แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - knife05

หน้า: 1 2 [3] 4
31
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / "ทุกข์ในใจ"
« เมื่อ: 19 มีนาคม 2013, 22:11:29 »
ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาอยู่ชั้นปีที่5 และได้มีโอกาสตรวจผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในขณะที่ข้าพเจ้ายืนรอผู้ป่วยอยู่หน้าห้องตรวจนั้น ข้าพเจ้าได้ได้ยินเสียงพยาบาลท่านหนึ่งซึ่งอยู่หน้าห้องตรวจที่อยู่ติดกันกล่าวว่า

“ หมายเลข 19 ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน เจาะเลือด”

เป็นเสียงเรียกจากพยาบาลหน้าห้องตรวจ ป้าคนหนึ่งรีบลุกจากที่นั่งตรงมายังเสียงเรียกดังกล่าว ส่งสมุดบันทึกประจำตัวให้เจ้าหน้าที่ ด้วยความวิตกกังวลว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร พยาบาล หมอจะว่าอะไรป้าบ้าง ผลความดันผลเลือดจะออกมาอย่างไร
“เอาหลาว ไม่มาตามนัดหลาว พันปรือสักที แล้วจะรักษาที่นี่ต่อหม้าย”

พยาบาลหน้าห้องตรวจก้อพ่นลมปากใส่ป้า พร้อมท่าทางหงุดหงิดที่ป้าไม่มาตามที่นัดหมายแล้วตามมาอีกสองสามประโยค

“โอ้ย ความดันไม่ลดเลย สั่งห้ามกินเค็มกินมัน ทำตามมั่งหม้าย”
“เอา มาเจาะเลือด พูดอะไรไม่เคยทำตาม เดี่ยวคอยแลเบาหวานขึ้นสูงอีก”

คนในชุดขาว หมวกขาวหน้าห้องตรวจ พูดพรางเขียนพรางโดยชื่อของป้าไม่มีผ่านปากเลยสักคำ สีหน้าแววตาของป้าเป็นอย่างไรไม่ได้รับรู้เลย สิ่งที่เค้าสนใจคือการจดบันทึกลงในเวชระเบียนเท่านั้น

“เจาะเลือดเสร็จแล้ว รอแถวนี้อย่าไปไหน รอเข้าพบหมอ” พยาบาลคนเดิมสั่งป้า

ข้าพเจ้าเห็นป้าทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด โดยการนั่งรอหน้าห้องตรวจ โดยที่ไม่ทราบว่าไปทานอาหารได้แล้วเพราะเจาะเลือดเสร็จแล้วพยาบาลสั่งให้รอก็รอ ไม่เห็นบอกให้ไปกินข้าว

“หมายเลข 19 เข้าห้องตรวจ หมายเลข 19 19 อยู่หม้าย” เสียงพยาบาลเรียกป้า

ป้าสะดุ้งเมื่อเพื่อนข้างๆสะกิดบอกว่าถึงคิวตรวจแล้ว ป้าเดินสีหน้าเศร้าสร้อยเข้าห้องตรวจ

“325 ป้า ป้า น้ำตาลป้าไม่ลดเลย หมอต้องเปลี่ยนจากยากินมาเป็นยาฉีดแล้วนะ ป้าทำตามที่หมอสั่งหรือป่าว รักษามาตั้งนานไม่ได้ผลเลย มาก็ไม่ตรงนัด เดี่ยวป้าไปรับยาแล้วให้พยาบาลสอนฉีดยาให้นะ ป้าจะฉีดเองหรือสอนให้ญาติฉีดก็ได้ หากฉีดเองไม่ได้ให้มาฉีดเองที่โรงพยาบาลวันละครั้ง”

หลังจากดูผลเลือดและตรวจป้าราวๆ สองถึงสามนาทีแพทย์ผู้ทำการรักษาได้เปลี่ยนจากยากินมาเป็นยาฉีดแทนเนื่องจากไม่พอใจค่าตัวเลขระดับน้ำตาลในเลือดของป้าที่ควบคุมไม่ได้

คำถาม คำตำหนิจากคนชุดขาว จากหมอ ที่ป้ามาไม่ตรงนัด ความดันไม่ลด น้ำตาลไม่ลด ทำตามที่สั่งไม่ให้กินเค็ม ไม่กินมัน ไม่กินหวานทำตามบ้างหรือไม่ สารพัดคำถาม สารพัดคำตำหนิ แต่ดูเหมือนว่าตั้งแต่เช้ามาป้ายังไม่ได้บอกกล่าวอธิบายเหตุผลใดๆให้ใครฟังสักคำเลยและดูเหมือนว่าป้าคงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว เพราะพยาบาลและหมอทำตามขั้นตอนที่วางไว้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

หลังจากนั้นซึ่งเป็นเวลาพักเที่ยงของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นป้านั่งอยู่หน้าห้องตรวจเพื่อรอบัตรนัดครั้งต่อไปร่วมกับมีสีหน้าเศร้า ข้าพเจ้าเลยเข้าไปนั่งคุยกับป้าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดและเหตุผลที่ป้าไม่มาตามนัดรวมถึงการที่ป้าควบคุมเบาหวานและความดันไม่ดี ซึ่งป้าก็เล่าให้ฟังดังนี้

หลักกิโลเมตรที่ 18 ถนนสายบ่อล้อลำทับ เป็นบ้านของป้ากับลุงที่มีลูกสาว ลูกเขยและหลานอีกสองคนอยู่ด้วยกัน ลูกสาวและลูกเขยที่อยู่กับป้า กรีดยางจ้างในหมู่บ้านใกล้เคียงห่างจากบ้านร่วมสิบกิโล หลานสองคนเรียนอยู่ชั้น ป.3 และ ป.6 มีรถรับส่งหน้าบ้าน ทั้งป้าและลุงเมื่อก่อนกรีดยางจ้างเช่นกันแต่ตอนนี้สายตาไม่ดีเลยกรีดไม่เห็น หยุดกรีดยางมาสามสี่ปีแล้ว เวลาทั้งหมดของป้าเป็นการทำงานบ้าน ทำกับข้าว ซักผ้าส่วนลุงออกทำงานก่อสร้างกับผู้รับเหมาในตัวอำเภอ มีรถมารับส่งทุกวัน

ก่อนจะมาโรงพยาบาล ป้าได้บอกกับลูกสาวเรื่องที่จะต้องมาโรงพยาบาล ก่อนที่ป้าจะบอกลูกสาว ป้าต้องคิดแล้วคิดอีก ต้องหาจังหวะเวลาที่พอจะพูดกับลูกได้เพราะรู้ดีว่าหากวันไหนหมอนัด ลูกเขยต้องไปส่งเนื่องจากลูกสาวขับรถไม่ได้ และทั้งบ้านมีรถมอเตอไซร์ที่ใช้ขนน้ำยางเพียงคันเดียว ทำให้ลูกต้องหยุดกรีดยางเพราะรู้ดีว่าต้องไปตั้งแต่เช้าเพื่อไปหยิบบัตรคิว อีกทั้งการเป็นลูกจ้างแล้ว หยุดกรีดยางนอกจากเป็นการขาดรายได้แล้วอาจถูกไล่ออกได้ง่ายๆ จึงเป็นเรื่องที่ป้าต้องลำบากใจทุกครั้งที่ต้องบอกลูก

บางครั้งที่หมอนัดป้า ป้าบอกว่าต้องทำเป็นลืม บางนัดลูกไม่ว่างก้อไม่ได้ไป บางครั้งแม้ไม่มีเสียงตอบใดๆจากลูกเลยป้าก็จะเตรียมสัมภาระไว้เผื่อว่าลูกจะรับรู้และได้ไปส่ง กลางคืนป้าต้องนอนฟังเสียงรถมอเตอร์ไซร์หากได้ยินเสียงรถออกจากบ้านแสดงว่าลูกไปกรีดยาง บ่อยครั้งที่ป้าต้องงดน้ำ งดอาหารรอโดยไม่รู้เลยว่าวันรุ่งขึ้นจะได้ไปโรงพยาบาลหรือไม่
แต่คราวนี้ป้ารู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำตอบรับจากลูกสาวว่า

“ต่อเช้าหยุดยาง ค่อยให้พี่ญาไปส่ง”

ป้ารู้สึกโล่งอกไปเรื่องหนึ่ง แต่ความกังวลไม่ได้จบเพียงการตอบปากรับคำจากลูกเพียงอย่างเดียว ที่ผ่านมาป้ารู้ดีว่าวันไหนหยุดกรีดยางลูกเขยชอบไปเที่ยวกับเพื่อน กินเหล้า เมากลับดึกเป็นประจำซ้ำร้ายยังมีปากเสียงลงไม้ลงมือกันบ่อยกับลูกสาวจนหลานๆต้องร้องห่มร้องให้มานอนกันนอกห้องหลายครั้ง จะหวังอะไรที่จะไปส่งแม่หาหมอตามนัด

ป้าจัดแจงสัมภาระของใช้ส่วนตัวใส่ตะกร้าใบเก่าเช่นเดิมทุกครั้งที่ผ่านมา ที่ลืมไม่ได้คือสมุดประจำตัว บัตรทอง บัตรประชาชน ป้าทราบดีว่าหากป้าลืมสิ่งเหล่านี้เมื่อไปโรงพยาบาลป้าจะพบกับเหตุการณ์อย่างไรบ้าง ป้าเล่าให้ฟังว่าเคยน้ำตาร่วงจากเงินติดกระเป๋าต้องหมดไปจากการต้องจ่ายค่ายาเนื่องจากลืมบัตรทอง ป้าจำไม่ลืมและที่เสียใจมากกว่าการจ่ายค่ายาคือ เสียงต่อว่าจากห้องบัตรกล่าวว่า

“ ไม่รู้จักเตรียม มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เก็บตางค์เสียมั่งจะได้รู้สึก”

ทั้งคำพูดและการกระทำของเจ้าหน้าที่ห้องบัตรครั้งนั้นทำให้ป้ารู้สึกจริงๆ เงินที่เก็บออมใว้ยามจำเป็นต้องหมดไป ใจที่ทุกข์ระทมจากสารพัดเรื่องเพิ่มทวี ฝังใจจนยากที่จะลืมได้
ป้าเล่าไปน้ำตาคลอเบ้าไปด้วยใจที่หดหู่ ยากที่ใครจะรับรู้เข้าใจความรู้สึกป้า วัยชราคนนี้

ป้าเล่าต่อว่าหลังจากอาหารเย็น ป้าก็ไม่ทานอะไรต่ออีกเลย งดอาหารและน้ำตามแพทย์สั่ง รีบเข้านอนรอฟังเสียงไก่ชนที่ลุงเลี้ยงไว้หลังบ้าน ป้ากังวลจนนอนไม่หลับ กังวลว่าพรุ่งนี้จะได้ไปตามนัดหรือไม่ ผลความดันเบาหวานเป็นอย่างไรบ้าง จะพูดกับพยาบาล กับหมออย่างไรว่านัดครั้งที่แล้วไม่ได้มา และกลัวว่าค่าความดันเบาหวานไม่ลดจะทำอย่างไร

ป้าตื่นตีห้าเรียกลูกสาวให้ไปปลุกลูกเขยใช้เวลาค่อนชั่วโมงกว่าจะมาถึงโรงพยาบาลด้วยความรีบร้อน ตรงไปที่บัตรคิวหยิบบัตร 19 ซึ่งเป็นบัตรที่หยิบได้ในเดือนนี้มีหลายคนนอนรอ นั่งรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ทุกคนพยายามรีบมาให้เร็วที่สุด เพราะหากมาสายเท่ากับว่าต้องนั่งทนหิวอีกนานกว่าจะได้ทานข้าว

สักครู่หนึ่งลูกเขยป้าจึงเดินเข้ามาหาและพาป้ากลับบ้านพร้อมความทุกข์ใจที่ยังมีอยู่และไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้


ทั้งหมอทั้งพยาบาลมีใครสักคนไหมที่รู้ว่า ที่ป้ามาไม่ตรงนัดแล้วบอกพยาบาลว่าป้าลืมนัด ป้าจำวันผิด ยอมให้พยาบาลดุด่าเพียงเพื่อให้มีคำตอบให้เหตุการณ์ขณะนั้นผ่านพ้นไป ทั้งที่จริงป้าต้องทำเป็นลืม เพราะเกรงใจลูกที่ต้องมาส่ง ต้องหยุดกรีดยาง ขาดรายได้หรือบางครั้งคนมาส่งเมาเหล้าหลับลืมไม่ได้มาส่ง บางครั้งมีปัญหาสามีภรรยาทุบตีกัน สุดท้ายคำว่า ลืม คำว่า จำวันผิด ก็เป็นวลีเพียงเพื่อลมปากผ่านหูเท่านั้น

แล้วมีสักกี่คนที่รู้ว่าป้าอยากทำตามที่หมอสั่ง งดเค็ม งดมัน งดหวาน แต่ไม่มีทางให้ป้าเลือกกินเลย ป้าเล่าให้ฟังว่า

“ที่บ้านอยู่กัน 6 ชีวิต ใครจะรู้บ้างว่ากับข้าวที่ป้าทำเคยถูกเททิ้งมาแล้วเนื่องจากจืด กินไม่ลง ลูกหลานกินไม่ได้ หากจะแยกครัวแยกปรุงออกไปต่างหาก เท่าที่มีอุปกรณ์อาหารการกินก็จำกัดเต็มที แค่ได้มีกินก็พอแล้วสำหรับป้า”

จากประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้เจอในครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้าคิดอยู่เสมอว่าการเป็นหมอนั้นไม่ใช่แค่เพียงการรักษาเพียงแต่โรคหรือการมีความรู้ที่เก่งเพียงอย่างเดียวแต่เป็นการรักษาผู้ป่วยทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์และสังคม เพื่อให้ผู้ป่วยมี

สุขภาวะทางจิตใจที่ดี คือมีจิตใจที่มีความสุข รื่นเริง คล่องแคล่ว ไม่มีความเครียด มีสติสัมปชัญญะ และความคิดอ่านตามควรแก่อายุ

สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางร่างกายร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง คือ คล่องแคล่ว มีกำลัง ไม่เป็นโรค ไม่พิการ มีสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพ

สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางสังคม คือ ความสามารถในการอยู่ร่วมกันในสังคม มีความสุข สันติภาพ

สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ คือ เป็นความสุขที่เกิดจากการเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจความจริงแห่งชีวิตและสรรพสิ่ง

จนเกิดความรอบรู้ เอาใจใส่คนไข้ มีเมตตา มีความสนใจต่อคนไข้มากกว่าเป็นแค่คนไข้คนหนึ่ง ปฏิบัติต่อคนไข้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ มีมโนธรรมในการเป็นแพทย์ มีการติดต่อสื่อสารทั้งสองทาง รับฟังความคิดเห็นและความทุกข์ลำบากของคนไข้และตอบสนองด้วยการช่วยเหลืออย่างเต็มที่

กล่าวโดยสรุปคือการเป็นแพทย์ที่ดีนั้นข้าพเจ้าคิดว่าควรดูแลรักษาทั้ง คน และ ไข้ จึงจะเป็นแพทย์ในอุดมคติที่ดี เป็นที่พึ่งของประชาชนผู้ป่วยไข้และเป็นที่ยอมรับยกย่องในสังคม

สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าขอยกคำกล่าวของพระราชบิดาที่ได้กล่าวไว้ เพื่อให้แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรสาธารณสุขได้ดำเนินตามอุดมคติของตัวเอง เป็นบุคลากรทางสาธารณสุขอย่างมีมาตรฐานและสืบเนื่องต่อไป



สุขส่วนตนยกไว้ เป็นสอง

ประโยชน์ชนทั้งผอง หนึ่งแท้

หากยึดมั่นธรรมครอง อาชีพ บริสุทธิ์

ลาภยศจักเกิดแม้ ไม่ได้ ไขว่คว้า

คือคำที่ท่านให้ พึงจำ

หากหมั่นเพียรกระทำ เยี่ยมแท้

พระบรมราชชนกนำ เป็นแบบ อย่างดี

เราลูก บิดา แม้ สุขน้อย อดทน


ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน เป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมแห่งอาชีพ ไว้ให้บริสุทธิ์

I don't want you to be only a doctor, but I also want you to be a man

นศพ.ธีรเดช เกลือนสิน
นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6
ศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิก
โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช

32
เพื่อนๆหมอเคยคิดไหมครับ ว่าวันหนึ่งถ้าเรากลับมามีเชื้อ HIV เราจะสามารถทำงานหนักได้อย่างเดิมไหม แล้วเราจะมีโอกาสแพร่เชื้อให้คนไข้ได้หรือไม่ แล้วสุดท้าย เราควรจะเป็นหมอต่อไปหรือไม่
ส่งโดย: bvm

26 มค. 49 เป็นวันแรกที่ผมรู้่ว่าผลเลือดผิดปกติ ซึ่งจริงจริงแล้วผมไม่ได้ตั้งใจอยากจะเจาะเลือดเท่าไร แค่เจาะไปตามหน้าที่ แต่พี่เฉาฝ่ายการพยาบาลบอกว่า หมอต้องไปเจาะให้ครบครบนะ หมอโดนเข็มตำมา พี่ต้องเขียนรายงานให้ผู้้้้้อำนวยการ มันทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าผมไม่ยอมไปเจาะเลือดคงทำให้พี่เฉาลำบาก

เช้าวันนี้ผมก็ไปเจาะเลือดเหมือน3ครั้้งก่อน ผมเดินไปที่่ห้องฉุกเฉิน เข้าไปหาพี่อาร์ทให้ช่วยเจาะเลือดให้ พี่อาร์ทป็นพยาบาลสาวสวยใจดีที่น่ารกมากคนนึง ผมไม่เคยรู้เลยว่าพี่อาร์ทมือเบาขนาดนี้ ผมแทบไม่รู้สึกเจ็บเลย ทุกอย่างช่างเป้นไปอย่างเรียบร้อย ผมฝากเลือดไปส่งที่ห้องแล็ป เดินออกจากห้องฉุกเฉินอย่างสบายใจเพราะผมคงไม่ต้องมาเจาะเลือดอีก ครั้งนี้แหละ ครั้งสุดท้ายที่เราจะเจ็บตัว

ผมกลับไปนั่งตรวจคนไข้ที่แผนกผู้ป่วยนอก วันนี้เป็นวันที่คนไข้มากจริงจริง ที่นั่งรอก็เต็ม ทั้งคนไข้และญาติก็ยืนรอกันเกะกะไปหมด วันนี้ผมคงต้องรีบตรวจหน่อยแล้ว ไม่งั้นคนไข้คงจะรอแย่ซะก่อน แต่พอตรวจไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง คุณพรชัยโทรจากห้องแล็ปว่าอยากพบผม ถ้ามีเวลาขอให้รีบไปที่ห้องแล็ปด้วย ในตอนแรกผมคิดว่าเลือดคงไม่พอ ขอตรวจใหม่่ ซึ่งคุณพรชัยบอกว่าขอเจาะเลือดใหม่จริงจริง แต่เหตุผลกลับไม่ใช่ คุณพรชัยบอกว่าผลมันเป็น weakly positive อยากจะขอตรวจใหม่ด้วยวิธี ELISA โดยใช้น้ำยาตัวใหม่ หลังจากได้ยินคำขอ ผมก็รีบเดินไปที่โต๊ะเจาะเลือดอย่างรวดเร็วราวได้รับคำสั่งมา ท่วงท่าผมไม่มีความกังวลใจเลยซักนิด แต่ในใจนั้นกลับหยุดนิ่งอยู่กับที่เหมือนไม่มีอะไรอยู่รอบตัว ห้องเจาะเลือดที่คาคร่ำไปด้วยผู้คนกลับเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่ซักคนเดียว ผมกลับมาคิดถึงคำพูดคุณพรชัยเมื่อกี๊ว่าประโยคที่พูดเมื่อครู่มันหมายถึงอะไ รกันแน่ มันน่าแปลกที่แพทย์ใช้ทุนปี3อย่างผมไม่เข้าใจคำว่า weakly positive แปลว่าอะไร ในวินาทีนั้นผมแปลว่ามันคือ false positive หมายความว่าคุณพรชัยคงตรวจผลเลือดผมผิด แล้วไม่มั่นใจเลยขอตรวจซ้ำด้วยน้ำยาที่ดีกว่าเก่าเพื่อจะได้ยืนยันผลให้ผม ผมเดินกลับหอพักคนเดียว แต่วันนี้มันเป็นตัวคนเ ดียวที่ไม่เหมือนทุกวัน ใจกับตัวมันไม่ได้มาด้วยกัน ขาว่าก้าวไป แต่ใจอยากเดินกลับไปถามอีกรอบว่าที่คุณพรชัยพูดมันแปลว่าอะไร ตกลงผม HIV positive หรือไม่ ผมเดินมาถึห้อง นั่งลงบนเตียง คิดย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดในชั่วครู่หลายสิบรอบ... ผมลืมกลับไปตรวจคนไข้ต่อ... ผมลืมไปroundเย็น... ผมไม่ได้รบโทรศัพท์ที่รพ.ตาม... ผมกำลังทำอะไรที่นี่!!!

