ผู้เขียน หัวข้อ: “หมอเณร” หมอสมุนไพรชื่อดังขึ้นป้ายขายที่ดิน 100 ไร่ทิ้ง ประชดรัฐไม่จริงใจส่งเสริ  (อ่าน 802 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9745
    • ดูรายละเอียด
“หมอเณร” หมอสมุนไพรชื่อดัง ขึ้นป้ายไวนิลขนาดใหญ่หน้าสวนสมุนไพร ตำบลสระลงเรือ อำเภอห้วยกระเจา กาญจนบุรี ประกาศขายที่ดิน 100 ไร่ พร้อมสมุนไพรที่ปลูกไว้กว่า 100 ชนิด ประชดรัฐบาลที่ไม่จริงใจพัฒนาส่งเสริมสมุนไพรไทย เจ้าตัวเผยต่อสู้กับภาครัฐมานานกว่า 20 ปี รู้สึกเริ่มท้อถอย จึงตัดสินใจประกาศขายสวนสมุนไพรกลับไปอยู่อย่างสบายดีกว่า
       
       เมื่อเวลา 08.00 น. วันนี้ (3 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือหมอเณร หมอยาสมุนไพรชื่อดังอายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36 หมู่ 1 ต.สระลงเรือ อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี ได้ติดป้ายขนาดใหญ่ประกาศขายที่ดินไว้ที่หน้าสวนสมุนไพร สร้างความแปลกใจให้แก่ชาวบ้านที่พบเห็น จึงเดินทางไปตรวจสอบ และสอบถามหาสาเหตุดังกล่าว
       
       ไปถึงพบป้ายไวนิล สูง 6 เมตร กว้าง 5 เมตร มีข้อความว่า ประกาศขายที่ดิน 100 ไร่ด่วน ตรงกลางมีบทกลอนที่แต่งขึ้นประชดรัฐบาลที่ไม่เห็นคุณค่าของสมุนไพร โดยป้ายติดตั้งเอาไว้ด้านขวาประตูทางเข้าสวนสมุนไพร ส่วนประตูทางเข้าซ้ายมือ มีป้ายไวนิล กว้าง 2 เมตร ยาว 5 เมตร รวม 2 ป้าย ป้ายมีภาพสภาพของผู้ป่วยที่เคยมารักษา เปรียบเทียบอาการก่อนรักษา และหลังรักษาด้วยยาสมุนไพร
       
       นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือหมอเณร เปิดเผยว่า ตนตั้งใจที่จะขายที่ดินที่เป็นสวนสมุนไพรทั้งหมดจริง จึงได้ติดป้ายประกาศขายที่เอาไว้ด้านหน้า ส่วนสาเหตุเป็นเพราะตนต่อสู้กับภาครัฐมานานกว่า 20 ปี รู้สึกเริ่มท้อถอย เคยเข้าประชุมที่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อแก้กฎหมายแพทย์แผนไทย สุดท้ายก็แก้ไม่ได้ แถมตนถูกรัฐบีบให้เป็นผู้ผิดกฎหมาย ทั้งๆ ที่ตนเองมีความรู้ด้านยาสมุนไพรระดับโลก ที่ผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมาธิการสาธารณสุขสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2553 ซึ่งต่างรู้ดีว่ายาสมุนไพรที่ตนมีสามารถรักษาโรคหัวใจ และโรคอื่นๆ ได้จริง
       
       ส่วนผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานที่มีอาการหนักก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตัดแขนตัดเท้าทิ้ง ซึ่งสมุนไพรเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติทั้งโลก ตรงนี้มันมีมูลค่ามหาศาลที่ควรค่าอยู่คู่เมืองไทย ตนนำเงินมาลงทุนปลูกพืชสมุนไพร เพื่อคิดค้นตำราผลิตยาสมุนไพรนำไปรักษาอาการป่วยของมวลมนุษยชาติ แต่ในเมื่อเราไม่สามารถพัฒนายาสมุนไพรที่มีอยู่ให้ก้าวไปสู่ระดับสากลได้ดังที่ตั้งใจเอาไว้จึงเกิดท้อถอยขึ้นมา
       
