แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - science

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 13
16
เดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1999 นาซาได้เปิดตัวดาวเทียมที่ช่วยให้เราได้เห็นและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก โดยดาวเทียมนี้ชื่อ Terra และต่อมาในปี ค.ศ. 2002 และ 2004 ดาวเทียมชื่อ Aqua และ Aura ก็ได้ถูกส่งขึ้นตามไป ซึ่งดาวเทียมทั้งสามดวงนี้บ่อยครั้งจึงถูกเรียกว่า ระบบการสำรวจโลกของนาซา (NASA’s Earth Observing System)

นาซาและหน่วยงานอื่น ๆ ได้มีการส่งดาวเทียมเพื่อการศึกษาโลกมาก่อน แต่ในระยะ 15 ปีหลังมานี้ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนกับโลกใบนี้ของเรามากกว่าในอดีต ขณะเดียวกันเมื่อโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น นอกจากภาพความสวยงามที่เรามองเห็นได้จากโลกแล้ว ยังมีข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนไปของโลกนี้อีกด้วย ต่อไปนี้เป็น 15 ภาพที่ได้จากระบบการสำรวจโลกในระยะเวลา 15 ปี
1. ลูกโลกสีน้ำเงิน 2002

ในปี 2002 นักวิทยาศาสตร์และนักสร้างภาพของนาซาได้ทำการสร้างสัญลักษณ์ของโลกขึ้นมาใหม่ ซึ่งทำการเก็บข้อมูลกว่า 4 เดือนจาก Moderate Resolution Imaging Spectroradiometer หรือ MODIS (อุปกรณ์จากดาวเทียม Terra) พวกเขาได้ทำการเพิ่มชั้นของเมฆเข้าไปเป็นส่วนประกอบของลูกโลกสีน้ำเงิน ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญของภาพลูกโลกในศตวรรษใหม่เมื่อ Apple ได้เลือกเป็นภาพพื้นหลังสำหรับ iphone ในปี 2007


The western hemisphere of the Blue Marble, created in 2002. Credit: NASA’s Earth Observatory

2. การพังทลายของแผ่นน้ำแข็ง

การวางตัวของภูเขาตามแนวคาบสมุทรแอนตาร์กติกที่มีแผ่นน้ำแข็งขนาบทั้งสองข้าง ระยะเวลาหลายเดือนในต้นปี 2002 อุปกรณ์ MODIS จากดาวเทียม Terra ได้สำรวจพบว่าแผ่นน้ำแข็งด้านหนึ่งได้เกิดการพังทลายและหายไปในที่สุด โดยในเดือนมกราคม พื้นผิวของแผ่นน้ำแข็ง Larsen B Ice (ครอบคลุมพื้นที่ 1,250 ตารางไมล์) ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า Hampshire และ Vermont รวมกัน พบว่าได้กลายเป็นบ่อน้ำจากการละลายของน้ำแข็ง และในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ขอบด้านหน้าของแผ่นน้ำแข็งได้ถูกร่นเข้ามากว่า 6 ไมล์ และภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็แตกออกและลอยออกไปสู่ทะเล และในวันที่ 7 เดือนมีนาคมแผ่นน้ำแข็งก็ได้พังทลายไปเรียบร้อย


Collapse of the Larsen B Ice Shelf in Antarctica, imaged Jan. 31 through April 13, 2002. Credit: NASA’s Earth Observatory

3. การตรวจวัดโอโซน

การตรวจจับโมเลกุลก๊าซที่ระดับความสูงต่างๆ ในบรรยากาศต้องกระทำที่ Earth’s limb ซึ่งหมายถึงบริเวณที่มีแสงสีฟ้าเลือนเหนือพื้นผิวโลก อุปกรณ์บนดาวเทียม Aura ที่เรียกว่า Microwave Limb Sounder สำรวจบริเวณ limb เพื่อให้ได้ภาพด้านข้างของบรรยากาศจากพื้นโลกถึงพื้นที่ที่ก๊าซสามารถลอยออกไปในอวกาศได้ ซึ่งภาพที่ได้ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถวัดชั้นเคมีทีละชั้นในบรรยากาศได้ โดยเฉพาะการตรวจติดตามก๊าซที่มีส่วนทำให้เกิดรูรั่วของโอโซน และการประเมินผลในส่วนผลกระทบของเมฆต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

Microwave Limb Sounder เป็นอุปกรณ์แรกที่ทำการตรวจวัดก๊าซทั้งหมดที่มีส่วนทำให้เกิดรูรั่วของโอโซน และทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้รู้ถึงกระการบวนทางเคมีของการรั่วของโอโซน


MLS measures lower stratospheric temperature and concentrations of H2O, O3, ClO, BrO, HCl, OH, HO2, HNO3, HCN and N2O, for their effects on (and diagnoses of) ozone depletion, transformations of greenhouse gases, and radiative forcing of climate change. Credit: NASA Goddard’s Scientific Visualization Studio

4. วงจรพืชพันธุ์ของโลก

ภาพที่ได้จากดาวเทียมบอกเราได้ว่าที่ไหนมีการปลูกพืชและต้นไม้สามารถเจริญเติบโตได้ แต่ข้อมูลจากเครื่องมือดาวเทียมยังสามารถบอกเราได้มากกว่า คือ สามารถบอกได้ว่ามีคาร์บอนไดออกไซด์มากเท่าไหร่ที่กำลังถูกดูดซับจากบรรยากาศในระหว่างการสังเคราะห์แสงของพืช

อุปกรณ์ที่ชื่อว่า MODIS ของดาวเทียม Aqua และ Terra สามารถตรวจวัดการดูดซับคาร์บอน ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำการเปรียบเทียบได้ทั่วโลก โดยภาพเคลื่อนไหวนี้ได้แสดงถึงวัฏจักรดังกล่าวในระยะเวลา 1 ปี สีเขียวเข้มจะแสดงถึงอัตราการดูดซับของคาร์บอนที่สูงกว่า ซึ่งค่อนข้างคล้ายตามการเจริญเติบโตของพืชตามฤดูกาลและการลดลงของพืชสีเขียวทั่วโลก


One year of the global vegetation cycle show seasonal variations in different parts of the world. Credit: NASA Goddard’s Scientific Visualization Studio

5. การร้อนขึ้นของอาร์กติก

หนึ่งในความกังวลเกี่ยวกับการลดลงของน้ำแข็งในทะเลในฤดูร้อนคือการสูญเสียพื้นที่ซึ่งเป็นที่สะท้อนพลังงานจากดวงอาทิตย์กลับสู่บรรยากาศ เมื่อน้ำแข็งละลายจะทำให้ศักยภาพในการเพิ่มความร้อนสูงมากขึ้น ซึ่งอาร์กติกเป็นพื้นที่ที่มีการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ ในโลกอย่างรวดเร็ว 2-3 เท่า ในช่วงระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา

ระบบการแผ่พลังงานของโลกและเมฆ หรือ CERES เป็นอุปกรณ์บนดาวเทียม Terra และ Aqua มีการตรวจวัดปริมาณการดูดซับรังสีจากดวงอาทิตย์ของโลกตั้งแต่ปี 2000 ถึงปัจจุบัน พบว่าอาร์กติกมีการดูดซับเพิ่มขึ้น 5% ซึ่งจำนวนนี้อาจดูเหมือนไม่มาก เว้นแต่จะเทียบกับพื้นที่อื่นบนโลก และแน่นอนว่าไม่มีพื้นที่ใดในโลกแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้


The image shows change in sea ice and solar absorption in the summer months in the Arctic between 2000 and 2014. Blue shows where sea ice has decreased, and red shows where solar radiation absorption has increased over the last 15 years. Credit: NASA Goddard’s Scientific Visualization Studio

6. อากาศบริสุทธิ์ขึ้นในสหรัฐอเมริกา

อาจจะเป็นเรื่องน่าแปลกใจว่าคุณภาพอากาศในสหรัฐอเมริกาสะอาดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เนื่องจากรถยนต์ใหม่มีข้อจำกัดในการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงโรงไฟฟ้าและอุตสาหกรรมที่จำกัดปริมาณการปลดปล่อยมลพิษด้วย มลพิษบางตัวซึ่งเป็นสาเหตุต่อปัญหาสุขภาพได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญใน 15 ปีที่ผ่านมา เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้คิดหาวิธีตรวจวัดความเข้มข้นของไนโตรเจนไดออกไซด์ โดยการใช้ อุปกรณ์ที่เรียกว่า OMI บนดาวเทียม Aura ภาพที่ได้แสดงให้เห็นว่าคุณภาพอากาศในสหรัฐอเมริกาดีขึ้นอย่างไรจากปี 2005 – 2011


Nitrogen dioxide pollution, averaged yearly from 2005-2011, has decreased across the United States. Credit: NASA Goddard’s Scientific Visualization Studio / T. Schindler

7. การเกิดไฟป่า

ในแต่ละปีพื้นที่หนึ่งในสามของโลกถูกไฟไหม้ เราไม่รู้ข้อเท็จจริงจนกระทั่งอุปกรณ์ MODIS บนดาวเทียม Terra และ Aqua ได้เริ่มต้นสแกนโลกสี่ครั้งต่อวันเพื่อหาตำแหน่งที่เกิดไฟป่าทั่วโลก ซึ่งพบว่า 15 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่พวกเขาได้เริ่มทำการสร้างแผนที่ไฟป่าขึ้น พวกเขาได้ทำการสำรวจพบกว่า 40 ล้านจุดได้เกิดไฟไหม้ขึ้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องทำความเข้าใจว่าเกิดขึ้นที่พื้นที่ใดและจะเกิดผลกระทบอย่างไรต่อระบบนิเวศ คาร์บอนถูกปลดปล่อยขึ้นสู่บรรยากาศซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และคุณภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งแผนที่ไฟไหม้แบบเรียลไทม์เป็นหนึ่งในความต้องการมากที่สุดสำหรับการจัดการกับปัญหาไฟป่าในสหรัฐอเมริกาและพื้นที่อื่นทั่วโลก


One year of African fires are shown in red over the course of 2006. Credit: NASA Goddard’s Scientific Visualization Studio

8. ควันในบรรยากาศ

เซ็นเซอร์บนดาวเทียมไม่เพียงแต่ตรวจจับความร้อนจากไฟป่าและนับจำนวนครั้งการเกิดไฟป่ารอบโลกได้เท่านั้น ยังสามารถให้ข้อมูลภาพของไฟป่าและตรวจวัดการลอยตัวของควันในระยะเวลา 10 ปีครึ่งได้อีกด้วย ภาพไฟป่ามากมายที่ได้เห็นในปัจจุบันค่อนข้างซ้ำซากจำเจ แต่เซ็นเซอร์นี้ยังให้ข้อมูลการเดินทางของควันจากแหล่งกำเนิดและความสูงในการลอยตัวขึ้นสู่บรรยากาศว่าสูงแค่ไหน อุปกรณ์นี้ชื่อ MISR บนดาวเทียม Terra ซึ่งได้ศึกษามากขึ้นเกี่ยวกับการลอยของควันจากไฟป่าเข้าสู่บรรยากาศว่าไปได้สูงมากแค่ไหน รวมถึงการผสมกันกับก้อนเมฆได้อย่างไร


Smoke plume from California’s Rim Fire, Aug. 23, 2013. Credit: NASA / Goddard / Langley / JPL, MISR Team

