ผู้เขียน หัวข้อ: ลึกล้ำยากหยั่งถึง-สารคดี(เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก)  (อ่าน 1955 ครั้ง)

pani

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 756
    • ดูรายละเอียด
“พอเลย ‘อุ้งตีนสุนัข’ ไปแล้ว

     ‘ระวังไดโนเสาร์’ด้วยนะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในความมืด

ผม จำสำเนียงห้วนๆแบบทหารอังกฤษของโจนาทาน ซิมส์ ได้ แต่ไม่รู้ว่าเขาพูดถึงอะไรอยู่ แสงไฟฉายบนหมวกผมสาดไปเจอเขานั่งอยู่เพียงลำพังในความมืดข้างผนังถ้ำ

             “ไปต่อเลยพวก” ซิมส์ร้องบอก “ขอนั่งพักเท้าก่อน”

            เรา สองคนไต่เชือกข้ามแม่น้ำราวเทือง แม่น้ำใต้ดินที่ส่งเสียงกึกก้องกัมปนาท และไต่หินปูนที่คมราวใบมีดสูงหกเมตรขึ้นไปยังตลิ่งทราย ผมไปต่อเพียงลำพังโดยเดินตามลำแสงจากไฟฉายคาดศีรษะไปตามรอยเท้าที่มีอายุ หนึ่งปี ย้อนหลังไปเมื่อฤดูใบไม้ผลิปี 2009 ซิมส์เป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะสำรวจชุดแรกที่เข้าไปยังถ้ำฮังซึนดึง หรือ “ถ้ำภูเขาแม่น้ำ” ในพื้นที่อันห่างไกลของเวียดนามตอนกลาง  ถ้ำที่เร้นกายอยู่ในอุทยานแห่งชาติฟอง-แกบังอันขรุขระใกล้พรมแดนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแห่งนี้  เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายถ้ำ 150 แห่งหรือราวๆนั้นในทิวเขาอันนัม ในจำนวนนี้มีหลายแห่งยังไม่ได้รับการสำรวจ  ระหว่างการเดินทางสำรวจครั้งแรกนั้น  ทีมงานสามารถเดินสำรวจถ้ำฮังซึนดึงได้สี่กิโลเมตร ก่อนที่กำแพงแร่แคลไซต์ซึ่งปกคลุมไปด้วยโคลนเลนสูง 60 เมตรจะสกัดกั้นพวกเขาไว้  คณะสำรวจตั้งชื่อให้กำแพงแห่งนี้ว่า  “กำแพงเมืองเวียดนาม” เหนือกำแพงขึ้นไป พวกเขาพอมองเห็นช่องเปิดและแสงรางๆ แต่ไม่รู้ว่าอีกด้านหนึ่งมีอะไรอยู่  หนึ่งปีให้หลัง คณะสำรวจซึ่งประกอบไปด้วยนักสำรวจถ้ำเดนตายชาวอังกฤษเจ็ดคน  นัก วิทยาศาสตร์สองสามคน และทีมลูกหาบ จึงย้อนกลับมาที่ถ้ำนี้อีกครั้งเพื่อปีนกำแพงดังกล่าว และหากทำได้พวกเขาจะวัดขนาดทางเดิน และถ้าเป็นไปได้ก็จะเดินทางต่อไปให้สุดปลายถ้ำ

            ทางเดินหายวับไปต่อหน้าต่อตาผม  จะ เห็นก็แต่กองหินก้อนใหญ่เท่าตึกที่ร่วงหล่นจากเพดานลงมากองอยู่บนพื้นถ้ำ ผมหันกลับไปดู แต่ความกว้างใหญ่ไพศาลของถ้ำก็กลืนกินแสงจากไฟฉายอันเล็กจ้อยบนศีรษะผมไปหมด ราวกับว่าผมกำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีอันมืดมิดไม่มีแม้กระทั่งแสงดาว  ผมปิดไฟฉายเพื่อจะได้สัมผัสถึงความมืดอันลึกล้ำ  พอรูม่านตาผมเริ่มปรับตัวได้  ผมก็ต้องแปลกใจที่ได้เห็นแสงประหลาดรางๆอยู่เบื้องหน้า  ผมค่อยๆเดินผ่านกองเศษหิน และเกือบจะวิ่งด้วยความตื่นเต้น  ก้อน หินระเกะระกะอยู่ใต้ฝ่าเท้าและส่งเสียงสะท้อนก้องอยู่ในคูหาที่มืดสนิทจนมอง อะไรไม่เห็น ผมเดินขึ้นไปตามเนินสูงชัน เลี้ยวตรงเนินสันราวกับอยู่บนเชิงเขา และหยุดกึกอยู่ตรงนั้น

