แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - science

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 13
61
 ข่าวดีสำหรับคนที่คิดว่าตัวเอง 'เตี้ย' หรือใครที่ต้องการเพิ่มความสูง หากคุณคิดว่าวันนี้สูงไม่ทันแล้ว Life on campus ขอบอกว่ายังไม่สายจนเกินไป เรามีวิธีเอาชนะความเตี้ยมาฝาก เพราะการมีบุคลิกที่ดีอาจทำให้คุณได้รับโอกาสต่างๆ ในสังคมมากมาย สำหรับน้องๆ ที่ยังอยู่ในวัยเจริญเติบโต (สำหรับผู้ที่อายุไม่เกิน 25 ปี) ก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่จะทำให้คุณสูงขึ้น หรือผู้ที่อยู่ในวัยที่หยุดการเจริญเติบโตแล้ว เราก็มีเคล็ดลับดีๆ ที่เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัยที่อยากจะเพิ่มความสูงมาฝาก
       
       วิธีทำให้สูงสำหรับทุกวัย 1 นาที สูงเพิ่มขึ้น 1 เซ็นติเมตร เทคนิคจากแพทย์โรคกระดูกญี่ปุ่น
       
       ***เคล็ดลับความสูง จะเห็นผลได้จริง ต้องทำทุกวันติดต่อกัน***
       
       1. นั่งคุกเข่า


       2. โน้มตัวไปด้านหลัง


       3. นอนราบและยกแขนไปด้านบนตามภาพ และค้างไว้ในท่านี้ 1 นาที


       ผลจากการทำท่านี้ : จะช่วยให้กระดูกที่งอหรือคดไปตามกาลเวลา ให้กลับมาอยู่ในแนวตรง ทำแค่วันละ 1 นาที กระดูก สันหลังจะกลับมาอยู่ในแนวตรง ผลคือ เราก็จะได้ความสูงตามความสูงที่เป็นจริงของร่างกายของเรากลับมา ย้ำว่าต้องทำติดต่อกันเป็นประจำทุกวันจึงจะได้ผล
       
       ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.rakjung.com/healthy-no81.html

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 กรกฎาคม 2557

62
ปรับความเข้าใจกันใหม่! แมงมุมน่ากลัวจริงหรือไม่? กัดคนตายจริงหรือมั่ว? มาทำความรู้จักกับ 2 แมงมุมชื่อชวนสับสน "แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล - แมงมุมน้ำตาล" และ "แมงมุมพเนจร" ที่กำลังกลายเป็นแพะรับบาป
       
       สำหรับหมู "วิลเบอร์" แมงมุม "ชาร์ลอตต์" คือ "เพื่อนรัก" แต่ถึงแม้โลกจะรู้จักวรรณกรรมเยาวชนดังกล่าวมากกว่า 60 ปี แต่ทัศนคติของเราที่มีต่อแมง 8 ขากลับไม่เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร ยิ่งมีข่าวร้ายๆ ที่แมงมุมตกเป็นจำเลย สัตว์ตัวน้อยที่รักสงบจึงกลายเป็น "สัตว์ร้าย" ของสังคม ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ อาสาพาผู้อ่าน มาทำความรู้จักแมงมุมในมุมมองใหม่ๆ อีกครั้ง
       
       นายประสิทธิ์ วงษ์พรม นักวิจัยด้านกีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแมงมุมหนึ่งเดียว ของเมืองไทยกล่าวกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า หลายวันนี้เขาได้รับโทรศัพท์เยอะมากจากทั้งสื่อมวลชนและผู้ที่สนใจ นับเป็นเรื่องที่ดีที่คนจะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแมงมุม เพราะคนทั่วไปจะไม่ทราบว่าแมงมุมตัวไหนคือสายพันธุ์อะไร เพราะ ยังขาดความรู้ อีกทั้งยังดูลำบากด้วยขนาดตัวที่ไม่ใหญ่มากนัก และชื่อก็ยังคล้ายกันทำให้เกิดความสับสน โดยแมงมุมที่กำลังเป็นประเด็นและเกิดการเข้าใจผิดกันอยู่นั้นมี 3 ตัวด้วยกัน
       
       ตัวแรกคือ "แมงมุมน้ำตาล" หรือ "แมงมุมพิษน้ำตาล" แมงมุมชนิดนี้คือแมงมุมที่ได้รับการยืนยันทางทีมแพทย์ ว่าเป็นสายพันธุ์ที่กัดชายหนุ่มที่จังหวัดแพร่ ลักษณะลำตัวของมันจะค่อนข้างยาว มีสีน้ำตาลซึ่งอาจมีได้หลายเฉดทั้งน้ำตาลอีอนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม มีขนขึ้นปกคลุมลำตัว มีตา 6 ตาเรียงกัน 3 กลุ่ม กลุ่มละ 2 ตา ขนาดตัวเล็กประมาณ 1-2 เซนติเมตร วางไข่บนแผ่นไม้ ผนังหรือกระดาษ มักอาศัยอยู่ตามซอกที่แห้งแต่รกโดยรังจะไม่รกรุงรัง และออกหากินตอนกลางคืน
       
       "ข้อสังเกตที่สำคัญคือ แมงมุมน้ำตาลจะมีสัญลักษณ์รูปไวโอลินอยู่ที่หน้าผาก ซึ่งสามารถสังเกตได้ชัดเจน และขาทั้ง 8 ขามีความยาวที่ใกล้เคียงกัน แมงมุมน้ำตาลไม่ดุร้าย ไม่ก้าวร้าว แต่มีพิษ โดยพิษนี้จะเป็นพิษที่มีผลต่อระบบเลือด ผู้ที่ถูกกัดอาจเป็นแผลและอักเสบ แต่ไม่ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรง" ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแมงมุมกล่าว
       
       อีกตัวหนึ่งที่นับว่าเป็นแมงมุมที่มีพิษร้ายเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล แมงมุมชนิดนี้ไม่ใช่แมงมุมที่มีมาแต่เดิมในประเทศไทย แต่ปัจจุบันพบการแพร่ไปทั่วโลกรวมถึงไทยด้วยการขนส่งระหว่างประเทศ จัดได้ว่าเป็นแมงมุมที่มีพิษร้ายแรงรองจากแมงมุมแม่ม่ายดำที่คาดว่ายังไม่พบการแพร่ระบาดในประเทศไทย แมงมุมแม่ม่ายจะมีลักษณะเฉพาะคือ หัวเล็กและส่วนท้องที่กลมโต แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาลมีลำตัวสีน้ำตาลซึ่งอาจมีได้หลายเฉดตั้งแต่น้ำตาลเข้มจนถึงอ่อน
       
       ข้อสังเกตแมงมุมแม่ม่ายที่สำคัญ 3 ข้อคือ เมื่อจับหงายท้องจะพบสัญลักษณ์คล้ายรูปนาฬิกาทรายสีส้มแดงอยู่คล้ายเครื่องหมายเตือนภัย ลักษณะขาที่ยาวไม่เท่ากัน โดยขาคู่หน้าและคู่หลังจะยาว ส่วนขา 2 คู่กลางจะสั้น และมีลักษณะถุงไข่ที่ไม่เหมือนแมงมุมชนิดอื่น โดยจะเป็นถุงไข่สีขาวนวลลักษณะฟูนุ่มแต่มีก้านสำหรับเกาะยึดอยู่ภายนอกจำนวนมาก
       
       "แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาลค่อนข้างรักสงบ ไม่รบกวนใคร แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ชอบให้ใครมารบกวน พิษของมันค่อนข้างรุนแรงแต่การปล่อยพิษแต่ละครั้งก็ทำได้ไม่มาก แต่ต้องรีบรักษาอย่างทันท่วงที พิษของมันจะมีผลต่อระบบประสาททำให้ผู้ถูกกัดมีอาการชา และเป็นแผลไหม้แดงพุพอง"
       
       มาถึงแมงมุมใจดีที่กลายเป็นแพะรับบาป นั่นคือ แมงมุมพเนจร แมงมุมชนิดนี้มีขนาดใหญ่กว่า 2 ชนิดที่กล่าวไปข้างต้น มีขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร มีหนามที่ขา มีขนปกคลุมร่างกาย มีตา 8 ตาแบ่งเป็น 2 แถว แถวละ 4 ตา ลำตัวมีสีน้ำตาลอาจพบได้หลายเฉดตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีน้ำตาลเข้ม บางครั้งอาจเป็นลายสีน้ำตาลสลับกัน ข้อสังเกตที่สำคัญคือ ขา 8 ขามีความยาวใกล้เคียงกัน
       
       "แมงมุมนี้ไม่ทำรังเพราะจะย้ายที่อยู่ พเนจรไปเรื่อยๆ ตามชื่อของมัน โดยจะคาบไข่ที่มีลักษณะแบนๆ ไว้ที่ปาก เป็นแมงมุมใจดีที่คอยปราบแมลงสาบในบ้านกินแมลงสาบและแมลงตัวเล็กๆ เป็นอาหาร แต่ด้วยหน้าตาและลักษณะที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับแมงมุมน้ำตาล ทำให้แมงมุมพเนจรโดนหางเลขกลายเป็นผู้ร้ายไปด้วยจนถึงขั้นมีคำกล่าวที่ว่า "เจอที่ไหนให้ทำลายทิ้งทันที" ประสิทธิ์กล่าว
       
       ในส่วนของ ผศ.ดร.ดวงแข สิทธิเจริญชัย ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางด้านกีฏวิทยาและผู้เลี้ยงแมงมุมเผยแก่ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า ความจริงแล้วในธรรมชาติแมงมุมมีประโยชน์มากทั้งทางด้านการช่วยกำจัดแมลง กำจัดศัตรูพืช นอกจากการเป็นผู้ล่าที่ดีแล้วแมงมุมยังจัดเป็นผู้รักษาระบบนิเวศน์ที่ดีมากตัวหนึ่ง แต่ถ้าหากพบแมงมุมทั่วไปก็ไม่ควรไปจับหรือสัมผัสมัน
       
       "เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะกัดเราหรือไม่ เพราะแมงมุมเกือบทุกชนิดมีพิษทั้งสิ้น ความรุนแรงและความบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคลและปัจจัยอื่นๆ และโดยส่วนตัวตนไม่เห็นด้วยกับการกำจัดแมงมุมเพราะนอกจากจะทำให้ระบบนิเวศน์เสียแล้วยังเป็นการทารุณสัตว์ ควรแก้ไขจากการเก็บกวาดบ้านเรือนตนเองให้สะอาดไม่เป็นที่หลบซ่อนของแมงมุมจะดีเสียกว่า" ผศ.ดร.ดวงแขให้ความเห็น
       
       ทางด้านของ นายฉัตรพรรษ พงษ์เจริญ นิสิตระดับปริญญาเอก สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เอื้อเฟื้อภาพถ่ายแมงมุมให้แก่ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ พูดถึงความรู้สึกในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ว่า แมงมุมไม่ใช่สัตว์ที่น่ากลัว ตอนถ่ายภาพยังมีโอกาสได้เอามือเขี่ยเล่นอยู่บ่อยครั้ง แต่ทำแค่เบาๆ ไม่ใช่การรบกวนจนแมงมุมหงุดหงิด ส่วนที่มีการบอกให้ทำลายแมงมุมเมื่อพบ ส่วนตัวเขาคิดว่ามันคือเรื่องธรรมดา เพราะความกลัวทำให้คนเรามองไม่เห็นทาง ความกลัวทำให้เราทำได้ทุกอย่างเพื่อให้เราได้อยู่รอด แต่เหล่านี้ล้วนอยู่บนฐานของการขาดซึ่งข้อมูล การขาดซึ่งข้อมูลก็มาจากการศึกษาที่ผิดพลาดมาตั้งแต่เรื่องของนโยบายและวิสัยทัศน์
       