9. การเคลื่อนตัวของแผ่นน้ำแข็งในทะเล

ดาวเทียม Aqua ไม่ได้เป็นดาวเทียมดวงแรกที่สำรวจแผ่นน้ำแข็งในทะเลจากอวกาศ แต่เป็นดวงแรกที่ให้ข้อมูลความละเอียดสูงซึ่งทำให้เราสามารถเห็นถึงการเคลื่อนที่และการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวันของแผ่นน้ำแข็งในอาร์กติก (แผ่นน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในทะเลมีขนาดใหญ่กว่าพื้นแผ่นดินของประเทศสหรัฐอเมริกา) ซึ่งน้ำแข็งมีการหดตัวลงในช่วงฤดูร้อนและขยายตัวเพิ่มขึ้นในฤดูหนาว และยังมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างที่แตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละวัน เครื่องมือ AMSR-E (Advanced Microwave Scanning Radiometer for EOS) ยังได้แสดงถึงความสวยงามของกระบวนการดังกล่าว และยังสามารถตรวจวัดการลดลงของแผ่นน้ำแข็งในทะเลได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย


Sea ice is frozen seawater floating on the surface of the ocean that grows and shrinks with the seasons, shown here from Sep. 4, 2009-Jan. 30, 2011. Satellite observations show overall sea ice has declined over the last 15 years due to climate change. Credit: NASA Goddard’s Scientific Visualization Studio

10. การเพิ่มขึ้นและลดลงของคาร์บอนไดออกไซด์

เซ็นเซอร์ภาคพื้นดินบอกเราได้ว่าคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศลอยขึ้นและตกลงสัมพันธ์กับฤดูหนาวและร้อนในแถบซีกโลกเหนือ ซึ่งวัฏจักรนี้สัมพันธ์กับการสังเคราะห์แสงของพืช ต้นไม้ และ แพลงก์ตอน

อุปกรณ์ AIR (Atmospheric Infrared Sounder) บนดาวเทียม Aqua ได้ตรวจวัดคาร์บอนไดออกไซด์ที่ระดับหลายพันฟุตเหนือพื้นดิน และภาพที่ได้บอกเราได้ว่ามีการกระจายตัวของก๊าซเรือนกระจกอย่างไรทั่วโลกและมีการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นตามฤดูกาลอย่างไร


 Average yearly AIRS CO2 data shown in yellow is laid over MODIS vegetation data in green. CO2 accumulates in the Northern Hemisphere winter and spring, then the vegetation’s photosynthesis absorbs it in summer. Credit: NASA Goddard’s Scientific Visualization Studio

11. ความลึกลับของเมฆและละอองลอย

สองตัวแปรสำคัญที่ทำให้มีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแลงสภาพภูมิอากาศในอนาคตคือเมฆและละอองลอย (aerosols) ก้อนเมฆบางส่วนสะท้อนรังสีของดวงอาทิตย์ขณะที่บางส่วนดักจับความร้อนที่จะปล่อยออกสู่บรรยากาศ ในทำนองเดียวกัน ละอองลอยบางส่วนกระจายแสงและให้ความเย็นออกมา ขณะที่บางส่วนดูดซับแสงและให้ความร้อนออกมา นักวิทยาศาสตร์ใช้อุปกรณ์ MODIS บนดาวเทียม Terra และ Aqua ในการสำรวจติดตามเมฆและละอองลอยต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์มีความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีของมันมากขึ้น และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดาวเทียมหลายดวงของ NASA ได้ถูกส่งขึ้นไปในวงโคจรใกล้กับดาวเทียม Terra และ Aqua เพื่อช่วยในการจับภาพที่สมบูรณ์ขึ้นของเมฆและละอองลอยด้วยอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน


Dust plumes from Iran, Afghanistan and Pakistan blow southward over the Arabian Sea, Dec. 28, 2012. Credit: NASA / Goddard / MODIS Land Rapid Response

12. สุดยอดแผนที่ภูมิประเทศ

การทำแผนที่หนึ่ง ๆ ต้องใช้เวลานาน นักสำรวจต้องใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ที่ไม่รู้จัก และลงรายละเอียดในแผนที่ไม่ว่าจะเป็นภูเขา แม่น้ำ เนินเขา และพื้นที่ราบ ซึ่งอุปกรณ์ Advanced Spaceborne Thermal Emission and Reflection Radiometer, or ASTER บนดาวเทียม Terra เก็บภาพคู่ของพื้นผิวโลก โดยภาพคู่นี้ทำหน้าที่เสมือนดวงตาของเรา ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความลึกและทำให้นักวิทยาศาสตร์เห็นภาพในแบบ 3 มิติ

Global Digital Elevation Model แรกถูกปล่อยออกมาในปี ค.ศ. 2009 เป็นการรวมภาพพื้นผิวโลก 1.3 ล้านภาพเข้าด้วยกัน ซึ่งภาพทั้งหมดถูกทำขึ้นด้วยคนเดียวกันและในเวลาเดียวกัน ถือเป็นแผนที่ภูมิประเทศที่มีความละเอียดสูงที่สุด ครอบคลุม 90% ของพื้นผิวโลกจากขั้วโลกหนึ่งถึงอีกขั้วโลกหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ใช้ข้อมูลช่วงชั้นความสูงนี้ในการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวโลก โดยเฉพาะจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ อย่างเช่น การสไลด์ของดิน แผ่นดินไหว น้ำท่วม และสึนามิ



Dust plumes from Iran, Afghanistan and Pakistan blow southward over the Arabian Sea, Dec. 28, 2012. Credit: NASA / Goddard / MODIS Land Rapid Response


Los Angeles Basin bordered on the north by the San Gabriel Mountians. ASTER’s simulated natural color image, collected Aug 15, 2006, is draped over the ASTER Global Digital Elevation Model. Credit: NASA / JPL / METI, ASTER Team 14

13. แพลงก์ตอนบลูม

เมื่อพืชเล็กๆ ในมหาสมุทรเกิดการบลูม (bloom) พืชเหล่านี้จะเจริญเติบโตได้ไกลถึงร้อยไมล์ แพลงก์ตอนพืชเป็นพื้นฐานของห่วงโซ่อาหารในทะเล การเจริญเติบโตจะเกิดได้ดีเมื่ออุณหภูมิเย็น มีแร่ธาตุอาหารมากจากแม่น้ำที่ไหลมาบรรจบหรือจากใต้ทะเลลึกบวกกับแสงสว่างที่เพียงพอที่ผิวน้ำ การบลูมของแพลงก์ตอนพืชทั่วโลกประมาณครึ่งหนึ่งของการสังเคราะห์แสงสุทธิบนพื้นโลกและเป็นตัวหลักในการส่งผ่านคาร์บอนในบรรยากาศไปยังมหาสมุทร จากการบลูมนี้นำมาซึ่งแหล่งอาหารที่สำคัญสำหรับปลาและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล

สีของมหาสมุทรในแต่ละวันได้รับการตรวจวัดจากอุปกรณ์ MODIS บนดาวเทียม Terra และ Aqua ซึ่งเปลี่ยนความเข้าใจของนักวิทยาศาสตร์ในเรื่องความสัมพันธ์ทางชีวภาพและกายภาพที่ซับซ้อนระหว่างแพลงก์ตอนพืช ระบบนิเวศ และต้นทุนคาร์บอนโลก


North Atlantic phytoplankton bloom off the coast of Iceland, June 24, 2010. Credit: NASA’s Earth Observatory

14. แผนที่คาร์บอนมอนอกไซด์

คาร์บอนมอนอกไซด์เป็นก๊าซไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เกิดจากไฟป่า ท่อไอเสียรถยนต์ และกิจกรรมของมนุษย์ เมื่ออยู่ในบรรยากาศก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นส่วนผสมหนึ่งในโอโซนที่ระดับพื้นดิน เป็นสารอันตรายในการก่อให้เกิดหมอกควัน (smog) ซึ่งบางครั้งมีการกระจายไกลเป็นพันไมล์จากแหล่งกำเนิดของก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์

อุปกรณ์บนดาวเทียม Terra ที่ถูกเรียกว่า Measurements of Pollutants in the Troposphere, or MOPITT เป็นอุปกรณ์แรกที่ติดตามแหล่งกำเนิดคาร์บอนมอนอกไซด์และติดตามก๊าซที่เกิดขึ้นที่กระจายไปรอบโลก และข่าวดีก็คือ ข้อมูลที่ได้จาก MOPITT รวมกับข้อมูลจาก AIRS (Atmospheric Infrared Sounder) และ Tes (Tropospheric Emissions Spectrometer) บนดาวเทียม Aqua รวมถึงข้อมูลดาวเทียมยุโรป นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าการปลดปล่อยคาร์บอนมอนอกไซด์มีอัตราลดลง 1% ต่อปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000

MOPITT’s monthly average of global concentrations of tropospheric carbon monoxide at an altitude of about 12,000 feet, in April 2000 (left) and April 2014. Credit: NASA’s Earth Observatory

15. การซ่อมแซมรูรั่วของโอโซน

ในปี ค.ศ. 1987 พิธีสารเกียวโตได้ห้ามการใช้สารเคมีที่มีผลทำลายโอโซนในบรรยากาศ และเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับประชาคมระหว่างประเทศที่จะมาร่วมกันแก้ไขปัญหาภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ซึ่งโอโซนทำหน้าที่ปกป้องโลกและสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกจากรังสีดวงอาทิตย์ ดาวเทียมซึ่งทำการตรวจวัดโอโซนในชั้นสตราโตสเฟียร์มีความสำคัญต่อการติดตามการปรากฏรูรั่วของโอโซนเหนือแอนตาร์กติกา ซึ่งการดำเนินการตรวจวัดอย่างต่อเนื่องได้เริ่มต้นโดยดาวเทียม NOAA เครื่องมือตรวจติดตามโอโซนบนดาวเทียม Aura ได้แสดงถึงสัญญาณแรกของการลดน้อยลงของรูโอโซน ซึ่งหมายถึงโอโซนมีการฟื้นตัวขึ้นนั่นเอง



The minimum concentration of ozone above Antarctica from 1979 to 2013. Credit: NASA Goddard’s Scientific Visualization Studio

 
เรื่องโดย : Ellen Gray and Patrick Lynch. NASA’s Earth Science News Team

ที่มา: http://climate.nasa.gov/news/2206/
http://www.greenintrend.com/15-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99/

17
 นักวิจัยฝรั่งเศสวิจัยพบสารทดแทน BPA สารประกอบในพลาสติกซึ่งถูกแบนโดยหลายประเทศจากความกังวลผลกระทบต่อสุขภาพ ทว่าสารประกอบ 2 ชนิดที่คาดว่าปลอดภัยและทดแทนกันได้อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอัณฑะของตัวอ่อน
       
       งานวิจัยดังกล่าวเผยแพร่ลงวารสารเฟอร์ติลิตีแอนด์สเตอริลิตี (Fertility and Sterility) ซึ่งเอเอฟพีระบุว่า เป็นผลงานวิจัยของนักวิจัยฝรั่งเศสที่แสดงให้เห็นว่า ไบฟีนอลเอฟ (bisphenol F) และไบฟีนอลเอส (bisphenol S) ที่นำมาใช้ทดแทนไบฟีนอลเอ (bisphenol A) หรือ BPA ซึ่งเป็นสารประกอบพื้นฐานในขวดพลาสติก พลาสติกบรรจุอาหารและอาหารกระป๋องนั้นอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพเช่นกัน
       
       ผลการทดลองล่าสุดเผยว่า สารประกอบทั้งสองลดการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในตัวอ่อน ซึ่ง เรเน ฮาแบรต์ (Rene Habert) จากมหาวิทยาลัยปารีสดิเดอโร (Paris Diderot University) ผู้ร่วมวิจัยอธิบายแก่เอเอฟพีว่า การลดการผลิตเทสโทสเตอโรนอย่างที่เป็นผลจากสารไบฟีนอลเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอัณฑะ และอาจจะส่งผลให้เป็นหมันได้
       
