แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - knife05

หน้า: 1 2 3 [4]
46
ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประเสริฐ ทองเจริญ
 ที่ปรึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล และที่ปรึกษากรมควบคุมโรค
 กระทรวงสาธารณสุข อดีตที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก(WHO) วันนี้ในวัย 79 ปี
 ได้ให้แง่คิดที่น่าสนใจในการดำเนินชีวิตผ่าน"มติชนออนไลน์"
 พร้อมสะท้อน 4 นิสัยเน่าเสียของคนไทยในยุคปัจจุบันที่ทำให้คุณหมอประเสริฐรับไม่ได้

 คุณหมออายุใกล้ 80 ปี ทำอย่างไรถึงมีสุขภาพแข็งแรง และอารมณ์เบิกบานได้ตลอดเวลา
 ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันต้องได้กิน ได้นอนพอ ถ่ายอุจจาระ ไม่ท้องผูก
 ไม่ท้องเสีย และได้อออกำลังกาย หลายคนมักพูดว่า ไม่มีเวลา ผมก็ไม่มีเวลา
 แต่ผมอาศัยเดิน เช่น การเดินจากป้ายรถเมล์มาบ้าน ก็ได้เหงื่อบ้าง
 เป็นการออกกำลังกายโดยไม่ต้องเสียเงิน ถ้ามีลูกก็ชวนลูกเดิน
 ไม่ต้องไปออกกำลังกายหักโหม หรือเดินขึ้นบันได ช่วยทำให้หัวใจได้ออกกำลัง
  แต่ถ้าหากมีโรคหัวใจ ไม่ควรหักโหมอย่างนั้น ผมเผอิญไปทดสอบหัวใจยังดีอยู่
 ถัดไปเรื่องความเครียด พยายามอย่างเครียด อะไรลืมได้ลืม อะไรทิ้งได้ทิ้ง
 ความเครียดสำหรับตัวผมเอง มีความเครียดจากการเดินทาง
 ผมไปทำงานที่ศิริราชทุกวัน ก็แก้ปัญหาด้วยการออกแต่เช้าตี 5.45
 น.ออกจากบ้าน จะไม่พบความเครียดในการเดินทาง
 และเวลากลับบ้านก็กลับเร็วหน่อย เพราะไปแต่เช้า กลับเวลา15.00 น. หรือหาก
 15.00 น.เปิดวิทยุฟังบอกรถติด
  ก็อาจจะกลับช้าหน่วยสัก 1 ทุ่ม 2 ทุ่ม ค่อยกลับ
 ลดความเครียดในการเดินทาง ลดความเครียดในการใช้ชีวิตประจำวัน
 ผมเป็นคนที่ค่อนข้างระมัดระวัง ผมกินบำนาญ ผมรายได้ทั้งเดือนมาเฉลี่ยว่า
 ต่อวันมีรายได้เท่าไหร่ ผมพยายามใช้ให้อยู่ในกรอบอันนั้น เช่น
 ผมมีวงเงินใช้ 100 บาท ต่อวัน หากวันนี้ผมใช้เกินไป 120 บาท
 พรุ่งนี้ผมจะใช้เพียง 80 บาท ให้ถั่วเฉลี่ยกันไปให้ได้ อย่าขนาดว่า
 เคร่งครัดกับตัวเองจนขยับตัวเองไม่ได้
 ถ้าเราไม่สุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายมากไปพออยู่ได้
  หากเย็นนี้ทำกับข้าวเหลือ พรุ่งนี้ก็ห่อไปทานกลางวันที่ทำงานได้
 เมื่อก่อนแม่ให้ห่อข้าวไปโรงเรียน อายเพื่อน กลัวเพื่อนจะว่า
 พ่อแม่ไม่มีสตางค์ไปซื้อข้าวกิน อายเขา แต่ทุกวันนี้ผมกลับภูมิใจว่า
 พ่อแม่หัดเราไว้ ผมไปอยู่เจนีวาก็เอาข้าวกล่องไปกิน
 ผมมีความรู้ในการปรุงอาหารอยุ่บ้าง ผมไม่มีความเดือดร้อนการกินการอยู่
 ผมไม่เที่ยวกลางคืนมานานแล้ว นอนสัก 6 ชั่วโมง แต่ถ้าไม่ได้ 6
 ชั่วโมงไม่ต้องไปเคร่งเครียด
 ถ้ามีเวลาว่างมีงานอดิเรกด้วยการเขียนหนังสือ เขียนทิ้ง ๆ ไปบ้างก็ได้
 เปิดคอมพิวเตอร์ดูข้อมูล ดูข่าว ดูอีเมลล์บ้าง
 ในอินเตอร์เน็ตข่าวทุกอย่างอัพเดท ทำให้เรามีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน
 จะไม่เครียด ต้องรู้จักปล่อยว่าง

 การเสพสื่อในยุคนี้ มีข้อควรพิจารณาอย่างไร
 ต้องระมัดระวัง เพราะสื่อบางอย่างช่วยให้เครียดมากกว่า คลายเครียด ต้องเลือกสื่อ