       "เราต้องแก้ปัญหาที่เรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เช่นเรื่องแบบนี้ แค่เรื่องแมงมุม สัตว์ตัวเล็กๆ ยังเป็นเรื่องที่คนเข้าใจกันผิด เพราะการเผยแพร่ให้คนในประเทศรู้นั้นมีน้อยมาก เราเน้นกันแต่การตีพิมพ์งานวิจัยระดับนานาชาติ เป็นงานวิจัยขึ้นหิ้ง แล้วชาวบ้านที่ไหนเขาจะเข้าถึงข้อมูลได้ ตนว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก โดยเฉพาะการเผยแพร่ข้อมูลเองก็ยังเป็นเรื่องที่ล่าช้าไม่ทันการณ์อยู่มาก ผมมองว่าชาวบ้านเขาขาดข้อมูลที่ถูกต้อง เมื่อไม่รู้เขาก็กลัว เมื่อกลัวเขาก็พยายามทำทุกอย่างที่จะรอดได้ การแตกตื่นกระโตกกระตากไปเรื่อยไม่ได้ช่วยอะไร การตระหนักแล้วมองข้อเท็จจริงจากธรรมชาติน่าจะดีที่สุด" นายฉัตรพรรษกล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 กรกฎาคม 2557

63
ภาพไดโนเสาร์ผิวหยาบๆ หนังหนาๆ เป็นภาพติดตาคนทั่วไป แต่งานวิจัยล่าสุดพบฟอสซิลไดโนเสาร์กินพืชมีขน บ่งชี้ว่าไดโนเสาร์ทุกตัวมีขน หรืออาจมีลักษณะที่พัฒนาไปเป็นขน
       
       ทั้งนี้ ฟอสซิลไดโนเสาร์อายุกว่า 150 ล้านปีที่พบในที่ไซบีเรีย บ่งชี้ว่าลักษณะมีขนนั้นเป็นลักษณะที่พบได้ทั่วไปในไดโนเสาร์ ซึ่งหัวหน้าทีมวิจัยเผยว่า ข้อมูลดังกล่าวเปลี่ยนมุมมองที่เราต่อไดโนเสาร์อย่างสิ้นเชิง
       
       ไดโนเสาร์ดังกล่าวมีชื่อว่า คูลินดาโดรเมียส ซาไบคาลิคัส (Kulindadromeus zabaikalicus) เป็นไดโนเสาร์กินพืช ที่มีความยาวลำตัวประมาณ 1 เมตร มีปลายจมูกสั้น แขนสั้น ขาหลังยาว และมีนิ้วมือ 5 นิ้วที่แข็งแกร่ง มีฟันบ่งบอกชัดเจนว่าไว้สำหรับเคี้ยวพืช และมีแนวโน้มว่าเคยมีไดโนเสาร์ชนิดนี้กระจายไปทั่วโลก
       
       หลักฐานเกี่ยวกับไดโนเสาร์มีขนเท่าที่เคยมีก่อนหน้าเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อที่พบในจีน และเป็นไดโนเสาร์ในกลุ่ม ทีโรพอต (Theropod) และไดโนเสาร์มีขนที่พบล่าสุดในรัสเซียคือกลุ่มไดโนเสาร์กินพืชที่เรียกว่า ออร์นิทิสเชียน (Ornithischians) ซึ่งจำนวนถึงครึ่งหนึ่งของไดโนเสาร์ทั้งหมด
       
       ดร.ปาสคาล โกเดอฟรอย (Dr. Pascal Godefroit) จากสถาบันธรรมชาติวิทยารอยัลเบลเยียน (Royal Belgian Institute of Natural Sciences) กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม หัวหน้าทีมวิจัยเผยแก่บีบีซีนิวส์ว่า การค้นพบครั้งนี้ชี้ว่ากำเนิดของการมีขนนั้นเกิดขึ้นนานกว่าที่คาดไว้หลายล้านปี
       
       จากหลักฐานการมีขนของไดโนเสาร์ 2 กลุ่มที่แตกต่างกัน ทีโรพอตในจีนและออร์นิทิสเชียนในรัซเซียทำให้บอกได้ว่า บรรพบุรุษร่วมของไดโนเสาร์ทั้งสองชนิดที่อาจมีอยู่บนโลกเมื่อ 220 ล้านปีก่อน ก็น่าจะแผงขนด้วยเช่นกัน ซึ่ง ดร.โกเดอฟรอยกล่าวมันเป็นเรื่องน่าแปลกใจมาก และเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อไดโนเสาร์ ไปอย่างสิ้นเชิง
       
       "แทนที่จะนึกถึงไดโนเสาร์ว่าเป็นสัตว์มีเกล็ดแห้งๆ น่ากลัว ความจริงพวกมันจำนวนมากคือไดโนเสาร์ที่มีขนปุกปุย นุ่มนิ่มคล้ายขนไก่" ดร.มาเรีย แมคนามารา (Dr Maria McNamara) ผู้ร่วมวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์ก (Cork University) ในไอร์แลนด์ เผยกับบีบีซีนิวส์
       
       ด้าน ศ.ไมค์ เบนตัน (Prof. Mike Benton) มหาวิทยาลัยบริสโตล (Bristol University) อังกฤษ ผู้ร่วมวิจัยอีกคนให้ความเห็นว่า งานวิจัยของพวกเขาไม่ได้บอกว่าไดโนเสาร์ทุกตัวจะมีขน โดยเฉพาะในไดโนเสาร์ตัวเต็มวัย แต่ไดโนเสาร์จะมีขนในเมื่อครั้งยังเด็ก แต่เมื่อเติบโตขึ้นขนจะค่อยๆ หลุดร่วงไปแล้วกลายเป็นเกล็ดหรือแผ่นแข็งขึ้นมาแทนที่เพื่อปกป้องผิวหนัง
       
       "ประเด็นสำคัญคือไดโนเสาร์มีขนตั้งแต่เกิดและเป็นสัตว์เลือดอุ่น ซึ่งยืนยันแนวคิดที่เชื่อมานาน โดยแรกเริ่มขนจะทำหน้าที่เป็นฉนวนให้ความอบอุ่นและใช้ในการส่งสัญญาณ เพียงแต่ภายหลังถูกปรับมาใช้ช่วยบิน" ศ.เบนตันให้ความเห็น
       
       ทว่า ดร.พอล บาเรตต์ (Dr.Paul Barrett) แห่งพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา (Natural History Museum) ในลอนดอน อังกฤษ ตั้งข้อสงสัยต่องานวิจัยดังกล่าวว่า ขนนกแบบส่วนใหญ่จะเป็นขนแบบที่แตกแขนงออกไป ไม่ใช่เส้นสายที่คล้ายงอกมาจากกลางตัวอย่างฟอสซิลในงานวิจัยนี้ ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่พบในนก หรือแบบจำลองใดๆ ที่นักชีววิทยาใช้อธิบายถึงวิวัฒนาการของขนนก

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 กรกฎาคม 2557

64
ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ได้มาจากจากธรรมชาติ เป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์เป็นอย่างมาก ความรู้ที่ได้จากการคิดค้นและสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นนั้น ก่อให้เกิดประโยชน์และสามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน และที่ชุมชนบ้านอารึ แห่งอำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ก็ยังได้มีการสืบทอดภูมิปัญญา “ผ้าย้อมมะเกลือ” และ “นึ่งผ้าด้วยสมุนไพร” ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่นำความมหัศจรรย์ของธรรมชาติมาใช้เป็นวัตถุดิบ
       
       “ผ้าย้อมมะเกลือ” เป็นวิธีการย้อมผ้าเพื่อให้ได้สีดำ โดยจะนำผ้าชนิดใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็น ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้าฝ้าย มาย้อมกับมะเกลือจนเกิดเป็นผ้าสีดำ โดยเป็นวิธีการที่ไม่ยากและให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีอีกด้วย

       ก่อนที่จะไปรู้วิธีในการย้อมผ้า ก็จะขอทำความรู้จัก “มะเกลือ” วัตถุดิบในการย้อมผ้าจากธรรมชาติกันก่อน มะเกลือเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ พบขึ้นทั่วไปตามป่าเบญจพรรณ จัดเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง ซึ่งผลของมะเกลือนั้นมีสรรพคุณเป็นทั้งยาขับพยาธิที่คนไทยรู้จักและใช้กันมานาน และผลมะเกลือนั้น ก็คือวัตถุดิบที่ถูกนำมาใช้ในการย้อมผ้าให้เป็นสีดำนั้นเอง
       
       ขั้นตอนในการย้อมผ้าด้วยมะเกลือนั้นไม่ยากแต่ต้องใช้เวลา โดยพี่สุขใจ สุคุ้ม มัคคุเทศก์ประจำโฮมสเตย์หมู่บ้านอาลึ ได้เป็นผู้อธิบายถึงขั้นตอนในการย้อมให้ฟังว่า “วัตถุดิบหลักในการย้อมผ้านั้น คือลูกมะเกลือ โดยสมัยก่อนมักจะมีการนิยมเก็บลูกมะเกลือที่จะนำมาย้อมผ้า ในช่วงเดือนตุลาคม –พฤศจิกายน เพราะช่วงนั้นผลมะเกลือจะมียางมาก โดยในยางของมะเกลือนั้น คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผ้าเป็นสีดำ เพราะหลักวิทยาศาสตร์ได้บอกไว้ว่า ในยางนี้มีสารไดออสไพรอลไดกลูโคไซด์ (diospyrol-diglucoside) เมื่อสัมผัสกับอากาศเมื่อไรจะเป็นสีดำ”

       สุขใจเล่าต่อว่า ที่บ้านอาลึนั้นมักจะนำมะเกลือมาตำใน “ครกกระเดื่อง” หรือ ”ครกไม้ขุด” ตามวิธีชาวบ้าน โดยจะตำให้ละเอียดพอประมาณและนำไปผสมกับน้ำ ในอัตราส่วน 10 ครกต่อน้ำ 1กะละมัง แล้วก็จะนำผ้าที่ต้องการย้อมสีมาย้อม ในขั้นตอนนี้ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะน้ำย้อมจากมะเกลือเป็นพิษต่อประสาทตา
       
       และสีที่ได้จากน้ำย้อมยังติดง่ายและติดทนนานอีกด้วย จึงต้องใส่ถุงมือและเสื้อผ้าที่สามารถเลอะเทอะได้ การย้อมผ้าด้วยมะเกลือนั้นไม่ยากแต่ต้องใช้เวลานาน เพราะสีผ้าจะไม่ติดในครั้งเดียว หากย้อมเสร็จหนึ่งครั้งก็ต้องนำไปผึ่งแดดและนำมาย้อมใหม่ ย้อมน้ำแรกๆ มีสีเหลือง แต่เมื่อตากให้แห้งจะมีสีเขียว และจะต้องทำวิธีนี้วนไปวนมาซ้ำๆ กัน 5-6 ครั้ง ก็จะได้สีดำสนิทตามที่ต้องการ ซึ่งถ้าสีติดกับเนื้อผ้าดีแล้วผ้าก็จะไม่ตกสี และหากเป็นผ้าแพรแล้วก็จะดำมันสวยงามไม่ต้องพึ่งสารเคมี

       อีกทั้งที่ชุมชนบ้านอาลึแห่งนี้ ยังมีอีกหนึ่งภูมิปัญญา คือการ “นึ่งผ้าด้วยสมุนไพร” ซึ่งเป็นวิธีการถนอมผ้าที่ได้ใช้มาตั้งแต่อดีต โดยจะเป็นขั้นตอนที่ทำให้ผ้านั้นเงางามขึ้น และเป็นอีกหนึ่งวิธีในการป้องกันผ้าจากแมลง เพราะสมัยก่อนนั้นแมลงจะชอบมาแทะเสื้อผ้า กลิ่นของสมุนไพรที่ได้จากการนึ่งนั้น สามารถที่จะกันแมลงได้
       
