ผู้เขียน หัวข้อ: รพ.รัฐ-เอกชน.. ไม่มีตังค์-ไม่รับทำคลอด ฟังความข้างเดียวตบหน้าหมอทั่วไทย!?  (อ่าน 1129 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
 ใครรับข้อมูลข่าวสารนี้คงสลดใจกับบริการสาธารณะสุขของไทยไปตามๆ กัน กรณีฉาวที่ถูกฮีโร่กู้ภัยคนดังโพสต์ผ่าน Facebook Fanpage 'บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์' เรื่องราวของหญิงท้องแก่ใกล้คลอด ขอรับสิทธิประกันสังคมแต่สิทธิเจ้ากรรมดันหมดอายุเสียก่อน กลายๆ ว่าไม่มีเงินจ่ายค่าทำคลอดโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้เธอจึงได้รับทางเลือกให้ไปทำคลอดที่โรงพยาบาลใกล้เคียง แต่ท้ายที่สุดหญิงสาวกลับมาที่บ้านพักคลอดทารกเพียงลำพังซ้ำร้ายสายรกพันคอทารกเสียชีวิต
       
        ใครที่ได้อ่านข้อมูลจากเพจนี้ย่อมก่นด่า ผู้ปฏิบัติงานทางการแพทย์ รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ ..ไร้มนุษยธรรมธรรม จิตใจคับแคบ หน้าเลือดเห็นแก่เงิน ฯลฯ.. จนลืมไปว่าเหล่านี้เป็นเพียงข้อมูลด้านเดียวที่ถูกนำเสนอออกมา ด้านแพทย์ผู้ที่ถูกอบรมเรื่องในจริยธรรมจรรยาบรรณมาอย่างเป็นดิบดี จะใจไม้ไส้ระกำได้เพียงนี้เชียวหรือ? แน่นอนว่า การตัดสินใจดังกล่าวผ่านดุลพินิจของสูตินารีแพทย์แล้ว
       
        เค้าว่า.. ไม่มีตังค์เตรียมตัวตาย
        ขออนุญาติหยิบยกข้อเท็จจริงที่ทำให้หลายท่านคลางแคลงใจต่อการปฏิบัติงานของแพทย์ และเรื่องราวอันน่ารันทดของหญิงสาวท้องแก่ที่บอบช้ำจากระบบงานสาธารณะสุขของไทย จาก Facebook Fanpage บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ความว่า
       
        “สวัสดีครับเพื่อนๆ.. นี่คือทารกที่เพิ่งคลอดออก มาได้ประมาณ3-4ชั่วโมงแล้วเสียชีวิต เหตุเนื่องจากว่าแม่น้องมีอาการปวดท้องคลอด แล้วไป รพ. ตามที่เธอมีประกันสังคมที่ รพ. แห่งนี้ใน กทม. (ผมไม่อยากเอ่ยนาม) แต่เธอถูกปฏิเสธในการใช้สิทธิคือไม่ครอบคลุมถึงการคลอดลูก รพ. บอกว่าถ้าเธอจะคลอดเธอ ต้องจ่าย18,000 บาท แต่ตอนนั้นหมอตรวจให้แล้วว่ามีเลือดซึมออกมาที่ช่องคลอด เธอไม่มีเงินในการทำคลอด หมอจึงให้เธอกลับไป
       
        “เธอกลับมาที่ห้อง เธอมาคลอดอยู่ที่ห้องตามลำพัง สามีเธอเป็นยามไม่ได้อยู่กับเธอ เธอเบ่งลูกแต่ลูกเธอมาคาอยู่ตรงช่องคลอด เธอช็อกและเสียเลือดมาก เกือบชั่วโมง ที่มีเพื่อนบ้านกลับมาเห็นและเข้ามาช่วยเธอ แต่เสียดายครับ เด็กเสียชีวิตแล้ว เพื่อนบ้านจึงแจ้งเจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญูมาช่วยแม่ส่ง รพ. เพราะเสียเลือดมาก เจ้าหน้าที่ต้องส่งถึง 2-3 รพ. เพราะไม่มี รพ. ไหนรับ สุดท้าย รพ.รามา ก็รับแม่เอาไว้ ผมไม่อยากโทษใครครับ แต่เงินแค่ 18,000 บาทกับ2ชีวิตที่ต้องเกือบเสียไปทั้งหมด ผมเห็นภาพแล้วอยากจะร้องไห้ ต่อไปนี้ใครมีปัญหาเรื่องคลอดลูก ช่วยแชร์มาด้วยนะครับ เสียใจจริงๆ กับ รพ. แห่งนี้”
       
