แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - knife05

หน้า: 1 2 [3] 4
31



ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีที่ ๑๓ ฉบับที่๑๔๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖

32




ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีืที่ ๑๓ ฉบับที่ ๑๕๓ กันยายน ๒๕๕๖

33
นานมาแล้ว มีต้นแอปเปิ้ลต้นใหญ่ต้นหนึ่ง มีเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งชอบมาเล่นที่นี่ทุกวัน เขาปีนขึ้นไปบนต้นไม้ เขากินลูกแอปเปิ้ล และงีบหลับใต้ร่มเงา
เด็กน้อยชอบต้นไม้ และต้นไม้ก็ชอบเล่นกับเด็กชาย เวลาผ่านไป เด็กชายโตขึ้น และไม่มีเวลามาเล่นเหมือนเดิม

วันหนึ่งเด็กชายกลับมาหาต้นไม้ สีหน้าดูเศร้าสร้อย
ต้นไม้เชิญชวน "มาเล่นกันเถอะ"
เด็กชายตอบ "ฉันไม่ใช่เด็กอีกต่อไป ฉันไม่วิ่งเล่นรอบต้นไม้แล้ว ฉันอยากได้ของเล่น แต่ฉันไม่มีเงินไปซื้อ"
ต้นไม้ตอบ "ฉันเสียใจที่ฉันไม่มีเงิน แต่เธอสามารถเก็บผลแอปเปิ้ลไปขาย จะได้มีเงินไงหล่ะ"
เด็กชายรู้สึกตื่นเต้น เขาเก็บแอปเปิ้ลไปขายอย่างมีความสุข หลังจากนั้นเด็กชายก็ไม่ได้กลับมาหาต้นแอปเปิ้ลอีกเลย

จนกระทั่งวันหนึ่ง เด็กชายเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มกลับมาหาต้นไม้ ต้นไม้ตื่นเต้นมากและเชิญชวน "มาเล่นกันเถอะ"
"ฉันไม่มีเวลาพอที่จะเล่น ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัว ฉันต้องการมีบ้าน เธอช่วยฉันได้ไหมต้นไม้"

"ฉันเสียใจที่ฉันไม่มีบ้านให้เธอ แต่เธอสามารถต้ดกิ่งก้านของฉันไปสร้างบ้านได้"
ชายหนุ่มดีใจมาก ตัดกิ่งก้านต้นไม้ไปทั้งหมดแล้วจากไปอย่างมีความสุข ต้นไม้ดีใจมากที่เห็นเขามีความสุข แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่กลับมาหาต้นไม้อีก ปล่อยให้ต้นไม้อยู่ลำพังอย่างโดดเดี่ยวและเศร้าโศก

ฤดูร้อนหนึ่งมาถึง ชายคนเดิมกลับมา ต้นไม้มีความสุขมาก ต้นไม้เชิญชวน "มาเล่นกันเถอะ"
ผู้ชายกล่าวว่า "ฉันเริ่มแก่แล้ว ฉันต้องการล่องเรือเพื่อพักผ่อน ต้นไม้เธอหาเรือให้ฉันได้ไหม"
"ใช้ลำต้นของฉันทำเรือได้เลย เธอจะได้แล่นเรืออย่างมีความสุข"

ผู้ชายจึงตัดต้นแอปเปิ้ลมาทำเรือ เขาล่องเรือไปไกล และ ไม่เคยกลับมาอีกเป็นเวลานาน

ในที่สุด ผู้ชายก็กลับมาในอีกหลายปีต่อมา ต้นไม้พูดว่า "ฉันเสียใจที่ฉันไม่มีอะไรเหลือให้เธอใช้ประโยชน์ได้อีกแล้ว ไม่มีแม้แต่ลูกแอปเปิ้ลให้เธอได้กิน"
"ไม่เป็นไร เพราะฉันก็ไม่มีฟันเหลือที่จะกัดแอปเปิ้ลแล้ว"

"ฉันไม่มีลำต้นให้เธอได้ปีนอีกแล้ว" "ฉันแก่เกินที่จะปีนแล้ว"
"ฉันไม่มีอะไรให้เธออีกแล้วจริงๆ ยกเว้นแต่รากแก่ๆที่ใกล้จะหมดอายุแล้ว" ต้นไม้พูดพร้อมกับหลั่งน้ำตา
"ฉันไม่ต้องการอะไรอีกต่อไปแล้ว แค่ต้องการที่ๆจะได้พักบ้าง เพราะฉันเหนื่อยมามากแล้ว"

"งั้นดีแล้ว รากแก่ๆของฉันเป็นที่ๆดีที่สุดสำหรับเอนหลังพักผ่อน มานั่งลงตรงนี้เถิด แล้วพักเสีย" ผู้ชายนั่งลง ต้นไม้ดีใจมากยิ้มทั้งน้ำตา

เรื่องนี้เป็นชีวิตของเราทุกคน ต้นไม้ก็เหมือนกับพ่อแม่ของเรา ตอนที่เราเป็นเด็ก เราชอบที่จะเล่นกับพ่อแม่ เมื่อเราโตขึ้น เราก็ไปจากพ่อแม่ แต่จะกลับมาหาท่าน เมื่อเราต้องการความช่วยเหลือหรือต้องการอะไรจากท่าน แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พ่อแม่จะรอเราอยู่เสมอ และให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการ เท่าที่ท่านจะสามารถหาให้เราได้ เพื่อทำให้เรามีความสุข

คุณอาจคิดว่า เด็กชายคนนี้ใจดำกับต้นไม้ แต่นั่นก็เป็นวิถีทางที่บางครั้งเราก็ปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเรา เรามักละเลยท่าน ไม่เคยแสดงความซาบซึ้งต่อสิ่งที่ท่านทำให้เรา จนกระทั่ง มันสายเกินไป ใช่ไหม...

เครดิต : Learning Petals

34


When I born, I black   เมื่อแรกเกิด ฉันผิวดำ
When I grow up, I black   เมื่อฉันโตขึ้น ฉันผิวดำ
When I go in Sun, I black   เมื่อฉันโดนแดดแผดเผา ฉันผิวดำ  
When I scared, I black   เมื่อฉันกลัว ฉันผิวดำ
When I sick, I black   เมื่อฉันเจ็บป่วย ฉันผิวดำ
And when I die, I still black   เมื่อฉันตาย ฉันก็ยังผิวดำ

And you white fellow   เพื่อนผิวขาวของฉันเอ๋ย
When you born, you pink   เมื่อแรกเกิด ผิวเธอสีชมพู
When you grow up, you white   เมื่อเธอโตขึ้น ผิวเธอสีขาว
When you go in sun, you red   เมื่อเธอโดนแดดแผดเผา ผิวเธอสีแดง
When you cold, you blue   เมื่อเธอเหน็บหนาว ผิวเธอสีม่วง
When you scared, you yellow   เมื่อเธอหวาดกลัว ผิวเธอสีเหลือง
When you sick, you green   เมื่อเธอเจ็บป่วย ผิวเธอสีเขียว
And when you die, you grey   เมื่อเธอตาย ผิวเธอสีเทา

And you calling me colored??   แล้วเธอ ยังจะเรียกพวกฉันว่า”ผิวสี”อีกหรือ?      

(Nominated by UN as the best Poem of 2006 /Written by an African kid)

35
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / "ทุกข์ในใจ"
« เมื่อ: 19 มีนาคม 2013, 22:11:29 »
ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาอยู่ชั้นปีที่5 และได้มีโอกาสตรวจผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในขณะที่ข้าพเจ้ายืนรอผู้ป่วยอยู่หน้าห้องตรวจนั้น ข้าพเจ้าได้ได้ยินเสียงพยาบาลท่านหนึ่งซึ่งอยู่หน้าห้องตรวจที่อยู่ติดกันกล่าวว่า

“ หมายเลข 19 ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน เจาะเลือด”

เป็นเสียงเรียกจากพยาบาลหน้าห้องตรวจ ป้าคนหนึ่งรีบลุกจากที่นั่งตรงมายังเสียงเรียกดังกล่าว ส่งสมุดบันทึกประจำตัวให้เจ้าหน้าที่ ด้วยความวิตกกังวลว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร พยาบาล หมอจะว่าอะไรป้าบ้าง ผลความดันผลเลือดจะออกมาอย่างไร
“เอาหลาว ไม่มาตามนัดหลาว พันปรือสักที แล้วจะรักษาที่นี่ต่อหม้าย”

พยาบาลหน้าห้องตรวจก้อพ่นลมปากใส่ป้า พร้อมท่าทางหงุดหงิดที่ป้าไม่มาตามที่นัดหมายแล้วตามมาอีกสองสามประโยค

“โอ้ย ความดันไม่ลดเลย สั่งห้ามกินเค็มกินมัน ทำตามมั่งหม้าย”
“เอา มาเจาะเลือด พูดอะไรไม่เคยทำตาม เดี่ยวคอยแลเบาหวานขึ้นสูงอีก”

คนในชุดขาว หมวกขาวหน้าห้องตรวจ พูดพรางเขียนพรางโดยชื่อของป้าไม่มีผ่านปากเลยสักคำ สีหน้าแววตาของป้าเป็นอย่างไรไม่ได้รับรู้เลย สิ่งที่เค้าสนใจคือการจดบันทึกลงในเวชระเบียนเท่านั้น

“เจาะเลือดเสร็จแล้ว รอแถวนี้อย่าไปไหน รอเข้าพบหมอ” พยาบาลคนเดิมสั่งป้า

ข้าพเจ้าเห็นป้าทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด โดยการนั่งรอหน้าห้องตรวจ โดยที่ไม่ทราบว่าไปทานอาหารได้แล้วเพราะเจาะเลือดเสร็จแล้วพยาบาลสั่งให้รอก็รอ ไม่เห็นบอกให้ไปกินข้าว

“หมายเลข 19 เข้าห้องตรวจ หมายเลข 19 19 อยู่หม้าย” เสียงพยาบาลเรียกป้า

ป้าสะดุ้งเมื่อเพื่อนข้างๆสะกิดบอกว่าถึงคิวตรวจแล้ว ป้าเดินสีหน้าเศร้าสร้อยเข้าห้องตรวจ

“325 ป้า ป้า น้ำตาลป้าไม่ลดเลย หมอต้องเปลี่ยนจากยากินมาเป็นยาฉีดแล้วนะ ป้าทำตามที่หมอสั่งหรือป่าว รักษามาตั้งนานไม่ได้ผลเลย มาก็ไม่ตรงนัด เดี่ยวป้าไปรับยาแล้วให้พยาบาลสอนฉีดยาให้นะ ป้าจะฉีดเองหรือสอนให้ญาติฉีดก็ได้ หากฉีดเองไม่ได้ให้มาฉีดเองที่โรงพยาบาลวันละครั้ง”

หลังจากดูผลเลือดและตรวจป้าราวๆ สองถึงสามนาทีแพทย์ผู้ทำการรักษาได้เปลี่ยนจากยากินมาเป็นยาฉีดแทนเนื่องจากไม่พอใจค่าตัวเลขระดับน้ำตาลในเลือดของป้าที่ควบคุมไม่ได้

คำถาม คำตำหนิจากคนชุดขาว จากหมอ ที่ป้ามาไม่ตรงนัด ความดันไม่ลด น้ำตาลไม่ลด ทำตามที่สั่งไม่ให้กินเค็ม ไม่กินมัน ไม่กินหวานทำตามบ้างหรือไม่ สารพัดคำถาม สารพัดคำตำหนิ แต่ดูเหมือนว่าตั้งแต่เช้ามาป้ายังไม่ได้บอกกล่าวอธิบายเหตุผลใดๆให้ใครฟังสักคำเลยและดูเหมือนว่าป้าคงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว เพราะพยาบาลและหมอทำตามขั้นตอนที่วางไว้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

หลังจากนั้นซึ่งเป็นเวลาพักเที่ยงของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นป้านั่งอยู่หน้าห้องตรวจเพื่อรอบัตรนัดครั้งต่อไปร่วมกับมีสีหน้าเศร้า ข้าพเจ้าเลยเข้าไปนั่งคุยกับป้าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดและเหตุผลที่ป้าไม่มาตามนัดรวมถึงการที่ป้าควบคุมเบาหวานและความดันไม่ดี ซึ่งป้าก็เล่าให้ฟังดังนี้

หลักกิโลเมตรที่ 18 ถนนสายบ่อล้อลำทับ เป็นบ้านของป้ากับลุงที่มีลูกสาว ลูกเขยและหลานอีกสองคนอยู่ด้วยกัน ลูกสาวและลูกเขยที่อยู่กับป้า กรีดยางจ้างในหมู่บ้านใกล้เคียงห่างจากบ้านร่วมสิบกิโล หลานสองคนเรียนอยู่ชั้น ป.3 และ ป.6 มีรถรับส่งหน้าบ้าน ทั้งป้าและลุงเมื่อก่อนกรีดยางจ้างเช่นกันแต่ตอนนี้สายตาไม่ดีเลยกรีดไม่เห็น หยุดกรีดยางมาสามสี่ปีแล้ว เวลาทั้งหมดของป้าเป็นการทำงานบ้าน ทำกับข้าว ซักผ้าส่วนลุงออกทำงานก่อสร้างกับผู้รับเหมาในตัวอำเภอ มีรถมารับส่งทุกวัน

ก่อนจะมาโรงพยาบาล ป้าได้บอกกับลูกสาวเรื่องที่จะต้องมาโรงพยาบาล ก่อนที่ป้าจะบอกลูกสาว ป้าต้องคิดแล้วคิดอีก ต้องหาจังหวะเวลาที่พอจะพูดกับลูกได้เพราะรู้ดีว่าหากวันไหนหมอนัด ลูกเขยต้องไปส่งเนื่องจากลูกสาวขับรถไม่ได้ และทั้งบ้านมีรถมอเตอไซร์ที่ใช้ขนน้ำยางเพียงคันเดียว ทำให้ลูกต้องหยุดกรีดยางเพราะรู้ดีว่าต้องไปตั้งแต่เช้าเพื่อไปหยิบบัตรคิว อีกทั้งการเป็นลูกจ้างแล้ว หยุดกรีดยางนอกจากเป็นการขาดรายได้แล้วอาจถูกไล่ออกได้ง่ายๆ จึงเป็นเรื่องที่ป้าต้องลำบากใจทุกครั้งที่ต้องบอกลูก

บางครั้งที่หมอนัดป้า ป้าบอกว่าต้องทำเป็นลืม บางนัดลูกไม่ว่างก้อไม่ได้ไป บางครั้งแม้ไม่มีเสียงตอบใดๆจากลูกเลยป้าก็จะเตรียมสัมภาระไว้เผื่อว่าลูกจะรับรู้และได้ไปส่ง กลางคืนป้าต้องนอนฟังเสียงรถมอเตอร์ไซร์หากได้ยินเสียงรถออกจากบ้านแสดงว่าลูกไปกรีดยาง บ่อยครั้งที่ป้าต้องงดน้ำ งดอาหารรอโดยไม่รู้เลยว่าวันรุ่งขึ้นจะได้ไปโรงพยาบาลหรือไม่
แต่คราวนี้ป้ารู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำตอบรับจากลูกสาวว่า

“ต่อเช้าหยุดยาง ค่อยให้พี่ญาไปส่ง”

ป้ารู้สึกโล่งอกไปเรื่องหนึ่ง แต่ความกังวลไม่ได้จบเพียงการตอบปากรับคำจากลูกเพียงอย่างเดียว ที่ผ่านมาป้ารู้ดีว่าวันไหนหยุดกรีดยางลูกเขยชอบไปเที่ยวกับเพื่อน กินเหล้า เมากลับดึกเป็นประจำซ้ำร้ายยังมีปากเสียงลงไม้ลงมือกันบ่อยกับลูกสาวจนหลานๆต้องร้องห่มร้องให้มานอนกันนอกห้องหลายครั้ง จะหวังอะไรที่จะไปส่งแม่หาหมอตามนัด