       ขั้นตอนนั้นก็ไม่ได้ยากอะไร วัตถุดิบที่ใช้ก็หาได้ง่ายจากธรรมชาติ อาทิ ลูกตะครอง หัวขมิ้นชัน หัวว่านเปราะหอม ใบเล็บครุฑ โดยจะนำวัตถุดิบแต่ละชนิดมาสับเสร็จแล้วโขลกให้ละเอียดแยกน้ำและกาก หลังจากนั้นนำผ้าที่ต้องการมาแช่น้ำสมุนไพร และไปคลุกกับส่วนที่เป็นกากสมุนไพร นำมาใส่ที่นึ่งหรือภาษาท้องถิ่นเรียกว่าหวด และใช้เวลานึ่งประมาณ 1ชั่วโมง จากนั้นนำผ้าออกมาผึ่งลมให้แห้ง ก็จะได้ผ้าที่มีกลิ่นหอมติดอยู่ในใยผ้า

       ผ้าย้อมมะเกลือและการนึ่งผ้าด้วยสมุนไพร จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ควรค่าแก่การสืบทอดและเผยแพร่ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่จะหลีกเลี่ยงสารเคมี ธรรมชาตินั้นมหัศจรรย์ยังมีอะไรอีกมากมายที่ไม่ต้องพึ่งสารเคมี

ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 กรกฎาคม 2557

65
เมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria) อยู่ทางเหนือสุดของอียิปต์ เป็นเมืองเก่าที่ติดอยู่กับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean Sea) เคยปกครองโดยชาวเมืองอียิปต์  ดั้งเดิมแล้วก็ตกเป็นของกรีก โรมัน จนมาถึงการเข้ามาของศาสนาอิสลามจากอาณาจักรออโตมัน เมืองนี้เลยมีศิลปะของทางกรีก โรมัน ตุรกี ปนๆ กัน เป็นเมืองใหญ่อันดับสองในประเทศอียิปต์ รองจากกรุงไคโร มีประชากรประมาณ 3-5 ล้านคน และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ เป็นเมืองสำคัญในสมัยโรมัน  ปกครองอียิปต์...


        เดิมทีเป็นหมู่บ้านประมงเล็กๆ ที่ชื่อว่า ราคอนดาห์ โดยเมื่อประมาณ 1,200 ปีก่อนคริสตกาล จนเมื่อ 332  ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชเดินทางมาพบ จึงให้มีการปรับปรุงขยายเมือง เพื่อเป็นเมืองหลวงและตั้งชื่อให้คล้องจองกับชื่อของพระองค์

        นอกจากนี้เมืองอเล็กซานเดรีย ยังเป็นสถานที่สำคัญในตำนานรักอันยิ่งใหญ่ของ พระนางคลีโอพัตรา และจอมทัพผู้กล้าแห่งโรมัน มาร์ค แอนโทนี ปัจจุบันเป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก ที่นี่ยังมีสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคแรก อยู่อีก 2 แห่ง คือ ประภาคารแห่งเมืองอเล็กซานเดรีย กับ สุสานของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ แต่ก็พังหายสาบสูญไปกันจนหมดไม่เหลือแล้ว ประภาคารนั่นก็พังลงมา แล้วสร้างเป็นป้อม Citadel ขึ้นมาแทน

        นอกจากนี้เมืองแห่งประวัติศาสตร์อย่าง Alexandria ในยุคโบราณได้หายสาบสูญไปกว่า 1,600 ปี ไม่ว่าจะเป็นละครเวทีที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของที่เกี่ยวเนื่องกับ Cleopatra, Julius Caesar, MarcAntony และOctavius เหล่านี้ล้วนถูกจมหายภายใต้กระแสน้ำ นักโบราณคดีค้นพบว่าทุกสิ่งจมอยู่ใต้น้ำหลังจากเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ สถานที่แห่งนี้เคยมีประชากรถึง 500,000 คน ถ้าจะบันทึกประวัติศาสตร์แห่งนี้อาจต้องใช้บัญชีหางว่าวมากกว่า 7 แสนเล่ม

        อียิปต์ วางแผนสร้างพิพิธภัณฑ์ใต้น้ำ ที่เมืองอเล็กซานเดรีย บริเวณที่พระราชวัง ของพระนางคลีโอพัตราจมลงสู่ท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อประมาณศตวรรษที่ 4 เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่

        เมื่อปี 2551 ยูเนสโกแถลงว่า จะจัดเงินทุนสนับสนุนการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการพิพิธภัณฑ์ใต้ทะเล โดยบริเวณที่จะสร้างคือ ‘ห้องสมุดใหม่แห่งอเล็กซานเดรีย’ ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่พระนางคลีโอพัตราหลบซ่อนตัวอยู่กับมาร์ค แอนโทนี่ ก่อนปลงพระชนม์ชีพ

        เมื่อราวสิบกว่าปีที่แล้ว นักโบราณคดีได้ดำน้ำลงไปดูซากนครอเล็กซานเดรีย ในความลึก 5-6 เมตร พบว่า ในอ่าวอเล็กซานเดรียแห่งนี้มีสมบัติโบราณเต็มไปหมด ประเมินแล้วมากกว่า 2,000 ชิ้น ทั้งสฟิงห์ 26 ตัว ซากเรืออับปางที่เป็นของโรมันและกรีกโบราณ

       นาย นากิบ อามิน ผู้เชี่ยวชาญจากสมัชชาสูงสุดโบราณวัตถุอียิปต์ กล่าวว่า “สมบัติใต้ท้องทะเลที่พบนี้ดูแล้วน่าประทับใจจริงๆ เมืองโบราณอเล็กซานเดรียทั้งเมืองจมอยู่ใต้ทะเล ทั้งยังน่าจะเป็นที่ตั้งของโบราณสถาน อย่างประภาคารฟาโรห์แห่งอเล็กซานเดรีย ที่ได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณ” ด้านนายฌากส์ รูจเจอรี่ สถาปนิกชาวฝรั่งเศส และเป็นหนึ่งในคณะการศึกษาความเป็นไปได้ของการสร้างพิพิธภัณฑ์ใต้น้ำ กล่าวว่า “ธรรมชาติเป็นผู้สร้างบรรยากาศแปลกใหม่ ไม่เหมือนกับการเข้าไปชมโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์อื่นๆ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ คงเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับนักบินอวกาศเมื่อขึ้นไปบนอวกาศ”

        รูจเจอรี่ออกแบบพิพิธภัณฑ์ใต้น้ำให้ มีเสารูปใบเรือสูง 4 มุม เหมือนกับเรือแห่ง เฟลลูคัส ซึ่งเป็นเรือที่ใช้ท่องแม่น้ำไนล์ในสมัยโบราณ บนยอดเสา 4 ยอด เป็นสัญลักษณ์ แทนประภาคารแห่งอเล็กซานเดรีย อย่างไรก็ตาม น้ำทะเลในอ่าวมีความขุ่นมาก นักท่องเที่ยวอาจมองเห็นความสวยงามของโบราณวัตถุใต้ทะเลไม่ชัด โดยทางแก้อาจเป็นทำความสะอาดน้ำทะเลในบริเวณนั้นใหม่ หรือสร้างอ่าวเทียมขึ้นมาแทนที่

        การสร้างพิพิธภัณฑ์ใต้ทะเลของ อียิปต์ไม่ได้คำนึงถึงความสวยงามเท่านั้น แต่ยังทำตามกฎของยูเนสโกเมื่อพ.ศ.2544 ที่เห็นว่า โบราณวัตถุใต้น้ำก็ควรเก็บรักษาไว้ใต้น้ำ เพื่อเป็นการเคารพประวัติศาสตร์ ทั้งยังเป็นวิธีการเก็บรักษาโบราณวัตถุที่ดี ถ้าการศึกษาความเป็นไป ได้ของการสร้างพิพิธภัณฑ์ใต้น้ำสรุปได้ว่า การสร้างพิพิธภัณฑ์จะไม่สร้างความเสียหายใดๆ ให้กับประวัติศาสตร์ การก่อสร้างก็น่าจะแล้วเสร็จภายใน 3 ปี

        ถึงตอนนั้นรัฐบาลอียิปต์หวังว่า เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวจะเข้ามาสู่ประเทศมหาศาล ทั้งยังเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวเมืองอเล็กซานเดรียด้วย.


http://www.publicpostonline.com/2013/main/content.php?page=sub&category=19&id=724


66
สวัสดีจ้าเพื่อนๆ ชาว ScholarShip.in.th วันนี้เราก็มีเกร็ดเรื่องความความรู้รอบตัวจากทั่วโลก มาฝากเพื่อนๆ กันอีกแล้วนะจ๊ะ สำหรับเรื่องนี้เป้นเรื่องเกี่ยวกับการเรียนจ้า รายละเอียดจะเป้นยังไงมาชมกันเลย

สำหรับการเรียนและการศึกษานั้น นับว่าเป็นการวางรากฐานของชีวิตเลยก็ว่าได้ การศึกษาจึงมีความสำคัญต่อชีวิตอย่างมาก ถ้าได้รับการศึกษามาไม่ได้ ก็เปรียบเหมือนรากฐานของสิ่งก่อสร้างที่ไม่แข็งแรง และพร้อมจะล้มได้อยู่ทุกเมื่อนั่นเอง

แต่เราก็ต้องยอมรับว่า คนส่วนมากโดยเฉพาะเด็กๆ มักจะมีอาการเบื่อการเรียนกัน อะไรกันที่ทำให้เด็กๆ ถึงเบื่อการเรียน!? เรามาดูกันเลยดีกว่า

ดร.เจ.ที.ฟิชเชอร์ อดีตบดีจิตแพทย์ของอเมริกา เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคำพูดที่ว่า การเริ่มเรียนเร็วไม่ได้มีผลอะไรกับเด็กๆ มากเท่าไรนัก เด็กส่วนมากจะเริ่มเรียนกันเมื่ออายุราวๆ 5 – 6 ปี แต่ ดร. คนนี้แหล่ะ เริ่มเรียนตอนอายุ 13 ปี!! เลยทีเดียว

แต่กระนั้น ปัจจัยนี้ก็ไม่ได้ขัดขวางให้ ดร.เจ.ที.ฟิชเชอร์ ประสบความสำเร็จในชีวิตแต่อย่างใดเลยครับ ซึ่งแน่นอนว่าข้อความนี้อาจจะขัดใจเพื่อนๆ หลายคนพอสมควร เพราะความเชื่อที่ว่า วัยเด็กเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ จึงไม่สมควรให้อยู่เฉยๆ ควรส่งไปเรียนที่โรงเรียนเหมือนกับเด็กอื่นๆ

แต่คำพูดของ ดร.เจ.ที.ฟิชเชอร์นั้น สอดคล้องกับนักวิชาการและนักจิตวิทยาหลายท่าน เช่น เดวิด เอลไคด์, เมเรดิช โรบินสัน และ ดร.วิลเลี่ยม โรห์เวอร์ ซึ่งเห็นว่า เด็กอายุน้อยที่เข้าเรียนตอนที่ยังไม่พร้อมจะทำให้มีผลเสียมากกว่าผลดี พวกเขามีโอกาสสูงที่จะสอบตกเรียนซ้ำชั้น หรือเลิกเรียนกลางคันก่อนจะจบการศึกษาเลยทีเดียว

ระบบการศึกษาของไทยกำหนดให้เด็กเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีรูปแบบและเนื้อหาเดียวกันหมด ซึ่งเป็นระบบที่บั่นทอนความคิดสร้างสรรค์ของเด็กลงไปเรื่อยๆ โดยที่ทุกคนไม่รู้ตัว เพราะว่าแต่ละหลักสูตรไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเด็กที่มีลักษณะและความสามารถต่างกัน แต่เป้นรูปแบบเดียวกันหมด

อีกทั้งการที่พ่อแม่คอยเคี่ยวเข็ญให้ลูกไปโรงเรียนโดยที่เขายังไม่พร้อมนั้น นอกจากจะทำให้ลูกเครียด และขาดความมั่นใจในตัวเองแล้ว เมื่อโตขึ้นมาเขาอาจจะเบื่อการศึกษาและไม่อยากไปเรียนหนังสือเลยก็เป็นได้!!