นั่งอยู่เปล่าเปลี่ยว วนเวียนว้าวุ่น ทบทวนความหลัง ว่าเราเป็นอะไร
เรามาทำอะไรที่นี่ เป็นหมอแล้วดีตรงไหน หากไม่เป็นแล้วเราจะทำอะไร แต่ยังไงคงไม่่เป็นเอดส์ซะเอง

ผมยังนั่่งสับสนอยู่บนเตียงคนเดียว ผมคิดอะไรไม่ออก แต่จริงจริงแล้วคงต้องบอกว่าไม่รู้ว่าควรเริ่มคิดจากตรงไหน ผมตัดสินใจปรึกษาเพื่อนที่สนิทที่สุดของผม ผมเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างช้าๆ ตั้งแต่ว่าผมโดนเข็มตำนิ้วกลางมือซ้ายตั้งแต่ มิย 48 ตอนนั้นผมทำผ่าตัด appendectomy ให้กับคนไข้ผู้หญิง HIV infection อายุ 24 ปีซึ่งตอนนี้ไปทำงานที่ฟิลิปปินส์ ผลการเจาะเลือดครั้งแรกของผมนั้น HIV neg ทางรพ.ก็มีguidelineในการตรวจเลือดซ้ำตอน 1เดือน ,3เดือน และ 6เดือน ผมกินยาเป็นสูตร 4ตัว กินครบ1เดือน ตรวจเลือดซ้ำที่ 1,3 เดือน ผลHIV ก็ยัง neg อยู ตอนนั้นผมคิดว่าผมคงรอดแล้วล่ะ เพราะคำบอกเล่าจากเพื่อนฝูงก็บอกว่า บางคนไม่กินยายังไม่เป็นเลย แล้วมึงจะเป็นได้ยังไง ผม consult พี่infectious ในรพ. เค้าก็บอกว่าตั้งแต่เค้าดูมาเค้ายังไม่เคยเจอ HIV positive จากโดนเข็มตำเลย่ ที่สำคัญที่สุดคือเลยwindow period ไปแล้วซึ่งผมคงสบายแล้วล่ะ

แต่บางสิ่งในชึวิตมันกลับไม่เหมือนในตำรา เราเดินไปตรงๆแต่เราก็หลุดจากเส้นทางได้ถ้าเราลืมดูว่าจริงจริงแล้วมันเป็นท างโค้ง ที่ในหนังสือเค้าบอกว่าถ้าเกิน 3เดือนจากการcontactเชื้อ แสดงว่าปลอดภัย แต่จริงจริงเค้าศึกษาใน normal population ไม่ใช่คนที่กิน ARV ครบ1เดือน จึงไม่่น่าแปลกใจที่ผลHIVจึง positive ที 6 ่เดิอน (เค้าถึงให้เจาะเลือดที่6เดือนไงล่ะ)

ผมคุยกับเพื่อนอยู่นาน สุดท้ายผมตัดสินใจที่จะไปหาที่เจาะเลือดในรพ.เอกชนเพื่อยืนยันผลการตรวจ ที่นั่นทำให้ผลได้รับคำตอบ คำตอบที่เป็นความจริง ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ความจริงที่ผมมี HIV

ผลการยืนยันสรุปว่าผมติดเชื้อจริง… ติดเชื้อจริงจริง…. ติดเชื้ือจริงจริงเหรอ….. ผมถามประโยคนี้กับตัวเองในทุกๆก้าวที่เดิน ผมเดินกลับมาถึงรถ ผมขับรถไม่ไหวแล้ว ตาผมมองไปข้างหน้าแต่กลับมองไม่เห็นแสงไฟมาจากที่ใด ผมสงสัยว่าทำไมต้องเป็นผม มีคนเป็นอย่างผมอีกหรือไม่ ผมทำผิดอะไรไว้สิ่งนี้จึงเกิดกับผม ผมควรจะโทษตัวเองที่เอาเข็มทิ่มนิ้วตัวเอง หรือว่าโทษพ่อแม่ทีผลักดันจนผมได้มาเรียนหมอ หรือว่าโทษกรรมเก่าที่คนเราชอบอ้างถึงแต่ไม่มีใครตอบได้ว่ามันคืออะไร ผมนิ่งเงียบ เพื่อนผมพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะปลอบได้ยังไง………..ผลกลัวตายครับ……..ผมเพิ่งรู้สึกจริงจริงกับตัว ว่่าผมกลัว ถึงแม้เรารู้ว่าซักวันนึงเราตองตาย แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้ ผมเพิ่งอายุ 26 ผมยังไม่อยากตาย ผมกลัว PCP ผมไม่อยากเป็น Crypto meningitis ผมกลัวแม้แตเป็น PPE ...ผมกลัว

ความตายไม่ใช่เรื่องเล่นเล่นอย่างที่เราเคยเข้าใจซะแล้ว พวกเราอยู่กับความเจ็บป่วยมานาน สิ่งที่เราทำกันอยู่ในปัจจุบันคือรักษาโรคแต่เพียงอย่างเดียว จนลืมไปแล้วว่าจริงจริงเรารักษาคน เราดูแต่เจ้าของร่างกายโดยที่เราลืมรักษาจิตใจที่ร่วมมาด้วย ผมย้อนคิดไปถึงอดีตที่ดูแลคนไข้ มีคนไข้จำนวนมากที่ป่วยเป็นโรคที่อาจทำให้เสียชีวิต แต่เรากลับบอกพวกเขาสั้นๆว่า คุณป้าเป็นมะเร็งครับ คุณติดเชื้อ HIV ครับ มันพอแล้วหรือหรือเปล่า ผมไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนี้มาก่อนจนกระทั่งวันที่เจอกับตัว การที่รู้ว่าเราต้องตายถึงแม้จะอีกนาน แต่มันก็ทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่มันไม่มีความสุขสักนิด ทุกสิ่งรอบตัวที่เคยดูสวยงาม ตอนนี้มันไม่มีความหมาย ผมเดินผ่านมันไป ดูเหมือนเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น

ผมตัดสินใจบอกแฟนผมเรื่องผลเลือด ผมไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้กับเค้าได้ ผมชอบเค้ามาก มากจนไม่สามารถเอาเค้าเข้ามาอยู่กับตัวผมได้อีก ผมเป็นแฟนกับเค้ามาเกือบสามปี เดือนหน้าก็จะป็นวันครบรอบสามปีพอดี ช่วงที่ผมไปใช้ทุนต่างจังหวัด ก็ไม่ค่อยได้เจอกัน ตอนนี้ใช้ทุนเกือบครบแล้วกลับต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ผมบอกกับเค้าว่า ผมขอโทษ ตอนนี้ผมไม่ได้มีทุกอย่างพร้อมเหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะสิ่งที่ขาดไป่ไม่มีใครมาทำให้เป็นเหมือนเดิมได้้ ผมชอบโ…มาก แต่เราคงไ่ม่่สามารถใช้ชีวิตอยู่กันได้หรอก ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนไร้ค่า ความรู้สึกของหมอกับคนไข้ที่ติดเชื้อ มันทำให้ผมรังเกียจตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

เรื่องของโ…เป็นไปตามที่ผมวางแผนไว้ เธอโทรมาคุยกับผมนานนานครั้ง ห่างขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เราไม่ได้ติดต่อกันแล้ว ถึงแม้เราจะไม่ได้บอกเลิกกันอย่างเป็นทางการทำให้ผมเข้าใจในการในการตะดสินใ จของเขา และก็ไม่เคยโกรธเขาแม้แต่ครั้งเดียว ความรู้สึกของผมต่อโ…ก็ยังเป็นเหมือนเมื่อก่อน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไป
ความสดใส ไม่กลับมา
ความรัก กลับจากลา
เพราะเพียงว่า เราเปลี่ยนไป

33
ในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร

ในสมัยนั้น…เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูติผีวิญญาณ
ตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้น

อาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนต์คาถาอาคมใดเลย นอกจากคำว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ซึ่งมีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใด ก็จะกล่าวเพียงคำนี้ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมา
อาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้น ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้

เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น อาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์

มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายผล นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทย์มนต์คาถาอาคม เล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทย์มนต์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ

เขาเล่าให้อาตมาฟังว่า เขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่
กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่

นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตาถึง 7 วัน เต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบ
ตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมา ก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย

วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา อาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทย์มนต์คาถา หรือคุณไสยใด นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก ถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมา จึงกลับมายังเขาซึ่งเป็นผู้กระทำ ไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้
อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่า อาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริง ๆ ทำให้ผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมาจึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนต์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้ายได้

อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
จนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ

นายผล เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกแก่อาตมาว่า..

ข้าแต่ท่านอาจารย์ ก็เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัด จงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่า.. การสวดมนต์ของท่านเช่นนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่าน หรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนต์คาถาในภูติผีปิศาจของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าของรับรองว่า จะไม่ทำอันตรายแก่ท่าอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการ ที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไป ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ อาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้ปฎิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป..อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง กุกกัก กุกกัก จะขึ้นมา จึงได้จุดเทียนและพบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวของอาตมามาก อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี และด้วยสัญชาติญาณจึงกล่าวคำสวดมนต์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติ

ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า เมื่อคืนนี้..ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักนักอยู่ อาตมาบอกว่า อาตมาได้ตื่นมาและตกใจ จึงได้สวดมนต์ภาวนา ตะขาบตัวนั้นก็อันตรธานหายไป

นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนต์คาถา และคุณไสยใดๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้ ก็เพราะอำนาจแก่การสวดมนต์ภาวนาของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ได้

ที่อาตมา (สมเด็จโต) ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน เพื่อให้เป็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ว่า เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนต์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้ ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน

ท่านเจ้าพระยา และ อุบาสก อุบาสิกา ในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยกมือขึ้นสาธุ
ว่า อานิสงส์ของการสวดมานต์ช่างมีคุณค่าสูงส่งยีงนัก


จากหนังสือ อมตะธรรม สมเด็จโต

34
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / อ่านตรงนี้นิด
« เมื่อ: 19 มีนาคม 2013, 21:24:19 »
ลูกชาย : พ่อครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย ?
พ่อ : แน่นอน ได้สิ , ลูกจะถามอะไร
ลูกชาย : พ่อครับ ใน 1 ชั่วโมงพ่อหาเงินได้เท่าไหร่เหรอครับ ?
พ่อ : มันไม่ใช่ธุระอะไรของลูก ทำไมถึงถามอะไรแบบนี้ ?
ลูกชาย : ผมแค่อยากรู้ ได้โปรดบอกผมเถอะครับ
ใน 1 ชั่วโมงพ่อหาเงินได้เท่าไหร่เหรอครับ ?
พ่อ : ถ้าลูกต้องรู้ให้ได้ พ่อก็จะบอกให้ฟัง
ใน 1 ชั่วโมง พ่อหาเงินได้ 100 บาท
ลูกชาย : โห !!! (ทำหน้าเศร้าพร้อมกับก้มหน้าลง)
ลูกชาย : พ่อครับ ผมขอยืมเงินพ่อ 50 บาทได้มั้ย ?

พ่อของเขาโมโหอย่างมาก
พ่อ : ถ้าด้วยเหตุผลที่ลูกถาม
เพียงเพราะอยากจะขอยืมเงินพ่อ
เพื่อไปซื้อของเล่นห่วยๆ หรือ สิ่งของไร้สาระพวกนั้น
ลูกควรจะนำตัวเองตรงกลับไปที่ห้อง และ เข้านอน
พร้อมกับคิดว่าทำไมถึงเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้
พ่อทำงานหนักทุกวัน เพื่อเลี้ยงลูกที่มีนิสัยอย่างนี้เหรอ

เด็กชายตัวน้อย เงียบลง
และค่อยๆเดินขึ้นไปที่ห้องของเขาและปิดประตูลง

พ่อนั่งลงด้วยความโมโห นึกย้อนคิดถึงคำถามของลูกชาย
เขากล้าถามกับเราอย่างนั้นได้อย่างไร
เพียงเพื่อแลกกับเงินบางส่วน
ผ่านไป 1 ชั่วโมง... อารมณ์ของพ่อเริ่มสงบลง และเริ่มคิดได้ว่า
บางทีอาจจะมีบางสิ่งที่มีราคา 50 บาท ซึ่งลูกอยากได้จริงๆ
และความจริงแล้ว เขาก็ไม่เคยถาม หรือ ขอเงินเรามาก่อนเลย
ดังนั้นเอง พ่อจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปหาลูกน้อยที่ห้องนอน

พ่อ : ยังไม่นอนอีกเหรอลูก ?
ลูก : ไม่ครับพ่อ ผมยังไม่นอน
พ่อ : พ่อมาคิดดูแล้ว บางทีพ่อคงทำงานจนเหนื่อยเกินไป
ถึงได้พูดกับลูกแรงขนาดนั้น
นี่เงิน 50 บาทที่ลูกขอยืมพ่อ เอาไปสิ

หนุ่มน้อยฉีกยิ้มด้วยความดีใจ พร้อมกับลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น เขาก็รีบดึงแบงค์ยับๆจำนวนหนึ่ง
และ เศษเหรียญเล็กๆน้อยๆ ออกมาจากใต้หมอนของเขา
เขานั่งบรรจงนับมันอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองพ่อ
ในขณะเดียวกันกับที่พ่อเริ่มจะโมโหขึ้นอีกรอบ
เพราะเห็นลูกชายซ่อนเงินจำนวนหนึ่งไว้ใต้หมอน

พ่อ : ลูกจะเอาเงินเยอะแยะขนาดนี้ไปทำอะไร
ในเมื่อลูกก็มีมันอยู่มากแล้ว (พ่อถามพร้อมอารมณ์เริ่มโกรธ)

ลูกชาย : เพราะผมมีไม่พอครับพ่อ แต่ตอนนี้ผมครบแล้ว
พ่อครับ นี่เงิน 100 บาท ผมขอซื้อเวลาทำงานของพ่อ 1 ชั่วโมง
พรุ่งนี้ตอนเย็น พ่อช่วยกลับบ้านมาเร็วๆนะครับ
ผมเพียงแค่อยากจะกินข้าวเย็นกับพ่อครับ

พ่อหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เพราะความเจ็บปวดที่หน้าอก
รู้สึกเหมือนดวงใจของเขา มันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
พ่อรีบคุกเข่าลง โผเข้ากอดลูกชายทั้งน้ำตา
พร้อมกับขอให้ลูกชายสุดที่รักยกโทษให้ตัวเขา

นี่เป็นเพียงเรื่องสั้นๆ ที่อยากเตือนให้คุณคิดว่า
เราไม่ควรปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ความหมาย
พรุ่งนี้ หากคุณตายลงที่ทำงานของคุณ
ก็สามารถหาคนมาทำงานแทนที่ช่วงเวลาของคุณได้อย่างง่ายดาย
แต่สำหรับครอบครัวและคนที่คุณรัก พวกเขาเหล่านั้น
ไม่สามารถหาใครมาแทนที่ช่วงเวลาที่สูญเสียไปจากคุณได้

ลองถามตัวเองดูว่า ทุกวันนี้
ตัวของคุณใช้เวลาไปกับสิ่งใดมากกว่ากัน
ระหว่าง การทำงาน หรือว่า ครอบครัว ?

แล้วถามใจตัวเองอีกครั้ง ว่าสิ่งใดกันแน่
ที่มีความสำคัญกับชีวิตของคุณมากกว่ากัน ?