ป้าจัดแจงสัมภาระของใช้ส่วนตัวใส่ตะกร้าใบเก่าเช่นเดิมทุกครั้งที่ผ่านมา ที่ลืมไม่ได้คือสมุดประจำตัว บัตรทอง บัตรประชาชน ป้าทราบดีว่าหากป้าลืมสิ่งเหล่านี้เมื่อไปโรงพยาบาลป้าจะพบกับเหตุการณ์อย่างไรบ้าง ป้าเล่าให้ฟังว่าเคยน้ำตาร่วงจากเงินติดกระเป๋าต้องหมดไปจากการต้องจ่ายค่ายาเนื่องจากลืมบัตรทอง ป้าจำไม่ลืมและที่เสียใจมากกว่าการจ่ายค่ายาคือ เสียงต่อว่าจากห้องบัตรกล่าวว่า

“ ไม่รู้จักเตรียม มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เก็บตางค์เสียมั่งจะได้รู้สึก”

ทั้งคำพูดและการกระทำของเจ้าหน้าที่ห้องบัตรครั้งนั้นทำให้ป้ารู้สึกจริงๆ เงินที่เก็บออมใว้ยามจำเป็นต้องหมดไป ใจที่ทุกข์ระทมจากสารพัดเรื่องเพิ่มทวี ฝังใจจนยากที่จะลืมได้
ป้าเล่าไปน้ำตาคลอเบ้าไปด้วยใจที่หดหู่ ยากที่ใครจะรับรู้เข้าใจความรู้สึกป้า วัยชราคนนี้

ป้าเล่าต่อว่าหลังจากอาหารเย็น ป้าก็ไม่ทานอะไรต่ออีกเลย งดอาหารและน้ำตามแพทย์สั่ง รีบเข้านอนรอฟังเสียงไก่ชนที่ลุงเลี้ยงไว้หลังบ้าน ป้ากังวลจนนอนไม่หลับ กังวลว่าพรุ่งนี้จะได้ไปตามนัดหรือไม่ ผลความดันเบาหวานเป็นอย่างไรบ้าง จะพูดกับพยาบาล กับหมออย่างไรว่านัดครั้งที่แล้วไม่ได้มา และกลัวว่าค่าความดันเบาหวานไม่ลดจะทำอย่างไร

ป้าตื่นตีห้าเรียกลูกสาวให้ไปปลุกลูกเขยใช้เวลาค่อนชั่วโมงกว่าจะมาถึงโรงพยาบาลด้วยความรีบร้อน ตรงไปที่บัตรคิวหยิบบัตร 19 ซึ่งเป็นบัตรที่หยิบได้ในเดือนนี้มีหลายคนนอนรอ นั่งรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ทุกคนพยายามรีบมาให้เร็วที่สุด เพราะหากมาสายเท่ากับว่าต้องนั่งทนหิวอีกนานกว่าจะได้ทานข้าว

สักครู่หนึ่งลูกเขยป้าจึงเดินเข้ามาหาและพาป้ากลับบ้านพร้อมความทุกข์ใจที่ยังมีอยู่และไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้


ทั้งหมอทั้งพยาบาลมีใครสักคนไหมที่รู้ว่า ที่ป้ามาไม่ตรงนัดแล้วบอกพยาบาลว่าป้าลืมนัด ป้าจำวันผิด ยอมให้พยาบาลดุด่าเพียงเพื่อให้มีคำตอบให้เหตุการณ์ขณะนั้นผ่านพ้นไป ทั้งที่จริงป้าต้องทำเป็นลืม เพราะเกรงใจลูกที่ต้องมาส่ง ต้องหยุดกรีดยาง ขาดรายได้หรือบางครั้งคนมาส่งเมาเหล้าหลับลืมไม่ได้มาส่ง บางครั้งมีปัญหาสามีภรรยาทุบตีกัน สุดท้ายคำว่า ลืม คำว่า จำวันผิด ก็เป็นวลีเพียงเพื่อลมปากผ่านหูเท่านั้น

แล้วมีสักกี่คนที่รู้ว่าป้าอยากทำตามที่หมอสั่ง งดเค็ม งดมัน งดหวาน แต่ไม่มีทางให้ป้าเลือกกินเลย ป้าเล่าให้ฟังว่า

“ที่บ้านอยู่กัน 6 ชีวิต ใครจะรู้บ้างว่ากับข้าวที่ป้าทำเคยถูกเททิ้งมาแล้วเนื่องจากจืด กินไม่ลง ลูกหลานกินไม่ได้ หากจะแยกครัวแยกปรุงออกไปต่างหาก เท่าที่มีอุปกรณ์อาหารการกินก็จำกัดเต็มที แค่ได้มีกินก็พอแล้วสำหรับป้า”

จากประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้เจอในครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้าคิดอยู่เสมอว่าการเป็นหมอนั้นไม่ใช่แค่เพียงการรักษาเพียงแต่โรคหรือการมีความรู้ที่เก่งเพียงอย่างเดียวแต่เป็นการรักษาผู้ป่วยทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์และสังคม เพื่อให้ผู้ป่วยมี

สุขภาวะทางจิตใจที่ดี คือมีจิตใจที่มีความสุข รื่นเริง คล่องแคล่ว ไม่มีความเครียด มีสติสัมปชัญญะ และความคิดอ่านตามควรแก่อายุ

สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางร่างกายร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง คือ คล่องแคล่ว มีกำลัง ไม่เป็นโรค ไม่พิการ มีสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพ

สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางสังคม คือ ความสามารถในการอยู่ร่วมกันในสังคม มีความสุข สันติภาพ

สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ คือ เป็นความสุขที่เกิดจากการเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจความจริงแห่งชีวิตและสรรพสิ่ง

จนเกิดความรอบรู้ เอาใจใส่คนไข้ มีเมตตา มีความสนใจต่อคนไข้มากกว่าเป็นแค่คนไข้คนหนึ่ง ปฏิบัติต่อคนไข้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ มีมโนธรรมในการเป็นแพทย์ มีการติดต่อสื่อสารทั้งสองทาง รับฟังความคิดเห็นและความทุกข์ลำบากของคนไข้และตอบสนองด้วยการช่วยเหลืออย่างเต็มที่

กล่าวโดยสรุปคือการเป็นแพทย์ที่ดีนั้นข้าพเจ้าคิดว่าควรดูแลรักษาทั้ง คน และ ไข้ จึงจะเป็นแพทย์ในอุดมคติที่ดี เป็นที่พึ่งของประชาชนผู้ป่วยไข้และเป็นที่ยอมรับยกย่องในสังคม

สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าขอยกคำกล่าวของพระราชบิดาที่ได้กล่าวไว้ เพื่อให้แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรสาธารณสุขได้ดำเนินตามอุดมคติของตัวเอง เป็นบุคลากรทางสาธารณสุขอย่างมีมาตรฐานและสืบเนื่องต่อไป



สุขส่วนตนยกไว้ เป็นสอง

ประโยชน์ชนทั้งผอง หนึ่งแท้

หากยึดมั่นธรรมครอง อาชีพ บริสุทธิ์

ลาภยศจักเกิดแม้ ไม่ได้ ไขว่คว้า

คือคำที่ท่านให้ พึงจำ

หากหมั่นเพียรกระทำ เยี่ยมแท้

พระบรมราชชนกนำ เป็นแบบ อย่างดี

เราลูก บิดา แม้ สุขน้อย อดทน


ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน เป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมแห่งอาชีพ ไว้ให้บริสุทธิ์

I don't want you to be only a doctor, but I also want you to be a man

นศพ.ธีรเดช เกลือนสิน
นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6
ศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิก
โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช

36
3 อาทิตย์ผ่านไป สภาพจิตใจของผมดีขึ้นตามลำดับ ถึงแม้ว่ายังไม่เหมือนเดิมนัก แต่ว่าอย่างน้อยผมก็รูว่าผมยังมีคนเป็นห่วงและให้กำลังใจอยู่อีกมาก ที่สำคัญวันนี้เป็นวันศุกร์ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ไม่มีเวร ผมจะได้กลับบ้านซักที เผื่อว่าอะไรจะดีขึ้น

ผมไม่ได้กลับบ้านมาซัก 2 เดือนแล้ว พ่อแม่ผมดีใจที่วันนี้ผมจะกลับและอยู่กับที่บ้านในวันหยุด แต่การกลับบ้านครั้งนี้ของผมไม่เหมือนทุกครั้ง ผมวางแผนที่จะบอกข่าวร้ายที่สุดให้กับคนที่ผมรักที่สุดซึ่งก็คือพ่อแม่ของผม ตลอดทางระหว่างผมขับรถกลับกรุงเทพ ผมคิดหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะบอกโดยที่เจ็บน้อยที่สุด แต่ก็คิดไม่ออก เพราะว่าเรื่องของผมมันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ ผมไมอยากให้พ่อแม่เป็นเหมือนกับที่ผมที่รู้ข่าวในช่วงแรก

คืนวันเสาร์ ผม พ่อแม่ และน้องน้อง นัดกันไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก แต่ครอบครัวของผมก็ยังเป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีความสมัครสมานสามัคคีกันดี ผมทำตัวเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราคุยกันหยอกล้ออย่างเคย ทุกคนต่างเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนที่ไม่ค่อยได้เจอกัน แม่ถามผมว่า ทำงานเหนื่อยมั้ย คนไข้เยอะหรือเปล่า อย่ามัวแต่หาเงินนะ กลับมาบ้านบ้างก็ได้ ผมยิ้มกลับให้แม่ แต่หัวเราะไม่ออก คำถามของแม่มันช่างเจ็บปวดเหมือนกับจะบังคับให้ผมบอกข่าวร้ายตรงนัน ภายในตาทั้งสองมีน้ำตาเอ่อรอล้นออกมา ผมตอบแม่ว่า ผมสัญญา เพราะต่อไปนี้ผมคงไม่ทำงานหนักอีกแล้ว แม่ฟังผมแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร

เมื่อกลับถึงบ้าน คืนวันอันแสนสุขได้ผ่านไป ความจริงที่กำลังจะปรากฎต่อหน้าพ่อแม่ผมไม่แน่ใจว่าท่านจะรับไหวหรือไม่ ผมสัญญากับพี่เนศแล้วว่าผมจะบอกเมื่อผมพร้อม เพราะว่าพ่อแม่ก็คงมีอาการเหมือนกับผมในช่วงแรกที่ทราบข่าว ผมจำเป็นต้องมีสติและเป็นผู้คุมสถานการณ์ให้ได้ ผมพร้อมแล้ว ผมบอกตัวเองว่าผมพร้อมแล้ว วันนี้เราจะเผชิญหน้ากับความจริง

ผมเดินเข้าไปในห้องนอนของพ่อแม่ กดล็อกประตู นั่งบนเก้าอี้ในห้อง ทำหน้าตาจริงจังเล่าเรื่องในอดีตที่เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน พ่อแม่ผมเริ่มสีหน้าไม่ดีเพราะรู้ว่าน่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น “ผมติดเชื้อ HIV” ผมบอกพ่อแม่เป็นประโยคสุดท้ายว่าผมติดเชื้อ HIV ในตอนนั้นแม่ผมล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น ร้องไห้และสับสนมากในเรื่องราวที่เกิดขึ้น พ่อผมยืนนิ่ง ตกใจไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ผมก้มลงไปประคองแม่ของผมขึ้นมาจากพื้น แต่แม่กุมมือผมแน่นทั้งสองข้าง โอบกอดรัดตัวผมแนบสนิท เหมือนกลัวว่าใครจะพรากของที่รักที่สุดไป “แม่ขอโทษลูก แม่ขอโทษ แม่ไม่ได้ตั้งใจที่บังคับขู่เข็ญให้เรียนหนังสือ แม่เพียงหวังจะให้ลูกได้ดีเมื่อโตขึ้น แม่ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้เกิดกับลูก แม่ขอโทษ” แม่ผมพูดแล้วร้องไห้ไม่หยุด ผมไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้มากขนาดนี้มาก่อน แม่คิดว่าผมกำลังจะตาย แม่ผมคิดอย่างนั้น ผมค่อยๆอธิบายเรื่องราวของโรคนี้ทั้งหมดให้แม่ฟัง แม่สนใจมาก ถามทุกประเด็นที่ท่านสงสัย แม่ถามผมว่าลูกจะลาออกไหม กิจการที่บ้านมันมากพอที่ผมจะไม่ต้องเหนื่อยอีกเลยตลอดชีวิต ผมไม่รู้หรอก ผมคิดไม่ออก ผมไม่กล้าตัดสินใจ

สุดท้ายผมก็ได้ทำบาปครั้งใหญ่่คือสร้างความทุกข์อย่างใหญ่หลวงให้กับพ่อแม่ คืนนั้นแม่ผมนอนร้องไห้ทั้งคืน ผมเสียใจกับเรื่องร้ายๆที่ผ่านมาในชีวิตผมและครอบครัว แต่ผมก็ดีใจเพราะอย่างน้อยตอนนี้ผมก็มีเพื่อนมาเดินอยู่ข้างๆผมอีกสองคนแล้ว

คืนวันอาทิตย์ ผมเก็บของเตรียมกลับไปต่างจังหวัดเหมือนเคย แม่เดินเข้ามาพูดคุยกับผมตลอด ผมจำได้ดีว่าคำพูดทุกคำของแม่ที่พูดกับผมตอนนั้นมันกลั่นออกมาจากความห่วงใย ที่สุดที่คนคนหนึ่งจะให้กับคนคนหนึ่งได้ แม่เป็นห่วงผมในทุกเรื่อง แม่ถามทุกคำถามที่แม่นึกออก ผมหัวเราะให้แม่ ผมหัวเราะครั้งแรกของผมให้กับแม่ ผมรู้สึกเหมือนผมกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง

ผมกลับไปทำงานตามปกติ ตอนนี้ผมดีขึ้นมาก ผมบอกทุกคนที่ควรจะรู้จนครบแล้ว รู้สึกเหมือนหน้าที่ผมลุล่วงไปด้วยดี วันนี้ผมมีกำลังใจมากขึ้นกว่าทุกวัน ตอนนี้ก็เหลือเพียงเรื่องของผมที่พร้อมจะเดินต่อไปหรือไม่เท่านั้น

แต่เรื่องของผมนี่แหละที่เป็นปัญหา ผมได้รับการตอบรับเพื่อเป็น resident ศัลยกรรมของโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง พี่ที่แผนกธุรการโทรมาทวงเอกสารที่ผมยังส่งไม่ครบ เพราะว่าถ้าเกินกำหนดนั่นแปลว่าผมสละสิทธิ์ เรื่องนี้มันเป็นปัญหาใหม่ให้ผมจริงๆ คำถามคือศัลยแพทย์ที่ติดเชื้อทำผ่าตัดได้หรือเปล่า ผมสับสน ไม่กล้าตัดสินใจ ผมนอนคิดอยู่ทั้งคืน ผมอยากเรียนศัลย์ แต่ไม่รู้ว่ามัน fair กับคนไข้หรือเปล่า

วันรุ่งข้นผมเดินไปหาพี่เนศและพี่ปก ผมถามคำถามนี้กับพี่ๆ โดยหวังว่าผู้ใหญ่น่าจะมองในกรอบที่กว้างกว่าเด็ก พี่เค้าตอบว่ามองเผินๆอาจจะใช่ แต่พี่ว่าไม่ เพราะเวลาเราผ่าตัดเข็มเราจะเลอะเลือดคนไข้ตลอด เวลาพลาดโดนเข็มตำ เลือดของคนไข้ก็จะมาเปื้อนเราทำให้เราติดเชื้อ แต่ในทางกลับกันถ้าเข็มเปื้อนเลือดเราเมื่อไร เราคงเปลี่ยนเข็มนั้นเพราะมัน contaminated ไปแล้ว เราคงไม่เอาเข็มที่เปื้อนเลือดเราไปเย็บต่อ ส่วนในกรณีที่ว่ากลัวเลือดหยดลง field คงไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเราคงไม่ได้ใช้กรรไกรหรือมีดมาตัดนิ้วเรา เลือดถึงมากพอที่จะตกลงไปได้ ผมคิดดูมันก็จริง แต่คนไข้จะยอมรับเหรอ ไม่มั้ง ผมว่าไม่ ใครจะยอมให้หมอที่ติดเชื้อมาผ่าตัด