       ทั้งนี้ BPA เป็นสารที่ใช้กันทั่วไปในการผลิตขวดน้ำพลาสติก อาหารกระป๋อง บรรจุภัณฑ์อาหารสำหรับไมโครเวฟและบรรจุภัณฑ์สำหรับแช่แข็ง รวมถึงบัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต แผ่นซีดีและดีวีดี ซึ่งบางการศึกษาเผยว่าสารดังกล่าวมีความเกี่ยวโยงกับปัญหาระบบสมองและระบบประสาท ความบกพร่องในการสืบพันธุ์และโรคอ้วน อีกทั้งในการศึกษาเมื่อปี 2013 ระบุว่า ทารกในครรภ์ที่ได้รับสารดังกล่าวอาจจะเป็นมะเร็งเต้านมได้เมื่ออายุมากขึ้น ขณะที่การศึกษาเมื่อต้นเดือน ม.ค.2015 พบว่า ปลาที่ได้รับสารนี้แม้ในความเข้มข้นต่ำก็มีอาการสมาธิสั้น 
       
       หลายประเทศ อาทิ สหภาพยุโรป สหรัฐ และแคนาดา ห้ามใช้ BPA ในขวดนม ขณะที่ฝรั่งเศสห้ามใช้สารนี้ในบรรจุภัณฑ์อาหรทุกประเภท โดยเริ่มมาตรการตั้งต้นปีนี้เป็นต้นไป แต่สารไบฟีนอลเอฟและไบฟีนอลเอสถูกนำมาใช้ทดแทน ทว่าหลายหน่วยงาน ซึ่งรวมถึงมหาวิทยาลัยปารัสดิเดอโร สถาบันวิจัยสุขภาพและการแพทย์ฝรั่งเศส (French Institute of Health and Medical Research: Inserm) และคณะกรรมการพลังงานปรมาณูฝรั่งเศส ระบุว่า โครงสร้างทางเคมีของสารเหล่านี้แทบไม่แตกต่างกัน อีกทั้งยังไม่มีงานวิจัทั้งในมนุษย์หรือในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ทดสอบอันตรายของสารทดแทนทั้งสองนี้
       
       สำหรับงานวิจัยล่าสุด ได้ศึกษาผลกระทบของสารเคมีต่อเนท้อเยื่อลูกอัณฑะตัวอ่อนที่เพาะเลี้ยงในจานทดลอง ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่ใช้เมื่อปี 2012 เพื่อประเมินความเสี่ยงของ BPA ต่อการสืบพันธุ์ในเพศชาย ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเจ้าของผลงานวิจัยล่าสุดแถลงว่า งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแรกที่แสดงผลกระทบทางกายภาพเชิงลบของไบฟีนอลเอฟและเอสที่มีต่อมนุษย์

ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 มกราคม 2558

19
ผลวิจัยพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคชาวไทย ของบริษัท ดันน์ฮัมบี้ ล่าสุด พบว่า ผู้บริโภคชาวไทยหันมาซื้อสินค้าโดยใช้ปัจจัยด้านความสะดวกซื้อ และซื้อในแต่ละครั้งจะซื้อสินค้าจำนวนไม่มาก



Fri, 2014-11-07
http://www.positioningmag.com/content/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99

23
“สตาร์บัคส์” อีกหนึ่งร้านกาแฟยักษ์ใหญ่ระดับโลก และเชื่อว่าต้องเป็นแบรนด์กาแฟในดวงใจของใครหลายๆ คน ทั้งในประเทศไทย และทั่วโลก แต่เชื่อหรือไม่ว่าตั้งแต่ปี 1987 มา สตาร์บัคส์มีการปิดสาขาใหม่เฉลี่ย 2 สาขา/วัน และยังมีความลับของสตาร์บัคส์อีกหลายอย่างที่คุณอาจะไม่เคยรู้

1. สตาร์บัคส์มีเมนูลับด้วยนะ

ด้วยเทรนด์ของเชนร้านอาหารในประเทศสหรัฐอเมริกา (ร้านอาหารที่มีสาขา) ส่วนใหญ่จะมี “เมนูลับ” เป็นของตัวเองทั้งสิ้น เช่น ร้าน In-n-Out burger, Jamba Juice และ Chipotle สตาร์บัคส์จึงต้องเพิ่มเมนูลับให้กับแบรนด์ตัวเองบ้าง เป็นทั้งเครื่องดื่มกาแฟสูตรพิเศษ รวมไปถึงเมนูแปลกๆ อย่าง Cotton Candy Frappuccino และ Chocolate Pumpkin Latte นับว่าเป็นเมนูที่สร้างความว้าวได้เหมือนกัน

2. คุณสามารถสั่งเครื่องดื่มแบบ “ช็อต” ได้

หากเคยมองไปที่เมนูของสตาร์บัคส์แล้ว อาจจะเห็นแค่ว่าทางร้านมีเครื่องดื่มเพียงแค่ 3 ขนาดที่ระบุไว้ นั่นคือ Tall (12 ออนซ์), Grande (16 ออนซ์) และ Venti (20 ออนซ์) แต่คุณรู้หรือไม่ว่าทางสตาร์บัคส์มีอีกหนึ่งขนาดที่ไม่ได้ระบุไว้ในเมนูก็คือขนาดแบบช็อต (8 ออนซ์) นั่นเอง ซึ่งขนาดนี้ไม่ใช่เพียงแค่ราคาถูกกว่าขนาดอื่นเท่านั้น แต่ยังได้เครื่องดื่มที่เข้มข้นอีกด้วย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความรวดเร็วและราคาเบาๆ

3. ที่มาของชื่อ “สตาร์บัคส์”

สตาร์บัคส์เป็นชื่อที่ตั้งตามตัวละครจาก Moby Dick (โมบี้ ดิ๊ก) เป็นหนังสือที่โด่งดังมากในปี 1851 ผลงานโดย Herman Melville ซึ่งชื่อสตาร์บัคส์เป็นชื่อของหัวหน้าคู่หนุ่มสาวที่แล่นเรือ Pequod ซึ่งแต่เดิมผู้ก่อตั้งสตาร์บัคส์เคยได้พิจารณาจะตั้งเป็นชื่อ "Pequod" ด้วย

4. ใช้แต่โต๊ะกลมเท่านั้น

การจัดร้านก็เป็นอีกหัวใจหลักสำคัญของสตาร์บัคส์ หลายสิ่งหลายอย่างเขาต้องมั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีจริงๆ กลับไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าที่ร้านสตาร์บัคส์ส่วนใหญ่จะมีแต่ “โต๊ะกลม” นั่นเป็นเรื่องของความรู้สึก เพราะเหตุผลที่ว่าโต๊ะกลมจะให้ความรู้สึกเหงาเวลาดื่มกาแฟคนเดียวน้อยลง

5. สตาร์บัคส์แจกกากกาแฟแบบฟรีๆ

เชื่อว่ามีน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้ ซึ่งสตาร์บัคส์จะมีโครงการที่ว่า “Grounds For Your Garden” เพียงแค่ไปติดต่อร้านสตาร์บัคส์ในพื้นที่เพื่อของรับกากกาแฟที่พวกเขาใช้แล้ว โดยจะให้ในขนาด 5 ปอนด์ สามารถนำไปทำสวนได้อย่างสบาย ใช้ได้ทั้งกับพืชสวน และเป็นปุ๋ยหมัก ซึ่งกากกาแฟจะมีไนโตรเจนประมาณ 1.45% อีกทั้งยังมีแมกนีเซียม แคลเซียม โพแทสเซียม และแร่ธาตุอื่นๆ โครงการนี้ยังเป็นการช่วยลดขยะได้อีกด้วย

Wed, 2015-01-21
http://www.positioningmag.com/content/59200

24
แนวทางและวิธีการจัดการขยะในกรุงเทพฯ ล่าสุดผู้บริหารระดับสูง กทม.รับลูกสภากทม. เตรียมออกนโยบายการแปรสภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าขยะ ขณะเดียวกันก็เดินหน้าก่อสร้างเตาเผาขยะเพื่อผลิตเป็นกระแสไฟฟ้า พร้อมแนวทางร่วมมือทั้ง 50 เขต รณรงค์การคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางโดยเริ่มที่ตลาดสด
       
       ปีที่ผ่านมา กรุงเทพมหานคร จัดสรรงบประมาณในการจัดการขยะเป็นงบประมาณที่สูงสุดหากเทียบกับงบในส่วนอื่น อีกทั้งค่าจัดเก็บขยะตามบ้านเรือนหลังละ20 บาทต่อเดือน กทม. ก็ได้กลับมาเพียง 400 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือว่าน้อยมาก จึงจำเป็นต้องไปดึงภาษีจากส่วนอื่นมาใช้ในการจัดการขยะ

        จุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่าแนวทางการจัดการปัญหาขยะของกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารกรุงเทพมหานครให้ความสำคัญกับนโยบายในการจัดการขยะมาอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดไว้ในแผนการบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2556-2560 ในการทำให้กรุงเทพมหานครเป็นมหานครแห่งสีเขียว จะเห็นว่าที่ผ่านมาได้มีการส่งเสริมและรณรงค์การลดและคัดแยกขยะจากต้นตอแหล่งกำเนิด
       แนวโน้มขยะกทม. เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
       แต่จากข้อมูลการจัดเก็บขยะ กลับพบว่ากรุงเทพฯ มีขยะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2557 มีปริมาณมูลฝอยเก็บขนได้ประมาณ 12,500 ตัน/วัน ซึ่งต่ำกว่าข้อมูลการศึกษาของ JBIC (Japan Bank For International Cooperation) ที่คาดการณ์ว่าในปี 2557 จะมีขยะเกิดขึ้น 13,425 ตัน/วัน
       อย่างไรก็ตาม ต้องถือว่าใกล้เคียงกับความเป็นจริงเมื่อเทียบกับประชากรในกรุงเทพมหานครกว่า 10 ล้านคน ซึ่งแต่ละคนนั้นผลิตขยะคนละ 1.5 กิโลกรัม/วัน เราจึงมีความพยายามที่จะต้องสร้างจิตสำนึกและช่วยกันลดขยะตั้งแต่ต้นทางให้มากขึ้น
       จึงจะต้องมีการแก้ปัญหาที่ต้นทางไม่ใช่ปลายทางด้วยการแนะนำให้ประชาชนลด ปริมาณขยะ ด้วยการนำสิ่งของใช้แล้วมารีไซเคิลใหม่ รวมถึงในอนาคตจะมีการสร้างศูนย์การเรียนรู้รีไซเคิลขยะให้ประชาชนศึกษาวิธี จัดการขยะในบ้าน
       ทั้งนี้ ในแต่ละวันเมื่อมีการคัดแยกขยะเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่แล้วจะเหลือขยะประมาณ 9,900 ตัน/วัน โดยจะนำไปไว้ที่ศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยของกรุงเทพมหานคร 3 แห่ง ซึ่งได้กำจัดด้วย 2 วิธี คือ 1.หมักทำปุ๋ย (Compost) ที่ศูนย์กำจัดมูลฝอยอ่อนนุช จำนวน 1,200 ตัน/วัน คิดเป็น 13% จากขยะทั้งหมด 2.ฝังกลบอย่างถูกสุขลักษณะประมาณ 7,500 ตัน/วัน หรือ 87% โดยศูนย์ที่อ่อนนุชนำไปฝังกลบ 2,800 ตัน/วัน ศูนย์ที่หนองแขมนำไปฝังกลบ 3,500 ตัน/วัน และศูนย์ที่สายไหมนำไปฝังกลบ 2,400 ตัน/วัน นอกจากนี้ ในส่วนของขยะติดเชื้อที่มีประมาณ 30 ตัน/วัน จะมีการทำลายทุกวัน ส่วนขยะอันตราย อาทิ แบตเตอรี่ ถ่านไฟฉาย จะทำลายทุก 15 วัน

