แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - knife05

หน้า: 1 [2] 3 4
16
ข่าวสมาพันธ์ / TIME magazine : Ending the war on fat
« เมื่อ: 19 มิถุนายน 2014, 02:17:31 »






TIME magazine :
สงครามเรื่องไขมันยุติแล้ว (Ending the war on fat)
เรามีความเชื่อที่ผิดไปเกี่ยวกับไขมันอิ่มตัว ( We were wrong about saturated fat )

Reversing years of negative press on saturated fats, Time magazine has finally admitted defeat on this issue, reversing course and admitting that the war on fat was wrong. They even expose the junk science that supports this dietary philosophy.
...................................................

But ......The Cholesterol Drug War just started.................


17
สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ เป็นบทเรียนสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่ให้แง่คิดมุมมองมากมายหลายด้าน ไม่เพียงแต่ด้านการเมือง การสงครามเท่านั้น ยังทำให้เราเห็นว่า เมื่อครั้งที่บ้านเมืองมีศึกติดพัน ถึงคราววิบัติบ้านแตกสาแหรกขาดชนิด “ล่มสลาย” จริงๆ นั้น ใครมีบทบาทอย่างไร ใครคิดสู้ปกป้องบ้านเมือง ท้องถิ่น ใครถอดใจหนีเอาตัวรอด ใครรักษาหน้าที่ของตนจนถึงที่สุดในยามวิกฤต

 

“ในปีวอก ฉศกนั้น ฝ่ายพุกามประเทศ พระเจ้าอังวะมังระ ให้เกณฑ์พลฉกรรจ์ลำเครื่องสองหมื่นห้าพัน สรรพด้วยช้างม้าเครื่องสรรพศัตราวุธให้พร้อมไว้ คิดจะยกมาตีพระนครศรีอยุธยาอีก”


สงครามเสียกรุงคราวนี้ เริ่มต้นที่เมืองทวาย เพียงแค่เดือนเดียว กองทัพพม่าก็บุกทะลุถึงเมืองเพชรบุรี แต่ยั้งทัพรอต่อเรือรบจนเข้าปีระกา ก่อนจะบุกเข้าประชิดกรุงในเวลาต่อมา


ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาก็ระดมพลหัวเมือง ใช้ยุทธวิธี “ตั้งรับ” รอบๆ เมือง
 

“พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำรัสสั่งเสนาบดีให้จัดแจงเกณฑ์กองทัพหัวเมืองปากใต้ทั้งปวง และให้ทัพบกยกไปตั้งค่ายรับข้าศึกอยู่ตำบลบำหรุใต้เมืองราชบุรี ให้ทัพเรือไปตั้งอยู่หัวเมืองตำบลบางกุ้ง และให้เกณฑ์ทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือ ตะวันออก ตะวันตก เข้ามาช่วยการสงครามป้องกันพระนคร
 

ให้ทัพเมืองพระพิษณุโลกมาตั้งค่ายอยู่ใกล้วัดภูเขาทอง ให้ทัพเมืองนครราชสีมาตั้งค่ายอยู่ใกล้วัดพระเจดีย์แดง แล้วให้พระยารัตนาธิเบศคุมกองทัพเมืองนครราชสีมา ยกมาตั้งรักษาเมืองธนบุรี ให้พระยายมราชเกณฑ์กองทัพหัวเมืองอื่นยกลงมาตั้งรักษาเมืองนนทบุรี และทัพหัวเมืองนอกกว่านั้นให้เกณฑ์เข้ามาบรรจบกับพลชาวพระนคร ขึ้นประจำรักษาหน้าที่เชิงเทินกำแพงเมืองโดยรอบ สรรพด้วยปืนใหญ่น้อยเครื่องสรรพาวุธพร้อม แล้วให้กวาดครอบครัวพลเมืองชาวเมืองและเสบียงอาหารเข้าไว้ในพระนคร”


แต่ตลอดรายทางก่อนจะปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้นั้นมีรายงานชัดเจนว่าหัวเมืองต่างๆยอมแพ้ต่อกองทัพพม่า ทั้งแบบต่อต้านเพียงเล็กน้อย จนถึงขั้นทิ้งเมืองหนีเลยก็มี


ทำให้กองทัพพม่าสามารถปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาได้แบบไม่ยากเย็นนัก ก่อนจะทำสงครามขั้นสุดท้ายปิดบัญชีกรุงศรีอยุธยา

 

Shutdown กรุงศรี

 

นับตั้งแต่ปีระกา พุทธศักราช ๒๓๐๘ กองทัพพม่าก็เริ่มไล่ตีรุกคืบกินหัวเมืองรอบนอกกรุงศรีอยุธยาไว้แบบไม่ยากเย็นนัก
รุ่งขึ้นปีจอ พม่าซึ่งแต่เดิมมีนายทัพใหญ่ ๒ คน คือ เนเมียวมหาเสนาบดีนำทัพบุกทางเหนือ กับมังมหานรธานำทัพบุกทางตะวันตก ตามยุทธวิธี “คีมหนีบ” (pincers movement) แต่มังมหานรธาเสียชีวิตลงกลางศึก จึงเหลือเนเมียวมหาเสนาบดีเป็นนายทัพใหญ่เพียงคนเดียว เนเมียวมหาเสนาบดีสั่งนำทัพยกประชิดกำแพงพระนครโดยรอบเป็นการปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาอย่างสิ้นเชิง


โดยกองทัพพม่าตั้งค่ายใหญ่ที่ตำบลโพธิ์สามต้นแล้วกระจายออกตั้งค่ายที่วัดภูเขาทองวัดการ้องแล้วสั่งนายทัพนายกองเติมเข้าไปทางวัดกระช้าย วัดเต่า วัดสุเรนทร์ ทางด้านตะวันตกทั้งหมด


อย่างไรก็ดี เวลานั้นกองทัพกรุงศรีอยุธยายังคงยึดพื้นที่นอกกำแพงเมืองบางส่วนไว้ได้ คือด้านเหนือที่เพนียด ด้านตะวันออกที่วัดพิชัย วัดเกาะแก้ว ด้านใต้มีกลุ่มคนจีนโดยหลวงพิพัฒน์คุมอยู่ที่คลองสวนพลู ด้านตะวันตกที่วัดไชยวัฒนาราม เป็นต้น

 

ต่อมากองทัพพม่าได้ขยายวงล้อมมาทางทิศเหนือ ตั้งค่ายที่วัดพระเจดีย์แดง วัดสามพิหาร วัดมณฑป วัดกระโจม วัดนางชี วัดนางปลื้ม วัดศรีโพธิ์ แต่ละค่ายให้พูนดินปลูกหอสูงตั้งปืนใหญ่ไว้ยิงถล่มกรุง

แต่ในที่สุดค่ายใหญ่น้อยต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาที่อยู่รอบนอกพระนคร ก็ไม่สามารถจะยันพม่าไว้ได้
 
“ค่ายไทยซึ่งออกมาตั้งรบอยู่นอกพระนครนั้น ก็เสียแก่พม่าในเดือน ๓ ปีจอ อัฐศกนั้นทั้งสิ้น”

 

เท่ากับว่ากองทัพพม่าได้ Shutdown กรุงศรีอยุธยาได้อย่างเบ็ดเสร็จก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตกไม่น้อยกว่า ๒ เดือน แต่ว่าก่อนหน้านั้น กรุงศรีอยุธยาก็ถูกปิดล้อมทั้งหัวเมืองใกล้เคียงและชานพระนครไว้ก่อนแล้ว

 

กองทัพพม่าไม่เพียงแต่ตั้งค่ายล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้แบบชั่วคราวเท่านั้นแต่ได้“สร้างเมือง”ก่อกำแพงสูง โดยใช้ยุทธศาสตร์ “ปักหลักพักค้าง” น้ำมาไม่หนี อยู่กันข้ามปีถึงขนาดว่าจะล้อมไว้นานเท่าไรก็ได้ “ถึงแม้ว่าเราจะต้องล้อม ๑๐ ปี เราก็จะล้อมไว้กว่าจะได้”


เมื่อพม่าตั้งค่ายตามวัด ก็ใช้อิฐวัดก่อกำแพงเมือง “พม่าล้วนแต่มีใจหยาบช้ามิได้ละอายแก่บาป ให้รี้พลไปรื้อเอาอิฐ โบสถ์วิหารวัดน้อยใหญ่ทั้งปวง มาก่อกำแพงล้อมเป็นค่ายทั้งสองตำบล” นี่เองทำให้กรุงศรีอยุธยาหลังสงคราม “หมดสภาพ” ที่จะฟื้นคืนให้ดีดังเก่าได้

 

