กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 10
31
ต้องผ่าตัดสมอง ออฟฟี่ แม็กซิม เผยสาเหตุ-อาการล่าสุด สมองยังบวม ยังอยู่ที่ ICU งานที่รับไว้ ไม่มีความต้องการที่จะเบี้ยวงานแต่อย่างใด

เฟซบุ๊ก Yuttana Sutthiprapha เปิดภาพล่าสุด ออฟฟี่ แม็กซิม หรือ อรพรรณ ด่านศิริพัฒนกุล ซึ่งก่อนหน้านี้ แตงโม ลูกสาวออฟฟี่ เผยพาไปส่งโรงพยาบาล หลังหลับไป 2 วัน

โดยเผยภาพล่าสุด เฟซบุ๊ก Yuttana Sutthiprapha ขณะสวมกอด ออฟฟี่ นอนบนเตียงคนไข้ พร้อมแคปชั่น

“พระคุ้มครองนะครับออฟฟี่ อยู่ในการดูแลของคุณหมออย่างใกล้ชิดแล้ว พี่ขอให้หนูปลอดภัย พักผ่อนเยอะๆนะคะเดี๋ยวก็หายแล้ว Orapan Dansiriwattanakun”

โดยก่อนหน้านั้นได้อัพเดตอาการ ออฟฟี่ ด้วยว่า “อัพเดดอาการของออฟฟี่นะครับ วันที่ 24 มีนาคม 2567 หลังจากเข้ารับการตรวจบริเวณสมองตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2567

เนื่องจากมีอาการปวดหัวมาในรอบหลายๆวันก่อนหน้านี้ คุณหมอทำการตรวจ MRI พบว่าบริเวณสมองซีกซ้ายมีเลือดออก

มีเส้นเลือดโป่งพอง หมอจึงสันนิษฐานว่าบริเวณนั้นคือต้นเหตุที่ทำให้เลือดไหลออกมา จึงต้องทำการยิงสีเพื่อตรวจหาสาเหตุ
วันที่ 21 มีนาคม 2567 ออฟฟี่ได้เข้ารับการการฉีดสีเข้าไปในสมอง พบว่ามีเส้นเลือดในสมองโป่งพองเป็นสาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกบริเวณสมองซีกซ้าย

จึงต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองโดยเร่งด่วน หลังจากเข้ารับการผ่าตัดต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ อาการของออฟฟี่มีการตอบสนองลืมตาดูได้บ้าง

แต่ด้วยสภาวะร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนแอ มีอาการสมองบวม จึงไม่สามารถสื่อสารได้ หลังจากนั้นตรวจพบว่ามีเส้นเลือดตีบบริเวณสมองซีกขวา

ทำให้สมองซีกขวาไม่ทำงาน ร่างกายซีกขวาไม่ตอบสนองหลังการผ่าตัด จึงต้องเข้ารับการผ่าตัดรอบที่ 2 เพื่อขยายหลอดเลือด

วันที่ 22 มีนาคม 2567 ออฟฟี่เข้ารับการผ่าตัดเพื่อขยายเส้นเลือด เพื่อเข้าไปเลี้ยงบริเวณสมองซีกขวา ปรากฏว่าผลจากการผ่าตัดออกมาค่อนข้างดี แพทย์ทำการรักษาได้เป็นอย่างดี

แต่ยังคงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ มีอาการสมองบวม ออฟฟี่มีการตอบสนองจ้องมองได้และน้ำตาไหล มือด้านซ้ายพยายามสื่อสารกับเรา มือและเท้าด้านขวามีการกระดิกเริ่มขยับได้บ้าง

พยาบาลที่ดูแลบอกว่าดีขึ้นมากกว่าเมื่อวาน เริ่มรู้สึกตัวยกหัวขึ้นหมอนได้และถามว่าเจ็บมั้ยก็พยักหน้าและก็มีการมองตามและสื่ออารมณ์ได้แต่ยังพูดกับเราไม่ได้เพราะใช้เครื่องช่วยหายใจ

วันที่ 23 มีนาคม 2567 อาการของออฟฟี่ตอนนี้ยังทรงตัวอยู่ ในห้อง ICU ยังคงให้ยาลดอาการสมองบวม ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

วันที่ 24 มีนาคม 2567 อาการล่าสุดของออฟฟี่ร่างกายฝั่งขวามีการตอบสนองสามารถยกมือขวาได้มากขึ้น แต่ยังมีอาการสมองบวม แพทย์จึงให้ยาลดบวมอย่างต่อเนื่อง ยังคงต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

ส่วนเรื่องงานที่ออฟฟี่รับไว้ ออฟฟี่ขอรบกวนขอความเห็นใจจากพี่ๆทุกคนด้วยนะคะ ออฟฟี่ไม่ได้หนีหายไปไหน หรือไม่มีความต้องการที่จะเบี้ยวงานแต่อย่างใด