        ตั้งเป้าลดขยะฝังกลบเหลือ 50 %
       ล่าสุด กทม.วางเป้าหมายลดขยะที่จะนำไปฝังกลบให้ได้ และเหลือนำไปฝังกลบเพียง 50% ในอีก 18 ปีข้างหน้า จึงมีโครงการก่อสร้างโรงงานเตาเผาพลังงานความร้อนผลิตกระแสไฟฟ้าขนาด 300 ตัน/วัน ที่ศูนย์กำจัดขยะหนองแขม ซึ่งมีกำหนดเสร็จในปี 2558 การก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้การคัดแยกขยะขนาด 300 ตัน/วัน และโรงงานหมักปุ๋ยขนาด 600 ตัน/วันที่ศูนย์กำจัดขยะอ่อนนุช การศึกษาความเหมาะสมการก่อสร้างโรงงานเตาเผาพลังงานความร้อนผลิตกระแสไฟฟ้าขนาด 2,000 ตันที่ศูนย์กำจัดขยะหนองแขม และเดินระบบโรงงานแปรรูปวัสดุก่อสร้างขนาด 500 ตัน/วันที่อ่อนนุช
       ขณะเดียวกันวิธีการจัดเก็บขยะนั้น กทม.มีนโยบายให้ทุกเขตจัดเก็บขยะทุกวันในถนนสายหลัก ในเวลา 20.00-05.00 น. และให้เก็บให้เสร็จก่อน 06.00 น. ทั้งนี้ จะมีจุดที่เป็นจุดอับ ซึ่งรถขยะของสำนักงานเขตไม่สามารถเข้าถึงได้ ประมาณ 300 ชุมชน โดยชุมชนเหล่านี้ได้ตั้งเจ้าหน้าที่อาสาชักลากขยะ ทำหน้าที่ นำขยะออกจากชุมชนมาไว้ในจุดที่รถขยะของกทม.เข้าถึง
       นอกจากนี้ แนวทางสร้างสรรค์ กรุงเทพฯ ให้เป็นมหานครสีเขียว ยังได้เดินหน้าแผนการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในปี 2558 ให้เป็นไปตามเป้าหมายและนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพิ่มเติมอีก 5,000 ไร่ ในช่วงดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 โดยขอให้สำรวจพื้นที่ใต้ทางด่วน และบริเวณจุดขึ้นลงทางด่วนในเขตที่จะสามารถพัฒนาเป็นพื้นที่สาธารณะ รวมถึงประสานงานกับกรรมการหมู่บ้านจัดสรรต่างๆ เพื่อเข้าไปดำเนินการปรับปรุงพื้นที่สวนสาธารณะส่วนกลางในหมู่บ้านที่ปล่อยรกร้างไม่มีผู้ดูแล อีกทั้งเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่เขตชั้นในให้มากขึ้น เน้นทำสวนแนวตั้งหรือสวนดาดฟ้าอาคารสูงต่างๆ โดยประสานกับเจ้าของอาคาร คอนโด อาคารชุด

เมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่โรงกำจัดขยะมูลฝอย เขตสายไหม พล.ต.ท.ธีระศักดิ์ ง่วนบรรจง สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม สภากทม. เป็นประธานประชุมติดตามนโยบายโรงงานกำจัดขยะมูลฝอยท่าแร้ง (สายไหม) และการแก้ไขปัญหาขยะของสำนักสิ่งแวดล้อม โดยมีสุวรรณา จุ่งรุ่งเรือง รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม

        ยุทธศาสตร์เพิ่มมูลค่าขยะ
       กทม.ต้องมีการแก้ปัญหาที่ต้นทางไม่ใช่ปลายทางด้วยการแนะนำให้ประชาชนลด ปริมาณขยะ ด้วยการนำสิ่งของใช้แล้วมารีไซเคิลใหม่ รวมถึงในอนาคตจะมีการสร้างศูนย์การเรียนรู้รีไซเคิลขยะให้ประชาชนศึกษาวิธี จัดการขยะในบ้าน
       พล.ต.ท.ธีระศักดิ์ ง่วนบรรจง สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม สภากทม. บอกว่า ขณะนี้เสนอให้กทม.เน้นนโยบายการแปรสภาพเพิ่มมูลค่าของขยะ ซึ่งขณะนี้โรงกำจัดขยะหนองแขมได้เริ่มก่อสร้างเตาเผาขยะเพื่อผลิตเป็นกระแสไฟฟ้า ส่วนโรงกำจัดขยะหนองแขมและอ่อนนุช ได้มีโครงการนำขยะพวกวัชพืชกิ่งไม้มาทำปุ๋ยอินทรีย์ สามารถผลิตได้วันละ 100 ตันต่อวัน แต่จากรายงานพบว่ายังผลิตได้ไม่ถึงเป้าเนื่องจากปริมาณกิ่งไม้ยังมีไม่มากพอ จึงแนะนำให้เจ้าหน้าที่ไปสร้างความเข้าใจกับประชาชนเมื่อตัดกิ่งไม้ต้นไม้ไม่ควรนำมาเผาทิ้ง แต่ให้แจ้งมายังกทม.เพื่อจะได้เข้าไปบริการจัดเก็บให้ ซึ่งปุ๋ยที่ได้จะนำมาใช้ตามสวนสาธารณะของกทม. ทำให้ประหยัดงบได้หลายสิบล้านบาทต่อปี ซึ่งในอนาคตเห็นว่าการแปรสภาพขยะมาเพิ่มมูลค่าเป็นแนวทางที่จะช่วยประหยัดงบ ประมาณได้ ทั้งนี้จะนำข้อมูลไปหารือกับส.ก. เพื่อผลักดันเป็นนโยบายที่เป็นรูปธรรมให้สอดคล้องรัฐบาลต่อไป
       พร้อมกันนี้ได้เสนอแนวทางให้ 50 เขต ร่วมรณรงค์การคัดแยกขยะที่เกิดจากตลาดสดต่างๆ โดยทาง กทม.จัดนำถังขยะไว้บริการเพื่อคัดแยกขยะแต่ละประเภท และเสนอให้ดูแลสวัสดิการสุขภาพของเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับขยะ เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีในการทำงาน นอกจากนี้ ยังได้เสนอให้กทม.กำหนดนโยบายจัดตั้งโรงงานหรือธนาคารขยะ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนคัดแยกขยะแล้วนำมารีไซเคิลขายให้กับธนาคาร เพื่อเป็นรายได้ ซึ่งจะเป็นการช่วยลดปริมาณขยะอีกทางหนึ่ง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 มกราคม 2558

25
ระวัง ! ตู้เย็นทำลายคุณค่าผัก & ผลไม้ ฟังดูแล้วทะแม่งๆ ใช่ไหม
 
ปกติแล้วเรารู้เพียงว่า เมื่อซื้อผักผลไม้มาแล้ว ดูเหมือนวิธีที่เราคิดว่าดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด คือนำของทุกอย่างเก็บไว้ในตู้เย็น แต่เชื่อไหมว่า ตู้เย็นที่ให้ความเย็นมากเกินไป กลับกลายเป็นที่ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับการเก็บผักผลไม้สดบางชนิด
 
Zoe Wilson กับ Vanessa Hattersley สองนักกำหนดอาหารกล่าวว่า การยืดอายุผักผลไม้และรักษาคุณค่าทางอาหารให้ได้ครบถ้วนนั้น จำเป็นต้องรู้หลักการเก็บรักษาง่ายๆ บางอย่างด้วยเช่นกัน
 
พริกหวาน
จัดว่าเป็นผักคู่ครัวที่มักซื้อติดบ้านไว้เสมอ มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก เพราะมีวิตามินซีและเบตา–แคโรทีนสูงมาก โดยเฉพาะพริกแดงยังมีไลโคปีนสูงด้วย Hattersley เตือนว่า “หากพริกหวานของคุณเริ่มเหี่ยว อย่าเพิ่งโยนทิ้ง ให้หั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ แล้วใส่ในหม้อซุป สตู หรือสปาเกตตีซอสเนื้อ”
 
ส่วน Wilson ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “พริกหวานเป็นผักที่ไวต่อความเย็นเช่นเดียวกับถั่วและพริกขี้หนู เพื่อป้องกันไม่ให้พริกหวานได้รับความเย็นจัดจนกลายเป็นน้ำแข็งและนิ่มเละจนใช้ไม่ได้ ให้เก็บไว้ในตู้เย็นบริเวณที่ไม่เย็นจัดหรือมีอุณหภูมิสูงกว่าบริเวณอื่น”
 
ผักสลัด
ระวังอย่าเก็บผักสลัดในที่เย็นจัดเป็นอันขาด ยิ่งผักมีใบเขียวเข้มมากเท่าใด คุณค่าทางอาหารยิ่งสูงขึ้นเพียงนั้น และมีคุณค่าทางอาหารที่หลากหลายแตกต่างกันในแต่ละชนิด เช่น ผักโขมอุดมไปด้วยวิตามินซี เอ และแมงกานีส ขณะที่วอเตอร์เครสมีวิตามินซีและเอสูง ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นแหล่งพลังงานที่มีคุณค่าทางอาหารมาก เพราะเชื่อกันว่ามีสรรพคุณในการต่อต้านมะเร็ง
 
ผักสลัดประเภทผักกาดหอม ต้องเก็บในถุงพลาสติก มีรู แล้วเก็บในลิ้นชักตู้เย็น โดยวางไว้บนสุดเสมอ หากเอาของอื่นไปทับจะทำให้ผักกาดหอมช้ำเละอย่างรวดเร็ว
 
Hattersley ย้ำว่า ให้บริโภคผักสลัดที่ราดด้วยน้ำสลัดที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบด้วย เพราะ “น้ำมันช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น”
 
สมุนไพร
การเติมสมุนไพรสับละเอียดสักหนึ่งหรือสองช้อนโต๊ะลงในอาหารจานโปรด นอกจากช่วยชูรสทั้งกลิ่นและรสชาติให้อาหารจานนั้นหอมน่ารับประทานขึ้นมาในทันทีแล้ว ยังให้คุณประโยชน์อย่างเอกอุทั้งในแง่เสริมภูมิคุ้มกันและการย่อยอาหาร
 
สมุนไพรจัดว่ามีราคาแพงไม่เบา โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าต้องซื้อมาหนึ่งกำมือแล้วใช้เพียงหนึ่งหรือสองก้าน ที่เหลือโยนทิ้งไป ดังนั้น คุณจะกลายเป็นคนใช้เงินอย่างคุ้มค่าแน่นอน ถ้ารู้วิธีเก็บหรือยืดอายุสมุนไพรเหล่านี้ เพียงใส่ไว้ในถุงพลาสติกที่มีรูระบายอากาศโดยรอบ
 
Wilson อธิบายว่า สมุนไพรมีความบอบบางมาก โดยเฉพาะชนิดที่มีใบอ่อนนุ่มเป็นพิเศษอย่างผักชี สมุนไพรเกือบทั้งหมดต้องเก็บในตู้เย็น ยกเว้นโหระพาที่เก็บนอกตู้เย็น โดยแช่น้ำทั้งกิ่งในแก้วน้ำทรงสูง แล้ววางในครัวบริเวณที่เย็นเป็นพิเศษ “คุณยืดอายุสมุนไพรได้ด้วยการตัดแยกกิ่งให้มีความยาวพอประมาณ แล้วใส่ในถุงพลาสติกที่มีซิปล็อก จากนั้นนำไปไว้ในช่องแช่แข็งหรือฟรีซเซอร์”
 
ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดธัญพืช
ทั้งถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดธัญพืชได้ชื่อว่าเป็นอาหารว่างชั้นเลิศที่นอกจากอุดมด้วยไขมันดีที่เป็นแหล่งพลังงานแสนวิเศษแล้ว ยังมีวิตามินนานาชนิดที่คุณควรเพิ่มลงในจานสลัดหรืออาหารเช้าประเภทซีเรียล
 
Wilson กล่าวว่า การเก็บถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดธัญพืชเหล่านี้ไว้ในโหลแก้วแล้ววางไว้บนชั้นนั้น อาจแลดูสวยงามและเหมาะสมดีแล้ว แต่เมื่อโดนแสง มันกลับอายุสั้นลงมาก “หากเก็บในตู้เย็น จะอยู่ได้นานราว 4 เดือน และอาจนานถึง 6 เดือนด้วยซ้ำถ้าเก็บในช่องแช่แข็ง โดยเหตุที่ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดธัญพืชมีไขมันสูง จึงมีกลิ่นเหม็นหืนได้ง่าย ดังนั้น ถ้าบริโภคในสภาพสดใหม่ รสชาติย่อมดีขึ้นมากเลยทีเดียว”
 
อโวคาโด
เป็นผลไม้ที่เมื่อสุกแล้วมีเนื้อแสนนุ่มและรสมันอร่อย นอกจากมีการยืนยันแล้วว่า อโวคาโดช่วยปกป้องหัวใจรวมทั้งทำให้ความดันโลหิตลดลง ยังอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว กากใย วิตามินซีและอี
 
วิธีบ่มให้อโวคาโดสุกทำได้ไม่ยาก เพียงใส่ไว้ในถุงกระดาษสีน้ำตาล “คุณเร่งให้สุกเร็วขึ้นได้ด้วยการนำกล้วยหอมหนึ่งผลใส่ลงไปในถุงด้วย” Hattersley แนะนำ “เมื่อสุกแล้ว เราเก็บอโวคาโดในตู้เย็นได้อีกสองวัน”
 
ให้เลือกซื้ออโวคาโดเนื้อแน่นสีเขียวหรือม่วงอมดำ ซึ่งแก่จัดและจะสุกในอีกสองสามวัน เพื่อให้นำมาใช้งานได้ในสภาพที่สุกกำลังดีนั่นเอง เลือกผลที่ไม่มีตำหนิใดๆ รวมทั้งเปลือกไม่ปริแยกด้วย
 
กะหล่ำปลี
กะหล่ำปลีได้รับการยกย่องว่าเป็นยาครอบจักรวาล ช่วยรักษาโรคต่างๆ มาตั้งแต่ยุคโรมัน เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและกากใย จึงช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและรักษาอาการติดเชื้อต่างๆ
 
Wilson เปิดเผยว่า “ถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นบริเวณที่เย็นจัดที่สุด กะหล่ำปลีจะอยู่ได้นานถึงหนึ่งเดือน หากบริโภคกะหล่ำปลีเพียงวันละครึ่งถ้วย คุณจะได้รับวิตามินเคเต็มร้อยเลยทีเดียว ซึ่งดีต่อสุขภาพกระดูกของคุณมาก”
 
กะหล่ำปลีแดงมีวิตามินซีสูงกว่ากะหล่ำปลีสีเขียวถึง 6–8 เท่า
 
มะเขือยาวและแตงกวา
Hattersley บอกว่า “ผักทั้งสองชนิดนี้ไม่ชอบความเย็น ให้วางไว้บนชั้นในครัวก็เพียงพอแล้ว แต่ต้องระวังอย่าวางไว้ใกล้กับกล้วยและมะเขือเทศ ซึ่งเวลาสุกแล้วจะส่งกลิ่นฉุนออกมา ทำให้มะเขือเทศและแตงกวาดูดกลิ่นเข้าไปด้วย”
 
กระเทียม
Wilson แนะเคล็ดลับว่า ให้เก็บในหม้อดินเผาใบเล็ก ๆ ที่ทำให้กระเทียมเย็น และอยู่ได้นานขึ้น ไม่จำเป็นต้องเก็บในตู้เย็น
 
ผลไม้เมืองร้อน
Wilson กล่าวว่า “มะละกอ สับปะรด มะม่วง เลมอน และมะนาว ล้วนเป็นผลไม้ที่ไวต่อความเย็น ตู้เย็นทำให้ผลไม้เหล่านี้เน่าเร็วขึ้น ให้วางในถาดผลไม้แล้วตั้งบนโต๊ะจะดีที่สุด”
 
 
ที่มา: นิตยสาร GoodHealth
Column: Well – Being
เรียบเรียง: ดรุณี แซ่ลิ่ว

Submitted by Darunee Sae-liew on Tue, 11/25/2014
http://www.gotomanager.com/content/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%95%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89

26
เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีประสบการณ์ที่ว่า จู่ๆ เกิดนึกอยากอาหารบางประเภทขึ้นมาอย่างติดหมัด ถึงขนาดลงทุนขับรถระยะทางไกลไปยังร้านสะดวกซื้อที่เปิดบริการ 24 ชั่วโมง เพื่อซื้อคุกกี้ยี่ห้อที่เจาะจงต้องมีช็อกโกแลตและครีมสอดไส้อย่างที่ชอบเท่านั้น
 
พฤติกรรมความอยากอาหารนี้ จัดว่ามีความเป็นสากลที่เกิดได้กับทุกคน โดยเฉพาะคุณสาวๆ อายุระหว่าง 18–35 ปี ซึ่งมีงานวิจัยระบุว่า ทุกคนยอมรับว่าในรอบปีที่ผ่านมา ต่างมีประสบการณ์อยากอาหารอะไรสักอย่างหนึ่งมาแล้วทั่วหน้า
 
เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์และนักกำหนดอาหาร ได้เปิดเผยกลไกที่ทำให้เกิดความรู้สึกอยากอาหาร และค้นพบวิธีควบคุมความอยาก ทั้งที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นและในระยะยาวได้ด้วย
 
ความอยาก (อาหาร) คืออะไร
Marcia Pelchat, Ph.D., แห่ง Monell Chemical Senses Center ที่ฟิลาเดลเฟีย อธิบายว่า “นักวิจัยส่วนใหญ่ให้นิยามความอยากว่า เป็นความปรารถนาอย่างรุนแรงที่จะบริโภคอาหารนั้นๆ ให้ได้ จนเกือบจะเรียกว่าเป็นความหมกมุ่นก็ว่าได้ คือจะคิดถึงอาหารนั้นๆ อยู่ตลอดเวลา”
 
เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า มันไม่ใช่ความหิว “เมื่อคุณรู้สึกหิว อาจมีอาหารที่ชอบเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่อาหารที่บริโภคอาจมีความหลากหลายกว่า ขณะที่ความอยากมีความจำหรือความคาดหวังในอาหารนั้นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง และทำให้คุณพึงพอใจในเวลานั้น เช่น คุกกี้ยี่ห้อโปรดที่ต้องมีช็อกโกแลตและครีมสอดไส้อย่างที่เคยบริโภคเท่านั้น”
 
ที่สำคัญ ความอยากไม่ใช่การส่งสัญญาณความต้องการอาหารชนิดหนึ่งชนิดใด “แต่เป็นประสบการณ์เชิงจิตวิทยา”
 
ความอยากมาจากไหน
ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเห็นพ้องกันว่า ความอยากเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ความจำ และการตอบสนองโดยสัญชาตญาณต่อสิ่งที่ได้บริโภคไปเมื่อไม่นานมานี้ ผลการศึกษาหลายชิ้นบ่งชี้ว่า ความอยากและยาเสพติด ล้วนก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อสมองบริเวณเดียวกัน นั่นคือ hippocampus, caudate และ insula
 
Lauren Slayton, R.D., ผู้ก่อตั้งสถาบัน Foodtrainers ที่นิวยอร์กซิตี้ และผู้เขียนหนังสือ The Little Book of Thin กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณรู้สึกอยากอาหารที่ทำให้คุณมีประสบการณ์แห่งความสุขขึ้นอีก
 
สอดคล้องกับที่ Pelchat ชี้ว่า ไม่มีใครอยากอาหารที่ไม่เคยบริโภคมาก่อน คุณต้องเคยเรียนรู้มาแล้วว่า อาหารนั้นๆ รสชาติเป็นอย่างไร จึงเกิดความรู้สึกอยากบริโภคอีกในภายหลัง
 
Pelchat ยังกล่าวต่อไปว่า นอกจากอาหารอร่อยถูกปากที่ทำให้อยากบริโภคอีก ความเคยชินจากการบริโภคอาหารซ้ำๆ ต่อเนื่องกัน ก็ทำให้คุณอยากอาหารได้เช่นกัน เห็นได้จากการทดลองให้กลุ่มตัวอย่าง “บริโภคอาหารเหลวน่าเบื่อ” ติดต่อกัน 5 วัน เธอประหลาดใจที่พวกเขาอยากอาหารน่าเบื่อนี้อีก และซื้อติดมือกลับมาอีก 6 กล่อง เป็นการยืนยันว่า “บางครั้งการที่คุณนึกอยากอาหารชนิดนั้นๆ ไม่ได้เป็นเพราะคุณติดใจในรสชาติความอร่อย แต่เป็นเพราะคุณเคยชินกับการได้บริโภคอาหารนั้นๆ เช่น การที่คุณเคยชินกับการบริโภคข้าวโอ๊ตเป็นอาหารเช้าทุกวันนั่นเอง”
 
ความอยากอาหารยังเกิดขึ้น เมื่อคุณถูกจำกัดอาหาร หรือถูกห้ามบริโภคอาหารนั้นๆ ซึ่ง Pelchat และนักวิจัยคนอื่นๆ เปิดเผยผลการวิจัยว่า คนมักอยากในรสชาติของอาหารที่ถูกห้ามบริโภค เช่น ห้ามกลุ่มตัวอย่างบริโภคช็อกโกแลตรสโปรดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ พวกเขานอกจากจะอยากบริโภคช็อกโกแลตรสนั้น ยังรู้สึกหงุดหงิดด้วย ทั้งที่บริโภคอาหารอื่นๆ ได้เต็มที่ และไม่ขาดสารอาหารด้วย
 
วิธีควบคุมความอยาก (อาหาร)
ผลการศึกษาของศูนย์  Jean Mayer USDA Human Nutrition Research Center on Aging  แห่งมหาวิทยาลัยทัฟต์ ระบุว่า ร้อยละ 94 ของกลุ่มตัวอย่างยอมรับว่า ยังรู้สึกอยากอาหารระหว่างเข้าคอร์สควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดนาน 6 เดือนแต่พวกเขายังสามารถลดน้ำหนักตัวได้ ด้วยการเรียนรู้ที่จะควบคุมความอยาก
 
Slayton กล่าวว่า สิ่งสำคัญอยู่ที่คุณจัดการกับความรู้สึกกระวนกระวายใจ เมื่อเกิดความอยากอาหารได้ดีเพียงใด
 
Evan Forman, Ph.D., ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเดร็กเซล และผู้เชี่ยวชาญด้านความอยากอาหารแห่ง Lab for Innovations in Health–Related Behavior Change สรุปว่า เทคนิคการควบคุมความอยากอาหาร มีลักษณะเฉพาะตัวพอๆ กับความอยากอาหาร คุณจึงต้องลองผิดลองถูก เพื่อหาวิธีที่เหมาะกับตนเองให้ได้
 
“เทคนิคที่แตกต่างย่อมเหมาะกับแต่ละคน คุณจึงต้องหาวิธีที่ดีที่สุดให้กับตนเองให้ได้”
 
ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งแนะนำว่า ให้คุณเล่นเกมอะไรสักอย่างหนึ่งก่อนจะถูกความอยากอาหารครอบงำ แล้วคุณจะต่อต้านความอยากได้ดีขึ้น นั่นคือ คุณต้องตัดสินใจว่า จะต่อสู้กับความอยาก หรือจะยอมแพ้ แล้วรีบปฏิบัติตามความอยากโดยทันที ซึ่งถ้าคุณทำอย่างถูกต้องเหมาะสม จะเลือกวิธีใดก็ไม่ผิดกติกา
 
ที่มา : นิตยสาร Shape
Column: Well – Being
เรียบเรียง: ดรุณี แซ่ลิ่ว


Submitted by Darunee Sae-liew on Tue, 01/20/2015
http://www.gotomanager.com/content/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%94

27
“การศึกษาต้องเริ่มต้นด้วยความสำคัญของนักเรียน และจบด้วยความสำคัญของนักเรียน” คำกล่าวของดร.ป๋วย อึ๊งภาภรณ์ ที่เคยกล่าวไว้ บ่งบอกถึงความสำคัญของผู้เรียนเป็นหลัก การศึกษานับว่ามีความสำคัญมากต่อการพัฒนาบุคลากรตลอดจนไปถึงเป็นพื้นฐานของการพัฒนา ส่วนอื่นๆ เพราะไม่ว่าจะทำการพัฒนาส่วนใดต้องเริ่มมาจากการพัฒนาคนเสียก่อน
การพัฒนาคนสามารถทำได้หลายๆ รูปแบบ อย่างที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาคนคือการให้การศึกษา ดังนั้นการพัฒนาประเทศต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาคนโดยต้องคำนึงถึงการศึกษาเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของไอทีครองเมืองนี้
 
การศึกษาถือว่าเป็นหัวใจและเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาคน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ คำที่กล่าวไว้ว่า “กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว” อาจจะช้าไปด้วยซ้ำ เพราะคนเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ก่อนที่จะถึงวัยเด็ก เรียนระดับประถม  มัธยม และอุดมศึกษา ทั้งที่ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการศึกษามาโดยตลอด
 
จากยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งแต่ฉบับที่ 1 จนถึงฉบับที่ 11 ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2555–2558) และยุทธศาสตร์หนึ่งที่สำคัญของแผนพัฒนาฉบับในปัจจุบัน ก็คือการพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน ที่มีเป้าหมายให้จำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 12 ปี
 
เวลาเกือบ 15 ปีแล้ว ตั้งแต่ประเทศไทยได้เริ่มมีการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ โดยมี พ.ร.บ.ปฏิรูปการศึกษา พ.ศ.2542 เป็นหลักสำคัญ แต่เมื่อเวลาผ่านมากว่า 1 ทศวรรษ ปัจจุบันอยู่ในช่วงทศวรรษที่ 2 ของการปฏิรูป (2552-2561) ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ทั้งจากคะแนนสอบวัดผลมาตรฐานกลาง (โอเนต) ที่เด็กไทยได้ต่ำกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ซึ่งถือเป็นวิชาสากล ที่เป็นตัวชี้วัดศักยภาพเด็กไทยในระดับนานาชาติ
 
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)  ได้เปิดเผยผลการศึกษาระบบการศึกษาไทย ภายหลังการปฏิรูปครั้งใหญ่ที่ผ่านมา พบว่ายังมีปัญหาอีกหลายประการ ทั้งในระดับหลักสูตร บุคลากรทางการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นครูหรือผู้บริหารสถานศึกษา รวมถึงความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรงบประมาณ เป็นต้น
 
ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาวิชาการสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ได้เคยกล่าวตอนหนึ่งในการเสวนาชำแหละโครงสร้างการศึกษาไทย  “ก ข ค ง ข้อนี้ไม่มีคำตอบ...หากคุณไม่เริ่มตั้งคำถาม” เมื่อปีที่แล้วว่า ระบบการศึกษาไทยเป็นระบบเดียวที่ใช้กับเด็กเยาวชนทั้งประเทศ เปรียบได้กับรองเท้าเบอร์เดียวที่หวังจะให้ทุกคนสวมใส่ โดยไม่คำนึงถึงความเหลื่อมล้ำ และความแตกต่างตามบริบทสังคม
 
ขณะที่กระบวนการสอนยังติดอยู่กับกรอบ ไม่ยืดหยุ่น ทั้งหลักสูตร วิธีสอน และการวัดผล จึงถือเป็นความล้มเหลวของระบบการศึกษาไทย ซึ่งจะทำให้มีเด็กและเยาวชนที่พร้อมจะหลุดออกจากระบบการศึกษาจนกลายเป็นปัญหาสังคมฉุดรั้งให้ความพยายามยกระดับคุณภาพการศึกษาไม่ประสบความสำเร็จ”  ซึ่งล้วนเป็นสิ่งสะท้อนของภาพที่เป็นจริง
“เด็กไทยเรียนหนักที่สุดในโลก” เป็นคำพูดที่ไม่ผิดไปจากความเป็นจริงนัก ในขณะที่อีกหลายประเทศในเอเชียก็มีค่านิยมในการศึกษาเป็นไปในทางเดียวกัน คือให้เวลากับชั่วโมงเรียนค่อนข้างมาก ทั้งในโรงเรียนและการไปกวดวิชากับติวเตอร์ภายนอก โดยมีจุดมุ่งหวังเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศให้ได้
 
World Economic Forum ได้ออกรายงานประจำปีการเปรียบเทียบขีดความสามารถในการแข่งขันได้ของประเทศต่างๆ ที่เลือกมาศึกษารวม 144 ประเทศ รายงานนี้ ชื่อว่า “Global Competitive Report 2014-2015” โดยสรุปปรากฏว่าขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยอยู่เป็นอันดับที่ 31 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน ตามหลังสิงคโปร์ซึ่งอยู่อันดับ 2 ของโลก และมาเลเซีย อันดับ 20
 
แต่ในทางกลับกัน ตัวชี้วัดด้านการศึกษา ปี 2557 คุณภาพของการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยอยู่ที่ อันดับ 7 ของอาเซียน (ปี 2556 อยู่อันดับ 6) และคุณภาพของระบบอุดมศึกษา อยู่ที่อันดับ 8 และทั้งการศึกษาพื้นฐานและอุดมศึกษาของไทยอยู่อันดับต่ำกว่าลาว ขณะที่อุดมศึกษาไทยอยู่ต่ำกว่าทั้งลาวและกัมพูชา แม้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัวประชากร (GDP per Capital) ไทยสูงเป็นอันดับ 3 ของกลุ่มอาเซียนก็ตาม ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า ประเทศที่ยากจนสามารถจัดการศึกษาได้ดีกว่า (จากตารางเปรียบเทียบดัชนีคุณภาพการศึกษาของประเทศสมาชิกอาเซียน)
 
ขณะที่ประเทศไทยใช้งบประมาณทุ่มในระบบการศึกษาอย่างมหาศาล  ด้วยงบการศึกษาที่สูงถึง 5 แสนล้านบาท/ปีสูงมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศกานา ซึ่งงบประมาณส่วนใหญ่ตกไปอยู่กับค่าจ้างบุคลากร ดังนั้นทำให้ผลที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนมีน้อย เป็นการลงทุนมาก แต่ได้ผลน้อย เนื่องจากงบประมาณดังกล่าวไม่ได้ถูกใช้อย่างตรงจุด
 
ปัญหาครูไม่พัฒนาตัวเอง แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครู แต่ไม่มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เด็ก ปัญหาการเมืองที่ลากยาวมานาน และรวมถึงการผันผวนและความไม่นิ่งของการเปลี่ยนรัฐบาลและปรับคณะรัฐมนตรีบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะต่างรัฐบาลหรือรัฐบาลเดียวกัน ทำให้ความต่อเนื่องของนโยบายการศึกษาชะงักงันและไม่ต่อเนื่อง ทำให้ระบบการศึกษาไทย “ถอยหลัง” ลงเรื่อยๆ
 
อีกทั้งหลักสูตรและตำราเรียนของไทยยังไม่สอดคล้องกับการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills) ซึ่งมีผลทำให้การเรียนการสอน ตลอดจนการสอบ ยังคงเน้นการจดจำเนื้อหามากกว่าการเรียนเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง
 
สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นมูลเหตุหนึ่ง ที่ว่าทำไมการศึกษาไทยถึงล้มเหลว…
 
ในขณะที่เปิดศักราชใหม่ 2558 นี้ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) คงต้องรับงานหนัก โดยเฉพาะงาน “ปฏิรูปการศึกษา” ซึ่งการปฏิรูปครั้งนี้นับว่าเป็นการปฏิรูปที่ใหญ่กว่าที่เคยทำมา เพราะต้องทำควบคู่ไปกับการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) ที่ใช้ในการปกครองประเทศ ส่งผลให้การปฏิรูปศึกษาถูกพูดถึงในมุมมองใหม่และกว้างขึ้น นั้นคือ “ปฏิรูปเพื่อมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ”
 
ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการในฐานะหน่วยงานด้านนโยบาย ประกาศร่างโรดแมป ปฏิรูปการศึกษา ปี 2558-2562 หลังหารือร่วมกับฝ่ายสังคมและจิตวิทยา คสช. สาระสำคัญ 6 ประเด็นของโรดแมป คือ การปฏิรูปครู, รื้อระบบบริหารบุคคล, กระจายโอกาสทางการศึกษา ปฏิรูประบบบริหารจัดการ, พัฒนาระบบผลิตกำลังคน ตามความต้องการแรงงานของประเทศ, ปฏิรูประบบการเรียนรู้, พัฒนาแหล่งเรียนรู้ใหม่ และปรับระบบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
 
และงานชิ้นใหญ่ที่เรียกว่า งานช้าง ที่จะเกิดกับการศึกษาของปี 2558-2559 นี้ ซึ่งเป็นแผนการเร่งด่วนที่ต้องขับเคลื่อนเป็นรูปธรรม 9 เรื่องได้แก่ 1. ปรับหลักสูตรปรับกระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิต ลดเวลาเรียนที่ซ้ำซ้อน ลดปัญหากวดวิชา 2. ปรับหลักสูตรอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาให้ตอบสนองต่อความต้องการของประเทศจูงใจสร้างค่านิยม ภาพลักษณ์ที่ดีให้กับคนเรียนอาชีวะ 3. ปรับโครงสร้าง ศธ. ให้สอดคล้องกับการกระจายอำนาจ โดยให้ส่วนกลางดูแลนโยบาย และแผนมาตรฐานการติดตามประเมินผล โดยให้สถานศึกษาบริหารแบบมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนมากขึ้น
 
นอกจากนี้จะขอให้มีการแยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ออกจาก ศธ. เพื่อให้การบริหารงานมีความคล่องตัว 4. พัฒนาครูดี ครูเก่ง 5. กระบวนการได้มาของผู้แทนและองค์กรครูต่างๆ 6. ระบบการเข้าศึกษาต่อต้องสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในแต่ละช่วงวัย  7. ส่งเสริมการเรียนการสอนทางไกล 8. ปรับระบบอุดหนุนรายหัวทุกระดับ ทุกประเภทให้เป็นธรรมมากขึ้น และ 9. จัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของประเทศ
 
การปฏิรูปการศึกษานี้จะประสบผลสำเร็จเช่นไร ภายใต้แผนเร่งด่วนภายในหนึ่งปี จะสามารถสางปมปัญหาและยกระดับการศึกษาขึ้นได้หรือไม่ อีกทั้งการเตรียมตัวเเข้าสู่ AEC ในปลายปีนี้ จะออกมาในรูปแบบใด คงต้องรอดู