หากเด็กๆ อยากไปเรียนหนังสือเองโดยที่ไม่มีใครมาบังคับ หรือได้ไปโรงเรียนในช่วงที่เวลาที่เขาพร้อมเรียนรู้จริงๆ ก็คงจะดีไม่น้อยเลยว่ามั้ยล่ะ

การศึกษาที่จะสำเร็จผลอย่างสูงที่สุด ไม่ได้อยู่ที่ปัจจัยภายนอกต่างๆ เช่น อุปกรณ์การศึกษาที่ดี ความเก่งของอาจารย์ หรือความดังของสถาบันแต่อย่างใด แต่อยู่ที่ความสนใจและความพร้อมของเด็กๆ ต่างหาก!!!

เหมือนคำที่ขงจื๊อ ปราชญ์แห่งยุคได้กล่าวไว้ว่า “ศิษย์ขยัน ย่อมไม่ต้องพึ่งพาอาจารย์” ดังนั้นเมื่อเด็กมีความพร้อมที่จะเรียนรู้ และความสนใจที่เต็มเปี่ยม การศึกษาที่ประสบความสำเร็จ ย่อมรออยู่ไม่ไกลแน่นอนครับ :)

http://www.scholarship.in.th/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B3/

67
 1. สตรอว์เบอร์รี
       
       สตรอว์เบอร์รีอุดมไปด้วยซิลิกา (Silica) อันเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยต่อต้านอาการหลุดร่วงของเส้นผม ทั้งยังกระตุ้นการงอกใหม่ของผมอีกต่างหาก สตรอว์เบอร์รีในบ้านเราหาทานได้ง่ายในช่วงปลาย-ต้นปี ราคาก็พอจะอุดหนุนไหวไม่ระคายกระเป๋าสตางค์มาก ถึงฤดูกาลเมื่อไหร่ก็พยายามกินให้บ่อย ส่วนนอกฤดูสตรอว์เบอร์รีจะเลือกกินผลไม้ชนิดไหนทดแทนไปก่อนดี อ่านข้อต่อไปเลยครับ

       
       2. แอปเปิล
       
       โชคดีที่มีผลไม้ที่หากินง่ายตลอดทั้งปีอย่าง แอปเปิล ที่ช่วยต่อต้านเรื่องผมร่วงได้เช่นกัน แอปเปิลมีไฟเบอร์ซึ่งละลายน้ำได้ มีสารประกอบฟีนอลที่เปลือก มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์และวิตามิน ดีทั้งกับสุขภาพหนังศีรษะและสุขภาพโดยรวมของคุณ แต่ในการเลือกซื้อแอปเปิลก็ต้องระวังสักนิด พยายามไม่เลือกลูกที่มีผิวมันเงาผิดปกติ เป็นไปได้ว่าอาจเคลือบแวกซ์มามากเกินไป เมื่อซื้อมาแล้วก็ต้องแช่ในน้ำยาล้างผลไม้ และล้างตามด้วยน้ำเปล่าให้สะอาดทุกครั้ง       
       
       3. องุ่น
       
       เคยได้ยินกันแต่ว่าน้ำมันสกัดจากเมล็ดองุ่นหรือเกรปซีดออยล์ มีประโยชน์มากมายเหลือเกิน แต่ที่จริงแล้วองุ่นทั้งลูกก็มีประโยชน์มากมายพอ ๆ กัน และหนึ่งในประโยชน์ข้อนั้นก็คือช่วยขับล้างสารพิษออกจากร่างกาย และป้องกันผมร่วงได้ด้วย

       4. กล้วย
       
       กล้วยหอมวันละหนึ่งใบช่วยให้อยู่ท้องเป็นของว่างคั่นมื้ออาหารชั้นดีทีเดียว และมันยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียม แมกนีเซียม วิตามินบี ไฟเบอร์ เพคติน และแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่ล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพ มันทำให้สุขภาพผมแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย ๆ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าการกินกล้วยเป็นประจำจะช่วยป้องกันอาการผมร่วงในอนาคตได้ด้วย
       
       
       5. ส้ม
       
       ส้มผลไม้กลม ๆ อุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กและคอลลาเจน ซึ่งมีความสำคัญในการเจริญเติบโตของรากผม แถมยังบวกเพิ่มมาด้วยมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ฟลาโวนอยด์ เบตาแคโรทีน แมกนีเซียม และไฟเบอร์ครบพร้อม กินส้มวันละ 1 ลูก จึงช่วยให้ผมมีสุขภาพแข็งแรง แถมได้ประโยชน์เรื่องผิวและสุขภาพพ่วงมาด้วย .. แต่ขอแนะนำว่ากินส้มสด ๆ จะดีกว่าน้ำส้มบรรจุกล่องนะครับ
       
       หากินง่ายได้ประโยชน์ขนาดนี้ หนุ่ม ๆ คนไหนไม่อยากให้เส้นผมโบกมือลาหนังศีรษะเร็วเกินไป อย่าลืมหมั่นหาผลไม้ทั้ง 5 ชนิดนี้มาสลับสับเปลี่ยนกินกันเป็นประจำนะครับ ไม่อย่างนั้นอาจหมดหล่อเร็ว จนสาว ๆ เข้าไม่เหลียวแลเอาได้นะครับ


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    12 กุมภาพันธ์ 2557

69
ไข่ ความจริงที่ควรทราบ


1. ไข่ และนม จัดเป็นอาหารที่ทรงคุณค่าที่สุดสำหรับร่างกาย โดยเฉพาในวัยเด็กที่กำลังเติบโต

2. ไข่ไม่ใช่สาเหตุของภาวะไขมันในเลือดสูง

3. ไข่ไม่ได้ทำให้มีการอุดตันในหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ จริงๆ แล้วมันช่วยป้องกันเสียด้วยซ้ำ การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยืนยันว่าการบิโภคไข่เป็นประจำไม่มี
ความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจ และกลับยังพบว่าผู้ที่บริโภคไข่อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ห่างไกลจากโรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจเสียด้วยซ้ำ

4. ไข่จัดเป็นอาหารที่ให้พลังงานต่ำ ลำพังไข่ดิบหรือไข่ลวกขนาดใหญ่ (เบอร์ 0) ฟองเดียวจะให้พลังงานเพียง 70 แคลอรี่ น่าพิจารณาอย่างยิ่งสำหรับผู้ต้องการจำกัดคาลอรี่

5. โปรตีนในไข่มีปริมาณสูง หรือราวๆ 6.3 กรัมในไข่หนึ่งฟอง จัดเป็นอาหารที่ให้ไนโตรเจนสูง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนฟื้นไข้ หลังผ่าตัด หลังประสบอุบัติเหตุ หรือหลังภาวะช็อกจากเสียน้ำและเลือด ความเชื่อที่ว่าไข่เป็นของแสลงสำหรับคนมีบาดแผลเป็นความเชื่อที่ผิดทั้งเพ

6. ไข่มีปริมาณของวิตามิน ดี ในฟอร์มธรรมชาติอยู่ 17.5 iu (ผู้ใหญ่วัยเกิน 40 ปี ควรได้วิตามิน ดีจากอาหารวันละ 400 iu) วิตามิน ดีนอกจากจะเป็นส่วนสำคัญในเมตาบอลิสมฺของแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัส ซึ่งทำให้กระดูกแข็งแรงแล้ว ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้เป็นหวัดได้ยาก แลยังลดความเสี่ยงต่อมะเร็งแทบทุกชนิดโดยเฉพาะมะเร็งเต้านม โดยพบว่าสตรีที่รับประทานไข่สัปดาห์ละ 6 ฟองจะลดความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมได้ถึงร้อยละ 44

7. ไข่หนึ่งฟองมีสาร โคลีน จำนวนถึงกว่า 120 มิลลิกรัม สารชนิดนี้มีส่วนสำคัญในการทำงานของสมอง ระบบประสาทระบบหลอดเลือด

8. ไข่ อุดมไปด้วยกรดอมิโน “เมททัยโอนีน” ซึ่งเป็นกรดอมโนที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบ จากการศึกษาวิจัยพบว่ากรดอมิโนชนิดนี้มีส่วนสำคัญในการทำลายอนุมูลอิสระ ต้นเหตุของความชรา โรคหัวใจ การแปรเปลี่ยนของ ดี.เอ็น.เอ. และมะเร็ง จึงไม่แปลกเลยที่ไข่จะช่วยชะลอความชราได้เป็นอย่างดี

9. ไข่ ช่วยป้องกันภาวะไขมันสะสมในตับ และภาวะจอประสาทตาเสื่อม นอกจากนั้นยังมีการศึกษาที่บอกว่าช่วยชะลอการเกิดต้อกระจก เพราะในไข่มีสารลูเตอิน กับ ซีแซนทิน ที่ช่วยป้องกันการการขุ่นของเลนส์ตา นี่เองคือเหตุผลที่ทำไมคนกินไข่ทุกวันจึงมีสายตาที่ดี เฉียบคม

10. ไข่ ช่วยให้ผม เล็บ แลผิวหนังมีสุขภาพดี

11. นอกจากนั้นไข่ยังอุดมไปด้วยสาร ทริปโตแฟน, ซีลิเนี่ยม, ไอโอดีน และวิตามิน บี2

12. ซีลิเนียมในไข่ เป็นสารธรรมชาติที่ช่วยปกป้องกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง ไม่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ หัวใจโต หรือหัวใจวายไปง่ายๆ

13. ไข่ ช่วยป้องกันโรคข้อเสื่อม และภาวะจิตใจที่ผิดปกติอีกด้วย


ไข่ฟองใหญ่ (เบอร์ 0) หนึ่งฟองมีสารอาหารอะไรบ้าง

ไข่ฟองใหญ่ (เบอร์ 0) หนึ่งฟองจะมีน้ำหนักประมาณ 50 กรัม
ประกอบไปด้วย ไขมัน 5 กรัม ซึ่งเป็น ไขมันอิ่มตัวเสียราวๆ 2 กรัม (ไขมันอิ่มตัวเชิงซ้อนเพียง 0.5 กรัม) และเป็นโคเลสเตอรอล 211 มิลลิกรัม ไม่มีไขมันทรานส์ เจ้าไขมันตัวร้ายเลยแม้แต่นิดเดียว

ที่น่าสนใจคือมีกรดไขมัน โอเมก้า 3 ถึง 37 มิลลิกรัม และโอเมก้า 6 อีก 574 มิลลิกรัม

มีโปรตีน 6.3 กรัม มากกว่าไขมันอีกเห็นไหม

ไม่มีคาร์โบฮัยเดรต

มี วิตามิน เอ 244 iu วิตามิน ดี 17.4 iu
วิตามิน อี 0.5 ไมโครกรัม วิตามิน เค 0.1 ไมโครกรัม
วิตามิน บี2 0.2 มิลลิกรัม วิตามิน บี6 0.1 มิลลิกรัม
เกลือโฟเลต 23.5 มิลลิกรัม โคลีน 126 มิลลิกรัม