ออฟฟี่ยืนยันว่าป่วยจริง ได้รับการรักษาอยู่ที่ ICU จริง หากออฟฟี่อาการดีขึ้น แล้วจะรีบกลับมาทำงานที่รับไว้โดยเร่งด่วน

หากมีเรื่องด่วนที่เกี่ยวกับงานที่ออฟฟี่รับไว้ สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 080-955-5456 ส่วนเรื่องอาการของออฟฟี่ ทางเราจะพยายามอัพเดทให้เรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ” ท่ามกลางคนบันเทิงและเพื่อนๆ แฟนๆ เข้ามาให้กำลังใจจำนวนมาก


26 มีนาคม 2567
ข่าวสด
32
แพทย์หญิง เปิดใจทั้งน้ำตา เสียใจอดีตสามีปลิดชีพในรพ.ยันเลิกกันด้วยดี และไม่มีสัญญาณก่อเหตุ เผยอดีตสามีพิมพ์จดหมายสั่งเสีย

ภายหลังแพทย์หญิงพรนิภา ศรีประเสริฐ หรือ หมอแอม กุมารแพทย์โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งย่านโชคชัย 4 เข้าให้ปากคำกับตำรวจนานเกือบ 2 ชั่วโมง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนทั้งน้ำตา บอกว่า ก่อนเกิดเหตุวันนี้ตัวเองได้เดินทางไปทำงานตามปกติ แล้วต่อมานายสุทธิภัสส์ อดีตสามี ก็ได้มาหา ซึ่งตัวเองได้พูดคุยทักทาย ว่า “ พี่มาทำอะไร ” แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ และนั่งรออยู่ในห้องตรวจ ตัวเองจึงเดินเข้าไปเตรียมพร้อมเพื่อออกตรวจคนไข้ในอีกห้องนึง ซึ่งเป็นห้องที่เชื่อมต่อกัน แล้วก็เห็นอีกฝ่ายแง้มประตู โผล่หน้าเข้ามาดู หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงปืนดังขึ้น

 ขณะที่หลังเกิดเหตุ ตัวเอง พบว่า ฝ่ายชายได้นำเอกสารติดตัวมาด้วย โดยตอนแรกตัวเองไม่ทราบว่าเป็นเอกสารอะไร เพราะฝ่ายชายได้นำเอกสารคว่ำหน้าไว้ แต่หลังจากเกิดเหตุตรวจสอบพบว่า เอกสารที่ฝ่ายนำมา มีการเขียนที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของพ่อแม่ฝ่ายไว้ แล้วมีการเขียนข้อความบางอย่างไว้ในเอกสารด้วย แต่ตัวเองไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดในข้อความได้ เพราะอยู่ในสำนวนกาาสอบสวน

หมอแอม ยืนยันว่า ก่อนเกิดเหตุตัวเองไม่ได้มีปัญหาหรือทะเลาะกันกับฝ่ายชาย เพราะเลิกกันด้วยดี และยังมีความปรารถนาดีต่อกันมาโดยตลอด โดยเมื่อวันที่ไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอ ก็ผ่านไปด้วยดี อีกทั้งต่างฝ่ายต่างยังอวยพรให้พบเจอแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต ซึ่งก็ไม่คาดคิดว่าฝ่ายชายจะมาก่อเหตุแบบนี้

หมอแอม บอกด้วยว่า หลังจากจดทะเบียนหย่ากันประมาณ 10 วัน วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับอดีตสามี โดยเป็นการพบกันแบบไม่ได้นัดหมาย จู่ๆฝ่ายชายก็เข้ามาหา ส่วนเรื่องอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ ยืนยันว่าระหว่างคบหากัน ไม่เคยเห็นอดีตสามีพกปืน และไม่มีพฤติกรรมชอบยิงปืน โดยอดีตสามี มีความสามารถด้านกีฬา แล้วมักจะชอบถ่ายทอดทักษะด้านกีฬาให้เด็กและเยาวชน ซึ่งก็จะชอบส่งภาพฝึกซ้อมกีฬามาให้ดู แม้ว่าจะเลิกรากันไปแล้ว

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตัวเองก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง และไม่ทราบด้วยว่าอดีตสามีมีปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจหรือไม่ เพราะหลังจากแยกทางกันก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวเรื่องเงินหรือเรื่องส่วนตัวกันอีก

 ทั้งนี้ ตัวเองเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วอยากฝากผ่านสื่อมวลชน เกี่ยวกับมาตรการป้องกันเหตุในโรงพยาบาล ซึ่งยืนยันว่าทางโรงพยาบาลมีมาตรการที่เข้มงวด แต่เนื่องจากอดีตสามีเคยไปหาตัวเองที่ทำงานประมาณ 2-3 ครั้งแล้วเจ้าหน้าที่เคยเห็นหน้า จึงให้เข้าไปนั่งรอ