“เมือง” หรือค่ายของกองทัพพม่ามั่นคงแข็งแรง สร้างด้วยอิฐจากวัดต่างๆ มีอยู่ถึง ๒๗ เมือง รายรอบกรุงศรีอยุธยา
 
“ได้สร้างเมืองรอบพระนครทั้ง ๔ ด้าน สร้างด้วยอิฐทั้งสิ้น ๒๗ เมืองๆ นี้ได้ก่อนสร้างป้อม คู ประตู หอรบ ไว้ทั้งสิ้น ดุจเทวดาลงมานฤมิตร แล้วจัดให้พลทหารเอาปืนใหญ่น้อยสาตราวุธทั้งปวงขนขึ้นรักษาตามป้อมแลหอรบบนเชีงกำแพงโดยแน่นหนา
 
ครั้งจัดเสร็จแล้วแม่ทัพทั้ง๒ก็สั่งให้พลทหารเอาปืนใหญ่ยิงเข้าไปในกำแพงกรุงศรีอยุทธยาดุจฝนแสนห่ามิได้ขาดเสียงปืน”


การ Shutdown กรุงศรีอยุธยาครั้งนั้น เป็นการปิดล้อมเชิงยุทธวิธีแล้ว เพื่อตัดการส่งเสบียงอาวุธ เสบียงอาหาร ไม่ให้กรุงศรีอยุธยาได้รับการสนับสนุนใดๆ จากภายนอกได้อีก แล้วยังสามารถจัดการพื้นที่เพื่อสนับสนุนเสบียงให้กับ “เมือง” ที่กองทัพพม่าตั้งขึ้นรอบๆ พระนครอีกทางหนึ่ง
 
“เพราะฉะนั้นพวกเราจงแย่งชิงโคกระบือของพลเมืองอยุทธยาทั้งปวง เมื่อได้แล้วก็ไปทำนาตามพลเมืองแลนาหลวงอยุทธยาให้มีกำลังแก่เรา แลอย่าให้พลเมืองอยุทธยาทำไร่ทำนาได้”

 

การปิดล้อมแบบปิดตายครั้งนี้ส่งผลให้ภายในพระนครระส่ำระสายอย่างหนัก
 
“ฝ่ายข้างในกรุงฯก็เกิดโจรผู้ร้ายปล้นกันเนืองๆมิได้ขาดและผู้คนอดอยากซูบผอมป่วยไข้ล้มตายนั้นก็มากที่หนีออกไปหาพม่านั้นก็เนืองๆ”
ผลการรบที่กรุงศรีอยุธยาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสมอ ทำให้บาทหลวงชาวฝรั่งเศสถึงกลับกล่าวว่าไทยไม่คิดสู้ ซึ่งไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
 
“ฝ่ายพม่าข้าศึกก็ยกทัพเข้ามาทีละน้อย หวังจะให้ขาดเสบียงในกรุง เพราะพวกพม่าได้ทำลายทุ่งนาบ้านเรือนโดยรอบกรุง ถ้าไทยจะคิดตัดเสบียงพวกข้าศึกแล้วก็จะทำได้ง่ายที่สุด แต่ก็ไม่เห็นไทยคิดจะจัดการอย่างใดเลย”

 

ศึกใน ไส้ศึก


กองทัพพม่าที่ยกมาคราวนั้น มีหลักฐานบันทึกจำนวนไว้ต่างกันออกไป พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ว่ามีราว ๒๕,๐๐๐ นาย หนังสือคำให้การขุนหลวงหาวัดว่ามีประมาณ ๘๐,๐๐๐ นาย หนังสือมหาวงษ์พงศาวดารพม่า ว่ามีราว ๗๓,๐๐๐ นาย


ด้านกองทัพกรุงศรีอยุธยาฝ่ายตั้งรับ หนังสือคำให้การฯ ว่ามีราว ๖๐,๐๐๐ นาย ใกล้เคียงกับหนังสือมหาวงษ์ฯ ว่ามีราว ๕๐,๐๐๐ ไม่รวมช้าง ม้า ปืนใหญ่ อีกหลักพัน


จำนวนทหารที่ปรากฏในบันทึกอาจจะไม่มีความแน่นอนนัก อย่างไรก็ดี ตามหลักยุทธศาสตร์การรบ ฝ่ายตั้งรับคือฝ่ายที่ได้เปรียบกว่า แต่ในกรณีนี้พม่าใช้ยุทธวิธีปิดล้อมยืดเยื้อ ผลการรบส่วนใหญ่พม่าจึงเป็นฝ่ายมีชัยเหนือกรุงศรีอยุธยาเกือบทุกสมรภูมิ

 

ความพ่ายแพ้ อดอยาก ยิ่งทำให้ทั้งทหาร ราษฎร ในพระนครหนีออกไปมอบตัวกับกองทัพพม่ามากยิ่งขึ้น “การข่าว” ของพม่าก็ยิ่งแม่นยำขึ้นมากเช่นเดียวกัน
 
“พวกพลทหารพลเมืองอยุทธยาทั้งปวงก็ได้รับความคับแค้นอดหยากคับแค้นอยู่ทุกผู้คนแล้วจึงได้เข้ามาอ่อนน้อมสวามิภักดิ์ที่กองทัพเราทุกวันมิได้ขาดเราก็ได้ทราบกิจราชการของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาหมดแล้ว”

นอกจากนี้ยังปรากฏหลักฐานเป็นบันทึกของชาวต่างชาติที่“บันทึกเรื่องราวของผู้เห็นเหตุการณ์”ไว้ว่ากรุงศรีอยุธยามี“ไส้ศึก” ของกองทัพพม่าอยู่ภายในตัวเมือง คอยช่วยเหลือกองทัพใหญ่นอกเมืองอีกด้วย
 

“ในการเข้าตีกรุงศรีอยุธยาครั้งนี้ ทัพพม่าได้รับความช่วยเหลืออย่างมากจากชาวพม่าด้วยกันจำนวนประมาณ ๕๐๐ คน ที่อยู่ในตัวเมือง (ชาวพม่าเหล่านี้ถูกกองทัพไทยจับไว้ได้ในครั้งก่อนๆ) และได้ติดต่อกับกองทัพพม่าที่ยกเข้ามารุกรานกรุงศรีอยุธยา”


น่าเสียดายที่บันทึกเรื่องนี้ไม่สามารถยืนยันได้จากเอกสารฝ่ายพม่าและฝ่ายไทย

อย่างไรก็ดีคำให้การชาวกรุงเก่าได้เอ่ยถึงเรื่อง“ไส้ศึก” ไว้เหมือนกัน

“พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเห็นนายทัพนายกองแตกพ่ายมาดังนั้น ก็ให้ปิดประตูให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินมั่นไว้มิให้ออกรบ
 
ครานั้นพระยาพลเทพข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาเอาใจออกหากลอบส่งเครื่องศัสตราวุธเสบียงอาหารให้แก่พม่าสัญญาจะเปิดประตูคอยรับ”


แม้ว่าเรื่องนี้จะเชื่อถือได้ยาก เพราะในกรุงศรีอยุธยาเองก็ขาดแคลนทั้งเสบียงอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างมาก จะมีปัญญาส่งเสียให้กับกองทัพพม่าได้อย่างไร


แต่ข้อเท็จจริงบางประการที่มีหลักฐานยืนยันตรงกันก็คือ“กองทัพพม่าเต็มไปด้วยคนไทย” จะเป็นการแปรพักตร์หรือถูกกวาดต้อนให้ร่วมรบก็ตามย่อมมีผลในการ “เติม” กำลังพลให้กับฝ่ายพม่า ในขณะเดียวกันก็ “ลด” กำลังทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยาไปไม่น้อย


การที่มีคนคิดสู้ และผู้ที่คิดหนี ในเวลาเช่นนี้ ย่อมมีผลอย่างสูงในเวลาที่บ้านเมืองระส่ำระสาย และหากผู้ที่คิดหนีเป็นขุนทหารไม่ใช่ราษฎรที่เป็นเด็ก ผู้หญิง หรือคนชรา ย่อมมีผลต่ออำนาจในการป้องกันตัวของกรุงศรีอยุธยาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

แน่นอนว่าเรื่องของนักสู้ และผู้ถอยหนี มีบันทึกไว้ไม่น้อยในประวัติศาสตร์หน้านี้

 

เช็คชื่อ ใครสู้ ใครถอย ใครหนี

 

ปกติการรบย่อมมีรุกมีรับ แต่ในสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยานั้น ปรากฏว่ากรุงศรีอยุธยาเป็นฝ่ายถอยหนีมากกว่ารุกคืบ การที่กรุงศรีอยุธยาเน้นยุทธวิธีตั้งรับมากกว่ารุกไล่ หรือป้องกันข้าศึกตั้งแต่แนวชายแดน ทำให้ข้าศึกรุกคืบถึงพระนครได้โดยง่าย และมีโอกาส “รุกฆาต” เมื่อใดก็ได้

