แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - science

หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13
166
เอ่ย​ชื่อ​ “​โรค​ตื่น​ตระหนก​” ​หรือ​ “​โรค​แพน​ิก” ​หลาย​คน​อาจ​จะ​ไม่​รู้​จัก​โรค​นี้​ด้วย​ซ้ำ​ ​แต่​ถ้า​ใคร​ที่​มี​อาการ​วิตก​กังวล​ ​กลัว​อย่าง​รุน​แรง​ฉับ​พลัน​ทัน​ใด​ ​มือ​สั่น​ ​ตัว​สั่น​ ​หาย​ใจ​ขัด​ ​พูด​ไม่​ออก​ต้อง​พูด​ต่อ​หน้า​คน​จำนวน​มาก​

​เอ่ย​ชื่อ​ “​โรค​ตื่น​ตระหนก​” ​หรือ​ “​โรค​แพนิก” ​หลาย​คน​อาจ​จะ​ไม่​รู้​จัก​โรค​นี้​ด้วย​ซ้ำ​  ​แต่​ถ้า​ใคร​ที่​มี​อาการ​วิตก​กังวล​ ​กลัว​อย่าง​รุน​แรง​ฉับ​พลัน​ทัน​ใด​ ​มือ​สั่น​ ​ตัว​สั่น​ ​หาย​ใจ​ขัด​ ​พูด​ไม่​ออก​ ​เวลา​ที่​ต้อง​พูด​ต่อ​หน้า​คน​จำนวน​มาก​ ​หรือ​อยู่​ใน​ที่​คับแค​บ​รู้​สึก​อึด​อัด​หาย​ใจ​ไม่​ออก​ ​และ​มี​อาการ​อีก​สารพัด​ ​คุณ​อาจ​จะ​อยู่​ใน​ข่าย​เป็น​โรค​ตื่น​ตระหนก​ก็​เป็น​ได้​
   
​เกี่ยว​กับ​เรื่อง​นี้​ ​นพ​.​วชิระ​ ​เพ็ง​จันทร์​ ​รอง​อธิบดี​กรม​สุข​ภาพ​จิต​ ​กระทรวง​สาธารณสุข​ ​อธิบาย​ว่า​ ​โรค​ตื่น​ตระหนก​เป็น​อาการ​ป่วย​ทาง​จิตเวช​อย่าง​หนึ่ง​ ​พบ​ใน​เพศ​หญิง​มาก​กว่า​เพศ​ชาย​ ​อุบัติ​การณ์​ใน​ประเทศไทย​ ​จาก​โครงการ​สำรวจ​ระบาด​วิทยา​สุข​ภาพ​จิต​คน​ไทย​ปี​ พ.ศ. 2551 ​พบ​ประมาณ​  1.1% ​หรือ​ประมาณ​ 7 ​แสน​คน​ ​โดย​พบ​มาก​ใน​คน​อายุ​ระหว่าง​ 30-35 ​ปี​
   
​สาเหตุ​ของ​โรค​ตื่น​ตระหนก​ ​ยัง​ไม่​ทราบ​แน่​ชัด​ว่า​เกิด​จาก​อะไร​ ​แต่​สันนิษฐาน​ว่า​ ​ส่วน​หนึ่ง​อาจมีความ​ผิด​ปกติ​ทาง​พันธุ​กรรม​ ​และ​มี​ปัจจัย​ทาง​ด้าน​ร่าง​กาย​และ​จิตใจ​เข้า​มา​เกี่ยว​ข้อง​ด้วย​ ​และ​อาจ​เกิด​จาก​ประสบการณ์​ชีวิต​ด้าน​ลบ​ที่​เกิด​ขึ้น​ใน​อดีต​ ​เช่น​ ​การ​สูญ​เสีย​ ​การ​พลัด​พราก​ ​หรือ​กังวล​ว่า​จะ​ถูก​พลัด​พราก​ ​ถูก​กระทบ​กระเทือน​ทาง​ ​จิตใจ​ ​เช่น​ ​ถูก​ทำ​ร้าย​ ​ร่าง​กาย​ ​ถูก​ทารุณกรรม​ทาง​เพศ​ ​ส่วน​ใหญ่​เหตุ​การณ์​ด้าน​ลบ​ใน​ชีวิต​มัก​เกิด​ก่อน​อายุ​ 15 ​ปี​ ​พอ​โต​ขึ้น​ประสบการณ์​ ​ดัง​กล่าว​ก็​ยัง​ตาม​มา​หลอก​หลอน​อยู่​ ​หาก​เจอ​สิ่ง​เร้า​หรือ​สิ่ง​กระตุ้น​ใน​ลักษณะ​เดียว​กัน​อาการ​อาจ​กำเริบ​ได้​
   
​อาการ​ ​คือ​ ​รู้​สึก​วิตก​กังวล​หรือ​รู้​สึก​กลัว​ฉับ​พลัน​ทัน​ที​ทัน​ใด​ ​โดย​ผู้​ป่วย​อาจ​จะ​มี​อาการ​ ​เช่น​  ​ตื่น​เต้น​ ​ตัว​สั่น​ ​ใจ​สั่น​ ​มือ​สั่น​ ​หาย​ใจ​ขัด​ ​หาย​ใจ​ไม่​ออก​ ​แน่น​หน้า​อก​ ​รู้​สึก​ไม่​สบาย​ ​คลื่นไส้​ ​ท้อง​ไส้​ ​ปั่น​ป่วน​ ​มึน​งง​ ​วิง​เวียน​ศีรษะ​ ​มือ​เย็น​เท้า​เย็น​ ​ควบ​คุม​ตัว​เอง​ไม่​ได้​ ​เป็น​ลม​ ​รู้​สึก​เหมือน​กำลัง​จะ​ตาย​ ​โดย​อาการ​ดัง​กล่าว​อาจ​เกิด​ขึ้น​ขณะ​อยู่​คน​เดียว​ ​หรือ​อยู่​กับ​คน​หมู่​มาก​ก็​ได้​ ​อาการ​มัก​จะ​เกิด​ประมาณ​ 10-30 ​นาที​ ​แต่​ไม่​เกิน​ 1 ​ชั่ว​โมง​
   
​โรค​นี้​เป็น​แล้ว​ไม่​ถึง​ตาย​ ​แต่​ใน​คนที​่​มี​อาการ​รุน​แรง​ ​หาก​ไม่​ไป​พบ​แพทย์​ ​หรือ​จิตแพทย์​  ​เกิด​อาการ​ขึ้น​บ่อย​ ๆ ​อาจ​ส่ง​ผล​ต่อ​การ​ดำเนิน​ชีวิต​ประจำ​วัน​ ​ทำ​ให้​ไม่​กล้า​อยู่​คน​เดียว​ ​ไม่​กล้า​ออก​จาก​บ้าน​ ​แยก​ตัว​เอง​ออก​จาก​สังคม​ ​บาง​ราย​อาจมีอาการ​ของ​โรค​ซึม​เศร้า​ร่วม​ด้วย​ ​หรือ​ใน​คน​ไข้​บาง​ราย​ทน​ทุกข์​ทรมาน​ไม่​ไหว​ ​อาจ​หัน​ไป​พึ่ง​สุรา​ ​ยา​เสพ​ติด​ ​หรือ​ยา​ที่​ออก​ฤทธิ์​ต่อ​จิต​และ​ประสาท​ ​ดัง​นั้น​ใคร​ก็​ตาม​ที่​มี​อาการ​รุน​แรง​จน​ส่ง​ผลก​ระ​ทบ​ต่อ​การ​ดำเนิน​ชีวิต​ควร​ไป​ปรึกษา​แพทย์​ ​หรือ​จิตแพทย์​
   
​การ​รักษา​โรค​นี้​มี​ 2 ​วิธี​ ​คือ​
1.​การกิน​ยา​ ​แพทย์​จะ​ให้​ยา​ต่อ​ต้าน​อาการ​ตื่น​ตระหนก​ ​เช่น​    ​ยาก​ล่อ​ม​ประสาท​ ​ยาค​ลาย​เครียด​ ​หรือ​ยา​รักษา​โรค​ซึม​เศร้า​
2.​แพทย์​จะ​รักษา​ความ​คิด​ ​พฤติกรรม​บำบัด​ ​เช่น​ ​ปรับ​ความ​คิด​ ​ฝึก​ที่​จะ​เผชิญ​กับ​สิ่ง​เร้า​ที่​คน​ไข้​กังวล​ ​นอก​จาก​นี้​อาจ​แนะ​นำ​ให้​ออก​กำลัง​กาย​ ​ฝึก​สมาธิ​ ​ผ่อน​คลาย​ความ​ตึง​เครียด​ ​ขณะ​เดียว​กัน​คน​ไข้​ควร​หลีก​เลี่ยง​สารที่อาจ​ไป​กระตุ้น​ทำ​ให้​อาการ​กำเริบ​มาก​ขึ้น​ ​เช่น​ ​เครื่อง​ดื่ม​ที่​มี​ส่วน​ผสม​ของ​แอลกอฮอล์​  ​หรือ​สาร​เสพ​ติด​
   
​ใน​อดีต​หมอ​เคย​รักษา​คน​ไข้​คน​หนึ่ง​ ​เป็น​ข้า​ราช​การ​ระดับ​เล็ก​ ๆ ​จน​ปัจจุบัน​ไต่​เต้า​มี​ตำแหน่ง​สูง​ขึ้น​ ​ตอน​นั้น​คน​ไข้​มี​ปัญหา​เวลา​พูด​ต่อ​หน้า​คน​หมู่​มาก​ ​จะ​พูด​ไม่​ออก​ ​พูด​ไม่​ได้​ ​จน​มาร​ั​บก​าร​รักษา​ ​คน​ไข้​มี​ความ​มั่น​ใจ​สามารถ​พูด​ต่อ​หน้า​คน​หมู่​มาก​ได้​ ​ซึ่ง​ต้อง​ขอ​เรียน​ว่า​ ​ใน​คนที่ป่วย​และ​มี​อาการ​รุน​แรง​  ​จริง​ ๆ ​เวลา​พูด​ต่อ​หน้า​คน​จำนวน​มาก​ ​จะ​พูด​ไม่​ออก​ ​พูด​ไม่​ได้​เลย​ ​แต่​ใน​คนที​่​อาการ​เพียง​เล็ก​น้อย​ ​แค่​เสียง​สั่น​ ​มือ​สั่น​ ​สามารถ​ฝึก​ฝน​ทักษะ​ใน​การ​พูด​ก็​ไม่​จำ​เป็น​ต้อง​กิน​ยา​หรือ​มา​พบ​แพทย์​ก็​ได้​
   
​สิ่ง​ที่​หมอ​อยาก​ส่ง​สัญญาณ​ไป​ยัง​ประชา​ชน​ทุก​คน​ ​คือ​ ​คน​ไข้​ใน​บ้าน​เรา​มัก​จะ​ไม่​ไป​พบ​แพทย์​ ​จึง​อยาก​ย้ำ​ว่า​ ​โรค​นี้​สามารถ​รักษา​ได้​ ​คน​ไข้​สามารถ​ดำเนิน​ชีวิต​ได้​ตาม​ปกติ​เหมือน​คน​ทั่ว​ไป​ ​และ​มี​ความ​ก้าว​หน้า​ใน​หน้าที่​การ​งาน​ได้​.

