แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - science

หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13
151
 เมื่อพูดถึง “ขนม” เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเด็กไทยมานานมาก เริ่มตั้งแต่ขนมไทยหลากหลายชนิด แต่ทุกวันนี้ เราคงต้องยอมรับว่า สื่อโฆษณาต่างๆ ด้านขนมเด็ก ทำหน้าที่โหมกระหน่ำและมุ่งเป้าไปยังเด็กทุกวัย ทำให้ขนมเปลี่ยนรูปหน้ากลายเป็นขนมกรุบกรอบรสชาติถูกลิ้น เค้ก คุกกี้ ไอศกรีม ซึ่งขนมบางอย่างมีการนำวัตถุดิบธรรมชาติที่มีกาเฟอีนผสมลงไปด้วย เช่น เค้กรสกาแฟ รสช็อกโกแลต หากรับประทานในปริมาณมาก และบ่อยเกินไป อาจส่งผลต่อสุขภาพตามมาได้
       
       ผศ.ปรัญรัชต์ ธนวิยุทธ์ภัคดี นักวิชาการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า ปัจจุบันกาเฟอีนในอาหารที่คนไทยรับประทานไม่ใช่มีเฉพาะน้ำชา กาแฟ หรือน้ำอัดลมที่มีน้ำสีดำอย่างที่เข้าใจกัน แต่ในขนม และลูกอมต่างๆ เช่น ขนมเวเฟอร์ เค้ก คุกกี้ ลูกอมต่างๆ นม ไอศกรีม ก็ยังพบว่ามีกาเฟอีนผสมอยู่ ซึ่งกาเฟอีนเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทและมีผลกระทบต่อภาวะโภชนาการรวมถึงพัฒนาการของเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กวัยเรียนซึ่งอยู่ในวัยที่กำลังเจริญเติบโต นับเป็นเรื่องที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม
       
       สำหรับสถานการณ์การบริโภคกาเฟอีนในเด็กไทย จากข้อมูลการสำรวจสภาวะพฤติกรรมสุขภาพเยาวชนอายุ 6-15 ปีของกองสุขศึกษา พบว่า เด็กและเยาวชนยังคงดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำทุกวัน 10.5 เปอร์เซ็น ดื่ม 5-6 วันต่อสัปดาห์ 28.4 เปอร์เซ็น ดื่ม 3-4 วันต่อสัปดาห์ 26.1 เปอร์เซ็น นอกจากนี้ยังหันมารับประทาน ช็อกโกแลต เค้ก คุกกี้ ไอศกรีม โดยคนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่ามีกาเฟอีนผสมอยู่ ส่งผลให้มีปัญหาความจำ และสติปัญญาถดถอย บางรายสมาธิสั้นไม่สามารถจดจำข้อมูล และเรื่องราวที่เกิดขึ้นฉับพลันได้เป็นเวลานาน เด็กมักจะเหม่อลอย ไม่สนใจเรียน หากบริโภคติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้สารกาเฟอีนเข้าไปทำลายจิตประสาท และความจำบางส่วนได้
       
       นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาปริมาณการบริโภคกาเฟอีนจากขนมและลูกอมในแต่ละวันของเด็กจากมหาวิทยาลัยมหิดล โดยทำการศึกษาเด็ก 2 กลุ่ม คือ ในกลุ่มอายุ 7-11 ขวบ และอายุ 12-17 ปี พบว่า เด็กอายุ 7-11 ขวบ มีพฤติกรรมกินขนมและลูกอมรวมสูงสุดใน 1 วัน 392.8 กรัม ทำให้ได้รับกาเฟอีนเฉลี่ย 60.8 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนในกลุ่มอายุ 12-17 ปี กินขนมและลูกอมรวมกัน 209.2 กรัม ทำให้ได้รับกาเฟอีนเฉลี่ย 23.1 มิลลิกรัมต่อวัน โดยในลูกอมรสกาแฟมีกาเฟอีน 2.7-3.2 มิลลิกรัมต่อเม็ด ลูกอมรสช็อกโกแลตมีกาเฟอีน 0.16 มิลลิกรัมต่อเม็ด นมรสช็อกโกแลตมีกาเฟอีน 12-14 มิลลิกรัมต่อกล่อง ขนมเวเฟอร์รสกาแฟมีกาเฟอีน 1.1-1.3 มิลลิกรัมต่อชิ้น และกาแฟมีกาเฟอีน 80-100 มิลลิกรัมต่อแก้ว
       
       ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า ขนาดของกาเฟอีนที่ทำให้เสียชีวิตได้ในเด็กเล็กประมาณ 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม นั่นหมายความว่า ถ้าเด็กหนัก 10 กิโลกรัม ปริมาณกาเฟอีนที่จะทำให้เสียชีวิต คือ 1,000 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงมาก แต่ในทางปฏิบัติจริงคงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ถ้าดูว่าการได้รับกาเฟอีนของเด็กอายุต่างๆ ในช่วง 7-17 ปีนั้นจะพบว่า เด็กกินขนมทุกอย่าง (ยังไม่รวมน้ำอัดลมสีน้ำตาลดำ และนมรสกาแฟหรือช็อกโกแลต) การได้รับกาเฟอีนยังไม่มากจนทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ แต่ทางที่ดี เด็กไม่ควรได้รับกาเฟอีนเกินวันละ 2.5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แสดงว่าถ้าเด็กมีน้ำหนักตัวประมาณ 10-15 กิโลกรัม ก็ไม่ควรได้รับกาเฟอีนเกิน 25-40 มิลลิกรัมต่อวัน
       
        “ทุกวันนี้พฤติกรรมของเด็กไทยเปลี่ยนไปมาก โอกาสที่เด็กจะได้รับกาเฟอีนจากแหล่งอื่นๆ มีมากขึ้น ส่งผลให้เด็กได้รับกาเฟอีนในแต่ละวันเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและภาวะโภชนาการของเด็ก ซึ่งจะทำให้เด็กไทยมีโอกาสอ้วนมากขึ้น เพราะขนมเหล่านี้มีน้ำตาลและไขมันสูง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของเด็ก คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลเอาใจใส่เกี่ยวกับการเลือกบริโภคขนมและลูกอม ตลอดจนคำนึงถึงปริมาณในการบริโภคขนมและลูกอมในแต่ละวันด้วย”
       
       แม้ว่ากาเฟอีนไม่ได้จัดเป็นสารเสพติดตามความหมายของสมาคมจิตแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา และขององค์การอนามัยโลก (WHO) แต่นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ส่วนใหญ่เห็นว่า เด็กอาจติดในลักษณะของการกินจนเป็นนิสัย และทุกคนคงทราบกันดีว่า ขนมต่างๆ ในท้องตลาด ล้วนแล้วแต่เป็นขนมที่มีทั้งไขมัน และน้ำตาลสูงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเค้ก ไอศกรีม คุกกี้ ลูกอม เวเฟอร์ และช็อกโกแลต ถ้าเด็กได้กินบ่อยๆ และเป็นการกินนอกเวลาอาหาร การที่ขนมเหล่านี้มีพลังงานสูงและมีน้ำตาลสูงก็จะทำให้เด็กรู้สึกอิ่มจนไม่อยากกินอาหารหลักที่มีสารอาหารครบถ้วน โอกาสที่จะเจริญเติบโตไม่เหมาะสมตามวัย และมีปัญหาโรคอ้วนเพิ่มเข้ามาได้สูง
       
       ทิปหลีกเลี่ยงการบริโภค “กาเฟอีน”
       
       - หลีกเลี่ยงขนมและเครื่องดื่มกาแฟ หรือรสช็อกโกแลตในการเลือกขนมและเครื่องดื่มให้เด็ก ควรเลือกรสวานิลาหรือรสผลไม้ที่สกัดจากธรรมชาติ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรเลือก milk chocolate มากกว่า dark chocolate
       
       - ลองเขียนรายการอาหารและเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนผสมอยู่ และพยายามหลีกเลี่ยงที่จะให้เด็กรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนตามรายการที่เขียนขึ้น แต่ถ้าเด็กอยากรับประทานจริงๆ ควรจำกัดปริมาณให้น้อยที่สุดและไม่ควรให้เด็กรับประทานหลังจากช่วงอาหารเย็น เพราะจะมีผลกระทบต่อการนอนหลับของเด็กได้
       
       - ควรให้เด็กรับประทานของว่างที่คุณแม่ทำเอง เพราะการที่คุณแม่ทำของว่างและเครื่องดื่มให้ลูกรับประทานเอง จะช่วยหลีกเลี่ยงการบริโภคกาเฟอีน รวมทั้งมีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของลูกด้วย


ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 พฤษภาคม 2555

152
 เมื่อเอ่ยถึง “โรค” เป็นความผิดปกติในตัวเด็กที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่ใครจะไปนึกว่า อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญเกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ผิดพลาด และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งนับเป็นเรื่องของความละเอียดอ่อนในการเลี้ยงลูกที่พ่อแม่ทุกคนควรเรียนรู้ และเชื่อว่า คงไม่มีใครอยากให้เกิดกับลูกอันเป็นที่รักอย่างแน่นอน
       
       วันนี้ทีมงาน Life & Family ได้มีโอกาสพูดกับ พญ.ตวงพร สุรพงษ์พิวัฒนะ จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก และวัยรุ่น ผู้เขียนหนังสือเคล็ดลับเลี้ยงลูก “4ดี” ถึงประเด็นดังกล่าว และสามารถสรุป “โรคพ่อทำแม่ทำในยุค 2012” ออกเป็น 4 โรคหลักๆ เพื่อให้พ่อแม่เกิดการฉุกคิด และให้ความใส่ใจในการเลี้ยงลูกกันมากยิ่งขึ้น เริ่มจาก
       
      โรคสมาธิสั้น
       
       ในยุคที่เร่งรีบ และแข่งขันสูง พ่อแม่หลายๆ คนมีเวลาให้ลูกน้อยลง ทำให้สื่อต่างๆ อย่างโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ เข้ามาแทนที่ โดยสื่อเหล่านี้ถือเป็นน้ำผึ้งเคลือบยาพิษสำหรับเด็กเลยก็ว่าได้ การปล่อยให้เด็กอยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยมมากๆ อาจทำให้ความฉลาดลดลง เนื่องจากสมองจะทำงานแค่ระดับตื้นๆ คือ แค่เห็นภาพและรับรู้ภาพแล้วเปรียบเทียบกับความจำเก่า เพราะโทรทัศน์จัดภาพให้เสร็จสรรพ เด็กดูเหมือนฉลาด แต่มักจะเรียนรู้จากความจำระดับตื้นๆ ขาดจินตนาการและการคิดต่อยอด ในที่สุด เด็กก็จะกลายเป็นคนคิดอะไรแบบผิวเผิน สมาธิไม่ดี ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้หรือผลการเรียนแย่ลง ดังนั้น ไม่ควรให้เด็กนั่งหน้าจอก่อนอายุ 2 ปี เพราะจะทำให้เด็กไม่ได้รับการกระตุ้นในเรื่องต่างๆ
       
       “ทุกวันนี้ สภาพแวดล้อมยุ่งยากกว่าแต่ก่อนมาก ทำให้การเลี้ยงลูกยากขึ้น ประกอบกับครอบครัวไทยยุคใหม่ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว พ่อแม่ต้องทำงาน และมีเวลาให้ลูกน้อยลง ส่งผลให้พ่อแม่และลูกมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันน้อยลงตามไปด้วย กลายเป็นสื่อที่เข้ามาทดแทน โดยเฉพาะโทรทัศน์ เป็นสื่อที่น่ากลัวมาก แม้แต่หมอ หรือผู้ใหญ่หลายๆ คน ยังไม่สามารถคัดกรองได้ดีเลย นับประสาอะไรกับเด็ก ทางที่ดี ถ้าไม่อยากให้ลูกกลายเป็นเด็กสมาธิสั้น ควรปรับสภาพแวดล้อมให้เด็กอยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยมน้อยลง” พญ.ตวงพร เผย

       โรคเครียด
       
       ปฏิเสธไม่ได้ว่า พ่อแม่ทุกคนล้วนมีความกลัวอยู่ในตัวว่าจะเลี้ยงลูกได้ไม่ดี หรือส่งเสริมศักยภาพให้ลูกได้ไม่เต็มที่ เมื่อเป็นเช่นนี้ หลายๆ คนจึงกดดัน และค่อยๆ นำความเครียดของตัวเองไปลงที่ตัวเด็ก เพื่อตอบสนองในสิ่งที่พ่อแม่อยากให้ทำ หรืออยากให้เป็น เช่น ต้องเรียนตามโปรแกรมที่พ่อแม่วางเอาไว้ หรืออยู่ในกรอบที่พ่อแม่กำหนด แต่นั่นหารู้ไม่ว่า คุณกำลังทำให้เด็กเครียด ยิ่งถ้าเด็กถูกกดดัน หรือถูกอัดวิชามากเกินวัยด้วยแล้ว เด็กอาจกลายเป็นม้าตีนต้น แต่ตายตอนจบได้ หมายความว่า พอถึงจุดหนึ่งเด็กจะรู้สึกเบื่อหน่ายและไม่สนใจเรียนในที่สุด
       
       “พ่อแม่บางคนอยากให้ลูกเป็นนักร้อง ก็เลยเชียร์ให้ลูกร้องเพลง แต่จริงๆ แล้วลูกชอบเล่นดินน้ำมัน ชอบเล่นกีฬามากกว่า การที่พ่อแม่จับกิจกรรมไม่ตรงจริตเด็ก อาจเกิดเป็นความเครียดตามมาได้ และเมื่อเกิดความเครียดสะสมมากขึ้น ถ้าเด็กไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์ และจิตใจ โอกาสที่เด็กจะออกไปหาวิธีระบายในทางที่ไม่เหมาะสมย่อมเกิดได้สูง” จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่นสะกิดใจพ่อแม่