 

อย่างไรก็ดี การที่กรุงศรีอยุธยาสามารถตั้งรับได้นานนับปี อาจแสดงว่าประสิทธิภาพในการป้องกันตัว ยังใช้ได้ดีพอสมควร ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะทหารในพระนครสู้รบอย่างเต็มที่เนื่องจากเป็นปราการด่านสุดท้าย หรืออาจเป็นเพราะ “กรุงศรีอยุทธยานี้เปนกรุงใหญ่โตมั่นคง แลคูเมืองกว้างน้ำก็ลึกกับได้ก่อสร้าง ๕๐ ป้อม ค่ายคูประตูหอรบขึ้นไว้ใหม่”  ทำให้กองทัพพม่าต้องหายุทธวิธีฝ่าด่านสุดท้ายนี้ให้ได้ คือการขุดอุโมงค์เผารากกำแพงเมือง แล้วเข้าตีพร้อมกันทุกด้าน จนสามารถยึดกรุงศรีอยุธยาได้ในที่สุด

 

หากไล่เรียงความพ่ายแพ้นับตั้งแต่เริ่มเกิดศึก ก็จะเห็นได้ว่า กรุงศรีอยุธยาเสียทีตั้งแต่เริ่มศึก และไม่มีโอกาสกลับมาเป็นผู้ชนะได้ เนื่องจากตลอดเส้นทางการรบกรุงศรีอยุธยารบพลางถอยพลางอยู่ตลอดเวลา

 

นับตั้งแต่เดือน ๖ ปีวอก พุทธศักราช ๒๓๐๗ กองทัพพม่าได้ไล่ล่า “หุยตองจา” เจ้าเมืองทวาย ซึ่งหนีตายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พม่าจึงตามตีไล่ล่าหุยตองจา ตั้งแต่เมืองทวาย มะริด ตะนาวศรี เลยมาถึงเมืองกระบุรี ชุมพร ปทิว เมืองกุย เมืองปราณ ก่อนจะยกทัพกลับไปตั้งหลักที่เมืองทวาย หลังจากไม่ได้ตัวหุยตองจาดังที่หวัง เพราะรัฐบาลกรุงศรีอยุธยาได้ส่งตัวหุยตองจาไปลี้ภัยที่เมืองชลบุรี

 

หลังจากได้หยั่งเชิงดูแล้วเห็นว่ากองทัพกรุงศรีอยุธยานั้นอยู่ในสภาพอ่อนแอพม่าก็ตัดสินใจที่จะตีกรุงศรีอยุธยาสิ้นสภาพในคราวนี้จึงส่งกองทัพบุกทางเหนือหนึ่งกองทัพ ทางใต้อีกหนึ่งกองทัพ บุกตะลุยฝ่าด่านหัวเมืองต่างๆ มาเรื่อยๆ


เดือน ๔ ปีวอก เมืองกำแพงเพชร ไม่มีใครสู้รบ
เดือน ๗ ปีวอก พระพิเรนทรออกรับศึกเมืองกาญจนบุรี แตกพ่าย
ราชบุรี เพชรบุรี มิได้มีผู้ใดต่อรบ ยกครอบครัวหนีเข้าป่าไปสิ้น
ปีระกา ให้พระพิษณุโลกไปตั้งรับที่วัดภูเขาทอง พระพิษณุโลกถวายบังคมลาไปปลงศพมารดา
เดือน ๑๑ ปีระกา พระยาสุโขทัย และพระยาสวรรคโลกพาครอบครัวพลเมืองหนีเข้าป่า

 

พวกไทยบางกุ้งแตกพ่ายหนี
พระยารัตนาธิเบศตั้งรับอยู่เมืองธนบุรีหนีกลับขึ้นไปกรุงศรีอยุธยามิได้สู้รบ
พระยายมราช ตั้งรับอยู่เมืองนนทบุรี เลิกทัพหนี มิได้ตั้งอยู่ต่อรบพม่า
บรรดาประชาชนชาวหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือทั้งปวง ยกครอบครัวหนีเข้าป่า
สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ผนวชอยู่วัดประดู่ หาได้ลาผนวชออกไม่

 

เดือนอ้าย ปีจอ พระยาแพร่ ซึ่งร่วมรบกับกองทัพพม่ามาตลอดทาง รวมทั้งร่วมเข้าตีค่ายบางระจัน เกิดเปลี่ยนใจไม่อยู่ฝ่ายพม่าอีกต่อไปเพราะ “สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมีพระคุณแก่ข้าพระพุทธเจ้ามาก ข้าพระพุทธเจ้าไม่อยู่รบกรุงเทพมหานครด้วยพม่าแล้ว จะกลับไปเมืองของตน”

 

เดือนยี่ ปีจอ พระยาตาก “จัดแจงกันคิดจะยกทัพหนีไปทางตะวันออก”

 

พลเรือน ทหาร ข้าราชการ ที่ “หนี” เหล่านี้ เฉพาะที่ปรากฏชื่อ เรื่องราวในพระราชพงศาวดารเท่านั้น ในเหตุการณ์จริงคงจะมีนายทัพนายกองอีกมากที่ทำในสิ่งเดียวกัน นอกจากหนีแล้วหนังสือมหาวงษ์ฯ ยังได้กล่าวอ้างถึงการยอมสวามิภักดิ์ของเจ้าเมืองฝ่ายกรุงศรีอยุธยาไว้หลายเมือง เช่น ราชบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี เป็นต้น

 

“ฝ่ายผู้รักษาเมืองราชบุรีเห็นว่าเมืองเพ็ชร์บุรีเสียแก่มหานรทาก็มีความกลัวเกรงไม่อาจจะต่อสู้รบแล้วผู้รักษาเมืองราชบุรีก็เอาเครื่องราชบรรณาการเปนอันมากออกมาสวามิภักดิ์ยอมเข้าเปนข้ามหานรทาแม่ทัพแล้วมหานรทาแม่ทัพก็ตั้งให้ผู้รักษาเมืองราชบุรีกับตั้งให้นายทหารเอกอยุทธยากำกับรักษาเมืองราชบุรีต่อไป แล้วให้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจาด้วย”

 

แน่นอนว่าการศึกครั้งนี้ มิใช่จะมีแต่การ “หนี” เพียงอย่างเดียว

 

ในศึก “ป้องกันตัว” กรุงศรีอยุธยายังมีผู้ที่สู้ตายถวายชีวิตอีกมาก เพียงแต่ว่าการเสียสละเหล่านั้น ไม่ได้ทำให้ผลการรบเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด

 

ราวเดือน ๑๒ ปีระกา พ่อค้าชาวอังกฤษชื่อ ปอเน นำเรือเข้ามาขายสินค้าในกรุงศรีอยุธยาในระหว่างเกิดสงครามพอดี
 

“โกษาธิบดีให้ล่ามถามแก่นายกำปั่นว่าถ้าพม่าจะเข้ามารบเอาเมืองธนบุรีอีกนายกำปั่นจะอยู่ช่วยรบหรือจะไปเสียนายกำปั่นว่าจะอยู่ช่วยรบ”

 

พวกปอเนยิงต่อสู้กับพม่าที่ป้อมเมืองธนบุรีได้ระยะหนึ่งก็ขอปืนใหญ่กระสุนดินปืนเพิ่มอีก“ไทยยอมจัดปืนให้แต่ไม่ครบจำนวน” สุดท้ายปอเนจึงถอนสมอออกไป “มิได้อยู่รบพม่า”

 

เดือน ๓ ปีระกา เกิด “ศึกบางระจัน” ชาวบ้านร่วมมือกันต่อสู้กับกองทัพพม่าอย่างดุเดือด และสามารถรักษาบางระจันไว้ได้นานถึง ๕ เดือน ก่อนจะแตกพ่ายไปในเดือน ๘ เสียชาวบ้านไป ๑,๐๐๐ กว่าคน พม่าตายไป ๓,๐๐๐ เศษ พวกที่รอดตายก็ถูกจับเป็นเชลยโดยมาก

 

กรมหมื่นเทพพิพิธ เป็นอีกพระองค์หนึ่งที่รวบรวมผู้คนทางหัวเมืองตะวันออกได้หลายพันคน คิดจะยกกลับมากู้กรุงศรีอยุธยา แต่แผนแตกเสียก่อน พม่ายกกองทัพมาตีจนแตกพ่าย กรมหมื่นเทพพิพิธหนีไปเมืองนครราชสีมา