ขณะที่ทีมข่าวตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากทางตำรวจ ทราบว่า เอกสารที่นายสุทธิภัสส์ คนตาย นำมามอบให้กับแพทย์หญิงพรนิภา หรือ หมอแอม อดีตภรรยา เป็นกระดาษ A4 ที่พิมพ์และปริ้นออกมาจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นคำสั่งเสีย เกี่ยวกับเรื่องพินัยกรรม ระบุไว้ทำนองว่า ถ้าได้เจอจดหมายฉบับนี้แปลว่าตัวเองได้เสียชีวิตแล้ว และให้อดีตภรรยาช่วยติดต่อแม่และญาติตามเบอร์โทรศัพท์ที่พิมพ์ไว้ในเอกสาร เพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับพินัยกรรม และการจัดการทรัพย์สินต่างๆ

โดยในเอกสารไม่ได้มีการพิมพ์ข้อความตัดพ้อหรือต่อว่าอดีตภรรยาแต่อย่างใด

Amarin TV News
26 มีค 2567
33
ด่วน !! ผัวเก่าง้อเมียหมอไม่สำเร็จ ลั่นไกตัวเองดับที่ชั้น 2 โรงพยาบาลดังย่านโชคชัย 4 พบเพิ่งหย่ากันได้ 1 สัปดาห์

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีออนไลน์ได้รับการเปิดเผยจาก ร้อยเวร สน.โชคชัย เปิดเผยว่าเกิดเหตุยิงกัน ภายใน ชั้น 2 โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ย่านโชคชัย 4 จากการตรวจสอบพบว่าเป็นเหตุยิงตัวเองตาย ผู้ก่อเหตุเป็นสามี อายุ 46 ปี เดินทางมาหาอดีตภรรยา ซึ่งเป็นหมอ อายุ 36 ปี ใน รพ.ดังกล่าว

โดยก่อนก่อเหตุ ฝ่ายสามีได้ยื่นซองเอกสาร ให้อดีตภรรยา แล้วบอกว่า "พี่รออยู่ในห้องนี้นะ" ก่อนจะได้ยินเสียงปืนลั่นไกใส่ตัวเองเสียชีวิต

จากการตรวจสอบทราบว่าทั้งคู่เพิ่งหย่ากันได้เพียง 1 สัปดาห์ คาดว่าคงมาง้อขอคืนดี แต่เกิดเครียดจบชีวิตตัวเองเสียก่อน

ขณะนี้คุณหมอ อดีตภรรยาของผู้ก่อเหตุ อยู่ในอาการเศร้าเสียใจไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูล

25 มี.ค. 67
www.amarintv.com
34
กรุงเทพฯ คว้าอันดับ 1 Best City จากการจัดอันดับของนิตยสาร DestinAsian สุวรรณภูมิคว้าอันดับ 2 สนามบินที่ดีที่สุด เชื่อมั่นในการพัฒนาของนายกฯ ไทยเป็นศูนย์กลางการจัดอันดับต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2567 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังคงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก หลังนิตยสารท่องเที่ยวชื่อดัง DestinAsian ประกาศให้กรุงเทพฯ คว้าอันดับ 1 เมืองที่ดีที่สุด (Best Cities 2024) ในประเภทเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว (Destination) ในเอเชียแปซิฟิก

ตามมาด้วยกรุงโตเกียว สิงคโปร์ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ฮ่องกง กรุงโซล นครซิดนีย์ นครเซี่ยงไฮ้ ไทเป และนครโฮจิมินห์ (https://destinasian.com/readers-choice-awards/2024-winners/best-cities)

การจัดอันดับครั้งนี้ เป็นผลมาจากการคัดเลือกของผู้อ่าน ของนิตยสาร DestinAsian ซึ่งได้ประกาศพร้อมจัดอันดับหมวดหมู่ต่างๆ ทั้งจุดหมายปลายทางประเภทเมือง เกาะ โรงแรมและรีสอร์ต สายการบิน สนามบิน และการเดินเรือ ที่ได้รับความนิยมจากผู้อ่านเป็นประจำทุกปี ซึ่งในประเภทเกาะที่ดีที่สุด เกาะของไทยก็ได้รับความนิยมในอันดับ 3 คือ ภูเก็ต ตามมาด้วย เกาะสมุย ในอันดับที่ 4 รองจากที่ 1 เกาะบาหลี และที่ 2 เกาะมัลดีฟส์

นอกจากนี้ ในประเภทสนามบิน สนามบินสุวรรณภูมิ ได้อันดับที่ 2 สนามบินที่ดีที่สุด รองจากสนามบินชางงีของสิงคโปร์ ที่ได้อันดับที่ 1 ส่วน อันดับ 3 คือ สนามบินนานาชาติฮ่องกง ทางด้านการจัดอันดับประเภทสายการบินที่ดีที่สุด การบินไทย ได้อันดับที่ 3 รองจาก สิงคโปร์ แอร์ไลน์ และเอมิเรตส์ ในอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ ส่วนประเภทสายการบิน Low-cost ที่ดีที่สุด สายการบิน บางกอก แอร์เวย์ส ได้อันดับที่ 2 รองจาก แอร์เอเชีย

ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวซึ่งเป็นอีกอุตสาหกรรมสำคัญของไทย นอกจากดำเนินมาตรการสำคัญ ทั้งมาตรการวีซ่าฟรี ให้กับนักท่องเที่ยวในหลายประเทศ แก้ไขกฎ ระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคการท่องเที่ยว รวมถึงการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ของนักท่องเที่ยวแล้ว

“นายกฯ กำหนดให้การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวอยู่ในวิสัยทัศน์ 8 ด้าน อาทิ ศูนย์กลางการบิน ศูนย์กลางอาหาร ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ ที่จะผลักดันให้ไทยเป็น 1 ในภูมิภาค จึงเชื่อมั่นได้เลยว่าในการบริหารของรัฐบาล จะทำให้ไทยติดอยู่ในความสนใจของนักท่องเที่ยวจนได้รับการจัดอันดับด้านอื่นๆ ดีอย่างต่อเนื่อง” นายชัย กล่าว

25 มีค 2567
ข่าวสด
35
ช็อก! วงการ ‘ชีวะภาพ ชีวะธรรม’ มือปราบเบอร์ 1 ป่าไม้ ลาออกจากราชการ เผยป่าไม้ไทยหายไปวันละ 1 พันไร่ หรือ 200 สนามฟุตบอล

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม นายชีวะภาพ ชีวะธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) อดีตหัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร ให้สัมภาษณ์ มติชนออนไลน์ ว่า เดือนพฤษภาคมนี้ ตนตั้งใจจะลาออกจากราชการ ซึ่งอีกไม่กี่เดือนก็จะเกษียณอายุแล้ว แต่ยังมีความตั้งใจ มีจิตวิญญาณที่รักและหวงแหนในผืนป่าอยู่ คิดว่ายังมีประตูบานอื่นๆ ที่ให้ตนสามารถเข้าไปทำงานทางด้านนี้มากกว่านี้ คิดว่าประตูอีกบานที่จะทำให้ตนสามารถทำงานได้คือ การลงสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ จ.สิงห์บุรี

“ผมเป็นคนที่นี่ เป็นคนบางระจัน คนบางระจันเป็นคนกล้าหาญ ซึ่งนอกจากการใช้ความรู้ความสามารถแล้ว การทำงานด้านนี้ทุกวันนี้ ต้องใช้ความกล้าหาญด้วย เพื่อต่อสู้กับขบวนการและกลุ่มทุนที่ไม่หวังดี และคิดจะฮุบสมบัติชาติ” นายชีวะภาพกล่าว

เมื่อถามว่าที่ลาออกนั้น เป็นเพราะผิดหวังกับระบบราชการ โดยเฉพาะของกรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชหรือไม่ นายชีวะภาพกล่าวว่า คิดว่าศักยภาพหลังจากนี้ของตนยังสามารถทำงานทางด้านการดูแลปกป้องทรัพยากรป่าไม้ได้อยู่และจะได้มากกว่านี้หากไปอยู่ตรงนั้น

นายชีวะภาพกล่าวว่า จากสถานการณ์ป่าไม้ล่าสุด ที่วิเคราะห์โดยการแปลข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศ ปี 2566 พบว่า ป่าไม้ลดลง 3 แสนไร่เศษๆ ภายในเวลา 1 ปี เป็นตัวบ่งบอกว่ามีการบุกรุกป่าสมบูรณ์โดยเฉพาะไม่หยุด และจะน่าตกใจกว่านั้น หากได้เฉลี่ยออกมาแล้วพบว่า ในจำนวน 3 แสนกว่าไร่ที่หายไปในเวลา 1 ปีนั้น ป่าบ้านเราหายไป ตกเดือนละ 30,000 ไร่ หรือถ้าคิดเป็นวันก็ตกวันละ 1 พันไร่ หรือประมาณ 200 สนามฟุตบอล อันนี้เป็นข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบโดยเครื่องของคนทำงานมืออาชีพอย่างคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยข้อมูลนี้แสดงให้เห็นทิศทางข้างหน้าว่าจะมีการบุกรุกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถามว่า สาเหตุหลักของการที่ป่าหายไปมากเช่นนี้เป็นเพราะอะไร นายชีวะภาพกล่าวว่า มีทั้งนายทุนและชาวบ้านที่เข้าไปทำลายป่า อีกส่วนหนึ่ง การเอาที่ที่ดินไปทำ ส.ป.ก.และ คทช. ซึ่งโครงการนี้ โดยหลักการแล้วถือว่าดี ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีที่ดินทำมาหากินโดนไปเข้าไปบุกรุกพื้นที่ป่า แต่พวกนี้ก็ยังมีช่องว่าง ที่ทำให้เจตนารมณ์ของโครงการเปลี่ยนไป จึงต้องมาทบทวนว่าจะต้องทำอย่างไร จัดการกับพวกที่พยายามใช้ช่องว่างฉกฉวยผลประโยชน์อย่างไร