อนาคตของผมมันผันแปรไปเป็นเพราะผมอยากเป็นหมอผ่าตัด ผมก็ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ทั้งที่รู้ว่าวันนี้ชีวิตผมเปลี่ยนไปในทางตรงข้ามเพราะว่าเข็ม 1 เข็มกับเลือด 0.01 ccนั้น แต่ผมก็ยังดื้อด้านกลับไปหาสิ่งนั้น ผมถามตัวเองว่าผมทำไปเพื่ออะไร คุ้มจริงจริงเหรอที่จะกลับไปเรียนหนัก ทำงานหนัก ศัลยกรรมมันเหนื่อยนะ มันจะทำให้ขีวิตมันแย่ลงหรือเปล่า ตอนนี้เราไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว เราจะมาคิดแบบเดิมไม่ได้ แต่ไม่ใช่ ใจผมตอบว่าไม่ใช่ ตัวผมเปลี่ยนไป แต่ใจยังรักเหมือนเดิม ผมยังอยากเป็นหมอศัลยกรรม ผมว่าตัวผมมีคุณค่า ผมคิดว่าชีวิตในอนาคตของผมจะไม่อยู่อย่างคนขลาด อยู่อย่างเจียมตัวว่าเป็นคนป่วยแล้วไม่คิดทำอะไร ผมเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่มาพร้อมกับผม ผลเลือดที่เปลี่ยนไปไม่ได้ทำให้ชีวิตผมจบลง ผมไม่ยอมแพ้เข็ม 1 เข็มกับเลือด 0.01 cc ในคืนนั้นแน่ ชีวิตที่เกิดมาตั้ง 20 กว่าปียังไงก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเหตุการณ์ในช่วงวินาทีเดียว ไม่มีทาง


ลุกขึ้น ยืนหยัด กัดฟันสู้
กลับมองดู ความฝัน ครั้งหลัง
วันนี้ วันใหม่ ผมมีพลัง
ไม่มีใคร มารั้ง ผมต่อไป

ไปข้างหน้า เจ็บขา ได้บางคร้ง
เหนื่อยก็นั่ง พักใจก่อน ให้สดใส
พรุ่งนี้มา เราสู้ใหม่ ไม่อ่อนใจ
ไม่ยอมให้ สิ่งไหน มาทำลาย

ยิ้มหัวเราะ ต่ออุปสรรค ที่เกิดขึ้น
เพราะว่ามึง จะไม่เกิด เป็นซ้ำสอง
ความสำเร็จ ในวันหน้า จะมากอง
เหล่าเพื่อนพ้อง ร่วมสรรเสริญ ในโชคชัย


เรื่องถ่ายทอดจากคุณ หมอ BVM ในไทยคลินิก

37
วันรุ่งขึ้น ผมเริ่มรู้ตัวเองว่าผมไม่สามารถ แบกปัญหาที่ใหญ่ขนาดนี้บนบ่าตัวเองได้ ผมโทรไปหาพี่เนศ่ (เป็นพี่medที่ดูแลบุคลากรในรพ.ที่โดนเข็มตำ) พี่เนศเค้าตกใจมาก เค้าถามถ้าพอมีเวลาไปหาเค้าที่บ้านตอนเที่ยงหรือไม่ พี่เนศอยากคุยกับผมเป็นการส่วนตัว ในวินาทีนั้นผมตื่นเต้นมาก ผมอยากให้พี่เค้าบอกว่าผมเข้าใจผิด บอกว่าผลการตรวจผิดพลาด หรือบอกว่าใช้น้ำยาผิด หรืออะไรก็ได้ ผมไม้รู้ว่าผมจะยืนบนขาคู่เดิมได้อีกนานแค่ไหน ผมไม่เคยรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ผมเหนื่อยจริงจริง

เมื่อถึงเวลาเที่ยง ผมก็รีบไปพบพีเนศ ตามที่นัด บ้านพักของพี่เค้าอยู่ในรพ. มีหมาพุดเดิ้ลคอยให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี พี่ชวนผมให้นั่งรอที่โซฟา ผมรู้สึกเหมือนผ่อนคลาย พี่เค้าจึงขอให้ผมเล่าอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ผมค่อยๆเล่า ค่อยๆเรียบเรียงเรื่องทุกอย่่างให้พี่เค้าฟัง พี่เนศมีทีท่าตั้งใจมาก แต่ไม่ได้ทำหน้าตกใจหรือตื่นเต้นมากเกินไปนัก หลังจากผมเล่่าจบ ผมรู้สึกว่าการมาครั้งนี้ของผมไม่เสียเที่ยวเลยจริงจริง พี่เค้าเป็นทั้งหมอและเป็นทั้งพี่ที่มีแต่ความห่วงใย และความปรารถนาดีมากมาย ผมรู้สึกได้ ผมรู้สึกได้ว่ามันมีรัศมีออกมาจากตัวเค้าจริงจริง ในชีวิตนี้ผมเคยได้สัมผัสแบบน้้มาจากพ่อแม่เท่านั้น และยังไม่เคยคิดว่าจะมีคนที่เป็นห่วงเราถึงเพียงนี้ เรื่องของผลตรวจนั้นพี่เค้าอยากให้ทำ lab confirm ก่อน เพราะว่าELISA เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในการวินิจฉัยได้ ส่วนเรื่องเพื่อนและคนรู้จักอย่าเพิ่งบอก และอย่าเพิ่งบอกพ่อแม่เพราะว่าผลยังไม่แน่ชัดเดี๋ยวท่านจะตกใจ

ผมทำตามที่พี่เค้าบอกทุกอย่าง ผมรูสึกดีขึ้นเมื่อรู้ว่ามีคนที่มีสติมายืนอยู่ข้างๆผม ผมเดินไปเจาะเลือดเป็นครั้งที่สาม แต่คราวนี้ต่างจากครั้งอื่น เพราะผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ และทำเพื่ออะไร ผมoffเวรของทั้งอาทิตย์ตามที่พี่เนศสั่ง เดินกลับไปที่ห้องพัก นอน และทำใจให้สบายเพื่อรอผลตรวจซึ่งพี่่เค้าจะโทรมาบอกเองว่าผลเป็นอย่างไร

ผมยังคงนอนอยู่ที่เตียง นอนนิ่งอยู่นาน แต่ในใจผมไม่มีหยุดคิดซักวินาทีเดียว ประมาณบ่ายสาม ผมลุกขึ้นมานั่ง หยิบโทรศัพท์โทรไปหาเพื่อนของผมว่าผมควรทำยังไงดี ผมอยากโทรไปหาพี่เนศว่าผลเป็นอย่างไร แต่ไมากล้าเพราะกลัวว่าพี่เค้าจะยุ่งอยู่ เพื่อนผมบอกว่าให้รอไปก่อน พี่เค้าบอกแล้วว่าจะโทรบอกเอง ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ใจเย็นรออีกหน่อย ผมนั่งรอ นอนรออยู่นาน จะโทรปรึกษาใครก็ไม่ได้ ผมรู้สึกตัวคนเดียว ผมมองออกไปนอกห้อง ผู้คนที่เรารู้จักมากมายเดินผ่าน….ไม่มีใครคุยได้เลยจริงจริงหรือนี่…ไม่มีเ ลยจริงจริง

เมื่อถึงเวลาเย็น พระอาทิตย์เริ่มหรี่แสงลง ผมรู้สึกเหมือนว่าความหวังผมกำลังจางหายไป ผมเหนื่อย ผมถอนหายใจ เอาวะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด พี่เนศโทรมาพอดี พี่บอกว่ารอที่ห้องประชุม พี่อยากคุยด้วย ผมเดินลงจากห้องอย่างช้าช้า กลัวกับสิ่งที่กำลังจะเผชิญ ผมไม่แ่นใจว่าผมจะรับไหวรึเปล่าถ้าพี่เค้าบอกผมว่าผมติดเชื้อ คงไม่มั้ง ชีวิตคนเราต้องมีหวัง ผมเดินไป กลัวๆกล้าๆ แต่ใจมันบอกให้เดินไปเพราะมันอยากรู้ ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องประชุม พี่เนศอยู่กับพี่ปกซึ่งเป็นพี่psychiที่รพ. เค้าถามผมถึงสภาพทั่วไปของผมวันนี้ ผมไม่อยากตอบแล้วละ ผมอยากรู้เรื่องผลเลือดมากกว่า “ผลมันเป็นpositiveนะ” พี่เนศบอก หลังจากนั้นพี่เค้าพูดอะไรต่อก็ไม่รู้ ผมหูอื้อไปหมดแล้ว ผมเพียงแต่พยักหน้าเมื่อพี่เค้าพูดจบประโยค คำตัดสินมันมาแล้วล่ะ ผมบอกกับตัวเอง พี่เค้าบอกว่าเค้ารู้ผลตั้งแต่บ่ายแล้ว แต่ไม่ได้บอกเพราะว่าพี่ไม่สามารถปลีกเวลามาบอกได้ ซึ่งจริงจริงเพื่อนผมก็รู้้ตั้งแต่บ่ายแล้ว แต่พี่เนศสั่งห้ามบอก้เพราะกลัวบอกไม่ถูกวิธี

เรื่องของผมเอง ผมต้องรู้เป็นคนสุดท้ายเหรอ ผมถ่ามตัวเอง ผมเสียใจที่เพื่อนสนิทของผมหลอกผมว่าไม่รู้เรื่อง โลกนี้ให้อะไรกับผมบ้างที่ทำงานหนักและได้เงินเดือนมา 10000 บาท ผมเข้าใจตัวเองว่าผมฉลาดที่เอ็นทรานส์ติดหมอ แต่จริงจริงผมว่าผมโง่มากกว่าที่คิดเรียนหมอ ชีวิตหมอไม่ได้สวยหรูเหมือนที่วาดไว่ซะแล้ว พวกคนภายนอกที่อยากให้ลูกมาเรียนหมอจะรู้มั้ยว่ามีผมคนนี้ที่อาจจะตายเพราะม าเป็นหมอ ค่ายอยากเป้นหมอของโรงเรียนแพทย์เคยพูดหรือไม่ว่าคุณมาเรียนหมอก็เหมือนไปเท ี่ยวผู้หญิง เพราะไม่ว่าคุณจะใส่ถุงมือหรือถุงยางก็ยังติดเอดส์ได้ ผมโกรธตัว้เอง ผมโกรธเพื่อน ผมโกรธทุกคน โกรธสถาบัน ผมพาลแล้วล่ะ ผมเพิ่งรู้สีกว่าผมพาลแล้วล่ะ ผมนั่งลงเก้าอี้ในห้องนอนของผม แต่ครั้งนี้ผมร้องไห้ ผมจำไม่ได้เลยว่าผมร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร ผมเป็นคนใจแข็งมาก เพื่อนผมมักชอบว่าผมว่าเป็นคนไม่มีหัวใจ เพราะไม่ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรผมก็ยังนั่งเฉย เหมือนกับไม่มีปัญหาอะไร แต่วันนี้ผมรับไม่ไหวแล้วล่ะ ผมร้องไห้โฮอย่างสุดตัว ร้องอย่างสุดเสียงโดยไม่อายใคร ผมมองไปในกระจก ผมเพิ่งเคยเห็นน้ำตาตัวเองครั้งนี้เป็นครั้งแรกตั้แต่จำความได้ ผมไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตผมจะมีวันนี้

อยากจะร้องให้สุดเสียง
หวังแค่เพียงเปลี่ยนเป็นฝัน
แต่ก็รู้ว่าไม่มีวัน
เพราะว่าฝันไม่เคยทำให้เจ็บลงไปลีกสุดในหัวใจ

เวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์ แต่ผมก็ยังทำใจไม่ได้ ตอนนี้เพื่อนผมประมาณ 6 คนที่ใช้ทุนที่เดียวกันรู้หมดแล้วล่ะครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง ถึงผมไม่ได้บอกด้วยปาก แต่จากสีหน้าผมทุกคนคงรู้ว่าเกิดสิ่งร้ายแรงกับผมเป็นแน่ ผมขอให้เพื่อสนิทผมเล่าให้กับเพื่อนบางคนที่อยู่ด้วยกัน เพื่อนๆผมทุกคนดีกับผมมาก ให้กำลังใจผมอย่างดี มันทำให้เรารู้สึกว่าอย่างน้อยๆก็ยังมีเพื่อนเป็นห่วงเราอยู่

ผมขับรถออกไปจากรพ.ที่ผมอยู่ประมาณ 20 กิโลเมตร เพื่อไปยังห้องแล็ปแห่งหนึงที่ต่างอำเภอตามคำแนะนำของพี่เนศ มันลักษณะเหมือนคลีนิดที่อยู่ในซอยลึกพอควร ผมเข้าไปก้บเพื่อ พบผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 40 ซึ่งพบคาดว่าคงเป็นเจ้าของ ผมบอกเค้าว่ามาเจาะ CD4 และ viral load พี่เค้าทำสีหน้าตกใจไปชั่วครู่ แต่ก็พูดคุยกับผมอย่างดี สิ่งนี้ยังคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นนักเทคนิคการแพทย์ หรือ แพทย์ จริงจริงแล้วคุณค่าของอาชีพอย่างพวกเรา มันอยู่ที่จรรยาบรรณ มากกว่าระดับความรู้ มากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก และมากกว่าเงินทองที่เราประเมินจากสิ่งที่เราสัมผัสได้เสียอีก

ผลเลือดผมออกมาแล้ว CD4 455, 20% และ viral load 610, log 2.79 ถึงตอนนี้ผมหมดสิทธิ์ deny แล้วครับ ผมมีเพื่อนใหม่มาอยู่กับผมตั้ง610 ตัวต่อเลือด 1cc ชีวิตตอนนี้ผมต้องเปลี่ยนไปอย่างถาวรแล้ว ผมต้องระวังเลือดของตัวเองไม่ให้ไปโดนอื่น เรื่องแฟนคงหมดโอกาส คงไมมีใครคิดจะมีแฟนเป็นคนติดเชื้อหรอกใช่มั้ยครับ

ถึงวันนี้ผมมองย้อนไปในวันที่เกิดเหตุ 6 เดือนก่อน้ผลเลือดจะผิดปกติ วันนั้นผมง่วงมาก ผมหลับไปและโดนตามมาทำ appendix ตอนเที่ยงคืน ซึ่งยังไงก็คงต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ แต่สุดท้ายผมก็ทำเข็มทิ่มตัวเอง…..ตกลงใครผิด…ผมทบทวนเรื่องนี้อยู่หลายครั้ ง ผมผิดหรืือเปล่าที่ประมาทเลินเล่อ แต่ผมทำงานมาทั้งวัน เหนื่อยก็เหนื่อย และต้องอยู่เวรต่ออีก ถ้าชีวิตผมเป็นแบบนี้ยังไงก็ต้องมีซักวันที่ต้องโดนเข็มทิ่มแน่แน่
หรือว่าผมควรจะโกรธคนไข้ ถ้าเขาไม่ติดเชิ้อ เรื่องเลวร้ายเช่นนี้ยังไงก็คงไม่เกิดขึ้น ตอนนี้ผมคงไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้