 ความเหมาะสมของการดื่มในช่วงสูงวัย
 การดื่มถ้าสมมติจะดื่มบ้าง พอให้เจริญอาหาร สดชื่นบ้าง ไม่ควรบังคับ
 หรือห้าม ยกเว้นถ้าไม่ชอบดื่ม ถ้าอยากจะดื่มก็ให้ดื่มบ้าง
 มีคนที่ผมรู้จักคนหนึ่งดื่มบรั่นดีวันละ 1 เป็ก และดื่มมา 30 ปีแล้ว
 อยู่มาวันหนึ่งตรวจพบความดันโลหิตสูง
 ลูกชายและลูกเขยซึ่งเป็นหมอห้ามไม่ให้ดื่ม แต่ปรากฎว่า ความดันก็ไม่ลดลง
 วันหนึ่งมาคุยกับผม ผมบอกให้ลูกชายและลูกเขยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
 และให้ดื่มได้ตามปกติ ปรากฎว่า ผ่านไป 1 สัปดาห์ความดันลดลง
 การที่ความดันเพิ่มจากความเครียด บังคับจิตใจกันมากความดันเลยไม่ลด
 พวกที่มีสตางค์ดื่มไวน์ยังไงก็ไม่เมา

 เทคนิคการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี
 การห่วงลูกห่วงหลานต้องห่วงพ่อแม่ก่อน
 ต้องสอนพ่อแม่ให้เลี้ยงลูกอยู่ในกรอบ อย่าปล่อยตามใจ ผมมีลูก 3 คน
 ผมเลี้ยง และมีการลงโทษ หากบอกว่า อย่าแล้วยังทำจะต้องถูกทำโทษ
 ผมบอกตะเกียบกายสิทธิ์ ฝ่ามือผัดเผ็ดก็มี
 แต่การทำโทษต้องมีเหตุผล ถามเขาว่าทราบใช่มั๊ยว่า ทำไมต้องถูกลงโทษ
 เขาก็บอกอย่างนั้นอย่างนี้ก็รู้ตัว ผมบอกลูกเสมอว่า
 เลี้ยงลูกต้องมีเหตุผล
 ปัจจุบันเด็ก ๆ คุยโทรศัพท์มือถือนาน
 เราเตือนบอกคุยโทรศัพท์นานเสียเงินมาก พ่อแม่ต้องทำงานหนัก
 และการคุยโทรศัพท์นานมีผลกระทบต่อคลื่นสมอง
 นักวิจัยยังถกเถียงกันเรื่องนี้ว่า มีผลกระทบต่อสมอง
 และให้มีการทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว
 คุณหมอทำงานแบบไม่มีวันเกษียณ
 ถ้ายังทำงานไหว แม้จะต้องนั่งรถเข็นไป ก็ยังอยากไปทำอยู่ เพราะผมถือว่า
 คนเราจะเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อเมื่อเราทำประโยชน์
 ถ้าหากเราไม่ได้ทำประโยชน์ ก็เท่ากับเราไม่มีประโยชน์ คนเราจะนึกว่า
 ตัวเองวิเศษไปคนเดียวไม่ได้หรอก
 ต้องทำประโยชน์ต้องเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน อยู่ที่ทำงานเดือนหนึ่ง 1-2
 ครั้ง ผมจะทำกับข้าวให้กับผู้ร่วมงานรับประทาน
  คนที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน เราจะพยายามปรับให้เข้าหากัน เช่นว่า
 คนนี้คิดถูกแล้ว แล้วคุณจะว่าอย่างไร คุณคิดใหม่สิ จะได้ไม่ทะเลาะกัน
 ทุกวันนี้แตกแยกกัน
 ที่ผมเคยเห็น สามี-ภรรยา 2 คู่ ทำงานอยู่ที่เดียวกัน
 สามีของฝ่ายหนึ่งได้เลื่อน 2 ขั้น ภรรยา 2 คนทะเลาะกัน ทำไมสามีเธอได้ 2
 ขั้น สามีเธอเสนอหน้า เลียเจ้านายใช่หรือไม่ แต่ถ้าหากได้กินข้าวด้วยกัน
 แชร์ความรู้สึกกัน มันจะไม่ทะเลาะกัน
 ผมมีความสุขในการที่ได้ไปทำงาน เด็ก ๆ ยังยอมรับนับถือเรา
 อันนั้นอันนี้เป็นอย่างไร อาจารย์คิดว่าอย่างไร ผมบอกผมคิดอย่างนี้
 ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ อย่าไปคิดว่า ลื้อคิดผิด อั๊วคิดถูก
 คนเราทำไมจะคิดผิดไม่ได้ คนเราทำไมจะล้มเหลวไม่ได้ ผมไม่ถือเลย เช่น เด็ก
 ๆ ตั้งไข่ ต้องหกล้มหลายครั้ง กว่าจะเดินได้
 ตอนหกล้มไม่ใช่ความผิดของเด็ก
  ผมก็พยายามพูดอย่างนี้
 หลานผม สมัยที่เกิดการชุมนุนเสื้อเหลือง ผมบอกหลานว่า ฟังได้
 แต่อย่าเพิ่งปักใจ 100% ว่า คนนั้นผิด คนนี้ถูก คนที่เราคิดว่า
 ถูกอาจจะผิด คนที่เราคิดว่า ผิดอาจจะถูก เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งปักใจ
 ดูเหตุแวดล้อมอะไรต่าง ๆ ก่อน หลานก็บอกผมว่า เขาฟังสนธิ(ลิ้มทองกุล)
 พูดก็น่าฟัง พูดเก่ง แต่ว่า เขาไม่รู้ว่า เขาจะเชื่อได้หมดหรือเปล่า
 เขาพูดอย่างนี้ ผมพอใจแล้ว
  ให้เขาแบ่งใจไว้สักนิดว่า อาจจะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ เราก็ชมหลานว่า
 ถูกต้อง ต้องคิดอย่างนี้ เราต้องคิดว่า เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
 ไม่ได้ฟังมาแต่ต้น เราฟังสิ่งที่เขาเหล่ามา
 ประโยคเขาอาจจะเล่าไม่หมดก็ได้ เขาอาจจะเล่าไม่จบก็ได้
 เขาอาจจะทิ้งไว้ให้เราคิดต่อ แล้วเราก็คิดต่อ ไปในทางที่ผิดเอง
 เราต้องค่อย ๆ สอนเขาอย่างนี้ เขาก็เดินต่อไปได้

