แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Meem

หน้า: 1 ... 170 171 [172]
2566
(จากเพื่อนของเราคนหนึ่ง)

การเคลื่อนไหว แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการเช่นนี้ แต่ผมก็มองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่มาจากกลุ่มคนที่แม้ดูจะไม่เข้าท่าแต่ก็เป็นธรรมชาติ คิดแบบธรรมชาติ
ไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีขบวนการ ไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างมืออาชีพ และยังเป็นการออกมาแสดงออกถึงตัวตนที่ผู้มีส่วนในการออกกฎหมายจะต้องสำเหนียกไว้ ว่า คุณจะออกฎหมายที่มีผลต่อเขาเหล่านั้น คุณถามเขาบ้างไหม? ด้วยเนื้อในกฎหมายนั้นต้องเอามาพูดกัน ไม่ใช่การพูดหลักการเหตุผลที่ดูดี แต่แฝงเร้นด้วยสิ่งที่
จะเป็นปัญหาแก่ส่วนรวมตามมาอีกมากมาย ไม่ใช่เพียงแพทย์ที่มองเห็น ทุกวิชาชีพ ทุกคนที่เกี่ยวข้องเขามองเห็น
และ ชัดเจนที่สุดคือ การที่เนื้อในไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ดังที่กล่าวอ้างในหลักการ และเหตุผลจึง เป็นเหตุผลในการเคลื่อนไหวครับ
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ คนที่จะเดือดร้อน คือ คนที่หมายมั่นปั้นมือว่า เมื่อกฎหมายออกมาแล้วตน/กลุ่มตน/ผู้สนับสนุนตน จะได้อะไร
 
ขอร้อง ว่าให้หยุดกล่าวร้ายเพื่อนร่วมวิชาชีพ ที่เขาเผชิญหน้ากับภารกิจดูแลประชาชนที่การสนับสนุนภารกิจมีความพิกลพิการ ครับ

2567
เรียนเพื่อนร่วมวิชาชีพการบริการทางสาธารณสุข

ต่อกรณีการประท้วงยับยั้ง ร่าง พรบ. คุ้มครองผู้เสียหาย ฯ ด้วยการชุมนุมประท้วงและแต่งชุดดำ
ที่หน้ากระทรวงสาธารณสุข วันที่ 30 ก.ค. นี้ มีประเด็นที่น่าจะได้ทำความเข้าในกันดังนี้

ประการที่ 1. ทุกคนรับรู้ว่าความผิดพลาดในการบริการทางการแพทย์ (medical error) เกิดขึ้นได้ในเวชปฏิบัติ
เช่นที่อเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่มีความเจริญทางการแพทย์ คาดว่าคนตายปีแสนรายจาก medical error   
ดังนั้นการเยียวยาผู้ที่ได้รัีบผลกระทบจึงควรเป็นสิ่งที่ควรจะกระทำตามหลักมนุษยธรรม

ประการที่ 2.  แพทย์หมดเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ในหนทางการแสดงความคิดเห็นแล้วหรือ จึงต้องใช้การชุมนุมประท้วง และ การแต่งชุดดำ เช่นนี้
ต่อกรณี ร่าง พรบ. คุ้มครองผู้เสียหาย  ถ้าเราใช้ยาแรง ตั้งแต่แรก ต่อไป เชื้อก็ดื้อยา หากจะคัดค้านอะไรเราต้องทำเช่นนี้อีกหรือไม่
แล้วเราจะเอา ความน่าเคารพ น่าเชื่อถือ อะไร ไปพูดกับสังคมให้เชื่อเราได้อีก แพทย์เรามีเกียรติ มีศักดิ์ศรีในสังคม ได้ด้วยการช่วยเหลือชีวิตและปลดเปลื้องความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์และการใช้ วุฒิภาวะในการแก้ไขปัญหาให้คนไข้
ดังนั้น บรรดา ผู้ทำวิชาชีพบริการทางการแพทย์ น่าจะใช้วิธีการที่มีวุฒิภาวะ ด้วยการการพูดคุยเจรจากันกับผู้ร่าง กม.คุ้มครองผู้ไดัรัีบความเสียหายจากการบริการทางสาธารณสุข  ไม่น่าจะใช้วิธิการประท้วง การแต่งดำ มันทำให้เราเสียหายในสถาบันวิชาชีพมากกว่าผลที่ได้รับ  และทำให้วิชาชีพเราจะยิ่งตกต่ำมากขึ้นในสังคม  ต่อไป อะไร มีปัญหา เราก็จะใช้วิธีนี้ในการต่อสู้เช่นนั้นหรือ
เราเลียนแบบภาพใหญ่ในสังคมหรือเปล่าที่ต่อสู้ในสภาไม่ได้ก็ออกมาต่อบนท้อง ถนน
ซึ่งมันเป็นวิธีของผู้ด้อยอำนาจในสังคม  ในการเรียกร้องต่อผู้มีอำนาจ
จึงสงสัยว่า เครดิตความน่าเชื่อถือของแพทย์ หมดไปแล้วหรือในการที่จะพูดจากกันบนโต๊ะ ดี ๆ
ถ้าต้องทำถึงขนาดออกมาชุมนุมนี้เรื่อยไป แสดงว่า สังคมเขาไม่ฟังเราพูดแล้ว


ประการที่ 3. พวก เรากลัวอะไรในกฎหมายนี้   ผมเชื่อว่าพวกเราหลายคนต้องการทักท้วงด้วยใจอันบริสุทธิ์ 
แต่ผมก็ยังคิดว่ามีบางคนที่ไม่ได้ทำด้วยจิตที่เป็นกุศลเท่าใดนัก
สิ่งหนึ่งที่ได้ยินมาคือ เรื่องเราต้องส่งเงินเข้ากองทุนตาม กม. นี้
ซึ่ง รพ. ในภาครัฐไม่มีปัญหาเพราะเป็นเงิน รพ. อยู่แล้ว
คนที่ได้รับผลกระทบน่าจะเป็น รพ.เอกชนมากกว่า
เป็นไปได้หรือไม่ที่มีผู้ที่ไม่ต้องการสมทบ ขยายเรื่องนี้ให้บานปลายใหญ่โต
จริงแล้วโรงพยาบาลชุมชนเป็นจุดเปราะบางมากกว่าเพราะมีแพทย์จบใหม่ไปอยู่
รพช. มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีรุนแรงแต่อย่างใด
จริงแล้ว เรื่อง พรบ. นี้ ทำกันมากครึ่งค่อนปีแล้ว  แพทยสภารับรู้ทุกขั้นตอน
เหตุใดจึงไม่ได้บอกให้พวกเรารับรู้ตั้งแต่แรก  เพิ่งจะมาตีข่าวช่วงนี้
ฤาไม่สามารถต่อสู้ทางเหตุผลกับคณะทำงานของกฤษฏีกาได้ จึงต้องออกมาใช้กำลังแพทย์
ฤาใกล้ ฤดูการเลือกตั้งอีกแล้ว  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ออกมาเรียกร้องตอนนี้ต้องการหาเสียงแต่อย่างใด
แต่กลัวคนที่ไม่ได้ออกมาแต่ใช้สถานการณ์นี้เป็นประโยชน์ในการสร้างฐานอำนาจ ในแพทยสภา   
เหตุการณ์นี้คล้ายกับเหตุการณ์เมื่อออก มาตรา 41 พรบ.หลักประกันสุขภาพ ฯ  แพทย์ลุกขึ้นมาประท้วง
ผมก็เป็นคนหนึ่งนี้ร่วมลงชื่อประท้วงกับเขาด้วยในตอนนั้น ด้วยเชื่อตามสิ่งที่เล่ากันมา
ประเด็นเหล่านี้แพทยสภารู้เรื่องนี้น่าจะบอกความจริงว่ากระบวนการเป็นมา อย่างไร

ประการที่ 4. ใน การต่อสู้เรียกร้องของแพทย์ครั้งนี้ความรู้สึกร่วมอาจ จะรุนแรงกว่าเดิม
เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์เรื่องหมอถูกฟ้องคดีอาญา
ซึ่งบางทีเราก็ได้รัีบข้อมูลที่เกินความจริงที่โอเวอร์เช่น หมอถูกใส่กุญแจมือ หรือถูกเข้าห้องขัง ซึ่งไม่เป็นความจริง
และแพทย์น่าจะได้รับรู้และเรียนรู้กันว่าจริง ๆ แล้วทำไมเหตุการณ์ถึงได้กลับมาบานปลายไปขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่เรื่องราวกำลังจะลงเอยอยู่แล้ว เขาเล่าว่าเพราะมีหมอผู้ใหญ่จากกรุงเทพ ไปแนะนำว่าอย่าขอโทษ อย่าไปงานศพ เดี๋ยวจะแสดงว่าผิด
จนกระทั่งเกิดเป็นตราบาปในวงการแพทย์ และ เป็นบาปบริสุทธิ์ให้กับคนไข้ และแพทย์ รพ.จังหวัดที่ต้องรับการส่งต่อ
คนไข้จาก รพช. จำนวนมาก ไส้ติ่งอักเสบผ่ากันข้ามวันข้ามคืน จนไส้ติ่งแตกมากขึ้น  แทนที่ รพ. จังหวัดจะเอาเวลาไปผ่าคนไข้ยาก ๆ ผมเชื่อว่าโดยธรรมชาติแล้วไม่มีใครอยากขึ้นโรงขึ้นศาล ถ้าไม่ได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม และถ้ามีการชดเชยเยียวยาแล้วก็จะช่วยไม่ต้องไปฟ้องร้องต่อไปอีก เพราะฟ้องไปจะคุ้มเสียหรือไม่ เช่น เสียจากถูกมองแง่ลบ เวลาไปหาหมอ หมอก็จะหวาดระแวง เสียเวลาทำงานเสียค่าทนายแและก็เสียความรุ้สึก  ถ้าท่านเคยได้รับความไม่เป็นธรรมท่านจะซาบซึ่งได้ดีกว่าคำอธิบายใด ๆ
ในขณะที่ รพ. ขอนแก่น คนไข้ผ่าตา ตาบอดจำนวนมาก แต่กลับไม่โดนฟ้องอะไรเลยแถมเป็นข่าวครึกโครม
เราน่าจะเรียนรู้สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อมาสร้างความสัมพันธ์ที่ดี มากกว่าการสร้างภาพ ลบ ๆ ขึ้นมา
ถ้ามี พรบ นี้ คนไข้ ที่ รพ. ขอนแก่นก็จะได้รับการเยี่ยวยาจาก กม. ฉบับนี้ไปด้วย
เราสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับสังคมไม่ดีกว่าหรือครับ และสิ่้งนี้น่าจะจรรโลงเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของวิชาชีพได้ดีกว่าสิ่งใด
คนไข้ยังรู้สึกดีกับหมอ หมอก็รู้สึกดีกับคนไข้