Cr.Rish Valentine
แปลไทยโดย : เด็กหนวด

35
นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุดเกิดขึ้นมากผิดปกติ
เปิดเผย ไม่เกรงกลัว
กลุ่มต่อต้านกษัตริย์ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น
แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ
ด้วยการป้อนชุดข้อมูลที่ดูเหมือนจริง แต่เป็นความเท็จ

ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงและบริษัทประชาสัมพันธ์
ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
(ประมาณ 30.3 ล้านบาท)
เพื่อไปล็อบบี้สมาชิกรัฐสภาและรัฐบาลอเมริกันเพื่อผลทางการเมืองของตน

อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น คือ
เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้น
อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐทวีความเข้มแข็งมากขึ้น
มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย เขียนบทความภาษาต่างๆ
ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่งคือ เจ.เค.
แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations)
อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์
และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามกษัตริย์สลับกันมาหลายปีแล้ว

อีกคนหนึ่งคือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างให้มาทำงานด้านนี้
และเป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ "อากง"
มาเขียนโจมตี ม.112 เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในความเป็นจริง
คนพวกนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย
แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทยสายสาธารณรัฐที่คนไทยรู้จักดี

ในกลางปี 2556 นักล็อบบี้พวกนี้วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการ ในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies)

ซึ่งมีคนไทยที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์มีอิทธิพลอยู่
การอภิปรายดังกล่าวมีเป้าหมายมุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทยเป็นการเฉพาะ
รวมทั้งมีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ

ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐานจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย รัฐสภาของสหรัฐ ที่ดูเผินๆ
แล้วน่าเชื่อถือ หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน
เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2554 ในวาระครบ 7 รอบ 84
พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นักล็อบบี้อเมริกันได้ส่งชุดข้อมูลที่ปั้นแต่งขึ้นจนทำให้สมาชิกสภาหลงเชื่อได้
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ส่งหนังสือถวายพระพรตามที่เคยปฏิบัติมา

จนสภาสูงต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน สะท้อนให้เห็นว่า
นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกันทำงานให้กับนายจ้างอย่างได้ผล
ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิดและต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย
ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน

ไม่เพียงแต่เท่านั้น สถาบันบางแห่งของสหรัฐ เช่น
กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy)
ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐคิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท
และอีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์
ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา โดยอ้างว่าเพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชน ในการพัฒนาประชาธิไตย

แต่กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม
โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันสูงสุด

นักล็อบบี้เหล่านี้ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่งหรือหลายชุด
และไปเคลื่อนไหว ชักจูง ชี้นำ โน้มน้าวให้สมาชิกรัฐสภา

และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทกรรมที่ว่า
สถาบันสูงสุดเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย สถาบันทำลายสิทธิมนุษยชน
อ้างว่าปัญหาของเมืองไทยไม่ใช่เรื่องการเมือง
แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น
"ทางออก" ของชาติ

พวกนี้พยายามป้อนข้อมูลให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า "สถาบันไม่สู้แล้ว"
เพราะถ้าสถาบันไม่สู้
สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่นนอกจากจะยืนข้างฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามสถาบัน
และเป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น
อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุดตลอดมา

หากสหรัฐและประเทศเหล่านี้สรุปว่า ฝ่ายสถาบันแพ้แน่
สหรัฐและประเทศเหล่านี้ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ
ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ

อย่างไรก็ดี ฝ่ายสถาบันส่งสัญญานมาหลายครั้งแล้วว่า "ยังสู้" และ
"ไม่ยอมแพ้" โดยเฉพาะวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555
ที่ประชาชนชาวไทยไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ
อย่างมืดฟ้ามัวดินเพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร สะท้อนให้เห็นว่า
ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แต่ปรากฏ "แรงเฉื่อย" ในสถาบันทหาร ศาล และรัฐบาล จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุด ของประเทศให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้

รัฐบาลชุดก่อนเคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน
เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง
"ศูนย์ไทยศึกษา" และ "เพื่อนประเทศไทย"
เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่ปรากฏว่า
ศูนย์เหล่านี้กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด
และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป

ไทยถูกคุกคามด้วยสงครามยุคใหม่ ทั้งสงคราม อสมมาตร (Asymmetric Warfare)

เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553
และสถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และ
สงครามไซเบอร์ สงครามทั้งสามนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ
แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็น Global
Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้ มีข่าวว่า
สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ ที่เรียกว่า
"แบล็ควอเตอร์" ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย
โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เบี้ยเลี้ยงต่างหาก
เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ

อเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว

อันตรายที่เกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเรื่องจริงและหนักหนา
ชาติและสถาบันกำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง
สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศเป็นเพียง "ยอดภูเขาน้ำแข็ง"
ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ

บทความนี้ไม่ต้องการให้คนไทยไปต่อต้านสหรัฐ
เพียงแต่ขอให้เพื่อนอย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติและราชบัลลังก์เท่านั้น
ปัญหาของประเทศไทยต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก
เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้ายในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์
ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า สถาบันสูงสุดยังสู้
และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ

โดย ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ

36
    ในวันที่ 29 เมษายน 1961 นายแพทย์ Leonid Rogozov ชาวโซเวียต อายุ 27 ปี แพทย์ประจำคณะสำรวจแอนตาร์กติก ที่ 6 เกิดเจ็บท้องเฉียบพลัน บริเวณรอบสะดือ ก่อนจะย้ายมาปวดท้องบริเวณท้องส่วนล่างด้านขวา และมีไข้สูง

    นายแพทย์ Leonid Rogozov รู้ได้ในทันทีว่านั้นคืออาการของไส้ติ่งอับเสบ(Appendicitis)

    แต่คุณหมออยู่ท่ามกลาง ทวีปที่โดดเดี่ยว ห่างไกล และทุรกันดารที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ไม่มีแพทย์คนอื่น ไม่มีเครื่องบิน หรือพาหนะอื่นได้ที่จะส่งคุณหมอไปรักษาอย่างทันท่วงที

    ทางรอดเพียงของคุณหมอคือ การผ่าตัดตัวเอง ( Self surgery )

    ใน คืนวันที่ 30 เมษายน 1961 คุณหมอได้ลงมือผ่าตัดไส้ติ่งตัวเอง โดยใช้ฉีดยาชาเฉพาะที่ Novocaine เปิดช่องท้องเป็นแผลยาว 12 เซ็นติเมตร

    ทำการผ่าตัดโดยใช้มือสัมผัส และมองผ่ากระจก ที่ถือโดยผู้ช่วยจำเป็น

    ผู้ช่วยจำเป็น คือ วิศวกรเครื่องกล และนักอุตุนิยมวิทยา ที่ทำหน้าที่เป็นลูกมือช่วยผ่าตัด หยิบของ ถือกระจกให้คุณหมอมอง เพื่อผ่าตัดผ่านกระจก

    การผ่าตัดใช้เวลาทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง 45 นาที

    คุณหมอใช้เวลาพักพื้นอยู่ 5 วันอาการไข้ และอุณหภูมิร่างกายจึงกลับสู่ภาวะปกติ และพักต่ออีก 2 วันแผลผ่าตัดจึงทุเลา

จาก http:// http://www.wowboom.blogspot.com

37
        ในอดีตอันยาวนานคนไทยรักษาตนเองด้วย สมุนไพรและแพทย์แผนไทยที่สืบทอดมานับพันปี ระบบการแพทย์ปัจจุบันได้เกิดขึ้นในประเทศไทยพร้อม กับการตั้งโรงพยาบาลศิริราช หลังการสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ฯ ตั้งแต่ พ.ศ.2431 ต่อมา จึงเกิดโรงเรียนแพทย์ที่เรียกว่า “ราชแพทยาลัย” ผลิต แพทย์ตามวิชาการแพทย์สมัยใหม่และมีแพทย์จบ  ประกาศนียบัตรรุ่นแรกเมื่อ พ.ศ.2436 ต่อมาจนถึงปี 2470 จึงเปลี่ยนเป็นผลิตแพทย์ปริญญาเป็นรุ่น 34  โดยได้รับความสนับสนุนจาก มูลนิธิรอคกี้เฟลเลอร์ ถือ ได้ว่าการแพทย์สมัยใหม่มีอายุเพียง 100 ปี แต่การ  แพทย์ปัจจุบันของเมืองไทยได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะได้ส่งอาจารย์แพทย์สาขาต่างๆไปศึกษาเพิ่มเติม ต่างประเทศทั้งที่อังกฤษ เยอรมัน อเมริกา แคนาดา  จนถึงญี่ปุ่น ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อเมริกา ขาดแคลนแพทย์มาก แพทย์ไทยได้รับทุนหรือไปโดยทุน ส่วนตัวไปใช้เวลาประมาณ 5 ปี จบการศึกษาระดับ สูงเป็นจำนวนมากและได้ไปศึกษาต่างประเทศกลับมา ปฏิบัติงานในเมืองไทยทั้งในโรงเรียนแพทย์ต่างๆที่ เพิ่มขึ้นหลายแห่ง เช่น จุฬา เชียงใหม่ สงขลา ขอนแก่น ได้นำเครื่องมือแพทย์ วิธีการตรวจรักษาใหม่ๆจากต่าง ประเทศมาใช้โดยแพร่หลาย มีการศึกษาวิจัยโรคต่างๆ มากมาย

        ระบบการให้การรักษาพยาบาลเริ่มด้วยการ ให้การรักษาฟรีทั้งหมด เพราะในระยะต้น คนไทยยัง ไม่แน่ใจในระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน จนต่อมาผู้มีการศึกษาและมีฐานะเริ่มเข้ามารักษามากขึ้น เริ่มจัด เป็นผู้ป่วยพิเศษมีห้องอยู่ ชำระเงินบางส่วน ต่อไป  จึงแบ่งเป็นคนไข้อนาถาไม่ต้องจ่าย คนไข้พิเศษจ่ายเงิน นอกจากนี้ คนไทยทั่วไปรู้จักการแพทย์ปัจจุบันผ่านแพทย์เชลยศักดิ์ที่ออกไปตั้งคลินิคต่างๆทั่วประเทศ คนไทยนิยมและเชื่อถือในระบบการแพทย์ปัจจุบันมากขึ้น มีโรงพยาบาลของรัฐเพิ่มมากขึ้น ต่อมามีโรงพยาบาล เอกชนที่รักษาทุกโรคที่เป็นขององค์กรศาสนาต่าง  ประเทศ เช่น กรุงเทพคริสเตียน เซนต์หลุยส์ Nursing Home และมิชชั่น และมีในต่างจังหวัดบางแห่งด้วย เช่น เชียงใหม่ แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีเศรษฐฐานะ จึงเริ่มมี โรงพยาบาลเอกชนที่รักษาเฉพาะโรคใดโรคหนึ่งขึ้น ในกรุงเทพฯ เช่น รับคลอดบุตรและโรคเฉพาะสตรี โรงพยาบาลโรคตา หู คอ จมูก บางโรงพยาบาลรับ เฉพาะศัลยกรรม และในต่างจังหวัดบางแห่งมี โรงพยาบาลเอกชนรักษาทุกโรค เมื่อความต้องการ มีมากขึ้น โรงพยาบาลรัฐไม่เพียงพอและให้ความ สะดวกแก่ผู้มีฐานะดีพอสมควรไม่ได้โดยเฉพาะ ในกรุงเทพฯ จึงเกิดโรงพยาบาลเอกชนรักษาทุกโรค (General Hospital) ขึ้นเป็นครั้งแรกคือ โรงพยาบาล วิชัยยุทธ เมื่อ พ.ศ.2512 และติดตามมาอีกหลายแห่ง จนบัดนี้มีโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯและเกือบทุก จังหวัดทั่วประเทศ ทำให้มีการกระจายของแพทย์เฉพาะ ทางต่างๆออกไปและดึงแพทย์ที่ไปอบรมต่างประเทศ แล้วกลับมาทำงานในประเทศไทยมากขึ้น คนไทยได้รับการรักษาทางแพทย์ที่มีมาตรฐานสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว ทำให้มาตรฐานของการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลขนาด ใหญ่ทั้งของทางราชการและเอกชนจำนวนหนึ่งอยู่ใน ระดับเดียวกับต่างประเทศ จนถึงขนาดที่โรงพยาบาล เอกชนหลายแห่งมุ่งไปให้บริการคนไข้ที่มาจาก ต่างประเทศที่เรียกว่า มุ่งสร้าง Medical Hub แต่ในช่วง นี้นอกจากการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแล้ว ปีที่ผ่านไปยังได้นำเข้าระบบโลกาภิวัตน์ทางการแพทย์ คือ ระบบการฟ้องร้องโรงพยาบาลและฟ้องแพทย์จากการปฏิบัติ ของสังคมต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกาเข้ามาสู่สังคม ไทยด้วย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการนำเอาความสิ้นเปลือง ความย่อยยับมาสู่ระบบการแพทย์ไทยด้วย โดยคนไทย ยุคใหม่หาได้ตระหนักถึงผลเสียที่รุนแรงนี้ มุ่งแต่การทำ ตามสังคมอื่นและตามใจตัวเองตามที่ลักษณะคนไทย ในสังคมยุคใหม่ที่มองตัวเองเป็นใหญ่ ผลประโยชน์ของ คนอื่นไม่สนใจ ขอให้ตัวเองได้ประโยชน์  ไม่มีการให้ อภัย ไม่มีความเอื้ออารี ไม่มีเมตตา ไม่รู้จักธรรมะของ “อนิจจัง” ของ “กรรม” ทำตนเป็นผู้สร้างกรรมแบบ “ตัวกูของกู” หารู้ไม่ว่าสิ่งนี้จะมีผลร้ายสะท้อนกลับมาถึง ตนเองและลูกหลานของตนเองในอนาคตอันใกล้
.............................................................

 สิ่งที่คนไทยยุคใหม่ไม่เข้าใจหรือจะเรียกว่าเข้าใจ ผิดในระบบการแพทย์ยุคใหม่มีอยู่หลายประการ

         ประการแรก คนไทยยุคใหม่เข้าใจว่า ตามระบบ การแพทย์สมัยใหม่แพทย์จะสามารถวินิจฉัยและรักษาโรคได้ ถูกต้องเสมอไม่มีความผิดพลาดเลย ไม่ว่าจะมีเวลาพบ คนไข้เพียง 1-3 นาที ซักประวัติได้ไม่กี่ประโยคและ ตรวจร่างกายได้เพียงบางส่วนก็ต้องให้การรักษาแล้ว อย่างที่แพทย์ตามโรงพยาบาลต่างจังหวัดและโรงพยาบาล ในระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคทำกันอยู่ ซึ่งไม่มีแพทย์ที่ ใดในโลกนี้จะทำได้ แต่เหตุการณ์บังคับให้ต้องทำเช่นนี้ คนก็คาดหวังให้เป็นหมอเทวดา วินิจฉัยโรคได้ถูก รักษาได้ถูก ซึ่งแม้แพทย์ที่เคยมีประสบการณ์ดูแลคนไข้ มาหลายๆปีแล้วก็ตาม ถ้าพบคนไข้ใหม่ที่ไม่เคยตรวจ รักษามาก่อนจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงต่อ 1 ราย ในการซักถามอาการของโรคที่ผู้ป่วยเป็น ตรวจ  ร่างกายโดยละเอียด แพทย์ที่ได้รักษาคนไข้มานาน เคยพบโรคต่างๆโดยตนเองย่อมมีความชำนาญในการวินิจฉัยมากกว่าแพทย์ที่เพิ่งจบไม่กี่ปี แต่แพทย์จบใหม่ เหล่านี้ต้องไปทำงานในสถานการณ์ที่ไม่อำนวย ต้องดู คนไข้ที่มาหาให้หมดทุกคนจึงต้องเฉลี่ยให้คนละ 2-3 นาที เพราะบางแห่งมีแพทย์เพียง  2-3 คนเท่านั้น จึงไม่มีทางที่จะทำให้คนไข้พอใจได้

         ประการที่สอง หลังจากการซักประวัติตรวจ ร่างกายแล้วคนไข้ส่วนใหญ่ยังอาจต้องได้รับการตรวจทาง ห้องปฏิบัติการ เช่น
ตรวจเลือดหลายอย่าง ตรวจปัสสาวะ หรืออุจจาระไปจนถึงการเพาะเชื้อถ้าสามารถหาได้ รวม ทั้งการตรวจทางเอกซเรย์ที่จำเป็นก่อนจึงจะสามารถ ให้การวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง หรือเพียงใกล้เคียงได้เท่านั้น อาจต้องตรวจสอบเพิ่มเติม ซึ่งการตรวจต่อไปๆมักจะ มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น เสียเวลามากขึ้น ยิ่งทำความไม่พอใจ ให้แก่คนไข้ยุคใหม่มากขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้แพทย์ ต้องทำงานในระบบ 30 บาทที่ใช้เวลาคนไข้คนละไม่เกิน 3 นาทีและขาดห้องปฏิบัติการที่ดีหรือเอกซเรย์ที่ดีเช่น ที่เป็นอยู่ในโรงพยาบาลเล็กๆทั่วประเทศที่จะวินิจฉัย และรักษาโรคใดถูกต้องตามความต้องการของสังคม

        ประการที่สาม บ่อยครั้งการตรวจทางห้องปฏิบัติ การแล้วก็ยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ จำเป็นต้อง ติดตามอาการของคนไข้ต่อไปสักระยะ โดยอาจใช้ยาเพื่อตัดโรคบางอย่างออก เช่น ไอมา 1 เดือนเอกซเรย์มี ปอดอักเสบหย่อมเล็กๆ อาจเป็นโรคติดเชื้อได้ตั้งหลาย อย่าง เช่น เชื้อมัยโคพลาสมา เชื้อสเตรพโตคอคคัส เชื้อไวรัสบางชนิด เชื้อราบางตัวที่ขณะนี้กำลังพบมาก    ได้แก่ คริพโตคอคคัส ไปจนถึงเชื้อที่พบบ่อย เช่น วัณโรค หรือเชื้อจากดินเมลิออยโดซิส แม้จนกระทั่งเป็นโรค เอดส์ที่มีโรคแทรกที่ปอด ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการตรวจสอบ บอกตัวใดตัวหนึ่งได้เลย ต้องเลือกรักษา เลือกตรวจหา ตัวที่สงสัย เป็นต้น กว่าจะรู้ผลใช้เวลาเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน แพทย์ต้องเลือกรักษาไปก่อน โชคดีอาจ  ถูกเชื้อก็หาย ถ้าไม่หายก็เปลี่ยนยา ชาวบ้านมักเรียกว่า “เป็นหนูลองยา” ถ้าไม่รักษาเลยรอให้รู้เชื้อ คนไข้ไม่ดีขึ้น หมอก็ถูกว่า “รักษาไม่เป็น” ถ้าโรคเป็นหนักๆหมออาจ ต้องใช้ยาหลายตัวพร้อมกัน เสียค่ายามาก หมอถูกว่า “มั่ว” โรคหนักอาจถึงคนไข้เสียชีวิตหมอถูกฟ้องอีกว่า “รักษา ผิดคนไข้ตาย” ทั้งนี้เป็นเพราะคนในสังคมไม่เข้าใจเรื่อง ของโรคการวินิจฉัยและการรักษาโรค

        ประการที่สี่ ในการวินิจฉัยโรคมีหลายอย่าง อัน แรกเรียกว่าการวินิจฉัยโรคเบื้องต้น (Presumptive Diagnosis) ซึ่งได้จากข้อมูลทุกอย่างในขณะนั้น ต่อมา เมื่อสามารถตรวจพบโรคหรือพยาธิสภาพหรือเชื้อโรค ที่ชัดเจนแล้วจึงเป็นการวินิจฉัยแน่นอน (Definitive Diagnosis) ส่วนมากต้องทดสอบเพิ่มเติม เช่น กลืนหรือ สวนแป้งเอกซเรย์ ตรวจถุงน้ำดีโดยการเอกซเรย์หรือทำ โซโนแกรม (อุลตร้าซาวด์) ดูอวัยวะในช่องท้องไปจน  ถึงการตรวจด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์สแกน ซึ่งอาจต้อง ฉีดสารไอโอไดด์ที่เราเรียกว่า “ฉีดสี”  เพื่อให้เห็นการ เปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่างๆรวมทั้งเส้นเลือดต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น  ไปจนถึงการทำคลื่นแม่เหล็กตรวจซึ่ง ต้องใช้สารฉีดเช่นเดียวกัน และพัฒนาการที่ใหม่ที่สุด ใช้ในการตรวจมะเร็งระยะต้นหรืออวัยวะที่แพร่กระจาย โดยการฉีดสารไอโซโทปให้ไปจับทั่วร่างกายและตรวจ สอบเรียกว่า Pet scan ซึ่งภาษาไทยคงเป็น “เพชร ล้ำค่าจริงๆ” เพราะค่าตรวจครั้งหนึ่งประมาณแปดหมื่น ถึงหนึ่งแสนบาท และการตรวจทุกชนิดผลการตรวจต้อง อาศัยความชำนาญของแพทย์ผู้อ่านแปลผลเป็นสำคัญ ซึ่งก็อาจไม่ตรงต่อโรคที่เป็น สรุปได้ว่าการทดสอบต่างๆไม่ว่าจะมีค่าใช้จ่ายสูงเพียงใดก็ไม่แน่นอนทั้งหมด จำเป็นที่แพทย์ต้องนำไปพิจารณาร่วมกับข้อมูลอื่นๆ
................................................................