ถึงตอนนี้ผมไม่ได้โกรธใครเลย เพราะผมถามตัวเองว่าถ้าผมย้อนกลับไปวันนั้น ผมจะยังผ่า appendix ในคนไข้ติดเชื้ออีกหรือไม่ คำตอบก็คือผ่า เพราะถ้าไม่รักษาเค้า แล้วใครจะไปรักษาเค้า เราเกิดมาเป็นที่พึ่งของคนหมู่มาก ถึงแม้เราจะได้เงินตอบแทน(ในบางครั้ง) แต่สิ่งที่เราทำลงไปแลกมาได้ด้วยชีวิตของคนไข้ ผมมองว่ามันน่าจะคุ้มนะ ถึงแม้ว่ามันจะแลกมาด้วยอนาคตของผมเอง

ผมเคยได้ยินเรื่องค่าตอบแทนถ้าเกิดบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อที่เกิดจากการ ทำงาน ประมาณ 1-2 ล้านบาท ซึ่งในกรณีของผม มีผลเลือดของรพ.ที่ปกติแล้วเปลี่ยนมาเป็นติดเชื้อ อย่างน้อยน้อยผมก็ได้มาเป็นค่ายาในอนาคตเพราะคงมีวันนึงที่ CD4ต่ำกว่า 200 ผมถามเรื่องนี้กับพี่เนศ พี่เค้าบอกว่าเค้าก็ไม่รู้ เพราะว่าไม่เคยเจอเรื่องนี้มาก่อน ผมกับพี่เนศจึงขึ้นไปปรึกษากับผู้อำนวยการ ท่านแสดงความเห็นอกเห็นใจผมเป็นอย่างมาก และก็ยินดีจะช่วยดำเนินการให้ แตมันอาจไม่ง่ายอย่างที่ผมคิด ท่านแนะนำว่าให้ลองคิดดีดี เพราะการจ่ายเงินของระบบราชการล่าช้าและซ้ำซ้อนมาก ชื่อของผมจะต้องโดนเสนอไปถึงกระทรวง เงินเป็นล้านราชการคงไม่ยอมให้คุณง่ายๆหรอก และน่าจะมีการสอบด้วย ถึงตอนนั้นจะมีคนจำนวนมหาศาลรับรู้ว่าผมติดเชื้อ ผมทำใจได้หรือ้เปล่า ถ้าเพื่อนผมรู้ว่าผมติดเชื้อ จะมีกี่คนที่คิดว่าผมติดเชื้อจากการทำงาน ถ้าอาจารย์รู้ ผมจะได้มีโอกาสเรียนต่อหรือไม่ แต่ที่แน่แน่ถ้าคนไข้รู้ ไม่มีทางที่พวกเค้าจะมาตรวจกับเราเป็นแน่

คำตอบก็คือ ไม่ ผมทำใจไม่ได้ ผมลองกลับมาคิดดู เงินล้านน่ะผมใช้เวลาเท่าไรในการหามาด้วยตัวเอง ถ้าวันนี้ผมลาออก ไปทำงานรพ.เอกชน แค่อยู่คลินิกประกันสังคม ภายในปีเดียวผมก็หาได้แล้ว มันจะคุ้มหรือที่ผมขายข้อมูลตัวเองซึ่งเงินที่ได้มาเป็นเงินที่ผมหาได้ใน 1 ปีเทียบกับชิวิตที่เหลืออยู่อีกหลายสิบปี คิดยังไงก็ไม่คุ้ม

ผมรู้สึกชีวิตผมมันน่าตลก คนเค้าว่าคนที่มาเรียนหมอเป็นคนที่เรียนเก่งอันดับต้นต้นของประเทศ แต่สุดท้าย หมอกลับเป็นอาชีพขาดคุณภาพชีวิตอย่างมาก ทำงานก็หนัก ชีวิตของพวกเราเมื่ออยู่ในสายงานรัฐบาลก็มีแค่พอกิน ไม่ได้อยู่สบายเหมือนกับคนอื่นเค้า พอเกิดเรื่องเราก็ไม่มีโอกาสได้อะไรเลย…งั้นเหรอ

หากรักสบายซักนิด
นึกคิดทำขี้เกียจ
ถึงตอนนี้คงไม่เครียด
ที่กระเดียดมาเป็นหมอ

เวลาย้อนกลับไม่ได้
สิี่งที่เปลี่ยนไม่รั้งรอ
หากยังนั่งเพียงวอนขอ
ก็ไม่รูต้องรออีกเท่าใด

ชีวิตในวันนี้
โทษใครดีที่เปลี่ยนไป
เพราะเราหรือเพราะใคร
หรือเพราะไซร้ที่เกิดมา

ทุกคนมีความทุกข์
แต่ถ้าลุกมารักษา
อย่ายอมแพ้กับชะตา
เพราะว่าข้าคือคนจริง

38
เพื่อนๆหมอเคยคิดไหมครับ ว่าวันหนึ่งถ้าเรากลับมามีเชื้อ HIV เราจะสามารถทำงานหนักได้อย่างเดิมไหม แล้วเราจะมีโอกาสแพร่เชื้อให้คนไข้ได้หรือไม่ แล้วสุดท้าย เราควรจะเป็นหมอต่อไปหรือไม่
ส่งโดย: bvm

26 มค. 49 เป็นวันแรกที่ผมรู้่ว่าผลเลือดผิดปกติ ซึ่งจริงจริงแล้วผมไม่ได้ตั้งใจอยากจะเจาะเลือดเท่าไร แค่เจาะไปตามหน้าที่ แต่พี่เฉาฝ่ายการพยาบาลบอกว่า หมอต้องไปเจาะให้ครบครบนะ หมอโดนเข็มตำมา พี่ต้องเขียนรายงานให้ผู้้้้้อำนวยการ มันทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าผมไม่ยอมไปเจาะเลือดคงทำให้พี่เฉาลำบาก

เช้าวันนี้ผมก็ไปเจาะเลือดเหมือน3ครั้้งก่อน ผมเดินไปที่่ห้องฉุกเฉิน เข้าไปหาพี่อาร์ทให้ช่วยเจาะเลือดให้ พี่อาร์ทป็นพยาบาลสาวสวยใจดีที่น่ารกมากคนนึง ผมไม่เคยรู้เลยว่าพี่อาร์ทมือเบาขนาดนี้ ผมแทบไม่รู้สึกเจ็บเลย ทุกอย่างช่างเป้นไปอย่างเรียบร้อย ผมฝากเลือดไปส่งที่ห้องแล็ป เดินออกจากห้องฉุกเฉินอย่างสบายใจเพราะผมคงไม่ต้องมาเจาะเลือดอีก ครั้งนี้แหละ ครั้งสุดท้ายที่เราจะเจ็บตัว

ผมกลับไปนั่งตรวจคนไข้ที่แผนกผู้ป่วยนอก วันนี้เป็นวันที่คนไข้มากจริงจริง ที่นั่งรอก็เต็ม ทั้งคนไข้และญาติก็ยืนรอกันเกะกะไปหมด วันนี้ผมคงต้องรีบตรวจหน่อยแล้ว ไม่งั้นคนไข้คงจะรอแย่ซะก่อน แต่พอตรวจไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง คุณพรชัยโทรจากห้องแล็ปว่าอยากพบผม ถ้ามีเวลาขอให้รีบไปที่ห้องแล็ปด้วย ในตอนแรกผมคิดว่าเลือดคงไม่พอ ขอตรวจใหม่่ ซึ่งคุณพรชัยบอกว่าขอเจาะเลือดใหม่จริงจริง แต่เหตุผลกลับไม่ใช่ คุณพรชัยบอกว่าผลมันเป็น weakly positive อยากจะขอตรวจใหม่ด้วยวิธี ELISA โดยใช้น้ำยาตัวใหม่ หลังจากได้ยินคำขอ ผมก็รีบเดินไปที่โต๊ะเจาะเลือดอย่างรวดเร็วราวได้รับคำสั่งมา ท่วงท่าผมไม่มีความกังวลใจเลยซักนิด แต่ในใจนั้นกลับหยุดนิ่งอยู่กับที่เหมือนไม่มีอะไรอยู่รอบตัว ห้องเจาะเลือดที่คาคร่ำไปด้วยผู้คนกลับเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่ซักคนเดียว ผมกลับมาคิดถึงคำพูดคุณพรชัยเมื่อกี๊ว่าประโยคที่พูดเมื่อครู่มันหมายถึงอะไ รกันแน่ มันน่าแปลกที่แพทย์ใช้ทุนปี3อย่างผมไม่เข้าใจคำว่า weakly positive แปลว่าอะไร ในวินาทีนั้นผมแปลว่ามันคือ false positive หมายความว่าคุณพรชัยคงตรวจผลเลือดผมผิด แล้วไม่มั่นใจเลยขอตรวจซ้ำด้วยน้ำยาที่ดีกว่าเก่าเพื่อจะได้ยืนยันผลให้ผม ผมเดินกลับหอพักคนเดียว แต่วันนี้มันเป็นตัวคนเ ดียวที่ไม่เหมือนทุกวัน ใจกับตัวมันไม่ได้มาด้วยกัน ขาว่าก้าวไป แต่ใจอยากเดินกลับไปถามอีกรอบว่าที่คุณพรชัยพูดมันแปลว่าอะไร ตกลงผม HIV positive หรือไม่ ผมเดินมาถึห้อง นั่งลงบนเตียง คิดย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดในชั่วครู่หลายสิบรอบ... ผมลืมกลับไปตรวจคนไข้ต่อ... ผมลืมไปroundเย็น... ผมไม่ได้รบโทรศัพท์ที่รพ.ตาม... ผมกำลังทำอะไรที่นี่!!!

นั่งอยู่เปล่าเปลี่ยว วนเวียนว้าวุ่น ทบทวนความหลัง ว่าเราเป็นอะไร
เรามาทำอะไรที่นี่ เป็นหมอแล้วดีตรงไหน หากไม่เป็นแล้วเราจะทำอะไร แต่ยังไงคงไม่่เป็นเอดส์ซะเอง

ผมยังนั่่งสับสนอยู่บนเตียงคนเดียว ผมคิดอะไรไม่ออก แต่จริงจริงแล้วคงต้องบอกว่าไม่รู้ว่าควรเริ่มคิดจากตรงไหน ผมตัดสินใจปรึกษาเพื่อนที่สนิทที่สุดของผม ผมเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างช้าๆ ตั้งแต่ว่าผมโดนเข็มตำนิ้วกลางมือซ้ายตั้งแต่ มิย 48 ตอนนั้นผมทำผ่าตัด appendectomy ให้กับคนไข้ผู้หญิง HIV infection อายุ 24 ปีซึ่งตอนนี้ไปทำงานที่ฟิลิปปินส์ ผลการเจาะเลือดครั้งแรกของผมนั้น HIV neg ทางรพ.ก็มีguidelineในการตรวจเลือดซ้ำตอน 1เดือน ,3เดือน และ 6เดือน ผมกินยาเป็นสูตร 4ตัว กินครบ1เดือน ตรวจเลือดซ้ำที่ 1,3 เดือน ผลHIV ก็ยัง neg อยู ตอนนั้นผมคิดว่าผมคงรอดแล้วล่ะ เพราะคำบอกเล่าจากเพื่อนฝูงก็บอกว่า บางคนไม่กินยายังไม่เป็นเลย แล้วมึงจะเป็นได้ยังไง ผม consult พี่infectious ในรพ. เค้าก็บอกว่าตั้งแต่เค้าดูมาเค้ายังไม่เคยเจอ HIV positive จากโดนเข็มตำเลย่ ที่สำคัญที่สุดคือเลยwindow period ไปแล้วซึ่งผมคงสบายแล้วล่ะ

แต่บางสิ่งในชึวิตมันกลับไม่เหมือนในตำรา เราเดินไปตรงๆแต่เราก็หลุดจากเส้นทางได้ถ้าเราลืมดูว่าจริงจริงแล้วมันเป็นท างโค้ง ที่ในหนังสือเค้าบอกว่าถ้าเกิน 3เดือนจากการcontactเชื้อ แสดงว่าปลอดภัย แต่จริงจริงเค้าศึกษาใน normal population ไม่ใช่คนที่กิน ARV ครบ1เดือน จึงไม่่น่าแปลกใจที่ผลHIVจึง positive ที 6 ่เดิอน (เค้าถึงให้เจาะเลือดที่6เดือนไงล่ะ)

ผมคุยกับเพื่อนอยู่นาน สุดท้ายผมตัดสินใจที่จะไปหาที่เจาะเลือดในรพ.เอกชนเพื่อยืนยันผลการตรวจ ที่นั่นทำให้ผลได้รับคำตอบ คำตอบที่เป็นความจริง ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ความจริงที่ผมมี HIV

ผลการยืนยันสรุปว่าผมติดเชื้อจริง… ติดเชื้อจริงจริง…. ติดเชื้ือจริงจริงเหรอ….. ผมถามประโยคนี้กับตัวเองในทุกๆก้าวที่เดิน ผมเดินกลับมาถึงรถ ผมขับรถไม่ไหวแล้ว ตาผมมองไปข้างหน้าแต่กลับมองไม่เห็นแสงไฟมาจากที่ใด ผมสงสัยว่าทำไมต้องเป็นผม มีคนเป็นอย่างผมอีกหรือไม่ ผมทำผิดอะไรไว้สิ่งนี้จึงเกิดกับผม ผมควรจะโทษตัวเองที่เอาเข็มทิ่มนิ้วตัวเอง หรือว่าโทษพ่อแม่ทีผลักดันจนผมได้มาเรียนหมอ หรือว่าโทษกรรมเก่าที่คนเราชอบอ้างถึงแต่ไม่มีใครตอบได้ว่ามันคืออะไร ผมนิ่งเงียบ เพื่อนผมพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะปลอบได้ยังไง………..ผลกลัวตายครับ……..ผมเพิ่งรู้สึกจริงจริงกับตัว ว่่าผมกลัว ถึงแม้เรารู้ว่าซักวันนึงเราตองตาย แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้ ผมเพิ่งอายุ 26 ผมยังไม่อยากตาย ผมกลัว PCP ผมไม่อยากเป็น Crypto meningitis ผมกลัวแม้แตเป็น PPE ...ผมกลัว

ความตายไม่ใช่เรื่องเล่นเล่นอย่างที่เราเคยเข้าใจซะแล้ว พวกเราอยู่กับความเจ็บป่วยมานาน สิ่งที่เราทำกันอยู่ในปัจจุบันคือรักษาโรคแต่เพียงอย่างเดียว จนลืมไปแล้วว่าจริงจริงเรารักษาคน เราดูแต่เจ้าของร่างกายโดยที่เราลืมรักษาจิตใจที่ร่วมมาด้วย ผมย้อนคิดไปถึงอดีตที่ดูแลคนไข้ มีคนไข้จำนวนมากที่ป่วยเป็นโรคที่อาจทำให้เสียชีวิต แต่เรากลับบอกพวกเขาสั้นๆว่า คุณป้าเป็นมะเร็งครับ คุณติดเชื้อ HIV ครับ มันพอแล้วหรือหรือเปล่า ผมไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนี้มาก่อนจนกระทั่งวันที่เจอกับตัว การที่รู้ว่าเราต้องตายถึงแม้จะอีกนาน แต่มันก็ทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่มันไม่มีความสุขสักนิด ทุกสิ่งรอบตัวที่เคยดูสวยงาม ตอนนี้มันไม่มีความหมาย ผมเดินผ่านมันไป ดูเหมือนเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น

ผมตัดสินใจบอกแฟนผมเรื่องผลเลือด ผมไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้กับเค้าได้ ผมชอบเค้ามาก มากจนไม่สามารถเอาเค้าเข้ามาอยู่กับตัวผมได้อีก ผมเป็นแฟนกับเค้ามาเกือบสามปี เดือนหน้าก็จะป็นวันครบรอบสามปีพอดี ช่วงที่ผมไปใช้ทุนต่างจังหวัด ก็ไม่ค่อยได้เจอกัน ตอนนี้ใช้ทุนเกือบครบแล้วกลับต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ผมบอกกับเค้าว่า ผมขอโทษ ตอนนี้ผมไม่ได้มีทุกอย่างพร้อมเหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะสิ่งที่ขาดไป่ไม่มีใครมาทำให้เป็นเหมือนเดิมได้้ ผมชอบโ…มาก แต่เราคงไ่ม่่สามารถใช้ชีวิตอยู่กันได้หรอก ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนไร้ค่า ความรู้สึกของหมอกับคนไข้ที่ติดเชื้อ มันทำให้ผมรังเกียจตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

เรื่องของโ…เป็นไปตามที่ผมวางแผนไว้ เธอโทรมาคุยกับผมนานนานครั้ง ห่างขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เราไม่ได้ติดต่อกันแล้ว ถึงแม้เราจะไม่ได้บอกเลิกกันอย่างเป็นทางการทำให้ผมเข้าใจในการในการตะดสินใ จของเขา และก็ไม่เคยโกรธเขาแม้แต่ครั้งเดียว ความรู้สึกของผมต่อโ…ก็ยังเป็นเหมือนเมื่อก่อน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไป
ความสดใส ไม่กลับมา
ความรัก กลับจากลา
เพราะเพียงว่า เราเปลี่ยนไป

39
ในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร

ในสมัยนั้น…เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูติผีวิญญาณ
ตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้น

อาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนต์คาถาอาคมใดเลย นอกจากคำว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ซึ่งมีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใด ก็จะกล่าวเพียงคำนี้ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมา
อาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้น ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้

เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น อาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์

มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายผล นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทย์มนต์คาถาอาคม เล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทย์มนต์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ

เขาเล่าให้อาตมาฟังว่า เขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่
กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่

นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตาถึง 7 วัน เต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบ
ตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมา ก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย

วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา อาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทย์มนต์คาถา หรือคุณไสยใด นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก ถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมา จึงกลับมายังเขาซึ่งเป็นผู้กระทำ ไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้
อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่า อาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริง ๆ ทำให้ผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมาจึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนต์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้ายได้

อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
จนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ

นายผล เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกแก่อาตมาว่า..