ประการที่ 5. การ ที่แพทย์และวิชาชีพอื่น ๆ ร่วมกันประท้วงต่อเรื่องนี้จึงต้องดูว่า
เราประท้วงอะไร เราประท้วงหลักการ หรือ เนื้อหารายละเอียด
เราควรใช้วิธีการประท้วงและแต่งดำ หรือ มีวิธีการอื่นใดที่ดีกว่าหรือไม่
เพราะสุดท้ายต้องสู้กันด้วยเหตุผลมากกว่า
เราศึกษาประเด็นกันชัดเจนดีแล้วหรือ หรือเราเชื่อเพราะเล่าตาม ๆ กันมา เชื่อเพราะตรรกะ
หรือเชื่อเพราะคนที่พูดที่บอกน่าเชื่อถือ
เราใช้ evidence-based กันเพียงใด
เราศึกษาความเป็นมาเรื่องนี้กันมากน้อยเพียงใด เราได้ยินคนที่เขาสนับสนุนและคัดค้านเท่านั้น
แต่ก็น่าเห็นใจที่เรายุ่งจนไม่มีเวลาศึกษา จึงต้องอาศัยผู้รู้แทน ซึ่งผู้รู้ก็มีทั้งจิตบริสุทธิ์และที่ไม่ใช่

ประการที่ 6. เราใช้การให้คำปรึกษา (counseling) กันในเวชปฏิบัติเพื่อให้เกิดการสื่อสารสองทางกับคนไข้
เพื่อรับฟังปัญหาและทางเลือกของผู้ป่วย
แต่ตอนนี้เรากลับเลือก วิธีการปลุกระดมฝ่่ายเดียว เราไม่ฟังคนอื่นเลยหรือเปล่า
ทำไมไม่คุยกับ คนร่าง พรบ. ดี ๆ ว่าปัญหาคืออะไร ถ้าเราเห็นด้วยในหลักการว่า
เราต้องการให้ กม.นี้เป็นเครื่องมือในการชดเชยเยี่ยวยา   เพราะใน มาตรา 41 ใน พรบ หลักประกัน ฯ ไม่มีกลไกอันนี้
กม.ใหม่นี้ก็จะได้ทำให้เกิดการชดเชยมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เราน่าจะแก้ปัญหาแบบที่มีวุฒิภาวะ ด้วยเหตุด้วยผล  และชี้ให้ตรงประเด็น
จากรายการดีเบทในทีวีมาสองสามรายการ แพทย์เราไม่สามารถทำประเด็นให้กระจ่างได้อย่างตรง ๆ เพียงพยายามพูดว่า
แพทย์ทำงานหนักแบบขอความเห็นใจ แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ว่า เมื่อคนไข้เกิดความเสียหายขึ้นเราจะช่วยกัน
ช่วยเหลือเยียวยาอย่างไร  ในเวทีสาธารณะ เราต้องสู้ด้วยเหตุและผลในประเด็็นมากกว่า
และ แสดงออกด้วยน้ำใจต่อกัน มากกว่าเอาชนะ
ถ้าคิดว่าวิชาชีพเรายังมีศักดิ์ศรี มีอำนาจบารมี ก็ควรใช้หลักเมตตากรุณาธรรม
เครือข่ายผู้ป่วยที่เกิดขึ้นก็คงไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นมาเองหรืออยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมาร้องเรียนแพทย์
ผมเชื่อว่าเขาได้รัีบความสูญเสียจริง แล้วพวกเราไม่สามารถให้ความกระจ่างกับเขาได้
และครั้้งนี้เขาก็ต้องการเรียกร้องที่จะมีระบบอะไรมารองรับ

ประการสุดท้าย เราจะหาทางออกร่วมกันอย่างไร
เราน่าจะมาใช้ใจคุยกันกับผู้ที่เรียกร้องต้องการ พรบ. ว่าหรือว่าที่ต่อสู้เรียกร้องเืพื่อผู้ป่วยต้องการอะไร
มีปัญหาอะไร และต้องการ พรบ. ออกมากอย่างไร ส่วนในมุมมองแพทย์ เรามีข้อจำกัดอย่างไร
เช่น  ในกรณีไม่ต้องจ่ายเงิน ในข้อ 6 (2)พูด เรื่องมาตรฐานวิชาชีพ ซึ่งในร่างที่ฝ่ายประชาชนเสนอไปไม่มีข้อนี้
และก็ให้ออกได้ เพราะฝ่ายผู้ต้องการ พรบ ไม่ได้ต้องการ แต่ แพทยสภา เป็นผู้เติมลงไปเอง
เราไม่ควรไปแสดงออกที่บ่งบอกถึงการตอกลิ่มความขัด แย้งระหว่างแพทย์กับคนไข้อีกต่อไปเลย   
คนไข้ส่วนใหญ่ก็ยังเคารพนับถือแพทย์และเพื่อนร่วมวิชาชีพทางการแพทย์อยู่  และสังคมส่วนใหญ่ก็ยังให้เกียรติพวกเราอยู่
เราควรรักษาต้นทุนทางสังคม ไว้ในยามที่สามารถช่วยเหลือสังคมได้จะดีกว่า
เรามาพูดคุยร่วมกัน แบบขอนแก่นโมเดล ที่คนไข้ต้องตาบอดจากการติดเชื้อระหว่างการรักษายังคงรักษากับแพทย์อยู่
ไม่ออกมาฟ้องร้องแม้จะเป็นข่าวดังทั่วประเทศ เราก็ควรมองว่านี่คือน้ำใจคนไข้เช่นกัน
ถ้าเราส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้น รู้จักการตอบสนองในทางบวกเหมือนที่ รพ.ขอนแก่น
เราก็จะได้ไม่ต้องทำ defensive practice
เราน่าจะพลิกวิกฤตินี้เป็นโอกาส
ในการสร้างบรรยากาศความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแพทย์กับผู้ป่่วยในระดับภาพรวม
ในการสร้างความเข้าใจกันกับกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. ในข้อจำกัดในทรัพยากรที่ได้รับ หรือระบบที่ไม่เื้อื้ออำนวยต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วส่งผลต่อการ บริการที่เสียงต่อความผิดพลาดเสียหาย
รวมถึงสื่อสารกับสังคมในข้อจำกัดของการ บริการทางการแพทย์ แม้ว่าประเทศที่เจริญแล้วก็เกิดขึ้น เพราะเมื่อใดที่เกิดปัญหา
กับผู้ป่วยทางสื่อ แพทย์ก็จะเป็นจำเลยไว้ก่อน
เวลานี้น่าจะเอาสรรพกำลังที่บริสุทธิ์มาสร้างสรร สิ่งดี ๆ ในวิชาชีพ มากกว่าการเอาชนะทางแง่กฎหมาย
อย่างไรเสียแพทย์กับคนไข้ก็ต้องอยู่ร่วมกันตราบเท่าที่ยังมีคนเจ็บป่วย และแยกกันไม่ออก

ในเมื่อเราเห็นด้วยว่าความเสียหายจากการบริการควรได้รับการเยียวยา เราก็ควรให้ กฎหมายนี้ผ่านเข้าสภา เพื่อรับหลักการ
เพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้  เพราะเรื่องนี้ทำกันมานานแล้ว
เรื่องนี้ก็ยังไม่สายที่เราจะปรับแก้กันในวาระสองในสภาผู้แทนต่อไป
และเราควรได้พูดคุยกันแบบนั่งจับเข่าคุยกันมากกว่ายืนกอดอกคุยกัน
การประท้วงเอาชนะ ต่อไปก็อาจจะแพ้ทั้งหมอทั้งคนไข้ และสังคมก็แพ้เพราะแพทย์กับคนไข้ทะเลาะกัน
คนที่ได้กลับเป็นนักการเมืองและผู้บริหาร และฝ่ายที่ได้ผลประโยชน์จากการยับยั้งกฎหมายนี้ครับ

หากเห็นว่าจดหมายนี้เป็นประโยชน์ โปรดส่งต่อไปยังเพื่อนร่วมวิชาชีพต่อไป ขอบคุณครับ

นพ.สุธีร์ รัตนมงคลกุล

อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

2568

ผู้แทนสภาวิชาชีพ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล เทคนิคการแพทย์ เข้าพบนายกรัฐมนตรีที่พรรคประชาธิปัตย์ ถกเรื่องปัญหาร่าง พรบ.คุ้มครองความเสียหายฯ นายกรัฐมนตรี รับปากจะให้ทุกส่วนได้ประชุมหาทางออกต่อปัญหานี้ร่วมกัน 

วันที่ 22 กค 2553  เวลา 14.15 น.ที่พรรคประชาธิปัตย์ ผู้แทนสภาวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุข ประกอบด้วย รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร อุปนายกแพทยสภา  นายแพทย์สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา นายแพทย์ อิทธพร คณะเจริญ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา นายแพทย์ชนาธิปฯ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา  นายแพทย์พินิจ หิรัญโชติ กรรมการแพทยสภา  นายแพทย์เอื้อชาติ กรรมการแพทยสภา  ทันตแพทย์ธรณินทร์ฯ และทันตแพทย์ จาก ทันตแพทยสภา  ทนพ.สมชัย เจิดเสริมอนันต์  เลขาธิการสภาเทคนิคการแพทย์  ดร.สมจิตร ฯ นายกสภาการพยาบาล  เภสัชกรเสน่ห์ฯ เภสัชกรหญิงพัชรี ศิริศักดิ์ ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม   แพทย์หญิงพจนา กองเงิน  แพทย์หญิงสุธัญญา บรรจงภาค แพทย์หญิงประชุมพร บูรณ์เจริญ  นายแพทย์ประดิษฐ์ ไชยบุตร ทันตแพทย์หญิงสุขุมาลย์ จาก สมาพันธ์โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป  พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา  ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิพลเมือง และ พญ.อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล กับ ทนพ.วัฒโนทัย ไทยถาวร จากคณะกรรมการศึกษาและปฏิรูประบบสาธารณสุขไทย ได้เข้าพบ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเรื่อง ร่าง พรบ.คุ้มครองผู้เสียหาย จาก การรับบริการสาธารณสุข พศ.... ที่ผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุขกำลังวิตกกังวลต่อการถูกฟ้องร้องอยู่ในขณะนี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า   ตนเองก็เติบโตมาในครอบครัวแพทย์   เนื่องด้วยสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคม ประชาชนตื่นตัวในเรื่องสิทธิเพิ่มขึ้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีปัญหาระหว่างแพทย์และคนไข้  เจตนาที่จะออกกฎหมายนี้  ต้องการให้มีคนกลางไกล่เกลี่ยและช่วยเหลือทั้งผู้รับบริการและผู้ให้บริการ    หากกลุ่มแพทย์แลบะผู้ให้บริการสาธารณสุขมีข้อเสนอเพื่อจะทำให้ร่างกฎหมายนี้ดีขึ้นอย่างไร ก็เป็นสิ่งที่เสนอมาแก้ไขได้  จากนั้นได้เปิดโอกาสให้ผู้แทนสภาวิชาชีพต่างๆ แสดงความเห็นและให้ข้อเสนอแนะต่อร่าง พรบ.ฉบับนี้