เดลินิวส์  21 มิถุนายน 2552

167
หลายคนอาจมองว่า “แอนตาร์กติกา” ที่อยู่ทางขั้วโลกใต้และ “อาร์กติก” ที่อยู่ทางขั้วโลกเหนือก็ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งเหมือนๆ กัน แต่ในความเหมือนกันนี้ยังมีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
       
       - ขั้วโลก (ใต้) ของแอนตาร์กติกาอยู่บนแผ่นขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วย “ชั้นน้ำแข็ง” แต่ขั้วโลก (เหนือ) ของอาร์กติกอยู่บนน้ำทะเลที่บางส่วนกลายเป็นน้ำแข็งหรือเรียกว่า “ทะเลน้ำแข็ง”
       - น้ำแข็งที่ปกคลุมทวีปแอนตาร์กติกามีความหนาเฉลี่ยถึง 2,450 เมตร แต่น้ำแข็งที่อาร์กติกมีความหนาเฉลี่ยเพียง 2-3 เมตร
       
       - ในช่วงฤดูหนาวของทวีปแอนตาร์กติกามีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง -65 ถึง -70 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูร้อนมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง -25 ถึง -45 องศาเซลเซียส ขณะที่อาร์กติกมีอุณหภูมิช่วงฤดูหนาวระหว่าง -26 ถึง -43 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูร้อนมีอุณหภูมิประมาณ 0 องศาเซลเซียส ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอุณหภูมิในฤดูหนาวของอาร์กติกใกล้เคียงอุณหภูมิในฤดูร้อนของแอนตาร์กติกา
       - ทวีปแอนตาร์กติกาถูกล้อมรอบไปด้วยมหาสมุทร ได้แก่ มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแอตแลนติก ส่วนอาร์กติกถูกล้อมรอบไปด้วยทวีปต่างๆ ได้แก่ ทวีปเอเชีย ทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือ
       
(อ้างอิง - “แอนตาร์กติก...ดินแดนแห่งน้ำแข็ง” โดย ผศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์)
ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 มีนาคม 2555

168
 ขณะที่ผู้คนนับพันสามารถไต่พิชิตยอดเขา “เอเวอเรสต์” จุดสูงสุดของโลกได้ แต่มีมนุษย์เพียง 2 คนที่เคยดำดิ่งสัมผัสจุดที่ลึกที่สุดในโลก
       
       จุดที่ว่าคือ “ชาเลนเจอร์ ดีป” (Challenger Deep) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เรียกว่า “มาเรียนา เทรนช์” (Mariana Trench) หรือ ร่องลึกมหาสมุทรมาเรียนา ห่างไปทางตะวันออกของฟิลิปปินส์ประมาณ 200 กิโลเมตร ร่องลึกแห่งนี้มีรูปคล้ายพระจันทร์เสี้ยว เหมือนเป็นรอยแผลของโลก
       
       แนวยาวของเทรนช์วัดได้ 2,500 กิโลเมตร และกว้าง 69 กิโลเมตร จุดที่ลึกที่สุดคือชาเลนเจอร์ ดีป มีความลึก 11 กิโลเมตร ถ้านำยอดเขาเอเวอเรสต์หย่อนลงไปในมาเรียนาเทรนช์ ยอดเขาก็จะโผล่ออกมาจากรอยแยกประมาณ 1.6 กิโลเมตร
       
       ร่องลึกมหาสมุทรแห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของพื้นทะเลที่แยกยาว มาจากแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่นมุดเข้าหากัน จนเกิดการปะทะ และกลายเป็นรอยแยกใต้มหาสมุทร
       
       ความลึกของมาเรียนาเทรนช์ มีการวัดครั้งแรกเมื่อปี 1875 โดยเรือรบหลวงแห่งสหราชอาณาจักร เอช เอ็ม เอส ชาเลนเจอร์ (H.M.S. Challenger) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ประจำเรือวัดความลึกได้ที่ 4,475 ฟาธอม (ประมาณ 8 กิโลเมตร)
       
       จากนั้นในปี 1951 เรือ เอช เอ็ม เอส ชาเลนเจอร์ ทู (H.M.S. Challenger II) ก็กลับมาวัดใหม่ โดยใช้การหยั่งจากการสะท้อนของเสียง วัดความลึกได้ประมาณ 11 กิโลเมตร
       
       พื้นที่ส่วนใหญ่ของมาเรียนาเทรนช์เป็นเขตป้องกันของสหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งของอนุสรณ์สถานทางทะเล (Marianas Trench Marine National Monument) ซึ่งในปี 2009 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ประกาศอนุญาตให้เข้ามาดำเนินการวิจัยได้
       
       แต่ในส่วนของชาเลนเจอร์ ดีปเป็นเขตปกครองของประเทศไมโครซีเนีย (Federated States of Micronesia) ที่ทีมสำรวจจุดลึกสุดในโลก ต้องขออนุญาตทำงานวิจัยผ่านหน่วยงานรัฐบาลของไมโครซีเนียก่อน


ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 มีนาคม 2555

169
หลังเหตุแผ่นดินที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ภูเก็ตหลายคนอาจเชื่อมโยงว่าเป็นผลจากแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกาะสุมาตรา แต่นักธรณีมหิดลกล่าวว่ายังไม่สามารถเชื่อมโยงได้ชัดเจน พร้อมระบุประเทศไทยมี 15 แนวรอยเลื่อนมีพลังที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวได้เช่นกัน แต่ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับเหตุการณ์เช่นนี้ให้ได้และอย่าตื่นตระหนก
       
       เมื่อวันที่ 16 เม.ย.55 ที่ผ่านมาเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 4.3 ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง จ.ภูเก็ต นับเป็นแผ่นดินไหวใหญ่ที่มีศูนย์กลางอยู่ในเมืองไทยซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่ทราบหรือไม่ว่าประเทศไทยนั้งมีแนวรอยเลื่อนมีพลังถึง 15 รอยเลื่อน
       
       รศ.ดร.วีระชัย สิริพันธ์วราภรณ์ นักธรณีฟิสิกส์และหัวหน้าภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลแก่ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า ประเทศไทยมีรอยเลื่อนมีพลังถึง 15 รอยเลื่อน โดยส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ทางซีกตะวันตกของประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่ภาคเหนือลงมาถึงภาคใต้ และรอยเลื่อนเหล่านี้ก็มีโอกาสทำให้เกิดแผ่นดินไหวเช่นที่เกิดขึ้นใน จ.ภูเก็ต แต่ยังไม่พบว่ามีรอยเลื่อนมีพลังพลาดผ่านตัวเมืองใหญ่ หากมีบริเวณพาดผ่านพื้นที่ชุมชนที่มีคนอาศัยอยู่
       
       นักธรณีฟิสิกส์จากมหิดลระบุว่ารอยเลื่อนมีพลังในไทยส่วนใหญ่เป็นรอยเลื่อนแนวระนาบ หรือรอยเลื่อนผ่านกันในแนวระนาบ และมีโอกาสทำให้เกิดแผ่นดินไหวเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นทางตอนเหนือของเกาะสุมาตราเมื่อวันที่ 11 เม.ย.55 และที่ จ.ภูเก็ตเมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งจากข้อมูลที่มีการบันทึกกันนั้นประเทศไทยเคยมีแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดขนาด 5.9 ที่ จ.กาญจนบุรี และเคยเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในเมืองไทยเมื่อหลายพันปีก่อน แต่ไม่สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือ เนื่องจากมีเพียงร่องรอยทางธรณีวิทยา ซึ่งอาจต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
       
       สำหรับ จ.ภูเก็ตนั้น รศ.ดร.วีระชัยกล่าวว่า มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวตลอดเวลาอยู่แล้วและมีโอกาสไหวอีก โดยครั้งนี้เกิดแผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ซึ่งถือว่าใหญ่พอสมควร แต่จากนี้ก็จะเกิดแผ่นดินไหวตามมาหรืออาฟเตอร์ช็อกขนาดเล็กกว่า ส่วนโอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่กว่านั้นเป็นไปได้แต่มีโอกาสน้อย ซึ่งคนในพื้นที่ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับเหตุการณ์เช่นนี้ให้ได้
       
       “ไม่อยากให้ตื่นตระหนกเพราะแผ่นดินไหวเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และไม่อยากให้ผูกโยงว่าเพราะก่อนหน้านี้เคยเกิดแผ่นดินไหวใหญ่จึงเกิดแผ่นดินไหวนี้ขึ้น แต่เราตั้งสมมุติฐานได้ว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะในทางวิทยาศาสตร์เราต้องศึกษาให้ชัดเจนก่อนจะสรุปเช่นนั้น” รศ.ดร.วีระชัยกล่าว
               
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมทรัพยากรธรณีระบุรอยเลื่อนมีพลัง 15 รอยเลื่อน ได้แก่
       1. รอยเลื่อนแม่จัน
       2. รอยเลื่อนแม่อิง
       3.รอยเลื่อนปัว
       4.รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน
       5.รอยเลื่อนแม่ทา
       6.รอยเลื่อนพะเยา
       7.รอยเลื่อนแม่ยม
       8.รอยเลื่อนเถิน
       9.รอยเลือนอุตรดิตถ์
       10.รอยเลื่อนท่าแขก
       11.รอยเลื่อนแม่เมย
       12.รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์
       13.รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์
       14.รอยเลื่อนระนอง
       15.รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 เมษายน 2555

170
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ศาสตราจารย์เกียรติคุณสตีเฟน นอร์ตคลิฟฟ์ (Emeritus Professor Dr. Stephen Nortcliff) พร้อมคณะผู้บริหาร IUSS และผู้ที่เกี่ยวข้อง เฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม (The Humanitarian Soil Scientist) สดุดีพระเกียรติคุณ
       
       วันนี้ (16 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 17.20 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ห้องประชุมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ศาสตราจารย์เกียรติคุณสตีเฟน นอร์ตคลิฟฟ์ (Emeritus Professor Dr.Stephen Nortcliff) กรรมการบริหารและอดีตเลขาธิการสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (International Union of Soil Sciences-IUSS) พร้อมคณะผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม (The Humanitarian Soil Scientist) สดุดีพระเกียรติคุณ

       สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2467 เป็นสมาชิกสหภาพวิทยาศาสตร์หน่วยหนึ่งในสภาสหภาพวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติได้รับการยอมรับว่าเป็นองค์กรที่ช่วยประสานงานสำหรับองค์กรระหว่างประเทศด้านวิทยาศาสตร์ จุดประสงค์ของการก่อตั้งเพื่อส่งเสริมการวิจัยและประยุกต์ใช้ในศาสตร์ด้านปฐพีวิทยาทุกแขนง ส่งเสริมให้มีการติดต่อประสานงานระหว่างนักวิทยาศาสตร์ในศาสตร์นี้เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ชาติ ปัจจุบัน สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ มีสมาชิกที่สังกัดอยู่ในสมาคมของประเทศและภูมิภาคต่าง ๆ กว่า 86 สมาคม มีประเทศที่เป็นสมาชิก 57 ประเทศ และทุก 4 ปี จะมีการจัดการประชุมสภาโลกแห่งปฐพีวิทยา (World Congress of Soil Science) หมุนเวียนกันไปตามประเทศต่าง ๆ
       
       สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ ได้ตระหนักถึงพระปรีชาสามารถและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้านการพัฒนาทรัพยากรดินอย่างต่อเนื่อง เป็นรูปธรรม ยังผลให้การพัฒนาที่ดิน การอนุรักษ์ดินและน้ำ การปรับปรุงดินเสื่อมโทรมและดินที่มีปัญหา ดำเนินไปในทิศทางที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่เกษตรกรโดยทั่วหน้า

ดังเช่น การนำหญ้าแฝกมาปลูกเพื่อนุรักษ์ดินและน้ำและป้องกันการาพังทลายของหน้าดิน จนประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางของการใช้เทคนิคและวิชาการเกี่ยวกับหญ้าแฝกที่ประสบผลสำเร็จ และมีความก้าวหน้ามากที่สุดประเทศหนึ่ง และทรงตระหนักถึงพื้นที่นับล้านไร่ในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ ที่นอกจากจะมีปัญหาดินไม่อุดมสมบูรณ์เป็นพื้นฐานแล้ว ดินยังมีปัญหาอื่น ๆ ทั้งทางเคมีและทางฟิสิกส์อีกด้วย การเพาะปลูกพืชจึงให้ผลผลิตต่ำ เป็นผลให้ราษฎรมีฐานะยากจน

พื้นที่ที่มีปัญหาเกี่ยวกับดิน ได้แก่พื้นที่ดินพรุในภาคใต้ ซึ่งเป็นทั้งดินอินทรีย์และดินเปรี้ยวจัด พื้นที่ดินเปรี้ยวจัดและดินเค็มในภาคกลาง และพื้นที่ดินทรายและดินตื้นในหลายภูมิภาค ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้งศูนย์การศึกษาพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้ง 6 แห่ง เป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหาของดิน ซึ่งจะต้องใช้กระบวนการบูรณาการในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งสิ้น เช่น

ที่ศูนย์ศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อนฯ เป็นต้นแบบของการฟื้นฟูดินตามธรรมชาติ

ศูนย์ศึกษาพัฒนาพิกุลทองฯ เป็นปัญหาของดินที่เปรี้ยวจัด

ศูนย์ศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ เป็นแหล่งให้กำเนิดชีวิตของสัตว์ และพืช ซึ่งมีปัญหาของดินเค็ม

ศูนย์ศึกษาพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ เป็นดินกรวดแห้งแล้ง และเป็นปัญหาของการบริหารด้านต้นน้ำลำธาร

ศูนย์ศึกษาพัฒนาภูพานฯ เป็นดินทราย เค็ม ขาดน้ำ เป็นปัญหาของการจัดการดินและน้ำของภาคอีสาน และ