ข้าแต่ท่านอาจารย์ ก็เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัด จงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่า.. การสวดมนต์ของท่านเช่นนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่าน หรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนต์คาถาในภูติผีปิศาจของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าของรับรองว่า จะไม่ทำอันตรายแก่ท่าอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการ ที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไป ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ อาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้ปฎิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป..อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง กุกกัก กุกกัก จะขึ้นมา จึงได้จุดเทียนและพบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวของอาตมามาก อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี และด้วยสัญชาติญาณจึงกล่าวคำสวดมนต์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติ

ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า เมื่อคืนนี้..ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักนักอยู่ อาตมาบอกว่า อาตมาได้ตื่นมาและตกใจ จึงได้สวดมนต์ภาวนา ตะขาบตัวนั้นก็อันตรธานหายไป

นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนต์คาถา และคุณไสยใดๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้ ก็เพราะอำนาจแก่การสวดมนต์ภาวนาของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ได้

ที่อาตมา (สมเด็จโต) ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน เพื่อให้เป็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ว่า เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนต์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้ ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน

ท่านเจ้าพระยา และ อุบาสก อุบาสิกา ในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยกมือขึ้นสาธุ
ว่า อานิสงส์ของการสวดมานต์ช่างมีคุณค่าสูงส่งยีงนัก


จากหนังสือ อมตะธรรม สมเด็จโต

40
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / อ่านตรงนี้นิด
« เมื่อ: 19 มีนาคม 2013, 21:24:19 »
ลูกชาย : พ่อครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย ?
พ่อ : แน่นอน ได้สิ , ลูกจะถามอะไร
ลูกชาย : พ่อครับ ใน 1 ชั่วโมงพ่อหาเงินได้เท่าไหร่เหรอครับ ?
พ่อ : มันไม่ใช่ธุระอะไรของลูก ทำไมถึงถามอะไรแบบนี้ ?
ลูกชาย : ผมแค่อยากรู้ ได้โปรดบอกผมเถอะครับ
ใน 1 ชั่วโมงพ่อหาเงินได้เท่าไหร่เหรอครับ ?
พ่อ : ถ้าลูกต้องรู้ให้ได้ พ่อก็จะบอกให้ฟัง
ใน 1 ชั่วโมง พ่อหาเงินได้ 100 บาท
ลูกชาย : โห !!! (ทำหน้าเศร้าพร้อมกับก้มหน้าลง)
ลูกชาย : พ่อครับ ผมขอยืมเงินพ่อ 50 บาทได้มั้ย ?

พ่อของเขาโมโหอย่างมาก
พ่อ : ถ้าด้วยเหตุผลที่ลูกถาม
เพียงเพราะอยากจะขอยืมเงินพ่อ
เพื่อไปซื้อของเล่นห่วยๆ หรือ สิ่งของไร้สาระพวกนั้น
ลูกควรจะนำตัวเองตรงกลับไปที่ห้อง และ เข้านอน
พร้อมกับคิดว่าทำไมถึงเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้
พ่อทำงานหนักทุกวัน เพื่อเลี้ยงลูกที่มีนิสัยอย่างนี้เหรอ

เด็กชายตัวน้อย เงียบลง
และค่อยๆเดินขึ้นไปที่ห้องของเขาและปิดประตูลง

พ่อนั่งลงด้วยความโมโห นึกย้อนคิดถึงคำถามของลูกชาย
เขากล้าถามกับเราอย่างนั้นได้อย่างไร
เพียงเพื่อแลกกับเงินบางส่วน
ผ่านไป 1 ชั่วโมง... อารมณ์ของพ่อเริ่มสงบลง และเริ่มคิดได้ว่า
บางทีอาจจะมีบางสิ่งที่มีราคา 50 บาท ซึ่งลูกอยากได้จริงๆ
และความจริงแล้ว เขาก็ไม่เคยถาม หรือ ขอเงินเรามาก่อนเลย
ดังนั้นเอง พ่อจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปหาลูกน้อยที่ห้องนอน

พ่อ : ยังไม่นอนอีกเหรอลูก ?
ลูก : ไม่ครับพ่อ ผมยังไม่นอน
พ่อ : พ่อมาคิดดูแล้ว บางทีพ่อคงทำงานจนเหนื่อยเกินไป
ถึงได้พูดกับลูกแรงขนาดนั้น
นี่เงิน 50 บาทที่ลูกขอยืมพ่อ เอาไปสิ

หนุ่มน้อยฉีกยิ้มด้วยความดีใจ พร้อมกับลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น เขาก็รีบดึงแบงค์ยับๆจำนวนหนึ่ง
และ เศษเหรียญเล็กๆน้อยๆ ออกมาจากใต้หมอนของเขา
เขานั่งบรรจงนับมันอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองพ่อ
ในขณะเดียวกันกับที่พ่อเริ่มจะโมโหขึ้นอีกรอบ
เพราะเห็นลูกชายซ่อนเงินจำนวนหนึ่งไว้ใต้หมอน

พ่อ : ลูกจะเอาเงินเยอะแยะขนาดนี้ไปทำอะไร
ในเมื่อลูกก็มีมันอยู่มากแล้ว (พ่อถามพร้อมอารมณ์เริ่มโกรธ)

ลูกชาย : เพราะผมมีไม่พอครับพ่อ แต่ตอนนี้ผมครบแล้ว
พ่อครับ นี่เงิน 100 บาท ผมขอซื้อเวลาทำงานของพ่อ 1 ชั่วโมง
พรุ่งนี้ตอนเย็น พ่อช่วยกลับบ้านมาเร็วๆนะครับ
ผมเพียงแค่อยากจะกินข้าวเย็นกับพ่อครับ

พ่อหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เพราะความเจ็บปวดที่หน้าอก
รู้สึกเหมือนดวงใจของเขา มันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
พ่อรีบคุกเข่าลง โผเข้ากอดลูกชายทั้งน้ำตา
พร้อมกับขอให้ลูกชายสุดที่รักยกโทษให้ตัวเขา

นี่เป็นเพียงเรื่องสั้นๆ ที่อยากเตือนให้คุณคิดว่า
เราไม่ควรปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ความหมาย
พรุ่งนี้ หากคุณตายลงที่ทำงานของคุณ
ก็สามารถหาคนมาทำงานแทนที่ช่วงเวลาของคุณได้อย่างง่ายดาย
แต่สำหรับครอบครัวและคนที่คุณรัก พวกเขาเหล่านั้น
ไม่สามารถหาใครมาแทนที่ช่วงเวลาที่สูญเสียไปจากคุณได้

ลองถามตัวเองดูว่า ทุกวันนี้
ตัวของคุณใช้เวลาไปกับสิ่งใดมากกว่ากัน
ระหว่าง การทำงาน หรือว่า ครอบครัว ?

แล้วถามใจตัวเองอีกครั้ง ว่าสิ่งใดกันแน่
ที่มีความสำคัญกับชีวิตของคุณมากกว่ากัน ?

Cr.Rish Valentine
แปลไทยโดย : เด็กหนวด

41
นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุดเกิดขึ้นมากผิดปกติ
เปิดเผย ไม่เกรงกลัว
กลุ่มต่อต้านกษัตริย์ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น
แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ
ด้วยการป้อนชุดข้อมูลที่ดูเหมือนจริง แต่เป็นความเท็จ

ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงและบริษัทประชาสัมพันธ์
ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
(ประมาณ 30.3 ล้านบาท)
เพื่อไปล็อบบี้สมาชิกรัฐสภาและรัฐบาลอเมริกันเพื่อผลทางการเมืองของตน

อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น คือ
เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้น
อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐทวีความเข้มแข็งมากขึ้น
มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย เขียนบทความภาษาต่างๆ
ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่งคือ เจ.เค.
แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations)
อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์
และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามกษัตริย์สลับกันมาหลายปีแล้ว

อีกคนหนึ่งคือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างให้มาทำงานด้านนี้
และเป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ "อากง"
มาเขียนโจมตี ม.112 เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในความเป็นจริง
คนพวกนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย
แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทยสายสาธารณรัฐที่คนไทยรู้จักดี

ในกลางปี 2556 นักล็อบบี้พวกนี้วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการ ในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies)

ซึ่งมีคนไทยที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์มีอิทธิพลอยู่
การอภิปรายดังกล่าวมีเป้าหมายมุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทยเป็นการเฉพาะ
รวมทั้งมีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ

ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐานจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย รัฐสภาของสหรัฐ ที่ดูเผินๆ
แล้วน่าเชื่อถือ หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน
เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2554 ในวาระครบ 7 รอบ 84
พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นักล็อบบี้อเมริกันได้ส่งชุดข้อมูลที่ปั้นแต่งขึ้นจนทำให้สมาชิกสภาหลงเชื่อได้
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ส่งหนังสือถวายพระพรตามที่เคยปฏิบัติมา

จนสภาสูงต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน สะท้อนให้เห็นว่า
นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกันทำงานให้กับนายจ้างอย่างได้ผล
ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิดและต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย
ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน

ไม่เพียงแต่เท่านั้น สถาบันบางแห่งของสหรัฐ เช่น
กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy)
ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐคิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท
และอีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์
ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา โดยอ้างว่าเพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชน ในการพัฒนาประชาธิไตย

แต่กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม
โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันสูงสุด

นักล็อบบี้เหล่านี้ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่งหรือหลายชุด
และไปเคลื่อนไหว ชักจูง ชี้นำ โน้มน้าวให้สมาชิกรัฐสภา

และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทกรรมที่ว่า
สถาบันสูงสุดเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย สถาบันทำลายสิทธิมนุษยชน
อ้างว่าปัญหาของเมืองไทยไม่ใช่เรื่องการเมือง
แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น
"ทางออก" ของชาติ

พวกนี้พยายามป้อนข้อมูลให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า "สถาบันไม่สู้แล้ว"
เพราะถ้าสถาบันไม่สู้
สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่นนอกจากจะยืนข้างฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามสถาบัน
และเป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น
อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุดตลอดมา

หากสหรัฐและประเทศเหล่านี้สรุปว่า ฝ่ายสถาบันแพ้แน่
สหรัฐและประเทศเหล่านี้ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ
ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ

อย่างไรก็ดี ฝ่ายสถาบันส่งสัญญานมาหลายครั้งแล้วว่า "ยังสู้" และ
"ไม่ยอมแพ้" โดยเฉพาะวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555
ที่ประชาชนชาวไทยไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ
อย่างมืดฟ้ามัวดินเพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร สะท้อนให้เห็นว่า
ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แต่ปรากฏ "แรงเฉื่อย" ในสถาบันทหาร ศาล และรัฐบาล จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุด ของประเทศให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้

รัฐบาลชุดก่อนเคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน
เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง
"ศูนย์ไทยศึกษา" และ "เพื่อนประเทศไทย"
เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่ปรากฏว่า
ศูนย์เหล่านี้กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด
และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป

ไทยถูกคุกคามด้วยสงครามยุคใหม่ ทั้งสงคราม อสมมาตร (Asymmetric Warfare)

เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553
และสถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และ
สงครามไซเบอร์ สงครามทั้งสามนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ
แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็น Global
Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้ มีข่าวว่า
สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ ที่เรียกว่า
"แบล็ควอเตอร์" ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย
โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เบี้ยเลี้ยงต่างหาก
เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ

อเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว

อันตรายที่เกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเรื่องจริงและหนักหนา
ชาติและสถาบันกำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง
สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศเป็นเพียง "ยอดภูเขาน้ำแข็ง"
ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ

บทความนี้ไม่ต้องการให้คนไทยไปต่อต้านสหรัฐ
เพียงแต่ขอให้เพื่อนอย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติและราชบัลลังก์เท่านั้น
ปัญหาของประเทศไทยต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก
เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้ายในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์
ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า สถาบันสูงสุดยังสู้
และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ

โดย ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ

42
    ในวันที่ 29 เมษายน 1961 นายแพทย์ Leonid Rogozov ชาวโซเวียต อายุ 27 ปี แพทย์ประจำคณะสำรวจแอนตาร์กติก ที่ 6 เกิดเจ็บท้องเฉียบพลัน บริเวณรอบสะดือ ก่อนจะย้ายมาปวดท้องบริเวณท้องส่วนล่างด้านขวา และมีไข้สูง

    นายแพทย์ Leonid Rogozov รู้ได้ในทันทีว่านั้นคืออาการของไส้ติ่งอับเสบ(Appendicitis)

    แต่คุณหมออยู่ท่ามกลาง ทวีปที่โดดเดี่ยว ห่างไกล และทุรกันดารที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ไม่มีแพทย์คนอื่น ไม่มีเครื่องบิน หรือพาหนะอื่นได้ที่จะส่งคุณหมอไปรักษาอย่างทันท่วงที

    ทางรอดเพียงของคุณหมอคือ การผ่าตัดตัวเอง ( Self surgery )

    ใน คืนวันที่ 30 เมษายน 1961 คุณหมอได้ลงมือผ่าตัดไส้ติ่งตัวเอง โดยใช้ฉีดยาชาเฉพาะที่ Novocaine เปิดช่องท้องเป็นแผลยาว 12 เซ็นติเมตร

    ทำการผ่าตัดโดยใช้มือสัมผัส และมองผ่ากระจก ที่ถือโดยผู้ช่วยจำเป็น

    ผู้ช่วยจำเป็น คือ วิศวกรเครื่องกล และนักอุตุนิยมวิทยา ที่ทำหน้าที่เป็นลูกมือช่วยผ่าตัด หยิบของ ถือกระจกให้คุณหมอมอง เพื่อผ่าตัดผ่านกระจก

    การผ่าตัดใช้เวลาทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง 45 นาที

    คุณหมอใช้เวลาพักพื้นอยู่ 5 วันอาการไข้ และอุณหภูมิร่างกายจึงกลับสู่ภาวะปกติ และพักต่ออีก 2 วันแผลผ่าตัดจึงทุเลา