รศ.พญ.ประสบศรี อึ๊งถาวร  อุปนายกแพทยสภา กล่าวเรียน นายกฯว่า  ร่าง พรบ.ค้มครองฯ  ตามชื่อร่าง ก็เพื่อจะคุ้มครองประชาชน ซึ่งแพทย์เองก็คุ้มครองประชาชนด้วยการรักษาพยาบาลตามหน้าที่อยู่แล้ว  และหากมีความเสียหายเกิดขึ้น ก็ประสงค์ให้ผู้ป่วยได้รับการค้มครองเช่นกัน   แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาสาระในมาตราต่างๆ ของร่างกฎหมายฉบับนี้แล้ว  กลับไม่เป็นไปเพื่อจะค้มครองผู้ป่วย  และด้วยเป็นพรบ.เกี่ยวกับบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุข  การพิจารณาถูก-ผิด ควรต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ  ซึ่งจำเป็นต้องที่ผู้เชี่ยวชาญดูแลในทุกระดับ ตั้งแต่ ระดับนโยบาย  ระดับบริหาร และระดับปฏิบัติการ  ควรที่จะได้ทำให้รอบคอบยิ่งขึ้น

ด้านทันตแพทย์ธรณินทร์ ผู้แทนทันตแพทยสภา กล่าวว่า คณะกรรมการของ ร่าง พรบ.นี้  โดยเฉพาะบทเฉพาะกาล  กำหนดให้มี เอ็นจีโอ 6  คน และผู้ทรงคุณวุฒิ อีก 3 รวมเป็น 9 คน ใน 11 คน  จะทำให้คณะกรรมการชุดนี้  อาจมีผู้เสนอร่างนี้เข้าไปเป็นกรรมการใช้เงินกองทุนนี้ด้วยเสียงข้างมากตั้งแต่เริ่มต้น  จะทำให้มีการผิดรูปผิดแบบคณะกรรมการ ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดผลดีตามเจตนารมณ์ของกฎหมายได้

ศ.ดร.สมจิตร  นายกสภาการพยาบาล กล่าวว่า ด้วยเป็นร่าง พรบ.ที่เกี่ยวพันกับสาธารณชน กระทบถึง สถานีอนามัย ควรที่จะได้ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้ทราบ และมีความเห็นต่อ ร่าง พรบ.นี้อย่างถ้วนทั่วก่อน 

ขณะที่ทนพ.สมชัย เจิดเสริมอนันต์ เลขาธิการสภาเทคนิคการแพทย์  เห็นว่าร่าง พรบ.นี้ ยังไม่ได้มีการศึกษา วิเคราะห์ อย่างดีพอ ว่ากลไก ที่กำหนดไว้ จะแก้ไขปัญหา หรือ จะมีผลทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น   จึงควรมีการศึกษา วิเคราะห์ให้รอบคอบ เสียก่อน

ด้าน พญ.พจนา  กองเงิน ประธานสมาพันธ์แพทย์ รพศ./รพท. กล่าว ถึงการทำงานภายใต้ข้อจำกัด ซึ่ง สปสช.กำหนดมากมาย ทำให้แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปต้องทำงานหนักอย่างมาก  สปสช.ได้สร้างปัญหาภาระงานให้กับผู้ให้บริการมากแล้ว  หาก มี พรบ.คุ้มครองนี้ จะยิ่งทำให้สถานการณ์นี้แย่ลงเพิ่มอีก

พญ.สุธัญญา บรรจงภาค  กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 80 (2) ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ที่ปฏิบัติตามมาตรฐานและจริยธรรม ย่อมได้รับความคุ้มครอง   แต่ขณะนี้ยังคงไม่มีการคุ้มครองผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพแต่อย่างใด 

ส่วน นพ.ประดิษฐ์  กล่าวว่า ภาระงานทุกวันนี้มีมากเกินกำลังที่ระบบจะรองรับได้  แพทย์มีคนไข้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ขณะนี้ ถึง 200 ล้านครั้งในปีงบประมาณที่ผ่านมา   คนไข้แต่ละคนจึงได้รับบริการเพียงคนละ 1 ถึง 2 นาที  ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้ป่วย  แพทย์มีทางออกของแพทย์ได้ แต่ผลร้ายของ ร่าง พรบ.นี้ จะทำให้แพทย์ต้องทำการส่งตรวจเพิ่มขึ้น  และต้องทำการประกอบวิชาชีพแบบละเอียด จะทำให้คนไข้ต้องได้รับบริการอย่างล่าช้า  ร่าง พรบ.นี้จะทำให้ปัญหาเดิมของแพทย์ รุนแรงขึ้น

พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ  กล่าวว่า ร่าง พรบ.นี้   จะทำให้มีการเรียกเก็บเงินจากสถานพยาบาล    ซึงที่ผ่านมาโรงพยาบาลของรัฐ ก็จะได้รับงบประมาณเป็นค่ายา ค่าวัสดุ เพื่อการดูแลรักษาผู้ป่วย จากงบประมาณแผ่นดิน  หากมี พรบ.นี้ โรงพยาบาลที่ได้รับเงินงบเพื่อการให้บริการผู้ป่วยอย่างจำกัด ในแบบที่เป็นปัจจุบัน  ก็จะต้องนำเงินงบแผ่นดินที่ได้ย้อนกลับไปจ่ายเป็นเงินสมทบเข้ากองทุนอีก ทำให้เงินค่ายาที่โรงพยาบาลได้รับเพื่อเป็นค่ายาค่าวัสดุทางการแพทย์เพื่อรักษาผู้ป่วยต้องลดลงไปอีก   จะทำให้เป็นภาระการคลังของประเทศ

พญ.เชิดชู  อธิยศรีวัฒนา ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิพลเมือง กล่าวว่า ร่าง พรบ.นี้ จะทำให้มีการฟ้องร้องผู้ให้บริการเพิ่มขึ้น  ประกอบกับขณะนี้ แพทย์ขาดแคลนอย่างรุนแรง แพทย์มีภาระงานมาก  ประเทศไต้หวัน มีประชากร 23 ล้านคน  มีแพทย์ 50 000 คน  ประเทศไทยมีประชากร 65 ล้านคน  มีแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุข ให้การดูแลเพียง 8,000 คน  ร่าง พรบ.นี้ จะสร้างปัญหาให้กับผู้ป่วยและผู้ให้บริการ  ซึ่งเภสัชกรหญิง พัชรี  ศิริศักดิ์ ได้กล่าว เสริม พญ.เชิดชู ในด้านบริการที่เป็นภาระอย่างหนักของผู้ให้บริการด้วย

พญ.อรพรรณ์  เมธาดิลกกุล คณะกรรมการการศึกษาและปฏิรูประบบสาธารณสุขไทย กล่าวว่า โดยหลักการแล้ว กฎหมาย มีไว้เพื่อให้เกิดความสงบสุขของบุคคลที่อยู่ร่วมกันในสังคม  หากผู้ใดเสียหาย จากการกะทำของผู้ใด  กฎหมายกำหนดให้ฟ้องผู้ทำผิดเพื่อนำมาลงโทษ หรือชดใช้ค่าเสียหายได้     สำหรับกรณีที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความเสียหายและเกิดจากบุคคลจำนวนมาก  จะมีกฎหมายลักษณะประกันให้กับผู้เสียหาย เช่น พรบ.กองทุนเงินทดแทน   ซึ่งกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน เมื่อลูกจ้างเกิดความเสียหาย  ก็ให้ใช้เงินจากกองทุนเยียวยาเบื้องต้นไปก่อน   หรือ กฎหมายที่ว่าด้วย บุคคลที่ 3 ที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุจากยานพาหนะ     ซึ่งกฎหมายในลักษณะดังกล่าว จะไม่สามารถใช้กับ การรักษาพยาบาล ที่มิใช่กรณีที่จะมีความเสียหายเกิดขึ้นมากมาย  เนื่องจากการรักษาพยาบาลมุ่งให้บุคคลดีขึ้นจากการป่วย และเป็นบริการสาธารณะที่รัฐจัดให้ ผ่านกลไกลการควบคุมกำกับโดยสภาวิชาชีพ  เป็นกรณีที่จะนำไปใช้เช่นกรณีความเสี่ยงต่อความเสียหายในสาธารณชนจำนวนมากๆ นั้นไม่ได้     โดยสรุปแล้ว ร่าง พรบ.นี้ขัดกับหลักการของการตรากฎหมาย คือขัดกับความสงบเรียบร้อยในสังคม  จะสร้างปัญหาให้กับสังคมเกิดความเสียหายเนื่องจากผู้ให้การรักษาไม่อาจประกอบวิชาชีพได้  ทำให้ประชาชนที่ต้องการการช่วยเหลือทางการแพทย์ ต้องขาดบริการนี้  เนื่องจากระบบจะขาดผู้ให้บริการอย่างมาก

เมื่อรับฟังข้อคิดเห็นของผู้แทนสภาวิชาชีพต่างๆ แล้ว นายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า จะได้จัดให้มีคณะทำงานของรัฐบาลในเรื่องนี้ และ จะให้ทุกส่วนได้ประชุมหาทางออกต่อปัญหานี้ร่วมกัน   จากนั้น คณะแพทย์-พยาบาล-เภสัชกร-ทันตแพทย์-เทคนิคการแพทย์  ก็ได้ถ่ายรูปกับ นายกรัฐมนตรี  และ รศ. พญ.ประสบศรี ก็ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงเหตุที่มาพบนายกรัฐมนตรี และการที่ขอให้มีการทบทวน ร่าง พรบ.นี้


เขียนโดย แพทย์หญิง อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล โรงพยาบาลราชวิถี   

2569

ภาพนี้ดูเหมือนนกตัวนี้บินเร็วมากๆ
คล้ายการบินของเครื่องบินไอพ่น มีทางสีขาวตามมาเป็นแนว

แต่จริงๆแล้ว มีคนจัดฉาก จัดมุมกล้อง ให้ นก ตัวนี้ดูวิเศษสุดยอด

นั่น...เป็นความสำคัญผิด อีกแล้ว

ก็แค่...........นกธรรมดาๆตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

2570
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / กระป๋องธรรมดาๆ
« เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2010, 22:45:51 »

ภาพนี้ดูเหมือนว่ามี น้ำพุ พุ่งออกจากกระป๋องเบียร์ และพุ่งอยู่ตลอดเวลา
กระป๋องเบียร์นี้ช่างมีอิทธิฤทธิ์อะไรปานนี้

นั่น... เป็นการสำคัญผิด

จริงๆแล้ว มันเป็นแค่เศษกระป๋องใบหนึ่งดีๆนี่เอง
แต่มีคนจัดฉาก จัดมุมกล้อง ให้ดูเป็นอย่างที่เห็น

...........คงได้อะไรจากภาพนี้บ้าง


2571
*ค่าโทรมือถือเท่ากันทั่วประเทศ *
กทช.
กำหนดให้คิดค่าบริการการใช้โทรศัพท์มือถือทั้งในเครือข่ายและนอกเครือข่ายใน
ราคาเท่ากันทั่วประเทศ เริ่มวันที่ 1 ก.ย.นี้
ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่นาทีละ 1 บาท
ส่วนโปรโมชั่นค่าโทรเดิมของผู้ให้บริการแต่ละรายจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ส.ค.นี้