            แสงแดดลำมหึมาส่องทะลุลงมาในถ้ำราวกับน้ำตก  รูบนเพดานที่แสงตกผ่านลงมานั้นใหญ่โตอย่างเหลือเชื่อ      อย่างน้อยๆ ก็น่าจะกว้างถึง 90 เมตร  แสงที่เจาะทะลวงลึกลงมาในถ้ำเผยให้เห็นขนาดอันน่าตื่นตะลึงของถ้ำฮังซึนดึงเป็นครั้งแรก  ทางเดินนั้นอาจกว้างถึง 90 เมตร เพดานสูงเกือบ 240 เมตร คูหากว้างพอจะบรรจุตึกสูง 40 ชั้นได้ทั้งช่วงตึก แล้วยังมีเมฆบางๆลอยเรี่ยอยู่ใกล้เพดานถ้ำด้วย

            ลำแสงจากด้านบนเผยให้เห็นแท่งแคลไซต์บนพื้นถ้ำที่สูงทะมึนกว่า 60 เมตร ปกคลุมไปด้วยเฟิร์น ต้นปาล์ม และแมกไม้น้อยใหญ่แบบเดียวกับที่พบเห็นได้กลางป่า  หินย้อย (stalactite) ห้อยอยู่รอบๆขอบช่องแสงขนาดมหึมาราวกับแท่งน้ำแข็งที่กลายเป็นหิน  เถาวัลย์ระโยงระยางอยู่เหนือพื้นถ้ำสองสามร้อยเมตร นกนางแอ่นโฉบผ่านลำแสงอาทิตย์แพรวพราย โจ นาทาน ซิมส์ ตามมาสมทบกับผม ระหว่างจุดที่เรายืนอยู่กับทางเดินอาบแสงอาทิตย์เบื้องหน้ามีหินงอกรูปร่าง คล้ายอุ้งตีนสุนัขตั้งตระหง่าน

            “จะเรียกว่าหัตถ์แห่งพระเจ้า (Hand of God) ก็เฉิ่มไปหน่อย” โจนาทานพูดพลางชี้ไปที่หินงอก “เรียกว่าอุ้งตีนสุนัข (Hand of Dog) ท่าจะดีนะว่าไหม”

 

ย้อนหลังไป 20 ปีก่อน เฮาเวิร์ด ลิมเบิร์ต หัวหน้าคณะสำรวจ พร้อมด้วยเด็บ ผู้เป็นภรรยา เป็นนักสำรวจถ้ำรายแรกๆ ที่มาเยือนเวียดนามนับตั้งแต่ทศวรรษ 1970  ในยุคนั้นถ้ำของเวียดนามมีชื่อเสียงเลื่องลือ แต่ยังไม่เคยมีใครสำรวจ ในปี 1941 โฮจิมินห์วางแผนปฏิวัติต่อต้านญี่ปุ่นและฝรั่งเศสในถ้ำปักโบทางตอนเหนือของฮานอย  และในช่วงสงครามเวียดนาม     ชาวเวียดนามหลายพันคนได้อาศัยถ้ำเหล่านี้หลบภัยจากการทิ้งระเบิดปูพรมของอเมริกา  คู่ สามีภรรยาลิมเบิร์ตซึ่งเป็นนักสำรวจถ้ำผู้คร่ำหวอดจากหุบเขายอร์กเชียร์ทาง ตอนเหนือของอังกฤษ ได้ติดต่อกับมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์แห่งฮานอย และเมื่อได้รับใบอนุญาตปึกใหญ่แล้ว   พวกเขาก็วางแผนและเตรียมการสำหรับการเดินทางสำรวจในปี 1990 ตั้งแต่นั้นมาทั้งคู่เดินทางมาเวียดนาม 13 ครั้ง  และไม่เพียงค้นพบถ้ำแม่น้ำ (river cave) ที่ยาวที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อันได้แก่ถ้ำฮังเครี  ยาว 19 กิโลเมตรไม่ไกลจากถ้ำฮังซึนดึง แต่ยังได้ช่วยชาวเวียดนามก่อตั้งอุทยานแห่งชาติฟองญา-แกบังขนาดพื้นที่ 857.5 ตารางกิโลเมตร  ซึ่ง ต่อมาได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2003 นักท่องเที่ยวปีละราว 250,000 คนผู้นำรายได้เป็นกอบเป็นกำมาสู่ชาวบ้านในท้องถิ่น ต่างหวังจะได้เชยชมถ้ำฮังฟองญาที่มีชื่อเดียวกับอุทยานแห่งนี้