        หลังจากโพสต์ข้างบนเผยแพร่สู่โลกออนไลน์ เกิดกระแสโจมตีถล่มด่า แพทย์ โรงพยาบาล ฯลฯ เป็นจำนวนมาก ผู้คนต่างพากันแชร์เรื่องน่าเศร้า กดไลน์ให้กับเรื่องราวที่กู้ภัยคนดังตีแผ่ออกมา
       
        ไม่นานแพทย์ผู้อยู่ในเหตุการณ์โพสต์ข้อเท็จจริงอีกด้านเพื่อให้สังคมรับรู้ในทันที ผ่าน Facebook Sorarit Kiatfuengfoo ความว่า
       
        เรื่องที่เกิดขึ้นคิดว่าทุกๆ คนคงได้อ่านจากทางฝั่งของคุณบิณฑ์กันมาแล้วเลยอยากจะเล่าเรื่องจากทางอีกฝั่งบ้าง
       
        8.00 น. เคสนี้ผู้ป่วยมารพ.ด้วยเรื่อง มีเลือดออกทางช่องคลอด ไม่มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ทางแพทย์จึงได้ทำการซักประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้นพบว่าหน้าท้องมีขนาดโตขึ้นมาเหนือระดับสะดือพอสมควร นั่นแสดงถึงว่าผู้ป่วยตั้งครรภ์มากกว่า 5 เดือนแล้ว แต่ผู้ป่วยให้ประวัติว่าประจำเดือนขาดมา 2 เดือน ..ผู้ป่วยไม่เคยฝากครรภ์ และครั้งนี้เป็นการท้องครั้งที่ 4”
       
        ก่อนวิจารณ์ ให้ฟังความรอบด้าน
        แพทย์ผู้อยู่ในเหตุการณ์ เล่าเหตุการณ์ผ่านหน้าวอลล์ของตนต่อ ความว่า หลังจากปรึกษาสูติแพทย์แล้ว ได้ทำการตรวจภายในและอัลตราซาวนด์พบว่าหัวใจเด็กยังเต้นปกติดีอยู่ ปากมดลูกเปิด 8 เซนติเมตร จึงได้ให้ผู้ป่วยเข้ารับการคลอด
       
        เนื่องจากการใช้สิทธิ์ประกันสังคมเพื่อคลอดนั้นกำหนดไว้ว่าผู้ที่เข้ามารับบริการต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อนแล้วมาทำเรื่องเบิกคืนทีหลัง ทางจนท.จึงได้แจ้งแก่ผู้ป่วยและญาติเรื่องค่าใช้จ่ายแต่ทางผู้ป่วยกับญาติบอกว่าไม่มีเงินจึงขอกลับบ้าน จนท.เลยบอกให้ญาติพาไปคลอดที่ รพ. ของรัฐใกล้ๆ กัน และก่อนที่ผู้ป่วยจะขึ้น taxi ออกจากรพ. สูติแพทย์เป็นคนไปบอกและกำชับคนขับ taxi ให้ไปส่งที่ รพ. ด้วยตัวเอง
       
        14.00 น. ญาติผู้ป่วยไปพบห่อผ้าสองห่อในห้องผู้ป่วยโดยห่อนึงเป็นเด็กอีกห่อเป็นรก สอบถามผู้ป่วยจึงได้ความว่าคลอดเองประมาณเที่ยงๆ จึงได้ทำการแจ้งตำรวจเพื่อเป็นหลักฐานเพราะจะนำศพไปเผาที่วัด
       หลังจากแจ้งความแล้วตำรวจได้โทรเรียกรถร่วมให้ไปรับศพ และก็เป็นข่าวอย่างที่เห็นที่แชร์กัน...
        ปล... ญาติผู้ป่วยเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดี และไม่มีปัญหาใดๆ กับการดูแลรักษา
        ปล2.... นี่เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่าภาครัฐขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดีแก่ประชาชน ขนาดเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นหลายต่อหลายครั้ง มีรพ. จนท. หมอ พยาบาล มาให้ข้อมูลก็เยอะแต่ทำไมคนไทยยังไม่เข้าใจเรื่องสิทธิ์ประกันสังคมหรือบัตรทองของตัวเองเลย
        ปล3.... คุณบิณฑ์คงแค่ฟังเค้าเล่ามานะครับ เพราะญาติบอกว่าไม่ได้รับการติดต่อจากคุณเลย
        ปล4...... แม่สบายดีนะครับ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร
       
        ล่าสุด แพทย์ท่านเดิมได้โพสคลิปสัมภาษณ์ผู้ป่วยหญิงที่กำลังเป็นโจทย์ของสังคม ผ่าน Youtube เรื่อง กรณีผู้ป่วยคลอดที่บ้าน ซึ่งข้อเท็จจริงจากมุมผู้ป่วยกลับตาลปัตรไปจากฝั่งกู้ภัยผู้มีจิตสาธารณะ
   