   
       โรคติดเกม/อินเทอร์เน็ต
       
       ปัญหาเด็กติดเกม เป็นปัญหาที่ค่อยๆ ซึมลึก และยากที่จะแก้ไขเข้าไปทุกที จนหลายๆ ฝ่ายเริ่มเป็นห่วง และกลัวว่า เด็กยุคใหม่จะเป็นโรคติดเกม/ติดอินเทอร์เน็ตกันมากขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากสภาพแวดล้อมในบ้านที่ไม่มีการฝึกวินัยในการเล่น หรือบางบ้านปล่อยให้เกม หรือคอมพิวเตอร์เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนลูกแทนพ่อแม่ เนื่องจากไม่มีใครช่วยดู อย่างไรก็ดี ปัญหาเด็กติดเกม ใช่ว่าจะเกิดจากครอบครัวที่มีปัญหาเสมอไป หลายครอบครัวที่อบอุ่นแต่ไม่รู้มาก่อนว่า เกมจะก่อปัญหา จึงให้ลูกเล่นตามใจชอบตั้งแต่เด็ก ทำให้เด็กค่อยๆ ติดจนกลายเป็นโรคติดเกมในที่สุด ยิ่งถ้าพ่อแม่ไม่มีกิจกรรมดีๆ มารองรับด้วยแล้วก็ยากที่จะกู่กลับ บางคนติดเกมจนไม่สนใจเรียนกันเลยก็มี
       
       ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กติดเกมจนกลายเป็นโรคติดเกม ควรสร้างข้อตกลงในการเล่น หรือใช้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่เล็กๆ เช่น ฝึกให้เด็กเล่นจนครบเวลาตามที่กำหนดไว้ และให้ลูกปิดคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ควรเล่นเกิน 3 ชม.ต่อวัน เพราะมีการศึกษาวิจัย พบว่า เด็กที่เล่นเกิน 3 ชม.ต่อวัน มีแนวโน้มที่จะติดเกมมากกว่าเด็กที่เล่นน้อยครั้งถึง 3 เท่าเลยทีเดียว ถัดมา คือ หากิจกรรมเสริมที่น่าสนใจและสนุกสำหรับเด็ก เช่น พากันไปออกกำลังกาย ทำงานศิลปะ เป็นต้น
       
       ภาวะ/โรคซึมเศร้า
       
       โลกของเด็กเล็กมีเพียงพ่อกับแม่เท่านั้น การกระทำและการแสดงออก รวมไปถึงการใช้คำพูดของพ่อแม่ ควรถนอมน้ำใจเด็ก และทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัย หากปล่อยให้อารมณ์หงุดหงิดง่าย ควบคุมตัวเองไม่ค่อยดี มีความเครียดสะสม และหลุดแสดงอารมณ์ไม่พอใจใส่เด็กเมื่อเด็กทำสิ่งต่างๆ ได้ไม่ดี หรือเอาปัญหามาลงที่ตัวเด็ก สิ่งเหล่านี้หารู้ไม่ว่า คุณกำลังทำให้ลูกเกิดความกลัว เก็บกด ขาดความเชื่อมั่น นับถือตัวเองต่ำ และเกิดภาวะซึมเศร้าขึ้นได้ ในขณะที่เด็กบางคนอาจเป็นด้านตรงกันข้าม คือ ก้าวร้าว และมีอารมณ์รุนแรง ทางที่ดี ครอบครัวควรให้ความรัก ความเข้าใจ สอนให้เด็กเข้มแข็ง รู้จักใช้เหตุผล และแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้นควรลดความขัดแย้งต่างๆ ในครอบครัวลงด้วย
       
       “พ่อแม่ที่รักลูกอย่างสุดหัวใจเป็นสิ่งที่ดีค่ะ แต่ถ้ารักไม่ถูกทางก็อาจนำมาซึ่งปัญหาได้ เช่น ชดเชยเวลาที่หายไปจากการทำงานด้วยการตามใจซื้อของเล่นให้เยอะแยะเต็มไปหมด ซึ่งความรักในลักษณะนี้เป็นการปลูกฝังนิสัยเอาแต่ใจให้เด็กในตอนโตได้ เกิดเป็นปัญหาพฤติกรรมที่สร้างความหนักใจให้แก่พ่อแม่ตามมา ดังนั้นการเลี้ยงลูก ไม่ใช่เรื่องยาก แค่รู้จักเด็ก และควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดี มีการใช้สัมผัส ใช้คำพูดที่สร้างสรรค์ ตลอดจนใช้เวลาคุณภาพร่วมกันก็จะช่วยให้การอยู่ร่วมกันกับเด็กเป็นเรื่องง่าย และมีความสุขมากยิ่งขึ้น” พญ.ตวงพร สรุป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    10 พฤษภาคม 2555

153
อย่างไหนที่คนจะกด Like ให้มากกว่ากัน ระหว่าง ฟังเก่ง กับ อวดเก่ง
       
       คมคิด : คนเขลาไม่เพลิดเพลินในความเข้าใจ แต่เพลิดเพลินในการแสดงความคิดเห็นของตนเท่านั้น (Adapted from Proverbs 18:2, 2012)
       
       Q : คุณหมอครับ ผมทราบว่า การใช้ Facebook นอกจากจะมีประโยชน์แล้ว ก็ยังมีโทษได้หากไม่ระวัง เช่น ติด Facebook บ้างล่ะ ล่าสุด อาจทำให้เกิดโรคหลงตัวเอง อันนี้มันเป็นอย่างไรครับ
       
       A : คุณหมอยุทธนา...ที่จริง facebook หรือ สังคมออนไลน์อื่นๆ อย่าง twitter, Hi5 มีประโยชน์หลายสถานนะครับ แต่เนื่องจากคนเรามีพื้นบุคลิก หรือลักษณะจิตใจที่อ่อนไหวต่างกันต่อการยอมรับจากผู้อื่น บางคนมีการนับถือตนเอง (Self esteem) ดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องหงุดหงิด เวลาคนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง หรือไม่กด Like ให้ แต่บางคนต้องการการยอมรับอย่างมาก ซึ่งเป็นลักษณะ 1 ใน 3 ของบุคลิกหลงตัวเอง (Narcissistic personality) ทำให้ต้องอวดหรือโชว์ตนเองมาก เพื่อได้รับความสนใจ
       
       ผลการวิจัยพบว่า คนหนุ่มๆ จำนวนไม่น้อยที่เล่น Facebook แล้วมีอาการหมกมุ่นกับภาพลักษณ์ของตนเองมากขึ้น และแม้มีจำนวนเพื่อนมากก็จริง แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่สนิทลึกซึ้งอะไร บางคนมักจะพูดในสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นตกใจ ตื่นตระหนก เพียงเพราะว่าเขาไม่ต้องการถูกมองข้าม หรือไม่ต้องการเสียโอกาสในการทำให้ตัวเองเป็นจุดสนใจ บางคนมีเพื่อนเป็นจำนวนมากกว่า 800 คน แม้จะเป็นคนแปลกหน้าก็ตามเพียงเพื่อต้องการให้ตนเองดูเป็นคนสำคัญและเพื่อรู้สึกดีว่ามีคนยอมรับ (Damien Pearse.2012)
       
       ก่อนอื่น เรามาสำรวจตัวเราและคนใกล้ชิด ว่า เริ่มมีอาการหลงตัวเองในการใช้ facebook หรือเปล่า...(Based on Damien Pearse.2012)
       
       แบบสำรวจอาการหลงตัวเองในการใช้ facebook (Narcissism in facebook Test)
       
       ช่วงที่ผ่านมา ท่านใช้ Facebook อย่างไรบ้าง ? (กรุณา √ ข้อที่เกิดขึ้นจริง)
       
       1.ฉันมักเขียนข้อความเพื่อสื่อว่าตนเองเก่ง ฉลาด เหนือกว่าใครๆ
       
       2.ฉันลงโชว์รูปภาพที่หล่อที่สุด มุมดีที่สุด สวยที่สุด ไม่เน้นตลก ไม่ค่อยมีภาพแสดงความสัมพันธ์กับกลุ่มเพื่อน
       
       3.ฉันมักโชว์ภาพตนเองที่อวดสรีระร่างกาย หรือ เปิดเผยเนื้อหนังมังสา
       
       4.ฉันมักอวดใครๆ ว่า มีเพื่อนจำนวนมากกว่า 800 หรือ 1,000 คน แม้เพื่อนบางคนฉันจะไม่รู้จักก็ตาม
       
       5.ฉันมักติดพันอยู่กับการ Tag ภาพ ติดป้ายชื่อตัวเอง และ Update ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองอยู่บ่อยๆ ครั้งละนานๆ
       
       6.เมื่อฉันเขียนข้อความหรือลงรูปแล้ว หากไม่มีใครกด “ชอบ” Like หรือ Comment เลย ฉันจะรู้สึกแย่เอามากๆ
       
       7.เมื่อมีคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวฉัน ฉันจะรู้สึกหงุดหงิดโต้กลับไปแรงๆ และเปลี่ยนข้อมูล,รูปของตนเองบ่อยมากขึ้นอีก
       
       8.บางครั้งฉันก็ชอบลงรูป หรือเล่าเรื่องตนเองที่แปลกประหลาด เรียกว่า ช็อกคนอื่นๆ ไปเลย
       
       9.แม้ฉันมีเพื่อนจำนวนมาก แต่ฉันก็ไม่สนใจว่าเขาจะโพสต์รูปหรือเขียนข้อความอะไร เท่าใดนัก
       
       10.ฉันมองว่าการใช้ประโยชน์จากกระดานข้อความของคนอื่น เป็นเรื่องที่ไม่เสียหายอะไร
       
       แปลผล & ข้อเสนอแนะ
       
       • ข้อ 1-4 แสดงถึง การคิดสำคัญตนเองว่ายิ่งใหญ่แบบเกินจริง (Grandiose exhibitionism)
       
       • ข้อ 4-8 แสดงถึง ความต้องการการยอมรับอย่างมาก (Entitlement)
       
       • ข้อ 9-10 แสดงถึง การแสวงหาประโยชน์จากผู้อื่นเข้าตัวเอง (Exploitativeness)
       
       เพื่อพัฒนาในเรื่องนี้ ลองเรียนรู้ผ่านคลิปวิดีโอข้างล่างนี้ (กรุณาเปิดคลิปวิดีโอ Korea tooth 2)...นายทหารที่สั่งการอย่างแรงใส่ลูกน้อง (พลทหารอ้วน) ส่งผลอย่างไรต่องานในที่สุด, การเป็นผู้นำที่ชอบรวบอำนาจ หรือเผด็จการ อาจเกี่ยวข้องกับอาการหลงตัวเองได้หรือไม่ หากเป็นท่านจะทำอย่างไร นอกจากนี้ ผมมีหลักสูตรแนะนำ ได้แก่ ภาวะผู้นำที่หยั่งรู้ (Servant Leadership), ถอดรหัส 7Habits plus เพื่อเพิ่มผลผลิตในตนเอง สนใจกรุณาติดต่อ yparanan@gmail.com
       
       “คนหยิ่งหลงตัวเอง ก่อนการล้มลง แต่คนถ่อมใจ เดินนำหน้าเกียรติ”
       
       ท่านเห็นด้วยหรือไม่
       
ดร.นพ.ยุทธนา ภาระนันท์
ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 พฤษภาคม 2555

154
 "ป้อมเพชร"    ประตูสู่กรุงศรีอยุธยา

หากจะกล่าวเช่นนั้น ก็คงไม่ผิดไปจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากนัก

นับจากเมื่อคราว สถาปนาอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี  เมื่อ ปี พ.ศ.  1893  กำแพงเมืองและป้อมต่างๆ  ถูกสร้างขึ้นมาเป็นปราการป้องกันข้าศึกจำนวนมากรอบเกาะกรุงศรีอยุธยา  ในคราวแรกเริ่มสร้างป้อม ล้วนใช้ไม้เป็นสิ่งก่อสร้าง    ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้มีการขยายขอบเขตราชสีมาไปถึงตลิ่งแม่น้ำ จึงได้มีการสร้างกำแพงด้วยอิฐและศิลาแลงขึ้น

บรรดา  29 ป้อมที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา  "ป้อมเพชร"  นับเป็นป้อมที่มีความสำคัญมากที่สุดในเชิงยุทธศาสตร์   ด้วยเป็นด่านปราการป้องกันศัตรูผู้รุกรานได้ดี  อยู่ตรงมุมพระนครด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ภายในเกาะเมือง บริเวณแม่น้ำบางกะจะ  ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำเจ้าพระยาไหลมาบรรจบกับแม่น้ำป่าสักพอดี   ทำให้เกิดเป็นลานน้ำวนขนาดใหญ่
จุดนี้ใช้เป็นที่จอดเรือสำเภาและเรือสินค้าของชาวต่างชาติ จึงเป็นตลาดใหญ่ที่ชาวบ้านสมัยก่อนนิยมเรียกกันว่า ตลาดน้ำวนบางกะ  ดังปรากฏชื่อตำบลทางฝั่งตรงข้ามว่า "ตำบลสำเภาล่ม"  เป็นนัยถึงวังน้ำวนด้านหน้าป้อมเพชรนั่นเอง

ป้อมเพชร  เป็นป้อมใหญ่ก่อด้วยอิฐสลับกับศิลาแลง หนา 14 เมตร ลักษณะรูปทรงป้อมแบบหกเหลี่ยมยื่นออกไปจากแนวกำแพงเมือง มีช่องคูหา(เชิงเทิน) ก่อเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม ซึ่งเป็นที่ตั้งของปืนใหญ่ประจำป้อม    จากบันทึกประวัติของชาวต่างชาติที่ไปเยือนกรุงศรีอยุธยา ณ เวลานั้น กล่าวไว้ว่ามีปืนใหญ่กว่า 800 กระบอกตั้งเรียงรายอยู่บนกำแพงเมือง   เพื่อป้องกันข้าศึกที่จะมาทางน้ำ  และเป็นท่าเรือสินค้าที่สำคัญในอดีต รวมทั้งเป็นย่านที่พักอาศัยของพ่อค้าชาวจีน ฮอลันดาและฝรั่งเศส   นอกจากนี้ ยังแฝงไว้ซึ่งวิถีชีวิตของชาวกรุงศรีอยุธยา  เนื่องจากพบร่องรอยการอยู่อาศัยมาตั้งแต่อยุธยาตอนต้น

แม้อาณาจักรอยุธยา  ราชธานีสยามที่ยาวนานเกือบสี่ศตวรรษ  จะล่มสลายลง นับแต่คราวต้องเสียกรุงฯครั้งที่ 2 ให้แก่พม่า  ตั้งแต่เมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ตรงกับวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310  ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ  แต่  ป้อมเพชร  ก็ยังทำหน้าที่เป็นด่านปราการสำคัญของเมืองพระนครอยู่ เมื่อก้าวเข้าสู่กรุงรัตนโกสินทร์ และในเวลาต่อมา  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6    ได้ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุล  "ณ ป้อมเพชร์"  ให้แก่  "พระสมุทบุรานุรักษ์ (ขำ)" ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาวรุณฤทธีศรีสมุทปราการ พระยาเพชร์ชฎา และ "พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์)"   ขณะประทับแรมที่อ่างศิลา พ.ศ. 2456  ด้วยบรรพบุรุษของพระสมุทฯ  มีถิ่นฐานอยู่บริเวณป้อมเพชรดังกล่าว  จึงนับเป็นต้นสกุลดังของบุคคลที่มีชื่อเสียงต่างๆ ในปัจจุบันที่เรารู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น  คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ท.พญ.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ภริยา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (หลานยายของนางอัมพา สุวรรณศร บุตรีพระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์)) และ ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต เป็นต้น