ศูนย์ศึกษาพัฒนาห้วยทรายฯ เป็นปัญหาของดินเสื่อมโทรม เป็นดินทรายที่มีแร่ธาตุน้อย เป็นดอนคานและดินกรด เป็นต้น

ส่วนวงวิชาการปฐพีวิทยาของประเทศตื่นตัวที่จะร่วมกันศึกษาวิจัยเพื่อฟื้นฟู บูรณะ พัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรดินและน้ำตามแนวพระราชดำริอย่างเข้มแข็งและมุ่งมั่นต่อไป ทำให้มั่นใจได้ว่าการฟื้นฟูและอนุรักษ์ความอุดมสมบูรณ์และคุณลักษณ์ที่พึงประสงค์ของทรัพยากรดินและน้ำของชาติ จะประสพความสำเร็จด้วยดี ด้วยเหตุดังกล่าว ในกาประชุมสภาโลกแห่งปฐพีวิทยา ครั้งที่ 19 ณ เครือรัฐออสเตรเลีย ที่ประชุมมีมติเห็นสมควรขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณให้เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วกัน และกราบบังคมทูลเชิญให้ทรงดำรงตำแหน่งสมาชิก อะ ไลฟ์ เมมเบอร์ชิพ (A Life Membership)

ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 เมษายน 2555

171
หากวันหนึ่งคุณได้รับ 'เพชร' หรือ 'อัญมณี'เป็นของกำนัล หลังจากพิศดูเหลี่ยม ดูน้ำแล้ว ยังไม่มั่นใจว่าจะเป็นเพชรแท้ หรือ โป่งข่ามเจียระไน

จะถามหาความจริงจากผู้ใดที่จะฟันธงว่าแท้หรือเทียมได้อย่างแท้จริง ขอให้มาที่นี่สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์กรมหาชน) จ่ายค่าบริการเพียง 300 บาทรับรองรู้ผลภายใน 3 วัน
ความปลอดภัยสุดยอด
      แลกบัตรผ่านก่อนขึ้นลิฟต์ เมื่อมาถึงประตูทางเข้า สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์กรมหาชน) ต้องผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัยและประตูพิเศษอีกหนึ่งชั้น หลังจากแจ้งความประสงค์ให้ตรวจสอบอัญมณีแล้วเจ้าหน้าที่จะทำการลงทะเบียน ทำประกันภัย บันทึกจำนวนอัญมณี รูปพรรณสัณฐานพร้อมกับสอบถามว่าต้องการให้ตรวจสอบขั้นต้นว่า แท้ หรือ ไม่แท้ มีค่าบริการเพียง 300 บาท
      หากต้องการตรวจสอบให้ลึกไปกว่านั้นว่า อัญมณีชนิดนั้นผ่านการปรับปรุงคุณภาพมาแล้วหรือไม่ ต้องการใบรับประกันการตรวจสอบชนิดที่ระบุภาพถ่ายของอัญมณีชิ้นนั้นๆ หรือไม่ ค่าบริการก็จะเพิ่มมากขึ้น
      ในกรณีของเจ้าของอัญมณีคุณสามารถเข้ามาได้เพียงเท่านี้ เนื่องจากในพื้นที่ตรวจสอบอนุญาตให้นักอัญมณีที่ทำงานเข้าได้เท่านั้น ซึ่งแต่ละส่วนการทำงานต่างมีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม เพื่อปกป้องดูแลอัญมณีที่นำเข้ามาตรวจสอบซึ่งแต่ละชิ้นมีมูลค่าไม่น้อยเลย
แท้ หรือ เทียม รู้ได้อย่างไร
       นลิน นฤดีสมบัติ นักวิชาการอัญมณีในชุดสีคลุมสีขาวดูราวกับเป็นนักวิทยาศาสตร์ ยิ้มรับคำเปรียบเปรยของเราพลางตอบว่า นักวิชาการอัญมณีทำหน้าที่ไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์สักเท่าไหร่ เพราะว่าต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ วิเคราะห์ อัญมณี แต่ละชิ้นว่าเป็นประเภทใด ชื่ออะไร โดยห้องปฏิบัติการจะให้บริการตรวจสอบและออกใบรับรองอัญมณีและเครื่องประดับเพื่อตอบสนองผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไป กล่าวคือ
 - การวิเคราะห์และตรวจสอบว่า เป็นอัญมณีธรรมชาติ  สังเคราะห์ หรือ เลียนแบบ
 - การตรวจสอบอัญมณีธรรมชาติว่าได้ผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณภาพหรือไม่ อย่างไร
 - การตรวจสอบชนิดของมุกว่าเป็นมุกธรรมชาติ มุกเลี้ยง (มุกเลี้ยงน้ำเค็มหรือน้ำจืด) หรือ มุกที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพ
 - การตรวจสอบเพชรว่าเป็นเพชรธรรมชาติ เพชรสังเคราะห์ หรือ อัญมณีเลียนแบบเพชร
 - การตรวจสอบเพชรที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพด้วยการอาบรังสี
 - การตรวจสอบเพชรที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพด้วยความร้อนและความดันสูง
 - การจัดระดับคุณภาพเพชร
 - การตรวจสอบแหล่งที่มาทางภูมิศาสตร์ของทับทิม ไพลิน และมรกต
 - การจัดทำมาตรฐานของทับทิมและไพลิน
        " ยกตัวอย่างเช่น ทับทิม เราต้องดูว่าเป็นของ จริง หรือ ปลอม  สด หรือ เผา นอกจากนั้นก็ดูสี ตามตำนานบอกว่าทับทิมที่ดีที่สุดต้องเป็นสีเลือดนกพิราบ ในขณะที่ทับทิมสยามของเรามีสีออกม่วงส้ม ทางสถาบันของเราก็มี มาสเตอร์สี ซึ่งเป็นพลอยธรรมชาติมาใช้เป็นต้นแบบ "
        นลิน กล่าวว่าอัญมณีที่ส่งเข้ามาตรวจสอบแต่ละเม็ดจะต้องผ่านการตรวจจากนักวิชาการอัญมณี 2 คนเป็นอย่างน้อย โดยมีเครื่องมือพื้นฐานสำหรับตรวจสอบสมบัติทางกายภาพ สมบัติทางแสง ขนาด น้ำหนัก  เช่น เครื่องวัดค่าดัชนีหักเหของแสง เครื่องตรวจลักษณะทางแสง กล้องจุลทรรศน์อัญมณี เครื่องหาความถ่วงจำเพาะ  เป็นต้น
       ส่วนเครื่องมือชั้นสูงนั้นยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เครื่อง Energy Dispersive X-Ray Fluorescence (EDXRF) ใช้ตรวจสอบธาตุองค์ประกอบและธาตุร่องรอยเพื่อจำแนกอัญมณีสังเคราะห์และอัญมณีธรรมชาติ ตรวจสอบการปรับปรุงคุณภาพในอัญมณีบางชนิด และตรวจสอบแหล่งกำเนิดของอัญมณี
        เครื่อง X - Radiograph ตรวจจำแนกมุกธรรมชาติและมุกเลี้ยง โดยใช้ตรวจหาความหนาของชั้นมุก จากจำแนกมุกเลี้ยง มุกน้ำจืดและน้ำเค็ม และยังสามารถใช้ตรวจสอบพลอยอุดตะกั่วได้ด้วย
       วิลาวัณย์ อติชาติ ผู้อำนวยการสถาบัน กล่าวเสริมว่าห้องปฏิบัติการของสถาบันถือว่ามีเครื่องมือทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยได้รับการรับรองจาก The World Jewelly Confederationหรือ CIBJO  ให้เป็น CIBJO Listed Laboratory และยังได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิก 1 ใน 6 ของห้องปฏิบัติการชั้นแนวหน้าของโลกที่เป็นคณะทำงานซึ่งมีหน้าที่กำหนดนโยบาย และจัดทำคู่มือการเปิดเผยข้อมูลการตรวจสอบอัญมณีที่จะระบุในใบรับรองคุณภาพที่ใช้เป็นมาตรฐานสากล
พิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ ความรู้คู่ความงาม
        ชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่า เพชร  คือ หยาดน้ำตาของเทพเจ้า    แท้จริงแล้วเพชรเกิดมาจากอะไร อัญมณี หรือ รัตนชาติ คือสมบัติที่ธรรมชาติมอบให้กับมวลมนุษยชาติจริงหรือ ?
       สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์กรมหาชน) ประมวลเรื่องราวของอัญมณีโดยจัดแสดงให้เห็นถึงต้นกำเนิดของอัญมณีไปจนถึงความงดงามของอัญมณีแต่ละชนิดที่ประดับอยู่บนตัวเรือน ให้ผู้สนใจเข้าชมกันในพิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ เริ่มต้นกันด้วย - เรื่องราวของกำเนิดอัญมณีและเหมืองพลอยในประเทศไทย
 - ประเภทอัญมณี
 - การเจียระไนและการทำเครื่องประดับ
 - อัญมณีอินทรีย์
 - อัญมณีสังเคราะห์
 - เหมืองทองและโลหะมีค่า
 - เครื่องประดับตามสมัยนิยม
 - ห้องเธียเตอร์ แสดงตั้งแต่สายธารกำเนิดอัญมณีไปสู่ปลายน้ำและโชว์อัญมณีเรืองแสง
       ผู้สนใจสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00 - 16.00 น. อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ชั้น 2 ถนนสีลม  โดยมีภัณฑารักษ์นำชมในช่วงเช้า เวลา 10.30 - 11.00 น. และช่วงบ่าย 14.30 - 15.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 50 บาท นักเรียน นักศึกษา 20 บาท นักท่องเที่ยวต่างชาติ 100 บาท ผู้สนใจเข้าชมพิพิธภัณฑ์เป็นหมู่คณะโปรดแจ้งล่วงหน้า โทร. 0 2634 4999 ต่อ 201 ติดต่อสถาบันฯโทร.0 2634 4999

 โดย : ปิ่นอนงค์ ปานชื่น
กรุงเทพธุรกิจ  15 เมษายน 2555

172
เมื่อ 100,000 ปีก่อนไม่ได้มีมนุษย์แค่สายพันธุ์เดียวอย่างปัจจุบัน แต่เรายังแชร์พื้นที่โลกให้แก่มนุษย์อื่นอีกหลายสปีชีส์ พวกเขาเหล่านั้นฉลาดและเป็นสุดยอดนักล่า แต่เหตุใดจึงมีแค่ “เรา” ที่เหลือรอดบนดาวเคราะห์ดวงนี้ มาร่วมกันวิเคราะห์และหาคำตอบนี้
       
       ขณะที่ประเด็นเรื่องกำเนิดมนุษย์เป็นที่ถกเถียงอย่างร้อนระอุ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็เห็นพ้องต้องกันว่าสายพันธุ์หรือสปีชีส์ของมนุษย์ทั้งหลายนั้น ล้วนสืบทอดมาจากสิ่งมีชีวิตคล้ายลิงที่เดินหลังตรงและอาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกาเมื่อ 6 ล้านปีก่อน ซึ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีลูกหลานสืบทอดหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ส่วนใหญ่ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว หากแต่สิ่งชีวิตชนิดแรกที่เราจำแนกว่าเป็นมนุษย์สายพันธุ์แรกนั้นปรากฏในแอฟริกาเมื่อ 2 ล้านปีก่อน
       
       จากบทความของบีบีซีที่วิเคราะห์ถึงสาเหตุการเหลือรอดของมนุษย์สายพันธุ์เดียวในปัจจุบันกล่าวถึง โฮโม เออร์กัสเตอร์ (Homo ergaster) ว่าเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่อพยพออกจากแอฟริกา แล้วไปสร้างอาณานิคมในเอชีย ทั้งนี้ พวกเขาเป็นมนุษย์ที่ผลิตเครื่องไม้เครื่องมือใช้เองได้ และยังเป็นนักล่าที่มีความช่ำชอง โดยกระดูกของมนุษย์สายพันธุ์นี้บ่งชี้ว่าพวกเขาเป็นนักวิ่งลมกรด ความเร็วในการวิ่งของพวกเขาแข่งกับนักวิ่งโอลิมปิกได้สบายๆ
       