 คนไทยเชื่ออะไรง่ายๆ จริงไม่จริงก็ไม่รู้ แต่เชื่อไปแล้ว
 ผมมีความรู้สึกไม่ดีกับคนไทย 4 เรื่อง

 1) คนไทยเชื่อง่าย เชื่อข่าวลือ ไม่สอบสวนว่า ต้นตอมาอย่างไร เช่น
 ถ้ามีคนไปลือว่า คุณยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร) เป็นผู้ขายแปลงเพศมา
 อาจจะมีคนเชื่อ และบอกว่า ปกติ ตระกูลนี้ต้องคางเหลี่ยม จะสวยได้อย่างไร
 คนไทยเชื่อข่าวลือมาก เชื่อง่าย เชื่อข่าวลือ ของจริงมีคนชี้แจงจะไม่ฟัง
 ข่าวร้ายมาที่ 1 ข่าวลือมาที่ 2

 2) สิ่งที่ผมไม่ชอบมากขณะนี้คือ อยากได้ของฟรี คนขายหวยถึงรวย
 กล้วยออกปลีกลางต้น ก็ไปขูดเลข ไหว้ ต้นไทรมีอะไรออกมาผิดปกติ
 ก็ไปไหว้แล้ว เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยอยู่เฉย ๆ แล้วรวย ผมว่า ไม่มี
 ตอนนี้ผมนั่งดูอีเมลล์และเก็บพวก Spam ทุกวัน ผมกำลังเก็บไว้
 พวกต้มตุ๋นทั้งหลาย
 เช่น ท่านถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 10 ล้านดอลลาร์ ผมก็ถามตัวเองว่า
 ผมไปทำอะไรถึงถูกหวย Yahoo โปรโมชั่น ผมก็ไม่เคยใช้ Yahoo
 เขาจะให้โปรโมชั่นผมได้อย่างไร
 บางทีมีเรื่องธนาคารในอัฟริกาจะโอนเงินมาให้ ผมจะนำมาวิเคราะห์
 และพิมพ์แจกว่า ผมไม่เชื่อเพราะอะไร ตอนนี้มีเมียคนที่ 2 ของกัดดาฟี
 จะเอาเงินออกจากประเทศอย่างไร ช่วยรับไว้หน่อยได้หรือไม่ ภรรยาคุณสุริยะ
  จึงรุ่งเรืองกิจก็มี เป็นลูกสาวคุณวัฒนา อัศวเหมก็มี
 ผมจะวิเคราะห์ให้ฟัง ว่าคนพวกนี้เขาไม่สิ้นไร้ไม้ตอกหรอก
 เขาจะลงทุนโยกย้ายอะไรเขามีวิธีทำ ถ้าเขาเชื่อให้ผมทำ แสดงว่า
 เขาอยากจะเจ็งเร็ว ๆ ผมจะมีปัญญาไปทำอะไร ประโยคชอบขึ้นว่า Can I trust you ถ้ามึงเชื่อกูก็โง่เต็มที่

 3) เรื่องไม่ดีของคนไทยเรื่องที่สามคือ วิสัยทัศน์มองใกล้ ไม่ค่อยมองไกล
 ผมไม่ได้ว่า ทุกคน คนส่วนหนึ่งชอบชักจูงคนส่วนใหญ่ให้เชื่อตาม คือ
 คนมองใกล้ไม่มองไกล