ปัจจุบัน ป้อมเพชร ได้รับการบูรณะจากกรมศิลปากร และยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่เป็นส่วนใหญ่   หากยืนอยู่ที่ป้อมเพชรแล้วมองไปที่ฝั่งตรงข้าม ทางด้านซ้ายมือคือ วัดพนัญเชิงฯ  ทางด้านซ้ายมือคือ วัดใหม่บางกะจะ  ตั้งอยู่ใกล้กับ วัดสุวรรณดาราราม เป็นป้อมปราการป้อมเดียวที่ยังเหลืออยู่จาก 16 ป้อม ตามแนวกรุงเก่า ในครั้งรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 

มติชนออนไลน์  5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

155
นักวิจัยศึกษาร่างของ “เอิตซี” มนุษย์น้ำแข็งอายุ 5,300 ปี โดยร่างของเขาถูกพบแช่แข็งอยู่ในเทือกเขาแอลป์ของอิตาลีเมื่อปี 1991 และนักวิทยาศาสตร์ได้เห็นเม็ดเลือดแดงรอบๆ บาดแผลของเขา ซึ่งปกติเม็ดเลือดแดงจะเสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็ว แต่การสแกนหาเลือดภายในร่างของเขาก่อนหน้านี้ก็ไม่พบอะไร
       
       หากแต่ล่าสุดการศึกษาของทีมวิจัยซึ่งตีพิมพ์ผลงานลงวารสารเดอะเจอร์นัลออฟเดอะรอยัลโซไซตีอินเทอร์เฟซ (the Journal of the Royal Society Interface) แสดงให้เห็นว่าร่างของเอิตซี (Oetzi) ถูกเก็บรักษาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แม้กระทั่งเลือดที่หลั่งมาในช่วงสั้นๆ ก่อนเขาเสียชีวิต และบีบีซีนิวส์ยังระบุว่า การค้นพบครั้งนี้เผยเซลล์เม็ดเลือดแดงเก่าแก่ที่สุดที่ถูกเก็บรักษาไว้ และเป็นบทล่าสุดของปริศนาการฆาตกรรมอันเก่าแก่ที่สุดในโลก
       
       นับแต่เอิตซีถูกค้นพบโดยนักปีนเขาซึ่งพบว่ามีลูกศรปักที่หลังเขาด้วย ผู้เชี่ยวชาญก็ได้ตัดสินว่าเขาตายจากบาดแผลและยังได้ประเมินด้วยว่าอาหารมื้อสุดท้ายของเขาคืออะไร และยังมีการถกเถียงกันในวงกว้างว่าร่างของเขาถูกฝังหลังจากเขาพลัดตกตอนเสียชีวิตหรือว่าเขาถูกคนอื่นนำไปฝั่งที่นั่น
       
       เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ศ.อัลเบิร์ต ซิงค์ (Albert Zink) และคณะร่วมงานจากสถาบันมัมมีและมนุษย์น้ำแข็ง (Institute for Mummies and the Iceman) ในอิตาลี ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ข้อมูลจีโนมทั้งหมดของเอิตซี และการศึกษาก่อนหน้านี้ของกลุ่มที่ตีพิมพ์ลงวารสารการแพทย์แลนเซท (Lancet) ได้เผยให้เห็นว่าบาดแผลบนมือของเอิตซีนั้นมีฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งในเลือดอยู่ตรงบาดแผลดังกล่าว แต่เชื่อกันว่าธรรมชาติของเซลล์เม็ดเลือดแดงที่แตกหักง่ายนั้นจะทำให้เราเก็บรักษาเม็ดเลือดแดงได้ยากลำบาก
       
       ศ.ซิงค์และคณะได้ร่วมมือกับทีมวิจัยจากศูนย์สมาร์ทอินเทอร์เฟซ (Center for Smart Interfaces) ในมหาวิทยาลัยดาร์มสตัดท์ (University of Darmstadt) เยอรมนี เพื่อประยุกต์ใช้กล้องจุลทรรศน์แรงอะตอม (atomic force microscopy) ศึกษาเนื้อเยื่อบางๆ ที่ตัดมาจากบริเวณบาดแผลที่ถูกลูกศรปัก ซึ่งเทคนิคการศึกษาคือใช้ปลายเข็มเล็กๆ ชี้ไปที่ตัวอย่างเนื้อเยื่อด้วยความห่างเพียงไม่กี่อะตอมแล้วลากปลายเข็มไปทั่วพื้นผิวของตัวอย่าง และการเคลื่อนไหวของปลายเข็มจะถูกติดตามและแปรผลออกมาเป็นแผนภาพสามมิติที่มีความละเอียดสูงมาก
       
       ทีมวิจัยพบว่าตัวอย่างเนื้อเยื่อจากเอิตซีมีโครงสร้างบางอย่างที่มีรูปร่างเหมือนโดนัทคล้ายกับเซลล์เม็ดเลือดแดง เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าโครงสร้างที่พบนั้นเป็นเซลล์ที่ถูกเก็บรักษามานานและไม่ใช่การปนเปื้อนแต่อย่างใด พวกเขาจึงใช้เทคนิคทางเลเซอร์โดยนำเครื่องรามันสเปกโตรสโคปี (Raman spectroscopy) มาใช้ และผลก็ยืนยันว่าพบฮีโมโกลบินและไฟรบิน (fibrin) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำให้เลือดจับตัวเป็นลิ่ม
       
       จากสิ่งที่ตรวจพบทำให้ ศ.ซิงค์อธิบายไปถึงปริศนาการถูกฆาตกรรมของเอิตซีได้ เนื่องจากจะพบโปรตีนไฟบรินในแผลสดจากนั้นก็จะเสื่อมสลายไป ดังนั้น ทฤษฎีที่ว่ามนุษย์โบราณคนนี้เสียชีวิตในหลายวันหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บนั้นน่าจะถูกโต้แย้งและไม่น่าจะได้รับการสนับสนุนอีกต่อไป อีกทั้งทีมวิจัยยังบอกด้วยว่าวิธีศึกษาของพวกเขาอาจนำมาใช้ปรับปรุงการศึกษานิติวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ โดยเฉพาะในกรณีที่เราประเมินอายุของตัวอย่างเลือดได้ยาก

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 พฤษภาคม 2555

156
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสุขอย่างหนึ่งของคนเป็นพ่อแม่ คือวันที่ได้เห็นลูกมีชีวิตอย่างมีความสุข และเติบโตเป็นที่รักของคนอื่นๆ แต่บางครั้งคุณพ่อคุณแม่เองอาจใช้ความรัก หรือวิธีการสอนที่อาจสร้างความเจ็บปวดให้ลูกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งความเจ็บปวดเหล่านี้อาจส่งผลต่อการแสดงออกทางด้านพฤติกรรม และอารมณ์ในด้านลบตามมาได้
       
       ความน่าเป็นห่วงในข้างต้น ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสาขาพัฒนาการมนุษย์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาการเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัยจึงได้สรุปวิธีปฏิบัติของพ่อแม่ที่อาจสร้างความเจ็บปวดให้ลูกออกเป็น 5 เรื่องหลักๆ เพื่อให้พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยง ดังต่อไปนี้
       
       การเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น
       
       การเปรียบเทียบ คือ การสร้างความรู้สึกด้อยให้เกิดขึ้นในชีวิตของเด็ก ซึ่งเป็นอันตรายต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กอย่างมาก ถึงแม้จะช่วยให้เด็กพัฒนา และพยายามปรับปรุงตนเองเพื่อเอาชนะคำสบประมาทของพ่อแม่ แต่ก็อาจทำให้เด็กรู้สึกเจ็บปวด ยอมแพ้ เลิกพยายามต่อ หรือเกิดความคิดหาทางกลั่นแกล้งทำลายคู่แข่งคนอื่นๆ ได้ ทางที่ดี ไม่ควรใช้คำพูดทำลายความรู้สึกของลูกด้วยการเปรียบเทียบ เพราะเด็กแต่ละคนมีอุปนิสัย ตลอดจนความสามารถ และความถนัดที่แตกต่างกัน ควรชื่นชมในสิ่งที่เขาเป็น และทำได้ดีมากกว่าไปเปรียบเทียบตัวเขากับเด็กคนอื่น
       
       ต่อว่าลูกต่อหน้าคนอื่น
       
       การต่อว่าลูกต่อหน้าคนอื่น ถือเป็นการไม่ให้เกียรติ และทำร้ายความรู้สึกของลูกอย่างมาก ทำให้ลูกรู้สึกอาย เสียหน้า อยากหนี และอยากตอบโต้ ทางที่ดี เวลาที่ลูกมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ควรพูดกับลูกอย่างเป็นมิตร ไม่ตะคอก หรือโวยวายต่อหน้าคนอื่น หรือในที่สาธารณะ เช่น ต่อหน้าเพื่อน หรือคุณครู

       บอกว่า “ไม่รัก” แล้ว
       
       ความรักไม่ควรนำมาใช้เป็นข้อแม้ คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้เด็กๆ รู้ว่าคุณรักพวกเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข และทำให้ลูกรู้ว่าคุณตำหนิที่ตัวพฤติกรรม ไม่ใช่ตำหนิที่ตัวเขา ซึ่งการพูดว่าไม่รักบ่อยๆ เด็กๆ อาจไม่ทำตามสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ หรือคุณครูบอก เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะทำในเมื่อคุณพ่อคุณแม่เคยบอกว่าไม่รักเขาแล้ว
       
        “การที่ลูกถูกพ่อแม่บอกว่าไม่รัก เป็นการบั่นทอนความมั่นคงทางอารมณ์ และจิตใจของลูกอย่างมาก พ่อแม่บางคนบอกว่าไม่รักก็เพื่อให้ลูกเชื่อฟัง แต่หารู้ไม่ว่า วิธีนี้ทำให้ลูกรู้สึกเจ็บปวดมากที่สุด เพราะการที่พ่อแม่บอกไม่รักเขาแล้ว ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กมาก ซึ่งหลายท่านบอกว่า เด็กไม่คิดมากหรอก แต่ลองคิดดูว่า ถ้าลูกพูดแบบนี้กับเราบ้าง เราจะรู้สึกอย่างไร มีผู้ปกครองบางท่านถึงกับคิดมาก และร้องไห้กันเลยทีเดียว เห็นไหมว่า เราก็คิดมากกับคำพูดของลูกเหมือนกัน” ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัยท่านนี้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ

   
       การเพิกเฉย ไม่สนใจ
       
       การไม่สนใจ แบ่งออกเป็น การไม่สนใจเชิงบวก กับการไม่สนใจเชิงลบ ซึ่งการไม่สนใจทางบวกนั้น ถ้าพฤติกรรมของลูก เช่น การร้องชักดิ้นชักงอ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเด็ก พ่อแม่ และสภาพแวดล้อม การเดินหนี หรือไม่สนใจ ถือเป็นการไม่สนใจเชิงบวก เป็นการฝึกวินัยเด็กให้รู้จักเรียนรู้ว่า วิธีนี้ไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ได้ เด็กก็จะไม่ทำอีก แต่ถ้าลูกวิ่งเข้ามาเล่น หรือเอาภาพวาดมาอวด แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากพ่อแม่ ถือเป็นการทำร้ายจิตใจลูกมาก
       
       ข่มขู่ หรือทำให้กลัว
       
       ความกลัวเป็นธรรมชาติของเด็กที่เกิดขึ้นได้ปกติ เพราะเด็กยังไม่สามารถเข้าใจในเรื่องต่างๆ ได้ดีเกือบทั้งหมด เนื่องจากการรับรู้ หรือเรียนรู้ครั้งแรกของเด็กอาจทำให้เกิดความไม่กล้า หรือเกิดความกลัวขึ้นได้ แต่การเข้าไปตอกย้ำความกลัวด้วยวิธีการขู่ หรือหลอกให้กลัวเพื่อไม่ให้ทำในสิ่งต่างๆ เช่น “ออกไปนอกบ้าน ระวังตำรวจจับนะ” หรือ “ถ้าซนมากๆ เดี๋ยวแม่จะให้หมอมาฉีดยาเลยนะ”
       
       ซึ่งการขู่ลูกในลักษณะเช่นนี้ หากเกิดขึ้นบ่อยๆ เด็กจะค่อยๆ ซึมซับความกลัวจนกลายเป็นกลัวฝังใจได้ ซึ่งความกลัวเหล่านี้เอง เป็นสาเหตุให้เด็กเก็บไปฝัน และนอนผวาในเวลากลางคืน ถือเป็นการบั่นทอนสุขภาพของเด็กอย่างมาก ทำให้เด็กกลายเป็นคนขี้กลัว ทางที่ดี พ่อแม่ควรสอนด้วยหลักของเหตุและผลแทนการข่มขู่หรือหลอกให้กลัว
       
       ท้ายนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กปฐมวัย สะกิดใจถึงคุณพ่อคุณแม่ทุกๆ ท่านว่า เรื่องของจิตใจเป็นเรื่องใหญ่ที่พ่อแม่ควรใส่ใจ โดยเฉพาะวิธีการปฏิบัติของพ่อแม่ที่อาจทำให้ลูกรู้สึกเจ็บปวดได้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เมื่อลูกรู้สึกไม่ดี หรือรู้สึกแย่ วันหนึ่งลูกจะค่อยๆ ถอยห่างออกจากพ่อแม่ และบ้านก็เป็นได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 พฤษภาคม 2555

157
นักธรณีวิทยา ห่วง “รอยเลื่อนระนอง-รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย” ที่กำลังสะสมพลังงานและเตรียมปลดปล่อย ซึ่งหลักฐานทางธรณีวิทยา พบว่า เมื่อ 2,000 ปี และ 4,000 ปีที่แล้ว เคยเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ 6-7 ริกเตอร์บนบก อีกทั้ง “รอยเลื่อนแม่จัน” รอยเลื่อนมีพลังที่สุดในประเทศที่ถูกจับตามากที่สุด เนื่องจากรอยเลื่อนในระแวกเพื่อนบ้าน จีน พม่า และ ลาว ไหวใหญ่กันไปแล้ว
       