เมื่อถามว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ทั้งกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติเคยทำให้ป่าไม้ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นบ้างหรือไม่ นายชีวะภาพกล่าวว่า ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2560-2561 คนป่าไม้เฮกันมาก เพราะพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นมาถึง 3 แสนไร่ สมัยนั้น มีนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ เป็นอธิบดีกรมป่าไม้ และส่งต่อให้นายชลธิศ สุรัสวดี เป็นอธิบดีต่อ ขณะนั้นมีคำสั่ง คสช.เป็นแผนแม่บทแห่งชาติเรื่องการเพิ่มพื้นที่ป่าด้วย

“เราทำได้ไม่ใช่ทำไม่ได้เรื่องการเพิ่มพื้นที่ป่า เพราะครั้งหนึ่งเราทำได้แล้ว ตอนนั้นจังหวัดที่พื้นที่ป่าเพิ่มมากที่สุดคือ เพชรบูรณ์ รองลงมาคือ ชัยภูมิ และหลังจากนั้น ป่าก็ลดลงมาอีก แต่เป็นปีละหลักหมื่น แล้วก็มาช็อกหนัก เมื่อปีเดียวลดลง 3 แสนไร่ ตอนนี้แหละ เวลานี้ ป่าไม้เหลือประมาณ 101 ล้านไร่แล้ว” นายชีวะภาพกล่าว

23 มีนาคม 2567
มติชน
36
วันที่ 22 มี.ค.2567 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นางจันทร์เพ็ญ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี ครูโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใน อ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ ว่า อยากเป็นสื่อกลางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขระบบการทำงาน หลังแม่เสียชีวิตจากการผ่าตัดมะเร็งลำไส้

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวว่า เมื่อประมาณต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา นางบุญหนา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 58 ปี แม่ของตน มีอาการปวดท้อง จึงพาไปรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอ.หนองหงส์ หมอบอกน่าจะเกิดจากยกของหนักทำให้ท้องเสีย จ่ายยาแก้ปวดและเกลือแร่ให้มากิน

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวต่อว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 17 มี.ค. แม่มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง จึงพาไปพบหมอที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งในอ.ลำปลายมาศ เพราะมีความพร้อมมากกว่าโรงพยาบาลที่อ.หนองหงส์

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวอีกว่า หมอโรงพยาบาลลำปลายมาศ วิเคราะห์ว่าเป็น “ลำไส้อุดตัน” จะต้องมีการผ่าตัด จากนั้นหมอมาแจ้งอีกครั้งว่ามีเนื้องอกในลำไส้ จึงยอมให้ผ่าตัดเพื่อทำการรักษา หมอใช้เวลาในการผ่าตัดกว่า 5 ชั่วโมง

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวว่า หมอแจ้งอีกว่าได้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่ออกไป 80 เปอร์เซ็นต์ หลังจากผ่าตัดหมอพาแม่เข้าห้อง ICU ทันที วันที่ 18 มี.ค. หมอที่โรงพยาบาลโทรมาแจ้งว่า แม่เป็นมะเร็ง จะไปส่องกล้องด้วยกันไหม ส่วนตัวคิดว่าจะให้ไปส่องกล้องเพื่ออะไรเพราะแม่ผ่าตัดแล้ว

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวด้วยว่า จนกระทั่งมาทราบจาก รพ.สต.ในพื้นที่ว่า ตรวจพบเชื้อมะเร็งในลำไส้ใหญ่ของแม่ตั้งแต่ปี 2565 ทางญาติตกใจว่าทำไมหมอไม่เคยแจ้งให้ญาติทราบ อีกมุมหนึ่งมองว่าทำไมโรงพยาบาลที่อ.ลำปลายมาศ ทำไมกล้าผ่าตัดเคสใหญ่ขนาดนี้ สุดท้ายแม่ต้องเสียชีวิตลง

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นได้มีตัวแทนโรงพยาบาลออกมาคุยว่าไม่อยากจะให้ไปร้องเรียนหรือฟ้องร้อง เพราะจะทำให้โรงพยาบาลเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ทำไมไม่คิดถึงสภาพจิตใจของญาติ

จึงอยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบว่าความผิดพลาดดังกล่าวตั้งแต่ตอนแรกมาจนถึงแม่เสียชีวิตเกิดจากอะไร เป็นการวิเคราะห์โรคผิด หรือขั้นตอนการดำเนินการไม่ถูกต้อง หรือเครื่องมือแพทย์ไม่เพียงพอ หรือให้แม่เป็นแค่หนูลองยาในการรักษา