เกลือแร่ในไข่ก็มากมายเช่นกัน คือมี
โซเดียม 70 มิลลิกรัม โปแตสเซี่ยม 67 มิลลิกรัม
แคลเซี่ยม 26.5 มิลลิกรัม แมกนีเซี่ยม 6 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.9 มิลลิกรัม ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.6 มิลลิกรัม ซีลิเนี่ยม 15.8 ไมโครกรัม
ฟอสฟอรัส 95.5 มิลลิกรัม ฟลูโอไรด์ 0.5 ไมโครกรัม

มีน้ำอยู่อีกประมาณ 37.9 กรัม


ส่วนพลังงานจากไข่ จะขึ้นกับกรรมวิธีที่นำมาปรุงอาหาร
ไข่ฟองใหญ่ (เบอร์ 0) หนึ่งฟอง
ถ้าเป็นไข่ดิบ ไข่ลวก หรือไข่ต้ม จะให้พลังงาน 70 แคลอรี่
ไข่กวน ใส่น้ำมันแต่น้อย จะให้พลังงาน 90 แคลอรี่
ไข่ดาวจะให้พลังงาน 100 แคลอรี่
ไข่เจียว จะให้พลังงานเกิน 200 แคลอรี่ โดยขึ้นกับปริมาณน้ำมันที่ใช้
แต่ถ้าเอามาทำเป็นแซนวิชไข่ใส่เบคอนแล้วละก็ เกิน 400 แคลอรี่แน่นอน

เห็นหรือยังว่า ลำพังไข่ล้วนๆ ไม่ได้ให้พลังงานมากมายอะไรเลย ไขมันก็ไม่ได้มีมากอย่างที่คิด แถมยังเป็นไขมันดีเสียส่วนใหญ่ ส่วนโคเลสเตอรอลก็ไม่ได้มีมากมายอะไร หนำซ้ำยังเป็นโคเลสเตอรอลที่เป็นส่วนประกอบของวิตามิน เอ, ดี, อี, เค เสียแทบทั้งนั้น
แล้วอย่างนี้จะไปโทษไข่ว่าทำให้อ้วน ทำให้ไขมันในเลือดสูงได้อย่างไร

70
ถ้าเอ่ยถึง "กาแฟขี้ชะมด" แล้วละก็วันนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ถึงชื่อเสียง ของกาแฟชนิดนี้ จุดเริ่มต้นที่มาของกาแฟขี้ชะมด มาจาก ประเทศอินโดนีเซีย แหล่งผลิตกาแฟโรบัสต้า แหล่งใหญ่ของโลก แต่สำหรับคนไทยแล้วละก็วันนี้ ไม่ว่าตลาดโลกต้องการอะไร คนไทย เราสามารถทำออกมาแข่งได้หมด วันนี้ ประเทศไทยเราก็มีแหล่งผลิตกาแฟขี้ชะมดออกมาจำหน่ายเช่นกัน

       วันนี้ ถ้าใครเดินทางไป จังหวัดชุมพร ของฝากที่ขึ้นชื่อ และติดไม้ติดมือมาฝากคนทางบ้าน หนึ่งในนั้น ก็ต้องเป็นกาแฟทูอินวัน หรือ เมล็ดกาแฟสด และชื่อเสียงที่โด่งดังของกาแฟชุมพร จึงได้เป็นที่มาของงาน คอฟฟี่เฟสติวัล ได้รวบรวมกาแฟขึ้นอยู่ของจังหวัดชุมพรมารวมไว้ที่งาน และหนึ่งในไฮไลท์ของงานนี้ ก็คือ กาแฟขี้ชะมด จากฟาร์ม ของ นายชินวัตร มนตรีประสาท เจ้าของฟาร์มกาแฟขี้ชะมด Goat หลังสวน จังหวัดชุมพร

กาแฟขี้ชะมด ในซองขนาด 100 กรัม ราคา2,000 บาท

       ก่อนอื่น แนะนำกาแฟขี้ชะมดให้รู้จักกันก่อน สำหรับคนที่ไม่ใช่คอกาแฟ กาแฟชนิดนี้มาจากไร่บนเกาะสุมาตรา โดยเริ่มต้นจากชาวไร่กาแฟจะเลี้ยงชะมดพันธุ์พื้นเมืองนี้ไว้ในไร่กาแฟและปล่อยให้มันกินผลของกาแฟสุกที่อยู่ในไร่ เมื่อชะมดถ่ายมูลของมันออกมาก็จะมีเมล็ดกาแฟติดออกมาด้วย

       ซึ่งที่มาของจุดเริ่มต้นจริง เกิดจากความบังเอิญ ที่ชาวอินโดนีเซียไปเดินป่าแล้วพบเห็น ขี้ชะมด มีกาแฟที่ไม่ถูกย่อย ยังคงเป็นรูปเมล็ดอยู่ จึงเกิดความเสียดายเอามาล้างและลองคั่วชงดื่มดู ปรากฏว่าได้รสชาติและกลิ่นที่หอมหวน แปลกใหม่ เข้มข้น แบบที่โรบัสต้าเดิมให้ไม่ได้ [จุดเด่นของกาแฟโรบัสต้า ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มข้นของ Body แต่อ่อนเริ่องกลิ่นและรสชาติ] ต่อมาจึงเกิดการเพาะเลี้ยงชะมดในไร่กาแฟเป็นล่ำเป็นสันขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าโรบัสต้า
       
       สำหรับคอกาแฟ การดื่มกาแฟขี้ชะมด ถือว่า ได้ลิ้มรสชาติกาแฟ ที่ถือว่าสุดยอดแล้วในขณะนี้ เพราะเป็นกาแฟที่ราคาแพงและหายากที่สุดในขณะนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระบวนการได้มาของกาแฟขี้ชะมด ที่ยุ่งยาก และซับซ้อนกว่า การปลูกกาแฟทั่วไป เพราะชะมดเป็นสัตว์ที่กินยาก และเลือกกินเฉพาะเมล็ดกาแฟที่สุกดีแล้วเท่านั้น

       และสาเหตุที่ทำให้กาแฟขี้ชะมด มีกลิ่นหอมและลักษณะเฉพาะตัว เพราะในขณะที่ผลกาแฟอยู่ในท้องของตัวชะมดนั้นเมล็ดจะผสมกับเอมไซม์และสารเคมีที่อยู่ในกระบวนการย่อยของมัน ผู้เชี่ยวชาญกาแฟบางรายระบุว่ากาแฟที่เก็บจากมูลชะมดทำได้ยากกว่าเก็บจากต้นจึงทำให้กาแฟชนิดนี้มีราคาสูง
       
       สำหรับฟาร์มกาแฟขี้ชะมด ของลุงชินวัตร เกิดขึ้นมาจากความบังเอิญ เดิมลุงเลี้ยงชะมดไว้คู่หนึ่ง และที่อาชีพหลักของลุง คือ การปลูกกาแฟจำหน่าย และลองนำกาแฟมาให้ชะมดกิน ทำแบบลองผิดลองถูก มีความรู้เรื่องของกาแฟขึ้ชะมดอยู่บ้าง ว่าที่ประเทศอินโดนีเซีย เขามีกาแฟขี้ชะมดที่ราคาแพงมาก

       โดยลุงชินวัตร บอกกับเรา ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะชะมดเป็นสัตว์กินยาก เราต้องรู้จักวิธี ที่ทำให้เขากินกาแฟได้มาก โดยต้องศึกษาการเลี้ยงแบบลองผิดลองถูก และหาวิธีทำอย่างให้ให้เขามีกระเพาะอาหารที่ใหญ่ ก่อน เพื่อที่จะได้กินเมล็ดกาแฟได้มาก เริ่มจากให้เขากินอาหารอย่างอื่นก่อน พอกระเพาะใหญ่ได้ที่ เราก็จะให้กินเมล็ดกาแฟอย่างเดียว ก็จะกินเมล็ดกาแฟได้มาก พอถ่ายออกมาก็จะได้เมล็ดกาแฟออกมาในปริมาณที่ต้องการ ปัจจุบัน เมล็ดกาแฟ 20-30 กิโลกรัม จะได้กาแฟขึ้ชะมด เพียง 3 กิโลกรัมเท่านั้น
       
       สำหรับฟาร์มกาแฟชะมดที่หลังสวนแห่งนี้ ปัจจุบันมีชะมดอยู่ประมาณ 70 ตัว ให้ปริมาณกาแฟขี้ชะมดตัวละ 5 กิโลกรัมต่อปี ปริมาณที่ได้ถือว่า น้อยมาก ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ซึ่งปัจจุบันมีส่งจำหน่ายที่ แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดชุมพร หลักๆ ที่สวนเกษตรลุงดำ ราคาขายต่อกิโลกรัมประมาณ 20,000 บาท ราคาจะขึ้นอยู่กับการเก็บบ่มเมล็ดกาแฟด้วย ถ้าบ่มนานราคายิ่งแพง อย่างถ้าบ่มนานถึง 9 เดือน หรือ 1 ปี ราคาสูงไปถึงกิโลกรัมละ 1 แสนบาท ถ้าเก็บถึง 3 ปี กิโลกรัมละ 2 แสนบาท อย่างฟาร์มกาแฟชะมดของลุง .... เก็บตั้งแต่ 3 เดือนถึง 9 เดือน

       ส่วนราคาขายกาแฟหน้าร้านต่อแก้ว ช่วงนี้ เดิมราคาแก้วละ 499 บาท สำหรับกาแฟเย็น แต่ช่วงนี้ เป็นช่วงจัดรายการ ทางร้านลุง ลดราคาให้พิเศษ เหลือ แก้วละ 199 บาท ซึ่งถ้าเป็นคอกาแฟแล้วละก็ถือว่าไม่แพง มีลูกค้านักท่องเที่ยว เดินทางมาเที่ยวชุมพร ก็จะต้องแวะมากินกาแฟขึ้ชะมด วันหนึ่ง ร้านกาแฟ ที่สวนลุงดำ ขายได้วันละ 30-40 แก้ว ยอดขายต่อเดือนอยู่ในหลักพันแก้ว ตอนนี้กำลังการผลิตยังไม่เพียงพอ จึงไม่ได้มีการขยายตลาดมากนัก
       
       สำหรับในส่วนของขั้นตอนเหมือนการทำกาแฟชนิดอื่นๆ ด้วยการนำไปล้างเอามูลชะมดออกให้หมดจด และตากแดดให้แห้ง 7-8 แดด ก่อนนำไปบ่ม และขั้นตอนสุดท้ายคือนำไปคั่วเพื่อพร้อมที่จะนำส่งให้บรรดาร้านกาแฟต่อไป ลุงบอกกับเรา จริงๆ การทำกาแฟชะมดไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะชะมดเป็นสัตว์ป่าการนำมาเลี้ยง ต้องใช้เวลาในการสร้างความคุ้นเคยกับธรรมชาติที่เรากำหนดให้ เพื่อจะได้ให้เขากินได้เยอะ วันหนึ่งต้องจ่ายค่าอาหารชะมดทั้ง 70 ตัวประมาณ 5,000 บาท ทุกวันนี้ กำไรในส่วนของกาแฟชะมดยังถือว่าได้ไม่มากนัก แต่รายได้หลักของเรามาจากกาแฟที่เราทำส่งให้กับทางเซเว่นอีเลฟเว่นมากกว่า
       
       โทร.08-1616-8992

เมล้ดกาแฟพันธุ์ โรบัสต้า สุกสีแดงอาหารของชะมด
       เก็บมาฝาก ปิดท้าย ด้วยข่าวขำ วงการกาแฟ
       กาแฟขี้ชะมดโดนล้มแช้มป์ โดย "กาแฟลิง"
       