Submitted by Wallapa Sanoachitt on Wed, 01/14/2015
http://www.gotomanager.com/content/%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%8B%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%81

28
สพฉ.ห่วงอุบัติเหตุปีใหม่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชี้สถิติเพิ่มขึ้น 12% หรือเกิด 100 ครั้ง มีคนเสียชีวิต 12 คน เตือนเส้นทางเสี่ยง สายอีสาน ให้ขับขี่ระวังบริเวณทางหลวงเส้นที่ 1 กม. 70 และทางขึ้นเขาแก่งคอย จ.สระบุรี เหตุเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
    ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จัดเสวนาเรื่อง “เปิดจุดเสี่ยง ปิดรอยโหว่ ลดสูญเสียอุบัติเหตุบนท้องถนน สัญจรปีใหม่ไปกลับปลอดภัย” นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้นเป็น 2 เท่า โดยในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 27 ธ.ค.2556-2 ม.ค.2557 มีการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินรวม 25,959 ราย จังหวัดที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือ จ.นครราชสีมา รองลงมาคือ เชียงใหม่ ชลบุรี บุรีรัมย์ และขอนแก่น ตามลำดับ ซึ่งจากการวิเคราะห์สาเหตุพบว่ามี 3 ปัจจัย คือ 1.เกิดขับขี่รถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร หรือมีอาการอ่อนล้า หลับใน 2.สภาพรถไม่พร้อมต่อการเดินทาง และ 3.ปัจจัยด้านถนนและสิ่งแวดล้อม ทางโค้ง ทางลาด ทางแยก สำหรับการรับมือเพื่อลดอุบัติเหตุในช่วงปีใหม่ สพฉ.ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข การประสานระหว่างศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการทางการแพทย์ฉุกเฉินทั่วประเทศ 78 ศูนย์ สายด่วน 1669 พร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง และจัดเรือ อากาศยานไว้พร้อมรับผู้ป่วยฉุกเฉินกรณีเร่งด่วน
    ด้าน ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย AIT กล่าวว่า การเกิดอุบัติในช่วงเทศกาลปีใหม่มีปัจจัยแตกต่างกันออกไป ซึ่งในช่วงที่ต้องเฝ้าระวัง 7 วันอันตราย แบ่งเป็นลักษณะของการเกิดเหตุ ในช่วงวันที่ 1-2 และวันที่ 6-7 ลักษณะของการเกิดอุบัติเหตุช่วงวันที่ 1-2 เกิดขึ้นที่ถนนสายหลัก สาเหตุหลักมาจากการขับรถเร็ว ส่วนวันที่ 3-5 จะเกิดที่ถนนสายรอง และสาเหตุมาจากเมาแล้วขับ ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย พบว่า 80% ของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในปีที่ผ่านมานั้น เกิดขึ้นกับรถมอเตอร์ไซค์ สาเหตุหลักคือเมาแล้วขับ และ 10-15% เกิดขึ้นกับรถปิกอัพ สาเหตุคือการขับรถเร็ว
    นอกจากนี้ยังมีสถิติที่น่าตกใจคือ ในการเกิดอุบัติเหตุตั้งแต่ปี พ.ศ.2551-2557 ความรุนแรงในการเกิดเหตุเพิ่มมากขึ้นถึง 12% ซึ่งหมายความว่าในการเกิดอุบัติเหตุ 100 ครั้งจะมีคนเสียชีวิต 12 คน สาเหตุหลักการสูญเสียมาจาก 3 ส่ว อาทิ การไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย การขับรถด้วยความเร็วสูง และอันตรายจากสิ่งกีดขวางข้างทาง อาทิ ป้าย ต้นไม้ เกาะกลาง หรือคูไหล่ทาง เป็นต้น
    ดร.กัณวีร์กล่าวต่อว่า อยากฝากให้ระวังเส้นทางที่ประชาชนจะต้องสัญจรในแต่ละภูมิภาคว่าที่มีหลายจุด ดังนี้ เส้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ ทางหลวงเส้นที่ 1 เส้นวังน้อยอยุธยา กิโลเมตรที่ 70 และเส้นที่ 2 คือทางขึ้นเขาแก่งคอยสระบุรี ซึ่งถนนช่วงนี้จะเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างบ่อย ส่วนขากลับภาคใต้ คือ ถนนทางหลวงหมายเลขที่ 35 เส้นพระราม 2 เพราะถนนเส้นนี้ประชาชนจะใช้ความเร็วในการขับรถค่อนข้างมาก จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุชนท้ายหรือรถตกข้างทางเป็นจำนวนมาก
    นอกจากนี้แล้วยังมีถนนทางหลวงหมายเลขที่ 41 เส้นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และจังหวัดชุมพร ซึ่งลักษณะเส้นทางเป็นภูเขาและโค้งที่เยอะจนทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และการเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้งนั้นก็สร้างการสูญเสียที่ค่อนข้างรุนแรง ส่วนประชาชนที่จะเดินทางไปภาคเหนือ ถนนที่ประชาชนจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือ ถนนทางหลวงหมายเลขที่ 32 ที่จะผ่านทางจังหวัดอุทัยธานีและจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อขึ้นไปยังจังหวัดอื่นๆ โดยถนนเส้นนี้จะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นผู้ใช้รถใช้ถนนควรศึกษาการเดินทางให้ละเอียดเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นด้วย
    นายธรรมรัตน์ อาจวารินทร์ เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยกู้ภัย มูลนิธิธรรมรัศมีมณีรัตน์ จ.ชลบุรี กล่าวว่า จังหวัดชลบุรีถือเป็นเส้นทางไปสู่ภาคตะวันออก ทำให้ช่วงวันหยุดยาวมีรถสัญจรค่อนข้างมาก โดยในพื้นที่ดังกล่าวมีจุดเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ 3 จุด คือ 1.ถนนทางเบี่ยงเข้าถนนเลี่ยงเมืองใกล้เคียงกับทางเข้านิคมอมตะนคร มีสภาพถนนสร้างความสับสนให้กับประชาชน จึงเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง 2.ถนนสาย 344 ที่เป็นทางลัดไปสู่จังหวัดระยอง ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ทำให้รถที่มาเร็วเสียหลัก และ 3.ถนนมอเตอร์เวย์ กิโลเมตรที่ 53 บริเวณเขาเขียว ซึ่งจุดนี้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง โดยเฉพาะรถตู้โดยสาร เนื่องจากขับด้วยความเร็วสูง
    ด้านนายธีรยุทธ มังกรสุวรรณ์ เจ้าหน้าที่ศูนย์วิทยุหน่วยกู้ภัยสว่างบริบูรณ์ฯ พัทยา และนักสื่อสารกู้ชีพ สพฉ. ประจำภาคตะวันออก กล่าวว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่พื้นที่พัทยาส่วนใหญ่จะเกิดจากการขับรถเร็ว และผู้ขับขี่เมาสุรา โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ จุดเสี่ยงอุบัติเหตุต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ บริเวณถนนสาย 36 ตรงข้ามสนามพีระเซอร์กิต สายกระทิงลาย-ระยอง  โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน
    นอกจากนี้ นายธีระ กุ๋ยเอี๊ยบ เจ้าหน้าที่มูลนิธิสว่างบริบูรณ์ฯ พัทยา และนักสื่อสารกู้ชีพ สพฉ. ประจำภาคตะวันออก กล่าวเสริมอีกว่า การเกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่ในพื้นที่พัทยา จุดที่มีความเสี่ยงมากและมักเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง คือบริเวณจุดยูเทิร์นต่างๆ อาทิ จุดยูเทิร์นหน้าโรงแรมเวฟอินทร์ จุดยูเทิร์นหน้าวัดบางละมุง จุดยูเทิร์นหน้าปั๊มน้ำมัน ปตท.ศูนย์พระเทพ และจุดยูเทิร์นบ้านพักคนชรา เนื่องจากจุดดังกล่าวไม่มีป้ายบอกทางที่ชัดเจน อีกทั้งไฟส่องสว่างไม่เพียงพอ.

ไทยโพสต์
26 December, 2014

29
สมัยนี้พนักงานเป็นใหญ่ค่ะ ผู้ที่เป็นผู้บังคับบัญชาหรือที่เรานิยมเรียกสั้นๆ ว่า “นาย” (Boss) ต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในเรื่องการบริหารบังคับบัญชาลูกน้อง เพราะถ้าเขาไม่พอใจ เขาก็สามารถลาออกไปทำงานกับองค์กรอื่นได้ง่ายๆ ปลายปีอย่างนี้ยิ่งต้องร

หนึ่งในปัจจัยลำดับต้นๆ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจที่จะอยู่หรือจะไปของพนักงานก็คือความประพฤติของ “นาย” เอง ผู้บริหารระดับสูง และเจ้าของกิจการควรใช้เวลาช่วงปลายปีประเมินพฤติกรรมของตนเองและผู้บริหารทุกระดับว่าทำตัวเป็นนายได้เหมาะสมมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะเรื่องความสามารถในการจูงใจพนักงานให้มีความกระตือรือร้น สนุกกับการทำงาน และมีความคิดสร้างสรรค์ดีๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง

คนทำงานยุคใหม่นี้เป็นคนรุ่น Generation Y และบางตำราก็เรียกว่าเป็นพวก Millennial จะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ สิ่งหนึ่งที่นายทั้งหลายที่อาวุโสกว่าพึงระลึกไว้คือ คนรุ่นนี้ต้องการทำงานที่มีความหมาย งานที่ท้าทาย และมีนายที่สนใจรับฟังความเห็นของเขา สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวในอาวุโส นอกจากนี้เขายังอยากได้นายที่ทำตัวเหมือนเป็นพี่ที่มีความรู้และประสบการณ์สามารถให้คำแนะนำและโค้ชพวกเขาให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเห็นได้ว่าบทบาทของนายมีความสำคัญในการจูงใจพนักงานให้มีความผูกพันกับงานและองค์กรมากทีเดียว

มาเรียนรู้กันดีไหมคะว่าพฤติกรรมอะไรบ้างที่นายทั้งหลายสามารถพิฆาตแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน?

