กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10
11
อยากสำเร็จ “ต้องถวายชีวิตให้งาน” แนวคิดที่เด็กยุคใหม่อาจ “ส่ายหัวให้” อะไรทำให้ค่านิยมเรื่อง“การทำงาน” และ “ความสำเร็จ” เปลี่ยนไป ถกหนักประเด็น“Work-Life Balance” บางคนทำไม่ได้ เพราะชีวิตยังต้องกินต้องใช้

เมื่อโลกเปลี่ยน ค่านิยมก็เปลี่ยน

“อยากประสบความสำเร็จต้องทุ่มเทชีวิตให้กับงาน” คือคำพูดจาก “ไลฟ์โค้ช” หรือ “ผู้บริหารใหญ่” ที่หลายคนคงเคยได้ยิน แต่บางคนก็อาจส่ายหัวกับแนวคิดนี้ แล้วให้ความสำคัญเรื่อง “Work-Life Balance” มากกว่า

เราก็จะเห็นภาพชีวิตการทำงาน 2 แบบหลักๆ ที่สวนทางกันอย่างมาก คนประเภทหนึ่ง พยายามให้งานและชีวิตส่วนตัวสมดุลกันกับคนอีกประเภทหนึ่ง ทุ่มเททำงานแบบถวายหัว หอบงานกลับมาทำด้วย แม้จะเป็นวันหยุดหรือเวลาส่วนตัว

ชวนหาคำตอบกับ “โน้ต” ศรัณย์ คุ้งบรรพต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสรรหาและว่าจ้างบุคลากร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ช่วยวิเคราะห์ว่า งาน ชีวิต ความสำเร็จของคนในยุคนี้ มีมุมมองที่เปลี่ยนไปแค่ไหน?

“ค่านิยมของคนแต่ละ Gen ไม่เหมือนกัน”กูรูด้านทรัพยากรบุคคลอย่าง “โน้ต” อธิบายว่า ในคนกลุ่ม “GenX” และ “Baby Boomers” เขาจะเชื่อในเรื่อง “การทำงานหนักจะพาเราไปสู่ความสำเร็จ”

เรื่องนี้เกี่ยว “บริบท” และ “ค่านิยม” ในยุคนั้นของกลุ่มคน Baby Boomers และ GenX ที่ให้คุณค่ากับการทำงานหนักและการเติบโต

“เราจะได้ยินในยุคก่อนๆว่าการมีความภักดีต่อองค์กร เติบโตไปพร้อมกับองค์กร ทุ่มเทให้องค์กร เป็น สิ่งที่อยู่ใน Gen ของคนที่มีอายุเยอะ ตอนนี้เราแทบไม่ได้ยินแล้วนะ”

ถ้าถามว่า ทำไมคนยุคหลังๆ ตั้งแต่ GenY ขึ้นมา ถึงไม่มองอย่างนั้น เพราะ GenY เขาเห็นพ่อ-แม่ ที่เป็น GenX ว่า ทุ่มเทกับงาน ทำงานหนัก แต่ชีวิตกลับไม่มีความสุขเลย“พวกเขาก็ไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้น”

และอีกอย่าง“โลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไป” ชีวิตมีหลายมิติที่มากกว่างาน ทั้งเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเยอะมาก ทำเหล่า GenY, GenZ หรือคนที่เด็กลงมาว่านั้น “เขารู้สึกว่า ชีวิตมันวุ่นวายมากๆ อยู่แล้ว”

ยุคที่เปลี่ยนไป มุมมองที่ว่า “ชีวิต = งาน”มันน้อยลงเรื่อยๆ คนเริ่มประเมิน “คุณค่าของงาน”และ “คุณค่าของการใช้ชีวิต”ไปพร้อมกัน และนิยามของคำว่า “ความสำเร็จ” แต่ละคนนั้นก็ไม่เหมือนกัน

คนที่สำเร็จ ชีวิตไม่มีบาลานซ์?

“ท๊อป” จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง “บิทคับ” แพลตแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ได้บอกในบทสัมภาษณ์ของ กรุงเทพธุรกิจ ว่า…
“ผมยังไม่เคยเห็นใครที่ประสบความสำเร็จเกินค่าเฉลี่ย แล้วบอกว่าWork-Life Balanceดีสักคน”

เขายกตัวอย่าง บุคคลดังๆ มากมาย ทั้ง “คริสเตียโน โรนัลโด”และ “อีลอน มัสก์”ที่ทุ่มเทชีวิตให้กับงานที่ตัวเองทำ พร้อมแนบเหตุผลไว้ว่า แนวคิดเรื่องการทำงานนั้น “ขึ้นอยู่ว่าคุณอยู่ในช่วงไหนของชีวิต”

“ช่วงชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราต้องใช้กลยุทธ์ในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ในเวลาที่เหมาะสมของตัวเอง ทั้งหมดอยู่ที่เป้าหมาย และนิยามความสำเร็จของเราว่าคืออะไร”

“อยากประความสำเร็จ” หรือ “บาลานซ์ชีวิต” ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เราต้องเลือกสักทาง แต่ในความเห็นของ “โน้ต” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสรรหาและว่าจ้างบุคลากร บอกไว้ว่า..

“ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องนี้ มันเป็นสิ่งหนึ่งที่คนพยายามจะสร้าง เพื่อให้คนที่จะได้ยินต้องเลือกไปในทางใดทางหนึ่งเท่านั้น”

หากบอกว่า “ต้องทำงานหนัก ถึงจะประสบความสำเร็จ”แต่ถ้าทำงานหนักแล้ว “ป่วย-ซึมเศร้า-ไร้ความสุข” อย่างนี้จะเรียกว่า “ประสบการสำเร็จ”ได้หรือเปล่า? อาจต้องมาหานิยามของคำคำนี้

“บางคนจะบอก ผมมีครอบครัวที่มีความสุข มีเงินใช้ ดูแลตัวเองได้ ผมโอเคแล้ว แต่บางเขาอาจจะบอกว่า ไม่ ผมต้องเป็นผู้บริหารระดับสูง ต้องเป็น CEO เท่านั้น ซึ่งมันไม่เหมือนกัน”

ดังนั้น จะเลือก “Work-Life Balance” หรือ “มอบชีวิตให้กับงาน” มันก็อยู่ที่เราตั้งธงเป้าหมายในชีวิตไว้ตรงไหน เพราะคนเรามีความหลากหลาย รวมถึง “ความฝันของแต่ละคนด้วย ทุกคนอยากจะประสบความสำเร็จในแบบตัวเอง”

แรงผลักสำคัญ“ต้องกินต้องใช้”

ในอีกมุมหนึ่ง หลายคนอาจ “ไม่ได้อยากทำงานหนัก แต่ชีวิตมันต้องกินต้องใช้” แปลว่าภาระและโครงสร้างของสังคม ทำให้บางคนไม่สามารถ Work-Life Balance ได้หรือเปล่า?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ กูรูด้านทรัพยากรบุคคลรายเดิมบอกว่า บางคนงานกับชีวิตของเขา มันผสมกันเป็นเนื้อเดียว และเขาก็ชอบมัน แต่บางคนก็มีเหตุผลมาจาก “ความจำเป็น”

“มันไม่มีทางเลือก ก็ต้องทำงานหนัก เรายังอยากได้ เรายังอยากเงยหน้าอ้าปากขึ้นมา เราอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น เราก็ต้องทำงานหนัก”

เรื่องการเลือกว่า จะใช้ชีวิตการทำงานแบบ “Work-Life Balance” หรือ “ควรจะทุ่มเทกับมัน” เพื่อสิ่งต้องการ อาจไม่ใช่แค่เพียงสะท้อนวิธีการใช้ชีวิต แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึง “โครงสร้างทางสังคมที่ไม่เท่ากัน”

หมายความว่าถ้าคนเราไม่ต้องนั่งต่อสู้เรื่องปาก-ท้อง หรือไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยายาล ประกันอุบัติเหตุ หรือต้องมากลัวว่า ตอนแก่จะมีเงินพอที่จะดูแลตัวเองไหม

“เราก็ไม่ต้องกังวล เราจะมีเรี่ยวแรงไปทำอย่างอื่นได้ ทำสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้”

แต่หลายคนไม่มีอะไรมารองรับชีวิต ถ้าวันหนึ่งล้มขึ้นมา มันจะเป็นการล้มแบบหน้าฟาดพื้น ไม่มีฟูกมารองรับ แถมคนเหล่านี้ยังต้องพยายามต่อสู้ เพื่อให้ชีวิตได้ความสุขเพิ่มขึ้น เพื่อให้เงยหน้าอ้าปากได้เพิ่มอีก

ในสังคมที่ดูแลคนของตัวเองได้อย่างเช่น หลายๆ ประเทศในยุโรป หรือแถบสแกนดิเนเวียนที่พื้นฐานเรื่อง สวัสดิการสังคมดีมากนั้น

“คนมีหน้าที่แค่ทำงาน แล้วใช้ชีวิต สร้างคุณค่าให้สังคม เสียภาษี แต่ไม่ต้องกังวลว่า ตอนแก่ฉันจะไม่มีใครมาดูแล”

แต่ในบ้านเรา ถ้าไม่อยากกังวลว่า อนาคตจะมีเงินใช้ไหม เกิดอุบัติเหตุจะมีเงินพอจ่ายค่ารักษาไหม หรืออยากมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ เราต้องดิ้นรนทำงานหนักขึ้นเพื่ออะไรเหล่านี้ ฉะนั้น คำถามที่สำคัญคงไม่ใช่ว่าจะบาลานซ์ชีวิตยังไง

แต่โน้ตบอกว่า “ทำยังไงให้ทุกๆ คนมีตัวช่วย มีฟูกอันนั้นที่ทำให้เขายืนได้สูงพอๆ กัน และเวลาล้ม เขาก็รู้สึกปลอดภัย”

สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live

1 เม.ย. 2567 ผู้จัดการออนไลน์
12
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / วาระแห่งชาติ บริหารคนต่างเจนเนอเรชั่น
« กระทู้ล่าสุด โดย story เมื่อ 02 เมษายน 2024, 11:42:12 »
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ดิฉันได้มีโอกาสนั่งคุยกับผู้นำองค์กรหลายท่านอย่างลงลึกเกี่ยวกับการส่งเสริมความหลากหลาย ความเท่าเทียมและการมีส่วนร่วม หรือ DEI อันเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จขององค์กรยุคใหม่ สำหรับประเด็นเรื่องความหลากหลายที่มีการพูดถึงมากที่สุดใจตอนนี้คือเรื่อง Generation