 4) เรื่องไม่ดีเรื่องที่สี่ของคนไทยคือ คนไทยนับถือคนรวย เห็นว่า
 คนรวยเป็นคนดี แม้แต่พระในวัดดังองค์หนึ่ง ที่ผมทราบเรื่องนี้
 เพราะพ่อเพื่อนผมเป็นคนนำมาบวช จนได้เป็นพระดังอยู่ในเขตกรุงเทพฯ
 มีโยมอุปัฏฐากไปเรื่อย จนกระทั่งตอนหลังคุณพ่อพระไม่ไป เวลาคนจะมาหา
 ให้ลูกศิษย์ไปดูว่า คนที่จะมาพบนั่งรถอะไรมา เสียพระไปแล้ว คนเขาจะเดินมา
  หรือพายเรือมาก็เป็นเรื่องของเขา มันจะมาหาที่พึ่งทางใจก็ให้เขาพบสิ
 นี่ขนาดเป็นพระ แล้วคนธรรมดา
 ผมเคยด่าพระในใจครั้งหนึ่ง ทนไม่ไหว
 สมัยที่ใครต่อใครไปรุมที่วัดพระธรรมกาย
 มีพระผู้ใหญ่องค์หนึ่งที่อยู่วัดนี้ ได้รับรถเบนซ์จากวัดพระธรรมกาย
 ก็มีหนังสือพิมพ์ไปสัมภาษณ์ว่า จริงหรือไม่ว่า
 วัดดังกล่าวเอารถมาถวายท่าน พระองค์นั้นตอบว่า
 ผิดด้วยหรือที่อาตมาจะนั่งรถเบนซ์
 ผมดูทีวีแล้ว หลุดปากออกมาทันที่ว่า ผิดตั้งแต่แม่เอ็งคลอดเอ็งออกมา
 ทำไมไม่ให้สำลักน้ำคร่ำตาย ไม่ใช่ผิดวันนี้ มันผิดตั้งแต่ตอนเกิดแล้ว
 เป็นพระผู้ใหญ่พูดอย่างนั้นได้อย่างไร ควรจะพูดว่า
 ได้รับกิจนิมนต์ต้องเดินทางบ่อย ปลอดภัยดี ผมก็ไม่ว่าอะไร แต่กลับตอบว่า
 ผิดด้วยหรือ ที่อาตมานั่งรถเบนซ์ ผมรับไม่ได้ คือ มันแสดงให้เห็นว่า
 คนรวยคือ คนดี
  บางคนอาจจะรวยขึ้นมาด้วยการค้าของผิดกฎหมาย ฟอกเงิน

 ตลอด 79 ปีปรัชญาชีวิตที่ตกผลึกแล้วคืออะไร
 ช่วยตัวเองให้ได้ แล้วเราจะมีแรงช่วยคนอื่น
 การที่จะช่วยให้ตัวเองอยู่รอดได้ เป็นเรื่องของความมัธยัสถ์ สมถะ
 เรื่องของความเอาใจใส่ ดูแลตัวเอง ให้เรารอดปลอดภัยได้ ถ้าเรามีความรู้
 เราสามารถที่จะช่วยคนอื่นได้ อันนี้ถือสิ่งที่ผมทำ เมื่อผมแต่งงาน
 ยังไม่มีเงิน เวลาผมทำอะไร ผมต้องบอกภรรยาก่อนว่า อย่าหวังได้เงิน
 ได้กล่องก็ยังดี
  เมื่อก่อนผมทำคลินิกที่บ้าน เพื่อนบ้านผมไม่เคยเก็บสตางค์
 อย่างน้อยช่วยดูแลบ้านกัน หรือเราเลี้ยงสุนัขอาจไปทำเสียงดังให้รำคาญ
 เขาก็เกรงใจไม่ว่า เรา บ้านผมมีอาหารอะไรก็ทำแบ่งกันกินให้เพื่อนบ้าน

 นี่คือ ปรัชญาและความคิดที่ตกผลึกแล้วของคุณหมอประเสริฐ
 ผู้ใดจะเอาแนวคิดดี ๆ ไปใช้ คุณหมอไม่สงวนลิขสิทธิ์

47
คุณเคยคิดไหมว่า แท้จริงแล้ว คุณกำลังใช้ชีวิตอย่างไร เพื่ออะไรกันอยู่...???

คุณอาจกำลังสร้างฐานะ คุณอาจกำลังสร้างชื่อเสียง คุณอาจกำลังทำทุกอย่างตามแต่ความอยากในใจจะสั่งให้ทำ ตามความเคยชินของสังคม

แต่...ไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร ดำเนินชีวิตเพื่ออะไรก็ตาม ขอเพียงอย่างลืมไปว่า...
ตัวคุณเองที่เกิดมาบนโลกใบนี้ แท้จริงแล้ว ก็เปรียบได้ดั่งเทียนเล่มหนึ่งที่ถูกจุดขึ้นแล้ว เพื่อรอวันดับ...นั่นเอง

การแสวงหาลาภ ยศ ชื่อเสียง เงินทอง เปรียบเหมือนดั่ง การแกะสลัก ประดับประดาเนื้อเทียนของตัวคุณเอง ให้มีสวยงาม แต่ไม่ว่า เนื้อเทียนจะสวยงามมากเพียงใด คุณจะมีลาภยศ ชื่อเสียงมากขนาดไหน เนื้อเทียน หรืออายุขัยของคุณ ก็ย่อมละลายลงทุกวันๆ อยู่ดี

เมื่อเนื้อเทียนละลายลงทุกวันๆ.. สิ่งที่แน่นอนที่สุด คือ ความดับไปเป็นธรรมดา แล้วคุณจะมัวหลงไปกับการเพิ่มลวดลายบนเนื้อเทียน หรือการแสวงหาชื่อเสียง เงินทอง ว่าเป็นทุกสิ่งของชีวิต ไปเพื่ออะไรกัน...?

สิ่งสำคัญ คือ การละลายของเทียนจะช้า หรือเร็ว ย่อมขึ้นอยู่กับ ความร้อนแรงของเปลวไฟบนเทียน ซี่งหมายถึง การหวั่นไหวของอารมณ์ และจิตใจ ไปกับเรื่องราวต่างๆรอบตัวคุณ

เวลาคนเราโกรธ แล้วปล่อยให้การกระทำเป็นไปตามความโกรธ ทำทุกอย่างตามอารมณ์ ก็เหมือนดั่งการปล่อยให้เปลวไฟบนเทียนร้อนแรงแผดเผาตัวคุณเอง

เปลวไฟที่ร้อนแรง และสั่นไหว ก็ยิ่งเผาเนื้อเทียนให้ละลายลงเร็ว ยิ่งขึ้นไปอีก
ทุกครั้งที่คุณกำลังจะโกรธ ลองถามตัวเองดูซิครับว่า คุณจะเผาตัวเองให้มอดไหม้เป็นจุล สนองความสะใจ ความไม่พอใจไปเพื่ออะไร...?