       รองศาสตราจารย์ ดร.ปัญญา จารุศิริ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ย้ำว่า ภูเก็ตไม่จมทะเลง่ายๆ เนื่องจากตั้งอยู่บนฐานหินแข็งอายุกว่า 100 ล้านปี ซึ่งรองรับแผ่นดินไหวได้มาก ส่วนเหตุแผ่นดินไหวตามมาหรืออาฟเตอร์ช็อกที่ดูเหมือนเกิดขึ้นบ่อยนั้นเป็นปรากฏการณ์ปกติหลังแผ่นดินไหว เพียงแต่เกิดบริเวณเปลือกโลกที่ค่อนข้างตื้น จึงรับรู้ได้มาก
       
       รศ.ดร.ปัญญา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้รอยเลื่อนในประเทศไทยที่ได้รับความสนใจที่สุดคือ รอยเลื่อนแม่จัน ที่พาดผ่านเชียงรายและเชียงใหม่ เนื่องจากเป็นรอยเลื่อนที่มีพลังมากที่สุด และเกิดแผ่นดินไหวใหญ่จากรอยเลื่อนละแวกใกล้เคียงแล้ว คือ รอยเลื่อนในมณฑลยูนนานของจีน ที่เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ เมื่อปี 2552 และรอยเลื่อนน้ำมาในลาว และพม่า ที่เกิดแผ่นดินไหวใหญ่เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา แต่รอยเลื่อนแม่จันยังไม่ขยับและกำลังสะสมพลังงานอยู่ ซึ่งเมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้วเคยแผลงฤทธิ์ และทำให้นครโยนกในอดีตต้องล่มสลาย ซึ่งมีการบันทึกไว้ในพงศาวดาร
       
       อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดแผ่นดินไหวที่มีจุดศูนย์กลางที่ภูเก็ต ทำให้รอยเลื่อน 2 แห่งในภาคใต้ คือ รอยเลื่อนระนอง และรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ได้รับความสนใจมากขึ้น และมีความเป็นไปได้ว่ามีแนวรอยเลื่อนใหม่ที่ยังไม่รู้จัก ซึ่งทางกรมทรัพยากรธรณีกำลังส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปตรวจสอบ แต่สิ่งที่ รศ.ดร.ปัญญา ห่วงอยู่ตอนนี้คือการสะสมพลังงานของรอยเลื่อนทั้งสองแห่ง ซึ่งตอนนี้ยังไม่เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขึ้นบนบก
       
       จากหลักฐานทางธรณีวิทยา ระบุว่า เคยเกิดการแผ่นดินไหวบนบก 6-7 ริกเตอร์ จากรอยเลื่อนระนองและรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และ 4,000 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้ “ใกล้คาบอุบัติซ้ำ” ของการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่แล้ว แต่ยังไม่มีแผ่นดินไหวใหญ่เกิดขึ้น ซึ่ง รศ.ดร.ปัญญา กล่าวว่า ไม่ชอบนัก เพราะแสดงให้เห็นว่า รอยเลื่อนกำลังสะสมพลังงานอยู่และไม่รู้ว่าปลดปล่อยออกมาเมื่อไหร่ ซึ่งไม่มีใครระบุได้
       
       ทั้งนี้ เป็นการให้สัมภาษณ์ระหว่างการประชุมโต๊ะกลม “2012 แผ่นดินไหวข่าวลือ หรือความจริง” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 เม.ย.โดยความร่วมมือระหว่างศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านวิศวกรรมแผ่นดินไหวและการสั่นสะเทือน กับหน่วยวิจัยธรณีวิทยาแผ่นดินไหวไหวและธรณีแปรสัณฐานผืนแผ่นดินของเอเชียตะวันออก ณ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 เมษายน 2555

158
จากสภาวะแวดล้อมทางสังคมไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรอบด้าน ในมุมผลกระทบทางลบนั้นได้ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย ซึ่ง ’ปัญหาสังคม“ ส่วนใหญ่จะยึดโยงกับ ’ปัญหาครอบครัว“ ขณะที่ปัญหาครอบครัวก็เกี่ยวพันกับ ’ปัญหาทางจิต“ ด้วย โดยที่คนไทยอาจไม่ทันได้คิดว่านี่ก็เป็นเรื่องทางจิต

’ความสุขในครอบครัวไทยลดลงมาก“ ในยุคนี้

หากไม่เท่าทัน..ก็อาจจะ ’นำสู่สารพัดปัญหา!!“

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการจัดกิจกรรมรณรงค์ “บ้านอุดมสุข...ความสุขสร้างได้” ก็มีการระบุถึงปัญหา และ “แนวทางแก้ปัญหาทางจิต ครอบครัว สังคม” ที่น่าพิจารณา โดย พญ.สมรัก ชูวานิชวงศ์ นายกสมาคมสายใยในครอบครัว ระบุว่า...การดูแลสุขภาพจิตของตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะไม่มีใครที่จะดูแลสภาวะจิตใจได้ดีเท่าตัวเราเอง โดยเราต้องทำเพื่อตัวเราเองให้ดีก่อน จากนั้นจึงแบ่งปันไปสู่คนรอบข้างหรือผู้อื่น ’ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ใช้ความรักและความจริงใจเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น“

“การได้พบความทุกข์หรือปัญหา เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่ต้องเจอ...เพื่อที่จะทำให้เราได้ค้นพบศักยภาพทางด้านอื่น” เราทุกคนมีโอกาสป่วยด้านจิตเวช ซึ่งบางคนหายแล้วกลับมาได้ บางคนความสามารถไม่เท่าเดิม แต่ก็ควรมีโอกาสได้ทำงาน หรือบางคนกลับมาทำงานไม่ได้ก็มี เหมือนโรคอื่นที่บางโรคหายแล้วทำงานได้ บางโรคทำงานไม่ได้ แต่เราต้องเห็นคุณค่าชีวิต ต่อความหวังให้พวกเขาได้ชีวิตเช่นคนปกติให้มากที่สุด

“ทุกคนมีความดี อยากเห็นคนไทยเราได้แสดงความดีให้มากขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนหล่อเลี้ยงเราให้อยากอยู่ในสังคม และความดีติดต่อกันได้ เมื่อเราเห็นคนหนึ่งทำดี โดยสำนึกเราก็จะอยากทำดีตาม แต่ที่ต้องระวังคือ หากเห็นคนที่ทำชั่ว แต่เตือนกันไม่ได้ ก็ขอให้ละเว้นหลีกไกล อย่าลอกเลียนพฤติกรรมโดยเด็ดขาด และอีกสิ่งที่เราต่างต้องพึงตระหนักก็คือ ไม่ว่าจะอยู่สถานะไหน จะยากดีมีจน หรือถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบ้า คนทุกคนล้วนมีค่าเสมอ” ...นายกสมาคมสายใยในครอบครัว ระบุ

เพิ่มเติมในประเด็นผู้ป่วยทางจิต ในส่วนของครอบครัว ทางนายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิต น.อ.สมปอง เกิดแสง ชี้ว่า...การดูแลและเอาใจใส่ผู้ป่วยทางจิตโดยไม่แสดงอาการรังเกียจ เป็นเสมือนยาสำคัญที่จะช่วยบรรเทาให้กลับคืนสู่ปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การ กอดกันก็ให้ความรู้สึกที่ดี เกิดความรักและผูกพัน

’อยากให้ทุกคนช่วยกันดูแลเอาใจใส่ผู้ที่มีปัญหาทางจิตเวช อย่าคิดว่าเขาเป็นส่วนเกินของสังคม ให้คิดว่าเขาก็มีคุณค่าในสังคมไม่ต่างไปจากคนปกติ“...นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิต กล่าว

ขณะที่ รมช.สาธารณสุข นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ บอกว่า... ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย มีหลายเรื่อง ซึ่งที่สำคัญคือ ปัญหาครอบครัว ปัญหาเด็กถูกทอดทิ้ง ปัญหาผู้สูงอายุถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพัง ปัญหายาเสพติด ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ปัญหาความรุนแรง ปัญหาการฆ่าตัวตายและฆ่าผู้อื่น ปัญหาการหย่าร้าง จากรายงานการเปิดให้บริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323 พบว่า ปัญหา 3 ลำดับแรก คือ ปัญหาสุขภาพจิต ปัญหาโรคจิตเวช และปัญหาครอบครัว อาทิ คู่ครองนอกใจ ลูกติดยา ติดเกม ติดเพื่อน ความไม่เข้าใจกันของคนในครอบครัว โดยผู้ใช้บริการแต่ละปีมียอดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

’สาเหตุใหญ่สำคัญของปัญหาคือ คนในครอบครัวไม่มีเวลาให้กันและกัน ทั้งที่วัฒนธรรมไทยให้ความสำคัญกับเรื่องครอบครัว แต่แม้ว่าจะดูห่างออกไป ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาเริ่มสร้างกันใหม่ไม่ได้ ขอเพียงใช้เวลาที่อยู่ร่วมกันให้มีคุณค่ามากที่สุด เพื่อสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในครอบครัว อาจเริ่มจากการสื่อสารในครอบครัว ออกแบบและทำกิจกรรมครอบครัวร่วมกัน“ ...รมช.สาธารณสุข ระบุ

ทั้งนี้ กับปัญหาทางจิต ปัญหาครอบครัว ที่ต่อเนื่องถึงปัญหาสังคม ทาง นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต บอกว่า... “ความสุขเป็นกุญแจแก้ไขปัญหา” ซึ่ง “แหล่งสร้างความสุขที่ดีที่สุดคือครอบครัว” ครอบครัวที่ปฏิบัติต่อกันด้วยความรัก ผูกพัน เข้าใจ เห็นใจ เอื้ออาทร ย่อมเป็นครอบครัวที่มีความสุข รวมทั้งเป็นจุดเริ่มต้นการมีสุขภาพจิตที่ดี ในทางตรงกันข้ามครอบครัวที่ไม่สงบสุข ละเลยต่อหน้าที่ความรับผิดชอบ ขาดความเห็นอกเห็นใจกัน ย่อมเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาต่าง ๆ และเกิดปัญหาสุขภาพจิต

’หัวใจสำคัญของการสร้างความสุขในบ้านคือ การสื่อสาร ซึ่งการสื่อสารที่ชัดเจนตรงกับความรู้สึกและความต้องการภายในใจ โดยที่คำนึงถึงความรู้สึกและจิตใจของอีกฝ่ายอยู่เสมอ การรับฟังซึ่งกันและกัน จะนำไปสู่การเป็นครอบครัวที่มีความรักความเข้าใจและมีความผูกพันกัน เมื่อมีปัญหาก็จะสามารถช่วยกันแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี“ ...อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวแนะนำ

’สร้างความสุขในครอบครัว“ ยุคนี้ยิ่งถือว่าสำคัญ

ช่วยป้องกันทั้งปัญหาทางจิตและปัญหาสังคม

เรื่องนี้ในยุคนี้ ’คนไทยไม่ควรจะมองข้าม!!!“.

เดลินิวส์  3 พฤษภาคม 2555

159
ช่วงนี้เด็กในวัยเรียนกำลังปิดเทอม อาจจะเอ็นจอย อีทติ้ง เพลิดเพลินกับเรื่องรับประทานจนน้ำหนักตัวเพิ่ม มีผลให้ชุดยูนิฟอร์มคับแน่น ต้องซื้อใหม่ ส่วนผู้ใหญ่ก็ใช่ว่าจะต่าง หากกินมาก กินจุบจิบ ความอ้วนมาเยือนได้ไม่ยาก

เพื่อไม่ให้หิวบ่อย รับประทานถี่ คงต้องเลือกอาหารที่อิ่มอยู่ท้อง อย่าง "ข้าวโอ๊ต" ธัญพืชมากคุณประโยชน์ที่รับประทานแล้วทำให้รู้สึกอิ่มนาน เมื่อไม่มีอาหารลงท้องบ่อยๆ ก็เท่ากับได้ควบคุมน้ำหนัก หรือลดอ้วนไปในตัว

นอกจากนี้ ข้าวโอ๊ตยังอุดมด้วยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ชื่อ เบต้า-กลูแคน ช่วยเสริมประสิทธิภาพระบบขับถ่าย และที่สำคัญคือ ไฟเบอร์หรือกากใยอาหารในข้าวโอ๊ตทำหน้าที่ราวกับฟองน้ำซับคอเลสเตอรอลในลำไส้ แล้วขับออกมาจากร่างกาย จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงปัญหาหลอดเลือด และโรคหัวใจ

ทราบประโยชน์ของข้าวโอ๊ตแล้วอยากรับประทาน แต่ติดอยู่ที่รสชาติไม่ได้อร่อยถูกปาก โปรดอย่าเพิ่งถอดใจ ลองทำเมนูของว่างง่ายๆ เช่น "ข้าวโอ๊ตโยเกิร์ต" เพียงแค่มีโยเกิร์ตรสธรรมชาติสัก 1 ถ้วย ใส่ข้าวโอ๊ตลงไปผสมราว 2 ช้อนโต๊ะ แล้วเติมน้ำผึ้งเพิ่มรสหวานเล็กน้อย จะช่วยชูรสให้กลมกล่อม รับประทานได้ง่ายขึ้น ทั้งยังสามารถใส่ผลไม้ เช่น กล้วย สตรอเบอรี่ เข้าไปได้อีก   

ทว่าไม่ชอบรับประทานโยเกิร์ต ลองเปลี่ยนใช้นมสดแทน โดยใช้นมสดสัก 1 แก้ว ใส่หม้ออุ่นให้ร้อน ระหว่างนั้นเติมข้าวโอ๊ต และน้ำผึ้ง คนเรื่อยๆ จนส่วนผสมให้เข้ากันเป็นอันเสร็จ ตักใส่ชาม รับประทานตอนอุ่นๆ แต่ไม่ควรปล่อยให้เย็นชืด เพราะข้าวโอ๊ตจะอืดนม ดูไม่น่ารับประทานและเสียรสชาติ.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์  27 เมษายน 2555

160
เด็กมักเลียนแบบใครมากกว่ากัน ระหว่าง พี่เลี้ยงเด็ก กับ พ่อแม่เด็ก
       
       คมคิด: รักแท้ แพ้ใกล้ชิด
       
       Q: คุณหมอครับ ที่คุณหมอบอกว่าทารกวัยแรกเกิด ถึง ขวบครึ่ง นั้นต้องการพัฒนาการด้านความไว้วางใจ (Trust) ไม่งั้นจะกลายเป็นคนขี้ระแวง ไม่วางใจใครง่ายๆ แต่ทีนี้ลูกผมเลยวัยนี้ไปแล้ว ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นประถม 4 จะยังพอฝึกเรื่องนี้ได้หรือไม่ อย่างไรครับ คือ อยากให้เขาโตขึ้นเป็นนักสร้างความปรองดองน่ะครับ สังคมจะได้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
       