นายเริก ทหารในกองเรือที่กำลังจะยกเข้าตีค่ายพม่าที่วัดการ้อง ถูกปืนยิงขณะรำดาบสองมืออยู่หน้าเรือ “ตกน้ำลง” ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นหรือตาย แต่เห็นจะมีวิชาดีอยู่จึงกล้ารำดาบท้าพม่าอยู่หน้าเรือได้

 

เดือน ๑๒ ปีระกา พระยาเพชรบุรีเป็น “กองหน้า” นำกองเรือเข้าตะลุมบอนกับพม่ากลางทุ่งวัดสังฆวาส พม่าเอาหม้อดินดำติดเพลิงโยนเข้าในเรือพระยาเพชรบุรี สุดท้ายจับพระยาเพชรบุรีได้ แต่พระยาเพชรบุรีเป็นคนมีวิชา ฟันแทงไม่เข้า “จึงเอาไม้หลาวเสียบแทงทางทวารหนักถึงแก่ความตาย”

 

ในกองเรือนี้มีพระยาตาก “นายกองเรือ” และหลวงศรเสนี “กองหนุน” แต่ทั้งสอง “จอดรอดูเสีย หาเข้าช่วยอุดหนุนกันไม่”

 

นอกจากนี้ยังมีชาวจีนคลองสวนพลูนำโดยหลวงพิพัฒน์ นำจีน ๒,๐๐๐ คน ตั้งค่ายรบอยู่ที่คลองสวนพลู (เอกสารบาทหลวงว่าตั้งอยู่ที่ค่ายฮอลันดา) ค่ายนี้รบกับพม่าอยู่ครึ่งเดือนถึงเสียค่าย


ค่ายทหารกรุงศรีอยุธยาที่วัดชัยวัฒนารามก็ต่อสู้พม่าอยู่แปดเก้าวันจึงพ่ายแพ้

 

นอกจากนี้ยังมีวีรบุรุษอีกมากที่สู้ตายถวายชีวิตในศึกครั้งนี้ บ้างก็อาจมีชื่ออยู่ในพระราชพงศาวดาร บ้างก็มีชื่ออยู่ในตำนานท้องถิ่น บ้างก็เป็นวีรบุรุษนิรนามไป

 

ข้อมูลจากพระราชพงศาวดารกล่าวว่า ในศึกครั้งนี้กรุงศรีอยุธยามีผู้เสียชีวิต ทั้งด้วยอาวุธ ป่วยไข้ และอดตาย ประมาณได้ ๒๐๐,๐๐๐ คน ถูกจับเป็นเชลยราว ๓๐,๐๐๐ คน รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรอดีตพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาก็ถูกจับเป็นเชลยอีกพระองค์หนึ่งด้วย


แต่ก็ยังมีผู้ที่หลบหนีพม่าและรอดจากสงครามคราวนี้จนต่อมาได้เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ถึง๒คน

 

๓ กษัตริย์ “หนี” ในศึกกรุงแตก

 

พระเจ้าแผ่นดินพระองค์สุดท้ายในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาคือพระเจ้าเอกทัศน์พระราชพงศาวดารบันทึกพระราชประวัติในช่วง“หนี”พม่าไว้ว่า
 
“พระเจ้าแผ่นดินนั้นหนีออกจากเมือง ลงเรือน้อยไปกับมหาดเล็กสองคน ไปเร้นซ่อนอยู่ในสุมทุมไม้ใกล้บ้านจิกข้างวัดสังฆาวาส มหาดเล็กนั้นก็ทิ้งเสียหนีไปอื่น อดอาหารอยู่แต่พระองค์เดียว พม่าหาจับได้ไม่”


แต่พระราชพงศาวดาร ฉบับพระพนรัตน์ บันทึกไว้ต่างกันคือ “หนีออกไปจากพระนครองค์เดียว ได้ความทุกข์ลำบากก็ถึงพิราลัยไปสู่ปรโลก” คล้ายกับ คำให้การชาวกรุงเก่า ที่ว่า “พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเสด็จหนีไปซุ่มซ่อนอยู่ประมาณสิบเอ็ดสิบสองวันก็เสด็จสวรรคต” ส่วนบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสว่า “ฝ่ายพระเจ้ากรุงสยามซึ่งเป็นพระโรคเรื้อนนั้น ก็หนีข้าศึกไป และไปสวรรคตที่โพธิ์สามต้น”


บันทึกทั้งหมดนั้นต่างจากพงศาวดารพม่าอย่างสิ้นเชิง พงศาวดารพม่ากล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าแผ่นดินสยามว่า สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ได้ปลอมพระองค์หนีไปกับพระมเหสีเล็ดลอดปะปนไปกับราษฎร แต่ทรงถูกปืนซึ่งพม่ายิงเข้าใส่ฝูงชนเมื่อบุกเข้าเมืองมา “พระศพพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาถูกอาวุธล้มสวรรคตอยู่ที่ประตูเมืองฝั่งตวันตกกรุงศรีอยุธยา” เป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์กรุงศรีอยุธยา


แต่ก่อนที่จะสิ้นวงศ์อยุธยามีบุคคลสำคัญ๒ท่าน ที่หนีศึกในสงครามกรุงแตก และภายหลังได้กลับมาเป็นผู้ที่สถาปนาราชอาณาจักรและพระราชวงศ์ขึ้นมาใหม่ สืบต่อจากวงศ์อยุธยา


หนึ่งในนั้นคือ พระยาตาก ที่พารี้พลหนีออกจากกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ก่อนกรุงจะแตก ๓ เดือน ภายหลังจึงวกกลับมาขับไล่พม่า “ฟื้น” ราชอาณาจักรขึ้นมาใหม่มีราชธานีอยู่ที่ “กรุงธนบุรี”


อีกท่านหนึ่งคือ หลวงยกกระบัตร (ทองด้วง) เมืองราชบุรี


เมื่อครั้งพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น นายสุดจินดา (บุญมา) หนีพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา มุ่งหน้าไปหาพี่ชายคือหลวงยกกระบัตร (ทองด้วง) เมืองราชบุรี ที่อัมพวา หมายจะชักชวนกันไปเฝ้าหาพระยาตากแถบเมืองชลบุรี เพื่อร่วมแรงร่วมใจกันกู้กรุงศรีอยุธยา
 

“เมื่อถึงราชบุรีแล้วจึงเสด็จไปที่บ้านอำพะวา ก็หาพบพระเชษฐาไม่ สืบความทราบมาแต่พระสงฆ์บางองค์ที่กล้าอยู่ บอกว่าพระเชษฐาท่านพาพระชายาแลพระญาติหนีพม่าในป่าข้างทิศเหนือ ขณะนั้นกรมพระราชวังท่านก็ตามไปในป่าหลายวันจึงพบพระเชษฐา”


หากย้อนกลับไปตรวจสอบวันที่มังมหานรธาบุกเมืองราชบุรีคือเดือน๗ ปีวอก ซึ่งเวลานั้นพงศาวดารกล่าวไว้แตกต่างกันคือ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวว่า “มิได้มีผู้ใดต่อรบ ยกครอบครัวหนีเข้าป่าไปสิ้น” ส่วนฉบับพระพนรัตน์กล่าวว่า “รบพุ่งกันอยู่หลายวัน” ในขณะที่พงศาวดารพม่าบันทึกว่าผู้รักษาเมืองราชบุรี “ออกมาสวามิภักดิ์ยอมเปนข้ามหานรทา”

 

ไม่ว่าสถานการณ์การรบจะเป็นอย่างไร บทสรุปที่แน่นอนก็คือราชบุรีเสียให้แก่พม่าตั้งแต่เดือน ๗ ปีวอก ในขณะที่ราษฎร ทหาร บางส่วนย่อมหลบหนี “เข้าป่าไปสิ้น” ซึ่งก็น่าจะเป็นเวลาใกล้เคียงกับที่หลวงยกกระบัตรพาครอบครัวหลบหนีเข้าป่า


ถ้าเป็นไปตามนี้ ก็เท่ากับว่าหลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรี หนีเข้าป่าก่อนกรุงแตกเกือบ ๒ ปีเต็ม


จนกระทั่งนายสุดจินดาน้องชายไปชวนให้เข้าร่วมรบกับพระยาตาก กู้กรุงศรีอยุธยา แต่หลวงยกกระบัตรราชบุรีเวลานั้น “ไม่สะดวก” เนื่องจากเมียและพี่สาวตั้งครรภ์อยู่ และยังต้องคอยตามหาพ่อตาแม่ยายที่พลัดพรากจากกันไปอีกด้วย
 