22 มี.ค. 2567
ข่าวสด
37
งานวิจัยของ ดร.ราฟฟาเอล มาร์เฟลลาจากมหาวิทยาลัยกัมปาเนีย ในอิตาลี พบว่า 58% ของผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดรักษาหลอดเลือดแดงคาโรติด ที่ทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง ใบหน้า และลำคอ มีชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กทั้งระดับไมโครพลาสติกและนานาพลาสติก โดยเฉพาะพลาสติกแบบโพลีเอทิลีน (PE) และโพลีไวนิลคลอไรด์ (PVC) ปะปนอยู่ในหลอดเลือด

“โพลีเอทิลีนและโพลีไวนิลคลอไรด์ถูกนำมาใช้งานในหลากหลายรูปแบบทั้งภาชนะบรรจุอาหาร เครื่องสำอาง หรือแม้กระทั่งท่อน้ำ” ผู้เขียนวิจัยกล่าวในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร The New England Journal of Medicine
 
“ไมโครพลาสติก” เพิ่มความเสี่ยง “โรคหัวใจ”
จากการติดตามผลหลังจากผ่านไป 34 เดือน พบว่า 20% ของผู้ที่มีพลาสติกในหลอดเลือดแดงมีอาการหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง หรือเสียชีวิตจากสาเหตุใด ๆ สูงกว่าคนที่ไม่มีพลาสติกในร่างกายถึง 4.5 เท่า โดยไม่รวมพิจารณาปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ของแต่ละบุคคล

นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบว่าผู้ป่วยที่มีพลาสติกในไขมันภายในหลอดเลือดแดง และอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง และเสียชีวิตได้มากกว่าด้วยเช่นกัน

การอุดตันของหลอดเลือดแดง โดยเฉพาะหลอดเลือดแดงที่คอ ถือเป็นสัญญาณอันตรายของโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ เพราะเมื่อหลอดเลือดแดงที่คออุดตันจากไขมัน เลือดจะไหลเวียนไปยังสมองน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือทำให้เสียชีวิตได้

“ผมเป็นหมอหัวใจมา 30 ปี ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีไมโครพลาสติกอยู่ในหลอดเลือดแดงของเรา และการมีมันอยู่จะเร่งให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัวเร็วขึ้น” ดร.เอริค โทพอล แพทย์หทัยวิทยาและรองประธานบริหารของ Scripps Research ในสหรัฐกล่าว

พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าไมโครพลาสติกเหล่านี้มีอยู่ทุกที่ทุกเวลาไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม อาหาร และในอากาศ ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายได้อย่างง่ายได้

ก่อนหน้านี้มีการศึกษาหลายชนิดที่ ตรวจพบไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติกหลายประเภทในเนื้อเยื่อของมนุษย์ รวมถึงลำไส้ใหญ่ ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง และรก
จากการทดลองในหนูแสดงให้เห็นว่าไมโครพลาสติกสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเซลล์หัวใจ ส่งผลประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลดน้อยลง หัวใจเต้นผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดขึ้นแบบในร่างกายมนุษย์

อย่างไรก็ตาม การศึกษาดังกล่าวเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งเริ่มแรกประกอบด้วยผู้ป่วย 304 ราย แต่มีเพียง 257 คนเท่านั้นที่อยู่จนครบกระบวนการศึกษา จึงจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อดูว่าไมโครพลาสติกก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์หรือไม่

กำจัดพลาสติก ลด “ไมโครพลาสติก”
ดร.ฟิลิป แลนดริแกน หนึ่งในผู้ร่วมเขียนงานวิจัย กล่าวว่า เราต้องตระหนักว่าถึงพลาสติกจะมีราคาถูกและทำให้เราสะดวกสบาย ในความเป็นจริงพลาสติกเหล่านั้นสร้างอันตรายให้แก่พวกเราได้

“เราจำเป็นต้องให้ผู้ป่วยลดการใช้พลาสติก โดยเฉพาะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งที่ไม่จำเป็น นานาชาติต้องมุ่งเน้นไปที่การจำกัดการใช้พลาสติกที่เป็นหนึ่งในปัญหาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย” ดร.แลนดริแกนกล่าว

ในรายงานปี 2022 ขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่าการกินและสูดดมไมโครพลาสติกส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ในระยะยาว และพลาสติกไม่อยู่ในสิ่งแวดล้อม ควรดำเนินมาตรการอย่างเร่งด่วนเพื่อลดจำนวนพลาสติก

สนธิสัญญาระดับโลกว่าด้วยพลาสติก (Global treaty on plastic) จะมีการประกาศใช้โดย 175 ประเทศ ในปี 2568 มีเป้าหมายเพื่อลดมลพิษพลาสติกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2040 และจำกัดการสัมผัสไมโครพลาสติกทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางหรือต่ำ และกลุ่มเด็ก ทั้งนี้สนธิสัญญาฉบับนี้ยังอยู่ในกระบวนการร่างแผนงาน