       A: คุณหมอยุทธนา...ยังพอสร้างได้อยู่ครับ คือว่า การพัฒนาในเรื่องความไว้วางใจนี้ เป็นการพัฒนาการด้านจิตสังคม (Psychosocial development) หมายถึง เปลี่ยนพฤติกรรมความคิดได้ด้วยอิทธิพลของคนใกล้ชิด โดยมีเป้าหมายสำคัญตามช่วงวัยดังนี้ครับ
       
       0-1 ขวบครึ่ง ควรพัฒนาเรื่อง ความไว้วางใจ (Trust) หากไม่สำเร็จจะกลายเป็น ขี้ระแวง (Mistrust)
       
       1 ขวบครึ่ง-3 ขวบ ควรพัฒนาเรื่อง การควบคุมทำได้ด้วยตนเอง (Autonomy) หากไม่สำเร็จจะกลายเป็น ไม่มั่นใจว่าตนจะทำได้ (Self-doubt)
       
       3-5 ขวบ ควรพัฒนาเรื่อง การริเริ่มสิ่งใหม่ๆ (Initiative) หากไม่สำเร็จจะกลายเป็น รู้สึกผิด รู้สึกอายที่ตนเองทำอะไรต่างจากคนอื่น (Guilt)
       
       6-11 ขวบ ควรพัฒนาเรื่อง ความเก่งกาจสามารถ (Competence) หากไม่สำเร็จจะกลายเป็น รู้สึกมีปมด้อย (Inferiority)
       
       เพื่อง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ ผมขอเสนอปัจจัยหลักที่จำเป็นต้องมีเพื่อพัฒนาทุกช่วงวัย นั่นคือ Therapeutic Relationship สัมพันธภาพเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง และถ้าสร้างสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นในครอบครัว ลูกของเราก็จะสามารถพัฒนาในประเด็นต่างๆ ได้สำเร็จโดยไม่ยาก และสามารถเป็นนักปรองดองที่ Ok ได้ในที่สุดครับ
       
       และเพื่อสร้าง “สัมพันธภาพเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง” เกิดขึ้นในบ้าน ผมขอเสนอทักษะสานสัมพันธ์ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ย่อว่า 3A ใช้ในการพูดคุยกับสมาชิกครอบครัวอย่างง่ายๆ แต่แตะต้องใจลึกๆได้
       
       1.Asking ถามเปิด โดยให้ถาม "อะไร, อย่างไร" มากกว่า "ใช่หรือไม่, ทำไม"
       
       2.Attending ตอบสนองอย่างใส่ใจ หมายถึง สบสายตา หันหน้าไปหา โน้มตัวไปหา ไม่กอดอก สนใจฟัง ยิ้ม กล่าวตอบรับ ผงกศีรษะ ครับ ทวนความ สะท้อนความรู้สึก
       
       3.Adding เสริมเพิ่มเรื่อง หมายถึง แสดงการชื่นชมเห็นด้วย เล่าประสบการณ์ที่เขาสนใจ ที่สอดคล้องกับเขา ชี้แจงเพิ่มอย่างสุภาพ เสนอทางเลือกเพิ่ม
       
       โดยสามารถเลือกประเด็นพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติตามแต่โอกาส หรือเลือกจากประเด็นเหล่านี้ก็ได้ เช่น
       
       1) เหตุการณ์ใดที่ลูกชื่นชอบ
       
       2) ความสำเร็จอะไรที่ลูกภาคภูมิใจ
       
       3) ช่วงที่ผ่านมา เหตุการณ์อะไรที่ลูกรู้สึกยากลำบากในงาน ลูกผ่านมาได้อย่างไร
       
       4) ในสิ่งที่เรียน อะไรที่ลูกรู้สึกถนัด ทำได้ดี
       
       5) ที่โรงเรียน ที่บ้าน ลูกได้รับสิ่งดีๆ หลายอย่าง ลูกอยากขอบคุณใครบ้าง เรื่องอะไร
       
       6) หากลูกจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเพื่อน เพื่อโรงเรียน เพื่อน้อง เพื่อพ่อแม่ เพื่อปู่ย่า ลูกอยากทำอะไร
       
       "เมื่อหนักใจ ใครที่ท่านอยากพบ นักพูด หรือ นักฟัง"
       
       วันนี้ท่านฟังลูกหรือยัง?
       
       ข้อมูลอ้างอิง
       
       ไทยประกันชีวิต (2006). อัปโหลดโดย ultrajane.ไทยประกันชีวิต (เวลา) Retrieved Mar 30,2012. From http://www.youtube.com/watch?v=0WJLFQh-Wbo

ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 เมษายน 2555

161
ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านจากเว็บ prevention.com เกี่ยวกับวิธีการสร้างรอยยิ้มที่สดใส ปราศจากกลิ่นปาก เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่ารอยยิ้มถือเป็นการสร้างมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ และเป็นประตูก้าวแรกในการสร้างความสัมพันธ์ แต่คงไม่ดีแน่หากว่าเราเป็นคนมีรอยยิ้มที่สดใสน่าประทับใจแต่มีกลิ่นปาก เราลองมาดูกันว่าวิธีง่าย ๆ ในการลดกลิ่นปากมีอะไรบ้าง
       
       1.อาหารและพฤติกรรมบางประเภททำให้เกิดคราบสีติดอยู่ที่ฟัน เช่น การดื่มกาแฟ ไวน์แดง และการสบบุหรี่ เพราะสารเหล่านี้จะเข้าไปเกาะและเคลือบติดอยู่กับผิวฟัน ยากแก่การทำความสะอาด เคล็ดลับคือให้ดื่มน้ำมาก ๆ
       
       2.ลดอาหารหวานหรือของขบเคี้ยวระหว่างมื้ออาหาร อาหารที่มีรสหวาน เช่น ช็อกโกเเลต มันฝรั่ง ขนมปังกรอบ ถึงแม้ว่าจะเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต แต่เมื่อแตกตัวจะกลายเป็นน้ำตาลได้ง่าย และจะก่อให้เกิดแบคทีเรียในปาก โดยเฉพาะคราบเหนียว ๆ จะติดอยู่ตามซอกฟันและยากต่อการทำความสะอาด นอกจากนี้ของขบเคี้ยวต่าง ๆ ก็เป็นของกินที่ง่ายต่อการเข้าไปติดตามซอกฟันและซอกเหงือก ที่ซึ่งแบคทีเรียชอบอาศัยอยู่ เคล็ดลับง่าย ๆ คือรับประทานของขบเคี้ยวร่วมกับมื้ออาหาร มากกว่าการทานเป็นของว่าง เพราะเมื่อเรารับประทานร่วมกับอาหารน้ำลายจะช่วยล้างคราบและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้
       
       3.ไม่ควรแปรงฟันทันทีหลังจากดื่มเครื่องดื่มบางประเภท เช่นโซดา หรือเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยวบางประเภท ในเครื่องดื่มที่มีรสชาติเข้มข้น เมื่อรวมตัวกับสารขจัดคราบในการแปรงฟันจะทำให้เกิดการกัดกร่อนของเคลือบฟันได้ เคล็ดลับในการป้องกันให้ฟันขาวสะอาดคือ แทนที่จะดื่มโซดา ควรดื่มน้ำหรือเคี้ยวหมากฝรั่งที่ปราศจากน้ำตาล จะช่วยให้น้ำลายมีการไหลเวียน แล้วหลังจากนั้นค่อยแปรงฟัน สำหรับผู้ที่มักมีอาการเสียดท้อง หรือจุกเสียดได้ง่ายด้วย ให้ดื่มน้ำแทนโซดาเป็นประจำเพราะในปากอาจมีภาวะเป็นกรดได้ง่ายกว่าคนปกติ
       
       4.รับประทานอาหารที่มีวิตามิน C เพราะวิตามิน C เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเซลของร่างกาย จากการศึกษาพบว่า 25% ของคนเรารับประทานอาหารที่มีวิตามีน C น้อยกว่า 60 มิลลิกรัมต่อวัน (โดยปกติผลส้ม 1 ผลจะมี วิตามิน C อยู่มากกว่า 80 มิลลิกรัมเท่ากับน้ำส้ม ประมาณ 8 ออนซ์ ) และจะเป็นโรคเหงือกมากกว่าคนที่ได้รับวิตามีน C อย่างน้อย 180 มิลลิกรัมหรือมากกว่า การศึกษานี้ทำกับคนอเมริกันมากกว่า 12,000 คนที่มหาวิทยาลัย New York เคล็ดลับ คือดื่มน้ำส้มตอนเช้าสัก 1 แก้วเป็นประจำ เพื่อให้ได้ปริมาณวิตามิน C ที่พอเพียงสำหรับร่างกาย
       
       5.ดื่มน้ำชา ในชามีสารที่ช่วยยับยั้งกลิ่น ชาเขียวหรือชาดำมีสารฆ่าเชื้อหลายอย่างบรรจุอยู่ หลายอย่างที่ช่วยป้องกันหินปูนที่เกาะอยู่ที่ซอกฟันและช่วยลดภาวะโรคเหงือกและฟันผุได้ อีกทั้งชายังช่วยให้ลมหายใจหอมสดชื่น ปราศจากกลิ่นเหม็นเพราะการเจริญเติบโตของแบคทีเรียอีกด้วย จากการศึกษาของมหาวิทยาลัย Illinois at Chicago College of Dentistry พบว่าชาหลายประเภทมีสารฟลูออไรด์ ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพฟัน เคล็ดลับดื่มน้ำชาสักถ้วยตอนบ่าย จะช่วยทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉงกระชุ่มกระชวยขึ้นได้
       
       6.จิบจากหลอด เครื่องดื่มประเภทโซดา หรือเครื่องดื่มบำรุงกำลังมักมีผลต่อสุขภาพฟันตามที่กล่าวมาในข้อ 3 ดังนั้นการดื่มโดยใช้หลอดจะช่วยให้ผ่านไปสู่ลำคอโดยไม่ต้องผ่านฟันได้ และจะช่วยป้องกันสารที่เคลือบฟันให้คงอยู่ เคล็ดลับเก็บสะสมหลอดไว้ในลิ้นชักที่ทำงาน ในกระเป๋า ในครัวหรือในสถานที่ซึ่งง่ายต่อการหยิบใช้
       
       7.ป้องกันรอยยิ้มในเวลาว่ายน้ำ อาจจะฟังดูแล้วแปลกแต่การศึกษาของศูนย์สุขภาพฟันพบว่าคลอรีนในน้ำเป็นตัวกัดกร่อนสารที่เคลือบฟัน หากเราวางแผนไปว่ายน้ำ ควรเตรียมผ้าเช็ดตัวและแปรงสีฟันติดไปด้วย จากการศึกษาสมาคมสุขภาพฟันของอเมริกาพบว่า คลอรีนในสระอาจช่วยป้องกันแบคทีเรีย แต่หากใส่มากเกินไปจะทำให้เกิดค่าความเป็นกรดที่เป็นอันตรายทั้งต่อปอดและสุขภาพฟันได้ เคล็ดลับ แปรงฟันหลังจากว่ายน้ำและใช้ฟลูออไรด์ บ้วนปากทันทีหลังจากว่ายน้ำเป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง
       
       8.รับประทานแคลเซียมให้เพียงพอ ในกระดูกต้องการแคลเซียมเช่นเดียวกับฟัน จากการศึกษาของนักวิจัยที่ Buffalo สหรัฐอเมริกา พบว่าคนที่ได้รับแคลเซียมน้อยกว่า 800 มิลลิกรัมต่อวันมีสิทธิ์ที่จะเป็นโรคเหงือกและฟันผุได้ เพราะ 99% ของแคลเซียมอยู่ในกระดูกและฟัน การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมอยู่จะช่วยถนอมฟันให้ยืนยาวได้ เช่นอาหารจำพวก นม เนย โยเกิร์ต เป็นต้น เคล็ดลับหญิงที่มีอายุน้อยกว่า 51 ปีควรได้รับปริมาณแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน และมากกว่า 51 ปีควรได้รับประมาณ 1,200 มิลลิกรัม ทานแคลเซียมให้มากในแต่ละมื้อ นม 8 ออนซ์ใน 1 แก้วมีปริมาณแคลเซียม 300 มิลลิกรัมเท่ากับโยเกิร์ต 6 ออนซ์หรือเท่ากับเนยแข็ง 1.5 -2 ออนซ์
       
       9.ทานแอปเปิล 1 ผลต่อวัน อาหารจำพวกแอปเปิล แครอท อาหารที่ต้องเคี้ยวเหล่านี้ทำหน้าที่เหมือนการแปรงฟัน เมื่อเราเคี้ยวจะช่วยขจัดคราบที่สกปรกที่เคลือบฟันอยู่เป็นเวลานาน ยิ่งหากเราเป็นคอกาแฟด้วยแล้วหากรับประทานแอปเปิลวันละผลจะช่วยลดคราบที่ติดอยู่กับฟันมากทีเดียว เคล็ดลับหากไม่มีโอกาสแปรงฟันในระหว่างมื้ออาหาร แต่มีโอกาสรับประทานแอปเปิล ให้ทานน้ำตามด้วยเพื่อลดคราบน้ำตาลที่จะมีผลต่อสุขภาพฟัน
       
       10.การแสดงความรักโดยการจูบ การจูบเป็นการเพิ่มจำนวนน้ำลายที่อยู่ในปากซึ่งช่วยทำความสะอาดฟันและป้องกันแบคทีเรียที่เป็นทำอันตรายต่อฟันได้ เคล็ดลับการแสดงความรักโดยการจูบช่วยสร้างแสดงความสุขด้วยในเวลาเดียวกัน แต่หากเราไม่มีคนให้จูบ การเคี้ยวหมากฝรั่งที่ปราศจากน้ำตาลก็ช่วยได้
       