สติ คือ สิ่งที่ใช้ควบคุมไฟบนเทียน ของเพียงใช้ชีวิตด้วยสติ ก็ถือว่าได้ควบคุมเปลวไฟเอาไว้แล้วนั่นเอง

ไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตให้เป็นเทียนแบบไหน เทียนที่เกลี้ยงเกลา เทียนที่มีลวดลายพองาม หรือเทียนที่งดงามประดับประดาไปด้วยเพชรนิลจินดาต่างๆ ท้ายสุดเทียนก็คือเทียน...เทียนที่ถูกจุดขึ้นแล้ว ย่อมรอวันดับลงไปเหมือนกันอยู่ดี

ไม่วันใดก็วันหนึ่งเทียนย่อมดับลง ชีวิตย่อมจบลง... ทุกสิ่งย่อมดับไปเป็นธรรมดา เป็นสิ่งที่ย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

หากคุณรู้ว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้
คุณจะยังใช้ชีวิตแบบตอนนี้กันอยู่หรือเปล่า...?
คุณจะยังทำแบบเดิมกับคนที่คุณรักอยู่หรือเปล่า...?
คุณจะยังทำทุกอย่างเพื่อลาภยศ ชื่อเสียง เงินทอง กันอยู่หรือเปล่า...?

ขอเพียงใช้ชีวิตด้วย สติ ไม่ลืมไปว่า ตัวเราก็เป็นเพียง เทียนเล่มหนึ่งที่ถูกจุดขึ้นแล้วเพื่อรอวันดับ คุณก็จะพบกับคำตอบ จุดเทียนอย่างไรให้กับชีวิต...? ที่เกิดขึ้นแล้วจากใจของตัวคุณเอง

...................................................................
จุดเทียนยังไง... ให้ชีวิต ?
เรื่อง ชัยพัฒน์ ทองคำบรรจง
จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ อะธิงก์

49
มีคนส่งคลิปรายการเหมือนจะชื่อ "สุขาอยู่หนได๋" หรืออะไรสักอย่างของดาราที่ชื่อ "ได๋" - ฟังแล้วอาจน่าหมั่นไส้ว่านี่คืออาการดัดจริตของคนที่แอบหลงว่าตนเองเป็นชนที่มีปัญญา - ฉันคือหนึ่งในนั้น - คือมีอคติกับความบันเทิงของมวลชน ยิ่งเป็นมวลชนกระฎุมพี ยิ่งไม่อยากปะทะสังสรรค์ เพราะไม่อยากระเบิดความรำคาญออกมาเป็นภาษาที่หยาบคาย ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงที่จะดูละครหลังข่าว เกมโชว์ ทอล์กโชว์ ข่าวซุบซิบบันเทิง

เมื่อเป็นเช่นนั้นเสียแล้ว ฉันจึงไม่รู้จักดาราหรือนักร้องร่วมสมัยคนใดเลย รวมทั้งคนที่ชื่อ "ได๋" ไม่นับว่าดาราสาวสวย หนุ่มหล่อทั้งหมดในวงการมีหน้าตา ทรงผม และสีผิว ที่ใกล้เคียง คล้ายคลึงกันจนยากที่แยะแยะว่าใครเป็นใคร สุดท้ายฉันก็ยอมแพ้ ยกเลิกความพยายามที่จะจดจำ

เขียนมาทั้งหมดเพื่อจะบอกว่าฉันไม่รู้จัก "ได๋" แต่รายการของเธอตอน "จับจ๊ะแจ๊ซ" ทำให้ฉันอึ้ง อึดอัด หายใจไม่ออก

ก่อนจะรู้สึกเวทนาสำนึกระฎุมพีไทยอย่างสุดซึ้ง

เปิดรายการมาด้วย

- ได๋ใส่เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงพร้อมกระดาษและปากกา ใส่แว่น - แปลว่า - หญิงสาวชนชั้นกลาง และช่วยไม่ได้ที่เธอผุดผ่อง สะอาดสะอ้าน แต่ไม่ได้แปลว่าเธอไม่มีสมอง เธอไม่ครุ่นคิด (สำแดงผ่าน กระดาษ ปากกา และแว่นตา)

- ความสุขอยู่ที่ไหน ได๋ถามตัวเอง ความสุขอยู่ที่ตัวเอง ความสุขของได๋อยู่ตรงที่ได้ไปพบปะพูดคุยกับคน บันทึกผ่านไดอารี่ อันเป็นเสมือนการดีท็อกซ์ความคิด เพราะหากคิดแล้วไม่ได้ระบายออกบ้างก็เหมือนคนไม่ได้ขี้อาจเป็นมะเร็งในที่นี้อาจเป็นมะเร็งความคิด - แปลว่า - สิ่งที่ได๋พูดอาจถกเถียงได้จากหลายมุมมองทางศาสนา ปรัชญา ประวัติศาสตร์ เถียงได้แม้กระทั่งว่า นิยามของความสุขคืออะไร