       คล้ายว่าโฮโม เออร์กัสเตอร์มีวิวัฒนาการระหว่างช่วงเวลาอันยาวนานของภัยแล้งอันทารุณ ที่ได้ทำให้พืชพันธุ์ของป่าฝนเขตร้อนแห้งตาย และทำให้เกิดทะเลทรายผืนมหึมา แต่มนุษย์สปีชีส์นี้ก็ได้รับสมดุลต่อการจัดการกับความร้อน ซึ่งเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะมีร่างกายที่ขับเหงื่อได้ค่อนข้างดี และพวกเขายังเดินทางและออกล่าในเวลากลางวันซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สัตว์ส่วนใหญ่พักผ่อน
       
       เรารู้ว่าโฮโม เออร์กัสเตอร์เดินทางไกลแสนไกล เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ในแอฟริกา และนักล่ากินเนื้อผู้หิวโหยก็เดินทางสู่ดินแดนใหม่ และเมื่อได้พบกับสภาพแวดล้อมใหม่ที่เขียวชอุ่ม พวกเขาจึงมีวิวัฒนาการและกลายเป็นสปีชีส์ใหม่ที่ชื่อ “โฮโม อิเร็กตัส” (Homo erectus) ซึ่งข้อมูลทางโบราณคดีบอกเราว่าพวกเขากระจายตัวครอบคลุมพื้นที่จากตุรกีไปถึงจีน แต่ประชากรไม่ได้มากมายไปตามขนาดพื้นที่
       
       ในส่วนของโฮโม ซาเปียนส์ (Homo sapiens) ซึ่งเป็นมนุษย์สปีชีส์เดียวที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน บีบีซีระบุว่ามีรายงานการอพยพออกจากแอฟริกาของมนุษย์สายพันธุ์นี้เมื่อประมาณ 120,000 ปีก่อน ในตอนนั้นมนุษย์สายพันธุ์เดียวกับเราได้เดินทางออกมาเป็นกลุ่มเล็กๆ ซึ่งอาจจะไม่เกิน 100 คน จากนั้นเราได้กระจายตัวออก ซึ่งส่วนหนึ่งได้เข้าไปถึงทวีปยุโรป และอีกส่วนหนึ่งไปเคลื่อนมาทางตะวันออกจนมาถึงอินเดีย ซึ่งมีหลักฐานทางโบราณคดีที่บ่งชี้ว่าพวกเขามาถึงก่อนเกิดเหตุหายนะครั้งใหญ่ได้ไม่นาน
       
       เมื่อประมาณ 74,000 ปีก่อนภูเขาไฟเมาท์โทบา (Mount Toba) ในเอเชียใต้ได้ปะทุขึ้น และได้เกิดระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ล้านปี ซึ่งความรุนแรงถูกจัดไว้ระดับเดียวกับการระเบิดของภูเขาไฟยักษ์หรือ "ซูเปอร์โวคาโน" (Supervocano) โดยครั้งนั้นภูเขาไฟได้พ่นซัลเฟอร์ออกมามากพอที่จะทำให้อุณหภูมิโลกลดลงหลายองศา และยังรุนแรงในระดับที่พ่นลาวาออกมาปกคลุมพื้นที่ขนาดประเทศอังกฤษและหนาถึง 10 เมตร นอกจากนี้ยังมีเถ้าภูเขาไฟอีกมหาศาลที่ถูกลมพัดพาไปปกคลุมเอเชีย โดยเฉพาะในทวีปแถบอินเดีย ซึ่งเรายังพบเห็นเถ้าเหล่านั้นได้ในปัจจุบัน
       
       หากแต่การระเบิดของภูเขาก็ทำให้โฮโม อิเร็กตัสมีช่วงเวลาที่รุ่งเรืองในการครอบครองเอเชีย จนกระทั่ง 40,000 ปีถัดมาพวกเขาค่อยๆ ถูกขับไล่ออกไป ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุรวมกัน ทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและไม่สามารถแข่งขันกับมนุษย์ยุคใหม่ในการแย่งชิงอาหารได้ แต่ก็เป็นที่สงสัยว่าเหตุใดพวกเขาซึ่งมีขนาดใหญ่และแข็งแรงกว่าโฮโม ซาเปียนส์อย่างเราจึงไม่เหลือรอดมาได้ และคำตอบที่เข้าใจง่ายที่สุดคือเรามีสมองที่ใหญ่กว่า แต่ไม่ได้หมายถึงสมองทั้งหมด แต่หมายถึงบางตำแหน่งของสมองเราที่ใหญ่กว่า
       
       “สมองของโฮโม อิเร็กตัสไม่ได้มีพื้นที่สำหรับเนื้อสมองส่วนควบคุมภาษาและการพูดมากนัก หนึ่งในสิ่งสำคัญต่อการปรับตัวของโฮโม ซาเปียนส์คือการผสานการวางแผนที่ซับซ้อนระหว่างการใช้ภาษาและความสามารถในการถ่ายทอดความคิดใหม่จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ซึ่งการวางแผนดังกล่าวพัฒนาอยู่ในสมองส่วนหน้า ทั้งนี้ การวางแผน การสื่อสาร หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนสิ่งของ นำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือและอาวุธที่ดีกว่า ซึ่งแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในหมู่ประชากร” จอห์น เชีย (John Shea) ศาสตราจารย์ด้านบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยสโตนีบรูค (Stony Brook University) ในนิวยอร์ก สหรัฐฯ อธิบาย
       
       นอกจากนี้ ข้อมูลฟอสซิลยังบ่งชี้ว่า โฮโม อิเร็กตัสได้ทำขวานสำหรับถืออย่างง่ายๆ แบบเดียวกับที่ใช้เมื่อล้านปีก่อน ในขณะที่บรรพบุรุษของเราได้สร้างเครื่องที่เล็กกว่าและซับซ้อนกว่าอย่าง “หอก” ที่สามารถใช้ขว้างได้ และมีความเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนำมาใช้ในการล่าสัตว์และต่อสู้ และความเหนือกว่านี้ได้ช่วยให้โฮโมซาเปียนส์เอาชนะมนุษย์สายพันธุ์อื่นที่เป็นศัตรูได้ โดยเราได้เอาชนะนีแอนเดอร์ทัล (Neanderthal) มนุษย์โบราณที่สูญพันธุ์ไปเมื่อ 30,000 ปีก่อนในยุคน้ำแข็ง (Ice Age) เนื่องจากขาดแคลนอาหาร
       
       “แม้กระทั่งเมื่อ 100,000 ปีก่อน เรายังคงมีมนุษย์หลายสายพันธุ์บนโลกและเขาเหล่านั้นก็แปลกสำหรับเรา แต่เราเป็นผู้รอดเพียงสายพันธุ์เดียวท่ามกลางการทดลองแห่งวิวัฒนาการเพื่อจะเป็นมนุษย์” ศ.คริส สตริงเกอร์ (Prof.Cris Stringer) นักมานุษวิทยาจากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา (Natural History Museum) ในลอนดอน อังกฤษกล่าว
       
       โฮโม อิเร็กตัสคงอยู่ในเอเชียจนกระทั่งถึงเมื่อ 30,000 ปีก่อน แม้พวกเขาจะสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ยังคงมีมนุษย์ที่สืบสายพันธุ์มาจากพวกเขาอยู่ที่เกาะฟลอเรสในอินโดนีเซีย มนุษย์เหล่านี้คือ โฮโม ฟลอเรเซียนซิส (Homo floresiensis) หรือที่รู้จักกันว่า “ฮอบบิต” (Hobbit) ซึ่งมีชีวิตอยู่จนถึงเมื่อราว 12,000 ปีก่อน แล้วพวกเขาก็สูญพันธุ์ไป ทิ้งให้เราเป็นมนุษย์สปีชีส์สุดท้ายที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้
       
       “มีช่องว่างมหาศาลระหวางเราและญาติไพรเมทที่ใกล้ชิดกับเราที่สุดอย่างกอริลลา ชิมแปนซีและลิงโบโนโบ แต่หากช่องว่างนั้นเติมเต็มโดยมนุษย์สายพันธุ์อื่น เราอาจจะไม่เห็นช่องว่างกว้างขนาดนี้และเป็นระยะห่างเพียงแค่ก้าวเดียว เราอาจจะคิดว่าตัวเรานั้นแสนพิเศษ แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้พิเศษขนาดนั้น การถ่อมตัวเพียงเล็กน้อยไม่ได้ทำให้เจ็บปวดนัก” ดร.เชียให้ความเห็น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 มิถุนายน 2554

173
อย่างที่รับกันรู้ว่า มนุษย์อย่างพวกเราแตกต่างจากสัตว์โดยสิ้นเชิง แล้วอะไรที่ทำให้เราแตกต่างเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรสัตว์ ไลฟ์ไซน์ดอทคอมได้นำเสนอไว้
       
       - พูดได้
       
       กล่องเสียงของมนุษย์อยู่ใต้คอหอยตำแหน่งต่ำกว่าของชิมแปนซี และเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ช่วยให้มนุษย์พูดได้ ซึ่งกล่องเสียงมีพัฒนาการมา 350,000 ปีจากบรรพบุรุษของเรา
       
       อีกทั้งเรายังมีกระดูกไฮออยด์ (hyoid bone) รูปร่างเหมือนเกือกม้าอยู่ในคอ นับเป็นกระดูกเพียงชิ้นเดียวที่ไม่มีข้อต่อกับกระดูกชิ้นอื่นๆ และกระดูกไฮออยด์นี้ช่วยค้ำจุนโคนลิ้นให้เราได้เปล่งถ้อยคำออกมา
       
       - ร่างกายตั้งตรง
       
       มนุษย์มีลักษณะพิเศษต่างจากพวกไพรเมท (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีพัฒนาการสูง) ตรงที่สามารถเดินตัวตั้งตรงได้ โดยไม่ต้องใช้มือทั้ง 2 ข้างประคอง เพื่อถือเครื่องมืออื่นๆ
       
       แต่น่าเสียดายที่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลต่อกระดูกเชิงกราน และบวกกับขนาดสมองของมนุษย์แรกเกิด จึงเสี่ยงอันตรายในการให้กำเนิดมนุษย์ ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในอาณาจักรสัตว์
       
       กว่าศตวรรษมาแล้ว ที่การให้กำเนิดทารกของมนุษย์ เป็นเหตุให้หญิงผู้ให้กำเนิดต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เพราะกระดูกสันหลังบริเวณเอวที่มีรูปโค้ง ซึ่งช่วยการทรงตัวในการยืนและเดิน แต่จุดเด่นข้อนนี้ก็กลายเป็นจุดอ่อนที่สร้างความเจ็บปวดตามมาในภายหลัง
       
       - ล้อนจ้อนไร้ขนปกปิด
       
       มนุษย์นี่แหละช่างเปลือยเปล่านัก เพราะถ้าเทียบปริมาณเส้นขนที่ร่างกายกับเอป (Ape ; สัตว์ตระกูลลิงไม่มีหางที่เป็นเสมือนญาติของมนุษย์) ในพื้นที่ 1 นิ้วของผิวหนัง จะพบว่ามีรูขุมขนมากพอๆ กับลิงเหล่านั้น ทว่าขนของมนุษย์บางกว่า สั้นกว่า และเบากว่านั่นเอง จึงดูเหมือนไร้ขนปกปคลุมร่างกาย
       
       - ทำเสื้อผ้าปิดร่างกาย
       
       เพราะขนที่เบาบาง มนุษย์เราเลยเป็นเหมือนลิงเอปที่เปลือยเปล่า จึงเกิดพัฒนาการทำเสื้อผ้าปกคลุมร่างกาย เพื่อให้ปลอดภัยจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งการประดิษฐ์เสื้อผ้า ได้รับอิทธิพลจากสัตว์อื่นๆ โดยเฉพาะพวกแมลงที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
       
       การพัฒนาดังกล่าว ก็เนื่องมาจากการต้องปรับตัวให้รอดจากสภาพแวดล้อม จึงทำให้มนุษย์เมื่อเติบโตขึ้นก็ไม่เคยชินกับการไว้ขนเหมือนกับสัตว์ต่างๆ แต่จะต้องสวมเสื้อผ้าตลอดเวลาแทน
       
       - มือกลับข้าง
       
       มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่มีหัวแม่มืออยู่ตรงข้ามกัน ไพรเมทส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น (แต่พวกลิงแอปขนาดใหญ่ยังไม่พบนิ้วหัวแม่เท้าขนาดใหญ่)
       
       ที่พิเศษกว่านั้นคือมนุษย์สามารถงอนิ้วลงมาที่ข้อนิ้วได้ ซึ่งทำให้เราสามารถหยิบจับสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะเครื่องมือ อุปกรณ์ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา
       