“อยู่ที่ตำบลนี้ก็พอจะซ่อนตัวได้เมื่อเสบียงอาหารหมดลงก็จะเอาที่เราฝังไว้ในบ้านมากินอีกประการหนึ่งเงินทองก็ฝังไว้เหล่านี้ทั้งสิ้นจะทิ้งไปเสียกระไรได้ ต้องอยู่ดูแลระวังรักษาบ้าง”


อีกราว ๑๕ ปีต่อมา หลวงยกกระบัตรราชบุรีท่านนี้ ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สืบต่อจากกรุงธนบุรี

 

สรุปบทเรียนของนายสุดจินดา


การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้น ภายหลังถูกตีแผ่ด้วยเพลงยาวนิราศของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ซึ่งเดิมคือนายสุดจินดา “ประจักษ์พยาน” ที่ฝ่าด่านพม่าไปทางเรือ เพื่อหวังจะ “สู้” กู้กรุงศรีอยุธยา


  อันจะเป็นเสนาบดี   ควรที่จะพิทักษ์อุปถัมภ์
  ประกอบการหว่านปรายไว้หลายชั้น ป้องกันปัจจาอย่าให้มี
  นี่ทำหาเป็นเช่นนั้นไม่   เหมือนไพร่ชาติชั่วช้ากระทาสี
  เหตุภัยใกล้กรายร้ายดี   ไม่มีที่จะรู้สักประการ
  ศึกมาแล้วก็ล่าไปทันที   มิได้มีเหตุเสียจึงแตกฉาน
  ตีกวาดผู้คนไม่ทนทาน   เผาบ้านเมืองยับจนกลับไป
  ถึงเพียงนี้ละไม่มีที่กริ่งเลย  ไม่เคยรู้ล่วงลัดจะคิดได้
  ศึกมาชิงล่าเลิกกลับไป   มิได้เห็นจะฝืนคืนมา
  จะคิดโบราณอย่างนี้ก็หาไม่  ชาติไพร่หลงฟุ้งแต่ยศถา
  ครั้นทัพเขากลับยกมา   จะองอาจอาสาก็ไม่มี
  แต่เลี้ยวลดปดเจ้าทุกเช้าค่ำ  จนเมืองคร่ำเป็นผุยยับยี่
  ฉิบหายตายล้มไม่สมประดี  เมืองยับอัปรีย์จนทุกวันฯ

ปรามินทร์ เครือทอง ศิลปวัฒนธรรม เมษายน 2557
มติชนออนไลน์  17 เมษายน พ.ศ. 2557

18
คนไข้โรคประสาท 18 รายที่เข้ารับการผ่าตัดที่ศูนย์การแพทย์ “โนแวนต์เฮลท์ฟอร์ซิท” ในมลรัฐนอร์ทแคโรไลนา อาจสัมผัสกับโรคที่ไร้หนทางรักษาและอันตรายถึงชีวิต ซึ่งคล้ายกับโรค “วัวบ้า” เนื่องจากเครื่องมือผ่าตัดไม่ได้ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้ออย่างเพียงพอ โรงพยาบาลดังกล่าวระบุวานนี้ (10 ก.พ.)
       
       บรรดาแพทย์ได้ผ่าตัดคนไข้ทั้ง 18 คน เมื่อวันที่ 18 มกราคม ด้วยเครื่องมือที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างเพียงพอ ภายหลังนำไปใช้ผ่าตัดชายคนหนึ่งซึ่งต้องสงสัยว่าจะเป็นโรค “ครอยตส์เฟลดต์-จาคอบ” (ซีเจดี) โรงพยาบาลซึ่งตั้งอยู่ในเมืองวินสตัน-ซาเล็มแห่งนี้เปิดเผย
   
       “ในนามของคณะแพทย์ผ่าตัดทุกคนของโนแวนต์เฮลท์ ผมต้องขอโทษคนไข้และครอบครัวของพวกเขาที่ทำให้ต้องวิตกกังวล” เจฟฟ์ ลินด์เซย์ ประธานของศูนย์การแพทย์แห่งนี้กล่าวในการแถลงข่าว
       
       สถาบันโรคประสาทและโรคเส้นโลหิตในสมองแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า โรคซีดีเจทำให้ผู้ป่วยความจำเสื่อม ตาบอด เคลื่อนไหวร่างกายเองโดยควบคุมไม่ได้ และในที่สุดก็เข้าสู่อาการโคมา โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เป็นโรคนี้จะจบชีวิตลงภายในหนึ่งปี แม้ว่าโรคนี้มีอาการคล้ายโรควัวบ้า แต่ไม่ได้เป็นผลมาจากการบริโภคเนื้อ
       
       เชื้อโรคชนิดนี้ใช้ระยะฟักตัวเป็นปีๆ ก่อนจะปรากฏอาการในระยะแรก คำแถลงระบุ และภายหลังที่โรคส่งสัญญาณของอาการในระยะแรกออกมาแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเสียชีวิตภายใน 4 เดือน
       
       อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลระบุว่ามีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะมีผู้ติดโรคนี้จากการผ่าตัด
       
       จูลี เฮนรี โฆษกของกระทรวงสาธารณสุขและงานบริการสังคม นอร์ทแคโรไลนา กล่าวว่า ทางกระทรวงรับทราบแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่คนไข้ทั้ง 18 รายจะติดโรคชนิดนี้ และกำลังเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
       
       เมื่อปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าวว่า เป็นไปได้ว่ามีคนไข้อย่างน้อย 15 รายในรัฐคอนเนกติกัต แมสซาชูเซตส์ และนิวแฮมป์เชียร์ได้รับเชื้อซีเจดี โดยเป็นผลมาจากที่เครื่องมือผ่าตัดที่ไม่สะอาด
       
       ที่นอร์ทแคโรไลนา อุปกรณ์ผ่าตัดจะต้องผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อตามมาตรฐานของโรงพยาบาล แต่ไม่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนฆ่าเชื้อในระดับสูงเทียบเท่าเครื่องมือที่ผ่านการใช้ผ่าตัดผู้ป่วย หรือผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นโรคซีเจดี โรงพยาบาลระบุในคำแถลง
       
       ทั้งนี้ แพทย์ยังไม่สามารถหาหนทางในการรักษาโรคที่ทำให้ชาวสหรัฐฯ ล้มป่วยราว 300 คนต่อปีชนิดนี้
       
       ในแต่ละปี แพทย์จะตรวจพบผู้ป่วยเป็นโรคนี้หนึ่งในล้านคน โดยโรคนี้สามารถติดต่อผ่านการปลูกถ่ายอวัยวะหรือการผ่าตัด ฟลอเรนซ์ ครานิตซ์ ประธานมูลนิธิโรคครอยตส์เฟลดต์-จาคอบ ระบุ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 กุมภาพันธ์ 2557

19
ครม.อนุมัติงบ 20 ล้านจัดงานพระศพ “สมเด็จพระสังฆราช” นับตั้งแต่วันสิ้นพระชนม์จนถึงวันครบ 100 วัน พบก่อนหน้านี้อนุมัติงบ 67 ล้านจัดงานพระราชทานเพลิงศพ “สมเด็จเกี่ยว” เดือนมีนาคมนี้
       
       วันนี้ (11 ก.พ.) นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ระบุว่า ครม.มีมติพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 20 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระกุศลพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก นับตั้งแต่วันสิ้นพระชนม์ถึงวันครบ 100 วัน
       
       ทั้งนี้ สมเด็จพระสังฆราช สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2556 ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สาเหตุเนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด โดยพระศพตั้งอยู่ที่พระตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร
       
       ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 31 ม.ค. พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ เลขานุการกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการการจัดงานบำเพ็ญพระกุศลพระศพสมเด็จพระสังฆราช กล่าวว่า งานบำเพ็ญพระกุศลพระศพสมเด็จพระสังฆราช ทางสำนักพระราชวัง แจ้งว่างานพระศพยังอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์จนกว่าจะมีกำหนดออกพระเมรุ โดยประชาชนยังสามารถเดินทางมาสักการะพระศพได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 08.30-21.00 น. และสามารถจองเป็นเจ้าภาพได้จนถึงเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับกำหนดวันที่จะจัดพิธีพระราชทานเพลิงพระศพที่เมรุหลวง พลับพลาอิสริยยศ วัดเทพศิรินทราวาสนั้น ทางสำนักพระราชวังแจ้งว่าจะอยู่ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2557 ส่วนจะเป็นวันใดจะต้องมีการหารือกันและนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงพิจารณาโปรดเกล้าฯต่อไป
       
       อนึ่ง เมื่อวันที่ 21 ม.ค. นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รักษาการรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติงบประมาณกลางปี 2557 วงเงิน 67 ล้านบาท ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ เพื่อใช้สำหรับประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ และอดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ที่มรณภาพ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2556 ในวันอาทิตย์ที่ 9 มี.ค. 2557 ที่วัดเทพศิรินทราวาส การนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ เวลา 17.00 น.

ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 กุมภาพันธ์ 2557

20
เทศกาลกินเจปีนี้ขายดีกว่าปีที่แล้ว คนกินเจกันมากขึ้น
ผมยึดหลักการเดียวกับการตั้งราคาข้าวกล้อง ข้าวกล้องแพงกว่าข้าวขาวทั้งๆที่ผ่านกรรมวิธีมาน้อยกว่า ความจริงมันน่าจะถูกกว่าด้วยซ้ำ แต่คนขายข้าวมองเห็นโอกาสที่ข้าวกล้องมีคุณค่ามากกว่า และผู้ซื้อตัดสินมูลค่ามันจากคุณค่าไม่ใช่กระบวนการผลิต และกลุ่มคนกินข้าวกล้องก็มักจะเป็นกลุ่มคนมีเงิน

ผมใช้หลักการเดียวกันนี้ ตั้งราคาอาหารเจ แม้ต้นทุนวัตถุดิบจะต่ำ มีแต่ผักกับพืช ซึ่งถูกกว่าเนื้อสัตว์ แต่ผมเชื่อว่าคนกินเจตัดสินคุณค่าที่ผลบุญที่ได้รับ ไม่ได้ตัดสินจากวัตถุดิบ ไม่น่าเชื่อว่าคนขายอาหารเจคนอื่นๆก็คิดแบบเดียวกับผม ตั้งราคากันโหดๆทั้งนั้น ฟันให้หัวแบะ แต่ในเมื่อลูกค้ายอมจ่าย มันก็ถือว่าวินวินทั้งสองฝ่าย

ข้าวผัดเผือกฟันกำไรโคตรมันเลยจริงๆ ปกติผมขายอาหารธรรมดา แต่อวาตาร์มาขายอาหารเจเฉพาะกิจ10วัน เดิมข้าวผัดหมูขายอยู่จานละ30บาท ต้นทุนมีทั้งไข่ไก่ มีทั้งหมู ซอสถั่วเหลืองชั้นดี ลองคำนวณดูแล้วต้นทุนตกประมาณจานละ 20บาท กำไร10บาท

แต่ข้าวผัดเผือกผมตั้งราคาขาย40บาท ต้นทุนมีแค่เผือกที่ซื้อมาตุนไว้หลายเดือน หั่นชิ้นบางๆ เหยาะกลิ่นเผือกผสมคลุกๆลงไป โรยหน้าด้วยชูรส อร่อยเหาะ ขายดีเป็นบ้า ต้นทุนจานนึงไม่ถึง10บาท กำไรเน้นๆ30บาท   

โปรตีนเกษตรทอดก็ขายดีถล่มทลาย ขายไปเลย40บาท เมื่อวานผมเพิ่งปรับราคาขึ้นเป็น45บาท เพราะขายดีจัด ลองขึ้นราคาดูว่าลูกค้าบ่นไหม แต่ไม่บ่นแหะ เพราะลูกค้ามองว่าจ่าย45บาท แต่ได้บุญ และบุญอาจส่งผลให้รวยเป็นร้อยล้าน ดังนั้นลูกค้ามองว่าเขาลุ้นเงินร้อยล้านด้วยต้นทุนแค่45บาท ถูกมาก

เมนูอื่นๆที่ทำจากเต้าหูบ้าง กากถั่วบ้าง พวกนี้ต้นทุนไม่แพง แต่อาศัยว่าทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ คนส่วนมากชอบหลอกตัวเอง อยากกินเจแต่ก็ต้องกินอาหารที่หน้าตาเป็นลูกชิ้นกุ้งบ้าง หมูดงหมูแดงบ้าง เราก็จัดให้ ฟันราคาแพงกว่าขายลูกชิ้นกุ้งจริงๆอีก

ซุป8เซียนเสด็จจากสวรรค์ เป็นเมนูที่ผมคิดค้นขึ้นมาเพื่อขายที่ร้านตัวเองโดยเฉพาะ ใส่ของ8อย่างที่หาได้เร็วๆ พวกเห็ด ถั่วลิสง เน้นตั้งชื่อให้มันดูยิ่งใหญ่อลัง ต้นทุนถุงนึงไม่เกิน15บาท ขายที่50บาท ลูกค้าปลื้มมาก ซื้อกันแทบจนผมรวยแบบไม่ทันตั้งตัว วันหนึ่งทำ3หม้อใหญ่ๆขายหมด

กระเพาะปลาเจอีก เมนูนี้ผมเห็นคนอื่นทำขายเมื่อปีก่อน ปีนี้ผมเอาบ้าง ปกติกระเพาะปลาจริงๆ(มีของปลอมผสมบ้าง)ก็ขายกันถุงละ40บาทในตลาดบ้านผมนะ แต่นี่ผมทำกระเพาะปลาเจขาย ซื้อสำเร็จเขาส่งมาจากกรุงเทพ เราก็เอามาต้มขาย ขายแมร่ง80บาทเลย ต้นทุนประมาณ16-17บาท (เพราะต้มทีนึง2หม้อใหญ่ๆ) ฟันราคากระจาย ลูกค้าสั่งแทบทุกโต๊ะ เดินออกจากร้านหัวขาดทุกคน ฮ่าๆๆ

ยิ่งพวกที่มากันเป็นหมู่คณะ ผมเรียกว่ารถขนเงินมาคว่ำในร้านผมเลย โอ้โห สั่งแต่เมนูระดับอ๋องของร้านผมทั้งนั้น ลูกค้ากลุ่มพวกนี้รวย พวกที่เป็นสมาคมโรงเจอะไรพวกนี้ เป็นเจ้าของกิจการรวยๆกันทั้งนั้น แต่มารวมกลุ่มสมาคมอะไรผมก็ไม่ค่อยรู้ ใส่ชุดขาว และทำกิจกรรรมไหว้เจ้ากินเจ พวกนี้รวยจริงแต่ละคนที่เป็นกลุ่มกรรมการนี่เจ้าของธุรกิจหลักสิบล้านร้อยล้านทั้งนั้น มาจ้างผมทำอาหารเจไปเลี้ยงที่สมาคม ผมก็ไม่ค่อยว่างเพราะทำขายหน้าร้านก็ยุ่งจะตายแล้ว ก็เลยบอกราคาไปแบบไม่อยากขาย เพราะมองว่าคงทำไม่ไหว เลยบอกไปว่าเมนูต้มผมคิดหม้อละ1หมื่น เมนูผัดผมคิดหม้อละ8พัน เฮ้ย คนพวกนี้เอาว่ะ เมื่อวานผมทำส่งไปทั้งหมดเกือบแสนบาท จ้างคนงานพม่ามาทำ เราปรุงอย่างเดียว กำไรๆเน้นๆแบบที่ผมคำนวณคร่าวๆงานนี้ฟันไม่ต่ำกว่า 8หมื่นบาท ต้นทุนทั้งหมดยังไม่ถึง2หมื่นดีเลย แต่ขายได้เกือบแสน

รวมๆแล้ว6วันที่ผ่านมา ผมคิดคร่าวๆหักค่าใช้จ่ายอื่นๆและต้นทุนแล้ว ได้กำไรวันละประมาณ1แสนบาท (ไม่นับจ็อบที่ทำส่งสมาคมที่ได้กำไร8หมื่นนะ)  ถ้าขายครบ10วัน ผมจะกำไรประมาณ 1ล้านบาท  มากกว่าผมขายอาหารปกติทั้งปีอีก ทั้งปีผมขายอาหารตามสั่งได้กำไรเดือนละ4-5หมื่นบาทเอง เดี๋ยวหมดกินเจว่าจะไปออกรถมาขับสักหน่อย ให้รางวัลชีวิตตัวเองบ้าง

ที่เล่ามาเพียงแค่จะแชร์ประสบการณ์ทำธุรกิจ หาสิ่งที่เป็นคุณค่าที่ลูกค้ามองให้เจอ ไม่จำเป็นว่าของสิ่งนั้นต้นทุนเราจะต่ำแค่ไหน ถ้าลูกค้าตีมูลค่าของคุณค่าที่ได้รับไว้สูง นั่นคือโอกาสฟันกำไร