38
กฎหมายการครอบครองกัญชาโดยถูกกฎหมาย เริ่มมีผลบังคับใช้ในรัฐวอชิงตันของสหรัฐฯแล้ว หลังประชาชนร่วมลงประชามติเมื่อเดือนที่แล้ว

โดยนับตั้งแต่เที่ยงคืนที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น (15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) ประชาชนที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป สามารถครอบครองกัญชาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เกิน 1 ออนซ์ หรือ 28.4 กรัม แต่การสูบกัญชาในที่สาธารณะยังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

รัฐวอชิงตันอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ นับตั้งแต่ปี 1998 และเมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา รัฐวอชิงตันเพิ่งบังคับใช้กฎหมายที่อนุญาตให้คู่สมรสเพศเดียวกันสามารถแต่งงานกันได้อย่างถูกกฎหมาย ตามหลังรัฐเมนและแมรีแลนด์ ที่บังคับใช้กฎหมายดังกล่าวเมื่อวันที่ 6 พ.ย. ซึ่งกลายเป็นรัฐแรกสหรัฐฯที่ออกกฎหมายเช่นนี้

เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา รัฐโคโลราโด และวอชิงตัน ได้ลงประชามติอนุญาตให้ประชาชนของ 2 รัฐดังกล่าวสามารถขาย หรือเสพกัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย  ตามประชามติดังกล่าวระบุว่า ประชาชนที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป สามารถครอบครองกัญชาได้ไม่เกินคนละ 28.5 กรัม ขณะเดียวกันยังเปิดให้ร้านค้าที่ได้ใบรับรอง สามารถขายกัญชา และจ่ายเงินเข้ารัฐผ่านระบบจัดเก็บภาษีเช่นเดียวกับที่ใช้กับร้านขายแอลกอฮอล์ทั่วไป

อย่างไรก็ดี จะยังคงไม่มีสถานที่สำหรับกัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมายในรัฐวอชิงตัน ไปอีกอย่างน้อยหนึ่งปี  นอกจากนั้น ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางจะจัดการกับการเปิดเสรีกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดในรัฐวอชิงตัน และโคโลราโดได้อย่างไร

คำสั่งบุกทลายการค้ายาเสพติดในรัฐที่มีกฎหมายการเปิดเสรี อาจส่งผลกระทบต่อแผนของรัฐบาลในการหารายได้จากการเรียกเก็บภาษี จากตลาดการค้ากัญชาที่ได้รับใบอนุญาตและมีการควบคุม

รัฐโคโลราโด ยังอนุญาตให้ประชาชนสามารถปลูกกัญชาเพื่อใช้เสพเองได้ไม่เกิน 6 ต้น ขณะที่รัฐวอชิงตัน ยังคงห้ามการปลูกกัญชาเพื่อใช้เสพเองตามเดิมต่อไป โดยผู้ต้องการเสพกัญชาต้องหาซื้อจากร้านค้าที่ได้รับอนุญาตแล้วเท่านั้น

ด้านเจ้าหน้าที่อัยการรัฐบาลกลางประจำภูมิภาค กล่าวต่อสื่อท้องถิ่นว่า การปลูก จำหน่าย หรือครอบครองกัญชา ไม่ว่าจะมีปริมาณเท่าใด ยังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมายหากมองจากกฎหมายของรัฐบาลกลาง ไม่ว่ารัฐวอชิงตันจะบัญญัติกฎหมายดังกล่าวออกมาหรือไม่ กฎหมายระบุชัดเจนว่า กัญชาถูกจัดให้ยาเสพติดที่อยู่ในประเภทเดียวกับโคเคน เฮโรอีน และยาบ้า และสภาคองเกรสเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎหมายได้

มติชนออนไลน์  6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

39
การบวชเรียนหนึ่งพรรษายังจำเป็นอยู่หรือไม่ ฆราวาสที่มีภาระมากจะนำธรรมะมาใช้อย่างไรในวันที่ทุกอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ...พระภาวนาโพธิคุณ (โพธิ์ จันทสโร) จะมาให้วิสัชนาธรรม

การบวชเรียนหนึ่งพรรษายังจำเป็นอยู่หรือไม่ ฆราวาสที่มีภาระมากจะนำธรรมะมาใช้อย่างไรในวันที่ทุกอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ...พระภาวนาโพธิคุณ (โพธิ์ จันทสโร) จะมาให้วิสัชนาธรรม


พระภาวนาโพธิคุณ (โพธิ์ จันทสโร)เจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
ในวัฒนธรรมชาวพุทธ ถ้าได้บวชลูกชายเสมือนได้เกาะชายจีวร เชื่อกันว่าแม่พ่อจะได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น นี่คือการพัฒนาที่ดีที่สุดคือของชีวิตในช่วงการเปลี่ยนผ่านก่อนที่จะมีครอบครัวไปสู่ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่

ฟันเฟืองของสังคมที่มีค่าดังกล่าว วันนี้ยังศักดิ์สิทธิอยู่หรือไม่ การเว้นวรรคชีวิตทางโลก เพื่อมุ่งในการศึกษาเล่าเรียนกายใจตนเองไปสู่จุดหมายปลายทางคือ 'พระนิพพาน' ยังเหลืออยู่ในจิตใจของชายไทยหรือไม่ คำตอบนี้อาจพบได้ที่สวนโมกข์ ซึ่งได้จัดอุปสมบทหมู่อีกครั้งเป็นจำนวน 13 รูป หลังจากเว้นช่วงมากว่า 20 ปี

วันนี้ พระ 13 รูป กำลังลาสิขาบท หลังจากเข้าบวชเมื่อพรรษาที่ผ่านมา ออกพรรษาแล้วต่างคนต่างมีภารกิจชีวิตที่ต้องกระทำ สามเดือนในร่มกาสาวพัสตร์แห่งสวนป่าอันเป็นกำลังแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์ ย่อมนำความเปลี่ยนแปลงในชีวิตอย่างใหญ่หลวงมาให้สำหรับผู้ที่ลาสิกขา สามารถนำหลักใจไปใช้ในชีวิตของฆราวาสต่อไป

พระภาวนาโพธิคุณ (โพธิ์ จันทสโร) เจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ให้หลักใจว่าด้วยเรื่อง การบวชเรียนในช่วงเวลาหนึ่งพรรษายังจำเป็นอยู่หรือไม่ อย่างไรในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ การแข่งขัน และความเร็วจะนำเราไปสู่อะไรหากไม่มีอะไรมาติดเบรกความคิด การกระทำเราไว้บ้าง ที่สำคัญคือ ฆราวาสที่มีภาระมากจะนำธรรมะมาใช้อย่างไรในวันที่ทุกอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

เหตุผลของการจัดบวชพระนวกะที่สวนโมกข์คืออะไร

การบวชเป็นเรื่องใหญ่ สวนโมกข์ไม่ได้บวชพระมานานแล้ว ทำให้เราไม่มีลูกศิษย์โดยตรง ส่วนใหญ่เป็นพระที่บวชมาจากวัดต่างๆ การที่ไม่เป็นลูกศิษย์ไม่เป็นอาจารย์กัน การเรียกใช้ต่างๆ ก็เกรงใจ เราก็อยากจะมีลูกศิษย์ที่นี่โดยเฉพาะเลยปรึกษากับคุณนิคม เจตน์เจริญรักษ์ และอีกหลายๆ คน ก็ไม่คิดว่าจะได้มากขนาดนี้ คือ 13 คน บวชเข้ามาแล้ว ก็มาศึกษาธรรมวินัยกันให้เต็มที่ เรามีกิจกรรมตลอด 3 เดือน เป็นการบังคับจิตใจตนเอง ฝึกจิตใจตามระบบสวนโมกข์ที่เคยปฏิบัติกันมา


การบวชในวงการพระพุทธศาสนาสำคัญมาก ต้องพูดในวงกว้างก่อน แล้วค่อยพูดถึงการบวชในแบบสวนโมกข์
การบวชขึ้นในโลกมีมานานแล้วก่อนพุทธกาล มีนักบวชนอกพุทธศาสนามากมาย ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วเริ่มประกาศธรรม ก็เป็นเหตุให้กุลบุตรที่ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าศรัทธาแล้วออกบวช

พระสงฆ์ในครั้งพุทธกาลที่ออกบวช มาจากวรรณะต่างๆ ตั้งแต่วรรณะกษัตริย์ ซึ่งเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้าออกบวชมาก วรรณะพราหมณ์ก็มาบวชมาก พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระมหากัสสัปปะ ฯลฯ และคนทั่วไปก็มาบวช
สมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพ พระองค์ทรงบวชเอง บวชครั้งแรกเรียกว่าเอหิภิกขุอุปสัมปทา บวชอย่างนี้ไม่ยุ่งยากอะไร เอหิภิกขุ ซึ่งแปลว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่ดีที่สุดแห่งทุกข์ โดยชอบเถิด ตรัสเท่านี้ ก็เป็นภิกษุแล้ว บวชไม่ยาก พระองค์เพียงแค่บอกว่า มา มา มาประพฤติพรหมจรรย์ มาบวชเพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ให้สิ้นไป

หลังจากนั้นมีคนอยากมาบวชมาก เลยให้ผู้บวชถือไตรสรณคมน์ เรียกว่า ไตรสรณคมนอุปสัมปทา แปลว่า การอุปสมบทด้วยการเข้าถึงไตรสรณะ หมายถึงการบวช ถือเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ ต่อมาพระสงฆ์มีปึกแผ่นมั่นคง ก็อาศัยคณะสงฆ์ มีพระอุปัชฌาย์ และพระกรรมวาจา ต้องมีพระสงฆ์อย่างน้อย 5 รูป ขึ้นไป เรียกว่าญัตติจตุตถกรรมวาจา

การพ้นทุกข์จนถึงนิพพาน จำเป็นไหมต้องออกบวช

ในเพศฆราวาส การปฏิบัติธรรมะชั้นสูงที่จะทำให้จิตขาวสะอาดมันทำได้ยาก ไม่เหมือนนักบวช ที่ไปไหนก็มีปีกเหมือนนก คือเป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัดคือครอบครัว ไม่มีภาระก็เหมือนนกที่บินไป


ประเพณีการบวชในเมืองไทย ไม่เหมือนในครั้งพุทธกาล ในสมัยพุทธกาล บวชกันแล้วน้อยมากที่จะสึกออกมา ปัจจุบันบวชไม่กี่วันก็สึก ประเพณีเราไม่เคร่งครัด ไม่เหมือนกับในพม่า ศรีลังกา เขาบวชแล้วไม่ค่อยสึกกัน
วัฒนธรรมไทยสมัยก่อนบวชอย่างน้อย 3 ปี ผู้ชายที่เขาเตรียมจะแต่งงาน เขาจะติดต่อผู้หญิงที่เชาหมั้นไว้แล้ว และขออนุญาตไปบวชก่อน 3 ปี ผู้ชายแบบนี้สึกออกมาครองเรือนแล้ว บ้านเมืองไม่มีปัญหา เพราะมีความอดกลั้น อดทน ดีกว่าคนที่ไม่ได้บวชคนที่บวชแล้วมีความมั่นคงทางศีลธรรมในจิตใจมากขึ้น ประเพณีบวช มีประโยชน์ ถ้ามาอยู่ก็จะได้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าให้มีศีลธรรม ถ้าสึกออกมาก็เป็นฆราวาสที่ดี ประสบความสำเร็จทางโลก

เดี๋ยวนี้เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วไม่บวช มีแต่ความรู้ พอแต่งงานมีครอบครัวอยู่กันไม่เท่าไหร่ ก็เลิกรากันไป ขาดการบังคับจิตใจ ดังนั้นประเพณีบวชมีประโยชน์ ได้ศึกษาธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ามาสอนประชาชน ให้คนมีศีลธรรม
เมื่อสึกออกมาเป็นฆราวาสก็เป็นฆราวาสที่ดี ทำให้ประสบความสำเร็จทั้งสามโลก คือ 1.โลกนี้ ฆราวาสธรรม 4 ประกอบด้วย สัจจะ ทมะ (ฝึกตน ข่มจิต รักษาใจ) ขันติ จาคะ (ความเสียสละ) ยังไม่พอ ต้องมีคุณธรรม และจิตใจเหมือนอยู่ในสวรรค์ เป็นข้อ 2. คือ โลกหน้า พุทธศาสนาสอนว่า ธรรมะสำหรับคู่ชีวิตคือ ให้มีศรัทธา ศีล จาคะ และมีปัญญา จะได้ไม่ไปเบียดเบียนกันและกัน ยิ่งถ้ามี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ที่เรียกว่า พรหมวิหาร 4 ก็เหมือนกับอยู่ในพรหมโลก

และ 3. อยู่เหนือโลก คือเหนือทุกข์ เหนือทุกข์คือ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ที่ล้วนแต่ผ่านโลกมาแล้ว รวมทั้งสังขารนี้มันก็เตรียมแก่เฒ่า ชรา และตายไปในวันหนึ่ง

การบวชทั่วๆ ไปในสังคมไทยเดี๋ยวนี้ มักบวชตามประเพณี 10 วัน 15 วัน บางทีเดือนหนึ่ง บางทีก็ไม่ค่อยได้ฝึกสิ่งเหล่านี้ ไม่ค่อยได้ปฏิบัติ ก็ได้แค่ประกันประเพณีไว้ มันไม่ได้ประโยชน์ที่มาบวชกันที่สวนโมกข์ ไม่น้อยกว่า 70% ได้รับประโยชน์ ได้เปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น คุณหมอประยูร คงวิเชียรวัฒนะ บวชแล้วสึกไปมีครอบครัว ก็เป็นคนมีธรรมะ สอนธรรมะ ปฏิบัติธรรมะจนตายเลย

ยุคนี้การสอนธรรมะยากกว่าสมัยก่อนอย่างไร

ปัจจุบันหนังสือหนังหาธรรมะมีเยอะมาก สมัยนั้นไม่มี ท่านอาจารย์พุทธทาสตั้งใจบรรยายแล้วพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือเยอะ ของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ก็มีมากมาย และยังอีกหลายๆ ครูบาอาจารย์ แต่สิ่งที่ขาดคือ การปฏิบัติ

สวนโมกข์เราเน้นภาคปฏิบัติ หลายๆ แห่งก็ปฏิบัติกัน ถูกหรือผิด เราก็รู้ไม่ได้ แต่สวนโมกข์มีวิธีปฏิบัติ การปฏิบัติที่ถูกต้องก็คือ กิเลสมันลดลง ให้ทุกข์มันลดลง ถ้าการปฏิบัติไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์ลดลง มันก็ยังไม่ได้ผล
คนเราบางคนไม่ยอมที่จะให้ทุกข์ปรากฏออกมา ไม่รู้จักทุกข์แล้วก็ไปฆ่าตัวตาย ก็ต้องกลับมาหาสิ่งที่ถูกต้อง คือ รู้จักทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และหนทางในการดับทุกข์ คืออริยสัจสี่ ทำไมคนทั่วโลกถึงหันมาหาพุทธศาสนากัน เพราะว่า ความก้าวไกลทางเทคโนโลยี ทางวิทยาศาสตร์มากมายแต่เขาก็แก้ไขจิตใจเขาไม่ได้

อาตมาคิดว่า การเจริญทางวัตถุ การติดต่อสื่อสารมันเร็วมาก ถ้ามองในแง่ดี มันมีดี ใช้ให้เป็นประโยชน์ก็เกิดประโยชน์ ใช้ไม่เป็นก็เกิดโทษ

สรุปแล้วทั้งหมดในโลกนี้ไม่มีอะไร มีอยู่สองอย่างคือ พระกับมาร มารก็คือกิเลส คือความทุกข์ ทางที่จะดับทุกข์ ปู่ย่าตายายท่านพูดไว้ว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร แต่เดี๋ยวนี้มันแพ้แก่มารไปหมด เครื่องมืออะไรมันก็ไปทางมาร นำไปสร้างปัญหามาก