       - สมองที่สุดพิเศษ
       
       แม้สมองของมนุษย์ไม่ได้ใหญ่ที่สุดในโลก แต่พัฒนาการช่างต่างจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกนี้ เรามีสมองเพียง 2.5% ของน้ำหนักตัว เมื่อสมองเติบโตเต็มที่มีน้ำหนักประมาณ 1.3 กิโลกรัม ซึ่งความสามารถในการใช้เหตุผล และค้นคิดต่างๆ เหนือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
       
       - ก่อกองไฟ
       
       มนุษย์มีความสามารถในการควบคุมไฟ และทำให้กลางคืนมีแสงสว่างเหมือนตอนกลางวัน ทำให้สังเกตเห็นสัตว์อื่นๆ ที่จะมาทำอันตรายในยามกลางคืน และสัตว์พวกนั้นก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้
       
       อีกทั้งเปลวไฟก็สร้างความอบอุ่นให้แก่มนุษย์ในช่วงอากาศหนาว ทำให้เราสามารถอยู่ในพื้นที่ที่หนาวเย็นได้ และแน่นอนว่าไฟยังช่วยประกอบอาหาร ซึ่งมีอิทธิพลสำคัญต่อการวิวัฒนาการ เพราะอาหารที่ปรุงแล้วเคี้ยวและย่อยง่าย จึงทำให้ฟันและกะเพาะของมนุษย์เล็กลง
       
       - เด็กน้อยต้องประคบประหงมนาน
       
       ในช่วงเวลาที่เป็นเด็ก มนุษย์ต้องได้รับการดูแลจากพ่อแม่ยาวนานกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เหตุผลก็เพราะว่า สมองขนาดใหญ่ของมนุษย์ มีระยะเวลาที่ต้องเติบโตและเรียนรู้ ดังนั้นในช่วงวัยเยาว์ก็ยังจำเป็นต้องอยู่ในการดูแลของพ่อแม่
       
       ข้อแตกต่างที่ทำให้เราไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เป็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็ง เชื่อแน่ว่า พัฒนาการต่างๆ ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป มนุษย์ยุคหน้าอาจจะไม่เหมือนมนุษย์ยุคนี้ก็เป็นได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 เมษายน 2555

174
  นักศึกษาหนุ่มคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ลาดกระบัง คว้ารางวัลแอนิเมชั่น Finalist Prizeในผลงาน “The Buddhist Elation” ถ่ายทอดแนวความคิดแบบวิถีชาวพุทธ ผสมผสานศิลปะแสดงความเป็นไทย ในรูปแบบพุทธศิลป์ จากการประกวดแอนิเมชั่น เวทีระดับโลก ในงาน ASIA DIGITAL ART AWARD 2011 ณ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดกว่า 1,000 ผลงาน จาก 10 ประเทศทั่วโลก ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่นักศึกษาไทย ได้รับรางวัลจากการประกวดบนเวทีแอนิเมชั่นโลกแห่งนี้

       นายสัญชัย น้อยจันทร์ นักศึกษา ชั้นปีที่ 3 คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผู้ชนะการแข่งขันประเภทภาพเคลื่อนไหว กล่าวว่า โดยในการประกวดครั้งนี้ มีการร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พร้อมเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านแอนิเมชั่นชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น ดร.ซาไก ชิเกคะซึ จากมหาวิทยาลัยวาเซดะ บินตรงมาให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการประกวดโดยเฉพาะ และมีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดเกือบ 1,000 ผลงาน จากกว่า 10 ประเทศทั่วโลก ซึ่งยังไม่เคยมีผลงานจากประเทศไทยที่ได้รับรางวัลจากเวทีนี้มาก่อน และนี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่นักศึกษาไทยคนแรก ได้รับรางวัล ในชื่อผลงาน “The Buddhist Elation” เนื่องจากเป็นผลงานที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องของมิติแห่งการถ่ายทอดความคิด การสร้างสรรค์รูปแบบผลงานที่ทำได้อย่างประณีต งดงาม และการลำดับภาพที่ต่อเนื่อง โดยเน้นการถ่ายทอดภาพลักษณ์ในคำว่า "พุทธ" ในรูปแบบ "ไทย" ที่ถูกผสมผสานเข้ากับศิลปะจนเป็น "พุทธศิลป์" เพื่อให้ความรู้สึกถึงความปิติสุขในศาสนาพุทธ
       
       “แอนิเมชั่นเป็นอะไรที่ท้าทายมาก เราต้องให้เวลากับการศึกษาค้นคว้า การดีไซน์ตัวละครในการดำเนินเรื่องราวให้ดูน่าสนใจ รวมถึงความประณีตในการผลิตชิ้นงาน ซึ่งการส่งผลงานแอนิเมชั่นเข้าประกวดที่ญี่ปุ่น เป็นเวทีประกวดระดับโลก ที่มีผู้ร่วมแข่งขันมากมาย ทำให้เรามีความสนใจที่อยากจะผลิตงานในลักษณะของภาพเคลื่อนไหวที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์ เลยคิดที่จะผลิตงานแอนิเมชั่นในแบบไทยๆ ที่จะสามารถเป็นตัวแทนของประเทศไทยที่จะสื่อสารความเป็นไทยให้กับคนอื่นๆรับทราบได้ และเข้าถึงความเป็นไทยของเรา ซึ่งผลงาน “The Buddhist Elation” ทำให้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากเวทีแห่งนี้ ก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีและเป็นเหมือนโอกาสที่สำคัญที่สามารถทำให้เราพัฒนาฝีมือด้านงานแอนิเมชั่นของเราด้วย โดยต้องยอมรับว่าเวทีการประกวดแห่งนี้ จะทำให้เราพัฒนาศักยภาพและก้าวหน้าสู่ความเป็นมืออาชีพได้ ” นายสัญชัย กล่าว
       
       ด้าน รศ.ดร. จันทร์บูรณ์ สถิตวิริยวงศ์ คณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังกล่าวว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้กลายเป็นปัจจัยที่ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของคนเราเข้าไปผูกพันกับโลกแห่งดิจิตอลโดยปริยาย การมีเทคโนโลยีอันทันสมัย ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการก้าวสู่การเป็นประเทศชั้นนำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีได้ ดังนั้น แอนิเมชั่นจึงถือเป็นอีกหนึ่งในความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจในต่างประเทศทั่วโลก
       
       "สำหรับในประเทศไทย การทำแอนิเมชั่น เริ่มเข้ามามีบทบาทในวงการไอทีมากขึ้น หลายๆคนได้มีการพัฒนาฝีมือเพื่อการสร้างสรรค์งานแอนิเมชั่นให้เทียบเคียงงานแอนิเมชั่นระดับโลกซึ่งการเข้าร่วมแข่งขันที่ญี่ปุ่นของนายสัญชัย น้อยจันทร์ นักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ของสถาบันฯได้รับรางวัลยอดเยี่ยม ถือเป็นโครงการที่คนไทยสามารถแสดงฝีมือและช่วยพัฒนาบุคลากรที่มีความสนใจผลิตงานเขียนคอมพิวเตอร์ภาพเคลื่อนไหว (Animation) ให้มีศักยภาพเป็นมืออาชีพได้ต่อไป อย่างไรก็ตามคณะเทคโนโลยีสารสนเทศมีวิสัยทัศน์ในการผลิตนักศึกษาคุณภาพสู่ตลาดแรงงานโลก เพื่อพัฒนาภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมให้พัฒนาได้อย่างยั่งยืน"


ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 เมษายน 2555

175
เชื่อว่า หลาย ๆ ท่านที่กำลังอ่านอยู่นี้ เคยมีอาการปวดหัวข้างเดียว หรือไม่ก็รู้จักกับอาการที่เรียกว่า "ไมเกรน" กันเป็นอย่างดี เป็นอาการที่พบได้บ่อยในทุกเพศและทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวคนทำงาน ซึ่งอาการเหล่านี้ สามารถเกิดขึ้นได้จากสิ่งกระตุ้นชนิดต่าง ๆ จากทั้งภายในและภายนอกร่างกาย การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นเป็นการรักษาวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้เอง โดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย และไม่มีผลแทรกซ้อน
       
       เกี่ยวกับเรื่องนี้ เรืออากาศโท นพ.กีรติกร ว่องไววาณิชย์ อายุรแพทย์สมอง และระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ความรู้ว่า สิ่งกระตุ้นในกลุ่มของอาหาร และเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ เป็นสิ่งกระตุ้นที่พบได้บ่อย การสังเกตประเภทของอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ ทำให้ผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นดังกล่าวได้เป็นอย่างดี และมีผลทำให้อาการปวดศีรษะลดน้อยลง
       
       "อาหาร และเครื่องดื่มส่วนมาก จะออกฤทธิ์กระตุ้นอาการปวดศีรษะที่บริเวณเส้นเลือดของเยื่อหุ้มสมองส่วนนอก หรือที่เส้นประสาทคู่ที่ 5 ส่วนปลาย อาจมีสารในอาหารหรือเครื่องดื่มบางชนิดที่ซึมผ่านเข้าไปออกฤทธิ์กระตุ้นอาการปวดศีรษะในสมองได้โดยตรง"
       
       นอกจากนั้น อายุรแพทย์สมอง และระบบประสาท บอกด้วยว่า การรับประทานอาหารให้ตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการอดอาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ จากการศึกษาพบว่าการอดอาหารเป็นตัวกระตุ้นไมเกรนได้ 40-57 เปอร์เซ็นต์
       
       สำหรับบ้านใดที่ไม่อยากให้ไมเกรนแผลงฤทธิ์ การทราบถึงอาหารที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะมีความสำคัญ เนื่องจากจะช่วยให้หลีกเลี่ยงสิ่งเหนี่ยวนำที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ อาหารที่พบว่าเป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะในผู้ป่วยไมเกรน เช่น แอลกอฮอล์ (29-35 เปอร์เซ็นต์) คาเฟอีน (14 เปอร์เซ็นต์) ชีส (9-18 เปอร์เซ็นต์) ผงชูรส (12 เปอร์เซ็นต์) เป็นต้น
       
       1. สารไทรามีน
       
       เป็นองค์ประกอบธรรมชาติในอาหาร เช่น เนยแข็งที่บ่ม ปลารมควัน เนื้อสัตว์ที่ผ่านกรรมวิธียืดอายุ ของหมักดอง อาหารที่มีส่วนประกอบของยีสต์ เบียร์ เป็นต้น สำหรับผู้ที่มีความไวต่อสารไทรามีน เมื่อรับประทานอาหารเหล่านี้เข้าไปจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง

       2. สารแอสปาแตม
       
       เป็นสารให้ความหวานซึ่งหวานกว่าน้ำตาลปกติ 180-200 เท่า ถึงแม้จะไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการว่าเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน แต่ก็พบว่าในผู้ป่วยบางรายมีอาการปวดศีรษะหลังรับประทานสารตัวนี้
       
       3. ผงชูรส
       
       เป็นสารปรุงแต่งรสชาติอาหารที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง มักถูกใช้สำหรับปรุงรสชาติอาหารให้อร่อย ใช้ในอาหารกระป๋อง และอาหารพร้อมรับประทาน กลไกการกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะอาจมาจากการกระตุ้นให้มีการหลั่งสารสื่อประสาทบางชนิด หรือไปกระตุ้นให้เซลล์ของผนังหลอดเลือดหลั่งสารไนตริกออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัว นำไปสู่อาการปวดศีรษะในที่สุด
       
       4. ไนเตรต และไนไตรท์
       
       เป็นสารกันบูดที่ใช้ในการถนอมอาหาร อาหารหมักดอง หรืออาหารรมควัน เช่น ไส้กรอก เนื้อรมควัน หรือปลารมควัน หลังจากรับประทานอาหารที่มีสารดังกล่าวอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะในทันที หรืออาจจะใช้เวลานานกว่านั้น เป็นนาทีหรือเป็นชั่วโมงก็ได้ กลไกการกระตุ้นให้ปวดศีรษะอาจเกิดจากสารดังกล่าวไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารไนตริกออกไซด์หรือสารที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัวชนิดอื่นๆ ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัว ผู้ป่วยที่มีความไวต่อสารนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของโซเดียมไนไตรท์ โซเดียมไนเตรต โพแทสเซียม ไนไตรท์ และโพแทสเซียม ไนเตรต

   
       5. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
       
       เป็นอีกหนึ่งตัวที่พบว่า เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้บ่อย โดยเฉพาะในไวน์แดง ทำให้มีอาการปวดศีรษะภายใน 3 ชั่วโมงหลังจากดื่ม หรือเกิดตามมาในช่วงท้ายก็ได้ สาเหตุเกิดจากไวน์มีส่วนประกอบของไทรามีน ซัลไฟท์ ฮีสตามีน และฟลาโวนอย ซึ่งสารเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้
       