อาหารเจ ต้นทุนต่ำมีแต่พืช ผัก ถั่ว เต้าหู้  ในเทศกาลปกติ ลูกค้าไม่ยอมจ่ายในราคานี้แน่ๆ
แต่เทศกาลกินเจ ลูกค้าคิดว่ากินแล้วได้บุญ ดังนั้นสิ่งที่เราขายไม่ใช่อาหาร แต่เราขายบริการ บริการผลิตบุญ
สิ่งที่ลูกค้าซื้อก็ไม่ใช่อาหาร แต่ลูกค้าซื้อความรู้สึกว่าตัวเองได้บุญ ดังนั้นเขาจึงยอมจ่ายทุกราคา

ปล.ล่าสุดกระทู้ผมได้ออกข่าวช่อง9 ตอน 19.20 ด้วยแฮะ


http://pantip.com/topic/31094214

21
ศุกร์ที่ 13 กันยา มีคนโทรเข้ามาบอกว่าเป็นพนักงานแบงค์กรุงเทพฯ บอกว่ามีลูกค้าโอนเงิน เข้ามาที่บัญชีเราผิด บอกเลขบัญชีทุกอย่างถูกหมด แล้วก็บอกให้โอนเงิน 50,000.- กลับด้วย เพราะว่าลูกค้าคนนั้น เดือดร้อนมาก เราก็บอกว่าขอไปเช็คก่อน

พอวันเสาร์เราไปกดตังค์ ก็พบว่ามีเงินเข้ามาบัญชีเราผิด 50,000.- จริง ตามจำนวนที่เค้าบอกจริงๆ ก็เลยโอนคืนไปให้... ก็ไม่คิดว่ามีอะไร เพราะมันก็ไม่ใช่เงินของเรา เราก็ไม่อยากได้มาโดยมิชอบ
จนมาวันนี้ได้รับใบ แจ้งหนี้ CITIBANK มี ยอด Call for cash ให้ผ่อนจ่ายรายเดือน ก็เลยโทรไปเช็คที่ call center เค้าบอกว่าเราโทรไปขอเบิกเงินสดเข้าบัญชีเราด่วน เป็นเงิน 50,000.- เอง เมื่อวันที่ 12 กันยา เราก็บอกว่าไม่ได้ทำ.. .
อย่างนี้ก็โดนหลอกแล้วซิ พนักงาน call center ก็ได้แต่บอกให้รีบไปแจ้งความ ซึ่งก็ยังดีที่เราเก็บ slip ที่เราโอน เงินไว้นะ......

จะรบกวนผู้รู้ค่ะ ว่าจะทำอย่างไรต่อดี จะไปแจ้งความที่ไหน แล้วตำรวจจะช่วยเราได้ไหม เพราะจำนวนเงินตั้ง 5 หมื่นบาท

วิธีแก้ไข จากธนาคาร

หากเจอแบบนี้ ท่านไม่ต้องทำรายการโอนครับ ถึงจะมีการโอนเข้ามาผิดจริง ทางธนาคารสามารถทำรายการแก้ไขได้เองอยู่แล้ว การที่เราทำรายการโอนเงินเอง เท่ากับเราเป็นผู้สั่งโอน ยากแก่การปฏิเสธ การแก้ไขกว่าจะได้เงินคืน จะทำได้ลำบาก

หรือ หากเป็นการโอนจาก ATM หรือ CDM ให้ขอหลักฐานเป็นหนังสือออก โดยธนาคารมาให้เราก่อน (ต้องเป็นตัวจริงนะครับ)
แล้ว เช็คข้อมูลกับธนาคารต้นทางก่อนจนแน่ใจ
อีก 4-5 วันค่อยโอนก้อไม่เสียหาย เพราะไม่ได้มีเจตนาโกง ฟ้องมาก้อชนะแน่นอน

ถ้าเป็นการทำรายการโอนผิด ทุกธนาคารแค่แจ้งลูกค้าปลายทาง แล้วจัดการแก้ไขเองได้

คนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นคนดี...อยากคืนเงินคนที่เดือดร้อนแน่อยู่แล้ว ดังนั้น มีโอกาสตกหลุมนี้ได้ไม่ยากเลย
เจ้าของบัญชีที่รับโอนกลับ อาจเป็นคนบ้านนอก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนัก ถูกจ้างให้เปิดบัญชี พร้อมบัตร ATM ได้เงินค่าจ้าง 200-300 บาทก็เอาแล้ว คนโกงก็ไปกด ATM เชิดไปแล้วหลายสิบราย ได้เงินไปหลายแสนบาทแล้วครับ

ข้อควรระวังเรื่องนี้
1. ถ้ามีการโอนผิดจริง แบงก์สาขาจะสามารถจัดการได้เองเลย เราไม่ต้องทำอะไรครับ
2. เบอร์โทรเข้ามา ถ้าแปลกๆ แบบไม่แสดงเบอร์ หรือ เป็นแบบโทรจาก internet ให้ระวังไว้ก่อนเลยว่า อาจมีรายการหลอกลวง
3. ใบแจ้งหนี้บัตรเครดิต ควรทำลายอย่าให้เหลือเห็นข้อมูลต่างๆ เช่น วงเงินสินเชื่อ หรือ เลขบัญชีธนาคารที่ตัดอัตโนมัติ

โปรดกระจาย! ข่าวเรื่องนี้ไปยังเพื่อนและญาติๆ เพื่อป้องกันการหลอกลวงเช่นนี้ ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำหลายรายแล้ว


Pekoshop Joyly's status

22
วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์ นิยามความรวยกับความจน

มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้

คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่? ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน
แต่ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า...

๑) ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็ก ๆ เป็นกระท่อมน้อย ๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ มันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

๒) มีที่ดิน แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่ง มันเยอะมาก จริง ๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงิน เขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้น ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ ๆ ด้วย

เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่ายคือ ปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปี ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น เป็นเรื่องแปลก ที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย..มันร้อน ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะ จะทำการเกษตรได้ ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ ไม่เอาๆ อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญา จะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผม เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑

สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ...

๑) ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ

๒) ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า

วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า ลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอน ให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน ผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์มากที่สุด คืองานเกษตรซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่ม ในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหาร ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน

เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เพราะว่าสะอาด จ้างเท่าไหร่ก็ไม่อยากให้ไปอยู่ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด สำคัญที่สุดคือ เรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง เพราะว่าคนเมืองเห็นแก่ตัว วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ เดี๋ยวก็ฆ่ากัน ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโลก

คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น เอื้ออาทรกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกัน ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ ถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบของใครของมัน บ้านคนละหลัง ครอบครัวคนละหลัง ไม่รู้จักกัน ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็ก ๆ เราก็ช่วยเหลือกันได้ คุยกันได้ แบ่งปันกันได้ ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้ ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงิน ไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ แต่เขาจะมีสิ่งที่ดีกว่านั้นเยอะ คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี ไม่มียาเสพติด ไม่มีการพนัน ไม่มีอาชญากรรม มันน่าอยู่ ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้นมันก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยา ไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่น

ลูกผมเรียนหนังสือไม่เก่ง ปีนี้เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขา มีนักเรียน ๓๙ คน มันเดินสายกลางพอดีเลย (หัวเราะ) แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่า เป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้น ฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว ผมเคยอยู่ในสังคมอย่างนั้นมาก่อน มันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจ แต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิตของคนอีสาน ที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา ทำให้ลูกอายุแค่ ๘ ขวบเป็นคนมีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมากๆ เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก สำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต ผมคิดว่าเขาคงมีความสุขแน่ ! [ อ่านแล้วคุณรู้สึกอย่างไร? ]

Cr : MiniBIKE Thailand

23





ธรรมลีลา ชีวิตดี สุขภาพดี
ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๑๔๙ พฤกษาคม ๒๕๕๖

24
ข่าวสมาพันธ์ / The 12 year old girl that silenced...the world for 6 minutes!
« เมื่อ: 02 ตุลาคม 2013, 23:44:27 »


สวัสดีค่ะ ดิฉันเซเวอร์น ซูซูกิ ตัวแทนจาก ECO องค์กรเด็กพิทักษ์สิ่งแวดล้อม
พวกเราคือกลุ่มเด็ก อายุ 12-13 ปี ที่พยายามจะสร้างความแตกต่าง
วาเนสซ่า ซัทตี้, มอร์แกน ไกส์เลอร์, มิเชล เควก และตัวดิฉัน เราทุ่มเทเงินทั้งหมดของเราเพื่อมาที่นี่ด้วยตัวเอง
นั่งเครื่องบินมากว่า 5,000 ไมล์เพื่อมาบอกว่าพวกคุณควรเปลี่ยนแนวทางที่เป็นอยู่
ที่ฉันขึ้นมาพูดวันนี้ ฉันไม่ได้ต้องการผลประโยชน์กับตัวดิฉันทั้งสิ้น ฉันจะมาต่อสู้เพื่ออนาคตของดิฉัน
สูญเสียอนาคต มันไม่เหมือนกับการแพ้การเลือกตั้ง หรือเสียหุ้นบางจุดในตลาดหุ้น