ส่วนการประกาศคงสิทธิ์หมายเลข
ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถเปลี่ยนค่ายผู้ให้บริการโดยใช้หมายเลขเดิมได้นั้น
จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ก.ย.เช่นเดียวกัน

2572
 นพ.ประเวศ  วะสี ในฐานะประธานคณะกรรมการ ปฏิรูปได้เขียนบทความถึงแนวทางปฏิรูปและการปรองดอง
         
         สัปดาห์ที่ผ่านมามีความสับสนเกี่ยวกับปรองดองและปฏิรูป โดยที่คิดว่าอยู่ในเรื่องเดียวกัน ดังที่มีนักข่าวถามว่า  “ถ้าปรองดอง ไม่สำเร็จจะปฏิรูปได้อย่างไร” ถ้าแยกเรื่องปรองดองกับการปฏิรูปออกจาก กันก็จะมีความชัดเจนขึ้น  ปรองดองเป็นเรื่องของอดีต แต่ปฏิรูปเป็นเรื่องของอนาคต เรามักคุ้นเคยกับคำว่าแก้ปัญหา การแก้ปัญหาทำได้ยากและบ่อยๆ ครั้งการแก้ปัญหาทำให้ทะเลาะกันมากขึ้น เพราะปัญหามีที่มาและมีคนที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก การรวมตัวกันทำสิ่งใหม่ที่ดีง่ายกว่า เพราะเป็นเรื่องอนาคตยังไม่มีจำเลย 

          ผู้รู้บางคนถึงกับกล่าวว่า “การพัฒนาไม่ใช่การแก้ปัญหา การพัฒนาคือการรวมตัวกันทำสิ่งใหม่ที่ดี” ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่า ไม่ควรคิดแก้ปัญหา แต่ไม่ควรหมกมุ่นกับการแก้ปัญหาเสียจนเคลื่อนไปสู่อนาคตไม่ได้
          การปรองดองกับการปฏิรูปเป็นคนละกระบวนการกัน การปฏิรูปไม่ได้ทำเรื่องปรองดอง แต่ถ้าปฏิรูปแล้วเกิดความเป็นธรรมก็เกิดการปรองดองตามมาเอง ส่วนการปฏิรูปที่คิดว่าใครเป็นเหยื่อใครนั้น ถ้าได้เข้าใจความเป็นมาและที่จะเป็นไป ก็คงจะลดความสับสนลงได้บ้าง

          (๑) การปฏิรูประบบสุขภาพดำเนินมาเกือบ ๒๐ ปีแล้ว นักการ สาธารณสุขที่เห็นความทุกข์ยากของประชาชน จากความจน ความเจ็บป่วยล้มตายโดยไม่จำเป็นและการเข้าไม่ถึงบริการ ได้หาทางแก้ไขด้วยประการต่างๆ แต่ทำได้ยากมากเพราะปัญหาเชิงระบบ จึงคิดถึงการปฏิรูประบบสุขภาพ

          การจะปฏิรูปอะไรต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น แพทย์และบุคลากรสาธารณสุขมีความรู้ทางเทคนิค แต่ไม่มีความรู้เชิงระบบ จึงมีการตั้ง สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ เพื่อสร้างความรู้เชิงระบบ เพื่อเอาความรู้ไปปฏิรูประบบสุขภาพ สวรส. เป็นองค์กรอิสระองค์กรแรก มีความคล่องตัว และสามารถออกลูกองค์กรต่างๆ ได้หลักของการ ปฏิรูปอย่างหนึ่งคือ เปลี่ยนจากระบบตั้ง รับเป็นระบบรุก  ตั้งรับคือ รอให้สุขภาพเสียก่อน รุกคือ รุกไปสร้างสุขภาพดี จึงมีการตั้ง สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) โดยออกกฎหมายเก็บภาษีเหล้าและบุหรี่มาเข้ากองทุนนี้ ซึ่งมีหน้าที่ไปเสริมสร้างสุขภาพดีในทุกพื้นที่และในทุกเรื่อง

          คนยากคนจนไม่มีหลักประกันสุขภาพ จึงมีการออกกฎหมายตั้งสำนักงานหลักประกัน สุขภาพแห่งชาติ  (สปสช.)โดยที่ นโยบายสาธารณะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสังคมทุกส่วน การมีนโยบายที่ดีจึงเป็นเรื่องที่มีผลต่อสุขภาพอย่างมาก แต่นโยบายที่ดีเกิดขึ้นได้ยาก เพราะกระทบต่อผลประโยชน์ต่อบางฝ่ายบางพวกที่มีอำนาจ* จึงมีการออกกฎหมายตั้ง คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการ สุขภาพแห่งชาติ (สช.) ซึ่งมีภารกิจในการขับเคลื่อนให้เกิดนโยบายที่ดี

          จึงมีองค์กรที่เรียกว่า ส. ต่างๆ คือ สวรส. สสส. สปสช. สช. เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติเป็น ลำดับๆ มา กระนั้นก็ตามเป้าหมายที่จะทำให้เกิดสุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิต ทางสังคม และทางปัญญา  แก่ประชาชนทั้งมวลก็ยังเป็นเรื่องยาก

          (๒) สุขภาพนั้นเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคนและสังคมทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องมดหมอ หยูกยาเท่านั้น เช่นถ้าแก้ความยากจนและความอยุติธรรมในสังคมไม่ได้ สังคมจะเกิดสุขภาวะได้อย่างไร ถ้าสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ระบบการเกษตรไม่ดี ระบบการศึกษาไม่ดี ฯลฯ ล้วนกระทบต่อสุขภาพทั้งสิ้น ฉะนั้นคำว่าระบบสุขภาพจึงกินความกว้างขวางออกไปนอกขอบเขตของระบบสาธารณสุข มาก โปรดสังเกตคำว่าระบบสุขภาพมีขอบเขตกว้างขวางกว่าระบบการแพทย์และระบบสาธารณ สุข อย่างในสถานการณ์ที่เรียกว่า วิกฤติสุดๆ นั้น ประชาชนจะมีสุขภาวะได้อย่างไร

          (๓) ปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะคนไทย ๑๐ เรื่อง ใน สภาวะที่เรียกว่าวิกฤติสุดๆ นั้น คนไทยกลุ่มหนึ่งได้คาดการณ์ว่า สภาวะวิกฤติน่าจะดำเนินไปถึงจุดที่ไม่มีทางออก นอกจากปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย หรือปฏิรูปทุกเรื่องเพราะปฏิรูปเรื่องใดเรื่องหนึ่งเรื่องเดียว เช่น การปฏิรูปการเมืองคงจะไม่สำเร็จ จึงจัดให้มีการประชุมเรื่องปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะคนไทย ทุก ๒ สัปดาห์เป็นเวลาปีครึ่งมาแล้ว โดยพิจารณาใน ๑๐ เรื่องด้วยกัน คือ

          (๑) สร้างจิตสำนึกใหม่ (๒) สร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ (๓) สร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น (๔) สร้างระบบการศึกษาที่พาชาติออกจากวิกฤติ (๕) ธรรมาภิบาลทางการเมืองการปกครองระบบความยุติธรรมและสันติภาพ (๖) ระบบสวัสดิการสังคมที่ถ้วนหน้า (๗) ดุลยภาพเพื่อพลังงานและสิ่งแวดล้อม (๘) ปฏิรูประบบสุขภาพ (๙) วิจัยยุทธศาสตร์ชาติ (๑๐) สร้างระบบการสื่อสารที่ดีที่ผสานการพัฒนาทั้งหมด

          เรื่องเหล่านี้ยากๆ ทั้งสิ้น  ต้องระดมคนมาใช้ความรู้ความคิดกันอย่างหนักโดยคิดว่าเรื่องยากๆ อย่างนี้ ถ้าไม่ช่วยกันทำแล้วใครจะทำ ฝ่ายการเมืองเขาคงทำไม่ได้ แต่ยามใดที่มีวิกฤตการณ์ทางการเมือง หน้าต่างแห่งโอกาสจะเปิดให้ทำเรื่องยากๆ ยามที่ฝ่ายการเมืองเข้มแข็งเขามักจะไม่สนองตอบต่อข้อเรียกร้องใดๆ จากภาคสังคม ยามเขาอ่อนแอเขาจะสนองตอบ เพราะฉะนั้นการปฏิรูปประเทศไทยไม่ใช่ความริเริ่มของฝ่ายการเมือง แต่เป็นการสนองตอบความริเริ่มที่ดำเนินการอยู่แล้วในสังคม และก็เป็นโอกาสที่ภาคสังคมจะขับเคลื่อนการปฏิรูป

          (๔) กระบวนการปฏิรูปโดยรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง กระบวนการ ปฏิรูปไม่ผูกติดกับรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง รัฐบาลก็เป็นอนิจจังเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหตุปัจจัย รัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งอาจให้ความสนใจมากบ้างน้อยบ้าง เช่น สวรส. เกิด ในช่วงรัฐบาลอานันท์ เรื่องหลักประกันสุขภาพ นั้น นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์กับคณะ เริ่มรัฐบาลทักษิณจับไปทำและได้เครดิตไป องค์กร ส. หลายองค์กรเกิดในช่วงรัฐบาลชวน กระบวน การปฏิรูปจึงเกี่ยวกับการเมือง แต่ไม่เล่นการเมืองแบบเป็นฝักเป็นฝ่าย ตามปกติเรื่องใหม่ดีๆ ฝ่ายค้านจะสนใจมากว่ารัฐบาล เช่น คุณบรรหารเมื่อเป็นฝ่ายค้านได้นำเรื่องปฏิรูปการเมืองไปหาเสียง และเมื่อชนะการเลือกตั้งก็ทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ กระบวนการปฏิรูป เราจึงนึกถึงพรรคฝ่ายค้านด้วยเสมอ เพราะอาจกลับเป็นผู้ปฏิบัติเรื่องดีๆ ได้

          (๕) สังคมเข้มแข็งคือจุดลงตัว อำนาจรัฐก็ดี อำนาจเงินก็ดี ไม่มีทางทำให้ลงตัว แต่อาจทำให้แตกแยกมากขึ้น  ต่อเมื่อใด สังคมเข้มแข็งนั่นแหละประเทศจึงจะลงตัวได้ ควรจะส่งเสริมให้มีการรวมตัว ร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ ในทุกองค์กร และในทุกเรื่อง จนเกิดโครงสร้างสังคมทางราบเป็นประชาสังคม ความเป็นประชาสังคม จะทำให้ทุกเรื่องยากๆ ได้ อย่างขณะนี้มีเสียงเรียกร้องทั่วไปให้มีการลดความเหลี่ยมล้ำทางสังคม ซึ่งคงจะคิดถึงมาตรการปฏิรูปการใช้ที่ดิน การจัดเก็บภาษีที่ทำให้ลดความเหลื่อมล้ำ การกระจายอำนาจสู่ชุมชนท้องถิ่น การเพิ่มอำนาจให้ประชาชน เช่น การมีองค์กรทางการเงินขนาดใหญ่ที่ประชาชนเป็นเจ้าของ เป็นต้น เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องยากๆ ทั้งนั้น ถ้าปราศจากการขับเคลื่อนทางสังคมบวกกับทางวิชาการก็คงทำให้สำเร็จไม่ได้

          สังคมไทยไม่เคยเข้มแข็ง วิกฤตการณ์บ้านเมืองคราวนี้ ถ้าได้สังคมเข้มแข็งขึ้นมาสักอย่าง ประเทศไทยก็น่าจะเปลี่ยน เพราะสังคมเข้มแข็งจะเป็นพลังที่ทำให้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ 

2573
พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการ สาธารณสุข แพทย์กลายเป็นผู้ร้ายจริงหรือ?