       11.รับประทานข้าวสาลี (whole grain) มหาวิทยาลัย McMaster ของแคนาดาแนะนำว่าการรับประทานอาหารประเภทที่ทำจากข้าวสาลีจะช่วยเรื่องสุขภาพฟันได้ จากการศึกษาผู้ชายจำนวน 34,000 คนเป็นเวลา 14 ปีพบว่าคนที่ทานขนมปังโฮลวีท 3 มื้อต่อวัน จะช่วยลดปัญหาเรื่องปากและฟันมากกว่าคนที่ทานอาหารที่มีข้าวสาลีเพียง 1 มื้อมากถึง 23% เคล็ดลับเปลี่ยนจากข้าวขาวมาเป็นอาหารประเภทข้าวสาลี ขนมปังโฮลวีท ข้าวซ้อมมือดีกว่า เพราะจะช่วยเรื่องโรคหัวใจ ลดน้ำตาลในเลือด และโรคเบาหวาน และอีกหลายโรคทั้งยังช่วยเรื่องสุขภาพปากและฟันอีกด้วย
       
       มีงานวิจัยใหม่ ๆ หลายชิ้น ระบุถึงโรคที่เกิดจากภาวะสุขภาพฟันและเหงือกไม่แข็งแรง ว่าจะนำไปสู่โรคต่าง ๆ มากมายที่คาดไม่ถึงได้ เช่นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน   หลอดเลือด  ปอดอักเสบ  โรคตับ การคลอดก่อนกำหนด และอวัยวะเพศไม่แข็งตัวแทบไม่น่าเชื่อว่า 40% ของคนเรายอมรับว่าไม่เคยใช้ไหมขัดฟัน และ 35% ของคนที่อายุ 35 ปีขึ้นไปไม่ไปหาหมอฟันเมื่อฟันผุ รู้อย่างนี้แล้วผู้เขียนขอแนะนำว่าให้เรามารักษาสุขภาพเหงือกและฟันให้สะอาดกันเถอะ เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ

ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ
ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 เมษายน 2555

162
 ลองคิดดูสิว่า จะเป็นอย่างไรถ้าคุณมีดวงตาที่มืดบอด ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของตัวเองหรือคนที่เรารักหรือทุกสิ่งอย่างรอบตัว...หรือ
       
       ลองคิดดูสิว่า จะเป็นอย่างไรถ้าคุณมีหูที่ไม่สามารถได้ยินเสียงใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูด เสียงหัวเราะ เสียงไพเราะของดนตรี เสียงนกร้อง เสียงฝนตก...หรือ
       
        ลองคิดดูสิว่า จะเป็นอย่างไรถ้าคุณไม่มีแขนทั้งสองข้าง ไว้ใช้หยิบจับสิ่งของ กอด หรือจับมือของคนที่คุณรัก…หรือ
       
        ลองคิดดูสิว่า จะเป็นอย่างไรถ้าคุณไม่มีขาทั้งสองข้าง ไว้ใช้ยืน วิ่ง กระโดด เดินไปไหนมาไหนได้... ขนาดคนปกติที่มีอวัยวะครบทั้ง 32 ไม่ได้มีความบกพร่องทางร่างกายในส่วนใด ๆ เลยยังคงต้องต่อสู้กับการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ผ่านไปอย่างยากลำบากมากพอแล้ว ถ้าหากเราเกิดมาเป็นคนพิการมีอวัยวะไม่ครบสมบูรณ์ เราจะยิ่งต้องต่อสู้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราอย่างลำบากและยุ่งยากมากกว่าคนปกติยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร
       
       ในประเทศไทยนั้นมีจำนวนคนพิการทั้งหมดที่ขึ้นทะเบียนไว้จำนวน 1,250,015 ราย (จากสถิติข้อมูลคนพิการของสำนักงานส่งเสริมและคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ (พก.) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2537 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2555) ซึ่งนับว่าในประเทศไทยมีจำนวนคนพิการอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว และเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องควรตระหนักถึงความสำคัญของผู้พิการที่จะทำอย่างไรที่จะทำให้เขาเหล่านั้นสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและมีคุณค่าให้มากที่สุด โดยเฉพาะคนในครอบครัว ต้องเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการให้กำลังใจแก่บุคคลพิการที่อยู่ในครอบครัวของเรา ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ลูกหรือญาติพี่น้องที่พิการ เราควรให้ความรักและความเอาใจใส่แก่เขาอย่างมากเพื่อเขาเหล่านั้นจะไม่รู้สึกถึงความขาดหรือปมด้อยของตนเอง เพราะถ้าเขารู้สึกว่าเขาไม่เป็นที่ยอมรับของคนอื่นแล้ว อาจนำพาซึ่งปัญหาต่างๆตามมา ทั้งการทำร้ายตนเอง ทำร้ายผู้อื่น การก่ออาชญากรรม หรือการฆ่าตัวตาย
       
       แต่ในทางกลับกันหากเขาเหล่านั้นได้รับการดูแลและความเข้าใจอย่างเต็มที่ เขาจะสามารถใช้ชีวิตได้ดีไม่แตกต่างจากคนปกติทั่วไปเลย มิหนำซ้ำอาจประสบความสำเร็จมากกว่าคนปกติทั่วไปด้วยก็มีเพราะคนเหล่านี้มีความพยายามอย่างมากในการที่จะพิสูจน์ตัวเองนั่นเอง
       
       ผู้เขียนมีญาติคนหนึ่งเป็นคุณอาแท้ๆ ซึ่งพิการตั้งแต่กำเนิดด้วยมีแขนเพียงข้างเดียว คุณพ่อคุณแม่ของผู้เขียนได้เลี้ยงดูและดูแลเขามาตั้งแต่เล็กๆ โดยให้ความรักและให้การเลี้ยงดูเหมือนกับเป็นลูกแท้ ๆ คนหนึ่ง โดยนอกเหนือจากส่งเสริมในเรื่องการเรียนอย่างดีที่สุดและสอนให้สามารถช่วยเหลือตนเองได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังส่งเสริมให้เล่นกีฬาด้วย ซึ่งคุณอาว่ายน้ำเก่งมากถึงขนาดเคยเป็นนักกีฬาเหรียญทองคนพิการเลยทีเดียว คุณอาเป็นคนอารมณ์ดี มีจิตใจที่ดีมากจนเป็นที่รักของทุกคนที่รู้จัก ทั้งไม่เคยคิดว่าความพิการของตนเองเป็นปมด้อยหรือไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของใคร แต่พยายามที่จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาสามารถทำทุกอย่างได้โดยไม่เป็นภาระแก่คนอื่น ด้วยการมุมานะในการศึกษาเล่าเรียนจึงเป็นคนที่เรียนหนังสือเก่งมาก โดยสอบเข้าและเรียนจบปริญญาตรีที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสามารถสอบชิงทุนไปศึกษาต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศได้ ปัจจุบันนี้คุณอาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับภริยาและลูก ๆ และมีธุรกิจของตัวเองที่ต่างประเทศ และทุกครั้งที่กลับมาเมืองไทยก็ไม่เคยลืมที่จะกลับมาดูแลคุณพ่อคุณแม่ของผู้เขียนเป็นอย่างดีและทำเช่นนี้สม่ำเสมอ
       
       ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า อย่ามองว่าคนพิการเป็นคนไร้ค่า ไร้ความสามารถ ไร้จิตใจหรือไร้ความรู้สึก คนเหล่านี้มักมีความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวเองมากมาย อยู่ที่ว่าเราจะส่งเสริม สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของเขาให้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างไร ซึ่งสิ่งที่สำคัญพื้นฐานคือการเลี้ยงดูด้วยความรักและความเมตตา นอกจากนี้ยังอาจนำเอากิจกรรมต่างๆมาใช้ในการส่งเสริมศักยภาพของคนพิการได้ด้วย ดังนี้
       
       1. ศิลปะช่วยคนพิการ
       
       ศิลปะนอกจากจะช่วยจรรโลงจิตใจ พัฒนาสุนทรียภาพและทำให้จิตใจอ่อนโยนแล้ว ศิลปะยังช่วยพัฒนาความมั่นใจในตนเองและศักยภาพของคนพิการได้ดีอีกด้วย ตัวอย่างเช่น กลุ่มจิตรกรวาดภาพด้วยปากและเท้าทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่มีความพิการทางแขนหรือขา สามารถใช้ปากหรือเท้าในการสร้างสรรค์ผลงานด้วยการวาดภาพระบายสีออกมาเป็นภาพที่สวยงามที่แม้แต่คนมีมือครบสองข้าง มีนิ้วครบยี่สิบนิ้วก็ยังไม่สามารถวาดได้สวยเท่านี้ และภาพวาดของเขาเหล่านี้สามารถนำมาหารายได้ด้วยการผลิตเป็นโปสการ์ด เป็นปฏิทิน เป็นภาพติดผนัง เช่นผลงานของคุณทนง โครตชมพู หรือของคุณหวาง กัวฟู่ ศิลปินพิการชาวจีนที่ภาพวาดส่วนใหญ่ของเขาเป็นที่นิยมของนักสะสมผลงานศิลปะทั่วโลก
       
       2. ดนตรีช่วยคนพิการ
       
       ดนตรีเป็นสิ่งมีประโยชน์ที่นอกจากจะช่วยเยียวยาจิตใจของผู้พิการได้แล้ว ปัจจุบันยังได้มีการนำดนตรีเข้ามาช่วยในการพัฒนาศักยภาพของคนพิการมากขึ้นด้วย เช่นมีการทดลองนำกลองสำหรับเชียร์กีฬามาใช้ในเด็กพิการ โดยฝึกให้เด็กๆเหล่านี้นับจังหวะ และลองตีกลองตามแบบแผน เมื่อเกิดความคล่องขึ้นก็จะพัฒนาไปสู่ทักษะการตีที่ซับซ้อนขึ้น จนสามารถเล่นเป็นวงดนตรีและแสดงในที่สาธารณะได้ในที่สุด สิ่งนี้ทำให้เด็กที่พิการเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง ภาคภูมิใจในตนเองและสามารถพัฒนาความสามารถในด้านดนตรีและด้านอื่น ๆ ต่อไปได้อีกมากมาย
       
       3. กีฬาช่วยคนพิการ
       
       กีฬาเป็นส่วนหนึ่งที่นอกจากจะทำให้ร่างกายของคนพิการแข็งแรงขึ้นแล้ว ยังสามารถส่งเสริมกำลังใจได้เป็นอย่างดี เพราะคนพิการมักคิดว่าไม่สามารถเล่นกีฬาได้เหมือนคนปกติ แต่จากการแข่งขันกีฬาคนพิการที่จัดมีขึ้นมากมาย แสดงให้เราทุกคนเห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าคนพิการสามารถเล่นกีฬาได้ดีไม่แพ้คนปกติเลย อย่างเช่นนักกีฬาพิการของไทยสามารถคว้าเหรียญทองมากมายจากการแข่งขันในระดับโลกได้ สร้างทั้งชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยและสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวของนักกีฬาเหล่านั้นได้
       
       นอกจากกีฬาแล้ว กิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายอื่นๆ คนพิการก็สามารถทำได้ดีเช่นกัน เช่นที่เมืองเซา เปาโล ประเทศบราซิล มีโรงเรียนแห่งหนึ่งเปิดสอนการเต้นบัลเลต์ให้แก่ผู้ที่มีความผิดปกติทางสายตา รวมถึงผู้พิการอื่นๆ โดยเชื่อว่าคนพิการก็สามารถเต้นบัลเลต์ได้เหมือนคนปกติและสามารถประสบความสำเร็จได้ อย่างเช่น มาริน่า กุยมาเรซ ที่ตาบอดมาตั้งแต่กำเนิดได้เคยเรียนบัลเลต์ที่นี่ตั้งแต่เด็ก จนปัจจุบันเธอได้กลายเป็นนักเต้นบัลเลต์มืออาชีพ ที่มีค่าตัวสูงถึง 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อการแสดง 1 ครั้ง
       
       แม้ว่าเราไม่สามารถจะเลือกได้ว่าเราจะเกิดมาเป็นอย่างไร เราอาจพิการตั้งแต่เกิด หรืออาจมาพิการในภายหลัง แต่อย่าให้เราใช้ร่างกายพิการนี้เป็นตัวตัดสินว่าชีวิตเราดำเนินต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ที่พิการแต่กายแต่ใจไม่พิการจะสามารถประสบความสำเร็จและมีความสุขเหมือนกับคนร่างกายสมบูรณ์ทุกประการ ขอเพียงแค่เข้มแข็ง คิดดี มีจิตใจที่ดี ภาคภูมิใจในตนเอง ทำทุกสิ่งอย่างถูกต้องด้วยความพยายาม ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้แก่ผู้พิการทุกท่านและผู้ใกล้ชิดกับเขาเหล่านั้นว่าอย่าท้อแท้หรือท้อถอย ขอแค่มีใจที่ไม่พิการก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขอย่างแน่นอน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    24 เมษายน 2555

163
นักวิชาการด้านครอบครัว ชี้ อีก 10 ปี สังคมไทยเผชิญ ผู้ใหญ่คุณภาพต่ำ-แรงงานสตรีราคาถูก-ผู้สูงอายุไร้ความสุข หวั่นเจ้าภาพเดียว เอาไม่อยู่!!
       