ทำไมเด็กสมัยนี้ต้องขอสัมภาษณ์หลังเลิกงาน? ทำไมบริษัทต้องให้เข้าไปสัมภาษณ์ที่ออฟฟิศ? ทำไมทำงานแค่ 3 ปีอยากเป็น CEO? ทำไมยังโปรโมทไม่ได้ถ้าพี่ยังไม่ได้โปรโมท? คำถามมากมายที่ตอบยังไงก็ไม่ถูกใจคนที่เติบโตมาจากสมัย ประสบการณ์และทัศนคติต่อการทำงานที่แตกต่าง

เพราะนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เราเห็นคนต่างเจน มากถึง 5 เจนอยู่ร่วมกันในองค์กร การบริหารคนต่างเจนจึงถือเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่ Baby Boomers ไปจนถึง Generation Z ความหลากหลายที่เปลี่ยนแปลงไปนี้นำมาซึ่งโอกาสและความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทบาทของความเป็นผู้นำ ความสามารถในการจัดการและบูรณาการจุดแข็งของคนรุ่นต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้กลายเป็นทักษะสำคัญสำหรับผู้นำที่ต้องการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่กลมกลืน มีประสิทธิผล และผลักดันนวัตกรรม 

4 คุณลักษณะสำคัญของผู้นำที่ผนึกพลังคนหลากหลาย Generation มีดังนี้

1. เลิกคิดจะไปเปลี่ยนแปลงคนต่างเจน 

จุดเริ่มต้นของการเป็นผู้นำที่จะผนึกพลังคนหลากหลายเจนที่มีประสิทธิภาพ คือเลิกคิดจะไปเปลี่ยนแปลงคนต่างเจน แต่ต้องการทำความเข้าใจคุณลักษณะเฉพาะ ค่านิยม ทัศนคติ และความชอบในการทำงานของแต่ละรุ่น ตัวอย่างเช่น Baby Boomers เป็นที่ให้ความสำคัญต่อจรรยาบรรณในการทำงานและความภักดีต่อนายจ้าง ในขณะที่ Generation X ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน และ Generation Z เจนใหม่ล่าสุดที่เข้าสู่ตลาดแรงงานที่ให้คุณค่าต่อความหมาย คุณค่าแท้จริงของการทำงาน เทคโนโลยี และความรับผิดชอบต่อสังคม ดังนั้นการตระหนักถึงความแตกต่างเหล่านี้ทำให้ผู้นำสามารถปรับแนวทางของตนและนโยบายองค์กรได้ ทำให้มั่นใจว่าสมาชิกในทีมแต่ละคนรู้สึกมีคุณค่า เข้าใจ และมีแรงบันดาลใจ

2. ก้าวข้ามทัศนคติการมองคนแต่ละเจนแบบเหมารวม 

แนวทางความเป็นผู้นำที่ผนึกพลังคนต่างเจนให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วมของพนักงานแต่ละคน โดยไม่คำนึงถึงอายุ ก้าวข้ามทัศนคติแบบเหมารวม เช่น คำว่า “เด็กสมัยนี้” “คนสมัยพี่” และส่งเสริมการไม่แบ่งแยกและความเท่าเทียมโดยตระหนักถึงจุดแข็งและศักยภาพส่วนบุคคลของสมาชิกในทีม ส่งเสริมความเสมอภาค ไม่ว่าการโอกาสในพัฒนา การยอมรับ หรือความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ผู้นำที่สามารถลดอคติที่เกี่ยวข้องกับอายุจะสามารถสร้างทีมที่เหนียวแน่นมากขึ้น

3. ใช้รูปแบบการสื่อสารที่หลากหลายอันเป็นเครื่องมือสำคัญเชื่อมโยงคนต่างเจน

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นรากฐานที่สำคัญของการเป็นผู้นำทุกยุคสมัย และยิ่งทวีความสำคัญในการบริหารคนต่างเจนเพราะการสื่อสารช่วยปิดช่องว่างและเข้าถึงคนต่างเจน ผู้นำต้องรู้จักใช้รูปแบบการสื่อสารที่หลากหลาย ตั้งแต่รายงานที่เป็นทางการ อีเมล ไปจนถึงการส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีทางโซเชียลแพลตฟอร์มที่พนักงานอายุรุ่นใหม่ชื่นชอบ นอกจากนี้ การส่งเสริมโครงการสื่อสารแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (one-on-one) เพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ระหว่างคนต่างเจนยังสามารถลดความเหลื่อมล้ำระหว่างรุ่นและส่งเสริมความเคารพและการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

4. เต็มใจทดลองรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น

การจัดการทำงานให้มีความยืดหยุ่นเป็นองค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับผู้นำที่จะดึงดูดคนต่างเจน ผู้นำต้องเข้าใจว่าสิ่งที่จูงใจคนแต่ละเจนไม่เหมือนกัน การทำงานแบบมีลำดับชั้นที่ชัดเจนอาจจะดึงดูดคน Baby Boomer หรือ Generation X ในขณะที่การจัดให้สภาพแวดล้อมการทำงานที่ให้อิสระ เปิดโอกาสให้ร่วมระดมสมองคิด ทำงานร่วมกันอาจจะจูงใจ Generation Y และ Generation Z มากกว่า ผู้นำที่สามารถปรับตัวโดยการเต็มใจที่จะทดลองใช้นโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น และเปิดรับข้อเสนอแนะ จะสามารถสร้างสถานที่ทำงานที่ครอบคลุมคนหลากหลายเจนมากขึ้น