คนที่ไม่มีปัญหา คือ ไม่จมไปกับปัญหา คนที่บอกว่า การเมืองมีปัญหา ถ้าเราไม่ไปเล่นการเมือง ไม่ไปยุ่งกับการเมือง การเมืองก็ไม่เป็นปัญหากับเรา

ในปีต่อๆ ไปจะมีการบวชแบบสวนโมกข์ไหม

อาตมาคิดว่า ถ้ามีประโยชน์ ปีหน้าก็มีอีก ปีต่อไปก็มี เพราะการบวชแบบนี้ เบากายสบายใจ เจ้าภาพไม่ต้องเดือดร้อนอะไร บาตรจีวรทางวัดเตรียมให้หมดเลย การไปบวชตามประเพณีบางทีมันเสียเงินเสียทองเยอะ แต่ที่นี่เราจัดบวชจริง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย พระครูศรีปริยัติชยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเวียง เจ้าคณะอำเภอไชยาก็เอื้อเฟื้อมาเป็นพระอุปัชฌาย์

ต่อไปเราอยากให้ผู้เตรียมบวชมาอยู่ปฏิบัติอย่างน้อย 6 เดือนก่อน มีการฝึกก่อนที่จะบวช ยกตัวอย่างท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านก็บวชตามประเพณี 3 เดือน แต่พอบวชเข้ามาแล้วมีประโยชน์ก็บวชต่อ ไม่สึกเลย อาตมาก็เหมือนกัน บวชครั้งแรก ก็ไม่รู้ว่าจะบวชทำไม พอบวชมาแล้วก็ได้ฝึกภาวนากรรมฐาน ทำให้ใจสงบกว่าที่เราไม่ฝึก ก็เลยคิดว่า อยู่อย่างนี้ดีกว่า

รวมทั้งการอบรมชาวต่างชาติที่สวนโมกข์นานาชาติก็ช่วยทำให้เห็นว่า การภาวนามีประโยชน์ต่อโลกมาก มีชาวต่างชาติมาปฏิบัติมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนอาตมาเคยมีเป้าหมายว่าคอร์สละ 60 คน ตอนนี้มากขึ้น มกราคม กุมภาพันธ์มากันเยอะบางทีเป็นร้อย สองร้อยคนก็มี เมืองไทยมีของดีคือพุทธศาสนา เป็นของดีมาก แต่คนไทยชอบของเทียม

ธรรมะข้อใดจะช่วยฆราวาสพ้นทุกข์ได้ในยุคปัจุบัน

วัฒนธรรมไทยตั้งอยู่บนพื้นฐานพุทธศาสนา ถ้าไม่มีพุทธศาสนา ก็ไม่มีวัฒนธรรม ที่เราขาดกันตอนนี้ คือขาดการปฏิบัติ ไม่ได้ขาดความรู้ทางปริยัติ คนพูดธรรมะเยอะมาก แต่คนปฏิบัติมีน้อย
ท่านอาจารย์พุทธทาสพูดว่า ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ประโยคนี้ไม่ยาว แต่เราเข้าใจจริงๆ ไหม ถ้ากระทบกับกับอารมณ์แล้วเรายังหวั่นไหวไหม ภูเขาที่มีต้นไม้หนาทึบ ลมพัดมาทั้งสี่ทิศจะพัดภูเขาให้มันกระเทือนไม่ได้ อารมณ์ในโลก ไม่ว่าเป็นอารมณ์ชนิดไหน ถ้าจิตใจเราเข้มแข็ง ก็ไม่กระเทือน

หัวใจของพุทธศาสนาคือความไม่มีตัวตน เมื่อไม่มีตัวตนจะไปกระทบใครเล่า แต่มันไม่ง่าย มันเข้าใจยาก เพราะขาดการปฏิบัติ ดังนั้น จะให้เข้าถึงจริงๆ ฆราวาสเขาต้องหาครูอาจารย์สอนปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงสิ่งนี้

โดย : มนสิกุล โอวาทเภสัชช์
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  11 พฤศจิกายน 2555

40
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / มารยาทหายไปไหน
« เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2012, 21:40:58 »
มารยาทหายไปไหน
อาจมีร้อยพันเหตุผลที่ทำให้เราไร้มารยาทแต่นั่นไม่ใช่ข้อแก้ตัวทำอย่างไรเราจึงจะเป็นคนที่ดีขึ้นได้

หากโลกใบนี้กำลังพุ่งตกนรกก็อาจเป็นเพราะมันบังคับรถด้วยมือข้างเดียวนานๆจะมองถนนสักครั้งขณะก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความส่งถึงดวงจันทร์พฤติกรรมหมกมุ่นอยู่แต่กับตัวเองแบบนี้เองที่เราพบเห็นอยู่ทุกหนทุกแห่งทั้งหมดล้วนยืนยันสมมุติฐานที่ว่าผู้คนสมัยนี้ไร้มารยาทยิ่งกว่าคนยุคใดๆ
 
"ผู้คนทุกวันนี้ดูเหมือนจะไร้มารยาทกว่าคนเมื่อ 50 ปีที่แล้วหรือยุคก่อนหน้านั้นเพราะพวกเขาต่างเร่งรีบและ 'ขัดสนเวลา' อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน" แพตซีโรว์ผู้เขียนหนังสือThe Little Book of Etiquetteกล่าว"มารยาททั้งหลายหายวับไปจากจอเรดาร์เพียงเพราะผู้คนไม่มีเวลาจะทำตัวดีๆ"
 
เนื่องจากเราติดหนึบอยู่กับเครื่องมือสื่อสารไฮเทคและยังได้รับอิทธิพลจากสื่อหลากรูปแบบก็คงไม่แปลกถ้าจะมีคนตื่นขึ้นมาก็ต่อว่านกที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วยามเช้าว่ามันส่งเสียงรบกวนและต่อไปนี้คือปัจจัยที่ทำให้สังคมของเราไร้มารยาท
 
เน็ตเร็วแต่คนช้า
ทุกวันนี้เราทำได้เกือบทุกอย่างผ่านอินเทอร์เน็ตหรือที่ดียิ่งขึ้นไปอีกคือผ่านการเชื่อมต่อทางโทรศัพท์มือถือของเราบิลค่าใช้จ่ายในเดือนนี้หรือแค่คลิกไม่กี่ครั้งใช้เวลา 30 วินาทีทุกอย่างก็เรียบร้อยอยากได้ตั๋วเครื่องบินหรือแค่คลิกและสั่งพิมพ์ออกมา
 
"การติดต่อสื่อสารกับคนจริงๆอาจทำให้รู้สึกเหมือนวิวัฒนาการถอยหลัง" เฮนรีอัลฟอร์ดผู้เขียนหนังสือชื่อWould It Kill You to Stop Doing That? A Modern Guide to Mannersกล่าว"เราจะรู้สึกว่ามันช้ามากๆ" และนั่นทำให้เราหมดความอดทนเพราะมนุษย์ไม่ได้ทำงานด้วยความเร็วระดับ 4G "ต้องจำไว้ว่าแม่สาวที่นั่งประจำโต๊ะให้เช่ารถยนต์คนนั้นไม่ได้ชื่อว่ากูเกิล" และพนักงานที่ขอให้คุณกรอกแบบฟอร์มเหมือนๆกันถึง 3 ชุดนั้นแทบไม่มีส่วนรู้เห็นกับการตั้งกฎดึกดำบรรพ์แบบนี้เลย
 
"อย่าโกรธเขาเลย" เลสลีย์คาร์ลินผู้เชี่ยวชาญด้านมารยาทของเว็บไซต์ Trip Advisor กล่าว "ไว้ค่อยเขียนจดหมายร้องเรียนถึงบริษัทโดยใช้ถ้อยคำสุภาพแต่หนักแน่นจะดีกว่า"
 
เราทุกคนต่างก็...เอ่อ...เดี๋ยวนะ...ขาดความใส่ใจ
ขึ้นชื่อเลยทีเดียวเรื่องที่คนยืนต่อแถวในร้านกาแฟแล้วยังต้องเสียเวลารอคนแถวหน้าที่สนใจไอโฟนของตัวเองมากกว่าคนขายอุปกรณ์ไฮเทคก่อให้เกิดพฤติกรรมเสียมารยาทรูปแบบใหม่
แต่ "เทคโนโลยีไม่ใช่ตัวปัญหาปฏิกิริยาของเราต่างหากเราติดกับดักเทคโนโลยีเข้าแล้ว!" แอนนามัสสันผู้อำนวยการบริษัท กูดแมนเนอร์ส คอมพานีกล่าว
 
เราตั้งโปรแกรมตัวเองให้คิดว่าทุกๆข้อความใหม่ที่เข้ามาจะเป็นข่าวสำคัญถึงขั้นเปลี่ยนชะตาชีวิตเราได้เราจึงเห็นว่าการรับโทรศัพท์เปิดดูข้อความและเช็กอีเมลสำคัญกว่าการคุยกับคนที่เราอยู่ด้วยขณะนั้น
 
"เรื่องที่ว่าไอทีทำให้คนเสียมารยาทอันนี้จริงแท้แน่นอนจริงพันแปดร้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์เช่นนั่งเรียนหนังสือก็ยังเล่นบีบีตอบเฟซบุ๊กดูหนัง" รศ.ดร. เสรีวงษ์มณฑาผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อสารมวลชนและผู้เขียนหนังสือยายเม้าวอนสอนหญิง  กล่าว "ไปกินอาหารกันแทนที่จะช่วยกันดูเมนูปรากฏว่ามีคนหนึ่งดูเมนูแต่พอจะเงยหน้าขึ้นมาปรึกษาเพื่อนทุกคนก็มัวแต่เล่นเฟซบุ๊ก"
 
หากไม่อยากเสียมารยาทดร.เสรีแนะนำว่าควรปิดเสียงอุปกรณ์สื่อสารต่างๆเช่นเครื่องแบล็กเบอร์รีเมื่อหมดช่วงที่ต้องข้องเกี่ยวกับคนอื่นแล้วค่อยมาเปิดดูทีเดียว"ถ้าอยู่คนเดียวที่ไม่ต้องรักษามารยาทก็เปิดได้แต่ถ้าอยู่ในห้องประชุมหรือในที่มีคนอื่นอยู่ด้วยก็ควรปิดเสียงเพื่อไม่ให้รบกวนการพูดคุยของเรา... ถ้าเราเปิดตลอดเวลารับรองเสียมารยาทแน่"
 
เราเคยชินกับการไม่แสดงตัวตน
สังคมออนไลน์ไม่ใช่การพบปะตัวตนกันจริงๆบ่อยครั้งก็ใช้นามแฝงบางคนจึงคิดเหมาเอาว่าจะทำตัวหยาบคายอย่างไรก็ได้หากคนที่ติดต่อด้วยไม่รู้ว่าเราเป็นใครแต่แพตซีโรว์บอกว่า
 
"คนที่ส่งอีเมลหรือข้อความโทรศัพท์โดยไม่ลงชื่อถือว่าไร้มารยาทมาก " เธอบอก "หากจะพูดอะไรร้ายๆก็ขอให้กล้าพอที่จะบอกเขาตรงๆเขียนจดหมายหรืออีเมลและลงชื่อด้วยไม่อย่างนั้นก็อย่าส่งเลยการส่งข้อความก่อกวนคนอื่นโดยไม่ลงชื่อถือเป็นเรื่องหยาบคายและขี้ขลาดตาขาว"

By รอรี อีแวนส์ และสิทิ โรหณี
readersdigestthailand.co.th

41
ข่าวสมาพันธ์ / มหากาพย์เรื่องรถพยาบาล
« เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2012, 22:52:27 »


   ขณะนี้ปี 2555 หรือเป็นเวลา 7 ปีแล้วนับจากที่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้รับรถพยาบาลที่จัดซื้อล็อตใหญ่ 232 คันไปตั้งแต่ปี 2548 โดยในการจัดซื้อครั้งนั้นได้มีการทำ E-auction ถึง 8 ครั้งเปลี่ยนคณะกรรมการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะถึง 2 ชุด และใช้เวลาในการจัดซื้อถึง 20 เดือนซึ่งในที่สุดบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดก็ชนะการประมูลในราคาคันละ 1,467,000 บาท โดยไม่รวมอุปกรณ์ทางการแพทย์ คือ เครื่องช่วยหายใจแบบอัตโนมัติ และเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ ที่มีการแยกจัดซื้อต่างหาก ทั้ง ๆ ที่ในการเข้าประมูลนั้นบริษัทโตโยต้าเสนอราคาสูงกว่าราคากลางถึงเกือบสองแสนบาท แต่ภายในเวลาเพียงแค่ 3 วันหลังจากที่กรรมการกำหนดสเปคได้เปลี่ยนแปลงสเปคใหม่ 7 รายการ บริษัทโตโยต้าก็สามารถลดราคาลงจนพอ ๆ กับราคากลาง

ในการจัดซื้อครั้งนั้นมีข่าวในหนังสือพิมพ์อย่างต่อเนื่องว่ามีการล็อคสเปค และอุปกรณ์ที่ติดตั้งไม่ปลอดภัยต่อผู้ป่วยในการนำมาใช้จริงโดยเฉพาะอุปกรณ์สำคัญ ๆ เช่น เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วย และอุปกรณ์ปรับออกซิเจน นายพินิจ จารุสมบัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในช่วงเวลานั้นจึงได้ลงนามแต่งตั้งนายบรรลุ ศิริพานิชและนายวิชัย โชควิวัฒนเป็นประธานและเลขาคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินการจัดหารถพยาบาลฉุกเฉินระดับสูงขึ้นในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2548 เพื่อลดกระแสการร้องเรียนว่ามีข้อขัดแย้งภายในองค์กรเกี่ยวกับการจัดซื้อหรือมีการทุจริต และคณะกรรมการตรวจสอบชุดนายบรรลุและนายวิชัยก็ไม่ทำให้ผู้แต่งตั้งผิดหวังเพราะคณะกรรมการชุดนี้มีมติเป็นเอกฉันท์โดยในรายงานผลการตรวจสอบการดำเนินการตรวจสอบที่ใช้เวลาเพียงแค่ 7 วัน คือ ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2548 สรุปว่าคณะกรรมการไม่เห็นด้วยกับผลการตรวจสอบสืบสวนของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเกี่ยวกับการกำหนดรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ(สเปค) ของรถพยาบาลฉุกเฉินระดับสูงที่ใช้ในการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษครั้งล่าสุดว่ามิได้มีการลดคุณภาพและมาตรฐานจากฉบับเดิมเพียงตัดเงื่อนไขที่กีดกันการแข่งขันออกเท่านั้น และบางรายการมีมาตรฐานสูงขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินมีความเห็นแย้งกลับและแจ้งให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานต้นสังกัดดำเนินการตั้งแต่มกราคม 2552 ซึ่งมีนายแพทย์ไพจิตร วราชิตเป็นปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้ดำเนินการพิจารณาเพื่อลงโทษทางวินัยกับ
 
1)   นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ที่มีคำสั่งให้ยกเลิกการเสนอราคาครั้งแรกและสั่งปรับปรุงข้อกำหนดคุณลักษณะเฉพาะให้เหมาะสมซึ่งคณะกรรมการได้มีการปรับปรุงข้อเสนอคุณลักษณะเฉพาะจำนวน 7 รายการทำให้บริษัทโตโยต้า สามารถเสนอราคาได้รายเดียวโดยใช้เวลาเพียงแค่ 3 วัน และจากการสอบถ้อยคำคณะกรรมการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะบางท่านให้การขัดแย้งกันในเรื่องการปรับปรุงคุณลักษณะเฉพาะซึ่งเชื่อได้ว่านายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ในฐานะผู้อนุมัติมีพฤติการณ์อันเป็นการเอื้อประโยชน์เพื่อให้บริษัทโตโยต้าได้สิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐซึ่งป็นความผิดตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา พ.ศ. 2542 และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา

2)   คณะกรรมการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของรถพยาบาลฉุกเฉินระดับสูง พร้อมอุปกรณ์การแพทย์สำหรับติดตั้งประจำกับตัวรถซึ่งประกอบด้วย นายแพทย์สุรวิทย์ เตลธุวานันท์ นายแพทย์เจษฎา จงไพบูลย์พัฒนะ นายแพทย์คิมหันต์ ยงรันตกิจ นายแพทย์ปรณ์ ศิริยง นายแพทย์วิรุฬห์ พรพัฒน์กุล นายแพทย์สมควร หาญพัฒนชัยกูร นายวรินทร์ อุตกฤษฎ์ นายจิรศักดิ์ แม้นจริง พ.ต.ท.สุริยัน วินิจมนตรี นายวินัย พุทธิเบต นายประสาท ตราดธารทิพย์ นายสุรพัธ์ ชัยล้อรัตน์ นายวินัย ฉายากุล นายอัญชลี ภุมมา น.ส.ขนิษฐา มินวงศ์  กำหนดรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะเป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์แก่คู่สัญญาโดยภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ 7 รายการก็สามารถจัดซื้อรถพยาบาลสำเร็จภายใน 3 วัน และถ้านำข้อตรวจพบทั้งหมดมาประกอบการพิจารณาในภาพรวมซึ่งมีข้อบกพร่องก็ยิ่งน่าเชื่อว่าการปรับปรุงรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะทั้ง 7 รายการเป็นการเพื่อช่วยให้บริษัทโตโยต้ามอเตอร์จำกัดโดยบริษัทสุพรีมโพรดักส์จำกัดสามารถจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์มาจำหน่ายให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ตามวัตถุประสงค์ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์เพื่อให้บริษัทโตโยต้าฯ ได้สิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงสาธารณสุขฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา

3)   คณะกรรมการจัดซื้อวิธีพิเศษซึ่งประกอบด้วย นายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์ นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข นายแพทย์สมควร หาญพัฒนชัยกูร นายประสาท ตราดธารทิพย์ นายวินัย พุทธิเบต นายไพรัชย์ ชูสิน นางสาวณัฐชนก บุญประกอบ
ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตรงตามรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะที่กำหนดและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุปี 2535 อาทิ เช่น
1. ชุดช่วยหายใจชนิดมือบีบ คณะกรรมการจัดซื้อจากแคตตาลอคที่ไม่ชัดเจน การพิจารณาเอกสารประกอบการเสนอราคาในการจัดซื้อพัสดุขัดแย้งกัน
2.ชุดป้องกันกระดูกคอเคลื่อน คณะกรรมการจัดซื้อพิจารณารับเอกสารที่ยื่นเสนอราคาไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ขัดแย้งกัน
3.ชุดปรับความดันออกซิเจน ข้อความในรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะที่ผู้เสนอราคายื่นและข้อความที่ปรากฎในแคตตาลอคขัดแย้งกัน
4. เก้าอี้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยชนิดเข็น