จากการที่สมาคมผู้บริโภค เครือข่ายผู้เสียหายจากทางการแพทย์ และเครือข่ายต่างๆ ได้มีการแถลงการณ์เกี่ยวกับการยืนยันที่ว่า "ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ. ..." ที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในเดือน สิงหาคมที่จะถึงนี้ เป็นเครื่องมือที่สำคัญต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างแพทย์และคนไข้ และจะช่วยไม่ให้เกิดการฟ้องอาญาต่อแพทย์ โดยหลักการนี้มีหัวใจที่สำคัญคือ การช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายจาการรับบริการสาธารณสุขโดยที่จะไม่มีการ พิสูจน์ความผิดและผู้ที่กระทำความผิด และเป็นระบบที่มุ่ง"ชดเชยความเสียหาย" มิใช่การมุ่งหาผู้กระทำความ ผิดมาลงโทษแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้นทางแพทย์เองก็เกิดความกังวลและตระหนกต่อประเด็นนี้เป็นอย่าง ยิ่ง

ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์ได้สัมภาษณ์ นายแพทย์พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เกี่ยว กับประเด็นที่กำลังเป็นข้อโต้เถียงในปัจจุบัน

จริงๆแล้ว กฏหมายมีความน่ากลัวอย่างที่คนเขาตกใจกันหรือไม่?

ต้องถามว่าจริงๆแล้วความน่ากลัวอยู่ตรงประเด็นไหน เนื่องจากจริงๆแล้วเจตนารมณ์ในการเขียนจดหมายฉบับนี้มีความชัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากฏหมายไม่ได้ตั้งใจให้เกิดผลกระทบกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และก็มีการคาดหวังกันส่วนหนึ่งว่าการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับความสูญ เสียนั้น ส่วนหนึ่งจะส่งผลกระทบทางอ้อมให้การฟ้องร้องของแพทย์ลดลง ฉะนั้นถ้ามองจากเจตนารมณ์จริงๆก็ไม่น่ากลัว แต่ปัญหาก็คือ ความกลัวและความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นในหมู่ของผู้ประกอบวิชาชีพเกิดจากการตีความว่าผลกระทบของ กฏหมายนั้นอาจจะไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์

นั่นหมายความว่าแพทย์ก็มีความเสี่ยงที่จะการโดนลง โทษทางอาญา และอาจโดนเพิกถอนใบอนุญาต?

จริงๆแล้วกฏหมายไม่ได้เขียนอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องการฟ้องทาง คดีอาญาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างที่เสนอโดยกระทรวงสาธารณสุข เพราะฉะนั้นการฟ้องคดีอาญา เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอยู่แล้ว ที่จะฟ้องร้องในกรณีที่เกิดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรักษา และสามารถพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง การฟ้องเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีกฏหมายนี้ และสิทธินั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่มีกฏหมายฉบับนี้ แต่ประเด็นที่มีการวิตกกังวลกันก็คืออยากจะให้มีการเขียนในกฏหมายฉบับนี้ว่า ไม่ให้มีการฟ้องคดีอาญา แต่กฏหมายฉบับนี้ไม่ได้ระบุไว้ ซึ่งก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้สภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบันแย่ลง

กฏหมายนี้มีหลักการที่สำคัญ ที่นอกเหนือจากการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการใช้บริการ ทางการแพทย์ โดยไม่มีการเน้น "การพิสูจน์ถูกผิด" โดยแยกออกจากการเยียวยาอย่างชัดเจน กฏหมายแพ่งผูกสองประเด็นนี้ เข้าไว้ด้วยกัน เพราะทุกครั้ง การที่มีการเยียวยาได้ ต้องมีการพิสูจน์ได้ว่า มีผู้กระทำผิดจริง กฎหมายแพ่งจึงสามารถใช้บังคับผู้กระทำความผิดมาเยียวยาผู้เสียหายได้

โดยกฏหมายนี้ใช้หลักการที่ว่า "No False" เน้นในประเด็นไม่มีการพิสูจน์ถูกผิด เน้นการเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายเป็นประเด็นสำคัญ ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นจากประเด็นทางกฏหมายแพ่งก็น่าจะผ่อนจากหนักให้เป็น เบาได้
แต่บางคนกลับมองว่า การไม่พิสูจน์ถูกผิดกลับกลายเป็นผลเสีย เนื่องจากเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้มีการกระทำผิดหรือไม่ แต่เรากลับมองว่าจริงๆแล้วกระบวนการในการทำให้ผู้ที่มีปัญหาในการรักษา มาตรฐานในการประกอบอาชีพ มีกฏหมายประเภทอื่นๆที่รองรับอยู่แล้ว โดยที่กฏหมายนี้ไม่จำเป็นต้องไปเกี่ยวข้อง และปล่อยให้กลไกทางกฏหมายอื่นดำเนินสภาพไปตามปกติ

แต่ก็มีความกังวลว่ากฏหมายฉบับนี้จะเป็นประตู ที่เปิดไปสู่กระบวนการใช้กลไกของแพทยสภาได้ง่ายขึ้น

การฟ้องร้องหรือร้องขอให้แพทยสภามีการสอบสวนความประพฤติของ แพทย์ มีการดำเนินการอยู่แล้ว เรื่องนี้จึงไม่ได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด จากเดิมที่อาจจะเคยร้องเรียนหน่วยงานต้นสังกัด หรือร้องเรียนต่อศาล ซึ่งแพทยสภาสามารถหยิบมาเป็นกรณีในการสอบสวนการกระทำผิดของแพทย์สภาพการณ์ ของเรื่องนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม เพียงแต่ว่าต่อไป ผู้เสียหายอาจจะไม่ไปฟ้องร้องต่อหนังสือพิมพ์หรือศาล แต่มาร้องเรียนที่สำนักงานกองทุนที่ตั้งขึ้นมาใหม่โดยตรงเพื่อโน้มน้าวให้คน เข้ามาใช้กลไกนี้แทนการฟ้องร้องผ่านศาล

โดยโครงสร้างที่ว่า นี้ จะทำให้มีคณะกรรมการเกิดขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง หลายคนได้วิจารณ์ว่าคนที่อยู่ในคณะกรรมการกลุ่มดังกล่าว มีความครอบคลุมตัวแทนทุกฝ่ายเพียงพอหรือไม่

ภายใต้โครงสร้างของกฏหมายฉบับนี้ จะมีกรรมการในระบบนโยบายชุดหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ในการกำหนดกรอบนโยบายในการบริหาร รายละเอียดบางเรื่องที่ไม่ได้เขียนชัดเจนไว้ในกฏหมายก็จะต้องให้กรรมการเป็น ผู้กำหนด ซึ่งรวมถึงอัตราการชดเชยความเสียหายต่างๆ การดูแลในระบบปฏิบัติการนั้นเป็นหน้าที่ของสำนักงานซึ่งจะดำเนินการตามนโบาย ที่คณะกรรมการกำหนด ส่วนการดำเนินการพิจารณาในรายกรณี ก็จะเป็นหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ โดย

-พิจารณาว่าเข้าข่ายที่จะใช้กฏหมายนี้หรือไม่

-ความเสียหายนั้นมีมูลค่าของการชดเชยตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด เป็นอย่างไร

เมื่อดูจากคณะกรรมการชุดใหญ่ ก็จะประกอบด้วยคนที่เกี่ยวข้องที่สามารถให้มุมมองในเชิงนโยบายได้ ซึ่งประกอบด้วย สถานพยาบาล หน่วยราชการ ผู้เสียหาย ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งพิจารณาแล้วก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรในเชิงองค์ประกอบ แต่ข้อถกเถียงส่วนใหญ่ก็คือ การอยากให้มีผู้แทนของผู้ประกอบวิชาชีพและสถานพยาบาลมากขึ้น เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความรู้ในด้านนี้ดีที่สุด

เนื่องจากกฏหมายฉบับนี้ไม่เน้นพิสูจน์ถูกผิด จึงอาจไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญทางการแพทย์เฉพาะด้านมากเท่า ที่ควร แค่สามารถระบุได้ว่าความผิดพลาดนั้นเกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล และไม่เข้าข่ายการยกเว้นในการที่จะจ่ายเงินช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวก็จะยังคงมีบุคลากรทางการแพทย์อยู่ เพียงแต่ไม่ได้เป็นเสียงส่วนใหญ่เท่านั้นเอง โดยมีหน้าที่ในการพิจารณาจำนวนเงินเพื่อชดเชยความเสียหาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับทางการแพทย์น้อยมาก แต่มีความต้องการผู้เชี่ยวชาญทางด้านสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องมากกว่า

ส่วนการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าจะมีการใช้เสียง ข้างมากหรือไม่ น่าจะเป็นการตีความที่เกินกว่าสิ่งที่กฏหมายต้องการอยากจะให้เป็น โดยผู้ที่คัดค้านมีความเห็นว่ากรรมการอาจจะใช้เสียงข้างมากในการพิจารณาหรือ ไม่ ซึ่งเป็นการตีความหลักการเขียนกฏหมายมาตรฐานทั่วไปในเรื่องของกรรมการไปเป็น รูปธรรม ว่านี่คือสิ่งที่จะใช้เสียงข้างมากเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจ ซึ่งดูเป็นความวิตกที่เข้าใจได้ และน่าเห็นใจอย่างยิ่ง

ในกรณีที่มีความเสียหายเล็กๆน้อยๆ ซึ่งมิได้เกิดจากผลการรักษา หรือเกิดจากความเจ็บป่วยของผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาได้ นั้นคงไม่สามารถทำได้ในทุกกรณี แต่ในกรณีขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ นั้นยังคงมีความจำเป็นอยู่

เข้าใจว่าร่าง กฏหมายนี้ประกอบด้วยร่างของผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้เสียหายและร่างที่เป็นส่วนกลางของรัฐบาล ใช่หรือไม่

ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เท่าที่ทราบมีทั้งหมด 7 ร่าง ซึ่งได้แก่