โดยสรุป ความเป็นผู้นำที่ส่งเสริมความหลากหลายด้าน Generation ไม่ได้เป็นเพียงกระแส แต่เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ผู้นำที่สามารถปลดล็อกมุมมองและประสบการณ์ ขับเคลื่อนนวัตกรรม สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานร่วมกันจึงจะสามารถสร้างความสำเร็จในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น

Bangkokbiznews
ดร.สุทธิโสพรรณ ช่วงวงศ์ญาติ
2 เมย 2567
13
ฝุ่นควันยังวิกฤติ เช้านี้ "เชียงใหม่" พุ่งติดเมืองมลพิษ อันดับ 3 ของโลก อยู่ในระดับสีแดง สถานการณ์ไฟป่าของเชียงใหม่ยังกระจายไปทั่วทุกพื้นที่

วันที่ 2 เม.ย. 2567 มีรายงานว่า เว็บไซต์ IQAir ที่คอยสังเกตการณ์คุณภาพอากาศของเมืองสำคัญทั่วโลก ได้อัปเดตการจัดอันดับเมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากที่สุดแบบเรียลไทม์ ณ เวลา 09.31 น. พบว่าจังหวัดเชียงใหม่ พุ่งขึ้นมาครองแชมป์เป็นอันดับ 3 เมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากที่สุด โดยวัดได้ 188 AQI US อยู่ในระดับสีแดง มีผลกระทบต่อทุกคน
 
ขณะที่อันดับ 1 คือ ลาฮอร์, ปากีสถาน วัดได้ 245 AQI US อยู่ในระดับสีม่วงมีผลกระทบต่อทุกคนอย่างรุนแรง และ
อันดับ 2 คือ เดลี, อินเดีย วัดได้ 245 194 US อยู่ในระดับสีแดง

ทั้งนี้มีรายงานว่า สถานการณ์ไฟป่าของเชียงใหม่ยังกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ โดยช่วงเช้าวานนี้ (1 เม.ย. 67) พบจุดความร้อนใน 17 อำเภอจำนวน 98 จุดด้วยกัน ซึ่งสูงสุดอยู่ในพื้นที่อำเภอเชียงดาว 16 จุด ไชยปราการ 14 จุด จอมทอง 12 จุด แม่แจ่ม 12 จุด ฮอด 10 จุด และตามอำเภอต่างๆ อีก 12 อำเภอ ซึ่งยังคงต้องระดมกำลังเจ้าหน้าที่เข้าดับไฟป่าอย่างต่อเนื่องตอดทั้งวันทั้งคืน

สำหรับจุดที่โหมหนักคือพื้นที่อำเภอเชียงดาว ซึ่งเป็นพื้นที่โดยรอบดอยหลวงเชียงดาว ต้องใช้ ฮ.ปักเป้าส้ม ของ ปภ.บินขึ้นไปโปรยน้ำเพื่อช่วยดับไฟป่าร่วมกับทางภาคพื้นดิน ในจุดที่เป็นหน้าผาสูงชัน ขณะที่อีกจุดที่น่าเป็นห่วงคือที่อำเภอดอยสะเก็ด ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ ที่เกิดไฟป่าในพื้นที่ดอยนางเมาะลุกลามอย่างรวดเร็วขึ้นไปตามยอดดอย

โดยเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 1 เม.ย. 67 พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ที่ 161 US AQI และค่า PM 2.5 วัดค่าได้ 74.08 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐาน และอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อทุกคน โดยผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศดังกล่าวอยู่ในอันดับที่ 2 ของเมืองหลักที่มีมลพิษอากาศสูงสุดของโลก

ขณะที่อันดับ 1 ได้แก่ เมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม ดัชนีคุณภาพอากาศ 168 US AQI ส่วนค่ามลพิษของเมืองเชียงใหม่จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษพบว่าวิกฤติหนักสุดในรอบปี พบว่าดัชนีคุณภาพอากาศทะลุ 200 AQI ไปแล้วทุกสถานี ในตัวเมืองเชียงใหม่ ดัชนีคุณภาพอากาศวัดได้ 220 AQI ค่าฝุ่น PM 2.5 วัดได้ 94.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่สูงสุดของจังหวัดอยู่ที่ ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว ดัชนีคุณภาพอากาศวัดได้ 287 AQI ค่าฝุ่น PM 2.5 วัดได้ 161.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร.