แต่ทั้งหมดนี้ต้องการสื่อให้เห็นว่า ได๋ไม่ใช่ดารากิมกลวง รู้จักตั้งคำถาม เปรียบเทียบ และไม่อยากทำไรตื้นเขินเหมือนที่คนอื่นทำ (ชั้นเหนือกว่าพวกหล่อนดาราดาดๆ นะยะ) เพราะได๋บอกว่า เธอไม่ต้องการทำรายการแบบ "สวัสดีค่าคุณผู้ชม ขอต้อนรับเข้าสู่รายการ - (ทำเสียงแหลม)

ภาพตัดมาที่เธอไปพบ จ๊ะ เทอร์โบ เจ้าของเพลงคันหู เธอบอกว่า อยากไปทำความรู้จักจ๊ะ เพราะคิดว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการพิพากษาที่ตัดสินเธอจากเพลงและท่าเต้น คันหู เท่านั้น

จากนั้นเธอพาจ๊ะไปร้อง คันหู ในเวอร์ชั่นของแจ๊ซ ก่อนจะจบแบบที่เธอคิดว่ามันสะเทือนใจคือสารภาพกับจ๊ะว่ามีหลายโรงแรมที่เธอขอเข้าไปใช้สถานที่แล้วปฏิเสธไม่ให้ใช้เมื่อบอกว่าแขกรับเชิญคือจ๊ะ (ภาษากายคือดวงตาเต็มไปด้วยความสะเทือนใจพร้อมทั้งมือที่เอื้อมไปจับแขนของจ๊ะอย่างต้องการจะปลอบประโลม ส่วนปฏิกิริยาของจ๊ะคือ "งงๆ"

(ไม่เห็นจะน่าสะเทือนใจอะไรขนาดนั้น ไม่เข้าใจว่า พี่ทำไมต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้น)

"จับจ๊ะแจ๊ซ" ในรายการ "สุขาอยู่หนได๋" ทำให้ฉันนึกถึงบทกวีของ Rudyard Kipling ที่ชื่อ The White Man"s Burden (1899) ว่าด้วย "ภาระของคนผิวขาว" ที่พูดถึงความจำเป็นของอเมริกาในการเข้าไปยึดครองฟิลิปปินส์

ทั้งนี้ การเข้าไปปกครองประเทศที่ยัง "ไร้เดียงสา" เหล่านี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของคนพื้นเมืองที่ยังไม่ประสีประสาเหล่านั้น เพราะคนผิวขาวจะนำเอาความรุ่งเรือง ปัญญา องค์ความรู้ ศาสนา (ที่ดีกว่า) เหตุผล ฯลฯ มาปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนพื้นเมือง

เช่น จากที่เคยนับถือผีสางนางไม้ก็ให้หันมานับถือพระเจ้า จากที่เคยอยู่ในเวทมนตร์ ไสยศาสตร์ก็ให้หันมาเรียนวิทยาศาสตร์

จากที่เคยใช้หมอผีรักษาโรคภัยไข้เจ็บก็ให้หันมาไว้วางใจการแพทย์แบบตะวันตก

จากที่เคยเดินเปลือยกายโทงเทงก็ให้หันมารู้จักการใส่เสื้อผ้า

จากที่เคยใช้มือกินข้าวก็ให้หันมาใช้ จาน ชาม ช้อน ส้อม มีด

จากที่เคยกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ ก็ให้เรียนรู้เรื่องโภชนาการ และวัฒนธรรมการกิน ดื่มอย่างมีอารยะ

ในที่จะขอละเว้นไม่พูดเรื่อง "การขูดรีดส่วนเกินทางเศรษฐกิจ" ของลัทธิจักรวรรดินิยม แต่จะพูดถึงด้านอัปลักษณ์ของแนวคิด "ภาระของคนผิวขาว" ในเชิงวัฒนธรรมที่โหดร้ายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าในเชิงเศรษฐกิจ

เพราะภาระของคนผิวขาวนั้นอบอวลไปด้วยการดูถูกมนุษย์บนฐานของชาติพันธุ์ โดยยึดเอาวัฒนธรรมความเป็นคนผิวขาวเป็นศูนย์กลางของจักรวาลและสูงส่งกว่าใครในโลก ก่อนจะ "ธุดงค์" ไปทั่วโลกเพื่อ "โปรดสัตว์" ยังดินแดนต่างๆ

โดยไม่ได้สนใจว่าคนเหล่านั้นต้องการอะไร

แต่เรามีหน้าที่ไปบอกเขาว่า "เขาควรจะต้องการอะไร"

"จับจ๊ะแจ๊ซ" ได๋ เดินทางไปพบจ๊ะ ด้วยศีลธรรมอันสูงส่งและอยากจะไปให้ Morral Support เพราะเธอบอกว่า "อยากไปกะเทาะเปลือก ผู้หญิงคนหนึ่งที่สังคมพิพากษาไปแล้วว่าเป็นคนไม่ดี" - ตรงนี้เป็นการวาง "ทุน" ทางศีลธรรมให้แก่ตัว ได๋ เองว่า เหตุใดเธอจึงมีความชอบธรรมพอที่จะเข้าไป กอบกู้ชีวิตของ "จ๊ะ" ขึ้นมาใหม่ได้