            ความ รกชัฏของป่าอาจทำให้สองสามีภรรยาลิมเบิร์ตหาถ้ำไม่พบหากไม่ได้รับความช่วย เหลือจากชาวบ้านในพื้นที่ เฮาเวิร์ดเล่าว่า “เราเดินทางเข้ามาสำรวจถึงสามครั้งกว่าจะเจอถ้ำฮังซึนดึง   เมื่อทั้งคู่ได้เห็นพื้นที่ขนาดมหึมานี้เป็นครั้งแรก  พวกเขาก็มั่นใจว่าได้ค้นพบถ้ำขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเข้าแล้ว  ถ้ำนี้มีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร มีทางเดินต่อเนื่องที่กว้างถึง 90 เมตร และบางจุดสูงเกือบ 200 เมตร

           

หลังจากป่ายปีน ถูลู่ถูกัง และคืบคลานกันมานานห้าวันเต็มๆ  คณะของเรายังเดินสำรวจถ้ำได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น คณะของเรามีอยู่ด้วยกันกว่า 20 ชีวิต  ซึ่งนั่นดูจะทำให้พวกเราทำงานได้ช้าลง  นอก จากนั้น การเดินทางก็เริ่มอันตรายมากขึ้น เมื่อเราไต่ผ่านกองหินในจุดที่เรียกว่า “ระวังไดโนเสาร์” การก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวบนหินลื่นๆ อาจหมายถึงการร่วงลงไปถึง 30 เมตร พอไปถึงช่องแสงถัดมาที่มีชื่อว่า  สวนอีแดม (Garden of Edam)  พวกเราพบว่ามันมีขนาดใหญ่โตกว่าช่องแสงแรกมาก ด้านล่างเป็นกองเศษหินขนาดเท่าภูเขาอีกกอง  ปกคลุมไปด้วยผืนป่าซึ่งมีทั้งต้นไม้สูง 30 เมตร เถาวัลย์ และต้นตำแย ถึงตอนนี้เวลาและเสบียงของเราเริ่มร่อยหรอลง  เฮาเวิร์ดจึงตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องส่งทีมล่วงหน้าไปยัง “กำแพงเมืองเวียดนาม” เพื่อดูว่าจะบุกต่อกันได้หรือไม่  กำแพงที่ว่านี้อยู่ห่างออกไปกว่าหนึ่งกิโลเมตรครึ่งตรงสุดทางเดินรูปร่างเหมือนตัววี (V) ด้านล่างเป็นคูน้ำลึกครึ่งเมตร  แล้วยังมีกำแพงโคลนเหนียวหนืดสูง 12 เมตรขนาบอยู่ทั้งสองข้าง  การปีนกำแพงโคลนสูง 60 เมตรที่ยื่นออกมานั้นต้องอาศัยเทคนิคและมีความเสี่ยงสูง  เรา จึงต้องใช้ “คนบ้า” ให้ถูกประเภท โชคดีที่เฮาเวิร์ดเป็นคนเลือก แกเร็ท “สวีนี” ซีเวลล์ และเฮาเวิร์ด คลาร์ก เป็นทัพหน้า ทั้งคู่สำรวจปล่องถ้ำหินปูนที่อันตรายที่สุดในอังกฤษมาด้วยกันถึง 20 ปี  วันแรกตรงฐานกำแพง  ขณะที่คลาร์กง่วนกับการผูกเชือกยึดตัวเองไว้  สวีนีก็เริ่มไต่ขึ้นไปอย่างไม่สะทกสะท้านพร้อมกับเจาะรูตามผนังรูแล้วรูเล่า  แต่รูเกือบทั้งหมดกลวงเกินกว่าที่จะยึดตะปูเกลียวสำหรับแขวนเชือกของพวกเขาได้  ตลอด 12 ชั่วโมงทั้งคู่สบถไม่หยุดปาก  “ไอ้ กำแพงบ้านี่มีแต่โคลนเต็มไปหมด” สวีนีพูดขึ้นมาพอถึงจุดหนึ่ง โดยไม่มีใครเอ่ยปากถึงอันตรายที่แท้จริง นั่นคือการเสี่ยงต่อการตกลงมาซึ่งอันตรายถึงชีวิต