       "อาการปวดศีรษะหลังรับประทานแอลกอฮอลล์ สามารถเกิดได้บ่อย ซึ่งอาจรวมถึงอาการ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ใจสั่น หงุดหงิด สมาธิแย่ลง อาการปวดศีรษะดังกล่าวมักจะเกิดในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากการรับประทานแอลกอฮอล์เมื่อร่างกายมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดลดลงและสามารถมีอาการดังกล่าวยาวนานถึง 24 ชั่วโมงจนกว่าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดจะหมดไป" อายุรแพทย์สมองและระบบประสาทเผย
       
       6. คาเฟอีน
       
       เป็นสารที่พบได้ในกาแฟ ชา โซดา และช็อกโกแลต ซึ่งรวมถึงยาแก้ปวดศีรษะที่มีส่วนผสมของสารนี้ คาเฟอีนจะมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางขึ้นกับขนาดที่รับประทานเข้าไป โดยปกติจะพบในน้ำอัดลม 115 มิลลิกรัม คาเฟอีนในขนาด 50-300 มิลลิกรัมมีผลทำให้ร่างกายตื่นตัว หากมากว่า 300 มิลลิกรัมจะทำให้เกิดอาการวิตกกังวล กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ หงุดหงิด คาเฟอีนสามารถกระตุ้นให้ปวดศีรษะและยังสามารถช่วยลดอาการปวดศีรษะได้ ขึ้นอยู่กับขนาดและความถี่ของการใช้ หากใครที่มีอาการปวดศีรษะบ่อย ๆ แนะนำให้หลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม อาหาร หรือยาที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีน
       
       ท้ายนี้ อายุรแพทย์สมอง และระบบประสาท ให้คำแนะนำทุก ๆ บ้านว่า การดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากอาการปวดศีรษะ สามารถทำได้ไม่ยาก อย่างแรกควรสังเกต และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ และตรงตามเวลาทุกวัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่หักโหมจนเกินไป งดสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดสมองตีบ งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง และถ้าอาการปวดศีรษะรุนแรงมากขึ้น หรือมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป ควรปรึกษาแพทย์ทันที
       
       เพียงเท่านี้ก็สามารถบอกลาไมเกรนตัวร้ายกันได้แล้วครับ

ข้อมูลประกอบข่าว
       
       "ไมเกรน" เป็นโรคที่เกิดจากความไวของสมองมีมากกว่าปกติ เกิดจากความผิดปกติของระบบไฟฟ้าที่ผิวสมอง ทำให้สมองเกิดการกระตุ้นได้ง่ายและไวกว่าคนปกติ หลังจากสมองถูกกระตุ้นแล้ว จะเกิดกระแสไฟฟ้าวิ่งไปตามผิวของสมองอย่างช้าๆ (ทำเกิดอาการการเตือนขึ้นมา) กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นนี้ทำให้การไหลเวียนของเลือดในสมองเปลี่ยนแปลงไป และยังไปกระตุ้นเส้นประสาทสมอง ทำให้เกิดการหลั่งสารสื่อประสาทบางชนิด มีผลทำให้หลอดเลือดสมองเกิดการขยายตัวและเกิดการอักเสบขึ้น เป็นผลทำให้มีอาการปวดศีรษะในที่สุด
       
       สำหรับอาการปวดศีรษะไมเกรนสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ไมเกรนที่ไม่มีอาการเตือน และไมเกรนที่มีอาการเตือน ซึ่งอาการเตือนที่พบบ่อย ๆ นั้น ได้แก่ การมองเห็นผิดปกติ โดยจะเห็นแสงเป็นเส้นซิกแซกคล้ายฟันเลื่อย อาจจะมีหรือไม่มีสี หรือเห็นภาพมืดไปเป็นบางส่วน หรือมองเห็นภาพไม่ชัด หลับตาแล้วยังเห็นได้อยู่ หรือเห็นภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาการผิดปกติของการมองเห็นจะเคลื่อนที่อย่างช้า ๆ อาการเตือนอื่นๆ เช่น อาการชาที่มือ-แขน หรือชารอบปาก ไม่สามารถพูดได้ชั่วคราวหรือนึกชื่อไม่ออก หรือมีอาการอ่อนแรงของแขน-ขาซีกหนึ่งของร่างกาย เป็นต้น
       
       นอกเหนือจากอาหารในข้างต้นแล้ว ยังมีสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนขึ้นมาได้ เช่น ภาวะเครียด การอดนอน การนอนและตื่นที่ไม่เป็นเวลา ช่วงที่เป็นประจำเดือน กลิ่นหรือควัน การเปลี่ยนแปลงของอากาศ หรือความร้อน แสงแดด เป็นต้น


ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 เมษายน 2555

176
 งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยโกเทนเบิร์ก ประเทศสวีเดนเผย การใช้เว็บโซเชียลเน็ตเวิร์กชื่อดังอย่างเฟสบุ๊กอาจนำไปสู่การเสพติดการใช้งานได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่มี "การศึกษา - รายได้" ต่ำ
       
       การศึกษาครั้งนี้ได้สอบถามความเห็นของกลุ่มผู้ใช้งานอายุระหว่าง 18 - 73 ปีจำนวน 1,000 คน โดยนักวิจัยพบว่า 85 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มผู้ใช้งานยอมรับว่าตนเองต้องเข้าเฟสบุ๊กทุกวัน และ 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ระบุว่า ตนเองนั้นล็อกอินเข้าเฟสบุ๊กทันทีหลังจากเปิดคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว
       
       ในด้านความรู้สึกของผู้ใช้นั้น พบว่า ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกกลัวว่าตนเองจะพลาดบางอย่างไปหากไม่ได้ล็อกอินเข้าเฟสบุ๊ก และ 1 ใน 4 ระบุว่าตนเองนั้นรู้สึกแย่เอามาก ๆ หากไม่สามารถเข้าใช้งานเฟสบุ๊กได้
       
       จากข้อมูลของการศึกษาเผยว่า โดยเฉลี่ยแล้วยูสเซอร์ 1 คนมีการใช้งานเฟสบุ๊กนาน 75 นาทีต่อวัน
       และจำนวนครั้งที่ยูสเซอร์ 1 คนทำการล็อกอินเข้าเฟสบุ๊กอยู่ที่ 6.1 ครั้งต่อวัน นอกจากนั้นมีผู้ใช้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าต้องล็อกอินเข้าเฟสบุ๊กทุกครั้งที่พวกเขาเปิดคอมพิวเตอร์ และยังมีผู้ใช้ถึง 26 เปอร์เซ็นต์ที่ยอมรับว่ารู้สึกแย่มากหากไม่สามารถเข้าใช้งานเฟสบุ๊กได้
       
       หากแบ่งเป็นเพศพบว่าผู้หญิงจะใช้เวลาในเฟสบุ๊กเฉลี่ย 81 นาทีต่อวัน ส่วนผู้ชายจะใช้เฟสบุ๊กเฉลี่ย 64 นาทีต่อวัน
       
       ในการศึกษาครั้งนี้ยังพบว่า กลุ่มผู้ใช้งานเฟสบุ๊กที่มีการศึกษาและรายได้ต่ำนั้นใช้งานเฟสบุ๊กนานกว่าผู้ใช้กลุ่มอื่นด้วย ซึ่งในคนกลุ่มนี้พบว่า ยิ่งใช้งานนานเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขและความพึงพอใจในชีวิตน้อยลงทุกที
       
       ปฏิเสธไม่ได้ว่า เฟสบุ๊กเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ทำให้โลกทั้งโลกเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ซึ่งในความสามารถนั้น ไม่เพียงแต่มีข้อดีเพียงด้านเดียว ด้านมืดของมันก็มีอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้น การใช้ชีวิตให้สมดุลในยุคนี้ มนุษย์เราอาจต้องพยายามบริหารชีวิตด้วยเครื่องมืออย่างชาญฉลาด และรู้เท่าทันให้มากขึ้น
       
       เรียบเรียงบางส่วนจากเดลิเมล


ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 เมษายน 2555

177
จีนเปิดสะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ ข้ามหุบเขาเต่อฮัง ให้รถสัญจรอย่างเป็นทางการวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา นับเป็นสะพานแขวนที่ยาว และตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดในโลก
       
       สื่อจีนรายงาน (1 เม.ย.) ว่า สะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ นี้ นับเป็นสะพานแขวนลอดอุโมงค์ระหว่างหุบเขา ที่ยาวที่สุด และยังอยู่สูงจากพื้นดินที่สุดในโลก ซึ่งได้เปิดสะพานฯ ให้รถสัญจร อย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 31 มี.ค.
       
       รายงานข่าวกล่าวว่า สะพานแห่งนี้ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2550 แล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2554 ที่ผ่านมา ใช้ระยะเวลาในการสร้างนานเกือบ 5 ปี โดยต้องสร้างเชื่อมหุบเขา 2 จุด ในหุบเขาเต่อฮัง มณฑลหูหนาน ด้วยสะพานซึ่งมีระยะทาง 1,176 เมตร
       
       สะพานนี้อยู่สูงจากพื้นดิน 355 เมตร และเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงจื่อโจว-ฉาต่ง ซึ่งมีระยะทาง 64 กิโลเมตร ลัดเลาะไปตามหุบเขามากมาย เจาะผ่านเขาเป็นอุโมงค์ถึง 18 แห่ง อันมีระยะทางรวมของส่วนที่เป็นอุโมงค์ ยาวเกือบครึ่งหนึ่งของทางหลวงเส้นนี้ ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทาง และความเสี่ยงอันตรายจากถนนแคบและโค้งหักศอกจำนวนมากของทางหลวงเก่า โดยการเดินทางด้วยเส้นทางหลวงใหม่นี้ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง จากเดิมที่นานกว่า 5 ชั่วโมง
       
       ทั้งนี้ สะพานแห่งนี้ ได้เปิดทดลองใช้เมื่อวันตรุษจีนที่ผ่านมา และผู้ที่ใช้เส้นทางหลวงใหม่นี้กล่าวว่า สะดวกสบาย และรื่นรมย์มาก เพราะทางหลวงฯ นี้ วิ่งไปตามหุบเขาตลอด 64 กิโลเมตร และยังลอดอุโมงค์ยาวจำนวนนับสิบ ก่อนจะพบจุดน่าทึ่งที่สุดตรง สะพานแขวนใหญ่ไอ่ไจ้ ซึ่งทิวทัศน์และประสบการณ์บนสะพานนี้ ไม่มีที่ไหนในโลกอีกแล้ว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 เมษายน 2555

178
สื่อจีนเผยภาพบรรยากาศระหว่างเทศกาลวันเชงเม้งวันที่ 4 เม.ย. ที่ครอบครัว ญาติมิตร และผู้รอดชีวิตจากสงครามหนันจิง (นานกิง) และองค์กรด้านสังคมจากที่ต่างๆทั่วโลก พร้อมใจกันมาคารวะเซ่นไหว้ดวงวิญญาณผู้เสียชีวิต ในเหตุการณ์สังหารหมู่หนันจิง(นานกิง) ระหว่างที่กองทัพญี่ปุ่นบุกยึดครองเมืองหนันจิง ปี พ.ศ. 2480 (1937) โดยได้มาประกอบพิธี ณ “กำแพงร้องไห้” ในบริเวณพิพิธภัณฑ์รำลึกพี่น้องร่วมชาติที่เสียชีวิตการสังหารใหญ่ระหว่างกองทัพญี่ปุ่นบุกจีน นครหนันจิง
       
       สื่อจีนกล่าวว่า ข้อมูลประวัติศาสตร์ บันทึกถึงโศกนาฏกรรมนานกิง ว่าเป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่มนุษย์ทำต่อกัน โดยกองทัพญี่ปุ่นผู้รุกรานยึดครองนานกิง เมืองหลวงของจีนในเวลานั้น เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2480 และได้สังหารชาวจีนตายมากกว่า 300,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนไร้ทางต่อสู้ แต่ประวัติศาสตร์โลกดังกล่าว ยังไม่ได้รับการชำระอย่างชัดเจนทั้งในข้อมูลผู้เสียชีวิต และการยอมรับจากทางการญี่ปุ่น
       
       ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2554 อู่ สิ่วหลาน เหยื่อสงครามนานกิง ผู้อายุมากที่สุดได้สิ้นลมไปในวัย 97 ปี โดยระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ นางอู่ ซึ่งพิการขาขาดทั้งสองข้างเพราะระเบิดเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2480 ได้ยืนกรานที่จะเข้าร่วมพิธีรำลึกโศกนาฏกรรมนานกิง และ เรียกร้องให้ประชาชนรำลึกถีงเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อให้โลกช่วยกันไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และมีสันติสุข

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 เมษายน 2555

179
ธปท.เจอความเหลื่อมล้ำค่าจ้างคนไทย เผยสิ้นปี 2554 โดยเฉลี่ยปริญญาเอกรับอื้อเดือนละ 80,000 บาท ขณะที่ปริญญาตรีเฉลี่ยค่าจ้างแรงงานอยู่ที่ 18,843 บาท แรงงานไร้การศึกษาแค่ 4,789 บาทต่อเดือน ส่วนมัธยมปลายสายอาชีวะรายได้ดี เงินเดือนแซงระดับอนุปริญญา
       
       ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานตัวเลขค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยของแรงงานไทยเฉลี่ยสิ้นปี 2554 ที่ผ่านมา แยกตามการศึกษา และสาขาอาชีพ โดยแยกค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยของแรงงานไทยตั้งแต่ไม่มีการศึกษา จนถึงปริญญาตรีเฉลี่ยทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ พบว่า ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยของแรงงานที่ไม่มีการศึกษา ณ สิ้นปี 2554 อยู่ที่ 4,789.17 ต่อเดือน ขณะที่แรงงานที่มีการศึกษาต่ำกว่าประถมศึกษา มีค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยสูงขึ้นเป็น 5,734 บาทต่อเดือน สำหรับแรงงานที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษา มีค่าจ้างเฉลี่ยรายเดือนอยู่ที่ 6,089.98 บาท ส่วนแรงงานที่มีการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น พบว่า ได้ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยอยู่ที่ 6,972.18 บาทต่อเดือน
       
       ด้านค่าจ้างแรงงานที่มีการศึกษาระดับมัธยมปลายนั้นจะแยกเป็น 3 ประเภท โดยค่าจ้างแรงงานของผู้จบมัธยมปลายสายอาชีวะจะมีค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยต่อเดือนสูงที่สุดที่ 12,500.59 บาท ส่วนแรงงงานที่จบมัธยมปลายสายสามัญจะมีค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยต่ำที่สุด 7,863.45 บาทต่อเดือน ขณะที่ค่าจ้างแรงงานในสายวิชาการศึกษา ซึ่งหมายถึงด้านวิเคราะห์ วิจัย วางแผนพัฒนา เทคโนโลยีในการศึกษา จะมีค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยต่อเดือนที่ 7,960.42 บาท
       
       สำหรับแรงงานระดับอนุปริญญามีค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยรวมทุกประเภทอยู่ที่ 11,209.59 บาทต่อเดือน โดยค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยของผู้จบสายสามัญมีรายได้เฉลี่ยสูงอยู่ที่ 13,647.59 บาทต่อเดือน สายอาชีวศึกษากลายเป็นสายที่ได้ค่าจ้างเฉลี่ยต่ำที่สุดที่ 11,054.49 บาทต่อเดือน ขณะที่สายวิชาการการศึกษามีค่าจ้างเฉลี่ยอยู่ที่ 11,443.89 บาทต่อเดือน
       
       เมื่อสำรวจถึงค่าจ้างแรงงานระดับปริญญาตรี พบว่าแรงงานในระดับปริญญาตรีสิ้นปี 2554 มีค่าจ้างเฉลี่ยอยู่ที่ 18,210.34 บาท แยกเป็น สายวิชาการมีค่าจ้างเฉลี่ย 17,882.10 บาทต่อเดือน สายวิชาชีพมีค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือน 17,032.20 บาท โดยในระดับปริญญาตรีนั้น สายวิชาการการศึกษาขึ้นมาเป็นสายที่มีค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยสูงที่สุดที่ 22,796.45 บาทต่อเดือน
       
       อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยระหว่างผู้ที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี กับสูงกว่าปริญญาตรีจะเห็นการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยแบบก้าวกระโดด โดยจากค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยในปี 2554 ของแรงงานระดับปริญญาตรีที่ 18,843.53 บาทต่อเดือน เมื่อขึ้นมาเป็นแรงงานระดับปริญญาโทจะมีค่าจ้างเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 33,881.35 บาทต่อเดือน และหากเป็นแรงงานระดับปริญญาเอกค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือนจะขึ้นไปที่ 80,288.83 บาท
       
       การสำรวจค่าจ้างแรงงาน จำแนกตามอาชีพทุกระดับการศึกษานั้น อาชีพผู้บัญญัติกฎหมาย ข้าราชการอาวุโส และเอกชนระดับผู้จัดการ มีค่าจ้างแรงงานสูงที่สุดเฉลี่ยที่ 26,360.33 บาทต่อเดือน ขณะที่ผู้ประกอบวิชาชีพด้านต่างๆ มีค่าจ้างแรงงานเฉลี่ย 21,984.92 บาทต่อเดือน ช่างเทคนิคสาขาต่างๆ และผู้ประกอบวิชาชีพอื่นที่เกี่ยวข้องมีค่าจ้างเฉลี่ยที่ 16,264.77 บาทต่อเดือน ขณะที่เสมียนมีค่าจ้างเฉลี่ย 12,532.73 บาทต่อเดือน พนักงานบริการและพนักงานขายในร้านค้า และตลาดสด มีค่าจ้างเฉลี่ย 8,806.28 บาทต่อเดือน ผู้ปฏิบัติงานในธุรกิจด้านความสามารถทางฝีมือ และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง มีค่าจ้างเฉลี่ย 7,502.91 บาทต่อเดือน ผู้ปฏิบัติการเครื่องจักรโรงงาน และเครื่องจักร รวมทั้งการประกอบมีค่าจ้างเฉลี่ย 7,504.97 บาทต่อเดือน อาชีพขั้นพื้นฐาน 5,038.08 บาทต่อเดือน และอาชีพอื่นๆ 13,388.81 บาทต่อเดือน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 เมษายน 2555

180


1.บทนำ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 52  บัญญัติให้ชนชาวไทยย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน และผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดย ไม่เสียค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายบัญญัติ และการให้บริการสาธารณสุขของรัฐต้องเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ โดยจะต้องส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชนมีส่วนร่วมเท่าที่จะกระทำได้ และมาตรา 82 บัญญัติให้รัฐต้องจัดและส่งเสริมการสาธารณสุขให้ประชาชนได้รับบริการที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง         

บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญข้างต้น เป็นการรับรองสิทธิในทางการสาธารณสุขของประชาชนไทย และเป็นการกำหนดหน้าที่ของรัฐในการจัดการด้านการสาธรณสุข   

ครั้นต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545  เพื่อรับรองการบังคับใช้ตามสิทธิในทางการสาธารณสุขของประชาชน  และหน้าที่ของรัฐในการจัดการทางสาธารณสุข ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ    โดยกฎหมายฉบับนี้มีโครงสร้างเป็น
๑.   สิทธิในการรับบริการสาธารณสุข
๒.   องค์กรและอำนาจหน้าที่
๓.   กองทุน
๔.   มาตรฐานบริการสาธารณสุข และการกำกับ

2.ความหมายของ “สิทธิในการรับบริการสาธารณสุข”

โดยที่พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ตราขึ้นเพื่อรับรองการบังคับใช้ตามสิทธิในทางการสาธารณสุขของประชาชน  และหน้าที่ของรัฐในการจัดการการทางสาธารณสุข  จึงมีเนื้อหาที่เป็นการกำหนดขั้นตอนของการการใช้สิทธิของประชาชน   และการกำหนดหลักเกณฑ์ และขั้นตอนการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ที่ต้องมีบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ  เช่น แม้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 52  บัญญัติให้ชนชาวไทยย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน และผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดย ไม่เสียค่าใช้จ่าย  และต้องเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ นั้น  มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2547  ให้อำนาจคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  เป็นผู้กำหนดประเภทของการบริการสาธารณสุข    ขอบเขตของบริการสาธารณสุข   ที่จะให้บริการกับประชาชน และการที่ประชาชนจะใช้สิทธิรักษา พยาบาลได้ ก็ต่อเมื่อยื่นได้คำขอลงทะเบียนต่อสำนักงานหรือหน่วยงานที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กำหนด เพื่อเลือกหน่วยบริการ เป็นหน่วยบริการประจำ   และการใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขได้นั้น มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกันได้กำหนดไว้เฉพาะ

-   จากหน่วยบริการประจำของตนหรือหน่วยบริการปฐมภูมิในเครือข่ายหน่วยบริการที่เกี่ยวข้อง
-   จากหน่วยบริการอื่นที่หน่วยบริการประจำของตนหรือเครือข่ายหน่วยบริการที่เกี่ยวข้องส่งต่อ

               เว้นแต่กรณีที่มีเหตุสมควร หรือกรณีอุบัติเหตุหรือกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน  จึงจะมีสิทธิเข้ารับบริการจากสถานบริการอื่นได้ตามที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนด   

          จากบทบัญญัติดังกล่าวนี้  แสดงให้เห็นในเบื้องแรกว่า  สิทธิของประชาชนที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ว่า  มีสิทธิเสมอกันในการรับบริการนั้น ก็แต่เฉพาะที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หากนอกเหนือจากประเภทและขอบเขตของบริการสาธารณสุขที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนด   ประชาชนจะต้องจ่ายหรือซื้อบริการสาธารณสุข จากหน่ายบริการประจำของตน หรือหน่วยบริการอื่นๆ และแม้แต่จะเป็นกรณีอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน  ก็มีข้อจำกัดว่าจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนดไว้เท่านั้น

      และจากบทบัญญัตินี้ แสดงให้เห็นอีกว่า หน่วยบริการจะต้องให้บริการแก่ผู้มีสิทธิรับบริการตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 เฉพาะประเภทและขอบเขตของบริการสาธารณสุขที่คณะกรรม การหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กำหนดเท่านั้น     และบุคลากรทางการสาธารณสุข โดยเฉพาะแพทย์ ถูกจำกัดการทำหน้าที่ให้ต้องรักษาผู้มีสิทธิรับบริการอีกเช่นเดียวกัน     ดังนั้น หากผู้มีสิทธิรับบริการประสงค์จะใช้บริการ(นอกเหนือ ประเภทและขอบเขตของบริการสาธารณสุขที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กำหนด ไม่ว่ากรณีใดๆ)ต้องจ่ายค่าบริการนั้นเอง   

3.มาตรฐานบริการสาธารณสุข

      บริการสาธารณสุข ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545  หมายถึง บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขซึ่งให้โดยตรงแก่บุคคลเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การตรวจวินิจฉัยโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพ ที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต  และหมายรวมถึงการบริการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะ     ซึ่งในมาตรา 8 ของพระราชบัญญัติฉบับเดียวกันนี้กำหนดให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นผู้มีอำนาจในการกำหนดมาตรฐานการให้บริการ ซึ่งครอบคลุมถึง

(1) การใช้วัคซีน ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ในการรักษาที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ โดยให้ความเสมอภาคและอำนวยความสะดวกในการให้บริการสาธารณสุขที่จำเป็น ตลอดจนเคารพในสิทธิส่วนบุคคล ในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเชื่อทางศาสนา

(2) การให้ข้อมูลการบริการสาธารณสุขของผู้รับบริการตามที่ผู้รับบริการร้องขอและตาม ประกาศที่มีการกำหนดเกี่ยวกับสิทธิของผู้ป่วยและผู้รับบริการโดยไม่บิดเบือน ทั้งในเรื่องผลการวินิจฉัย แนวทาง วิธีการ ทางเลือก และผลในการรักษา รวมทั้งผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้รับบริการตัดสินใจในการเลือกรับบริการหรือถูกส่งต่อ

(3) การให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับชื่อแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือผู้รับผิดชอบในการดูแลอย่างต่อเนื่องทางด้านสุขภาพกายและสังคม แก่ญาติหรือผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้รับบริการอย่างเพียงพอก่อนจำหน่ายผู้รับบริการออกจากหน่วยบริการหรือเครือข่ายหน่วยบริการ

(4) การรักษาความลับของผู้รับบริการจากการปฏิบัติหน้าที่ตาม (1) และ (2) อย่างเคร่งครัด เว้นแต่เป็นการเปิดเผยต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย

(5) การจัดทำระบบข้อมูลการให้บริการสาธารณสุข เพื่อสะดวกต่อการตรวจสอบคุณภาพและบริการ รวมทั้งการขอรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข

      ทั้ง 5 ข้อ พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545  มาตรา 45 กำหนดให้เป็นหน้าที่ของหน่วยบริการ ภายใต้มาตรฐานและหรือกฎเกณฑ์ของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

      ดังนั้น นอกจากประเภทของการบริการและขอบเขตของบริการสาธารณสุข จะมีครอบคลุมเพียงใดดังที่กล่าวมาในตอนต้นแล้ว  มาตรฐานและคุณภาพของวัคซีน ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ในการรักษา จะเป็นไปในทิศทางใดจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนดอีกด้วย   

4. คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
   
      การที่ประเภทของการบริการและขอบเขตของบริการสาธารณสุข รวมถึงมาตรฐานและคุณภาพของวัคซีน ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ในการรักษา มีครอบคลุมเพียงใดซึ่งมีความสำคัญต่อประชาชนผู้รับบริการ  บทความจึงไม่อาจละเลยที่จะกล่าวถึง คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ 

พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 กำหนดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งใช้ชื่อว่า คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  ซึ่งประกอบไปด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ  ผู้แทนเทศบาลหนึ่งคน องค์การบริหารส่วนจังหวัดหนึ่งคน องค์การบริหารส่วนตำบลหนึ่งคน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบอื่นหนึ่งคน ผู้แทนองค์กรเอกชนซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่มิใช่เป็นการแสวงหาผลกำไรและดำเนินกิจกรรมด้าน งานด้านเด็กหรือเยาวชน งานด้านสตรี งานด้านผู้สูงอายุ งานด้านคนพิการหรือผู้ป่วยจิตเวช งานด้านผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือผู้ป่วยเรื้อรังอื่น งานด้านผู้ใช้แรงงาน งานด้านชุมชนแออัด งานด้านเกษตรกร งานด้านชนกลุ่มน้อย จำนวนห้าคน  ผู้แทนผู้ประกอบอาชีพด้านสาธารณสุขจากแพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ด้านละหนึ่งคน  ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนเจ็ดคนซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความเชี่ยวชาญทางด้านประกันสุขภาพ การแพทย์และสาธารณสุข การแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก การเงินการคลัง กฎหมายและสังคมศาสตร์ ด้านละหนึ่งคน     

คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  มีอำนาจหน้าที่ กำหนดมาตรฐานการให้บริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ และเครือข่ายหน่วยบริการ และกำหนดมาตรการในการดำเนินงานเกี่ยวกับหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มีประสิทธิภาพ ให้คำแนะนำต่อรัฐมนตรีในการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ ออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กำหนดประเภทและขอบเขตในการให้บริการสาธารณสุขที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต และอัตราค่าบริการสาธารณสุขตามมาตรา 5  กำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการถอดถอนเลขาธิการ และกำหนดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของเลขาธิการ ออกระเบียบเกี่ยวกับการรับเงิน การจ่ายเงิน และการรักษาเงินกองทุน กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ในกรณีที่ผู้รับบริการได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลโดยหาผู้กระทำผิดมิได้ หรือหาผู้กระทำผิดได้แต่ผู้รับบริการไม่ได้รับค่าเสียหายภายในระยะเวลาอันสมควร     และมีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้ดำเนินกิจการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ อำนาจหน้าที่  รวมถึงการกำหนดนโยบายการบริหารงาน และให้ความเห็นชอบแผนการดำเนินงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ    การอนุมัติแผนการเงินของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การควบคุมดูแลการดำเนินงานและการบริหารงานทั่วไป ตลอดจนออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนดเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน การติดตามประเมินผล และการดำเนินการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ   

ดังนั้น คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  จึงเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจในกิจการสาธารณสุขภายใต้โครงสร้างตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ในการการออกกฎเกณฑ์ประเภทของการบริการและขอบเขตของบริการสาธารณสุข รวมถึงมาตรฐานและคุณภาพของวัคซีน ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ในการรักษา อันมีผลบังคับใช้เป็นการทั่วไปแล้ว  และกำกับดูแลสำนักงานหลักประกันสุขภาพในการปฏิบัติการตามกฎเกณฑ์ของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 

กรณีเป็นเรื่องแปลกที่องค์กรผู้ใช้อำนาจซึ่งมีลักษณะอันเป็นการใช้อำนาจทางปกครองในกิจการสาธารณสุขโดยแท้   แต่พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545  มิได้กำหนดเกณฑ์คุณสมบัติและมาตรฐานกรรมการในด้านประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถในด้านการสาธารณสุข ให้เป็นไปอย่างครอบคลุม   ทั้งที่อำนาจของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  มีผลกระทบต่อการจัดบริการสาธารณะสุขของรัฐต่อประชาชนทั้งประเทศ  เช่น กรณีที่มีการเสนอให้มีการยกเลิกมาตรา 41 โดยอ้างว่า ไม่ครอบคลุมในการแก้ไขปัญหาความเสียหายของผู้ป่วยที่เกิดขึ้นจากสาธารณสุข ทั้งๆวรรคสองของมาตราดังกล่าวกำหนดให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  มีอำนาจออกหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของการช่วยเหลือผู้ป่วยไว้แล้วซึ่งคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  สามารถพิจารณาให้มีการขยับเพดานขั้นสูงจากสองแสนบาทในปัจจุบันให้สูงขึ้นกว่าเดิม    และสามารถกำหนดเงื่อนไขให้สามารถแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องได้ ทั้งนี้ ตามมาตราเดียวกันนี้ กำหนดให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกันเงินจำนวนไม่เกินร้อยละหนึ่งของที่จะจ่ายให้หน่วยบริการไว้เป็นเงินช่วยเหลือผู้ป่วย   โดยไม่มีความจำเป้นอย่างใดที่จะให้มี พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุขบังคับใช้กับกรณีดังกล่าวแทน  ซึ่งมีสาระสำคัญส่วนหนึ่งเป็นการให้นำเงินตามมาตรา 41 ไปรวมกับกองทุนที่ตั้งขึ้นใหม่ซึ่งจะได้จากการที่รัฐบาลจ่ายสมทบ และจากหน่วยบริการ    ทั้งนี้ ให้เหตุผลในการจะมีพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุขว่า เพื่อให้คดีที่เกิดขึ้นจากการฟ้องร้องคดีระหว่างผู้ป่วยที่เสียหายจากบริการสาธารณสุขกับบุคคลากรทางการแพทย์ให้ลดน้อยลง  และให้ผู้ป่วยได้รับการชดเชยเยียยาที่รวดเร็วขึ้น  ทั้งๆที่ไม่ปรากฏว่าตามร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข นั้นได้มีการยกเว้นว่า กองทุนใหม่นี้งดเว้น  หรือไม่มีสิทธิไล่เบี้ยกับคู่อีกฝ่ายหลังจากที่จ่ายเงินให้แก่ผู้เสียหายตามที่ร้องขอไปแล้ว  อีกทั้งการพิจารณาว่าจะจ่ายเงินหรือไม่อย่างไร ซึ่งจะต้องมีการวินิจฉัยเสียก่อนว่า ความเสียหายที่ผู้ป่วยได้รับนั้นเป็นความเสียหายที่เกิดจากความบกพร่องหรือไม่พร้อมของระบบบริการสาธารณาสุข หรือบกพร่องเพราะการกระทำของบุคคลากรทางการแพทย์  ซึ่งผู้ที่จะวินิจฉัยได้จะต้องมีคุณสมบัติและระดับขีดความรู้ ความสามารถให้สูงเพียงพอและหรือเทียบเท่ากับคุณสมบัติของบุคคลการกรทางด้านการแพทย์หรือไม่อย่างใด หรือเท่ากับกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่มาจากสัดส่วนขององค์พัฒนาเอกชน     กรณีจึงไม่มีหลักประกันใดๆเลยว่า การพิจารณาจะเป็นไปตามหลักวิชาการทางการสาธารณสุขในทิศทางใดและมากน้อยเพียงใด และจะเป็นธรรมหรือไม่  เหตุดังกล่าวนี้เป็นข้อหนึ่งที่ทำให้ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข ถูกค้านค้านอย่างหนักและต่อเนื่องจากบุคคลการทางการแพทย์ เป็นประวัติการณ์

และเมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้รับบริการที่เป็นโรคไตวายและต้องมีการฟอกไตให้เริ่ม ต้นด้วยการล้างไตทางช่องท้องตามนโยบายส่งเสริมการล้างไตช่องท้อง (CAPD First policy) โดยระบุว่าผู้รับบริการซึ่งเป็นผู้ป่วยรายใหม่   หากไม่สมัครใจทำการล้างไตผ่านช่องท้อง ต้องการทำโดยวิธีฟอกเลือดจะต้องจ่ายค่าฟอกเลือดเอง ซึ่งทั่วไปจะอยู่ในราวหมื่นกว่าบาทต่อเดือน   ปัจจุบันผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้รับบริการตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2547  ที่ได้รับบริการฟอกไต มีประมาณ 19,000 คน แบ่งเป็นเป็นการล้างไตทางหน้าท้อง (CAPD) ประมาณ  9,600 คน เป็นการฟอกเลือด (HD) ประมาณ 9,300 คน      กรณีดังกล่าวนี้อาจมีปัญหาว่าเป็นการการกระทบต่อสิทธิผู้ป่วยในการเลือกวิธีการรักษาหรือไม่  และเป็นการไม่เคารพการวินิจฉัยและแนวทางการรักษาตามมาตรฐานการ แพทย์หรือไม่    อันเป็นปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการบริการสาธารณสุขที่เรียกว่า “หลักประกันสุขภาพ “ ภายใต้พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545   มิพักต้องกล่าวถึง สิทธิของประชาชนซึ่งเป็นผู้ป่วยที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญว่าต้องได้รับการให้บริการสาธารณสุขของรัฐเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ เพราะกำหนดให้ผู้รับบริการทุกคนไม่ต้องเสียค่าบริการและค่ารักษาพยาบาล ภายใต้พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545  ซึ่งเป็นไปตามหลักความเสมอภาค และเท่าเทียม แบบคณิตศาสตร์         จึงไม่น่าจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่มุ่งคุ้มครองเฉพาะคนยากจน ผู้ยากไร้ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย   ส่วนผู้ที่พอมีฐานะ มีกำลังทางเศรษฐกิจ กลับมีสิทธิเช่นเดียว กับคนยากจน ผู้ยากไร้             เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 52 ซึ่งบังคับใช้ในขณะมีการตราพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 นั้น ได้มุ่งที่จะให้การเข้าถึงบริการสาธารณสุขของประชาชนให้เป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ         การเลือกปฏิบัติกับคนยากจน ผู้ยากไร้โดยการไม่เก็บค่ารักษาพยาบาลจึงเป็นการเลือกปฏิบัติที่เป็นธรรม เพราะมุ่งที่จะขจัดความเหลื่อมล้ำแตกต่างทางฐานะและการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของประชาชนให้เป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ    อันเป็นการสอดคล้องกับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช  2550 มาตรา 30 วรรคท้าย ซึ่งบัญญัติว่า  “มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม”        กรณีที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ จึงทำให้เกิดภาระต่อค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขในกองทุนหลักประกันสุขภาพที่มีอยู่จำกัดเป็นอย่างมาก   อันจะมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณสุขของรัฐ  เพราะต้องเฉลี่ยค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขให้ต่ำลง เพื่อให้การบริการสามารถครอบคลุมประชาชนผู้รับบริการตามหลักความเสมอภาค และเท่าเทียม แบบคณิตศาสตร์   ซึ่งมิใช่จุดมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545     

จากปรากฏการณ์ดังกล่าวข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าสิทธิของประชาชนในการรับบริการสาธารณสุข ที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ได้  ตราบใดที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยังคงดำเนินการตามทิศทางที่เป็นอยู่ เพราะการดำเนินการดังที่กล่าวมาข้างต้นต่อไป อาจเป็นการสร้างความเสี่ยงให้เกิดขึ้นกับระบบการรักษาพยาบาลประชาชนของรัฐมากยิ่งขึ้น    จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องขอให้มีการทบทวนการดำเนินการของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อย่างจริงจัง เพื่อความชอบธรรมของประชาชน และเพื่อประโยชน์สาธารณะ

นายสุกฤษฎิ์ กิติศรีวรพันธุ์  ทนายความ น.บ.   ป.บัณฑิต(กฎหมายหาชน)

เอกสารอ้างอิง
1.   รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
2.   รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
3.   พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545     

หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13