Thairath Online
2 เม.ย. 67
14
จากกรณีสถานการณ์ไฟป่าที่มีความรุนแรงในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือ โดยเฉพาะ จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็น 2 พื้นที่ที่มีจุดความร้อนติดอันดับต้นๆ ของประเทศในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 1 เมษายน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เผยข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม Landsat-8 ของวันที่ 31 มีนาคม 2567 เวลา 10.48 น. แสดงพื้นที่เผาไหม้ที่เกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ของ อ.แม่ลาน้อย อ.แม่สะเรียง อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งพบพื้นที่ความเสียหายทั้งสิ้น 251,037 ไร่

และในพื้นที่ของ อ.แม่แจ่ม อ.จอมทอง อ.ฮอด อ.อมก๋อย อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ ที่มีความเสียหายทั้งสิ้น 203,573 ไร่ รวมพื้นที่ความเสียหายทั้งหมด 454,610 ไร่

สำหรับสาเหตุการเกิดไฟป่ายังคงมาจากการจุดไฟเผาเพื่อหาของป่า ล่าสัตว์ รวมถึงการเผาพื้นที่เกษตรก่อนเตรียมการเพาะปลูก และการเผาหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น

ข้อมูลดังกล่าวจะใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้าตรวจสอบในพื้นที่จริงร่วมกับจังหวัด เพื่อนำไปสู่การวางแผนฟื้นฟู ป้องกัน และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ในการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน อันจะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน.

1 เมษายน 2567
มติชน
15
ตำรวจไล่ล่า 2 หนุ่มโหด บุกร้านจำหน่ายสุราฟันเจ้าของร้านแขนขาด แฟนสาวช็อกคว้าแขนพาวิ่งหนียังไม่หยุดถือมีดวิ่งไล่ โชคดีชาวบ้านมาช่วยเลยทิ้งรถวิ่งหนีไป ปมแค้นเตือนห้ามสูบบุหรี่

เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 1 เม.ย.2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุทะเลาะวิวาทชายถูกมีดฟันแขนขาด บริเวณหน้าร้านจำหน่ายสุรา ต.ศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จึงรีบรุดไปตรวจสอบพร้อมฝ่ายสืบสวน และหน่วยกู้ภัยสว่างประทีป ศรีราชา

ที่เกิดเหตุพบคราบเลือดกระจายอยู่เต็มพื้นเป็นทางยาว และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าโซนิค สีเทา ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน พลิกตะแคงข้างอยู่ ส่วนผู้บาดเจ็บเป็นเจ้าของร้านจำหน่ายสุรา อายุ 39 ปี ถูกมีดฟันแขนซ้ายขาด ชาวบ้านช่วยกันนำตัวส่งรพ.สมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ไปก่อนหน้านี้แล้ว

สอบสวนแฟนสาว ระบุ ตอนนั้นตนนั่งอยู่ในร้าน มีคนร้ายเป็นชาย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์มาจอดหน้าร้านแล้วลงมาเอามีดฟันแขนแฟนขาดตกใจมาก หยิบแขนของแฟนวิ่งหนีไปโรงพยาบาลพร้อมกับแฟน ซึ่งคนร้ายก็ยังวิ่งตามมาโชคดีมีพลเมืองดีเข้ามาช่วยเหลือและพาแฟนไปส่งรพ.

" สาเหตุน่าจะเป็นเรื่องจากเย็นวานนี้ เกิดรถชนกันใกล้หน้าร้านแล้วคนที่ฟันแขนแฟนมายืนสูบบุหรี่ดูเหตุการณ์อยู่หน้าร้าน ทำให้กลิ่นควันเข้าไปในร้าน แฟนเลยเดินออกไปเตือนจนกระทั่งวันนี้มาเกิดเหตุ "

ขณะที่พลเมืองดี เล่านาทีระทึก ขับรถผ่านตรงที่เกิดเหตุได้ยินเสียงคนร้องตะโกนให้ช่วยเหลือจึงวนรถกลับไปดูก็พบว่ามีผู้ชายแขนขาด 1 คนพร้อมผู้หญิงกำลังพากันเดินไปโรงพยาบาล จึงรีบวิ่งตามคนร้ายไปจนกระทั่งไปบอกให้คนร้ายยอมมอบตัวซะ แต่คนร้ายไม่หยุดวิ่งหนีต่อ ซึ่งคนร้ายยังบอกว่าคนเจ็บจะไปยิงเขาก่อนช่วงเย็นวานนี้

เบื้องต้นหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจกระจายกำลังออกค้นหาคนร้าย คาดว่ายังคงหลบหนีไปได้ไม่ไกลเนื่องจากทิ้งรถจักรยานยนต์ไว้ พร้อมเร่งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดหารูปพรรณคนร้ายติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป

1 เม.ย.2567
ข่าวสด
16
การปรับ “ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ” ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566

สำหรับการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ บรรจุใหม่รอบนี้ เป็นผลมาจากที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยมีเป้าหมายให้ผู้ที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิระดับปริญญาตรีจะมีเงินเดือนไม่น้อยกว่า 18,000 บาท และผู้ที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิระดับ ปวช. จะมีเงินเดือนไม่น้อยกว่า 11,000 บาท ภายในระยะเวลา 2 ปี

การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุข้าราชการนั้นเป็นไปตามความเหมาะสม คำนึงถึงสถานการณ์โลกและความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และจะส่งผลให้ความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิต รวมทั้งเพื่อรักษาและดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพและศักยภาพเข้าสู่ระบบราชการ ซึ่งจะเสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบราชการไทยต่อไป

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

............................................................................................