เริ่มจากการบริหารแบบที่เรียกว่า “Micromanage” หรือที่บางท่านแปลว่า “บริหารแบบจุลภาค” หมายถึงนายที่มักเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองมากกว่าลูกน้อง และเพราะความที่ไม่วางใจในความสามารถของลูกน้องทำให้นายประเภทนี้ชอบจับตาดูการทำงานของลูกน้องแทบทุกย่างก้าวที่เขาขยับจะทำงาน คอยตรวจสอบประเมินซักไซ้บ่อยมากจนพนักงานอึดอัดระอาใจ นายประเภทนี้จะสั่งงานอย่างละเอียดทุกขั้นตอนแทบไม่เหลือโอกาสให้เขาได้ใช้ความคิดของตนเองในการทำงานเลย มีแต่รับคำสั่งอย่างเดียว แล้วก็ต้องอดทนกับการที่นายจะโผล่หน้ามาเฝ้าดูการทำงานหรือเรียกให้รายงานให้นายฟังอย่างถี่ยิบ นายประเภทนี้มักไม่ชอบกระจายอำนาจ (Delegate) แต่ชอบรวบอำนาจมาไว้ที่ตัวเองคนเดียว มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่มีอำนาจตัดสินใจ และความที่จู้จี้จุกจิกในเรื่องฝอยๆ ทำให้นายมักลืมมองภาพใหญ่ ใครที่มีนายแบบนี้จะไม่มีโอกาสได้พัฒนาตนเองให้เติบโตมีภาวะผู้นำที่ดีขึ้น เพราะนายไม่เคยให้โอกาส ไม่ต้องคิดนอกกรอบเพราะนายไม่ไว้ใจให้คิด นายแบบนี้ใครอยากได้? ยกให้เลยค่ะ

จับผิดเก่ง เห็นแต่ความผิดของลูกน้อง คนเรามีทั้งด้านดีและไม่ดี ทำผิดได้ก็ทำถูกได้ มีมืดก็มีสว่าง แต่นายบางคนมีสายตามองเห็นแต่ความผิดที่ลูกน้องทำ จับผิดแต่ไม่รู้จักจับถูกมั่ง แบบนี้ลูกน้องที่พยายามจะทำความดีแก้ไขข้อผิดพลาดคงยกธงขาวขอถอยจากการทำความดีที่นายไม่เคยมองเห็น อย่าเป็นคนที่มองเห็นแต่โทษของลูกน้องอย่างเดียวเพราะมันทำให้เขาหมดกำลังใจและแรงจูงใจที่จะทำงาน เลิกพูดตอกย้ำความผิดแต่หนก่อนของลูกน้อง มองไปในอนาคตแล้วร่วมกันคิดว่าจะช่วยกันทำงานชิ้นต่อไปให้ดีขึ้นได้อย่างไรน่าจะสร้างสรรค์กว่า

ปิดกั้นไม่ฟังความเห็นของลูกน้อง (Dismiss ideas of your subordinates) แม้ว่าลูกน้องบางคนจะไม่เคยมีความเห็นที่เฉียบคม แต่นายที่ดีย่อมมีมารยาทที่จะรับฟังความคิดของพวกเขา และชี้แนะว่าจุดไหนเป็นจุดที่ลูกน้องควรปรับปรุงเพื่อที่ความเห็นของเขาจะมีคุณภาพดีขึ้น นายหลายคนเชื่อว่าตัวเองรู้ดีกว่าลูกน้อง และหลายครั้งนึกว่าตัวเองเข้าใจหรืออ่านความคิดลูกน้องได้ทะลุปรุโปร่งโดยที่ไม่จำเป็นต้องฟังลูกน้องพูดให้จบ ระวังนิสัยนี้ให้ดีเพราะมันทำให้นายไม่ได้รับฟังเรื่องที่ควรฟังหลายเรื่อง ที่สำคัญคือ มันทำให้ลูกน้องที่ฉลาดและรู้ทันความคิด (ผิดๆ) ของนายเลิกสื่อสารกับนายแล้วแอบไปทำอะไรตามความเชื่อของตนเองโดยที่นายไม่รู้ ลูกน้องเก่งๆ อาจนำไอเดียดีๆ ของเขาไปเล่าให้ผู้บริหารคนอื่นฟัง แล้วอาจขอย้ายแผนกไปทำงานกับนายคนอื่นที่ฟังเขา หรือไปทำกับคนอื่นนอกบริษัทก็ได้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวว่า “ถ้าในตอนแรกความคิด (ใหม่) มันไม่ฟังดูพิลึก นั่นอาจหมายความว่าไม่มีความหวังสำหรับมัน” ดังนั้นอย่าเพิ่งรีบตัดสินความคิดที่ฟังแล้วดูแปลกๆ ของลูกน้อง เพราะมันอาจเป็นความคิดที่เยี่ยมยอดก็ได้

ไม่รักษาคำพูด เรื่องนี้สำคัญมากค่ะ ลองคนเราไม่ทำในสิ่งที่พูดไว้หรือให้สัญญากับใครไว้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ไม่มีใครอยากคบด้วย และเมื่อเป็นนายที่ไม่รักษาคำพูด ไม่นานลูกน้องก็จะไม่ไว้วางใจ ไม่เชื่อถือ และไม่ต้องการทำงานด้วย ทำให้ลูกน้องฝันค้าง คล้ายๆ กับการไม่รักษาคำพูด แต่กวนอารมณ์ยิ่งกว่าเพราะนายประเภทนี้ชอบวาดฝันให้ลูกน้องฝันหวาน แต่พอถึงเวลาก็ไม่สามารถทำฝันนั้นให้เป็นจริง ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะนายไม่รักษาคำพูด นายอาจจะอยากรักษาคำพูดก็ได้ แต่นายไม่มีความสามารถทำให้ฝันของพนักงานที่ตนเองเป็นคนไปจุดประกายให้เป็นความจริงได้ เจอฝันค้างบ่อยๆ ลูกน้องก็จะเลิกเชื่อถือในตัวนาย และเขาก็จะเลือนหายไปจากนายในที่สุด ปล่อยนายให้ฝันร้ายคนเดียวแทน

ชอบเรียกประชุมโดยไร้สาระ นายหลายคนเอะอะอะไรก็ชอบเรียกประชุมเพื่อปรึกษาหารือโดยที่หลายครั้งไม่จำเป็น แค่ยกหูโทรศัพท์พูดกับคนสองคน หรืออีเมลหาคนบางคนก็น่าจะได้ข้อสรุปแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกคนมากมายมาประชุมให้เสียเวลา ลูกน้องเขาจะได้มีเวลานั่งคิดนั่งทำงานให้รอบคอบอย่างต่อเนื่อง บางวันต้องประชุมทั้งวันจนไม่มีเวลาทำงาน ต้องเอางานมาทำที่บ้านแทน หรือไม่ก็ต้องทำงานจนดึกดื่น มันเป็นชีวิตการทำงานที่น่าเบื่อถ้าวันๆ ต้องนั่งประชุมในเรื่องที่ไม่มีสาระเท่าที่ควร คนเป็นนายต้องสังวรเรื่องประชุมให้ดี อย่าเรียกประชุมพร่ำเพรื่อ มันทำให้คนหมดความกระตือรือร้นที่จะทำงานค่ะ

ประเมินผลงานผิดพลาด ความผิดข้อนี้ของนายเป็นข้อหาอุกฉกรรจ์เลยค่ะ ไม่มีอะไรที่ทำร้ายจิตใจและทำลายกำลังใจของคนที่ทุ่มเททำผลงานได้แย่เท่ากับการที่นายประเมินผลงานของเราผิด นี่เป็นเหตุผลลำดับต้นๆ ที่ทำให้คนเก่งลาออกจากงานเพราะรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม นายที่ดีทุกคนต้องใช้วิจารณญาณที่รอบคอบและมีทั้งเครื่องมือและกระบวนการประเมินผลงานของลูกน้องทุกคนที่เที่ยงตรงและเที่ยงธรรม อย่าได้เล่นพรรคเล่นพวก เพราะในอนาคตอันใกล้ที่ทรัพยากรคนเก่งหายากขึ้นทุกทีๆ องค์กรไม่สามารถอยู่ได้ถ้ามีแต่ลูกท่านหลานเธอที่ทำงานไม่ได้เรื่อง องค์กรจะอยู่ได้เพราะมีพนักงานคนเก่งคนดีที่ไม่จำเป็นต้องมีจำนวนมากแต่มีคุณภาพคับแก้วค่ะ

และสุดท้ายก็คือ การเร่งงานให้เสร็จเร็วเกินไป นายแทบทุกคนอยากเห็นผลงานเสร็จเร็วๆ แต่ต้องไม่ลืมให้เวลาในการทำงานที่เพียงพอแก่ลูกน้องด้วย งานบางอย่างถ้าเร่งเกินไป (โดยที่ไม่จำเป็นต้องเร่งขนาดนั้น) ก็จะไม่ได้ผลดีพอ การที่เร่งลูกน้องให้ทำงานทุกชิ้นให้เสร็จเร็วที่สุดเป็นเวลาต่อเนื่องกันนานๆ ทำให้พนักงานอ่อนล้า เหมือนขุนศึกที่แม้มีม้าฝีเท้าดี แต่ถ้าเฆี่ยนให้ม้าต้องเร่งฝีเท้าโดยไม่มีหยุดหย่อน ม้าก็คงทรุด และสำหรับพนักงานที่เป็นคนที่เหนื่อยเป็น เขาอาจล้าและย่อท้อเบื่องานแบบกู่ไม่กลับแบบที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Burn out” (มอดไหม้จนหมดไฟ) นั่นเลย

นี่คือพฤติกรรมแปดประการที่ทำให้นายกลายเป็นมือสังหารแรงจูงใจพนักงานให้มอดสลายได้อย่างรวดเร็ว ต้องรีบกำจัดจุดอ่อนเหล่านี้ก่อนลูกน้องเลือนหายไปนะคะ

22 ธันวาคม 2557
โพสต์ทูเดย์

30
นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวในการประชุมผู้บริหารสำนักสิ่งแวดล้อมและหัวหน้าฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ 50 สำนักงานเขต ถึงปัญหาความเค็มของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจากการขึ้นลงของน้ำทะเล

ซึ่งส่งผลกระทบต่อการนำน้ำมาใช้ในการรดน้ำต้นไม้ในพื้นที่กรุงเทพฯและสวนสาธารณะ โดยปัจจุบันเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนพระราม 6 มีการระบายน้ำจากเขื่อนลงมาในปริมาณน้อย เนื่องจากพื้นที่ป่าต้นน้ำ 25 ลุ่มน้ำภาคกลางตอนบนและอีสานถูกทำลายเป็นอย่างมาก อีกทั้งต้องสำรองน้ำไว้ใช้ในภาคการเกษตรทำให้ปริมาณน้ำที่ปล่อยออกมาไม่สามารถผลักน้ำเค็มสู่ทะเลได้ ซึ่งขณะนี้กทม.แก้ปัญหาด้วยการนำน้ำที่ผ่านการบำบัดจากโรงบำบัดน้ำเสียทั้ง 7 แห่งในกรุงเทพมหานครมาใช้รดน้ำต้นไม้แทน โดยบริหารเส้นทางการลำเลียงน้ำจากโรงบำบัดน้ำเสียไปยังพื้นที่เขตใกล้เคียง รวมถึงปริมาณน้ำที่จะสามารถใช้ได้ต่อวันให้เพียงพอกับความต้องการในแต่ละพื้นที่เขต พร้อมทั้งทำหนังสือเตือนสำนักงานเขตถึงค่าความเค็มของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อป้องกันไม่ให้นำน้ำมาใช้รดต้นไม้

ทั้งนี้รองผู้ว่าฯกทม.ได้มอบหมายให้สำนักสิ่งแวดล้อมประสานสำนักการระบายน้ำเพื่อตรวจสอบความเค็มและคุณภาพน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงคุณภาพน้ำที่ผ่านการบำบัดจากโรงบำบัดน้ำเสียด้วยว่าอยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อต้นไม้หรือไม่ พร้อมทั้งแจ้งให้ฝ่ายรักษาความสะอาดและสิ่งแวดล้อม 50 สำนักงานเขตทราบเพื่อป้องกันไม่ให้นำน้ำเค็มมาใช้รดน้ำต้นไม้จนส่งผลให้กล้าไม้และต้นไม้ตายลง

อนึ่งจากรายงานสถานการณ์ความเค็มของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาของสำนักการระบายน้ำทางเว็บไซต์ http://dds.bangkok.go.th แจ้งค่าความเค็มของแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งตรวจวัดเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.57 บริเวณจุดวัดตัวอย่างน้ำสะพานพระราม 7 ถึงพระประแดง มีค่าความเค็ม 1.9 -16.6 กรัมต่อลิตร ซึ่งสูงเกินค่ามาตรฐาน 1.5  กรัมต่อลิตร พร้อมทั้งระบุว่ามีผลต่อพืชทั่วไป ไม่เหมาะที่จะนำไปใช้เพื่อการชลประทาน

25 ธันวาคม 2557
โพสต์ทูเดย์

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 13