จาก http:// http://www.wowboom.blogspot.com

43
       ประการที่แปด คนไทยไม่เข้าใจระบบการทำงาน ของแพทย์ของโรงพยาบาล ทำให้เกิดความไม่พอใจเพราะไม่ตรงกับสิ่งที่ตนคิด เริ่มตั้งแต่เข้าไปเป็นคนไข้ ครั้งแรก ต้องทำบัตรของโรงพยาบาล ต้องถูกถาม เรื่องอาชีพ เรื่องรายละเอียดบางอย่าง ต้องขอดูบัตร ประจำตัวประชาชน ใครเป็นคนจ่ายเงินประกันฯ บริษัทฯ หรือตนเองก็หงุดหงิดแล้ว จะรู้ไปทำไม? ไม่มีบัตร? แต่โรงพยาบาลจำเป็นต้องรู้เพราะในบาง ครั้งเกิดปัญหาทางกฎหมาย เช่น คนไข้ถึงแก่กรรม หรือเกิดคดี ข้อมูลไม่เที่ยง บางคนมีการฟ้องร้องกันเอง มาขอหลักฐานจากโรงพยาบาลไม่ตรงความจริง เป็นต้น บางคนปลอมชื่อมาลงทะเบียน บางคนเขียนชื่อผิด พอต้องการหลักฐานเกิดปัญหา วิธีการรักษาต่างๆ ก็ไม่ เข้าใจ เช่น ญาติคนไข้ฟ้องว่าคนไข้ไส้ติ่งแตก ช็อค ทำไมไม่รีบผ่าตัด แพทย์ไม่ได้อธิบายว่าต้องแก้สภาพ ช็อคให้ดีก่อนจึงจะผ่าได้ มิฉะนั้น คนไข้อาจไม่รอด จากการผ่าตัดก็จะถูกฟ้องอีก เป็นต้น มีความจำเป็นที่ ทุกโรงพยาบาลต้องมีระบบข้อมูลที่จะสื่อให้ญาติคนไข้ ได้เข้าใจลักษณะการทำงานของโรงพยาบาล ซึ่งขณะ นี้โรงพยาบาลส่วนใหญ่ยังไม่มี เพราะจัดหาคนที่จะ ทำหน้าที่รอบรู้ทุกอย่างได้ยาก

        ประการที่เก้า สื่อต่างๆเป็นเสมือนพัดที่ทำให้ไฟของความไม่พอใจโรงพยาบาลลุกโพลงขึ้นอย่างมาก ถ้ามองใน มุมหนึ่งก็มีส่วนดีที่นำความยุติธรรมมาสู่สังคม เพราะ บางกรณีโรงพยาบาลและแพทย์ก็ทำสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ถ้า สื่อต้องการขายข่าวอย่างเดียว อยากให้ดัง ซึ่งคนฟัง คนอ่านจะมีความสงสารเห็นใจผู้เคราะห์ร้ายสูญเสีย คนในครอบครัวอยู่แล้ว แต่สิ่งที่คนไข้หรือญาติเสนอ อาจไม่เที่ยงไม่ถูกต้อง เพราะความไม่เข้าใจในระบบ การรักษาพยาบาล เช่น คดีไส้ติ่งแตกไปรักษาที่ศิริราช ไม่ได้รับการดูแลที่ดี และมารดาจะขายไตเพื่อเอา ไปฟ้องแพทย์ มารดาคนไข้ร้องไห้บรรยายเป็นชั่วโมง ผู้คนสงสารเห็นใจ ตอนจบจึงโทรถามนายกแพทยสภา ชี้แจงบอกว่าปิดคดีเรื่องนี้นานแล้ว คดีไม่มีมูล เพราะ ไส้ติ่งแตกก่อนมาโรงพยาบาลแล้วและคนไข้ช็อคมีภาวะ เป็นกรดในเลือด ไตไม่ค่อยทำงาน ถ้าไปผ่าเลยคงไม่ รอดชีวิต ต้องแก้ไขให้ดีขึ้นก่อนจึงไปผ่าตัด จะมีผู้ฟังสัก กี่คนฟังจนจบและรู้เหตุผล ลักษณะเช่นนี้ไม่ควรทำ ควรให้โอกาสแก่แพทย์เท่าๆกันในการให้ข้อมูลฟังทั้งสองฝ่าย อย่าลำเอียง จะทำลายสังคม ทำลายวงการแพทย์ ของไทย

        ประการสุดท้าย ทุกคนต้องเข้าใจว่า แพทย์เป็น มนุษย์อย่างทุกคน มีดีมีเลวมีถูกมีผิด แต่ต้องทำงาน เกี่ยวกับความรอด ความตาย การดีขึ้น เลวลง ซึ่งไม่ได้ อยู่ที่แพทย์คนเดียว โรคเดียวกันแต่คนไข้แต่ละคน แพทย์ต้องพิจารณาให้การรักษาแตกต่างกัน ตำรา แพทย์ที่เรียนกันมาไม่มีอะไรถูก-ผิดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แพทย์จึงต้องเล่าเรียนศึกษาจดจำและนำมาใช้ให้ถูก   กาลถูกเวลา แต่ความสามารถของแพทย์แต่ละคน ต่างกัน ความคิดความอ่านต่างกัน และที่สำคัญ ประสบการณ์ในการดูแลคนไข้ต่างกัน ผลการรักษาจึง แตกต่างกัน จะหวังให้เป็นมาตรฐานเดียวกันไม่ได้ นอกจาก นี้จิตใจ อารมณ์ของแพทย์ที่เป็นมนุษย์แตกต่างกัน เมื่อ พบปัญหาการตอบสนองย่อมต่างกัน การพูดจาโต้ตอบ ต่างกัน บางครั้งทำให้คนไข้หรือญาติไม่พอใจ แพทย์จึง ต้องมีกติกาของวิชาชีพที่เรียก “จริยธรรมของการแพทย์” ที่เป็นมาตรฐานกลางที่ทุกคนต้องรักษา ซึ่งมีมาตั้งแต่ อดีตสมัยฮิปโปเครตีส แต่ที่สำคัญกว่าคือ จิตใจหรือ สันดานแพทย์แต่ละคนย่อมต่างกัน ตามการอบรมของ ครอบครัว ตามสิ่งแวดล้อมของชีวิตไปจนถึงตามหลัก ศาสนาของคนนั้นๆ ในระบบปัจจุบันคนไข้สามารถ เลือกแพทย์ได้ แต่แพทย์ไม่อาจเลือกคนไข้ได้ เราต้อง ทำตามหน้าที่และความรับผิดชอบ นอกจากนานๆครั้ง ที่แพทย์อาจทนคนไข้หรือญาติไม่ได้ หรือไม่มีความ ชำนาญในโรคที่คนไข้เป็นอาจขอให้แพทย์อื่นตรวจ แทนได้ ยกเว้นในกรณีฉุกเฉิน แพทย์ปฏิเสธไม่รักษา ไม่ได้ ที่น่าเห็นใจคือ แพทย์ที่เพิ่งจบถูกส่งไปอยู่ในอำเภอ ที่ต่างจังหวัดมีแพทย์เพียง 2-3 คน ต้องผลัดกันอยู่เวร ต้องให้การรักษาคนไข้ทุกประเภท รวมถึงต้องผ่าตัด คนไข้ด่วนโดยไม่มีแพทย์ดมยา ต้องใช้ยาชาฉีดสันหลัง ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ แต่จะทำอย่างไรได้ คนไข้ นอนรอความตายอยู่ตรงหน้า ไม่ทำก็ไม่ได้ถูกฟ้องว่าปล่อย คนไข้ตาย ทำไปถ้าคนไข้เสียชีวิตจะถูกญาติคนไข้โจมตี ฟ้องร้องว่าทำให้คนไข้ตาย เรียกค่าเสียหายอีก ตราบใด ระบบการแพทย์ยังคงใช้ระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค และยึดตัวเลขของจำนวนคนไข้เป็นหลักมากกว่าคุณภาพ ของการรักษาปัญหานี้คงแก้ไม่ได้ น่าสงสารแพทย์จบใหม่ที่ต้องไปพบสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าไม่มีการแก้ไข คงจะหาคนเรียนแพทย์น้อยลงทุกที ตามระบบการแพทย์ ปัจจุบันแพทย์จบใหม่ควรได้ปฏิบัติงานเฉพาะระบบ โรคภายใต้ความควบคุมช่วยเหลือของแพทย์อาวุโส  อย่างน้อย 1-2 ปี จึงจะพอปล่อยเดี่ยวไปอยู่ตาม โรงพยาบาลเล็กๆ หรือสถานีอนามัยเหล่านั้นได้ มิฉะนั้น การฟ้องร้องคงจะมีต่อไปไม่รู้จบและทำความเสียหายให้แก่ ความสัมพันธ์ของคนไข้และแพทย์อย่างร้ายแรงมากขึ้น ผู้ที่จะมาเรียนแพทย์คงหายากมากอาจได้คนที่คุณภาพ ไม่ดี คนที่มีใจรักจะช่วยเหลือคนไข้จะหลบหนีไป เรียนอย่างอื่นหมด เพราะเขาเรียนเก่งเลือกเรียนอะไร ก็ได้ ในฐานะแพทย์รักษาคนไข้มา 50 ปีได้รู้ได้เห็นการ ปฏิบัติตนของแพทย์ ซึ่งย่อมมีกิเลสต่างๆกัน บางครั้ง ดูแต่ผลประโยชน์ตนเอง ทำทุกอย่างเพื่อตนเอง แม้แต่ ในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร ผิดจรรยาแพทย์ ไม่คำนึงถึงความ ถูกผิด เอาแต่ได้ ซึ่งต้องยอมรับว่า “มี” โดยเฉพาะใน บางแห่งที่สิ่งแวดล้อมเกื้อหนุนให้เป็นเช่นนั้น เขาดู คนไข้เป็น “ลูกค้า” หรือ “ผู้รับบริการ” เขาต้องตักตวง ผลประโยชน์ให้มากมาย แต่ผู้เขียนเชื่อว่าวิธีการนี้ ไม่น่าจะยั่งยืนในเมืองพุทธอย่างไทยเรา ในการแก้ ปัญหาการฟ้องร้องนี้ ทางแพทย์ต้องมีการปรับปรุง  หลายอย่าง แต่ที่สำคัญระบบการคิดค่ารักษาพยาบาล ของแพทย์จะต้องอยู่ในความ “พอเพียง” อย่าใช้กิเลส  ของตนเองไม่กี่คนทำให้วงการแพทย์ไทยทั้งหมด ต้องกระเทือนไปด้วยอย่างมาก

 เรื่องสุดท้ายที่อยากให้คนไทยในสังคมยุคใหม่ ตระหนักและเข้าใจ คือ ถ้ายังไม่พยายามทำความเข้าใจกับ ระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน และยึดเอาระบบของการ  ฟ้องร้องของประเทศอื่นโดยเฉพาะอเมริกา จะนำความ หายนะมาสู่สังคมไทยอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ เพราะจะต้อง มีการปรับปรุงป้องกันตัวเองจากแพทย์ โดยวิธีที่เรียกว่า “การแพทย์แบบตั้งรับ” (Defensive Medicine) เช่น ในต่างประเทศ คือ คนไข้ทุกคนจะได้รับการตรวจทุก ชนิดไม่ว่าจำเป็นหรือไม่ ถูกหรือแพง เพื่อช่วยในการ วินิจฉัยและป้องกันตัวเองในกรณีเกิดฟ้องร้องขึ้น ว่าได้ทำทุกอย่างแล้วใครเสียหาย? คนไข้ต้องจ่ายเงิน  มากขึ้นอย่างมากเพื่อการตรวจเหล่านั้น ในการรักษา  แพทย์จะพยายามปรึกษาแพทย์ในแขนงวิชาอื่นมาร่วมดูเพื่อป้องกันว่าไม่ดูแลรอบคอบ ใครเสียหาย? คนไข้ ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลมากขึ้น และยิ่งกว่านั้น แพทย์ทุกคน โรงพยาบาลและสถาบันการแพทย์ทุกแห่งจะ ต้องซื้อประกันวิชาชีพ ซึ่งจะต้องเสียค่าประกันสูงขึ้นตาม อัตราการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งตัวอย่างในอเมริกา สูงมาก จนบางวิชาชีพแพทย์เปลี่ยนงานไป เช่น สูติแพทย์จำนวนมากเลิกคลอดบุตร เพราะถ้าเด็กออก  มามีปัญหาพิการอะไรก็จะถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายสูง มาก ซึ่งแน่นอนผู้ที่ต้องแบกภาระนี้คือ คนไข้ต้องเสียค่า รักษาพยาบาลให้แพทย์และโรงพยาบาลต่างๆสูงมากขึ้น เพื่อชดเชยสิ่งที่ต้องเสียไป ยิ่งกว่านั้น เยาวชนรุ่นใหม่จะ ไม่สนใจที่จะมาเรียนแพทย์ เพราะรู้ว่าเรียนยาก งานหนัก เงินเดือนน้อย และทำงานไม่มีความสุข ต้องระวังตัว  ตลอดเวลา เด็กที่เก่งๆจะเปลี่ยนใจ คนเรียนแพทย์น้อย ลง เช่นที่เกิดขึ้นในอเมริกาขณะนี้

        สังคมไทยต้องการให้เป็นเช่นนี้หรือ?! ถ้าไม่ต้องการ ต้องเปลี่ยนความรู้สึก ท่าที และทำความเข้าใจกับระบบการแพทย์ปัจจุบันและยึดธรรมะของพระพุทธศาสนาแทน โดยเฉพาะในเรื่องของ “อนิจจัง” เรื่องของ “กรรม” ตัวอย่างเช่น คนแข็งแรงดีๆเดินอยู่อาจถูกรถวิ่งเข้ามาชน ตายก็ได้ ขับรถไปชนคนอื่นเขาตายหรือบาดเจ็บก็ได้ หรืออย่างที่ดาราดังนอนตายอยู่ในห้อง ถ้ารายนี้ถูก นำตัวไปโรงพยาบาลแล้วตายอาจเป็นข่าวครึกโครมแพทย์หรือโรงพยาบาลอาจถูกตำหนิว่าคนแข็งแรงมาดีๆตายได้ ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องจะทำให้ระบบการรักษาพยาบาล ของไทยเรากลับไปสู่สภาพที่เคยเป็นมาในอดีต แทนที่ จะมีสภาพอย่างปัจจุบัน เปรียบว่าคนไข้มาหาหมอ เหมือนเอามือไขว้มีดไว้ข้างหลัง ถือว่าหมอคือผู้ไม่หวังดี จะเอาประโยชน์จากตน แทนที่จะดูว่าหมอเป็นพระ เป็นครู เป็นญาติผู้ใหญ่ อย่างที่เราเคยเป็นมาในอดีต ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ กระแสจากสื่อ ทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ โดยเฉพาะรายการเสวนาต่างๆ และวงการ กฎหมายกลับกระพือซ้ำเติมให้สภาวะการณ์เลวร้าย ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหวังดีจริงๆจะต้องช่วยกันรักษาความ สัมพันธ์อันดีระห   ว่างหมอกับคนไข้ให้อยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความสงสาร ความเมตตา และความเข้าใจอันดี และ อโหสิกรรม ซึ่งต้องปรับปรุงแก้ไขตนเองทั้งคนไข้ แพทย์ และสื่อต่างๆ

        สังคมจะไปทางไหนจะลงสู่เหวหรือไม่ อยู่ที่ส่วนใหญ่ ของสังคมไทยจะเลือกเอาเอง ถ้าไม่ทำอะไรในวันนี้จะเป็น การสายเกินการที่จะดึงสังคมไทยขึ้นจากเหวลึก ซึ่งโอกาส จะสำเร็จน้อยมาก เพราะมีผู้เสียผลประโยชน์ ได้แก่ บริษัทประกัน สื่อ และวงการกฎหมาย

        ทุกคนในสังคมไทยทั้งแพทย์และคนไข้ต้องตัดสิน ใจเองว่า จะเดินไปทางใด!?