สำหรับอัตราเงินเดือนข้าราชการ แรกบรรจุทุกคุณวุฒิ ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 แยกเป็นกลุ่มวุฒิการศึกษา ดังนี้

วุฒิการศึกษา ปวช.
อัตราเดิม : 8,400-10,340 บาท
อัตราใหม่ : 10,340-11,380 บาท

วุฒิการศึกษา ปวส.
อัตราเดิม : 11,500-12,650 บาท
อัตราใหม่ : 12,650-13,920 บาท

วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี
อัตราเดิม : 15,000-16,500 บาท
อัตราใหม่ : 16,500-18,150 บาท

วุฒิการศึกษา ปริญญาโท
อัตราเดิม : 17,500-19,250 บาท
อัตราใหม่ : 19,250-21,180 บาท

วุฒิการศึกษา ปริญญาเอก
อัตราเดิม : 21,000-23,100 บาท
อัตราใหม่ : 23,100-25,410 บาท



1 เมษายน 2567
17
เรียกได้ว่าเป็นข่าวเศร้าของวงการมวยไทย หลังสูญเสียนักมวยดาวรุ่งเจ้าของฉายา "ขุนเข่าน้ำตาไหล" ที่หลายคนอาจจะเคยเห็นผลงานของนักมวยดาวรุ่งคนนี้กันมาบ้างแล้ว ท่ามกลางแฟนมวยที่เข้ามาไวอาลัยต่อการสูญเสียในครั้งนี้จำนวนมาก โดยเพจเฟซบุ๊ก มิสเตอร์ป๋อง ได้แจ้งข่าวร้ายดังกล่าวว่า

"ณรงค์ชัย..จากไปอย่างสงบ !! "ขุนเข่าน้ำตาไหล" ณรงค์ชัย ศิษย์จอมยุทธ นักชกอำเภอจักราช นครราชสีมา เคยชกสังกัดเกียรติเพชร และกลุ่มพลังใหม่ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา

..ก่อนหน้านั้น เจ้าตัวเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่มอเตอร์ไชค์ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567  นอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่หลายวัน แพทย์พยายามยื้อชีวิตไว้เต็มที่แต่ไม่สำเร็จ จนมาเสียชีวิตในวันอาทิตย์ 31 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา

..ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวน้องบิว ณรงค์ชัย ด้วยครับ ผมเองก็ได้บรรยายน้องชกตั้งแต่ดาวรุ่งจนเป็นดาวดัง ขึ้นชกคู่เอกมาหลายครั้ง!! #ขอให้น้องสู่ภพภูมิที่ดีครับ R.I.P."  โดยแฟนมวยต่างเข้ามาแสดงความเสียใจอย่างต่อเนื่อง

 สำหรับ "ขุนเข่าน้ำตาไหล" ณรงค์ชัย ศิษย์จอมยุทธ เคยโลดแล่นบนสังเวียนมาหลายไฟต์และถูกจับตาว่ากำลังจะเป็นนักชกอนาคตไกล ก่อนเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต

Thainewsonline
1 เมย 2567
18
ผอ.รพ.สงฆ์ ยันไม่มีเรื่องส่อทุจริต เผยเป็นเรื่องเข้าใจคลาดเคลื่อนในรายละเอียดเรื่องจัดซื้อจัดจ้าง ปม 4 ผู้บริหารขอลาออกพร้อมกัน เตรียมเปิดโต๊ะกลมคุยสัปดาห์หน้า หลังกลับจากภารกิจที่ต่างประเทศ

จากกรณี สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวในโรงพยาบาลสงฆ์ว่า ในช่วงปลายเดือน มี.ค.2567 ที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับสูง 4 ราย ของโรงพยาบาลสงฆ์ ประกอบด้วย นพ.สมเกียรติ เกษมธรรมคุณ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ ดร.ดุษฎี ใหญ่เรืองศรี รองผู้อำนวยการด้านการพยาบาล นพ.อนุตพงษ์ ชูจันทร์ รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบสุขภาพ และ นพ.ประวิทย์ ตันติวัฒนาศิริกุล หัวหน้ากลุ่มงานศัลยกรรม ในฐานะคณะกรรมการบริหารหน่วยงาน ได้ทำบันทึกถึงอธิบดีกรมการแพทย์และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อขอลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกัน

โดยผู้บริหารระดับสูงทั้ง 4 ราย ระบุถึงเหตุผลการลาออกเหมือนกัน ว่า "เนื่องจากการบริหารงานของผู้มีอำนาจในโรงพยาบาลสงฆ์ ที่ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ ทำให้เกิดความไม่สบายใจและความไม่ปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจรวมถึงครอบครัว จึงขอลาออกจากตำแหน่ง มีผลตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2567 เป็นต้นไป"

ต่อมาวันที่ 30 มี.ค.2567 กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงข่าวการถอนใบลาออก ของคณะผู้บริหารทั้ง 4 รายดังกล่าว โดยคณะกรรมการบริหารหน่วยงานมีโอกาสได้ปรึกษาคณะผู้บริหารในระดับกรมอย่างใกล้ชิด ทำให้รับทราบถึงความใส่ใจและความห่วงใยของผู้บังคับบัญชาระดับสูง คณะผู้บริหารทั้ง 4 รายดังกล่าว รู้สึกขอบพระคุณในความเข้าใจและกำลังใจนี้ จึงขอถอนใบลาออก และขอยืนยันความตั้งใจดีที่จะเดินหน้าทำงานเพื่อโรงพยาบาลสงฆ์และประชาชนต่อไป