        “ที่ผ่านมาตลอด 20 ปี ผมต่อสู้กับหน่วยงานภาครัฐ รัฐบาลหลายรัฐบาลเพื่อขอให้สนับสนุนสมุนไพรไทย แต่ก็ถูกปฏิเสธ เริ่มตั้งแต่ปี 2538 รัฐบีบผมเพื่อขอสูตรตัวยาสมุนไพรที่ผมคิดค้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่องแต่ไม่สำเร็จ ต่อมา ก็มีการเล่นเกมด้วยการผลิตยาสมุนไพรขึ้นมาเองด้วยการนำไปแจกให้แก่ผู้ป่วยฟรี ส่วนหนึ่งก็เอามาก่อกวนขณะที่มีคนไข้มารักษาที่ผม และให้ข่าวใส่ร้ายผมมาตลอด มันจึงมีอุปสรรคในการรักษาคนป่วยของผม เพราะฉะนั้น ผมจึงตัดสินใจขึ้นป้ายประกาศขายที่ทั้งหมดทิ้ง รวมทั้งสมุนไพรทั้งหมดที่มีกว่า 100 ชนิดด้วย อีกทั้งผมอายุมากแล้วไม่รู้จะทำต่อไปเพื่ออะไร ในเมื่อหน่วยงานภาครัฐไม่ได้ให้ความจริงใจต่อการสนับสนุนยาสมุนไพร สำหรับสูตรยาสมุนไพรก็คงเก็บไว้ก่อน เพราะคงไม่มีใครจะสามารถนำไปคิดค้นขึ้นมาใหม่ได้” นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือหมอเณร กล่าว
       
       นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือหมอเณร กล่าวต่อว่า แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เห็นความสำคัญกับตัวยาสมุนไพร และต้องการที่จะให้การสนับสนุนยาสมุนไพรเพื่อนำไปรักษาให้แก่มวลมนุษยชาติทั้งโลกก็ขอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบตัวยาสมุนไพรที่ตนมีอยู่ว่าสามารถรักษาผู้ป่วยได้จริงหรือไม่ และให้สอบสวนว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเคยเข้ามาให้การสนับสนุน หรือกลั่นแกล้งตนจริงหรือไป
       
       “ขอเรียนว่าสมัยก่อนบ้านเราไม่มีไฟฟ้า ไม่มีการแพทย์ทางตะวันตกเลย สมัยโบราณคนไทยทุกคนรักษาโรคต่างๆ ด้วยยาสมุนไพรทั้งนั้น การแพทย์แผนไทยมันเป็นการแพทย์ของบรมครูผู้ตรัสรู้ผลิตคิดค้นสร้างขึ้นด้วยญาณ เพราะในสมัยโบราณไม่มีไฟฟ้า ไม่มีคอมพิวเตอร์ ซึ่งมันเป็นคนละศาสตร์กับการวิเคราะห์วิจัย จึงขอเรียนให้ท่านนายกรัฐมนตรีทราบเลยว่า มันเป็นคนละศาสตร์กัน แต่ศาสตร์ปัจจุบันก็มีคุณค่าต่อมนุษย์ และศาสตร์โบราณก็มีคุณค่าต่อมนุษย์เราเช่นกัน แต่ถ้าหากนำทั้ง 2 ศาสตร์มารวมเป็นหนึ่งเดียว โดยจะต้องอ้างอิงการวิเคราะห์วิจัย จะทำให้ตำราที่เขาร่ำเรียนมาตั้งแต่โบราณถูกสกัดกั้น และถูกตัดตอนจนเกิดความเสียหาย ทำให้สมุนไพรโบราณไม่สามารถเกิดขึ้นได้ อย่างที่ผมโดนกระทำอยู่ทุกวันนี้”
       
       นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือหมอเณร กล่าวต่ออีกว่า แต่ก็มีกลุ่มคนที่อ้างตัวว่าเป็นหมอยาสมุนไพร และนำยาไปแจกให้แก่คนไข้ฟรีก็มี ส่วนผมเองแล้วเชื่อว่าไม่มีจริง แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้สนใจที่จะเข้าไปตรวจสอบว่าที่มาของรายได้นั้นมาจากไหน คนไข้ที่เข้าไปรับยาสมุนไพรสามารถนำอาหาร หรือน้ำดื่มเข้าไปได้หรือไม่ และภายในมีการจำหน่ายอาหาร และน้ำดื่มให้แก่คนไข้ในราคาที่แพงจริงหรือไม่ ตนจึงมองว่าเป็นการหารายได้จากคนไข้ในทางอ้อม เหมือนกับทำธุรกิจเปิดร้านอาหาร โดยการแจกยาสมุนไพรฟรีเพื่อบังหน้า คนไข้ส่วนใหญ่มีอาการหนักทุกคน จึงยอมที่จะเดินทางมาจากที่ต่างๆ เพื่อมารับยาสมุนไพรฟรี แต่ลืมไปว่าจะต้องซื้ออาหาร และน้ำดื่มในราคาที่แพงกว่าความเป็นจริง


ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 ตุลาคม 2556