นายแพทย์สมพนธ์ บุณยคุปต์
วิชัยยุทธจุลสาร  ฉบับที่ 36 ประจำเดือน มกราคม - เมษายน 2550

44
          ประการที่ห้า ระบบการรักษาโรคที่คนไข้และ ญาติมิตรจะต้องปรับความเข้าใจหลายอย่าง ได้แก่ ทางการแพทย์แบ่งวิธีการรักษาเป็น การรักษาเบื้องต้น (Presumptive Treatment) ซึ่งอาจเป็นการรักษาตาม อาการ (Symptomatic Treatment) เช่น ปวดหัวเป็นไข้ให้ ยาลดไข้ก่อน ปวดท้องให้ยาลดการปวดท้อง เพราะเรา วินิจฉัยโรคแน่นอนยังไม่ได้หรือเป็นโรคที่ไม่มียารักษา จึงต้องรักษาตามอาการ เช่น ไข้เลือดออก หรือโรคจาก ไวรัสบางตัว แต่เมื่อรู้สาเหตุแน่นอนแล้วจึงให้ การรักษา เด็ดขาด (Definitive Treatment) เช่น เป็นไข้ไทฟอยด์ ให้ยาปฏิชีวนะที่ฆ่าเชื้อไทฟอยด์ได้ดี การรักษาบางครั้ง เป็นการรักษารีบด่วน (Emergency Treatment) สุดแต่ อาการคนไข้ที่มาหา ถ้าอาการหนักมาก เช่น หายใจ ไม่ทันต้องให้ออกซิเจนหรือใส่ท่อหายใจ หัวใจหยุด ใช้เครื่องนวดหัวใจร่วมกับการนวดหัวใจด้วยมือ เพื่อช่วยชีวิต ช็อคความดันตกต่ำกว่าปกติต้องฉีดยากระตุ้นหัวใจเพิ่มความดัน ให้น้ำเกลือหรือสารละลาย อื่นๆเข้าเส้น เมื่อสภาพคนไข้ดีขึ้นจึงพยายามหาต้น เหตุและให้การรักษาต่อไป ซึ่งการรักษาอาจไม่ได้ ผลเพราะโรคเป็นมากเกินแก้หรือคนไข้มาสายเกินไป พบแพทย์ในระยะสุดท้ายแล้วหรือโรคบางอย่างรักษา อย่างใดก็ช่วยไม่ได้ โรคบางชนิดมีอัตราตาย (Fatality หรือ Mortality Rate) เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ บางโรค 10-50 เปอร์เซ็นต์ บางโรคไม่มีอัตราเสียชีวิตเลย บางโรค หายแล้วหายเด็ดขาด (Cure) บางโรคหายแล้วกลับ เป็นได้ใหม่ (Recurring หรือ Relapsing) บางโรคหาย แล้วยังมีภาวะผิดปกติเหลืออยู่ เช่น เส้นเลือดสมองแตก ถ้าไม่ตายอาจเป็นอัมพฤกษ์หรือเคลื่อนไหวได้บ้าง หรืออัมพาตคืออวัยวะนั้นๆเคลื่อนไหวไม่ได้เลย ไวรัส  ?”เริม” เข้าเส้นประสาทที่หน้าทำให้หน้าซีกหนึ่งเบี้ยว บางโรคหายแล้วเหลือแผลเป็นอยู่ เช่น วัณโรคปอด หรือแผลในปอด โรคผิวหนังหลายอย่างเช่น คุดทะราด หรือแผลเป็นหรือนิ้วกุด หูแหว่งจมูกโหว่ นอกจากนี้ วิธีรักษาโรคแต่ละโรคมีหลายวิธี ยาที่ใช้มีหลายตัว สุดแต่สภาพของคนไข้ เศรษฐฐานะของคนไข้ และความ ชำนาญของแพทย์ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าถ้าไม่ได้รักษา ตามวิธีที่คนไข้รู้หรือต้องการแล้วจะผิด นอกจากนี้ เราควรจะเข้าใจถึงธรรมชาติของการเจ็บป่วย ที่ท่าน บอกว่า “โรคบางชนิดรักษาก็ตายไม่รักษาก็ตาย บาง ชนิดรักษาก็หายไม่รักษาก็หาย บางชนิดไม่รักษาก็ตาย รักษาก็หาย” จึงเป็นธรรมชาติหรือสัจธรรมของความ ป่วยเจ็บที่สังคมใหม่ต้องเข้าใจ วิทยาศาสตร์ไม่สามารถ แก้ไขควบคุมทุกอย่างที่เป็นธรรมชาติได้

        โรคบางอย่างคนทั่วไปเข้าใจผิดคิดว่าเป็น โรคง่ายๆ วินิจฉัยง่าย รักษาง่าย ที่เป็นปัญหาบ่อยๆคือ “ไส้ติ่งอักเสบ” เป็นความจริงที่ว่าในบางรายโรคไส้ติ่ง วินิจฉัยง่ายเพราะอาการปวดท้องด้านขวาล่างชัดเจน มีไข้ คนไข้ยังรู้เองว่าน่าจะเป็นไส้ติ่ง แต่ไม่เสมอไป ความจริงศัลยแพทย์และแพทย์ทางระบบโรคทางเดิน อาหารกลับคิดว่า โรคไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่วินิจฉัยยากที่สุด โรคหนึ่งในช่องท้อง จากสถิติในต่างประเทศผ่าตัดโดย ไส้ติ่งไม่อักเสบจำนวนมาก คนไข้อาจมาหาแพทย์ด้วย อาการท้องเสียอาเจียนก็ได้ มาด้วยปวดท้องท้องเสียก็ได้ ปวดท้องท้องผูกก็ได้ มาด้วยอาการไข้ท้องอืดก็ได้ การตรวจบางครั้งกดท้องด้านขวาล่างไม่เจ็บเลย บางคน ต้องใช้นิ้วใส่ถุงมือล้วงทางทวารหนักอาจเจ็บบ้าง เพราะ ไส้ติ่งบางรายชี้ไปด้านล่างหรืออยู่หลังลำไส้ใหญ่ทำ ให้กดไม่เจ็บ ส่วนใหญ่ตรวจเม็ดเลือดขาวขึ้นสูงเกินหมื่น แต่บางรายได้ไม่กี่พันตัวทั้งๆที่จะแตกแล้ว จนในปัจจุบัน นี้ก่อนจะวินิจฉัยการผ่าตัดไส้ติ่งถ้าทำได้อย่างน้อยจะต้อง ทำอุลตร้าซาวด์ดูก่อน ถ้าผลไม่ชัดอาจต้องทำคอม- พิวเตอร์สแกน เพราะถ้าเป็นโรคอื่นแพทย์ผ่าตัดเข้าไป ไส้ติ่งปกติก็จะถูกตำหนิจนถึงถูกฟ้องร้อง และทุกราย ต้องส่งตรวจพยาธิสภาพว่าอักเสบจริงเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก บางรายผ่าไปเป็นโรคของลำไส้เล็กต้องตัดลำไส้ขยาย แผลผ่าตัด บางรายเป็นโรคลำไส้ใหญ่ตอนต้นต้อง ผ่าตัดใหญ่ บางรายไม่พบอะไรต้องเย็บปิด กลายเป็น นิ่วของสายไตไป ถ้าในสตรีอาจเป็นปีกมดลูกอักเสบ เพราะอยู่ใกล้กัน บางรายท้องนอกมดลูก บางรายผ่า  เข้าไปปรากฏว่าไส้ติ่งแตกแล้วทั้งๆที่เพิ่งวินิจฉัยได้แน่ และเป็นเพียง 2-3 วัน ทำให้ต้องรักษาใช้ยาฆ่าเชื้อมาก และอยู่โรงพยาบาลนาน และอาจมีภาวะแทรกซ้อน ต่างๆจนถึงชีวิตได้ ก็ถูกฟ้องอีกว่าละเลยจนไส้ติ่งแตก เท่าที่ทราบคำฟ้องร้องที่ถูกส่งไปยังราชวิทยาลัยศัลย- แพทย์ช่วยพิจารณามีถึงปีละ 19 ราย เรื่องนี้จึงเป็นเพียง เรื่องตัวอย่างให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโรคที่คนทั่วไปคิดว่าง่ายมัน ไม่ได้ง่ายอย่างที่คนคิด
..............................................................................

          ประการที่หก วิธีการตรวจสอบทางการแพทย์และ การรักษาไม่ได้มีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างที่คน ทั่วไปคิด เพราะการตรวจทุกชนิดนับตั้งแต่การเจาะน้ำ จากปอด อาจเลือดออกหรือมีลมรั่ว เจาะหนองจากตับ อาจเลือดออกมาก มาส่องกล้องกระเพาะอาหารหรือ ลำไส้มีโอกาสทะลุได้ เพราะลักษณะกระเพาะลำไส้ ที่ไม่ปกติอาจเคยอักเสบมีพังผืดยึดทำให้เวลาเป่าลม ไม่ขยาย เช่นเดียวกับการเจาะรูส่องกล้องช่องท้อง เพื่อตัดไส้ติ่งหรือถุงน้ำดีก็เช่นกัน มีประโยชน์ที่แผล เล็กหายเร็วอยู่โรงพยาบาลน้อยวัน แต่ก็อาจเกิดภาวะ แทรกซ้อนได้ แต่ก็มีความจำเป็นต้องทำเพื่อการ วินิจฉัยรักษาให้ถูกต้องเพื่อประโยชน์ของคนไข้เอง แม้การให้การรักษาด้วยยาธรรมดาใช่ว่าจะไม่เกิดภาวะ แทรกซ้อน คนใดคนหนึ่งอาจแพ้ยาได้ทุกตัว แต่เราต้องให้ เพราะหวังประโยชน์ ในอดีตที่เพิ่งมียาเพนิซิลลินเข้ามากับสเตรพโตมัยซิน มีคนไข้ที่ฉีดเพนิซิลลินแล้วเกิด อาการแพ้รุนแรงที่เรียกว่า Anaphylactic shock หลังฉีดเพียงไม่กี่นาทีอาจมีอาการช็อค ความดันตก หายใจหอบ ผื่นขึ้น และเสียชีวิตได้ในเวลาอันสั้น ถ้า ให้การรักษาได้ทันการก็อาจช่วยชีวิตได้ เมื่อสมัยอดีต เคยมีแพทย์ถูกฟ้องร้องเพราะคนไข้เสียชีวิต แต่ทาง ผู้พิพากษาตัดสินว่าไม่ใช่ความผิดของแพทย์เป็นความ ผิดปกติของคนไข้เองที่แพ้ยารุนแรง ถ้าแพทย์จะได้ สอบถามประวัติก่อนว่า แพ้ยาตัวนี้หรือไม่ ถ้าไม่มีประวัติ ฉีดแล้วแพ้ยาแพทย์ไม่ผิด นอกจากนี้แพทย์ต้องมีเครื่อง ช่วยชีวิตพร้อม เช่น ยาฉีดแอดรีนาลิน ออกซิเจนช่วย การหายใจ เป็นต้น แต่ในปัจจุบันแม้แพ้ยารุนแรงเป็น สตีเวน จอห์นสัน ซินโดรมก็มี ถึงไม่ตายก็มีการฟ้องร้อง กันเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งถ้าคนยุคใหม่ต้องการเช่นนี้ แพทย์จะทำได้อย่างเดียวคือ ไม่ว่าจะใช้ยาอะไรต้อง ให้คนไข้เซ็นอนุญาตให้แพทย์ใช้ได้

        ภาวะแทรกซ้อนในการตรวจและการรักษา อาจเกิดขึ้นได้เสมอ ทางแพทย์มีมาตรฐานการยอมรับว่า มีประมาณกี่เปอร์เซ็นต์เป็นค่าปกติ ถ้าใครทำแล้วพบอัตรา สูงกว่านั้นต้องมีการปรับปรุงแก้ไข อย่างการตรวจ คอมพิวเตอร์เอกซเรย์ของอวัยวะภายในจำเป็นต้องฉีด สีพวกไอโอไดด์เข้าเส้นด้วยจึงจะ เห็นอวัยวะภายในและ ระบบเส้นเลือด ซึ่งมีอัตราการแพ้สีในประชากรทั่วไป ประมาณ 2 รายต่อหมื่นครั้ง ในคนที่ไม่เคยแพ้ซึ่ง การแพ้อาจรุนแรงถึงชีวิตได้ในเวลาอันสั้น แต่ถ้าได้ ตรวจก็ไม่รู้โรค ไม่รู้วิธีรักษา นอกจากการซักประวัติ เรื่องการแพ้อาหารทะเล ถ้าแพ้ไม่จำเป็นจริงๆเราไม่ทำ หรือต้องให้ยาป้องกันการแพ้ไว้ก่อนและเตรียมการ ช่วยเหลือทันทีที่เกิดอาการแพ้ขึ้น และการแพ้มักรุนแรง เพราะต้องฉีดสารเข้าเส้น  นานๆครั้งเราอาจช่วยชีวิตเขาไม่ได้ ส่วนหนึ่งเพราะสภาพโรคของคนไข้ ร้ายแรงอยู่แล้ว

        การตรวจรักษาสมัยใหม่ที่สะดวกแก่คนไข้ ใช้เวลาอยู่โรงพยาบาลน้อยลง เช่น การผ่าถุงน้ำดีโดย ใช้วิธีส่องกล้อง การส่องกล้องตรวจหลอดลม ปอด กระเพาะลำไส้ใหญ่ กระเพาะปัสสาวะ ล้วนแต่อาจเกิด ภาวะแทรกซ้อนได้ทั้งนั้น คนไข้และญาติมิตรจึงควร  เข้าใจและร่วมมือในการตรวจรักษาเพื่อประโยชน์ของทุกคนเอง สรุปคือคนไข้และญาติต้องเข้าใจว่าการ ตรวจการรักษาทุกอย่างอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ทั้งสิ้น มีอัตราเสี่ยงเท่ากับเราเดินข้ามถนนที่มีรถมาก บาง ครั้งเกิดเหตุสุดวิสัยที่ไม่มีฝ่ายใดอยากให้เกิด แต่ต้อง ทำเพื่อประโยชน์ของคนไข้ทุกคนเอง

        ประการที่เจ็ด สิ่งที่เหมือนการราดน้ำมันลงใน กองเพลิง คือ “ระบบการคิดค่ารักษาของแพทย์” ซึ่งแต่ เดิมเมื่อเป็นแพทย์แผนไทยมีแต่ค่า “ยกครู” และ ค่าสมุนไพร ต่อมาแพทย์ยุคต้นๆไปเยี่ยมรักษาคนไข้ ถึงบ้านมี “ค่าเปิดกระเป๋า” บ้าง ต่อมาเป็นคลินิคแพทย์ ที่ตั้งคลินิคจะไม่คิดค่ารักษา แต่จะรวมอยู่ในค่าฉีดยา (ซึ่งทำให้คนไข้ยุคก่อนถูกฉีดยาตามคลินิคเกือบทุกราย) และค่ายาที่แพทย์คิดกับคนไข้จะสูงกว่าราคายาที่ซื้อมา จากร้านขายยาเล็กน้อย แพทย์ที่ตั้งคลินิคหรือ โรงพยาบาลเอกชนจึงสามารถตั้งอยู่ได้

        ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แพทย์จบจาก ต่างประเทศมากขึ้น ได้นำเอาระบบ “ค่ารักษาของ แพทย์” (Professional Fee) เข้ามาใช้โดยคิดค่าแพทย์ แยกออกไปชัดเจนโดยมีอัตราแตกต่างกันตามแต่ แพทย์และตามแต่บริการที่แพทย์ให้ เช่น ทำคลอด ผ่าตัดฯ แรกๆอยู่ในอัตราอันควร แต่ต่อมาเมื่อระบบ นี้แพร่หลาย แพทย์บางคนหยิ่งในความรู้ความชำนาญ ของตน จึงขึ้นราคาสูงกว่าคนอื่น แพทย์คนอื่นๆกลัวว่า จะกลายเป็นแพทย์ชั้นสองร่วมกับกิเลสที่มีสูงอยาก รวยเร็วก็คิดตาม บางคนเอาอัตรารักษาของอเมริกา มาใช้โดยเปลี่ยนอัตราเป็นเงินบาท ซึ่งลืมนึกถึงความ แตกต่างของระบบว่าคนอเมริกันมีบริษัทอินชัวรันส์หรือ หน่วยของรัฐต่างๆเป็นผู้จ่าย แต่คนไทยเงินมาจาก กระเป๋าและเงินออมของคนไข้เองจึงมีความเดือดร้อน ทางแพทยสภาได้รู้เห็นปัญหานี้ พยายามจัดทำอัตราค่า รักษาพยาบาลที่เหมาะสมออกมา สิ่งนี้คือปัจจัยสำคัญอัน หนึ่งที่ทำให้สัมพันธภาพระหว่างคนไข้ไทยกับแพทย์เปลี่ยน ไปจนมีความรู้สึกเป็นอริกัน ใครพลาดจะเอาเป็นเอาตาย เรื่องนึ้จึงอยู่ที่วงการแพทย์ยุคใหม่จะพิจารณาแก้ไข กันเองว่าจะปล่อยไปตามสังคมอเมริกัน หรือแก้ไข ให้อยู่ใน “ความพอเพียง”
....................................................................................