(แปลว่า - ฉันเป็นคนดีพอนะ, ฉันเล็งเห็นแล้วว่ามนุษย์กินคนเหล่านี้จริงๆ แล้วไม่ใช่คนดุร้าย ป่าเถื่อน เพียงแต่เขาได้รับการสั่งสอนที่ผิดๆ มาเท่านั้น ถ้าเราไปสอนเขาให้เดินไปถูกทางแล้วละก็ เขาจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีๆ ได้เหมือนพวกเรานี่ล่ะ งุงิ)

ในบทสนทหนาระหว่างได๋กับจ๊ะ สิ่งที่เราได้ยินคือ จ๊ะฟังว่าได๋พูดอะไร แต่ได๋ไม่ฟัง (ฟังแต่ไม่ได้ยินว่าจ๊ะพูดว่าอะไร?")

เริ่มตั้งแต่เธอใช้ "วัตถุ" มา "ล่อ" น้องจ๊ะ ด้วยการบอกว่า จะพาไปซื้อเสื้อผ้าประตูน้ำ (ทำไมประตูน้ำ ก็คนอย่างน้องจ๊ะ หรือน้องจ๊ะอาจจะบอกเองว่าชอบไปประตูน้ำ) เหตุที่เอา "วัตถุ" นำ เพราะในจิตไร้สำนึกของคนขาวย่อมมองว่าคนพื้นเมืองขาดแคลนและกระหายในวัตถุ ดังนั้น ได๋ จึงตั้งหน้าตั้งตาใช้วัตถุซื้อมิตรภาพตั้งแต่

- เดี๋ยวพาซื้อเสื้อผ้าที่ประตูน้ำ

- เดี๋ยวส่งครีมล้างหน้าไปให้ หน้าจะขาวเด้งวิ้งๆ เหมือนพี่ - ในตัวรายการทำกราฟิกวิ้งๆ ขึ้นให้ดูด้วย)

- จะรับค่าตัวหรือรับเป็นเสื้อผ้า

- ถ้ายอมร้องเพลงแจ๊ซจะยกชุดสวยๆ ที่เตรียมมาให้

ส่วนจ๊ะรับไมตรีทางวัตถุที่ได๋ทอดมาให้ มิใช่เพราะความตะกลาม ขาดแคลน เธอรับมาด้วยเหตุผลเดียวคือ "ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่รับ", "ให้ก็เอาแต่ไม่ได้ขอ และถ้าไม่ให้ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร"

ได๋สำแดงความเป็นคนผิวขาวที่เปี่ยมเมตตาต่อคนพื้นเมืองต่อด้วยการพยายามพูดสำเนียงเหน่อๆ แบบน้องจ๊ะ เพื่อจะบอกว่า "นี่ไง พี่เป็นพวกเดียวกับหนูนะ พี่ไม่ใช่คนถือตัวเล้ยยย" พูดไปขำไป - เราพึงรู้ว่า ถ้าคนกรุงเทพฯ พยายามพูดเหน่อ มันจะน่ารัก แต่ถ้าคนสุพรรณฯ พยายามดัดสำเนียงให้เหมือนคนกรุงเทพฯ จะถูกคนกรุงเทพฯ ค่อนให้อีกว่า กระแดะ ดัดจริต ลืมกำพืด

ได๋ถามถึงค่าตัว ถามว่าเก็บเงินได้เท่าไหร่ ร้องเพลงมากี่ปีแล้ว ทั้งหมดนี้ imply หรือส่อนัยอยากสื่อสารตรวจสอบว่า จ๊ะได้ค่าแรงที่เป็นธรรมไหม คนพื้นเมืองที่น่าสงสารอาจถูกนายทุนใจร้ายขูดรีดเอารัดเอาเปรียบอยู่ก็ได้

คำตอบของจ๊ะน่าสนใจมาก ฉันไม่ได้สนใจว่าจ๊ะเก็บเงินได้เท่าไหร่ แต่เธอบอกว่า เธอร้องเพลงออกแขกลิเกมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะที่บ้านเป็นคณะลิเก เล่นลิเกกันทั้งบ้าน ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่

ได๋ไม่ได้ฟัง ไม่ได้ยินว่า ครอบครัวของจ๊ะเป็นครอบครัวศิลปินพื้นบ้าน เป็นศิลปินกันทั้งเนื้อทั้งตัว จ๊ะร้องเพลง เต้น และ perfrom ได้เหมือนเรากินข้าว

จ๊ะเกิดมาพร้อมกับชีวิตของนักแสดง วัฒนธรรมของการเลี้ยงชีพด้วยการแสดง สั่งสมทักษะนี้มาจนเป็นเรื่องสามัญ ระบบค่าตอบแทนจะเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมเป็นสิ่งที่จ๊ะจะเรียนรู้เอง ประเมินด้วยตนเอง (อีกทั้งตัวฉันก็จะไม่เข้าไปตัดสิน)

ทว่า สำหรับได๋ คำว่า "เป็นลิเกกันทั้งบ้าน" ไม่มีความหมายอะไรกับเธอเลย เพราะในสายตาของคนผิวขาว ศิลปะการแสดงของคนท้องถิ่นนั้นเป็นแต่สิ่งน่ารักน่าเอ็นดู หาได้มีคุณค่าอื่นแต่อย่างใดไม่