       เมืองเกษตรกรรมอย่างไทยเรารู้จักใช้ประโยชน์จากมูลสัตว์โดยนำไปเป็นปุ๋ยบำรุงต้นไม้มานาน อีกทั้งรู้ว่าวัตถุดิบจากสัตว์บางชนิดสามารถนำไปเป็นส่วนประกอบของยารักษาโรคได้ ความมหัศจรรย์หนึ่งที่เกิดจากสัตว์แต่ไม่ได้ค้นพบในบ้านเรา ไปปรากฏที่อินโดนีเซีย คือขี้ชะมดนำไปทำกาแฟดื่มเรียกว่า กาแฟโกปิลูวัก (Kopi luwak) ก้าวขึ้นมาเป็นยอดกาแฟราคาแพงที่สุดในโลก แต่ล่าสุดกาแฟขี้ชะมดเสียแชมป์ด้านความอร่อยไปแล้วเมื่อนักชิมระดับโลกฟันธงว่ากาแฟขี้ชะมดรสชาติสู้ “กาแฟลิง” ไม่ได้
       
       ทิฟฟานี โซเปอร์ ประชาสัมพันธ์ของ 49th Parallel บริษัทจำหน่ายกาแฟชื่อดังแห่งแคนาดา เผยกับเหยี่ยวข่าว Vancouver Sun ว่ายอดกาแฟน้องใหม่มาแรงดังกล่าวชื่อ India Devon Estate 795 Arabica ปรุงจากเมล็ดกาแฟที่ลิงวอกในอินเดียบ้วนออกมา ลิงวอก (Rhesus Monkey) ชื่อวิทยาศาสตร์ Macaca mulatta พบในภาคเหนือของไทย ในจีน และอัฟกานิสถานด้วย โซเปอร์เล่าว่าชาวไร่กาแฟในอินเดียนำเมล็ดกาแฟที่ลิงบ้วนทิ้งมาปรุงดื่มนานแล้ว แต่นำมาผสมกับเมล็ดกาแฟเก็บจากต้น ก่อนจะทดลองรสชาติกาแฟลิงล้วนๆเมื่อไม่นานที่ผ่านมา และพบว่ารสชาติโดนใจกว่า
       
       ผู้เชี่ยวชาญเผยว่ากาแฟลิงกลิ่นหอมยวนใจ รสชาติกลมกล่อมปิดท้ายด้วยรสหวานฉ่ำลิ้น เป็นผลมาจากเมล็ดกาแฟที่ลิงเลือกไปกินเปลือกนอกและบ้วนส่วนที่เหลือออกมาเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์และสุกเต็มที่ เว็บไซต์ Canada.com ระบุว่า ประธานคณะกรรมการตัดสินการปรุงกาแฟชิงแชมป์โลกเทคะแนนให้ India Devon Estate 795 Arabica ถึง 98 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 ส่วนกาแฟขี้ชะมดได้ 74 คะแนน ร้าน 49th Parallel ขายกาแฟลิงปรุงแบบ Espresso ที่สาขาในแวนคูเวอร์ ถ้วยละ 2.36 ดอลลาร์สหรัฐ (75.50 บาท)

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 ตุลาคม 2556

71
ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันอีกต่อไปเมื่อทีมไทยคว้ารางวัล “อิกโนเบล” สาขาสาธารณสุข ประจำปี 2013 จากผลงานต่ออวัยวะเพศชาย ด้านงานวิจัย “ด้วงกุดจี่” เคลื่อนที่ตามการหมุนของทางช้างเผือกก็คว้ารางวัลในสาขาชีววิทยาและดาราศาสตร์
       
       ผลการประกาศรางวัลอิกโนเบล (Ig Nobel Prizes) ประจำปี 2013 ที่จัดขึ้นโดยนิตยสารรายปี "งานวิจัยที่ไม่น่าเป็นไปได้"* (Annals of Improbable Research) เมื่อคืนวันพฤหัสบดี วันที่ 12 ก.ย.2013 ตามเวลาท้องถิ่น ณ มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด (Harvard University) สหรัฐฯ ปรากฏว่ามีรายชื่อคณะจากประเทศไทยได้รับรางวัลในสาขาสาธารณสุข จากผลงานการต่ออวัยวะเพศชาย
       
       คณะกรรมการได้มอบรางวัลจากรายงานทางด้านเทคนิคการแพทย์เกี่ยวกับการศัลยกรรมชั้นผิวหนังของอวัยวะเพศชายในประเทศไทย ซึ่งทีมแพทย์ที่ได้รับรางวัลรับรองว่าเทคนิคดังกล่าวให้ผลดี ยกเว้นกรณีที่อวัยวะเพศชายถูกเป็ดกินไปบางส่วน
       
       สำหรับรายชื่อทีมไทยที่ได้รับรางวัลในสาขานี้ ได้แก่ เกษียร ภังคานนท์, ตู้ ชัยวัฒนา**, ชุมพร พงษ์นุ่มกุล, อนันต์ ตัณมุขยกุล, ปิยะสกล สกลสัตยาทร, คริต โคมาราทาล** และ เฮนรี ไวลด์
       
       สาขาจิตวิทยา : มอบให้แก่การทดลองที่พบว่า คนที่คิดว่าตัวเองเมาจะคิดว่าตัวเองนั้นมีสเน่ห์ดึงดูดด้วย ซึ่งเป็นงานวิจัยที่นำโดย เลอเรนต์ เบก (Laurent Bègue) อูลมานน์ เซอร์ฮูนี (Oulmann Zerhouni) แบพติสต์ ซูบรา (Baptiste Subra) และ เมธี อูราบาห์ (Medhi Ourabah) จากฝรั่งเศส และ แบรด บุชแมน (Brad Bushman) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท (Ohio State University) สหรัฐฯ ซึ่งสอนที่เนเธอร์แลนด์ด้วย
       
       สาขาร่วมระหว่างชีววิทยาและดาราศาสตร์ : มอบให้แก่งานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าด้วงขี้ควายหรือกุดจี่ที่หลงทางนั้น สามารถหาทางกลับบ้านได้โดยใช้ทางช้างเผือกนำทาง ซึ่งวิจัยนี้เป็นของ มารี ดัคเก (Marie Dacke) เอมิลี เบียร์ด (Emily Baird) มาร์คัส ไบรน์ (Marcus Byrne) คลาร์ก สคอลต์ซ (Clarke Scholtz) และ อีริค วอร์แรนต์ (Eric Warrant) ทีมจากสวีเดน ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร และ เยอรมนี
       
       สาขาการแพทย์ : เป็นการศึกษาการประเมินผลกระทบจากการฟังโอเปราที่มีต่อผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจ ในกรณีนี้คือหนู ซึ่งรางวัลสาขานี้มอบให้แก่ มาซาเทรุ อูชิยามะ (Masateru Uchiyama) จิน เซียง หยวน (Xiangyuan Jin) โทชิฮิโตะ ฮิราอิ (Toshihito Hirai) อาสึชิ อามาโนะ (Atsushi Amano) ฮิซาชิ บาชุดะ (Hisashi Bashuda) และ มาซาโนริ นิอิมิ (Masanori Niimi) จากญี่ปุ่น จีนและสหราชอาณาจักร
       
       สาขาวิศวกรรมความปลอดภัย : มอบให้แก่ผลงานระบบกลศาสตร์ไฟฟ้าสำหรับจับกุมสลัดเครื่องบิน โดยการหยุดผู้ร้ายด้วยประตูดักจับ และผนึกไว้ในหีบห่อ จากนั้นปล่อยออกจากเครื่องบินพร้อมร่มชูชีพ ลงไปยังพื้นที่มีตำรวจรอรับอยู่ มอบให้แก่ กัสตาโน ปิซโซ (Gustano Pizzo) จากสหรัฐฯ ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อปี 2006
       
       สาขาฟิสิกส์ : มอบให้แก่การค้นพบว่าบางคนมีความสามารถทางกายภาพที่วิ่งบนพื้นผิวของสระน้ำได้ หากทั้งคนและสระน้ำอยู่บนดวงจันทร์ ซึ่งเป็นงานวิจัยของ อัลเบอร์โต มิเนตติ (Alberto Minetti) ยูริ อิวาเนนโก (Yuri Ivanenko) เจอร์มานา แคปเปลลินิ (Germana Cappellini) นาเดีย โดมินิซี (Nadia Dominici) และฟรานซิสโก แลคควินิตี (Francesco Lacquaniti) จากอิตาลี สหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซีย และฝรั่งเศส
       
       สาขาเคมี : เป็นการค้นพบว่ากระบวนการทางชีวเคมีที่เกิดจากหัวหอมที่ทำให้คนเราร้องไห้นั้นมีความซับซ้อนมากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยเข้าใจ ผลงานวิจัยของ ชินซุเกะ อิมาอิ (Shinsuke Imai) โนบุอากิ สึเกะ (Nobuaki Tsuge) มูเนอากิ โทโมทาเกะ (Muneaki Tomotake) โยชิอากิ นากาโทเมะ (Yoshiaki Nagatome) โทชิยูกิ นากาตะ (Toshiyuki Nagata) และ ฮิเดฮิโกะ กุมกาอิ (Hidehiko Kumgai) จากญี่ปุ่น และเยอรมนี
       
       สาขาโบราณคดี : มอบให้แก่ 2 นักวิจัยที่นึ่งซากหนูผี (shrew) จากนั้นกลืนซากโดยไม่เคี้ยว เพื่อตรวจสิ่งที่พวกเขาขับถ่ายออกมาว่า กระดูกชิ้นไหนที่ถูกย่อยในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ได้บ้าง และชิ้นไหนที่ย่อยไม่ได้ ซึ่งเป็นผลงานของ ไบรอัน แคนดัลล์ (Brian Crandall) จากสหรัฐฯ และ ปีเตอร์ สตาห์ล (Peter Stahl) จากแคนาดาและสรัฐฯ
       
       สาขาสันติภาพ* : มอบให้แก่ชาวเบลารุสและประธานาธิบดีของประเทศนี้ ที่ทำให้การปรบมือในที่สาธารณะกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และแก่ตำรวจของรัฐในเบลารุส ที่จับกุมชายแขนข้างเดียวที่ปรบมือ
       
       สาขาความน่าจะเป็น : มอบให้แก่นักวิจัยที่ค้นพบว่า ยิ่งวัวเอนตัวลงนอนไปนานแล้วเท่าไหร่ อีกไม่นานก็จะยืนขึ้น แต่เมื่อวัวยืนขึ้นแล้ว ก็ยากที่จะคาดเดาว่าวัวจะล้มตัวลงนอนอีกเมื่อไหร่ รางวัลนี้มอบให้แก่ เบิร์ต โทลแกมป์ (Bert Tolkamp) มารี แฮสเกลล์ (Marie Haskell) ฟรีธา แลงฟอร์ด (Fritha Langford) เดวิด โรเบิร์ตส (David Roberts) และ โคลิน มอร์แกน (Colin Morgan) จากสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และ แคนาดา

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 กันยายน 2556

72
 ลุ้นประกาศผลรางวัลโนเบลประจำปี 2013 ประเดิมด้วยสาขาแพทย์เป็นรางวัลแรก โดย 2 อเมริกัน และ 1 เยอรมันคว้ารางวัลสาขาการแพทย์ไปครอง จากผลงานค้นพบกลไกนำส่งระดับเซลล์ที่แม่นยำ
       
       รางวัลโนเบล (Nobel Prize) ตั้งขึ้นโดย อัลเฟร็ด เบอร์นาร์ด โนเบล (Alfred Bernhard Nobel) นักเคมีชาวสวีเดนผู้สร้างนวัตกรรมระเบิดไดนาไมต์เพื่อใช้ในกิจการระเบิดเหมือง แต่กลับถูกนำไปใช้ในการเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ โดยเขาได้ทิ้งมรดกคิดเป็นเงิน กว่า 8,300 ล้านบาท ในปัจจุบันเพื่อเป็นทุนสำหรับรางวัล และทุกปีจะประกาศรางวัลในช่วงต้นเดือน ต.ค.และมีพิธีพระราชทานรางวัล ณ สตอกโฮล์ม คอนเสิร์ตฮอลล์ สวีเดน ในวันที่ 10 ธ.ค.ซึ่งตรงกับวันครบรอบวันเสียชีวิตของเขา

       
การประกาศผลรางวัลประจำปี 2013
       (ตามเวลาประเทศไทย)
       ************************


(ซ้ายไปขวา) เจมส์ อี รอธแมน, แรนดี เชคมาน และ โทมัส ซูดอฟ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลแพทย์ปี 2013
       1. สาขาสรีศาสตร์ หรือการแพทย์
       วันที่ 7 ต.ค.2013 เวลา 16.30 น.       
     