-ร่างพระราชบัญญัติของกระทรวงสาธารณสุข

-ร่างพระราชบัญญัติของคุณสารี อ๋องสมหวัง กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 10,631 คน

ส่วนที่เหลืออีก 5 ร่างพ.ร.บ. นั้นเป็นร่างของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) โดยมีชื่อของส.ส. ที่ยื่นเสนอ ในนามของตนเองคนละร่าง

สิ่งที่จะต้องจับตา ดูก็คือการแปรญัตติในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งอาจจะทำให้เจตนารมย์ที่กล่าวมาเบื้องต้นมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

ถ้าเราสามารถใช้ข้อมูล หลักการและเหตุผลโดยตัดความรู้สึกอคติของทั้งสองฝ่ายบางส่วนออก ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก ซึ่งในบางครั้งในเวลาที่สังคมต้องการการปฏิรูปไปสู่ความสมานฉันท์ ความเป็นเอกภาพ ภราดรภาพ ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องทำความเข้าใจกันมากขึ้น เนื่องจากหลายครั้งเป็นลักษณะของการตั้งแง่กันว่า ทำไมอีกฝ่ายจึงไม่เข้าใจฝ่ายตนเอง

กลุ่มเครือข่ายแพทย์ ผู้ประกอบวิชาชีพ กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.นี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับผู้รักษาพยาบาลห่างออกไปยิ่งขึ้น และแพทย์ โรงพยาบาล ป้องกันความเสี่ยงของตนเอง โดยการบวกค่าความเสี่ยงทั้งหมดลงในค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเป็นผลเสียทั้งสองด้าน และเป็นสิ่งที่ควรจะพูดถึงเพื่อให้สังคมเข้าใจว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ไม่

อันดับแรก เราต้องไม่ให้วัฒนธรรมการ ฟ้องร้องกลายเป็นวัฒธรรมหลักของคนในระบบสุขภาพในประเทศไทย เนื่องจากเป็นที่ปรากฏแน่นอนแล้วว่าประเทศที่มีวัฒนธรรมเช่นนี้ย่อมมีค่าใช้ จ่ายสูงตามไปด้วย โดยทุกคนจะทำเวช ปฏิบัติเชิงป้องกัน (Defensive Medicine) ทุกครั้งที่มีความ กังวลต่อผลการรักษา ซึ่งภาระจะตกอยู่กับตัวผู้ป่วยเองทั้งสิ้น

ทั้งนี้เราจะสามารถป้องกันวัฒนธรรมการฟ้อง ร้องได้โดยเราต้องสร้างระบบที่ต่างฝ่ายต่างมีความไว้วางใจซึ่งกันและกันมาก ขึ้น ผู้ป่วยที่มีประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อผู้ประกอบวิชาชีพบางคน ก็ต้องเข้าใจว่าผู้ที่ประกอบวิชาชีพส่วนใหญ่ก็ยังประกอบวิชาชีพตามมาตรฐาน ที่ควรจะเป็น โดยมีความรับผิดชอบอยู่ในระดับที่สามารถยอมรับได้ เพราะฉะนั้น ประสบการณ์ส่วนบุคคลบางครั้งก็ไม่ควรไปเหมารวม ให้เกียรติและพูดคุยกันอย่างเข้าใจว่าทุกวงการก็มีบุคคลที่มีปัญหาอยู่ ในส่วนของผู้ประกอบวิชาชีพก็ควรจะมีความเข้าใจว่าไม่ใช่ผู้ป่วยทุกคนที่ต้อง การฟ้องร้องดำเนินคดีกับแพทย์ เนื่องจากพบว่ามีผู้ป่วยจำนวนมากมีความเคารพศรัทธาต่อแพทย์เช่นกัน และเราต้องทำความเข้าใจว่าในสังคมส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น อย่าด่วนสรุปว่าใครที่จะมาสร้างความเดือดร้อนให้กับตนเอง

เมื่อแต่ละฝ่ายมีความไว้วางใจกัน ความหวาดระแวง การตั้งป้อมตรวจสอบแต่ละฝ่ายก็จะลดลงด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การพูดคุยเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหา แทนที่จะผลักความผิดไปที่ใครบางคน ซึ่งหลายครั้งก็พบว่าในความเสียหายต่างๆก็ไม่มีผู้ที่ทำความผิดจริงๆ เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ แม้ว่าจะได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดก็ตาม

สถิติของการฟ้องร้องของผู้เสียหายจากการรับบริการทางสาธารณสุข มีสถิติย้อนหลังมากน้อยเพียงใด

คดีที่มาสู่แพทยสภานั้น ในช่วงก่อนปี 2540 เฉลี่ยแล้วประมาณ 50-60 รายต่อปี แต่หลังจากช่วงปี 2540 เศษที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เฉลี่ย 200 รายต่อปี ซึ่งคิดเป็นประมาณ 4 เท่า ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้แพทย์เกิดความหวาดกลัว เนื่องจากเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นมากในระยะเวลาสั้นๆ

หากร่างพ.ร.บ. นี้ จำนวนเรื่องที่ไปสู่แพทยสภาก็น่าจะลดลงหรือไม่

การฟ้องแพทยสภา เป็นการฟ้องเพื่อให้มีการดำเนินการเอาผิดกับแพทย์ในเชิงของมาตรฐานในการ ประกอบวิชาชีพ ส่วนการฟ้องศาลเพื่อต้องการเรียกร้องเงินชดเชย หรือกรณีอาญาก็เพื่อลงโทษแพทย์ที่ทำผิดในเชิงละเมิดต่างกรณีไป กองทุนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ เน้นในเรื่องของการลดการฟ้องร้องทางแพ่ง ความเดือดร้อนที่ได้รับการชดเชย ก็ จะลดอารมณ์คุกรุ่นที่อาจต้องการดำเนินการทางกฏหมายลงได้ ผู้ที่ได้รับความเสียหายก็จะมีการตอบสนองที่รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความ เป็นธรรม ถ้าระบบได้สร้างความรู้สึกที่ว่าระบบมีความเป็นธรรม และแก้ไขปัญหา การดำเนินการต่อเนื่องก็น่าจะลดลงด้วย

โดยสมมุติฐานนี้มีหลัก ฐานยืนยันของกรณีการดำเนินการตามมาตรา 41 โดยพบว่าผู้ฟ้องร้องจำนวนหนึ่งเปลี่ยนใจไม่ฟ้องร้อง เพราะได้เงินชดเชยตามมาตรา 41 ซึ่งเกิดจากความสนใจ และเอาใจใส่ของผู้ให้บริการในความพยายามที่จะให้ผู้ป่วยได้รับเงินชดเชย ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองได้รับความเป็นธรรมและการเหลียวแลจากเจ้า หน้าที่รัฐ

ในหลายเวทีของเครือข่ายผู้ป่วย ผู้ที่มักจะตกเป็นจำเลยอยู่เสมอก็คือแพทยสภา ที่ว่าทำงานล่าช้า และปกป้องพวกพ้อง

นี่คือปัญหาที่สะท้อนเรื่องความไม่ไว้วางใจของประชาชน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่จำเป็นต้องมีการทำการศึกษาต่อไป เรื่องความล่าช้า ในกรณีของศาล เราจะพบว่ามีความล่าช้าค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่มีการตั้งคำถามต่อความไม่เป็นกลางหรือไม่เป็นกลาง แต่เนื่องจากสถาบันศาลค่อนข้างมีความน่าเชื่อถือ และมีทุนทางสังคมที่ค่อนข้างสูงมาก จนคนทั่วไปไม่มีการตั้งคำถาม แต่เราจะทำอย่างไรให้แพทยสภา ที่มีเจตจำนงในการที่มีกลไกเช่นนี้ออกมาเพื่อรักษามาตรฐานในการประกอบ วิชาชีพ สามารถทำให้คนเกิดความรู้สึกศรัทธาด้วย เช่นเดียวกับ กลไกความยุติธรรม ความศรัทธาเกิดจากการมองปัญหาที่ดำรงอยู่และจุดที่ทำให้คนรู้สึกเช่นนี้ เกิดจากอะไร ข้อเท็จจริงคือคนเริ่มศรัทธาน้อยลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนไม่ศรัทธา เราโทษคนไม่ศรัทธาไม่ได้ เราต้องมาพิจารณาว่าเกิดจากประเด็นใดกันแน่

ในกรณีที่มีการจ่าย ค่าเสียหาย ระหว่างคนรวย และคนจน มีหลักการในการจ่ายอย่างไร

ในระหว่างการร่างกฏหมายจะมีอยู่สองแนวคิด คือแนวคิดตามหลักกฎหมายแพ่ง คือการคำนึงถึง "ฐานานุรูป" คือ ซึ่งเมื่อเวลาที่เราพูดถึงคนที่ได้รับความเสียหายจน ไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ เขาประกอบอาชีพอะไร สามารถหารายได้ได้เท่าไหร่ และชดเชยไปตามจริง ซึ่งในกรณีนี้วงเงินจะแตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับผู้ได้รับความเสียหายเป็น อย่างไร ซึ่งในการยกร่างก็มีความต้องการให้มีการชดเชยอย่างเหมาะสม เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น โดยมองว่าน่ามีการเสนอด้วยอัตราเดียวโดยไม่คำนึงถึงฐานานุรูป ซึ่งไม่ว่าคนจะมีฐานะร่ำรวยอย่างไรก็จะได้อัตราเดียวกับผู้ที่มีฐานะด้อย กว่า แต่หลักการนี้ไม่ได้มีการเขียนมาตราไว้ในกฏหมายชัดเจนให้อยู่ในอำนาจของคณะ กรรมการ เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการว่าจะมีการตัดสินอย่างไร

คุณหมอมีความคาด หวังเพียงใดว่ากฎหมายตัวนี้จะผ่านความเห็นชอบจากสภาได้ทันเวลาหรือไม่

เนื่องจากนี่เป็นขั้นตอนทางรัฐสภา และเป็นกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงิน ดังนั้นจึงจะมีการพิจารณาที่ลึกลงในรายละเอียด และมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายกลุ่ม การถกเถียงในประเด็นนี้อาจต้องใช้เวลานานกว่าปกติ  เนื่องจากเป็นกฏหมายที่คนมีความคิดเห็นแตกต่างกันมาก และสังคมต้องจัดการความแตกต่างนี้เพื่อนำไปสู่ข้อยุติให้ได้

ส่วนข้อกล่าวหาที่ ว่า มีการหาเสียงกันในแพทยสภา จริงหรือไม่

มันน่าจะเป็นการพูดโดยที่ไม่มีข้อมูลหลักฐาน ใดๆ เป็นการคาดการณ์กันไปที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ทำไมเราไม่มาพูดกันในเนื้อจริงๆ ต่างคนต่างไปพูดเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับกฏหมาย การไม่พูดในทำนองนี้น่าจะทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีได้

ทางกระทรวงสาธารณ สุขพยายามที่จะเปิดเวทีเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมาพูดกันเกี่ยวกับกฏหมายฉบับนี้ พร้อมกันหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่าก็ยังไม่มีการเปิดใจที่เพียงพอ