        ฉุกเฉิน.. หมอไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
        อย่างไรก็ตาม การรับสิทธิบริการทางการแพทย์ด้วยสวัสดิการที่ภาครัฐตระเตรียมสำหรับประชาชน เป็นที่ทราบกันดีว่าว่ารูปแบบงานบริการเป็นไปตามกฎระเบียบขั้นตอน มิหน้ำซ้ำ เรื่องการรักษา หรือเรื่องยา ก็เข้ามาเป็นปัญหาต่องานสาธารณสุขสวัสดิการเหล่าอีกด้วย
       
        ในประเด็นนี้ เรื่องสิทธิมนุษยชนคงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในการถกเถียง ผศ.ดร.ปาริชาด สุวรรณบุบผา ผู้อำนวยการสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า สิ่งที่สำคัญก่อนจะตัดสินใจต่อเรื่องใดๆ คือการรับรู้ข้อเท็จจริงจากทั้ง 2 ฝ่าย ข้อมูลเพียงด้านเดียวอาจก่อความเข้าใจผิดๆ ได้
       “ข้อมูลไม่ครบถ้วนเราก็จะหลงผิด แล้วจะแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายมาโจมตีกัน เป็นฝ่ายหมอ เป็นฝ่ายคนไข้ ซึ่งมันไม่ใช่วิธิการที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”
       
        ผศ.ดร.ปาริชาด ทิ้งท้ายถึงหลักสิทธิมนุษยชนที่คาบเกี่ยวกับประเด็นร้อนข้างต้น “เรื่องสิทธิมนุษยชนเบื้องต้น สิทธิมนุษยชนเราไม่ได้พูดถึงกฎหมายอย่างเดียว เราพูดถึงเรื่องคุณค่าความเป็นมนุษย์ เราต้องเข้าใจเรื่องคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ทุกคนอยากมีความสุขทั้งนั้น ทีนี้คนเจ็บป่วยเค้ากำลังจะคลอดลูกมันเป็นเรื่องเบื้องต้น ตามกฎราชการอาจจะเบิกอะไรไม่ได้ แต่เข้าใจหลักสิทธิมนุษยชนด้วยว่าต้องเคารพสิทธิการเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นในเบื้องต้นก็คงต้องช่วยเค้าไว้ก่อน แล้วเรื่องเอกสารหรืออะไร กฎหมาย มันก็จัดการกันได้”
       
        ทีมข่าวฯ ติดต่อสอบถามไปยังราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย และสูตินรีแพทย์ชื่อดัง แต่ถูกปฏิเสธในการตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้นต่อประเด็นดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ข้องเกี่ยวกับบุคคกรในวิชาชีพแพทย์ ซึ่งตนไม่มีอำนาจหน้าที่ และไม่ต้องการวิพากษ์วิจารณ์บุคลาการทางการแพทย์
       
        ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา ย้ำเตือนประว่าแพทย์ทุกท่านมีดุลพินิจ หากสังคมคลางแคลงใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ก็คงต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกันต่อไป
       
        “คือหมอถ้าเวลาฉุกเฉินจริงๆ ปฏิเสธคนไข้ไม่ได้ เพียงแต่ว่ามันฉุกเฉินหรือเปล่า เป็นคำถามที่ต้องดูรายละเอียดว่ามันมีเวลาที่จะไปที่อื่นได้ เค้าก็ให้ไปได้ ฉะนั้น ฉุกเฉินไปไม่ได้แน่ๆ เค้าจะปฏิเสธไม่ได้ ต้องดูข้อเท็จจริง
       
        “สมมติ เป็นน้ำมูกไหลมาแน่นอนว่าให้ไปได้ คุณไปหาที่นู้น แบบนี้ไปได้เพราะเวลามีพอไม่เดือดร้อน ถ้าฉุกเฉินใกล้ตายปฏิเสธไม่ได้”
       
        อย่างไรก็ตาม นายกแพทยสภา ย้ำชัดว่า แต่ละโรงพยาบาลมีเงินสำรองอยู่แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายคงไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตหากต้องรับรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน เหตุการณ์ที่กำลังถกเถียงกันนี้ คาดว่าเป็นไปตามดุลพินิจของสูตินรีแพทย์ เพราะเห็นควรจึงมีการตัดสินใจลงไป

ASTVผู้จัดการรายวัน    14 ตุลาคม 2556

nuk2535

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 14
    • ดูรายละเอียด