45
        ในอดีตอันยาวนานคนไทยรักษาตนเองด้วย สมุนไพรและแพทย์แผนไทยที่สืบทอดมานับพันปี ระบบการแพทย์ปัจจุบันได้เกิดขึ้นในประเทศไทยพร้อม กับการตั้งโรงพยาบาลศิริราช หลังการสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ฯ ตั้งแต่ พ.ศ.2431 ต่อมา จึงเกิดโรงเรียนแพทย์ที่เรียกว่า “ราชแพทยาลัย” ผลิต แพทย์ตามวิชาการแพทย์สมัยใหม่และมีแพทย์จบ  ประกาศนียบัตรรุ่นแรกเมื่อ พ.ศ.2436 ต่อมาจนถึงปี 2470 จึงเปลี่ยนเป็นผลิตแพทย์ปริญญาเป็นรุ่น 34  โดยได้รับความสนับสนุนจาก มูลนิธิรอคกี้เฟลเลอร์ ถือ ได้ว่าการแพทย์สมัยใหม่มีอายุเพียง 100 ปี แต่การ  แพทย์ปัจจุบันของเมืองไทยได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะได้ส่งอาจารย์แพทย์สาขาต่างๆไปศึกษาเพิ่มเติม ต่างประเทศทั้งที่อังกฤษ เยอรมัน อเมริกา แคนาดา  จนถึงญี่ปุ่น ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อเมริกา ขาดแคลนแพทย์มาก แพทย์ไทยได้รับทุนหรือไปโดยทุน ส่วนตัวไปใช้เวลาประมาณ 5 ปี จบการศึกษาระดับ สูงเป็นจำนวนมากและได้ไปศึกษาต่างประเทศกลับมา ปฏิบัติงานในเมืองไทยทั้งในโรงเรียนแพทย์ต่างๆที่ เพิ่มขึ้นหลายแห่ง เช่น จุฬา เชียงใหม่ สงขลา ขอนแก่น ได้นำเครื่องมือแพทย์ วิธีการตรวจรักษาใหม่ๆจากต่าง ประเทศมาใช้โดยแพร่หลาย มีการศึกษาวิจัยโรคต่างๆ มากมาย

        ระบบการให้การรักษาพยาบาลเริ่มด้วยการ ให้การรักษาฟรีทั้งหมด เพราะในระยะต้น คนไทยยัง ไม่แน่ใจในระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน จนต่อมาผู้มีการศึกษาและมีฐานะเริ่มเข้ามารักษามากขึ้น เริ่มจัด เป็นผู้ป่วยพิเศษมีห้องอยู่ ชำระเงินบางส่วน ต่อไป  จึงแบ่งเป็นคนไข้อนาถาไม่ต้องจ่าย คนไข้พิเศษจ่ายเงิน นอกจากนี้ คนไทยทั่วไปรู้จักการแพทย์ปัจจุบันผ่านแพทย์เชลยศักดิ์ที่ออกไปตั้งคลินิคต่างๆทั่วประเทศ คนไทยนิยมและเชื่อถือในระบบการแพทย์ปัจจุบันมากขึ้น มีโรงพยาบาลของรัฐเพิ่มมากขึ้น ต่อมามีโรงพยาบาล เอกชนที่รักษาทุกโรคที่เป็นขององค์กรศาสนาต่าง  ประเทศ เช่น กรุงเทพคริสเตียน เซนต์หลุยส์ Nursing Home และมิชชั่น และมีในต่างจังหวัดบางแห่งด้วย เช่น เชียงใหม่ แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีเศรษฐฐานะ จึงเริ่มมี โรงพยาบาลเอกชนที่รักษาเฉพาะโรคใดโรคหนึ่งขึ้น ในกรุงเทพฯ เช่น รับคลอดบุตรและโรคเฉพาะสตรี โรงพยาบาลโรคตา หู คอ จมูก บางโรงพยาบาลรับ เฉพาะศัลยกรรม และในต่างจังหวัดบางแห่งมี โรงพยาบาลเอกชนรักษาทุกโรค เมื่อความต้องการ มีมากขึ้น โรงพยาบาลรัฐไม่เพียงพอและให้ความ สะดวกแก่ผู้มีฐานะดีพอสมควรไม่ได้โดยเฉพาะ ในกรุงเทพฯ จึงเกิดโรงพยาบาลเอกชนรักษาทุกโรค (General Hospital) ขึ้นเป็นครั้งแรกคือ โรงพยาบาล วิชัยยุทธ เมื่อ พ.ศ.2512 และติดตามมาอีกหลายแห่ง จนบัดนี้มีโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯและเกือบทุก จังหวัดทั่วประเทศ ทำให้มีการกระจายของแพทย์เฉพาะ ทางต่างๆออกไปและดึงแพทย์ที่ไปอบรมต่างประเทศ แล้วกลับมาทำงานในประเทศไทยมากขึ้น คนไทยได้รับการรักษาทางแพทย์ที่มีมาตรฐานสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว ทำให้มาตรฐานของการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลขนาด ใหญ่ทั้งของทางราชการและเอกชนจำนวนหนึ่งอยู่ใน ระดับเดียวกับต่างประเทศ จนถึงขนาดที่โรงพยาบาล เอกชนหลายแห่งมุ่งไปให้บริการคนไข้ที่มาจาก ต่างประเทศที่เรียกว่า มุ่งสร้าง Medical Hub แต่ในช่วง นี้นอกจากการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแล้ว ปีที่ผ่านไปยังได้นำเข้าระบบโลกาภิวัตน์ทางการแพทย์ คือ ระบบการฟ้องร้องโรงพยาบาลและฟ้องแพทย์จากการปฏิบัติ ของสังคมต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกาเข้ามาสู่สังคม ไทยด้วย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการนำเอาความสิ้นเปลือง ความย่อยยับมาสู่ระบบการแพทย์ไทยด้วย โดยคนไทย ยุคใหม่หาได้ตระหนักถึงผลเสียที่รุนแรงนี้ มุ่งแต่การทำ ตามสังคมอื่นและตามใจตัวเองตามที่ลักษณะคนไทย ในสังคมยุคใหม่ที่มองตัวเองเป็นใหญ่ ผลประโยชน์ของ คนอื่นไม่สนใจ ขอให้ตัวเองได้ประโยชน์  ไม่มีการให้ อภัย ไม่มีความเอื้ออารี ไม่มีเมตตา ไม่รู้จักธรรมะของ “อนิจจัง” ของ “กรรม” ทำตนเป็นผู้สร้างกรรมแบบ “ตัวกูของกู” หารู้ไม่ว่าสิ่งนี้จะมีผลร้ายสะท้อนกลับมาถึง ตนเองและลูกหลานของตนเองในอนาคตอันใกล้
.............................................................

 สิ่งที่คนไทยยุคใหม่ไม่เข้าใจหรือจะเรียกว่าเข้าใจ ผิดในระบบการแพทย์ยุคใหม่มีอยู่หลายประการ

         ประการแรก คนไทยยุคใหม่เข้าใจว่า ตามระบบ การแพทย์สมัยใหม่แพทย์จะสามารถวินิจฉัยและรักษาโรคได้ ถูกต้องเสมอไม่มีความผิดพลาดเลย ไม่ว่าจะมีเวลาพบ คนไข้เพียง 1-3 นาที ซักประวัติได้ไม่กี่ประโยคและ ตรวจร่างกายได้เพียงบางส่วนก็ต้องให้การรักษาแล้ว อย่างที่แพทย์ตามโรงพยาบาลต่างจังหวัดและโรงพยาบาล ในระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคทำกันอยู่ ซึ่งไม่มีแพทย์ที่ ใดในโลกนี้จะทำได้ แต่เหตุการณ์บังคับให้ต้องทำเช่นนี้ คนก็คาดหวังให้เป็นหมอเทวดา วินิจฉัยโรคได้ถูก รักษาได้ถูก ซึ่งแม้แพทย์ที่เคยมีประสบการณ์ดูแลคนไข้ มาหลายๆปีแล้วก็ตาม ถ้าพบคนไข้ใหม่ที่ไม่เคยตรวจ รักษามาก่อนจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงต่อ 1 ราย ในการซักถามอาการของโรคที่ผู้ป่วยเป็น ตรวจ  ร่างกายโดยละเอียด แพทย์ที่ได้รักษาคนไข้มานาน เคยพบโรคต่างๆโดยตนเองย่อมมีความชำนาญในการวินิจฉัยมากกว่าแพทย์ที่เพิ่งจบไม่กี่ปี แต่แพทย์จบใหม่ เหล่านี้ต้องไปทำงานในสถานการณ์ที่ไม่อำนวย ต้องดู คนไข้ที่มาหาให้หมดทุกคนจึงต้องเฉลี่ยให้คนละ 2-3 นาที เพราะบางแห่งมีแพทย์เพียง  2-3 คนเท่านั้น จึงไม่มีทางที่จะทำให้คนไข้พอใจได้

         ประการที่สอง หลังจากการซักประวัติตรวจ ร่างกายแล้วคนไข้ส่วนใหญ่ยังอาจต้องได้รับการตรวจทาง ห้องปฏิบัติการ เช่น
ตรวจเลือดหลายอย่าง ตรวจปัสสาวะ หรืออุจจาระไปจนถึงการเพาะเชื้อถ้าสามารถหาได้ รวม ทั้งการตรวจทางเอกซเรย์ที่จำเป็นก่อนจึงจะสามารถ ให้การวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง หรือเพียงใกล้เคียงได้เท่านั้น อาจต้องตรวจสอบเพิ่มเติม ซึ่งการตรวจต่อไปๆมักจะ มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น เสียเวลามากขึ้น ยิ่งทำความไม่พอใจ ให้แก่คนไข้ยุคใหม่มากขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้แพทย์ ต้องทำงานในระบบ 30 บาทที่ใช้เวลาคนไข้คนละไม่เกิน 3 นาทีและขาดห้องปฏิบัติการที่ดีหรือเอกซเรย์ที่ดีเช่น ที่เป็นอยู่ในโรงพยาบาลเล็กๆทั่วประเทศที่จะวินิจฉัย และรักษาโรคใดถูกต้องตามความต้องการของสังคม

        ประการที่สาม บ่อยครั้งการตรวจทางห้องปฏิบัติ การแล้วก็ยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ จำเป็นต้อง ติดตามอาการของคนไข้ต่อไปสักระยะ โดยอาจใช้ยาเพื่อตัดโรคบางอย่างออก เช่น ไอมา 1 เดือนเอกซเรย์มี ปอดอักเสบหย่อมเล็กๆ อาจเป็นโรคติดเชื้อได้ตั้งหลาย อย่าง เช่น เชื้อมัยโคพลาสมา เชื้อสเตรพโตคอคคัส เชื้อไวรัสบางชนิด เชื้อราบางตัวที่ขณะนี้กำลังพบมาก    ได้แก่ คริพโตคอคคัส ไปจนถึงเชื้อที่พบบ่อย เช่น วัณโรค หรือเชื้อจากดินเมลิออยโดซิส แม้จนกระทั่งเป็นโรค เอดส์ที่มีโรคแทรกที่ปอด ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการตรวจสอบ บอกตัวใดตัวหนึ่งได้เลย ต้องเลือกรักษา เลือกตรวจหา ตัวที่สงสัย เป็นต้น กว่าจะรู้ผลใช้เวลาเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน แพทย์ต้องเลือกรักษาไปก่อน โชคดีอาจ  ถูกเชื้อก็หาย ถ้าไม่หายก็เปลี่ยนยา ชาวบ้านมักเรียกว่า “เป็นหนูลองยา” ถ้าไม่รักษาเลยรอให้รู้เชื้อ คนไข้ไม่ดีขึ้น หมอก็ถูกว่า “รักษาไม่เป็น” ถ้าโรคเป็นหนักๆหมออาจ ต้องใช้ยาหลายตัวพร้อมกัน เสียค่ายามาก หมอถูกว่า “มั่ว” โรคหนักอาจถึงคนไข้เสียชีวิตหมอถูกฟ้องอีกว่า “รักษา ผิดคนไข้ตาย” ทั้งนี้เป็นเพราะคนในสังคมไม่เข้าใจเรื่อง ของโรคการวินิจฉัยและการรักษาโรค

        ประการที่สี่ ในการวินิจฉัยโรคมีหลายอย่าง อัน แรกเรียกว่าการวินิจฉัยโรคเบื้องต้น (Presumptive Diagnosis) ซึ่งได้จากข้อมูลทุกอย่างในขณะนั้น ต่อมา เมื่อสามารถตรวจพบโรคหรือพยาธิสภาพหรือเชื้อโรค ที่ชัดเจนแล้วจึงเป็นการวินิจฉัยแน่นอน (Definitive Diagnosis) ส่วนมากต้องทดสอบเพิ่มเติม เช่น กลืนหรือ สวนแป้งเอกซเรย์ ตรวจถุงน้ำดีโดยการเอกซเรย์หรือทำ โซโนแกรม (อุลตร้าซาวด์) ดูอวัยวะในช่องท้องไปจน  ถึงการตรวจด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์สแกน ซึ่งอาจต้อง ฉีดสารไอโอไดด์ที่เราเรียกว่า “ฉีดสี”  เพื่อให้เห็นการ เปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่างๆรวมทั้งเส้นเลือดต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น  ไปจนถึงการทำคลื่นแม่เหล็กตรวจซึ่ง ต้องใช้สารฉีดเช่นเดียวกัน และพัฒนาการที่ใหม่ที่สุด ใช้ในการตรวจมะเร็งระยะต้นหรืออวัยวะที่แพร่กระจาย โดยการฉีดสารไอโซโทปให้ไปจับทั่วร่างกายและตรวจ สอบเรียกว่า Pet scan ซึ่งภาษาไทยคงเป็น “เพชร ล้ำค่าจริงๆ” เพราะค่าตรวจครั้งหนึ่งประมาณแปดหมื่น ถึงหนึ่งแสนบาท และการตรวจทุกชนิดผลการตรวจต้อง อาศัยความชำนาญของแพทย์ผู้อ่านแปลผลเป็นสำคัญ ซึ่งก็อาจไม่ตรงต่อโรคที่เป็น สรุปได้ว่าการทดสอบต่างๆไม่ว่าจะมีค่าใช้จ่ายสูงเพียงใดก็ไม่แน่นอนทั้งหมด จำเป็นที่แพทย์ต้องนำไปพิจารณาร่วมกับข้อมูลอื่นๆ
................................................................

หน้า: 1 2 [3] 4