คณะกรรมการรพิจารณารับเอกสารที่ไม่ถูกต้อง  สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่าคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษดำเนินการเป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์ให้บริษัทโตโยต้าฯ ได้สิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐซึ่งป็นความผิดตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา พ.ศ. 2542 และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา

4)   คณะกรรมการตรวจรับพัสดุซึ่งประกอบด้วย นายแพทย์กิติตศักดิ์ กลับดี นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ แพทย์หญิงวารุณี จินารัตน์ นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ เอกจริยาวัฒน์ นายสุรพันธ์ ชัยล้อรัตน์ นายสุชาติ ได้รูป นายวัลลภ เตียศิริ นายแพทย์ธำรง ทัศนาญชลี  ตรวจรับพัสดุที่ส่งมอบไม่เป็นไปตามสัญญา 6 รายการ อาทิเช่น
 1. ชุดแผ่นรองหลังผู้ป่วย คณะกรรมการตรวจรับพัสดุเห็นว่าถูกต้อง แต่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากการตรวจสอบสรุปความเห็นว่า แผ่นรองหลังมีการโค้งงออย่างเห็นได้ชัดซึ่งอาจเป็นอันตรายในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่มีกระดูกสันหลังหักและอุปกรณ์ไม่มีความแข็งแรงเพียงพอ
 2. ชุดปรับความดันออกซิเจน คณะกรรมการตรวจรับพัสดุเห็นว่าถูกต้อง แต่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาชี้แจงถึงชุดปรับความดันออกซิเจนนี้ว่า เป็นอุปกรณ์ที่ผู้ผลิตมีเจตนาใช้สำหรับงานทั่วไป ไม่จัดเป็นเครื่องมือแพทย์  และคณะผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า โรงพยาบาลภูมิพล และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ต่างไม่ยอมรับอุปกรณ์ที่ส่งมอบนี้  สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่า คณะกรรมการตรวจรับพัสดุไม่ได้รายงานกรณีที่มีการส่งมอบพัสดุไม่เป็นไปตามเอกสารแนบท้ายสัญญา และไม่ปลอดภัยต่อการนำมาใช้งานจริงอันเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ 2535 เห็นควรแจ้งให้กระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานที่ต้นสังกัดดำเนินการพิจารณาลงโทษทางวินัย

นอกจากนั้นสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินยังแจ้งให้กระทรวงสาธารณสุขแจ้งแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาแก่ผู้กระทำความผิดตาม พรบ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 และประมวลกฎหมายอาญากับ นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ และคณะกรรมการจัดซื้อวิธีพิเศษ รวมทั้งคณะกรรมการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของรถพยาบาลฉุกเฉินระดับสูง พร้อมอุปกรณ์การแพทย์สำหรับติดตั้งประจำกับตัวรถด้วย

ถึงกระนั้นก็ตาม ผ่านไป 3 ปีกว่า จนนายไพจิตร วราชิตปลัดกระทรวงสาธารณสุขซึ่งรับเรื่องแจ้งเตือน จากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินมาแล้วอีกถึง 3 ครั้งสามครา จะเกษียณในอีกไม่ถึง 8 เดือนข้างหน้า ก็ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ สตง. แจ้งมายังกระทรวงสาธารณสุข  หรือว่าประชาชนต้องฟ้องนายไพจิตร วราชิตปลัดกระทรวงสาธารณสุขกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. เสียเองตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญาในฐานที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ความจริงเรื่องรถพยาบาลจึงจะปรากฎ และสามารถเข้าสู่ขบวนการยุติธรรมได้

นิรนาม

42

                                                           
            แพทยสภาเป็นองค์กรวิชาชีพวิชาการ ถูกจัดตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม ๒๕๒๕ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ควบคุมความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม(แพทย์)ให้ถูกต้องตามจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพวิชาการ ตามมาตรา ๗ แห่ง พระราชบัญญัติฯ

            ประเทศไทยในฐานะ “นิติรัฐ” (Law Binding State) โดยขอบเขตอำนาจแห่งรัฐ “รัฎฐาธิปัตย์” (Sovereignty) องค์กรนี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อ “ให้เกิดความสุขสงบเรียบร้อยขึ้นในสังคม” ในด้านวิชาการวิชาชีพแพทย์ อันหมายถึง “ประชาชนยังคงยินดีและไว้วางใจในการเดินไปให้แพทย์ตรวจรักษา-เยียวยา” และในทางกลับกัน “แพทย์ยังคงมีความชื่นชมยินดี-ด้วยจิตวิญญาณ-เมื่อเห็นประชาชนเดินเข้ามาพึ่งพา” ไม่ได้ถูกบังคับให้ทำงานเพียงแค่ “ทำตามหน้าที่”

            องค์ประกอบของคณะกรรมการแพทยสภาประกอบด้วย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมอนามัย คณบดีคณะแพทยศาสตร์ทั้ง ๑๙ คณะ ศิริราช จุฬาฯ รามาฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา เป็นต้น และเจ้ากรมแพทย์ทหารบก เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ แพทย์ใหญ่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวม ๒๖ ท่านและกรรมการจากการเลือกตั้งโดยแพทย์ ๓ หมื่นกว่าคนทั่วประเทศอีก ๒๖ ท่าน รวม ๕๒ คน

            เป็นองค์คณะที่ใช้อำนาจ “รัฎฐาธิปัตย์” (Sovereign Authority) ในกรอบอำนาจแห่งรัฐตาม พรบ.วิชาชีพเวชกรรม คณะกรรมการดังกล่าวมีลักษณะเป็น “นิติบุคคล” ตามมาตรา ๖

            ภายใต้ “นิติบุคคล” ดังกล่าวให้มีองค์กรทางวิชาการ ในการกำหนด “มาตรฐานวิชาการวิชาชีพ”(Standard of Practice) ในการแพทย์สาขาต่างๆอีก ๑๔ ราชวิทยาลัย อันได้แก่ ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น ราชวิทยาลัยแพทย์ต่างๆดังกล่าวเป็น “องค์กรลูก” ด้านวิชาการ ภายใต้นิติบุคคลแพทยสภา ได้รับมอบหมายให้ “กำหนดกรอบมาตรฐานทางวิชาการ-วิชาชีพ” ว่าการกระทำเช่นนี้ การรักษาเช่นนั้น...”ที่ถูก” เป็นอย่างไร “ที่เป็นมาตรฐาน” เป็นอย่างไร โดย “เนื้อความมาตรฐานวิชาการดังกล่าว” จากราชวิทยาลัยแพทย์จะถูกนำเสนอขึ้นสู่ “นิติบุคคล”แพทยสภา เห็นชอบและตราเป็น “ข้อบังคับแพทยสภา” ซึ่งมีศักดิ์เป็น “กฎกระทรวง” ซึ่งเป็นกฎหมายตราในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

            ดังนั้น “มาตรฐานวิชาการ-วิชาชีพเวชกรรม” สาขา-ประเด็นต่างๆมีลักษณะและศักดิ์เป็น “กฎหมาย”...ตามขอบเขตที่ “รัฎฐาธิปัตย์”ใช้อำนาจรัฐผ่านองค์คณะแพทยสภา เพื่อให้เกิดความสุขสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

            นอกจากอำนาจทาง “นิติบัญญัติ” หรือการตรากฎหมายที่ “รัฎฐาธิปัตย์”ได้มอบไว้ให้แก่แพทยสภาแล้วนี้ องค์คณะนี้ยังได้รับอำนาจ “กระบวนการยุติธรรม” (Process of Equity) เพื่อผดุงความยุติธรรมตามหมวด ๕ ว่าด้วยการควบคุมการประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามมาตรา ๒๖-๓๙ โดยคณะกรรมการมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดลงโทษแพทย์ผู้กระทำผิด มาตรฐานวิชาการ-วิชาชีพและผิดจริยธรรม อันหมายถึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ตามกรอบแห่งจริยศาสตร์ที่แพทย์พึ่งกระทำต่อผู้ป่วยโดยมีบทลงโทษคือ ๑ ว่ากล่าวตักเตือน ๒ ภาคทัณฑ์ ๓ พักใช้ใบอนุญาต ๔ เพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งเป็น “เครื่องมือ” (Impeachment Tools) เพื่อให้ “กระบวนการยุติธรรม” ตามที่รัฎฐาธิปัตย์มอบอำนาจไว้ศักดิ์สิทธิ์และสัมฤทธิ์ผล กระบวนการยุติธรรม (Process of Equity) และ “เครื่องมือ”ในการลงโทษ (Impeachment Tools) ดังกล่าวกระทำภายใต้กรอบอำนาจแห่งรัฎฐาธิปัตย์ได้มอบหมาย...ลงโทษต่อ “บุคคล” คือเป็น “นิติสัมพันธ์”แบบ “อำนาจรัฐ” กระทำต่อ “บุคคล” เป็นอำนาจทางปกครองกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงและกระบวนการวินิจฉัยตัดสิน คดีความทางการแพทย์ทั้งหมดได้ดำเนินการตาม “พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองปี ๒๕๔๒”  เพื่อให้ได้มาซึ่ง “กระบวนการ”ที่ถูกต้อง ครบถ้วนและเป็นธรรม

            ลักษณะคดีที่เข้ามายังแพทยสภามีลักษณะข้อกล่าวโทษเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆคือ
            ๑. คดีผิดมาตรฐานวิชาการ-วิชาชีพ(Standard of Practice)
            ๒. คดีผิดจริยธรรม(Medical Ethics)
           
๑. ในเรื่องมาตรฐานวิชาการ-วิชาชีพนั้น(Standard of Practice) ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า “มาตรฐานวิชาการ-วิชาชีพ” ผ่านข้อบังคับแพทยสภาซึ่งตราลงในราชกิจจานุเบกษานั้น “เป็นกฎหมาย” กฎหมายดังกล่าวมีความชอบธรรม (legitimacy) ในขอบเขตอำนาจ “นิติรัฐ” “รัฐไทย” (Thai Sovereignty)
...ไม่สามารถนำไปใช้กล่าวอ้างได้ในขอบเขตของอำนาจรัฐอื่นๆ....
...ในทางกลับกัน...”มาตรฐานวิชาการ-วิชาชีพของขอบเขตอำนาจรัฐอื่น...ก็ไม่มีผลทางกระบวนการยุติธรรมใน “รัฐไทย” ไม่ว่าจะอ้างอิงมาจาก “รัฐที่มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่สูงกว่า หรือต่ากว่า” “รัฐไทย” 

(หมายเหตุ-เช่น กฎหมายมาตรฐานจราจร-การขับขี่จักรยานยนต์-มอเตอร์ไซด์-ต้องสวมใส่หมวกนิรภัยตามกฎหมายไทย ซึ่งเหมือนกับประเทศที่พัฒนากว่าไทย แต่ไม่ผิดกฎหมายในบางประเทศที่เศรษฐกิจด้อยพัฒนากว่าไทย ขณะเดียวกันการขับขี่จักรยานสองธรรมดา กฎหมายไทยและประเทศที่ด้อยพัฒนากว่าเราไม่ได้ระบุให้ต้องสวมหมวกนิรภัย แต่ผิดกฎหมายในประเทศตะวันตก หากขี่จักรยานไม่สวมหมวกนิรภัยเป็นต้น---บริบทและภาวะวิสัยแตกต่างกัน)

ดังนั้นในเรื่อง “มาตรฐานวิชาการ-วิชาชีพเวชกรรม(แพทย์)” รัฎฐาธิปัตย์ได้มอบหมายให้องค์คณะนี้ใช้อำนาจเต็มทั้ง อำนาจ “นิติบัญญัติ” และ”กระบวนการยุติธรรม” หากหน่วยงานใดมี “ข้อสงสัย” เพื่อ “ตีความ”ในเรื่อง “มาตรฐานวิชาการ-วิชาชีพเวชกรรม(แพทย์)” มติขององค์คณะดังกล่าวถือเป็นอัน “ยุติ” เพื่อให้เกิดความ “ยุติธรรม” หรือ ธรรมอันเป็นที่ยุติ
ในขอบเขต “รัฎฐาธิปัตย์” ไทย “มาตรฐานวิชาการ-วิชาชีพ” ซึ่งเป็นกฎหมายมีมาตรฐานเดี่ยว (Singularity of Standardized) หากมีหน่วยงานใด ในขอบเขตอำนาจ “รัฐไทย” ต้องการ “กำหนดมาตรฐานใหม่”...ไม่ว่าจะคัดลอกมาจากประเทศที่มีเศรษฐกิจพัฒนาสูงกว่าหรือต่ำกว่าไทย หรือสอบทานความเห็นจากบุคคลซึ่งกล่าวอ้างว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ถือว่ามีศักดิ์ต่ำกว่า หรือเป็น “โมฆะ” เนื่องจากเป็น “ความเห็น” ไม่ใช่ “กฎหมาย”

๒. ในคดีความซึ่งกล่าวโทษว่า แพทย์ผิดจริยธรรม(Medical Ethics) กล่าวคือแพทย์ปฎิบัติหน้าที่ด้วยความไม่สุจริต ขัดต่อศีลธรรมอันดี..ในบริบทต่างๆของสังคม ตามแต่ภาวะวิสัยและพฤติการณ์นั้นๆ คดีนั้นๆ แพทย์อาจจะไม่ผิดจริยศาสตร์ในแง่มุมวิชาชีพแต่อาจจะผิดจริยศาสตร์ในกฎหมายอื่นๆของบ้านเมือง เช่น การละเมิด(Violate)  หมิ่นประมาท(Libel) ซึ่งแพทย์ต้องเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายอื่นๆต่อไป หากแต่เป็นข้อกล่าวโทษ “ร่วม” ทั้งเรื่อง “มาตรฐาน”(Standard) ตามข้อ ๑ ร่วมกับ เรื่อง ละเมิด(Violate) ตามข้อ ๒ ด้วยนั้น ในส่วนของคดี “มาตรฐาน”ต้องยึดหลัก Singularity of Standardized เพื่อมิให้เกิดความสับสนต่อ แพทย์ผู้ปฎิบัติงานอีกกว่า ๓ หมื่นคนทั่วประเทศ (หมายเหตุ-เช่น ขับขี่จักรยานยนต์ ใส่หมวกนิรภัย-เปิดไฟหน้า-มีใบขับขี่-ไม่เสพของมึนเมา-ขับความเร็วไม่เกินกำหนด ใช้ความระมัดระวัง “ถูกมาตรฐาน” แต่ก็ยังเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน ซึ่งถูกร้องเรื่องกระทำละเมิด เป็นการละเมิด ไม่ใช่ฐาน “ผิดมาตรฐาน” หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โทษต่ำกว่า กระทำผิดละเมิดร่วมกับผิดมาตรฐานในคดีเดียวกัน)

คดีความที่ร้องมาที่แพทยสภา ทั้งเรื่องมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรมนั้นในปีหนึ่งๆมีประมาณกว่า ๒๐๐ คดี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความซับซ้อนของสังคมและวิทยาการการรักษาโรค ประมาณ ๑ ใน ๖ หรือประมาณ ๓๐ คดีต่อปี พบว่าแพทย์ “ผิดจริง”...องค์คณะนี้ได้ใช้อำนาจทางปกครองลงโทษแพทย์ ตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต...คือ “สิ้นสภาพ”ความเป็นแพทย์ กลายเป็น “บุคคลธรรมดา” “สิ้นสิทธิ์” ตามอำนาจแห่ง “รัฐไทย” ในการรักษา-ให้ยา-ผ่าตัด ผู้ป่วยในขอบเขตอำนาจแห่งรัฐไทยได้อีก

บทบาทของ “แพทยสภา” ในฐานะ “นิติบุคคล” ซึ่งเป็น องค์คณะซึ่งได้รับอำนาจจาก “รัฎฐาธิปัตย์” ให้กำหนดมาตรฐานและควบคุมมาตรฐานวิชาการ-วิชาชีพเวชกรรม(แพทย์) ทั้งอำนาจ “นิติบัญญัติ” และอำนาจ “กระบวนการยุติธรรม” คือ ธรรมอันเป็นที่ “ยุติ” เพื่อให้ “รัฐไทย”เกิดความสุขสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองในด้านการแพทย์ และ “รัฐไทย” มีมาตรฐานวิชาการ-วิชาชีพแพทย์มาตรฐานเดียวซึ่งแพทย์ทุกคนต้องถือปฎิบัติ หากหน่วยงานใดภายใต้ขอบเขตแห่ง “รัฎฐาธิปัตย์”(Sovereignty)) มีข้อ “สงสัย”ต้องการการ “ตีความ” “มาตรฐานวิชาการ” ตามราชกิจจานุเบกษาดังกล่าว “ความเห็น” ขององค์คณะแพทยสภาถือเป็นอัน “สิ้นสุด” เพื่อให้ “รัฐไทย” มีมาตรฐานวิชาการทางการแพทย์มาตรฐานเดี่ยว ไม่ได้มี สอง...สามมาตรฐานทั้งนี้  เพื่อ “ให้เกิดความสุขสงบเรียบร้อยขึ้นในสังคม” ในด้านวิชาการวิชาชีพแพทย์ อันหมายถึง “ประชาชนยังคงยินดีและไว้วางใจในการเดินไปให้แพทย์ตรวจรักษา-เยียวยา” และในทางกลับกัน “แพทย์ยังคงมีความชื่นชมยินดี-ด้วยจิตวิญญาณ-เมื่อเห็นประชาชนเดินเข้ามาพึ่งพา” ไม่ได้ถูกบังคับให้ทำงานเพียงแค่ “ทำตามหน้าที่” ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตย์อยู่กับท่านผู้อ่านทุกท่านที่รักในสันติสุขที่องค์พระผู้เป็นเจ้ามอบให้ด้วยเทอญ