            ในวันที่สองของการปีน  หลังจากตั้งค่ายค้างแรมชั่วคราวที่ฐานกำแพง  สวีนีก็กลับขึ้นไปยังจุดเดิมที่เขาปีนได้เมื่อวาน โดยมีคลาร์กผูกเชือกเข้ากับตัวเองอีกครั้ง  ไม่ช้าเสียงสว่านก็ดังกระหึ่มท่ามกลางความมืดมิด สวีนีอยู่สูงจนเราเห็นเพียงแสงสลัวจากไฟฉายคาดศีรษะของเขา  พอถึงเวลาบ่ายสองโมง หลังจากเจาะรูและปีนป่ายขึ้นไปร่วม 20 ชั่วโมง  สวีนี ก็หายตัวไปหลังกำแพง  สองสามนาทีต่อมาเราก็ได้ยินเสียงดังว่า “โว้ววววววว!!”

            คลาร์กไต่เชือกตามขึ้นไป แล้วตะโกนลงมาถามผม “ว่าไง นายจะขึ้นมารึเปล่า!”

            บน ยอด “กำแพงเมืองเวียดนาม” เราเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์จริงๆ และพากันโห่ร้องด้วยความดีใจ คณะสำรวจที่เหลือเล่าให้เราฟังในภายหลังว่า   พวกเขาได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกของพวกเราไกลออกไปกว่าหนึ่งกิโลเมตรในถ้ำ การวัดจากยอดกำแพงในเวลาต่อมาเผยให้ทราบว่า  ระยะจากพื้นถึงเพดานถ้ำนั้นมีความสูงเกือบ 200 เมตรและตอนนี้ก็มีเพียงเราสามคนเท่านั้นที่กำลังสำรวจอยู่   ไม่เคยมีมนุษย์หน้าไหนย่างกรายมาถึงที่นี่มาก่อน เราโรยตัวลงทางด้านหลังของกำแพง และเริ่มไต่ขึ้นไปตามขั้นบันไดหินมุ่งหน้าสู่ทางออก
                                ยี่สิบกว่านาทีต่อมา  พวกเราก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาและออกจากถ้ำ  ผืนป่ากำลังชุ่มฉ่ำจากสายฝนที่โปรยปรายลงมา เราบุกป่าฝ่าดงออกมาไกลจนเห็นเส้นขอบฟ้า  และพบว่านี่ไม่ใช่ช่องแสงอีกช่องหนึ่ง  แต่เราค้นพบสุดปลายฮังซึนดึงเข้าแล้ว  สวีนีกับคลาร์กถ่อมตัวเกินกว่าจะอวดอ้างว่า  พวกเราเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจการสำรวจทางเดินในถ้ำที่น่าจะได้ชื่อว่าเป็นถ้ำใหญ่ที่สุดในโลกเป็นครั้งแรก

มกราคม 2554