ยังไม่หนำใจ คนผิวขาวยังขอร้องให้จ๊ะพูดอย่างมีหางเสียงลงท้ายด้วยคำว่า "คะ ขา" พลาง เอียงคอมอง "สิ่งมีชีวิตแสนไร้เดียงสาน่ารักซื่อใส" นี้อย่างพึงใจ อิ่มเอม ระคนขบขัน ลางทีก็ส่ายหัวระอาใจ

ไม่นับคำถามแบบ

"อยากดังมั้ย", "อยาก", ทำไมถึงอยากดัง", "ดังแล้วก็มีเงิน มีเงินก็ซื้อรถ ซื้อบ้าน ให้เงินพ่อแม่ไว้ใช้" - สิ่งที่จ๊ะพูดคือความจริงแสนสามัญที่คนผิวขาวอย่างได๋ก็ทำในสิ่งเดียวกัน ตระหนักในสิ่งเดียวกัน ทว่า ไม่กล้าพูดออกมาอย่างไม่สะทกสะท้านอย่างจ๊ะ เพราะอาภรณ์ของคนผิวขาวคือ Morral ที่ต้องพอกให้หนาเตอะเข้าไว้

เฉกเดียวกับลัทธิจักรวรรดินิยมที่เข้าไปสูบกินทรัพยากรในดินแดดต่างๆ อย่างเหี้ยมโหด พร้อมๆ กับการสอนพระคัมภีร์แก่คนพื้นเมือง

ฉากที่น่าสนใจอีกฉากหนึ่งคือ ได๋กับจ๊ะนั่งรถกระบะไปยังสถานที่ที่จ๊ะไปร้องแจ๊ซ

คำถามคือทำไมต้องเป็นรถกระบะ?

เพราะได๋คิดว่านี่คือการลงไปสัมผัสกับความเป็นชาวบ้าน ขณะที่รถกระบะแล่นไปบนถนน เธอแหกปากตะโกนถามผู้คนบนถนนด้วยอาการค่อนไปทางคุ้มคลั่ง เพื่อสำแดงความ อปกติ ของเหตุการณ์ที่เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเธอมีความเป็นดารามากกว่า ดังกว่า ที่พยายาม fake ตนเองให้ติดดินเพื่อจะเชิดอีกฝ่ายหนึ่งที่อยู่ต่ำกว่าให้ดูสูงขึ้นอย่างวิปริต

"รู้จักจ๊ะ คันหูมั้ย?"

"นี่ดารานะ"

"นี่จ๊ะ เทอร์โบ"

ถัดมาคือจุดพีคของรายการภาระของคนผิวขาวนั่นคือ ได๋ต้องการ purify เพลง "คันหู" ด้วยการให้ไปอยู่ในเวอร์ชั่นของ Jazz

"เคยฟังแจ๊ซมั้ย"

"ไม่เคย"

"คิดว่าร้องได้มั้ย"

"ไม่รู้หนูร้องแต่ลูกทุ่ง"

นอกจากจับจ๊ะไปแจ๊ซ ได๋ยังจับจ๊ะ แต่งหน้า ทำผม แต่งตัว ทำท่ายั่วยวนอย่างที่เธอคิดว่ามัน Classy - ทำผมยุ่งๆ หน่อย ดูเป็นธรรมชาติ ได๋ไม่ได้สนใจว่าจ๊ะพูดอะไรหรือรู้สึกอย่างไร เพราะเธอมัวแต่เคลิบเคลิ้มกับผลงานของเธอในขณะที่จ๊ะบอกว่า

"จะทำอะไรก็ทำ หนูจะได้กลับบ้าน"

ความวิตถารอย่างยิ่งในรายการนี้ของการปฏิบัติภารกิจของคนขาว (ที่ในบริบทไทยคือขาวด้วยการเป็นลูกครึ่งจีนหรือลูกครึ่งอื่นๆ บวกกับการใช้ไวต์เทนนิ่ง ฉีดกลูต้าฯ บวกการศึกษาแบบล้าหลังอนุรักษนิยมคับแคบ โถมทับด้วยช่องทางอันตีบตันในการเข้าถึงอาหารทางปัญญาที่มากกว่าหนังสือเบสต์เซลเลอร์และธรรมะย้อมใจที่อ้างว่าเป็นปรัชญาอันลึกล้ำ) คือการใช้พลงแจ๊ซเป็นสื่อบอกความ classy ทั้งๆ ที่ดนคนตรีแจ๊ซคือวิญญาณของคนผิวดำผู้ถูกถูกความรันทดที่สะท้อนออกมาในท่วงทำนองของสิ่งที่เรียกว่าแจ๊ซ

แจ๊ซไม่ใช่ชุด LBD สีดำ ไม่ใช่โรงแรมหกดาว (แม้จะสมมุติ) ไม่ใช่ความ classy, sophisticated ที่ได๋บอกว่า ถ้าจับจ๊ะมาแจ๊ซได้มั่นจะเก๋กว่า จะอารยะกว่า จะหลุดพ้นจากความป่าเถื่อน ไร้รสนิยมได้มากกว่า

ขอยืนไว้อาลัยแด่ชนชั้นกลางผิวขาว (กลูต้าฯ แอนด์ไวต์เทนนิ่ง) ของไทย อาเมน

คำ ผกา 
มติชนออนไลน์  19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หน้า: 1 2 3 [4]