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ได้พูดคุยกับ นพ.อภิชัย สิรกุลจิรา ผู้อำนวยการ รพ.สงฆ์ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ตอนนี้เรื่องราวสงบลงแล้ว ทั้งนี้ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยไปแล้ว แต่อาจจะยังไม่เข้าใจกัน และประจวบกับตนต้องเดินทางมาทำภารกิจที่ต่างประเทศ จึงเกิดปัญหาขึ้นในช่วงที่ตนไม่อยู่

"จริงๆ ควรเป็นการพูดคุยแบบเปิดอก แต่อาจจะเป็นเพราะว่าการหาช่องทางการพูดคุยที่ผ่านมา ทั้งๆที่ได้เปิดโอกาสในที่ประชุมใหญ่ที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่ได้มีการนำเสนอในประเด็นนี้ แต่พอมีการยกประเด็นขึ้นมา ในช่วงที่ ผอ.ไม่อยู่ รอกลับไป โดยสัปดาห์น่าจะมีการเปิดโต๊ะกลมคุยกัน" นพ.อภิชัย กล่าว

ส่วนสาเหตุการระบุว่า การบริหารงานของผู้มีอำนาจในโรงพยาบาลสงฆ์ ที่ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ นพ.อภิชัย กล่าวว่า เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อนบางอย่างที่เกี่ยวกับการตรวจสอบรายละเอียดการดำเเนินการจัดซื้อจัดจ้างที่ผ่านมา ทำให้เกิดความไม่สบายใจ จากการมองคนละมุมมองระหว่างฝ่ายกลุ่มอำนวยการ ที่มีภารกิจมุ่งจะพัฒนาโรงพยาบาลให้เกิดความเจริญ ให้พระหรือผู้ที่เข้ามารับบริการรู้สึกถึงความทันสมัย เพราะเวลาที่ผ่านมา รพ.ทรุดโทรมเสื่อมโทรมลงไปมาก ฝ่ายที่พัฒนาก็มีความตั้งใจที่จะทำอย่างดีและรวดเร็ว ส่วนฝ่ายทางการแพทย์ การพยาบาลที่มีภารกิจเกี่ยวกับด้านการดูแลผู้ป่วย ไม่ได้มุ่งเน้นด้านการพัฒนา เลยอาจจะไม่เข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง จึงทำให้มองว่าภารกิจหน้าที่บางอย่างมันซ้ำซ้อนกัน

"ยืนยันไม่มีประเด็นเรื่องส่อทุจริต แต่มีประเด็นบางอย่าง เช่น รายละเอียดไม่ครบ อาจจะต้องมองด้วยว่า เราควรที่จะใส่ใจในบางเรื่อง แต่กลับไปใส่ใจในบางเรื่องแทน" นพ.อภิชัยระบุ

นพ.อภิชัย กล่าวด้วยว่า ตลอดระเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา รพ.ได้พัฒนาค่อนข้างเยอะ ชี้วัดได้จากผู้ที่มาใช้บริการ ทั้งนี้ขอให้มั่นใจว่าไม่มีเรื่องทุจริต เนื่องจากรายได้ของ รพ.มาจากการบริจาค ไม่ใช่การเก็บค่ารักษาพยาบาล เกรงว่าจะกระทบกับความเชื่อมั่นของผู้บริจาคในอนาคต


31 มีนาคม 2567
https://www.isranews.org/article/isranews-news/127464-isra-106.html
19
กรมการแพทย์แจงผู้บริหาร รพ.สงฆ์ ขอลาออกพร้อมกัน 4 ฝ่าย ติดตามรับฟังข้อมมูลใกล้ชิดรอบด้าน ล่าสุดยกเลิกและถอนใบลาออกแล้ว ยันตั้งใจทำงานเพื่อ รพ.และประชาชนต่อไป ด้านอธิบดีกรมการแพทย์ตอบเองผ่านเพจ เป็นเรื่องปกติระบบราชการ สามารถแสดงเจตจำนงตามสิทธิ

จากกรณีข่าวผู้บริหาร รพ.สงฆ์ 4 ราย ยื่นใบลาออกพร้อมกัน พร้อมแสดงเหตุผลว่าการบริหารงานของผู้มีอำนาจใน รพ.สงฆ์ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ ทำให้เกิดความไม่สบายใจและไม่ปลอดภัย โดยยื่นลาออกต่อ ผอ.รพ.สงฆ์ และอธิบดีกรมการแพทย์

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกแถลงชี้แจงกรณีผู้บริหาร รพ.สงฆ์ขอลาออก ว่า จากที่มีข่าวการขอลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารโรงพยาบาลสงฆ์ 4 คนพร้อมกัน เนื่องจากมีความกังวลใจในระบบการบริหารงานภายในโรงพยาบาลนั้น กรมการแพทย์ขอชี้แจงว่า ผู้บริหารระดับสูงของกรมการแพทย์ได้รับทราบและตั้งข้อสังเกตถึงสถานการณ์ที่ต้องติดตามในช่วงที่ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว และขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เพื่อดำเนินการตามระเบียบของทางราชการอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ ยังได้มีการรับฟังข้อมูลจากบุคลากรและผู้เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน โดยคำนึงถึงขวัญกำลังใจของบุคลากรภาพรวมขององค์กรเป็นที่ตั้ง ซึ่งสถานการณ์ในขณะนี้ ทุกคนยังมีความเข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ถวายการดูแลสุขภาพแด่พระภิกษุสงฆ์-สามเณรอาพาธได้ตามปกติ อย่างเต็มกำลังความสามารถ