การมีเวที เป็นเครื่องมือหนึ่งในการที่ใช้ทำความเข้าใจและจัดการกับความเห็นที่แตกต่าง แต่คนที่มา มาด้วยความยึดมั่นถือมั่นและความพยายามที่จะเข้าใจอีกฝ่ายมีไม่มากพอ ประกอบกับความวิตกที่เกิดจากการมองเรื่องเหล่านั้นที่แตกต่างกันไป เวทีก็จะกลายเป็นเวทีขัดแย้ง ไม่ใช่เวทีเพื่อสมานฉันท์ เห็นได้จาก หลายเวทีที่หลายฝ่ายมีความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งก็ไม่มีความสุขเท่าไหร่ที่เห็นการเผชิญหน้าเช่นนั้น ยังอยากจะเห็นความถ้อยทีถ้อยอาศัย และคุยกันเพื่อหาทางออกให้กับการแก้ปัญหานี้ในระยะยาว อาจจะเป็นกลไกอื่นที่ช่วยลดการเผชิญหน้าที่ไม่ให้ทั้งแพทย์และคนไข้ ซึ่งต่างฝ่ายต่างจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกัน และอยู่กันแบบลงตัว ต่างฝ่ายต่างได้รับการให้ความสำคัญและดูแลกันได้ตามสมควร

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 19:35:14 น.  มติชนออนไลน์

2574
แด่...ความรู้สึกเลวๆที่มาเยือนในเรือนใจ
ขอไว้อาลัย แด่... กระทรวงสาธารณสุขที่เคยอบอุ่น (แต่วันนี้มันร้อน ด้วยความห่วยของผู้บริหาร และนักการเมือง ความชั่วของเอ็นจีโอกับผู้เลี้ยงดูเอ็นจีโออาวุโส)
ขอไว้อาลัยแด่... วิชาชีพที่กำลังล่มสลาย

ปัญหาของระบบสุขภาพและการสาธารณสุขไทย มันเริ่มจาก การบริหารและแย่งอำนาจในกระทรวงของคนห่วยๆบางกลุ่ม

บางกลุ่มสุมหัวกันในความคิดในการเขยื้อนภูเขาของคนบางคน รู้ครับ ว่ามีฤทธิ์เดชพอที่จะเขยื้อนภูเขาได้

แต่ก็รู้ว่า ท่านไม่รู้ว่าการเขยื้อนภูเขานั้นก่อความเดือดร้อนเป็นผลกระทบในวงกว้างอย่างไร

คือท่านจะเขยื้อนภูเขาหาสวรรค์อะไรไม่ทราบ เพียงแค่อยากพิสูจน์ทฤษฎีของตัวเองให้คนเดือดร้อนไปทั่ว

ทางหนึ่งแสดงตนเป็นคนทรงภูมิปัญญา แสดงตนสมถะ อยากเลียนแบบมหาตมะคานธี เป็นราษฎรไม่ใช่รัฐบุรุษ

ทางหนึ่งเลี้ยงเอ็นจีโอ ทางหนึ่งออกกฎหมายแล้วต้องมีกองทุนก้อนใหญ่มหาศาล

ทางหนึ่งต้องเข้าไปบริหารกองทุน ทางหนึ่งเคลื่อนไหวในสังคมด้วยเอ็นจีโอที่เลี้ยงไว้

ทางหนึ่งหลอกนักการเมืองหน้าโง่ ให้เข้าใจว่าเอ็นจีโอที่เลี้ยงไว้นั้นล้มรัฐบาลได้
........

วันนี้ เห็นการทำงานของรัฐมนตรีประชาธิปัตย์แล้ว ผิดหวัง เสียใจ

มองประเทศไทยแล้ว มองไม่เห็นว่าจะฝากอนาคตไว้กับนักการเมืองคนไหน?

มันจะเสนอกฎหมาย มันอ่านแค่ใบปะหน้า ไม่อ่านเนื้อความ

นี่มันออกสิ่งที่เรียกว่ากฎหมายหรือ? 

หรือว่าไอ้ที่มันจะออกนั้นเป็นกติการการใช้ส้วมบ้านมัน? โธ่ ...!!...ไอ้จุลินทรีย์
.......
โรงพยาบาลทั่วประเทศ จัดสัมมนาหลายแห่ง ล้วนแล้วมีแต่ความรู้สึกที่เลวต่อร่างกฎหมายทั้ง๖ฉบับ

ความรู้สึกของแพทย์ พยาบาล บุคคลากรทางการแพทย์ ในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ไป

มีความรู้สึกเลว ต่อการกระทำที่จะทำให้กฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้น

เช่นเดียวกับ

ความรู้สึกเลวต่อผู้กระทำให้กฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้น

ความรู้สึกเลว เกิดขึ้น เนื่องจาก

การประกอบอาชีพสุจริต ซื่อสัตย์ต่อหน้่าที่

ยังต้องมาอดทนต่อความเจ็บใจที่วิชาชีพและเพื่อนร่วมวิชาชีพทั้งหมดถูกกระทำ โดยคนบางกลุ่มและผู้หวังประโยชน์

หามีนักการเมืองคนใดที่จะยืนหยัดในความถูกต้องไม่ 

ล้วนแล้วแต่หาสมองที่ดี จิตใจที่ประเสริฐ ในการบริหารบ้านเมือง ไม่ได้

ล้วนแล้วจะหาสมองที่ดี จิตใจที่ประเสริฐ ในการเป็นผู้รับผิดชอบบ้านเมือง ให้ดี ไม่ได้

ล้วนแล้วจะหาสมองที่ดี จิตใจที่ประเสริฐ ในการเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ดี รู้จักผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ ของผู้บริหารกระทรวงที่ดี ไม่ได้

นักการเมืองน่ะหรือ หากกฎหมายเลวๆอีกหลายฉบับที่ออกมาแล้วและที่กำลังเดินหน้าออกมากันนั้น ยังเดินหน้าต่อ ไม่มีการแก้ไข 

วิกฤตในอนาคตคือ

ความล่มสลายของระบบคุณธรรมในวิชาชีพ 

ชีวิตประชาชนจะถูกทอดทิ้ง

เพราะหากหมอทั้งหลาย รู้สึกว่าการช่วยชีวิตคนนั้น

นอกจากจะเป็นความเหน็ดเหนื่อย แล้ว

ยังเป็นการที่หมอคิดว่า   

การช่วยชีวิตคนเป็นการเสี่ยงต่อการติดโรคจากคนป่วย แล้ว

ยังจะต้องมาเสี่ยงชีวิตกับการถูกเล่นงานทางกฎหมายอีกมากมาย

ประชาชนจะเสี่ยงเพียงใด

รัฐบาลอยากจะให้มีปรากฏการณ์เช่นนี้ หรือไม่?  เลือกเอา

ขอบอกว่า กฎหมายเลวๆมาจากคนเลวๆ 

กฎหมายชั่วๆ มาจากคนชั่วๆ

ผลกระทบของกฎหมาย หากออกมาชั่ว ออกมาเลว จะนำไปสู่การลุกขึ้นสู้
ขอบอกว่า มีคนไม่น้อย  ที่จะไม่ยอมสยบต่อความไม่เป็นธรรม โดยไม่สู้
วิชาชีพทั้งประเทศ จะลุกขึ้นสู้ สู้กับกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม

พรรคการเมืองใดอยากเอาใจพวกเอ็นจีโอ หาประโยชน์ใส่ตัว และยอมเป็นศัตรูกับวิชาชีพทั้งหมด   ...............ก็เลือกเอา
วันนี้ ขอบอกว่า สิ้นศรัทธา พรรคที่สอง ต่อจากไทยรักไทย คือ ประชาธิปัตย์  ประชาชนต้องมาก่อน ประชาธิปัตย์ มาทีหลัง 
ประชาชนบังหน้า ประชาธิปัตย์อยู่ข้างหลัง  เคยคิดเคยทำอะไรที่ยืนกรานในความถูกต้องบ้าง นอกจากการโหนกระแสสังคม
แล้วจะให้เชื่อหรือว่า พรรคคุณประชาชนพึ่งได้????
ศัตรูของวิชาชีพทั้งประเทศ



2575
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / Just a Joke#1---about the condom
« เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2010, 14:47:27 »
A man walks into a drug store with his 8-year-old son. They happen to walk by the condom display,

and the boy asks, "What are these, Dad?"
The man matter-of-factly replies, "Those are called condoms, son. Men use them to have safe sex."

"Oh I see," replied the boys pensively. "Yes, I've heard of that in health class at school."
He looks over the display and picks up a package of three and asks, "Why are there three in this package."
The dad replies, "Those are for high-school boys. One for Friday, one for Saturday, and one for Sunday."

"Cool!" says the boy. He notices a pack of six and asks "Then who are these for?"
"Those are for college men," the dad answers, "Two for Friday, two for Saturday, and two for Sunday."

"WOW!" exclaimed the boy. "Then who uses these?" he asks, picking up a 12-pack.
With a sigh, the dad replied, "Those are for married men. One for January, one for February, one for March and one for...."

2576
ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขพ.ศ. ....

มีร่างพ.ร.บ.นี้อยู่ 6 ร่างเรียงตามลำดับที่เสนอคือ

1.นายเจริญ จรรย์โกมล และสส.พรรคพลังประชาชน  24 เม.ย. 2551

2.นายประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ และสส.พรรคพลังประชาชน 2 ต.ค. 2551

3.นายสุทัศน์ เงินหมื่น และสส.พรรคประชาธิปัตย์  2 พ.ย. 2552

4.นางอุดมลักษณ์ เพ็งนรพัฒน์ และสส.พรรคภูมิใจไทย 19 พย. 2552

5.นส.สารี อ๋องสมหวัง และประชาชนอีก 10,007 คน 5 มิย. 2552

6.ครม.โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 27 เมย. 2553

พ.ร.บ.ทั้งหลายเหล่านี้ รอเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนฯในวาระสมัยเปิดประชุมที่จะถึงนี้

สรุปสาระของฉบับที่ 1 ของนายเจริญและคณะ ดังนี้
คำจำกัดความ ความเสียหายต่อจิตใจ ได้แก่ความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน ความหวาดกลัว ความวิตกกังวล ความเศร้าโศกเสียใจ ความอับอาย หรือความเสียหายต่อจิตใจอย่างอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน

เงินช่วยเหลือเบื้องต้น เงินจากกองทุน เพื่อใช้จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดการศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นให้แก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข

หมวด 1

ม.5 ผู้เสียหายมีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นและเงินชดเชยจากกองทุน โดยไม่ต้องพิสูจน์ว่าความเสียหายนั้นเกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของผู้ให้บริการหรือไม่

ม. 6  บทบัญญัติในม. 5 ไม่ให้ใช้บังคับในกรณีต่อไปนี้

(1) ความเสียหาย ที่เกิดจาการดำเนินไปตามพยาธิสภาพของโรค ตามปกติธรรมดาของโรคนั้น

(2) ความสึยหายที่เมื่อสิ้นสุดกระบวนการรักษาแล้ว ไม่มีผลต่อการดำเนินชีวิตตามปกติ

ม.7 เงินชดเชยตามม. 5 หมายถึง

(1) คาใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล รวมทั้งค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ

(2)ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้

(3)ค่าชดเชยในกรณีพิการหรือทุพพลภาพ

(4)ค่าชดเชยความเสียหาย.ทางจิตใจ

(5) ค่าชดเชยในกรณีถึงแก่ความตาย

(6)ค่าชดเชยการขาดไร้การอุปการะ กรณีถึงแก่ความตายและมีทายาทที่จะต้องเลี้ยงดู

(7) ค่าชดเชยเพื่อความเสียหายอย่างอื่น อันมิใช่ตัวเงิน

หมวด 2 ว่าด้วยคณะกรรมการ

ม.8 คณะกรรมการ รมว.สธ.เป็นประธาน กรรมการประกอบด้วยปลัดสธ. ปลัด พม. ผอ.สนงปม. เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมและนายกสภาทนายความ ผู้แทนสถานพยาบาล 3 คน NGO ด้านคุ้มครองผู้บริโภค 3 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 6 คน ที่รมว.แต่งตั้งจาก ผชช.นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ สื่อสารมวลชน การแพทย์และสาธารณสุขและด้านสิทธิมนุษยชน

หมายเหตุ กรรมการ 18 คน มีผู้ทรงคุณวุฒิจากแพทย์ 1 คน และจากสถานพยาบาล(อาจไม่ใช่แพทย์)อีก 3 คนเท่านั้น

ม. 12 การประชุมให้ถือเสียงข้างมาก

ม.13 คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งอนุกรรมการ

(1) อนุฯพิจารณาคำร้องขอรับเงินชดเชยจำนวน 5-7 คน จากผู้ทรงฯสาขา นิติ,การแพทยืและสาธารณสุข,สังคมศาสตร์ จำนวน 3 คนผู้แทนสถานพยาบาล และผู้แทนผู้รับฝ่ายละเท่าๆกัน

(2) อนุฯประเมินค่าชดเชยความเสียหาย 5-7 คน ผ็ทรงฯสาขาการเงินการคลัง สังคมศาสตร์ การแพทย์และสา,สุข ฌฯ ด้านสิทธิผู้บริโภค

ม.14 คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ รมว.แต่งตั้งไม่เกิน 9 คน ประธาน 1 คนและกรรมการอื่น มาจากผู้ทรงฯนิติ,การแพทย์และสาสุข เศรษฐศาตร์ สังคมศาสตร์   และคุ้มครองผู้บริโภค ผู้แทนสถานพยาบาลและผู้แทนผู้รับบริการ

ม. 18 กรรมการทุกชุดเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

หมวด 3 ว่าด้วยสำนักงาน

ม.28 กรรมการเลือกกรรมการสรรหาผู้ที่จะมาเป็นเลขาธิการ

หมวด 4 ว่าด้วยกองทุน

ม.33 จัดตั้งกองทุน

ม. 34 กองทุนมีแหล่งที่มาของเงินดังนี้

(1) งปม.รายจ่ายประจำปีของภาครัฐ

(2)เงินที่สถานพยาบาลจ่ายสมทบตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด


หมวด 5

การยื่นคำร้อง การพิจารณาคำร้องและการอุทธรณ์

ม. 38 อายุความนับจากเมื่อรู้ว่าเกิดความเสียหาย ไปถึง 3 ปี

ม. 39 เมื่อคณะกรรมการได้รับคำร้อง ต้องจ่ายเงินช่วยเหลือใน 30 วัน ต่อเวลาได้อีก 30 วัน และถ้าไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่าความเสียหายไม่ได้เกิดจากบริการสาธารณสุข ให้จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น

ม.40 เมื่อจ่ายค่าช่วยเหลือแล้วให้คณะอนุฯพิจารณาคำร้องขอรับเงินชดเชยส่งเรื่องให้คณะกรรมการประเมินค่าชดเชยภายใน 7 วัน หลังจากที่วินิจฉัยว่าจะจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น คณะกรรมการประเมินต้องพิจารณาให้เสร็จใน 60 วัน ถ้าไม่เสณ็จให้ขยายไปอีก 30 วันไม่เกิน 2 ครั้ง

ม. 41 ผู้ร้องขอมีสิทธิอุทธรณ์ภายใน 30 วัน

และส่งให้คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ใน 7 วัน

คณะก.อุทธรณ์ต้องพิจารณาให้เสร็จใน 30 วันทขยายได้ไม่เกิน 30 วัน

ม.42  ถ้าฟ้องศาลด้วย ให้รอจนคดีที่ศาลจะสิ้นสุด

ม.43 ถ้าผู้ร้องได้รับเงินชดเชยแล้ว ไปฟ้องศาลและตัดสินให้ได้สินไหมทดแทน ให้ถือว่าเงินชดเชยเป็นส่วนหนึ่งของสินไหมทดแทน

หมวด 6 การพัฒนาระบบความปลอดภัยและป้องกันความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข

หมายเหตุ 1.โรงพยาบาล คลินิก ร้านขายยา ต้องจ่ายเงินสมทบ

               2. ประชาชนได้ค่าช่วยเหลือเบื้องต้น ค่าชดเชยความเสียหาย อุทธรณ์คำตัดสินของคณะกรรมการได้ ฟ้องศาลได้

                3.ผู้ประกอบวิชาชีพและสถานพยาบาลต้องจ่ายเงินก่อนเกิดเหตุการณ์ และมีสิทธิถูกร้องเรียน กล่าวหา ฟ้องร้อง และคอยแก้ข้อกล่าวหาเท่านั้น

                4.ถ้าผู้ประกอบวิชาชีพและหรือสถานพยาบาล ไม่ทำตามคำสั่งคณะกรรมการหรืออนุกรรมการ มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และปรับวันละ 1,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน

 

ฉบับที่ 2 เสนอโดย นายประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะและสส.พรรคพลังประชาชน 2 ตค. 51
ม. 6 เพิ่ม(2) ความเสียหายซึ่งหลีกเลี่ยงมิได้จากการให้บริการสาธารณสุขตามมาตรฐานวิชาชีพ

หมวด 2 คณะกรรมการ

ม. 8 คณะกรรมการมาจากรมว.สธ.ปลัดสธ. ผอ.สน.งปม. อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ อัยการสูงสุด นายกแพทยสภา นายกสภาทนายความ ผู้แทนสถานพยาบาล 3 คน NGO ด้านสธ. 3 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 6 คนจากนิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์  สังคมศาสตร์  สื่อสารมวลชน  การแพทย์และสธ. สิทธิมนุษยชน

 หมายเหตุ กรรมการ 19 คน มีแพทย์ 1 คน จากแพทยสภา และ(อาจมีอีก) 3 คนจากสถานพยาบาล

ม.12 เหมือนกัน-41

ม.42 ถ้าไปฟ้องศาลให้ยุติการพิจารณาขอค่าเสียหายและไม่ให้กลับมาขออีก

ม.43 เมื่อผู้เสียหายยอมับเงินแล้ว ให้ทำหนังสือประนอมยอมความภายใน 15 วันหลังจากคณะกรรมการมีมติให้การเยียวยา ถ้าไม่ทำก็หมดสิทธิการรับเงิน

ม.44 ความผิดฐานประมาทตามม. 291 และ300 เป็นความผิดอันยอมความได้

ไม่ให้ผู้เสียหายนำคดีไปสู่ศาลเอง แต่แจ้งเจ้าพนักงานดำเนินการได้

ฉบับที่ 3 นายสุทัศน์ เงินหมื่นและสส.ประชาธิปัตย์

ม. 6 เหมือน ฉ.2

ม.8 กรรมการมีรมว.สธ. ปลัดสธ.ปลัดพม. ผอสนงปม. เลขาธิการศาลยุติธรรม เลขาธิการแพทยสภา ผู้แทนสถานพยาบาล 3 คน NGO  3 คนและผู้ทรงคุณวุฒิอีก 6 คน มาจากแพทย์ 1คนอื่นๆเหมือนกัน

หมายเหตุ กรรมการ 18 คน มีแพทย์ 2 คน และอาจเป็นแพทย์อีก 3 คน

ม.42 เมือนฉ. 2

ม.44 คุ้มครองไม่ให้ฟ้องคดีอาญา เว้นแต่ทำผิดโดยเจตนา

ฉบับที่4 นางอุดมลักษณ์ เพ็งนรพัฒน์ พรรคภูมิใจไทย

ม. 6 เหมือนฉบับที่1

ม. 7 คณะกรรมการ รมว.สธ.ปลัดสธ.ปลัดคลัง ปลัดพม. อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิแลละเสรีภาพ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และผอ.สนง. ผู้แทนแพทยสภา สภาพยาบาล เภสัชกรรม สมาคมแพทย์คลินิกไทย สมาคมรพ.เอกชน สนง.อัยการสูงสุด    สภาทนายความ

อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพเป็นกรรมการและเลขานุการ

NGO ด้านสาสุข 6 คน ผู้ทรงฯอีก 5 คน

ม. 11 การประชุม

ม.12 ตั้งอนุ 2 คณะ

(1) อนุพ.ให้เงินช่วยเหลือเบื้องต้น 5 คน การแพทย์และสธ.1 คน ผู้แทนสถานพยาบาล และผู้รับบริการอย่างละ 1 คน

(2) อนุประเมินเงินชดเชย 5 คน มีด้านการแพทย์และสาสุข 1 คน

ม. 13 คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ซึ่งรมว.แต่งตั้ง

ถ้าไม่ยอมรับเงินและประชาชนไปฟ้องศาล ให้ยุติการดำเนินการ

ม. 41 ถ้าไกล่เกลี่ย ห้ามเอาข้อมูลไปดำเนินการในศาล

ม.45 อาจนำไปฟ้องอาญาได้

ฉบับที่ 5 นส.สารี อ๋องสมหวัง
สาระสำคัญคล้ายกับฉบับอื่นๆ ตั้งสำนักงานขึ้นใหม่ ไม่ตัดสิทธิการฟ้องศาล

ฉบับที่ 6 ของค.ร.ม. เสนอโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ฉบับที่ผ่านครม.แล้วเป็นร่างของรัฐบาล
สาระสำคัญคล้ายกัน

ให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเป็นผู้ดูแลกองทุน

ถ้าประชาชนไม่ยินยอมรับเงินชดเชยและไปยื่นฟ้องศาล และเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วศาลยกฟ้องโดยบุคลากรหรือสถานพยาบาลไม่ต้องรับผิด คณะกรรมการอาจพิจารณาให้เงินช่วยเหลือประชาชนอีกก็ได้

มีคณะกรรมการไกล่เกลี่ย

และไม่จำกัดสิทธิในการฟ้องคดีอาญา

ถ้าใครไมปฏิบัติตามคำสั่งคณะกรรมการมีทั้งโทษปรับและจำคุก


หน้า: 1 ... 170 171 [172]