       วันนี้ (22 เม.ย.) ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ อาจารย์สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง “สถานการณ์สุขภาวะครอบครัวไทย ปี 2554-2555 โดยสำรวจครอบครัวไทยทั่วประเทศจำนวน 4,000 ตัวอย่าง จาก 9 จังหวัด ในทุกภาค พบว่า ปัจจุบันครอบครัวไทยบกพร่องในการทำหน้าที่สำคัญ คือ การเตรียมบุตรหลานของตนให้มีความรู้ความสามารถเพียงพอในการปกป้องดูแลตนเอง โดยเฉพาะการตั้งรับกับปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ซึ่งกำลังเป็นปัญหาที่มีความรุนแรง ซึ่งผลวิจัยชี้ว่า ครอบครัวไทยราวร้อยละ 10.0 ไม่มีการเตรียมให้ความรู้กับลูกวัยรุ่นว่าด้วยการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยและการตั้งครรภ์เมื่อพร้อม ในขณะที่อีกร้อยละ 13.7 ให้ข้อมูล ว่า แทบไม่ได้เตรียมเลย ครอบครัวไทยร้อยละ 23.0 กำลังบกพร่องต่อการทำหน้าที่สำคัญ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วครอบครัวเป็นหน่วยแรกที่คนทุกคนหวังจะให้เป็นที่พึ่งพิงทั้งทางกายและจิตใจ การบกพร่องในการทำหน้าที่จึงเท่ากับสังคมได้ขาดกลไกสำคัญในการตั้งรับกับปัญหาที่มีความรุนแรงและสลับซับซ้อนอย่างปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมนี้
       
       ดร.วิมลทิพย์ กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปเรียบร้อยแล้ว และคนทำงานกำลังจะกลายเป็นคนสูงอายุในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งการจะเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ มีความสุข และไม่เป็นภาระของลูกหลานขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวก่อนเกษียณใน 4 ประเด็นสำคัญ คือ
1.การเตรียมตัวด้านเงินออม
2.การเตรียมตัววางแผนอาชีพ/กิจกรรมหลังเกษียณ
3.การออกกำลังกายเพื่อเตรียมสุขภาพ และ
4.การเตรียมตัวเพื่อการพึ่งตนเองด้านที่อยู่อาศัย

ซึ่งข้อค้นพบจากงานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่า
ครอบครัวไทยราวร้อยละ 6.4 แทบจะไม่มีการวางแผนเรื่องเงินออมเลย
ในขณะที่ครอบครัวอีกร้อยละ 23.3 ไม่มีการวางแผนเรื่องอาชีพ/กิจกรรมหลังเกษียณ
อีกร้อยละ 15.9 ไม่มีการออกกำลังกายเพื่อเตรียมสุขภาพ และ
อีกร้อยละ 14.4 ยังไม่ได้เตรียมการด้านที่อยู่อาศัยเลย

       ดร.วิมลทิพย์ กล่าวว่า ถ้าปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขในอีก 10-20 ปี ข้างหน้าประเทศไทย จะมีทรัพยากรมนุษย์เกิดจากความไม่พร้อม ไม่ตั้งใจนำมาซึ่งโอกาสที่จำกัด และสุดท้ายกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่ำ และในเวลาเดียวกันเราจะได้แรงงานสตรีราคาถูก เพราะออกจากระบบการศึกษาก่อนกำหนด ภาครัฐต้องรับภาระผู้สูงอายุจำนวนมหาศาล ซึ่งไม่สามารถดูแลตนเองได้ หรือดูแลตนเองได้ในระดับต่ำ ผู้สูงอายุเหล่านี้ไม่มีทั้งเงินออมในการดูแลตนเอง ไม่มีอาชีพ ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เหล่านี้หมายถึงงบประมาณมหาศาลที่ภาครัฐจะต้องทุ่มลงไป ทั้งๆที่หลายประเด็นเป็นเรื่องที่จัดการได้ด้วยระบบ และการทำงานที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญกว่านโยบายคือการลงมือทำ คือ
1.ทุกหน่ายงานควรร่วมสร้างและจรรโลงสังคมทั้งทางตรงหรือทางอ้อม และ
2.ปัญหาใหญ่เกินกว่าจะมี “เจ้าภาพเจ้าเดียว” เพราะเป็นปัญหาระดับโครงสร้างที่ต้องการการเปลี่ยนวิธีคิดของคนในสังคม เพราะหากสังคมไม่น่าอยู่ ท้ายที่สุดพวกเราทุกคนก็ไม่มีใครอยู่ได้อย่างมีความสุข
       
       พญ.พรรณพิมล วิปุลากร เลขาธิการสมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นว่าครอบครัวตกอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยนอกครอบครัว ซึ่งต้องการพื้นที่สำหรับครอบครัวที่จะเข้าถึงข้อมูลที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับครอบครัว และเตรียมทักษะที่จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้เท่าทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะทักษะในการวิเคราะห์ ตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ส่งผลต่อตนเองและครอบครัวในอนาคต การเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ให้ครอบครัวเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนสามารถมีส่วนร่วม โดยกลไกรัฐทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุน และสร้างนโยบายส่งเสริมครอบครัวที่มีศักยภาพร่วมกับมาตรการการดูแลครอบครัวที่ขาดโอกาส ครอบครัวเรียนรู้จะเป็นครอบครัวอบอุ่นที่เตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม

ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 เมษายน 2555

164
เมื่อตื่นมากลางดึกทีไร เรามักเป็นกังวลว่าถ้านอนต่อเนื่องไม่นานพอ จะส่งผลต่อร่างกาย แต่นั่นอาจจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และร่องรอยจากประวัติศาสตร์กำลังชี้ว่า การนอนติดต่อกันยาวถึง 8 ชั่วโมงอาจเป็นเรื่องผิดธรรมชาติสำหรับมนุษย์เรา
       
       รูปแบบธรรมชาติ เรานอนคืนละ 2 ครั้ง
       
       ช่วงต้นคริสต์ศักราช 1990 ดร.โทมัส เวอร์ (Thomas Wehr) จิตแพทย์แห่งสถาบันสุขภาพจิตแห่งสหรัฐฯ (US Institute of Mental Health) ได้ทดลองนำคนกลุ่มหนึ่ง ให้อยู่ในความมืดวันละ 14 ชั่วโมง ทุกๆ วัน เป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งพวกเขาได้นอนหลับยาวตามปกติ แต่ในสัปดาห์ที่ 4 กลุ่มตัวอย่างได้ปรับวิธีการนอน โดยพวกเขาหลับไปใน 4 ชั่วโมงแรก และตื่นขึ้นประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นก็หลับครั้งที่ 2 อีก 4 ชั่วโมง
       
       ผลการทดลองดังกล่าวดูเป็นข้อค้นพบที่น่าทึ่ง แต่ก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะแย้งกับความรู้ที่แพร่หลายว่า การนอนยาว 8 ชั่วโมงเป็นการพักผ่อนที่ดีต่อสุขภาพ
       
       จากนั้นในปี 2001 โรเจอร์ เอคริช (Roger Ekirch) นักประวัติศาสตร์ แห่งเวอร์จิเนียเทค (Virginia Tech) ได้ตีพิมพ์รายงานที่ค้นคว้ามากว่า 16 ปีด้วยการรวบรวมหลักฐานมากมาย ทั้งบันทึกประจำวัน บันทึกศาล รายงานทางการแพทย์ รวมถึงวรรณกรรมกว่า 500 แหล่งที่ชี้ว่า พฤติกรรมการนอนของมนุษย์เราแบ่งเป็น 2 ช่วง
       
       ทั้งนี้ การค้นคว้าดังกล่าวสอดคล้องกับผลการศึกษาของเวอร์ และเอคริชได้เพิ่มเติมว่า การหลับครั้งแรกของคนเรานั้น เริ่มหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง (20.00 น.) และจะตื่น (ประมาณเที่ยงคืน) อยู่ 2 ชั่วโมง จากนั้นก็หลับอีกเป็นครั้งที่ 2 (ประมาณ 2.00 น.)
       
       ในช่วงระหว่างการตื่นนอนนั้น มนุษย์จะกระฉับกระเฉงมาก ส่วนใหญ่ก็จะลุกไปเข้าห้องน้ำ สูบบุหรี่ แม้กระทั่งเดินไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน แต่ก็มีอีกส่วนที่ยังคงอยู่บนเตียง เขียนอ่านหนังสือ หรือสวดมนต์ ซึ่งในช่วงศตวรรษที่ 15 มีหลายหลักฐานระบุถึงการสวดมนต์เป็นกรณีพิเศษระหว่างการตื่นกลางดึก
       
       ถ้าใครที่มีเพื่อนร่วมเตียง ก็เป็นโอกาสในการสนทนาหรือร่วมรักกัน ซึ่งจากคู่มือแพทย์ฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 16 ได้แนะนำให้คู่แต่งงานได้พลอดรักหลังจากหลับรอบแรก เพราะจะสร้างความสุขได้มากกว่าการมีกิจกรรมทางเพศก่อนเข้านอน เพราะยังคงเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน
       
       สังคมเมือง พาคนเข้านอนรวดเดียว
       
       อย่างไรก็ดี เอคริชพบว่า ข้อมูลการนอน 2 ครั้งนั้น เริ่มหายไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 เมื่อผู้คนเริ่มใช้ชีวิตแบบสังคมเมืองกันมากขึ้น
       
       เครก คอสลอฟสกี (Craig Koslofsky) นักประวัติศาสตร์ เจ้าของหนังสือที่รวบรวมประวัติศาสตร์ยามราตรี (Evening's Empire) อธิบายว่า ช่วงกลางคืนในยุคก่อนศตวรรษที่ 17 นั้น ไม่เอื้อให้ผู้คนออกนอกบ้าน เพราะยามราตรีคือเวลาของคนไม่ดี มีทั้งอาชญากรรม การขายบริการทางเพศ ผู้คนที่เมามาย ในยามวิกาลจึงไม่คุ้มค่าพอที่จะออกไปสร้างสังคม
       
       อีกทั้ง ในช่วงการปฏิรูปคริสต์ศาสนา ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ นักบวชทั้งคาทอลิกและโปรเตสแตนท์ ต่างเลือกที่จะปฏิบัติพิธีกรรมศาสนาแบบลับๆ ในยามวิกาล เพราะเกิดการไล่ทำร้ายและสังหารผู้นับถือคริสตศาสนา ทำให้รูปแบบของสังคมก็ปรับสภาพไปในทางเดียวกัน
       
       สมัยนั้นการออกมาทำกิจกรรมยามค่ำคืน นั่นหมายถึงต้องมีแสงสว่าง และผู้ที่หาซื้อเทียนไขได้ก็คือผู้ที่มีฐานะ ดังนั้นความสามารถในการสร้างแสงสว่างยามมืดจึงกลายเป็นการแบ่งชนชั้น
       
       อย่างไรก็ดี เมื่อแสงไฟจากทางการได้ติดตั้งไว้ตามท้องถนน ก็ส่งผลให้ผู้คนต่างฐานะออกมาใช้ชีวิตยามราตรีได้เช่นกัน โดยในปี 1667 ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส เป็นเมืองแรกของโลก ที่มีแสงไฟตามท้องถนน ด้วยเทียนไขในตะเกียงแก้ว จากนั้นไม่เกิน 10 ปี เมืองต่างๆ ในยุโรปก็สว่างไสวในเวลากลางคืนไม่แพ้กัน
       
       เมื่อความสว่างกระจายไปทั่ว การออกไปสังสรรค์ยามค่ำคืนก็กลายเป็นแฟชั่น และการพักผ่อนอยู่บนเตียงถือเป็นการปล่อยเวลาโดยเปล่าประโยชน์
       
       ยิ่งเมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ในศตวรรษที่ 19 เวลาเป็นของมีค่า กิจกรรมหลายอย่างจึงเกิดขึ้นอย่างรวบรัด ซึ่งเอคริชเล่าว่า ผู้คนเริ่มเพิ่มเวลาในการตื่นมากขึ้น และมีวิธีการนอนที่เปลี่ยนไป โดยหลักฐานจากวารสารทางการแพทย์ในปี 1829 ระบุว่า พ่อแม่เริ่มให้ลูกนอนยาว โดยไม่มีการนอนครั้งที่ 2
       
       ถ้าไม่ได้เจ็บป่วยเป็นโรคหรือประสบอุบัติเหตุใดๆ พวกเขาก็จะไม่มีการหลับต่อเป็นรอบที่ 2 อีก เมื่อการนอนครั้งที่ 1 จบลง ก็ถือว่าได้เป็นการพักผ่อนตามเวลาปกติ และถ้าใครนอนต่อเป็นครั้งที่ 2 ก็จะถูกมองว่าเป็นคนขี้เกียจขี้เซา ไม่ดีต่อบุคลิกและความน่าเชื่อถือ
       
       อย่ากังวลไป เมื่อไม่ได้นอนยาว
       
       ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ปรับตัวเป็นนอนหลับวันละ 8 ชั่วโมงกันแล้ว ซึ่งเอคริชเชื่อว่า นี่เป็นเหตุนำไปสู่โรคที่เกี่ยวกับการนอน เพราะตามธรรมชาติร่างกายมนุษย์ต้องการนอนหลับเป็นช่วง การนอนยาวในคราวเดียว ซ้ำยังมีแสงไฟสังเคราะห์ในช่วงเวลานอนที่ควรมืดสนิท จึงกลายเป็นปัญหา บางทีอาจเป็นต้นเหตุของโรคนอนไม่หลับ (insomnia)
       
       ทางผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับผิดปกติ อย่างเกรก จาคอบส์ (Gregg Jacobs) จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมสซาซูเซ็ตส์ ได้อธิบายถึงพัฒนาการในการนอนตามหลักสรีรศาสตร์ มนุษย์ส่วนใหญ่จะต้องตื่นขึ้นมากลางดึก ซึ่งการนอนรวดเดียวนานๆ นี้ เป็นแนวคิดที่สร้างความเสียหาย เพราะการตื่นระหว่างคืนสร้างความกังวลใจให้แก่เรา ซึ่งความกังวลใจนี้ ก็จะทำให้เราหลับต่อไม่ลง และจะทำให้เราง่วงในยามที่ต้องตื่น
       
       รัสเซลล์ ฟอสเตอร์ (Russell Foster) ศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยา กิจวัตรร่างกาย (circadian) แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ได้แสดงความเห็นว่า มีคนมากมายรู้สึกกังวลที่ตื่นขึ้นมากลางดึก ซึ่งนั่นคือการกลับไปสู่พฤติกรรมการนอน 2 ครั้งแบบดั้งเดิม ทว่าแพทย์ส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่เชื่อว่าการนอนต่อเนื่อง 8 ชั่วโมงเป็นรูปแบบที่ผิดธรรมชาติ
       
       “มากกว่า 30% ของปัญหาทางการแพทย์ เกี่ยวข้องกับการนอนทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ความรู้เกี่ยวกับการนอนหลับนั้น ไม่ค่อยได้รับการสนใจ ทั้งในโรงเรียนแพทย์และการวิจัย ไม่ค่อยมีการศึกษาเรื่องนี้” ฟอสเตอร์กล่าว
       
       “ทุกวันนี้ เราให้เวลากับการนอนหลับน้อยมาก ซึ่งจำนวนผู้เกิดภาวะเครียด กังวลใจ ซึมเศร้า ติดเหล้ายาที่เพิ่มขั้นทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกี่ยวข้องกันกับการพักผ่อนที่ไม่เต็มที่” ดร.จาคอบส์ชี้ และได้แนะนำให้มีช่วงที่ตื่นขึ้นระหว่างหลับ เพราะร่างกายจะได้จัดการกับความเครียดได้โดยธรรมชาติ
       
       นับจากนี้ ถ้าใครต้องตื่นขึ้นมากลางดึก อย่าได้เป็นกังวลไป ทำใจให้สบายแล้วนึกถึงบรรพบุรุษของเราที่มีรูปแบบการนอนเช่นเดียวกันนี้ และไม่แน่ว่าอาจจะดีกว่าสำหรับมนุษย์อย่างเราๆ ก็ได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มีนาคม 2555