       ผู้ได้รับรางวัล : เจมส์ อี รอธแมน (James E. Rothman) ชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) สหรัฐฯ แรนดี เชคมาน (Randy Schekman) ชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (University of California, Berkeley) สหรัฐฯ และ โทมัส ซูดอฟ (Thomas Sudhof) ชาวเยอรมันจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในพาโลอัลโต (Stanford University, Palo Alto)
       
       “สำหรับการค้นพบของพวกเขา, รอธแมน, เชคมาน และซูดอฟ ได้เผยถึงระบบควบคุมที่แม่นยำอย่างยอดเยี่ยมในการขนส่งและนำส่งสิ่งของระดับเซลล์” คำแถลงของคณะกรรมการรางวัลโนเบลจากสมัชชาโนเบล ที่สถาบันแคโรลินสการะบุ
       
       ประกาศรางวัลโดย : โกรังค์ ฮานสัน (Göran K. Hansson) เลขาธิการคณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาสรีศาสตร์ หรือการแพทย์
       
       มอบรางวัลโดย : สมัชชาโนเบล ที่สถาบันแคโรลินสกา (The Nobel Assembly at the Karolinska Institute) สตอกโฮล์ม สวีเดน
         

       2.สาขาฟิสิกส์
       วันที่ 8 ต.ค.2013 เวลา 16.45 น.
       
       ผู้ได้รับรางวัล :
       
       ประกาศรางวัลโดย : สตัฟฟาน นอร์มาร์ก (Staffan Normark) เลขาธิการราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน
       
       มอบรางวัลโดย : ราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน (The Royal Swedish Academy of Sciences) สตอกโฮล์ม สวีเดน

       3.สาขาเคมี
       วันที่ 9 ต.ค.2013 เวลา 16.45 น.
       
       ผู้ได้รับรางวัล :
       
       ประกาศรางวัลโดย : สตัฟฟาน นอร์มาร์ก (Staffan Normark) เลขาธิการราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน
       
       มอบรางวัลโดย : ราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน (The Royal Swedish Academy of Sciences) สตอกโฮล์ม สวีเดน

       4. สาขาสันติภาพ
       วันที่ 11 ต.ค.2013 เวลา 16.00 น.       
       
       ผู้ได้รับรางวัล :
       
       ประกาศรางวัลโดย : ธอร์บียอร์น ยักลันด์ (Thorbjørn Jagland) ประธานคณะกรรมการโนเบลแห่งนอร์เวย์ (The Norwegian Nobel Committee)
       
       มอบรางวัลโดย : สถาบันโนเบลแห่งนอร์เวย์ (The Norwegian Nobel Institute) ออสโล นอร์เวย์

       5.สาขาเศรษฐศาสตร์
       วันที่ 14 ต.ค.2013 เวลา 18.00 น.       
         
       ผู้ได้รับรางวัล :
       
       ประกาศรางวัลโดย : สตัฟฟาน นอร์มาร์ก (Staffan Normark) เลขาธิการราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน
       
       มอบรางวัลโดย : ราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน (The Royal Swedish Academy of Sciences) สตอกโฮล์ม สวีเดน

       และ 6.สาขาวรรณกรรม
       10 ต.ค.2013 เวลา 17.00 น.
       
         
       ผู้ได้รับรางวัล :
       
       ประกาศรางวัลโดย : ปีเตอร์ เอ็งลุนด์ (Peter Englund) เลขาธิการสถาบันวิชาการสวีเดน
       
       มอบรางวัลโดย : สถาบันวิชาการสวีเดน (The Swedish Academy) สต็อล์คโฮม สวีเดน

       และประเดิมก่อนใครด้วยรางวัล “อิกโนเบล” (IgNobel) รางวัลสำหรับงานวิจัยที่ไม่ธรรมดาที่กระตุกต่อมฮาก่อนให้เราได้ขบคิด ซึ่งมอบรางวัลกันไปตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย.2012 ซึ่งมีผลงานของทีมวิจัยไทยได้รับรางวัลในสาขาสาธารณสุขด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 ตุลาคม 2556

73
วันนี้ นึกถึงสิ่งที่อาจถูกมองข้ามในการดูแลพ่อแม่สูงอายุที่ป่วย (และอาจดื้อมาก) ได้เป็นข้อๆ เลยนำประสบการณ์มาแบ่งปันให้ได้ตระหนักกัน ดังนี้ครับ

๑. ไม่ว่าเราจะโตแค่ไหน มีความรู้เยอะเพียงใด อายุก็ยังห่างกับพ่อแม่เท่าเดิม

อย่าพยายามที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของท่าน ถึงแม้จะเป็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นผลดีต่อโรคเลยก็ตาม เถียงกันไปเราจะเหนื่อยทั้งกายและปวดทั้งใจ

ให้ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในชีวิตท่านอย่างเนียนๆ วันนึงที่พ่อแม่เห็นด้วยตัวเองว่า ทำแบบนี้แล้วสบายตัวขึ้น ท่านจะยอมทำเอง โดยไม่มีใครเสียฟอร์ม ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๒. ดูแลพ่อแม่อย่างลูกพึงดู ไม่ใช่อย่างแพทย์ ผู้รู้ นักวิชาการ สปอนเซอร์ หรือผู้ปกครอง

อย่าลืมว่าพ่อแม่ทุกคนต้องการความรัก ความอบอุ่น และความเคารพจากลูกมากกว่าอะไรทั้งหมด ถึงแม้บางท่านอาจจะแสดงออกในทางตรงกันข้ามก็ตาม

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๓. ไม่มีใครอยากป่วย อยากเป็นคนป่วย อยากช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรืออยากเป็นคนแก่ ที่สูญเสียความเคารพตัวเอง

อย่าลืมว่ามนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ข้อนี้คนเป็นลูกมักจะมองข้ามมากที่สุด

ไม่ว่าท่านจะป่วยหรือแก่ขนาดไหนก็ตาม ท่านมีสิทธิเต็มที่ ที่จะได้รับการปฏิบัติต่อด้วยความเคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีนั้น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๔. อย่ายัดเยียดสิ่งที่เราเห็นว่า เหมาะที่สุดกับพ่อแม่ โดยท่านไม่เต็มใจ ถึงแม้มันจะเป็นสิ่งที่เลิศเหลือเกินในสายตาเรา หรือชาวโลกก็ตาม

หลายๆ คนบ่นให้ฟังว่า หาคนมาดูแลก็ไม่เอา ซื้อเตียงใหม่ให้ก็ไม่ชอบ ทำห้องให้ใหม่ก็ไม่ยอมอยู่ หมอที่เรารู้จักเก่งกว่าตั้งเยอะ ก็ไม่ยอมเปลี่ยนหมอ ฯลฯ

ขอให้ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เมื่อความไว้เนื้อเชื่อใจเกิดขึ้น ผู้ใหญ่จะรับความหวังดีจากเราด้วยความเต็มใจเอง

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๕. การเปลี่ยนบทบาทจากผู้ถูกดูแล มาเป็นผู้ดูแล ทั้งทางกาย ทางใจ ทางการเงิน เป็นการเปลี่ยนผ่านที่อาศัยเวลาและความเข้มแข็งมหาศาล

อย่าโทษตัวเอง ถ้าพบว่ามันไม่ง่ายและท้อแท้ คิดถึงหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ที่มีต่อเรา แล้วจะพบว่าหัวใจของลูกที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนท่าน ไม่ได้ยิ่งใหญ่น้อยไปกว่ากันเลย

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๖. ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องรู้เวลากิน นอน ขับถ่าย ความดันเลือด ชีพจร ปริมาณน้ำ อาหารและยา และการตอบสนองทั้งหมดต่อสิ่งเหล่านั้น
รวมทั้งเลขหมายโทรศัพท์โรงพยาบาล หมอ และบริการฉุกเฉิน เพราะภ่าวะฉุกเฉินเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ยิ่งข้อมูลพร้อมเท่าไหร่ การรักษาพยาบาลจะผิดทางน้อยลงเท่านั้น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๗. เป็นคนพาพ่อแม่ไปหาหมอทุกครั้ง

แรกๆ อาจได้รับการปฏิเสธไม่ให้ไปด้วย ให้พยายามแทรกซึมจนท่านชินที่มีเราไปอำนวยความสะดวก ที่สุดแล้วท่านจะรู้สึกชินกับความสบายนี้ และเปิดใจให้เราเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลรักษา

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๘. หากจะจ้างคนดูแล เราต้องแน่ใจที่สุด ว่าเรามีเวลาในการดูแลการทำงานของเขาอย่างใกล้ชิด

คนดูแลไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าเรา และไม่ได้มีใจรักพ่อแม่เราอย่างที่เรามีแน่นอน

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๙. จัดหาทุกอย่างที่พ่อแม่เคยชอบเคยใช้ แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ใช้แล้วก็ตาม
เช่น เสื้อผ้าที่นานๆ จะมีโอกาสใส่สักครั้งนึง

นอกจากท่านจะรู้สึกว่าเราเอาใจใส่แล้ว ท่านจะยังรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
ไม่มีอะไรเสื่อมถอยจนด้อยค่า ใช้ของดีๆ สวยๆ ไม่ได้แล้ว
คุณค่าทางใจแบบนี้ประมาณค่าไม่ได้เลย

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๑๐. แบ่งหน้าที่กันกับพี่น้อง หรือคนในครอบครัวให้ชัดเจน
จะช่วยลดภาระทางกายและทางใจลงได้เยอะ
อย่างน้อยที่สุด ก็ลดความตึงเครียดในครอบครัว
รวมทั้งลดการดูแลซ้ำซ้อน เช่น การให้ยาซ้ำ อันอาจเป็นอันตรายได้

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๑๑. คุยทิศทางการรักษา และการดูแล กับคนในครอบครัวให้ชัดเจนก่อนคุยกับหมอ

เมื่อหมอเสนอวิธีการรักษาอะไร อย่ากลัวที่จะถาม
อย่ากลัวที่จะขอเวลาหมอหาข้อมูลเพิ่มเติม
ความเห็นที่สอง (2nd opinion) ความเห็นที่สาม (3rd opinion) สำคัญเสมอ
อย่าหลับหูหลับตาเชื่ออะไรที่ไม่เข้าใจ

และก่อนตัดสินใจอะไรสำคัญๆ ทุกครั้ง อย่าลืมหาข้อมูลของแต่ละทิศทาง
และผลข้างเคียงประกอบการตัดสินใจด้วย