ฉันมาพูดที่นี่ก็เพื่อลูกหลานรุ่นต่อๆไปของเรา
ฉันมาที่นี่เพื่อพูดแทนเด็กๆที่ยากลำบากทั่วโลกที่ต้องร้องไห้โหยหวน และเจ็บปวด
ฉันมาพูดแทนสัตว์นับไม่ถ้วนที่ตายไปทั่วโลกเพราะพวกมันไม่มีที่จะให้ไปแล้ว
ฉันกลัวที่จะออกไปสู้กับพระอาทิตย์แล้วตอนนี้ เพราะว่ามันมีช่องโหว่ในชั้นโอโซนของเรา
ฉันกลัวที่จะสูดอากาศ เพราะฉันไม่รู้ว่ามีสารเคมีอะไรปนอยู่บ้าง

ฉันเคยไปตกปลาที่รัฐแวนคูเวอร์ บ้านของฉัน กับพ่อ จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้ เราเจอปลาที่เต็มไปด้วยโรคมะเร็งนานาชนิด
และตอนนี้เราก็ต่างรู้ว่า ทั้งสัตว์และพืชต่างกำลังจะสูญพันธ์อยู่ทุกวัน และกำลังจะสูญหายไปตลอดกาล
ทั้งชีวิตของฉัน ฉันใฝ่ฝ้นอยากจะเห็นฝูงสัตว์ป่ามหึมา, ป่าไม้และป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยนกและผีเสื้อ
แต่ตอนนี้ฉันสงสัยว่า พวกมันจะอยู่ถึงให้รุ่นลูกหลานของฉันได้เห็นหรือไม่

พวกคุณเคยต้องกลุ้มเรื่องพวกนี้ตอนอายุเท่าฉันไหมหละ ทั้งหมดกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา
เพราะเรากลับทำราวกับว่าเรามีเวลาเหลือเฟือที่จะหาทางแก้ไขได้ทัน
ฉันเป็นแค่เด็ก และฉันก็ไม่มีทางแก้ไขได้ทุกสิ่งหรอก แต่ฉันอยากให้พวกคุณรู้ว่า พวกคุณก็ไม่มีเหมือนกัน
พวกคุณไม่รู้วิธีซ่อมช่องโหว่ในชั้นโอโซนเรา
พวกคุณไม่รู้วิธีพาปลาแซลมอนออกจากน้ำเน่า
พวกคุณไม่รู้วิธีชุบชีวิตสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
และพวกคุณไม่สามารถชุบชีวิตผืนป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์ซึ่งตอนนี้กลายเป็นทะเลทรายไปแล้ว
ถ้าพวกคุณไม่รู้วิธีซ่อมมัน ก็ได้โปรด หยุดทำลายมันเถิด

ณ ตอนนี้ คุณคือตัวแทนของรัฐบาลประเทศของคุณ นักธุรกิจ ผู้จัดการ นักข่าว นักการเมือง
แต่จริงๆแล้วพ่อและแม่ของคุณ พี่น้องของคุณ ลุงป้าน้าอาของคุณ และพวกคุณทั้งหลาย ก็คือลูกกันทั้งนั้น
ฉันเป็นแค่เด็ก แต่ฉันรู้ว่าเราคือครอบครัวใหญ่ถึง 5 พันล้านชีวิต
แต่แท้ที่จริงแล้วมีถึง 30 ล้านสายพันธุ์ต่างหาก พรมแดน และรัฐบาลไม่มีทางแบ่งแยกเราได้

ฉันเป็นเพียงแค่เด็ก ที่รู้ว่าเรากำลังเผชิญสิ่งนี้ร่วมกัน และควรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อเป้าหมายเดียว
ตอนฉันโกรธ ฉันก็ยังไม่ตาบอด และตอนฉันกลัว ฉันก็ไม่เกรงกลัวที่จะบอกให้โลกรู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไร
ในประเทศของฉัน เราสร้างทางเลือกเยอะเกินไป
เราซื้อแล้วก็ทิ้ง ซื้อแล้วก็ทิ้ง และแถมประเทศทางเหนือก็ไม่แบ่งปันให้กับผู้ด้อยโอกาส
แม้ว่าเราจะมีมากเกินพอแล้ว เราไม่กล้าที่จะแบ่ง เราไม่กล้าที่จะแบ่งความรวยให้คนอื่นบ้าง

ในแคนาดา เรามีชีวิตที่ครบครัน เรามีอาหาร, น้ำและที่อยู่อาศัยมากมาย
เรามีนาฬิกาข้อมือ จักรยาน คอมพิวเตอร์ และทีวี ไม่กี่วันก็เบื่อ
สองวันก่อน ที่บราซิลนี้แหละ เราถึงกับต้องช็อค เมื่อเห็นเด็กบางคนต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน
และนี้คือสิ่งที่เด็กคนหนึ่งบอกกับฉัน หนูหวังว่าหนูจะรวย
และถ้าหนูรวยจริง หนูจะให้อาหาร, เสื้อผ้า, ยา, ที่อยู่ และความรักความห่วงใยให้กับเด็กข้างถนนทั้งหมด
ถ้าขนาดเด็กข้างถนนที่ไม่มีอะไรเลย ยังอยากที่จะแบ่งปัน
แล้วทำไมเราผู้ซึ่งมีทุกสิ่ง กลับยังโลภกันได้เช่นนี้

ฉันหยุดคิดไม่ได้ ว่านี้ คื่อ เด็กในวัยเดียวกับฉัน ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่เกิด
ซึ่งฉันก็สามารถเป็นเด็กพวกนั้นที่อาศัยอยู่ที่ฟาเวลวัส ริโอ ได้เช่นกัน
ฉันสามารถเป็นเด็กอดอยากที่โซมาเลียได้
หรือเป็นเหยื่อของสงครามที่ตะวันออกกลางก็ได้
หรือขอทานในอินเดีย

ฉันเป็นเพียงเด็กที่รู้ว่าเงินทุนสงคราม ควรจะนำมาใช้ตอบคำถามเกี่ยวกับสิ่วแวดล้อม และจัดหาที่อยู่อาศัย
โลกมันจะน่าอยู่ขึ้นมากแค่ไหน คุณลองนึกดู

ที่โรงเรียน แม้แต่อนุบาล คุณสอนให้เราปฏิบัติยังไงต่อโลก
คุณสอนให้เราห้ามเล่นกับคนอื่น สอนให้คิด สอนให้เคารพคนอื่น สอนให้เก็บกวาดสิ่งที่ทำ
สอนว่าห้ามทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่น ให้แบ่ง อย่างเป็นคนงก
แล้วทำไมคุณถึงทำสิ่งที่คุณห้ามไม่ให้เราทำล่ะ

จงตะหนักว่าทำไมคุณถึงเข้าร่วมประชุมที่นี่ คุณทำไปเพื่อใคร เราคือลูกหลานของคุณ
คุณเป็นคนตัดสินว่า คุณอยากอยู่บนโลกแบบไหนในอนาคต
พ่อแม่ควรจะปลอบใจลูกด้วยการพูดว่า ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น โลกยังไม่แตกซักหน่อย พ่อกับแม่ทำดีที่สุดแล้ว
แต่ฉันว่า พวกคุณคงจะพูดอย่างนั้นกับเราไม่ได้แล้วล่ะ
เด็กอย่างพวกเราเคยสำคัญกับพวกคุณบ้างไหม
พ่อของฉันบอกเสมอว่า ลูกคือสิ่งที่ลูกทำ ไม่ใช่สิ่งที่ลูกพูด
ก็นั่นแหละ สิ่งที่พวกคุณทำ ทำให้พวกเขาร้องไห้ทุกกลางคืน
คุณออกไปพูดว่าคุณรักเรา
แต่ฉันขอท้าคุณเลย ขอเถอะ ช่วยทำอะไรให้สมกับคำพูดหน่อย ขอบคุณค่ะ

The girl who silenced the world for 6 minutes
by Severn Cullis-Suzuki

25



ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีที่ ๑๓ ฉบับที่๑๕๒ สิงหาคม ๒๕๕๖

26



ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีที่๑๓ ฉบับที่ ๑๔๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖

27



ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีที่๑๓ ฉบับที่ ๑๕๒ สิงหาคม ๒๕๕๖

28



ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีที่๑๓ ฉบับที่ ๑๕๒ สิงหาคม ๒๕๕๖

29



ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีที่ ๑๓ ฉบัยที่๑๔๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖

30


ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๑๕๓ กันยายน ๒๕๕๖

หน้า: 1 [2] 3 4