯ มาอุดตันตามหลอดเลือด ซึ่งวันนี้ได้มีการวิจัยแล้วว่าสารเริ่มต้นในการอุดตันนั้น 75% มาจากไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง พบมากใน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว ฯลฯ
       
       เมื่อเราอายุมากขึ้นร่างกายจะเสื่อมสภาพลง การทำงานของไทรอยด์ฮอร์โมนจะต่ำลง ส่งผลทำให้อัตราการเผาผลาญต่ำลง และทำให้ตับ สมอง ลำไส้เล็ก ต่อมหมวกไตผลิตคอเลสเตอรอลได้น้อยลง เมื่อผลิตคอเลสเตรอลได้น้อยลงจึงทำให้ การสังเคราะห์ฮอร์โมนสำคัญ เช่น ฮอร์โมนเพศ วิตามินดี เยื่อหุ้มเซลล์ น้ำดี และฉนวนหุ้มใยประสาทก็จะลดลงไปด้วย ส่งผลทำให้ร่างกายเกิดความแปรปรวนในสุขภาพและจิตใจที่เสื่อมสภาพลง จึงเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ทุกโรค ทำให้คนใกล้เสียชีวิตส่วนใหญ่มักจะมีคอเลสเตอรอลลดลงมาอยู่ในระดับต่ำ
       
       แต่ที่แน่ๆสำหรับคนที่กำลังกินยาลดคอเลสเตอรอล ควรจะต้องคิดใหม่ เลิกกินยาพวกนี้เสียตั้งแต่วันนี้จะปลอดภัยกว่าไหม !!?

ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ASTVผู้จัดการรายวัน    7 มีนาคม 2557