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๑๒. ถ้าคุยกับคนในครอบครัวไม่รู้เรื่อง ญาติที่ไกลออกไปหน่อยที่มีความเป็นกลาง จะช่วยไกล่เกลี่ยได้ดีมาก

จำไว้เสมอว่าเราอาจเป็นคนที่คิดผิดเองก็ได้ และทิฏฐิมานะไม่เคยช่วยให้อะไรดีขึ้น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

๑๓. เกิดอะไรผิดพลาด อย่ามัวแต่โทษตัวเองหรือปิดบังความจริง
ให้รีบแจ้งหมอ แจ้งครอบครัว และช่วยกันแก้ไขปัญหา
ทุกข้อมูลสำคัญกับการรักษาทั้งสิ้น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ขออนุโมทนากับลูกทุกคนที่มีโอกาสดูแลพ่อแม่
เมื่อเราทำเต็มที่ใจจะไม่รู้สึกขาดเลย ใจจะอิ่มจะเต็ม และเป็นพลังชีวิตที่ยิ่งใหญ่

พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร
อาหุเนยฺย จ ปุตฺตานํ ปชาย อนุกมฺปกา

มารดา บิดา ท่านว่าเป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์
เป็นที่นับถือของบุตร และเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร
(พุทธภาษิตจาก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต พรหมสูตร ข้อ ๔๗๐)


เครดิต : พล.ต. สรานุวัตร ประดิษฐพงษ์

74
เรื่องดีๆๆ อ่านไว้เตือนภัยคนใกล้ตัวคะ!! นักศึกษาปริญญาโท นิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาลตร์ ภาควิชาอาชญวิทยา เก็บข้อมูลจากนักโทษข้อหาข่มขืนจากคุกบางขวางและลาดยาว จำนวน 100 คน

- 90% เลือกผู้หญิงผมยาว คือหางเปีย หางม้าปล่อยตามธรรมชาติ เพราะกระชากจากข้างหลังได้ง่าย

- 87% เลือกผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าถอดง่าย แต่หากพบผู้หญิงถูกใจแต่สวมเสื้อผ้าที่ต้องใช้เวลาถอดนาน เขาจะกลับมาดักรอเป็นครั้งที่สองพร้อมกรรไกรหรือคัตเตอร์

- 84% เลือกผู้หญิงที่เดินไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วย มือถือสามารถนำไปขายต่อได้ หรืออ่านการ์ตูน หรือหนังสืออื่นขณะเดินเพราะไม่ได้ระวังตัว

- 96% เลือกผู้หญิงที่เดินทางไปไหนมาไหนเวลากลางคืน เพราะผู้ชายส่วนใหญ่มีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกตอนกลางคืนโดยไม่คำนึงว่าต้องเป็นผู้หญิงสวยหรือหุ่นดี ขอให้มีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็พอ มีนักโทษบางขวางคนหนึ่งให้ข้อมูลว่าหากเวลานั้นเป็นเวลาที่เขาต้องการปลดปล่อยแล้วเขาไม่เลือกว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย วัว ควาย

- 99% เลือกผู้หญิงที่เดินทางคนเดียว มีนักโทษบางขวางคนหนึ่งทำทีเป็นวินมอเตอร์ไซค์รับผู้หญิงคนที่ถูกใจจากกลุ่มเพื่อนของเธอที่เดินด้วยกันไปข่มขืน

- 80% สามารถข่มขืนได้ในการกระทำครั้งแรกโดยใช้อุปกรณ์ที่อยู่ในผู้หญิงนั่นเองเป็นอุปกรณ์ช่วยประกอบการกระทำผิด เช่น เข็มขัด ลูกกุญแจ กระจกส่องหน้า

- 70% เลิกล้มความตั้งใจหากผู้หญิงคนนั้นจ้องหน้าเขาแล้วเริ่มต้นสนทนาสั้นๆกับเขาก่อน ขณะที่เขาเข้าประชิดตัว เช่น โทษค่ะ กี่โมงแล้ว

หากใครมีเพื่อนพ้องน้องพี่ผู้หญิงโปรดแจ้งข้อมูลนี้ต่อด้วยคะ

CR:Tactical Shopaholic's photo

75
เพื่อนส่งมาให้ ขออนุญาตแชร์ต่อเพราะอยู่ USA พอดี นาทีนี้ต้องรู้ไว้บ้าง 8 คำถาม 8 คำตอบ

ผลกระทบและสาเหตุุการปิดทำการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หลังจากรัฐสภาไม่ผ่านการพิจารณางบประมาณประจำปี

1. การปิดทำการจะมีผลต่อความสัมพันธ์ต่อสังคมสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกหรือไม่

- งานบริการด้านกงสุล กงสุลสหรัฐ ในต่างประเทศ จะยังคงดำเนินงานตราบเท่าที่มีงบประมาณเพียงพอที่จะสนับสนุนในการทำงาน ตามคำสั่งของกระทรวงการต่างประเทศ ดังนั้นบริการ การขอวีซ่า และการทำหนังสือเดินทาง และ การให้บริการแก่ พลเมืองสหรัฐ ในต่างประเทศ จะดำเนินต่อไปเท่าที่สามารถทำได้

- นโยบายการทูต : การเดินทาง กระทรวงการต่างประเทศ จะถูก จำกัด ให้เฉพาะสำหรับภารกิจเท่าที่จำเป็น เช่นเพื่อความมั่นคงของชาติ หรือ การรับมือภัยพิบัติเหตุฉุกเฉิน ที่เกี่ยวข้องกับ ความปลอดภัยของชีวิตมนุษย์ หรือ การคุ้มครองทรัพย์สิน

- บริการด้านกรีนการ์ด : งานบริการด้านเกี่ยวกับพิจารณาให้สัญชาติสหรัฐ และการให้บริการตรวจคนเข้าเมือง จะยังคงดำเนินต่อ เพราะกระบวนการขอ บัตรเขียว หรือ การขอถิ่นที่อยู่ถาวรในสหรัฐ ได้รับงบประมาณส่วนใหญ่จาก ค่าธรรมเนียมการใช้บริการ มากกว่างบประมาณจากส่วนกลาง

- หน่วยงานด้านความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ : ส่วนใหญ่ยังคงทำงานตามปกติ เพราะมีความจำเป็นต่อความมั่นคง ปลอดภัยโดยรวม เช่น หน่วยยามฝั่ง และ จนท.ภาษีศุลกากร และ หน่วนงานป้องกันชายแดน พนักงาน เจ้าหน้าที่ ตรวจคัดกรอง ที่สนามบิน แต่อาจจะเกิดความล่าช้าได้ในบางหน่วยงาน

- หน่าวยงานทางทหาร: ทหาร 1.4 ล้านนายที่อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่และประจำการ จะยังคงทำหน้าที่ต่อไปแต่จะได้รับเงินภายหลัง ขณะที่ ครึ่้งหนึ่งของเจ้าหน้าที่ พนักงาน พลเรือนกระทรวงกลาโหม จำนวน 400,000 คน จะถูกพักงาน ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งจะทำงานโดยไม่ได้รับเงิน

- การท่องเที่ยว: อุทยานแห่งชาติทั่วอเมริกาการวมทั้งเว็บไซต์จะปิดบริการชั่วคราว รวมไปถึงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ และพิพิธภัณฑ์ ที่จะสูญเสียรายได้จากนับล้านค่าตั๋วเข้าชม นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อ ชุมชนใกล้เคียงแหล่งท่องเที่ยวและธุรกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยว

2. ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจจะมีต่อสหรัฐอเมริกา และทั่วโลก ? -ถ้าปิดในเวลาไม่กี่วัน จะส่งผลต่อความลำบากทางการเงิน โดยเฉพาะพนักงานที่ถูกพักงานและไม่ได้รับค่าจ้าง -ถ้าปิดในเวลาไม่กี่สัปดาห์ที่ รายได้จากการท่องเที่ยว จะเริ่มได้รับผลกระทบ และผู้บริโภคและภาคธุรกิจ จะไตร่ตรองมากขึ้นในการใช้จ่าย - ถ้าปิดนานกว่านั้น จะส่งผลต่อการชำระหนี้ ของรัฐบาลกลาง ทำหน้าที่นักลงทุนต่างชาติ เริ่มต้องกังวลเกี่ยวกับ ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ และอาจจะสูญเสีย ความเชื่อมั่น ศักยภาพในการใช้จ่าย การให้กู้ยืมเงิน และอัตราดอกเบี้ยจากผู้ให้กู้จากต่างประเทศอาจเพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างชาติ ไม่มีความเชื่อมั่นการซื้อ พันธบัตร รัฐบาลสหรัฐ

3. ทำไมรัฐบาลสหรัฐ ต้องปิดทำการ? ตอบง่ายๆ ให้เห็นภาพ รัฐบาลก็เหมือน รถ ที่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิง นั่นก็คืองบประมาณในการบริหาร หากไม่มีน้ำมันรถก็แล่นไม่ได้ ขณะที่รัฐสภาเป็นเสมือนผู้รับผิดชอบในการเติมน้ำมันในทุกๆ ปีงบประมาณใหม่

4. เหตุที่ ฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่สามารถตกลงกับฝ่ายบริหารได้ เพราะ? พรรคริพับลิกันซึ่งถือเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯไม่เห็นด้วยกับ กฏหมายการประกันสุขภาพ หรือ รู้จักกันในชื่อ Obamacare จึงปฏิเสธที่จะลงนามในการจัดสรรงบประมาณประจำปี ที่มีนโยบายดังกล่าว ขณะที่ สมาชิกวุฒิสภาซึ่งพรรคเดโมแครตถือเสียงข้างมาก ก็ปฏิเสธที่จะลงนามอนุมัติงบประมาณประจำปีที่มี กองทุน Obamacare รวมอยู่ด้วย

5. เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนหรือไม่ เกิดขึ้น 17ครั้ง ตั้งแต่ ค.ศ. 1977 จนถึงครั้งล่าสุดซึ่งเป็นเวลายาวนานที่สุด ถึง 21 วันนับจากวันที่ 16 ธันวาคม 1995 ถึง 5 มกราคม 1996

6. วิธีปิดทำงาน จะดำเนินการอย่างไร ในเวลานี้ ? หน่วยงานรัฐบาลกลาง จะมีการแจ้งให้ พนักงาน หรือเจ้าหน้าที่แต่ละคนว่า ว่าใคร คือ " จำเป็น " หรือ " ไม่จำเป็น " ที่จะต้องเข้ามาทำงานในสถานการณ์นี้ เจ้าหน้าที่รัฐที่เห็นว่ามีความ เห็นว่า จำเป็น จะยังคง ทำงานตามปกติ ส่วนคนอื่นที่เหลือจะถูกพักงาน ที่บ้าน โดยไม่ได้รับเงินเดือน ส่วนคนที่มาทำงานจะจ่ายให้ภายหลังหากมีการจัดสรรงบประมาณเรียบร้อยแล้ว

7. มีเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางกี่คนที่จะถูกพักงาน? ประมาณ 800,000 จากจำนวน 2.2 ล้านคนของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางทั่วอเมริกาจะถูกพักงาน อยู่ที่บ้าน โดยไม่ได้รับเงินเดือน

8. ผู้ที่ถูกพักงานจะสามารถทำงานได้หรือไม่ ? สามารถทำได้ แต่ อาจจะมี ผลกระทบตามมา เพราะในแง่กฏหมายแล้วจะไม่สามารถทำได้ และอาจมีความผิดทางกฎหมาย ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจะดำเนินการ ใด ๆ เกี่ยวกับงานในระหว่างการถูกปิดทำการ ซึ่งรวมไปถึง การตรวจอีเมลของที่ทำงานก็ไม่สามารถทำได้

น.พ.พรชัย พิญญพงษ์'s photo.

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 13