สำหรับคณะผู้บริหารโรงพยาบาลที่ปรากฏในข่าวว่า ขอลาออกจากตำแหน่งบริหารก็ขอยกเลิกการลาออกแล้ว โดย นพ.สมเกียรติ เกษมธรรมคุณ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ ดร.ดุษฎี ใหญ่เรืองศรี รองผู้อำนวยการด้านการพยาบาล ได้แถลงว่าตนและคณะผู้บริหารโรงพยาบาลสงฆ์อีกสองท่าน คือ นพ.อนุตพงษ์ ชูจันทร์ รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบสุขภาพ และนพ.ประวิทย์ ตันติวัฒนาศิริกุล หัวหน้ากลุ่มงานศัลยกรรม ในฐานะคณะกรรมการบริหารหน่วยงานมีโอกาสได้ปรึกษาคณะผู้บริหารในระดับกรมอย่างใกล้ชิด ทำให้รับทราบถึงความใส่ใจและความห่วงใยของผู้บังคับบัญชาระดับสูง คณะผู้บริหารทั้ง 4 รายดังกล่าว รู้สึกขอบพระคุณในความเข้าใจและกำลังใจนี้ จึงขอถอนใบลาออก และขอยืนยันความตั้งใจดีที่จะเดินหน้าทำงานเพื่อโรงพยาบาลสงฆ์และประชาชนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ “สมาพันธ์แพทย์ รพ.ศ/รพ.ทั่วไป” โพสต์เรื่องดังกล่าว โดย พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้เข้ามาตอบในคอมเมนต์โดยส่งแถลงการณ์ของกรมการแพทย์ พร้อมทั้งได้ตอบกลับผู้ที่แสดงความคิดเห็น เพื่ออธิบายเรื่องดังกล่าว อาทิ

ความคิดเห็นที่ว่า : เรื่องปกติของการบริหารภายใน แปลว่า....

พญ.อัมพร : แปลว่าเมื่อผู้บริหารไม่สบายใจ ก็มีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นได้ รวมถึงสามารถแสดงเจตจำนงในการขอปรับบทบาทในงานบริหารได้ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น : แต่คงหนักไม่งั้นไม่ลาออกพร้อมกันถึง 4 ฝ่าย

พญ.อัมพร : ในระบบบริหารราชการ การแจ้งความจำนงตามสิทธิของตน เป็นเรื่องปกติ แต่การมีผู้แสดงความเห็นเช่นนี้ อาจสะท้อนถึงปัญหาบางอย่าง ซึ่งกรณีนี้ผู้บริหารระดับกรมให้ความสนใจใกล้ชิดค่ะ


30 มี.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์
20
ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้น เมื่อสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวในโรงพยาบาลสงฆ์ว่า ในช่วงปลายเดือน มี.ค.2567 ที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับสูง  4 ราย ของโรงพยาบาลสงฆ์ ประกอบด้วย นพ.สมเกียรติ เกษมธรรมคุณ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ ดร.ดุษฎี ใหญ่เรืองศรี รองผู้อำนวยการด้านการพยาบาล นพ.อนุตพงษ์ ชูจันทร์ รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบสุขภาพ และ นพ.ประวิทย์ ตันติวัฒนาศิริกุล หัวหน้ากลุ่มงานศัลยกรรม ในฐานะคณะกรรมการบริหารหน่วยงาน ได้ทำบันทึกถึงอธิบดีกรมการแพทย์และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อขอลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกัน

โดยผู้บริหารระดับสูงทั้ง 4 ราย ระบุถึงเหตุผลการลาออกเหมือนกัน ว่า "เนื่องจากการบริหารงานของผู้มีอำนาจในโรงพยาบาลสงฆ์ ที่ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ ทำให้เกิดความไม่สบายใจและความไม่ปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจรวมถึงครอบครัว จึงขอลาออกจากตำแหน่ง มีผลตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2567 เป็นต้นไป"

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ภายหลังได้รับทราบเรื่องนี้ ได้ติดต่อไปยัง พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ เพื่อสอบถามถึงข้อเท็จจริงถึงกรณีที่เกิดขึ้น

พญ.อัมพร ชี้แจงว่า เรื่องการลาออกจากตำแหน่งฝ่ายบริหารเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเป็นเรื่องของกลไกการบริหารภายใน แต่ยังไม่ได้เห็นเอกสารลาออกฉบับจริง ได้รับการแจ้งผ่านการบอกเล่า

เมื่อถามว่า มีการระบุเหตุผลในหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งเหมือนกันว่า การบริหารงานของผู้มีอำนาจในโรงพยาบาลสงฆ์ ที่ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ?

พญ.อัมพร กล่าวว่า "ไม่ทราบ ต้องถามเจ้าตัวเอง"



29 มีนาคม 2567
https://www.isranews.org/article/isranews-scoop/127436-isra-priest-hospital.html
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10