165
เกริ่น​ชื่อ​เรื่อง​มา​แบบ​นี้​ ​หลาย​คน​ก็​คง​จะ​คิด​ว่า​.. “​อัมพาต​” ​กับ​ “​โรค​หลอด​เลือด​สมอง​” ​มี​ความ​เกี่ยว​ข้อง​กันได้ ​อย่าง​ไร​?​
   
​ก่อน​อื่น​เลย​ ​จะ​ขอ​ทำ​ความ​เข้า​ใจ​ตรง​นี้​ว่า​ ​อัมพาต​หรือ​อัมพฤกษ์​ ​ที่​เคย​ได้​ยิน​กัน​นั้น​ ​หมาย​ถึง​ ​สภาวะ​ที่​มี​การ​อ่อน​แรง​ของ​แขน​และ​ขา​ ​ซึ่ง​ผู้​ป่วย​ที่​เป็น​อัมพาต​ ​สามารถ​ใช้​ชีวิต​และ​ทำ​กิจ​กรรม​ต่าง​ ๆ ​ใน​สังคม​ได้​เช่น​เดียว​กัน​กับ​คน​ปกติ​ ​ไม่​ใช่​แค่น​อน​รักษา​ตัว​ ​อยู่​บน​เตียง​ใน​โรง​พยาบาล​อย่าง​ที่​เข้า​ใจ​กัน​
   
​เนื่อง​ด้วย​เพราะ​ความ​เชื่อ​ของ​คน​ส่วน​ใหญ่​ ​เมื่อ​พูด​ถึง​อัมพาต​ ​ก็​จะ​นึก​ถึง​ผู้​ป่วย​ที่​เป็น​อัมพาต​ครึ่ง​ซีก​ ​ซึ่ง​สาเหตุ​สำคัญ​ก็​มา​จาก​ ​การ​เกิด​ “​โรค​หลอด​เลือด​ใน​สมอง​ตีบ​หรือ​แตก​” ​อัน​เป็น​สาเหตุ​สำคัญ​ที่​พบ​ได้​บ่อย​ที่​สุด​ของ​การ​เป็น​อัมพาต​ ​นอก​จาก​นี้​อาการ​อัมพาต​ของ​ผู้​ป่วย​ก็​ยัง​กลาย​เป็น​ปัญหา​ทาง​สาธารณสุข​ที่​สำคัญ​ลำดับ​ต้น​ๆ​ของ​ประเทศ​ ​ทั้ง​ใน​เรื่อง​การ​ดู​แล​ ​ค่า​ใช้​จ่าย​ ​การ​รักษา​ ​เป็นต้น​
   
​ดัง​นั้น​ ​จาก​ข้อมูล​ที่​กล่าว​มา​ข้าง​ต้น​นี้​ ​จึง​ควร​ให้​ความ​สำคัญ​ ​และ​ทำ​ความ​เข้า​ใจ​เกี่ยว​กับ​โรค​หลอด​เลือด​สมอง​ ​อัน​เป็น​สาเหตุ​สำคัญ​ของ​ ​อัมพาต​ให้​มาก​ขึ้น​ ​ดัง​ต่อ​ไป​นี้​ 
   
​โรค​หลอด​เลือด​สมอง​แบ่ง​ออก​เป็น​ 2 ​กลุ่ม​ ​คือ​
1. ​กลุ่ม​โรค​หลอด​เลือด​สมอง​ตีบ​ ​หรือ​ ​อุด​ตัน​ ​ที่​ทำ​ให้​เกิด​ภาวะ​สมอง​ขาด​เลือด​
2. ​กลุ่ม​โรค​หลอด​เลือด​สมอง​แตก​ ​ที่​ทำ​ให้​มี​ลิ่ม​เลือด​คั่ง​ใน​เนื้อ​สมอง​
   
​สาเหตุ​สำคัญ​ของ​โรค​หลอด​เลือด​สมอง​ตีบ​หรือ​อุด​ตัน​ ​สมอง​ของ​เรา​นั้น​เป็น​อวัยวะ​ที่​ต้องการ​เลือด​ไป​เลี้ยง​ใน​ปริมาณ​   ​มาก​ที่​สุด​เมื่อ​เทียบ​กับ​อวัยวะ​อื่น​ ๆ ​ของ​ร่าง​กาย​ ​เลือด​ที่​ไป​เลี้ยง​   ​สมอง​ ​เริ่ม​ต้น​จาก​หัว​ใจ​สูบ​ฉีด​ผ่าน​หลอด​เลือด​แดง​ใหญ่​ ​ต่อ​ไป​    ​ยัง​หลอด​เลือด​แดง​ที่​อยู่​บริเวณ​   ​ลำ​คอ​ ​แล้ว​จึง​ผ่าน​เข้า​ไป​ใน​สมอง​ ​โดย​หลอด​เลือด​ ​แดง​ใหญ่​ก็​จะ​แตก​แขนง​เป็น​หลอด​เลือด​แดง​ขนาด​เล็ก​ลง​ไป​เรื่อย​ ๆ ​จน​เป็น​หลอด​เลือด​แดง​ฝอย​กระจาย​ ​ไป​ทั่ว​ทั้ง​เนื้อ​สมอง​
   
​หาก​ลอง​เปรียบ​เทียบ​หลอด​เลือด​แดง​กับ​ ​ท่อ​ประปา​ ​จะ​พบ​ว่า​มี​ความ​คล้ายคลึง​กัน​หลาย​ประการ​กล่าว​คือ​ ​เมื่อ​ท่อ​ประปา​ที่​ใช้​มา​เป็น​เวลา​นาน​หรือ​เมื่อ​เรา​อายุ​มาก​ขึ้น​ ​ผนัง​ของ​ท่อ​ประปา​หรือ​หลอด​เลือด​ก็​จะ​เริ่ม​เสีย​ไป​ ​ทำ​ให้​เกิด​การ​แข็ง​ตัว​ ​เปราะ​แตก​ง่าย​ ​จน​ทำ​ให้​เกิด​โรค​หลอด​เลือด​แดง​แข็ง​ ​และ​ภาย​ใน​ท่อ​ก็​จะ​มี​สิ่ง​ไม่​พึง​ประสงค์​  ​เช่น​ ​เศษ​หิน​ ​เศษ​ดิน​เล็ก​ ๆ ​มา​เกาะ​ที่​ผนัง​ด้าน​ใน​ ​จน​รู​ของ​ท่อ​ค่อย​ ๆ ​ตีบ​เล็ก​ลง​จน​ท่อ​ตัน​ไป​ใน​ที่​สุด​
   
​สิ่ง​ที่​ทำ​ให้​หลอด​เลือด​อุด​ตัน​นี้​เรียก​ว่า​ “Plague” ​อัน​เกิด​จาก​การ​จับ​ตัว​กัน​ของ​เกล็ด​เลือด​ ​เม็ด​เลือด​ขาว​ ​และ​ไข​มัน​ใน​เลือด​ ​ไข​มัน​ที่​เป็น​ตัว​การ​สำคัญ​ก็​คือ​ ​คอเลสเตอรอล​ ​เมื่อ​หลอด​เลือด​แดง​ค่อย​ ๆ ​ตีบ​ลง​ ​ปริมาณ​เลือด​ที่​จะ​เลี้ยง​สมอง​ก็​จะ​ลด​ลง​ ​แต่​เซลล์​สมอง​จะ​ปรับ​ตัว​ให้​ยัง​มี​ชีวิต​อยู่​ได้​ ​แต่​เมื่อ​การ​ตีบ​ตัน​เป็น​มาก​ขึ้น​จน​อุด​ตัน​ ​เลือด​ไป​เลี้ยง​สมอง​ไม่​ได้​ ​เซลล์​สมอง​ที่​ขาด​เลือด​ก็​จะ​ตาย​ไป​ใน​ที่​สุด​ ​ผู้​ป่วย​ก็​จะ​เกิด​อาการ​อัมพาต​ขึ้น​  ​ใน​ผู้​ป่วย​บาง​ราย​ ​การ​อุด​ตัน​ของ​หลอด​เลือด​แดง​ใน​สมอง​เกิด​ขึ้น​เนื่อง​จาก​มี​ลิ่ม​เลือด​จาก​หัว​ใจ​หรือ​จาก​หลอด​เลือด​แดง​ Carotid ​หลุด​ลอย​มา​อุด​ตัน​ ​ทำ​ให้​สมอง​เกิด​การ​ขาด​เลือด​อย่าง​ฉับ​พลัน​ ​ก็​เป็น​อีก​สาเหตุ​หนึ่ง​ที่​ทำ​ให้​เป็น​อัมพาต​ได้​เช่น​กัน​
   
​ส่วน​สาเหตุ​ของ​โรค​หลอด​เลือด​สมอง​แตก​ ​ก็​เกิด​จาก​ภาวะ​หลอด​เลือด​แดง​แข็ง​ ​ซึ่ง​ผนัง​ของ​หลอด​เลือด​จะ​เปราะ​แตก​ง่าย​ ​หาก​ความ​ดัน​โลหิต​สูง​ขึ้น​มาก​อย่าง​ฉับ​พลัน​อาจ​ทำ​ให้​หลอด​เลือด​ ​แดง​แตก​ได้​ ​จะ​เกิด​ลิ่ม​เลือด​คั่ง​ใน​สมอง​ ​ก็​ทำ​ให้​ผู้​ป่วย​เป็น​อัมพาต​ได้​ ​การ​แตก​ของ​หลอด​เลือด​สมอง​อาจ​เกิด​จาก​ความ​ผิด​ปกติ​ของ​หลอด​เลือด​ที่​เป็น​มา​แต่​กำเนิด​ได้​
   
​ลักษณะ​อาการ​ของ​โรค​หลอด​เลือด​สมอง​ ​โดย​ทั่ว​ไป​มัก​เกิด​ขึ้น​กับ​ตำแหน่ง​ของ​สมอง​ที่​เสีย​หาย​ ​อาการ​ที่​เกิด​ขึ้น​ก็​จะ​เป็น​ไป​ตาม​การ​เสีย​หาย​ของ​สมอง​ส่วน​นั้น​ ​อาการ​มัก​จะ​เกิด​ขึ้น​ได้​อย่าง​ฉับ​พลัน​ ​แต่​บาง​ครั้ง​อาการ​อาจ​เกิด​ขึ้น​เป็น​ ๆ ​หาย​ ๆ ​หรือ​ค่อย​ ๆ ​เป็น​มาก​ขึ้น​ใน​เวลา​อัน​สั้น​
                       
​อาการ​ที่​พบ​บ่อย​ ​เช่น​ ​แขน​ขา​อ่อน​แรง​ครึ่ง​ซีก​ ​เวียน​ศีรษะ​ ​บ้าน​หมุน​ ​เดิน​เซ​ ​ตามัว ​มอง​ไม่​เห็น​ข้าง​เดียว​ ​หรือ​มอง​ไม่​เห็น​ครึ่ง​ซีก​ ​มอง​เห็น​ภาพ​ซ้อน​ ​ลิ้น​แข็ง​ ​พูด​ไม่​ชัด​ ​กลืน​ลำบาก​ ​ปวด​ศีรษะ​อย่าง​รุน​แรง​หรือ​ฉับ​พลัน​  ​ซึม​ไม่​รู้​สึก​ตัว​
   
​สำหรับ​การ​ป้อง​กัน​และ​รักษา​ต้อง​บอก​ว่า​ ​หาก​เกิด​อาการ​น่า​สงสัย​ว่า​จะ​เป็น​โรค​หลอด​เลือด​สมอง​ ​ต้อง​รีบ​ไป​พบ​แพทย์​ทัน​ที​ ​เนื่อง​ด้วย​โอกาส​รักษา​ให้​หาย​หรือ​ได้​ผล​ดี​จะ​ ​มี​มาก​กว่า​ ​ทั้ง​นี้​ ​หาก​สมอง​ขาด​เลือด​นาน​เกิน​ไป​ ​สมอง​ส่วน​นั้น​ก็​จะ​ตาย​ ​จน​ไม่​สามารถ​ฟื้น​ตัว​ได้​
   
​หลัก​สำคัญ​ของ​การ​ป้อง​กัน​และ​รักษา​ก็​   ​คือ​ ​การ​ควบ​คุม​ปัจจัย​เสี่ยง​ต่าง​ ๆ ​ได้​แก่​ ​ความ​ดัน​โลหิต​สูง​ ​เบา​หวาน​ ​โรค​หัว​ใจ​ ​และ​ไข​มัน​ใน​เลือด​สูง​ ​การ​เลิก​สูบ​บุหรี่​ ​เลิก​ดื่ม​สุรา​ใน​ปริมาณ​มาก​ ​รับ​ ​ประทาน​ยา​ต้าน​เกล็ด​เลือด​ ​หรือ​ยา​ต้าน​การ​แข็ง​ตัว​ของ​เลือด​กรณี​ที่​เป็น​โรค​หลอด​เลือด​สมอง​ตีบ​  ​ออก​กำลัง​กาย​อย่าง​สม่ำเสมอ​ ​ลด​อาหาร​เค็ม​และ​อาหาร​ไข​มัน​สูง​ ​ลด​ความเครียด​ ​และ​ตรวจ​สุข​ภาพ​ ​ปี​ละ​สอง​ครั้ง​
   
​มา​ถึง​บรรทัด​นี้​ ​การ​วินิจฉัย​ทาง​การ​แพทย์​คง​เป็น​สิ่ง​ที่​หลาย​คน​อยาก​ทราบ​กัน​ ​ใน​ปัจจุบัน​ความ​ก้าว​หน้า​ทาง​การ​แพทย์​ได้​รุด​หน้า​ไป​เร็ว​มาก​ ​การ​เอกซเรย์​เพื่อ​ตรวจ​วินิจฉัย​ก็​มัก​จะ​ทำ​กัน​ด้วย​เครื่อง​ CT Scan ​เช่น​เดียว​กัน​กับ​การ​ตรวจ​ด้วย​คลื่น​แม่​เหล็ก​ไฟ​ฟ้า​หรือ​ MRI ​ทั้ง​นี้​ ​จะ​ช่วย​ทำ​ให้​ทราบ​ถึง​ภาวะ​การ​ขาด​เลือด​หรือ​ภาวะ​เลือด​ออก​ใน​สมอง​ ​ก่อน​ทำ​การ​รักษา​ต่อ​ไป​

นาย​แพทย์​ไพโรจน์​ ​บุญ​คง​ชื่อ​
เดลินิวส์  20 มิถุนายน 2552

หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13