ขณะเดียวกันในหลายประเทศเริ่มนำร่องแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก ด้วยการแบนพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และถุงพลาสติกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ที่มา: Euro News, Reuters, The Conversation, USA Today

Bangkokbiznews
22มีค2567
38
ครอบครัวคาใจ จู่ๆ ลูกชายเสียชีวิตกะทันหัน สืบไปสืบมาช็อก ผู้ตายบริจาคเลือดถึง 16 ครั้งใน 8 เดือน แถมได้เงินจากศูนย์บริจาคเลือด

เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเหตุการณ์สลดที่เกิดขึ้นในประเทศจีน เมื่อหนุ่มวัย 19 ปี เสียชีวิตแบบไร้สาเหตุ ทางครอบครัวรู้สึกติดใจ คุณพ่อจึงได้ค้นหาสาเหตุที่ทำให้ลูกชายต้องลาโลกไปก่อนวัยอันควร

ในขณะที่กำลังเก็บข้าวของภายในห้องลูกชายนั้น ก็ได้พบเอกสารบริจาคเลือดที่ระบุว่า ลูกชายของเขา ได้บริจาคเลือดถึง 16 ครั้ง ภายในระยะเวลา 8 เดือน โดยที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือระยะห่างในการบริจาคเลือดบางรอบห่างกันแค่ 12 วันเท่านั้น ซึ่งปกติแล้วการบริจาคเลือดไม่ควรเกินปีละ 4 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามศูนย์บริจาคโลหิตต้นทางผ่านโทรศัพท์ พบว่า ลูกชายมักจะไปบริจาคเลือดอยู่บ่อยครั้ง โดยทางศูนย์บริจาคโลหิต จะจ่ายค่าตอบแทนให้ลูกชาย เป็นจำนวนเงินระหว่าง 260-300 หยวนหรือราว 1,300-1,500

นอกจากนั้น คุณพ่อยังพบผลการตรวจสุขภาพ ที่ออกโดยโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ตรวจไว้เมื่อ 10 วันก่อนที่ลูกชายของเขาจะเสียชีวิต พบว่า ลูกชายมีภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรง รวมถึงมีภาวะไขกระดูกบกพร่องอีกด้วย

ด้วยสาเหตุนี้ทำให้คุณพ่อมั่นใจว่า ทางศูนย์บริจาคเลือดนั้น ประมาทเลินเล่อ ไม่ตรวจสอบสุขภาพของลูกชายให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะให้ลูกบริจาคโลหิตทุกครั้ง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกชายต้องเสียชีวิตอย่างกะทันหัน

ขณะเดียวกัน ทางศูนย์บริจาคโลหิต ได้ออกมาชี้แจงว่า ผู้ตายมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่สามารถบริจาคเลือดได้ และทางศูนย์บริจาคโลหิต ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของรัฐและถูกต้องทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดทุกอย่าง หากทางผู้ปกครองติดใจสาเหตุการเสียชีวิต สามารถร้องเรียนหรือฟ้องร้องทางเราได้

ทั้งนี้ จากการสอบถามในประเด็นที่ว่า ทำไมทางศูนย์บริจาคเลือดถึงอนุญาตผู้เสียชีวิต บริจาคเลือดอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลเสียต่อสุขภาพและนำมาซึ่งการเสียชีวิต แต่ทางศูนย์บริจาคเลือดได้แต่อมพะนำ ไม่ได้ให้คำตอบแต่อย่างใด

นอกจากนี้ สำหรับความคืบหน้ากรณีดังกล่าว คณะกรรมการด้านสาธารณสุขของเขตหั่นฟู่ เมืองฮั่นโจว ประเทศจีน ระบุว่า ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวนคดีอย่างละเอียด และกำลังจะมีบทสรุปอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้

22 มี.ค. 2567
ข่าวสด
39
เกียว​โด​นิวส์​ (8​ มี.ค.)​ -​ สำนักพิมพ์ Shueisha​​ ประกาศ​วันนี้ว่า​ อากิระ โทริยามะ ผู้สร้างตำนานซีรีส์มังงะ "ดราก้อนบอล" และ​ "ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่" ​ เสียชีวิตแล้วจากภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองเฉียบพลัน​ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ในวัย 68 ปี​

คำแถลงบนเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์​ Shueisha​ ประกาศว่า "อากิระ โทริยามะ​ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 มีนาคม จากภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง"

"เราเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขายังมีผลงานอีกหลายชิ้นที่อยู่ระหว่างการสร้างสรรค์ และกระตือรือร้นกับอีกหลายสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม เขาได้ทิ้งมังงะ และผลงานศิลปะไว้มากมายให้โลกนี้ ด้วยการสนับสนุนจากผู้คนมากมายทั่วโลกตลอดเวลา 45 ปี

โลกแห่งการสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ของ อากิระ ยังคงอยู่ในใจของทุกคน​"

สำหรับพิธีศพจะจัดขึ้นในครอบครัวและพี่น้องไม่กี่คน ตามความปรารถนาของเขา โดยจะงดรับดอกไม้หรือสิ่งแสดงความอาลัยอื่นๆ รวมทั้งการคำนับ ทั้งยังขอให้งดสัมภาษณ์ครอบครัว

อย่างไรก็ตาม​ ในเพจสำนักพิมพ์​ได้มีผู้คนจำนวนมากไปร่วมแสดงความเสียใจต่อการจากไปของเขา

อากิระ โทริยามะ คือหนึ่งในตำนานนักวาดการ์ตูนญี่ปุ่น เริ่มมีชื่อเสียงจากมังงะ เรื่อง ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ ในปี พ.ศ.2521 ก่อนจะสร้างผลงานยิ่งใหญ่เรื่อง ดราก้อนบอล ซึ่งครองใจแฟนมังงะตลอดทศวรรษ​แห่งซีรีส์​นี้​ (พ.ศ.2527 ถึง 2538)

8 มี.ค. 2567 ผู้จัดการออนไลน์
40
โรงพยาบาลหลายแห่งในจีนเริ่มหยุดให้บริการทำคลอดในปีนี้ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนภาวะ “ฤดูหนาวทางสูติศาสตร์” (obstetric winter) เนื่องจากคนจีนรุ่นใหม่ๆ นิยมมีบุตรกันน้อยลง ส่งผลให้อุปสงค์การทำคลอดในโรงพยาบาลต่างๆ ลดลงตามไปด้วย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โรงพยาบาลในหลายมณฑลของจีนเริ่มประกาศปิดแผนกสูติศาสตร์ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาล The Fifth People's Hospital ในเมืองก้านโจว มณฑลเจียงซี ซึ่งประกาศผ่านบัญชี WeChat ว่าจะหยุดให้บริการด้านสูติศาสตร์ตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. ขณะที่โรงพยาบาลแพทย์แผนโบราณเมืองเจียงซาน มณฑลเจ้อเจียง ก็โพสต์ WeChat ว่าจะปิดแผนกสูติศาสตร์เช่นกัน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.

การปิดแผนกทำคลอดในโรงพยาบาลหลายแห่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้กำหนดนโยบายของจีนยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในการโน้มน้าวให้ประชาชนหันมามีบุตรเพิ่มขึ้น ในขณะที่จีนกำลังก้าวสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว และมีจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงเรื่อยๆ

อัตราการเกิดที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ บวกกับจำนวนคนเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจากโรคระบาดโควิด-19 ทำให้ประชากรจีนลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ในปี 2023 และภาครัฐเกรงว่าแนวโน้มเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในระยะยาว

ข้อมูลล่าสุดจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) พบว่า โรงพยาบาลแม่และเด็กในประเทศลดลงจาก 807 แห่งในปี 2020 เหลือเพียง 793 แห่งในปี 2021

สื่อจีนหลายสำนัก รวมถึงหนังสือพิมพ์ Daily Economic News รายงานว่า จำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงทำให้การเปิดแผนกสูติศาสตร์กลายเป็นสิ่งที่ “ไม่คุ้มค่า” สำหรับสถานพยาบาลหลายแห่งในจีน

“ฤดูหนาวทางสูติศาสตร์กำลังจะมาถึงอย่างเงียบๆ” Daily Economic News รายงานเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (15)

ผู้หญิงจีนจำนวนมากเลือกที่จะไม่มีบุตรเพราะกลัวเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู และบ้างก็ไม่อยากแต่งงาน เพราะกลัวจะถูกบังคับให้ต้องลาออกจากงานมาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกตามค่านิยมดั้งเดิมของคนจีน

รัฐบาลจีนพยายามออกมาตรการต่างๆ เพื่อจูงใจคู่รักหนุ่มสาวให้มีบุตรกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มวันลาคลอด มอบสิทธิประโยชน์ทางการเงินและภาษีสำหรับคนมีบุตร รวมถึงอุดหนุนที่พักอาศัยด้วย

อย่างไรก็ตาม สถาบันคลังสมองชั้นนำแห่งหนึ่งในจีนระบุเมื่อเดือน ก.พ. ว่า จีนยังคงเป็นประเทศที่มีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเมื่อเทียบ GDP ต่อหัวประชากร และผู้หญิงต้องสูญเสียต้นทุนเวลาและโอกาสไปมากในการที่จะให้กำเนิดบุตร

เว็บไซต์ข่าวการเงิน Yicai รายงานว่า การมาถึงของ “ปีมังกร” ซึ่งถือเป็นปีมงคลที่สุดตามความเชื่อของชาวจีนทำให้จำนวนเด็กเกิดใหม่ตามโรงพยาบาลต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างผิดหูผิดตา แต่กระนั้นนักประชากรศาสตร์ก็เชื่อว่ากระแส “เด็กปีมังกร” คงจะบูมแค่ในระยะสั้นๆ

ที่มา : รอยเตอร์

19 มี.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 10