นาวาอากาศโท นายแพทย์ธนาธิป ศุภประดิษฐ์
กรรมการแพทยสภา

43
แม้ฝนจะโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย แต่ศาลาสวดพระอภิธรรมงานศพของ “ดุสิต นนทะนาคร” ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยคนที่ 21 เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2554 เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก ทั้งญาติสนิท มิตรสหาย และเพื่อนร่วมงานร่วมไว้อาลัยจนล้นออกมาด้านนอก

ด้วยความเป็นบุคคลมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในหลากหลายวงการ บริเวณโดยรอบศาลาอัดแน่นไปด้วยพวงหรีดตระการตานับพันชิ้น แม้พระจะเริ่มสวดพระอภิธรรมแล้ว พวงหรีดดอกไม้หลากสียังคงทะยอยส่งมาร่วมไว้อาลัยอย่างต่อเนื่อง

เมื่อกลับไปที่งานในอีกหนึ่งวันถัดมา แปลกใจที่เห็นพวงหรีดบางตาลงไปมาก พวงหรีดนับพันชิ้นที่เห็นเมื่อวานอันตรธานไปจากศาลา โดยถูกขนย้ายออกไป และกลายเป็นกองขยะดอกไม้อยู่ท้ายวัด

เจ้าหน้าที่จากหอการค้าไทยรายหนึ่งซึ่งมาช่วยงานเล่าว่า มีผู้ส่งพวงหรีดมาร่วมแสดงไว้อาลัยเป็นจำนวนมาก แต่พื้นที่ศาลามีจำกัด ไม่มีพื้นที่วางพวงหรีดได้เพียงพอ ในแต่ละวัน เจ้าภาพต้องเตรียมสถานที่ไว้รองรับพวงหรีดที่จะเข้ามาใหม่ โดยเอาพวงหรีดดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวไปทิ้ง แล้วนำเอาพวงหรีดใหม่แขวนแทน แม้ทางเจ้าภาพของดพวงหรีดแต่ให้บริจาคเข้ากองทุนเพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมต้านคอรัปชั่นที่นายดุสิตได้ริเริ่มไว้ก็ตาม

พวงหรีดที่วางเรียงกันตามแนวรั้ว

“เพียงแค่คืนแรกของงานศพประธานหอการค้าไทยมีคนส่งพวงหรีดมาร่วมไว้อาลัยมากถึง 1,200 พวง” เจ้าหน้าที่คนเดิมให้ข้อมูล ไทยพับลิก้าลองคำนวณดู โดยคิดจากราคาพวงหรีดที่มีขายตามร้านค้าทั่วไปและทางเว็บไซต์ต่างๆ ประมาณพวงละ 1,000-3,000 บาท คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.2-3.6 ล้านบาท

หลายคนอาจจะเสียดายเงินที่ต้องจ่ายให้กับพวงหรีดดอกไม้สดที่สวยได้เพียงชั่วคราว แต่มองอีกด้านนั่นหมายถึงเงินสะพัดในธุรกิจพวงหรีด

พวงหรีดบางส่วนสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ บางส่วนต้องปล่อยให้ย่อยสลายตามธรรมชาติและบางส่วนยากต่อการทำลายทิ้ง หรือรีไซเคิลกลับมาใช้ได้ใหม่

ในแต่ละวันวัดดังๆ ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการจัดงานศพจะมีพวงหรีดมากน้อยแค่ไหน

งานวิจัยเรื่องธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการตาย โดย ศิรินันท์ กิตติสุข และ วนิพพล มหาชา ระบุว่า วัดทั่วๆ ไปในกรุงเทพฯ มีร้านขายพวงหรีดอยู่หน้าวัดประมาณ 3 ร้าน รวมทั้งร้านที่ขายดอกไม้เป็นหลัก แต่มีบริการเสริมในการจัดดอกไม้เป็นพวงหรีดอีกประมาณ 2-3 ร้าน

หากนำจำนวนวัดที่มีอยู่ทั่วกรุงเทพมหานคร 449 วัด (จากฐานข้อมูลของเว็บไซต์สำนักงานพระพุทธศาสนา) มาคำนวณจะได้จำนวนร้านดอกไม้ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับพวงหรีดและดอกไม้ที่ใช้ในงานศพประมาณ 2,694 ร้าน ธุรกิจพวงหรีดมีมูลค่าประมาณ 4.3 พันล้านบาท

รายงานการวิจัยยังระบุว่า พวงหรีดทั่วไปมี 3 ประเภท ได้แก่ พวงหรีดที่ทำจากดอกไม้สด พวงหรีดที่ทำจากดอกไม้แห้ง และพวงหรีดที่ใช้วัสดุผ้าขนหนูมาเป็นตัวหรีด ราคาพวงหรีดประเภทดอกไม้สดมีราคาประมาณ 500-3,000 บาท ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุด รองลงมาเป็นพวงหรีดแบบดอกไม้ประดิษฐ์หรือดอกไม้แห้ง ราคา 500-1,500 บาท สำหรับพวงหรีดที่ทำด้วยวัสดุผ้าเป็นพวงหรีดที่มีผู้นิยมน้อยที่สุดและมีราคาต่ำที่สุด 300-1,500 บาท

พวงหรีดมีแบรนด์ คือพวงหรีดที่ผู้ไว้อาลัยสามารถนำโลโก้ หรือแบรนด์ของบริษัท หรืออาจจะเป็นผลิตภัณฑ์ของผู้ใช้บริการ นำมาไว้บนป้ายพวงหรีดได้

จากวัฒนธรรมสู่ความเคยชิน

พวงหรีดได้กลายเป็นสัญลักษณ์ เรียกได้ว่าที่ไหนมีงานศพที่นั่นต้องมีพวงหรีด

หนึ่งในเจ้าของธุรกิจร้านดอกไม้ นางสาวดิศราพร อิศรากูร ณ อยุธยา ให้ข้อมูลว่า การสั่งพวงหรีดของลูกค้าในแต่ละครั้งมักมาพร้อมกับคำสั่งให้ทางร้านจัดดอกไม้ให้สวยกว่า ใหญ่กว่าพวงหรีดพวงอื่นๆ

พวงหรีดสามารถบอกถึงความสัมพันธ์ของผู้มอบกับผู้เสียชีวิต รวมไปถึงการแสดงสถานะทางสังคม หน้าที่การงานการเงินและเศรษฐกิจของผู้มอบ

การมอบพวงหรีดในงานศพนั้นได้กลายเป็นวัฒนธรรมหรือความเคยชินสำหรับสังคมไทย

จริงๆ แล้ว พวงหรีดในภาษาอังกฤษ คำว่า “Wreath” (รีธ)  ที่มีความหมายว่า พวงมาลา ซึ่งในสมัยก่อนย้อนไปถึงยุคเปอร์เซีย ความหมายของพวงหรีดคือ “a thing bound around” สิ่งที่ล้อมด้วยลักษณะวงกลม ซึ่งอาจจะคล้ายมงกุฎ (diadem)

ในสมัยกรีกโบราณมีการนำดอกไม้ไปเคารพศพผู้ตาย ประเทศไทยรับวัฒนธรรมการเคารพศพ โดยการส่งพวงหรีดหรือดอกไม้ ในสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 แต่ก่อนนี้พวงหรีดจะไม่สวยหรูหรือมีราคาเหมือนกับในปัจจุบัน มีเพียงก้านกิ่งไม้มาสานขัดกันเป็นวงกลม แล้วนำดอกไม้มาเสียบประดับ ถือว่าเรียบง่ายและเป็นการแสดงออกถึงความเคารพศพอย่างแท้จริง
ทางออกพวงหรีด-ขยะ

ปัจจุบัน การแข่งขันจากคู่ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว รสนิยมของลูกค้า (เจ้าภาพ) ที่เปลี่ยนไป จนถึงแนวคิดเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม และโลกร้อนที่สร้างกระแสแรงขึ้น กดดันให้ร้านพวงหรีดต้องปรับตัวรับกับสภาพแวดล้อมใหม่

พวงหรีดจึงมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น พวงหรีดดอกไม้ จันทน์ พวงหรีดต้นไม้ พวงหรีดต้นกล้วยไม้ พวงหรีดสังฆทาน พวงหรีดจักรยาน พวงหรีดนาฬิกา พวงหรีดหนังสือ พวงหรีดเครื่องใช้สำหรับนักเรียนหรือที่เรียกว่า ”กล่องนาบุญ” และพวงหรีดที่เป็นของใช้ เช่น ช้อน จานชาม หม้อหุ่งข้าว กระติกน้ำร้อน พัดลม เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีพวงหรีดร่วมบุญไทย-จีน โดยวัสดุที่ใช้ทำนั้นจะเป็นพวกแบงก์กงเต็ก ทองแท่ง ชุดชายหญิง เป็นต้น

ในบรรดาพวงหรีดรูปแบบใหม่ๆ บางอย่างก็มีให้พบเห็นบางแล้วตามงานศพต่างๆ แต่บางอย่างอาจไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยนัก หรือไม่เคยเห็นเลย ความแปลกใหม่ของพวกหรีดนั้นไม่สำคัญเท่ากับผู้ได้รับสามารถนำกลับไปใช้ประโยชน์ได้ดี

เพื่อให้เห็นภาพ ไทยพับลิก้าได้คัดเลือกตัวอย่างเว็บไซต์พวงหรีดที่มีรูปลักษณ์ต่างไปจากพวงหรีดดอกไม้ เช่น
พวงหรีดต้นไม้ (http://www.puang-reed.com/)
พวงหรีดหนังสือ (http://banjitsumpat.com/)
พวงหรีดสังฆทาน (http://www.thaitambon.com/)
พวงหรีดพัดลม (ReedDelivery.com) เป็นต้น

พวงหรีดหนังสือธรรมะและพวงหรีดพัดลมกำลังเป็นทางเลือกที่มาแรงในขณะนี้ แม้จะยังไม่สามารถแทนที่พวงหรีดดอกไม้ที่เป็นที่นิยมมากกว่าได้ก็ตาม

หากเปรียบเทียบราคาพวงหรีดดอกไม้สดกับพวงหรีดพัดลมจะพบว่า ราคาพวงหรีดดอกไม้สดนั้นมีราคาอยู่ที่ 800-3,000 บาท ในขณะที่พัดลมขนาดเล็กสุดมีราคาประมาณ 600 บาทจะเห็นได้ว่าราคาพวงหรีดดอกไม้สดหนึ่งพวงสามารถซื้อพัดลมขนาดเล็กได้ 1 ตัว ถ้านำไปซื้อพวงหรีดหนังสือธรรมะในราคาประมาณพวงล่ะ 1,250 บาทจะประกอบด้วยหนังสือขนาด 14.5 ซม.x 21 ซม. จำนวน 13 เล่ม การส่งมอบสิ่งของที่มีประโยชน์มาร่วมแสดงความอาลัย ถือได้ว่าร่วมทำบุญกับผู้ที่ล่วงลับ
กระแสโลกร้อน: วิถีธุรกิจ

ทุกวันนี้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องโลกร้อน ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ มากมาย หนึ่งในธุรกิจคือ ธุรกิจเกี่่ยวการให้บริการจัดส่งพวงหรีดที่มีการพัฒนาการส่งพวงหรีดจากดอกไม้สดเป็นพวงหรีดประเภท Re-use ที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง เช่น พวงหรีดต้นไม้ พวงหรีดพัดลม พวงหรีดจักรยาน พวงหรีดนาฬิกา พวงหรีดหนังสือ เป็นต้น

พวงหรีดถือเป็นสิ่่งจำเป็นสำหรับงานศพ เพราะพวงหรีดสามารถใช้แทนความรู้สึกเสียใจ การให้เกียรติและไว้อาลัย ซึ่งบริษัทมิส ลิลลี่ ผู้นำด้านธุรกิจดอกไม้สดได้เคยประเมินธุรกิจดอกไม้สำหรับใช้ในการอวยพรในโอกาสต่างๆ ที่มีมูลค่าตลาดโดยรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ส่วนดอกไม้ประเภทพวงหรีดมีมูลค่าตลาดโดยรวมถึงกว่า 4,000 ล้านบาท

ร้านของ “ธนาพิสิษฐ์ เฉลยวิมาร” ได้เริ่มต้นธุรกิจนี้จากกระแสโลกร้อนด้วยเช่นกัน การเปิดร้านหรีดเดลิเวอร์รี่ ที่ทำการจัดส่งพวงหรีดต้นไม้ได้รับกระแสตอบรับจากประชาชนผู้สนใจที่หันมาเลือกใช้บริการพวงหรีดที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

ปัจจุบัน มูลค่าของธุรกิจพวงหรีดดอกไม้สดสำหรับพวงหรีด Re-use มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ประมาณ 5-10 % คิดเป็นมูลค่าประมาณ 10-30 ล้านบาทต่อปี

สำหรับราคาพวงหรีดต้นไม้นั้นจะมีราคาตั้งแต่ 900-2,000 บาท ส่วนพวงหรีดพัดลมจะมีราคาตั้งแต่ 900-3,000 บาท ซึ่งในแต่ละเดือนทางร้านเองสามารถจัดส่งพวงหรีดต้นไม้ได้ประมาณ 50-100 ต้น และจัดส่งพวงหรีดพัดลมได้ประมาณ 150-250 ตัว

ในอนาคตธุรกิจนี้มีโอกาสเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เนื่่องจากลูกค้าที่เคยเลือกใช้บริการพวงหรีดดอกไม้สดเป็นประจำได้หันมาเลือกใช้พวงหรีดต้นไม้หรือพวงหรีดพัดลมเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ หรีดเดลิเวอร์รี่ยังเป็นสื่อกลางในการติดต่อประสานงานในการบริจาคพัดลมให้กับเจ้าภาพอีกด้วย ถ้าทางเจ้าภาพมีความประสงค์จะร่วมบริจาค ซึ่งถือว่าเป็นการร่วมทำบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ

thaipublica.org   3 ตุลาคม 2011

44
เคยมีใครเคยวางแผนจัดงานศพให้ตัวเองล่วงหน้าบ้างไหม ถ้ามี.. คุณคิดว่าการจัดงานศพต้องใช้เงินเท่าไหร่?

ในอดีต เมื่อมีคนในครอบครัวเสียชีวิต ต้องนำศพไปตั้งเพื่อบำเพ็ญกุศลที่บ้านของผู้ตาย โดยมีญาติพี่น้องรวมไปถึงเพื่อนบ้านช่วยกันจัดงานศพ เมื่อครบกำหนดฌาปนกิจศพก็เคลื่อนศพไปทำพิธีเผายังสุสานหรือป่าช้าของวัด

ปัจจุบันสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป การจัดงานศพนิยมไปทำพิธีที่วัด เพื่อความสะดวกต่อการจัดตามพิธีกรรมทางศาสนา เพราะวัดมีบริการครบวงจร ตั้งแต่รับศพ พิธีรดน้ำศพ พิธีลอยอัฐิ ตลอดจนการทำบุญต่างๆ เพียงแค่มีเงิน ก็จะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ

ปัจจัยเลือกวัดสวดพระอภิธรรมและเผาศพ 1.เดินทางได้สะดวก 2.มีที่จอดรถ 3.มีศาลาบำเพ็ญกุศลขนาดใหญ่ที่รองรับแขกได้ 4. มีเมรุเผาศพอยู่ในที่เดียวกัน ซึ่งวัดหรือฌาปนสถานมีความพร้อมให้บริการอย่างครบวงจร สิ่่งที่ญาติของผู้ตายต้องเตรียมพร้อมกับการนำศพไปวัด คือใบมรณบัตรมาแจ้งกับฌาปนสถานของวัด ก็ดำเนินพิธีกรรมทางศาสนาได้แล้ว

ส่วนขั้นตอนต่างๆ มีเจ้าหน้าที่บริการจัดงานศพเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ เจ้าภาพแค่เลือกรายการที่วางเรียงรายอยู่ในตู้โชว์ หรือในสมุดภาพถ่ายที่ระบุขนาดของสินค้าและราคา ถ้าจ้าภาพไม่ต้องการใช้บริการ สามารถดำเนินจัดหาอุปกรณ์เครื่องในพิธีศพได้ด้วยตนเอง แต่ก็น้อยคนนักที่จัดการด้วยตัวเอง เจ้าภาพจึงมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือจ่ายเงินให้วัด

ในแง่บริการแต่ละวัดไม่ได้แตกต่าง แต่ต่างที่ราคา โดยค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพประกอบด้วย ค่าหีบศพ ค่าดอกไม้ เครื่องไทยธรรม อาหาร เครื่องดื่ม ค่าศาลาและค่าเผาศพ เป็นต้น

ศาลาที่ใช้ในการตั้งสวดศพ มีให้เลือกหลายขนาด เป็นศาลาธรรมดาหรือศาลาติดแอร์ ค่าบริการมีตั้งแต่ราคาหลักร้อยบาทไปถึงหลายพันบาท

ดอกไม้หน้าหีบศพสามารถแสดงฐานะของเจ้าภาพหรือผู้ตายได้เป็นอย่างดี มีให้เลือกตั้งแต่แบบกอ แบบพุ่ม แบบสวน แบบเลื้อย และแบบโกฐพระราชทาน ราคาเริ่มต้นที่หลักพันไปจนถึงหลักแสน

ส่วนอาหารและเครื่องดื่มมีเมนูไว้ให้เลือก มีขนมธรรมดาจนถึงขนมบนห้าง เช่น สวนดุสิตโฮม เอสแอนด์พีและการบินไทย รวมถึงยี่ห้ออื่นๆ ส่วนอาหารคาวส่วนใหญ่วัดมีร้านประจำ แต่เจ้าภาพต้องการนำมาเองได้ ทางฌาปนสถานมีจาน ชาม ช้อนไว้ให้บริการ ด้านเครื่องไทยธรรมที่ใช้ในพิธีศพมีไว้ให้บริการ บางครั้งวัดมีให้เช่า

นอกจากนี้มีโปรชัวร์หรือแผ่นพับขายบริการ เช่น ธุรกิจจอมมินิเตอร์ ธุรกิจสิ่งพิมพ์ ของที่ระลึก ธุรกิจบริการลอยอัฐิ เป็นต้น

โดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายของวัดต่างๆประเมินจากค่าใช้จ่ายการสวดพระอภิธรรมและเผาศพ จะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไข 1.ระยะเวลาในการสวดอภิธรรมและเผาศพ (3 วัน 5 วัน 7 วัน) 2.สถานะของวัด เป็นวัดขนาดเล็ก กลาง หรือ ขนาดใหญ่ ซึ่งผลการศึกษาโดยศิรินันท์ กิตติสุขสถิต และวนิพพล มหาอาชา ปี 2549 พบว่า ค่าใช้จ่ายกรณีเป็นวัดขนาดเล็กระหว่าง 3-7 วัน ขั้นต่าประมาณ 9,000 บาท สูงสุด 35,500 บาท วัดขนาดกลาง ระยะเวลาสวดอภิธรรมเท่ากันเสียใช้จ่าย 24,000-63,000 บาท ขณะที่วัดขนาดใหญ่ ค่าใช้จ่ายขั้นต่ำกว่า 30,000 – 70,000 บาทขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อน ผู้สื่อข่าวไทยพับลิก้าได้ลงพื้นที่สำรวจวัดดังๆ ในกรุงเทพมหานคร 7 วัด ได้แก่ วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร วัดโสมนัส วัดมกุฏกษัตริยารม วัดหัวลำโพง วัดเสมียนนารี วัดตรีทศเทพ และวัดเทพศิริทร์เพื่อหาคำตอบว่า ค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน

วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร

วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร ฌาปนสถานกองทัพอากาศ ให้บริการครบวงจร โดยคิดค่าศาลาธรรมดาคืนละ 2,000 บาท ศาลาปรับอากาศคืนละ 2,500 บาท

ค่าบำรุงเมรุ 4,000 บาท ค่าน้ำ ค่าไฟ (วันเผา) 2,000 บาท ค่าเจ้าหน้าที่วันละ 440 บาท และค่าของถวายพระคืนละ 1,040 บาท

ค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ ได้แก่ ค่าหีบศพเทพนม ข้างในบุนวมราคาตั้งแต่ 3,450 บาทขึ้นไป ดอกไม้หน้าหีบศพนั้นราคาเริ่มต้นที่ 4,500 บาท

สำหรับอาหารมีให้เลือก อาทิ กาแฟ โอวัลติ ไม่มีขนม ชุดละ 13 บาท กาแฟ โอวัลติน มีขนม 2 อย่าง ชุดละ 45 บาท หรืออาหารถ้วยละ 25-30 บาท สั้งขั้นต่ำ 50 ถ้วย

จากการสอบถามเจ้าหน้าที่เล่าว่า ศาลาจะเต็มตลอดทั้งเดือน เวลาสวดศพเวลา 18.30 น. หากเจ้าภาพประสงค์ให้เลื่อนเวลาสวดศพช้า หรือเร็วขึ้น หรือการสวดพระอภิธรรมมีการพักเบรคในการรับประทานของว่าง หรือสวดเสร็จในครั้งเดียวแล้วค่อยเลี้ยงอาหารก็ทำได้ โดยแจ้งเจ้าหน้าที่ประจำศาลา ส่วนเวลาเผาศพมี 4 เวลา 2 เมรุ วันหนึ่งเผาได้ 8 ศพ เริ่มเผาเวลา 13.00 น. 14.00 น. 16.00 น. และ 17.00 น.

ทั้งนี้ถ้าจัดงาน 3 คืน ประมาณ 60,000 – 90,000 บาท, 5 คืน ประมาณ 80,000 – 120,000 บาท และ 7 คืน ประมาณ 100,000 – 150,000 บาท

วัดโสมนัส

วัดโสมนัสมีหน่วยงานฌาปนสถานกองทัพบกเป็นผู้ให้บริการ โดยฌาปนสถานเป็นคนกลางติดต่อกับร้านค้าข้างนอก ส่วนอาหารว่างจากสวนดุสิตโฮม เอสแอนด์พี และการบินไทย ไว้ให้บริการ ส่วนอาหารคาวมีเจ้าประจำ

รวมไปถึงสินค้าฝากขาย เช่น บริการถ่ายภาพและวีดีโอ บริการลอยอังคาร จอมอนิเตอร์ และของชำร่วย โดยมีแผ่นพับ โปรชัวร์ ให้เจ้าภาพเลือกใช้บริการ

หีบศพจากร้านพรนิมิต มีหลายแบบหลายราคาให้เลือก มีแบบสีขาวเรียบ สีขาวเส้นสน สีขาวเทพนม หีบผ้าตราดเงิน หีบผ้าตราดทองเทพนม หีบผ้าลายหลุย และหีบมุกมีให้เลือกอีก 4 แบบ ขนาดของโลงขึ้นอยู่กับผู้ตายมีอยู่ 3 ขนาดให้เลือก 20,22 และ 24 นิ้ว จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ เจ้าภาพส่วนใหญ่เลือกใช้หีบศพเทพนมราคา 4,200 บาท

ดอกไม้มีให้เลือก เช่น แบบกอ สวน เลื้อย และโกฐพระราชทานราคาเริ่มต้นที่ 2,500 บาท โดยต้องใช้ดอกไม้ 2 ชุดคือหน้าหีบศพ 1 ชุดและหน้าเมรุอีก 1 ชุด ของที่ระลึกมีให้เลือก เช่น พัด ร่ม หนังสือ ยาดม หรือเจ้าภาพสามารถเลือกของชำร่วยตามวัตถุประสงค์ี่ที่ต้องการได้

ส่วนบริการถ่ายภาพและวีดีโอขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าภาพ แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าใดนัก

บริการฝากศพ/สุสาน ส่วนใหญ่จะฝากไว้ 100 วัน แล้วจึงทำการเผา

บริการลอยอัฐิ เริ่มต้นที่ราคา 4,500 บาทสามารถเลือกสถานที่ได้

อาหารและเครื่องดื่มมีของสวนดุสิตโฮม เอสแอนด์พี และการบินไทย โดยมีเมนูให้เลือก ส่วนอาหารคาวนั้นจะเป็นเจ้าประจำ แต่เจ้าภาพสามารถนำมาเองได้ ทางฌาปนสถานก็มีจาน ชาม ช้อนไว้ให้บริการ

ค่าใช้จ่าย ถ้า 3 คืน ประมาณ 50,000 บาท ถ้า 5 คืน ประมาณ 60,000 บาท และถ้า 7 คืน ประมาณ 70,000 บาท

วัดเสมียนนารี

วัดเสมียนนารี ให้บริการงานศพครบวงจร มี 11 ศาลา เป็นศาลาแอร์ 7 ศาลา ศาลาธรรมดา 4 ศาลา วัดสั่งดอกไม้จากร้านดอกไม้เสียงทองปากคลองตลาด ส่วนหีบศพสั่งจากร้านสุริยาหีบศพ (แคราย) อาหารมีแม่ครัวไว้บริการ ราคาต่อรองกับแม่ครัวเอง

อาหารว่างมีให้เลือก กาแฟ ไมโล โอวัลติน ในกรณีไม่มีขนมคิดชุดละ 10 บาท ถ้ามีขนมคิดชุดละ 20 บาท กาแฟ ไมโล โอวัลตินพร้อมขนมของ S&P (เค้ก แซนวิช พาย แยมโรล) ชุดละ 35 บาท จนถึงข้าวต้มหม้อเล็ก 1,000 บาท หม้อใหญ่ 1,500 บาท ขณะที่กะเพาะปลา ก๋วยเตี๋ยวและอาหารประเภทอื่นๆ จะคิดราคาที่หม้อเล็ก 1,500 บาท สำหรับแขก 60-70 คน หม้อใหญ่ 2,000 บาท สำหรับแขก 100-120 คน

ถ้าเจ้าภาพเลือกใช้บริการของวัด โดยจัดงาน 3 คืน ประมาณ 40,000 บาท งาน 5 คืน ประมาณ 60,000 บาท และถ้า 7 คืนประมาณ 70,000 บาท

วัดหัวลำโพง

สำหรับวัดหัวลำโพง วัดเป็นผู้ให้บริการงานศพถ้าเจ้าภาพเลือกใช้บริการของวัด โดยจัดงาน 3 คืนจะค่ามีใช้จ่ายประมาณ 60,000 บาท ถ้า 5 คืน ประมาณ 80,000 บาท และ 7 คืน ประมาณ 100,000 บาท

วัดตรีทศเทพ

วัดตรีทศเทพถ้าจัดงาน 3 คืน ประมาณ 40,000 บาท, 5 คืน ประมาณ 60,000 บาท และ 7 คืนประมาณ 80,000 บาท

วัดมกุฏกษัตริยาราม

ในส่วนของวัดมกุฏกษัตริยาราม วัดเป็นผู้ให้บริการ มีอุปกรณ์ไว้บริการหลากหลาย ตั้งแต่หีบศพราคาเริ่มต้นที่ 2,300 บาทถึงสูงสุด 5,500 บาท

ดอกไม้ ราคา 6,000-20,000 บาท(หากเจ้าภาพนำร้านดอกไม้จากภายนอกมาจัดหน้าศพ ทางวัดคิดค่าบำรุงวัด 1,000 บาท) เครื่องไทยธรรมสามารถเช่าซื้อจากวัดได้ ชุดละ 220 บาท อาหารและเครื่องดื่มมีไว้บริการ ถ้าเจ้าภาพต้องการเป็นของเอสแอนด์พี หรือการบินไทยเ จ้าภาพต้องติดต่อหาซื้้อเอง

อาหารว่างชุดละ 45 บาท ในหนึ่งกล่องมีขนม 2 ชิ้น และน้ำ 1 แก้วพลาสติก เจ้าภาพสามารถเลือกขนม และน้ำได้ว่าจะเอาอะไรตามเมนูที่มีให้เลือก 26 รายการ มีน้ำให้เลือกอีก 4 แบบ ถ้าต้องการเป็นชา กาแฟ หรือโอวัลตินคิดถ้วยละ 20 บาท ถ้ามีของว่างด้วย 45 บาท ของว่างสั่งขั้นต่ำ 30 ชุด (ในกรณีที่สั่งเบเกอรี่ ไม่สามารถยกเลิกและคืนเบเกอรี่ได้)

อาหารถวายพระ 5 อย่าง มีของหวาน 1 อย่าง ผลไม้ตามฤดูกาล 3 อย่าง อาหารถวายพระ 9-10 รูปคิดราคา 250 บาทต่อรูป อาหารเลี้ยงแขกสั่งขั้นต่ำ 20 คนขึ้นไป ถ้าต้องการยกเลิกต้องแจ้งล่วงหน้า 2 วัน

ถ้าเจ้าภาพเลือกจัดงาน 3 คืน ประมาณ 60,000 บาท, 5 คืน ประมาณ 80,000 บาท และ 7 คืน ประมาณ 100,000 บาท

วัดเทพศิรินทร์

วัดเทพศิรินทร์ ถ้าเจ้าภาพเลือกจัด 3 คืน ประมาณ 50,000 บาท, 5 คืน ประมาณ 70,000 บาท และ 7 คืน ประมาณ 90,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ความหรูหราใหญ่โตของงานศพเป็นการแสดงให้เห็นถึงสถานภาพและความมีหน้ามีตาทางสังคม รวมไปถึงฐานะทางเศรษฐกิจสังคมของผู้ตายและญาติ

จากงานศึกษาของ “อนันต์ ยูสานนท์” กล่าวถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานศพไว้ค่อนข้างละเอียด ในบทที่ว่าด้วยเศรษฐศาสตร์การตายและยกตัวอย่างค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานศพของคุณแม่ผู้ศึกษาซึ่งเสียชีวิตเมื่อ พ.ศ.2520 ตั้งบำเพ็ญกุศล บรรจุศพและฌาปนกิจที่ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัส เสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 11,555.50 บาท ประกอบด้วย 4 รายการ 1.รับศพไปวัดรวมถึงพิธีอาบน้ำศพ 1,414.5 บาท 2.ค่าใช้จ่ายการสวดพระอภิธรรม 6 คืน 8,488 บาท 3.ค่าใช้จ่ายในการบรรจุศพ และ ค่าใช้จ่ายฌาปนกิจศพรวมถึงพิธีแปรธาตุ 1,653 บาท

จากปี 2520 – 2554 เป็นเวลา 34 ปี จะเห็นได้ว่าค่าใช้จ่ายจัดงานศพมีราคาเพิ่่มขึ้นถึง 10 เท่าตัว

thaipublica.org   22 กันยายน 2011

45
พวงหรีดหลากหลายราคาที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าดูตระการตาสำหรับผู้ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เพียงคลิ๊กเดียวผ่าน Mesati.com มีสติดอทคอมเว็บไซต์ที่ให้บริการจัดส่งพวงหรีดทั่วประเทศไทย พวงหรีดรูปแบบต่างๆ สนนราคาตั้งแต่ 800 บาท ถึงสูงสุด 3,000 บาทจะปรากฏขึ้นมาให้เลือกในพริบตา

มีสติดอทคอม เว็บไซต์ให้บริการประกาศงานศพออนไลน์ และจำหน่าย/จัดส่งพวงหรีดมีแบรนด์ ทั่วประเทศไทย

นอกเหนือจากคลิ๊กดูพวงหรีดไปทีละหน้าแล้ว มีสติดอทคอมยังทำช่องไว้ให้เลือกจังหวัด วัดที่จะจัดส่งและราคา เพื่อให้ผู้สั่งทราบว่า วัดที่ต้องการจัดส่งพวงหรีดไปนั้นอยู่ในขอบเขตบริการหรือไม่

จุดขายอีกประการหนึ่งของมีสติดอทอมคือพวงหรีดมีแบรนด์ เป็นแบรนด์ของผู้ใช้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่ต้องการไว้อาลัยให้ญาติมิตรหรือเพื่อนรวมงาน พวงหรีดแบบปกติจะเขียนเพียงชื่อของผู้ไว้อาลัยเท่านั้น แต่พวงหรีดมีแบรนด์ คือพวงหรีดที่ผู้ไว้อาลัยสามารถนำโลโก้หรือแบรนด์ของบริษัทหรืออาจจะเป็นผลิตภัณฑ์ของผู้ใช้บริการ นำมาไว้บนป้ายพวงหรีดได้

บริการเสริมของมีสติดอทคอมถือเป็นตัวช่วยสำคัญ ที่ทำให้เว็บนี้น่าสนใจอย่างมาก เพราะมีบริการประกาศงานศพให้กับเจ้าภาพผ่านทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ทั้งเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ ทำให้ข่าวสารต่างๆ ถูกส่งต่อไปได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ญาติ พี่น้อง เพื่อน ตลอดถึงผู้ที่เคารพนับถือ ลูกศิษย์ ลูกน้องและผู้เคารพนับถือได้รับทราบข่าวสารข้อมูล

เว็บไซต์มีสติดอทคอม เป็นหนึ่งในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับงานศพที่ทยอยเข้าสู่โลกออนไลน์ ขณะที่“บริการหลังความตาย 24 ชั่วโมง” คือ มอตโตที่สุริยาหีบศพบอกให้ลูกค้าทราบว่า หากท่านมาที่ suriyacoffin.com ก็สามารถเลือกใช้บริการครบวงจรตั้งแต่โลงศพหลากประเภท พวงหรีด ดอกไม้ตบแต่งหน้าโลงศพ จนถึงบริการรถตู้ขนส่งหีบศพได้ทุกที่ทุกเวลา

เช่นเดียวกับรถตู้กาแฟ “โยเกิร์ต คอฟฟี่” เจ้าของสโลแกน “ดื่มทีไร โดนใจทุกที” ก็เลือกโปรโมทกิจการของตัวเองผ่านเฟซบุ๊ค

“โยเกิร์ต คอฟฟี่”ให้บริการเครื่องดื่มด้วยรถตู้เคลื่่อนที่สามารถให้บริการได้ตั้งแต่ 200 – 2,000 แก้วต่อวัน มีรายการเครื่องดื่มให้เลือก ชา กาแฟ โกโก้ร้อน เย็น เป็นต้น เจ้าภาพสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความพึงพอใจ

โดยเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ภายในงานต่างๆ ด้วยการจอดรถเป็นมุมกาแฟน่ารัก โดดเด่นและสวยงาม บริการทั้งในร่มและกลางแจ้ง ไม่ว่างานเล็กหรืองานใหญ่ สามารถเคลื่อนที่ไปจอดได้หมดเพื่อบริการแขกในงาน

การเบ่งบานของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับงานศพในโลกออนไลน์ เติบโตคู่ไปกับตลาดงานศพที่ขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ทั้งยังสะท้อนถึงการปรับโมเดลธุรกิจของบรรดาห้างร้านที่ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับงานศพ ดังกรณีร้านจัดพวงหรีด หรือค้าหีบศพให้ก้าวตามโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและตอบสนองวิถีการดำเนินชีวิตสมัยใหม่ของผู้คนที่ต้องการความสะดวกสบายและให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี

ธุรกิจความตายบนโลกออนไลน์จึงเป็นธุรกิจคู่ขนานที่เพิ่มยอดขายหรือช่องทางเสริมในการประชาสัมพันธ์ให้ห้างร้านของพวกเขาเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น มากกว่าจะเข้ามาแทนที่และเบียดบังจนทำให้ร้านค้าดั้งเดิมที่อยู่รายล้อมรอบวัดต้องเลิกกิจการ

ธุรกิจความตายเป็นตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งจากการประเมินของศูนย์วิจัยกสิกรไทยในปี 2552 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานศพ มีเม็ดเงินหมุนเวียนประมาณ 35,000 ล้านบาทต่อปี โดยเงินค่าใช้จ่ายเหล่านี้เริ่มคำนวณกันตั้งแต่การเคลื่อนย้ายศพเพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาไปจนกระทั่งเผา หรือฝังตามความต้องการของผู้ตายหรือญาติ

1.ค่าใช้จ่ายจิปาถะที่เจ้าภาพงานศพจะต้องจ่าย ค่าใช้จ่ายส่วนนี้แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความประสงค์ของเจ้าภาพ โดยแยกเป็นค่าใช้จ่ายสำคัญ ดังนี้

    1) ค่าโลงศพ ราคาโลงศพแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของไม้หรือวัสดุที่ใช้ทำโลง เช่น โลงไม้ยาง โลงไม้เนื้อแข็ง โลงไม้อัด และโลงมุก เป็นต้น และความแตกต่างของลวดลายที่ตกแต่งโลงศพ โดยมีราคาโลงศพต่ำสุดประมาณ 3,000 บาทและสูงสุดถึงกว่า 200,000 บาท ซึ่งจะเป็นโลงศพที่มีการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษ เช่น โลงศพประดับมุก โลงศพติดเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

    2) ค่าดอกไม้ประดับหน้าศพและเมรุ ค่าดอกไม้ประดับหน้าศพและเมรุอยู่ในช่วง 8,000-15,000 บาท ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายแตกต่างกันตามประเภทดอกไม้ ปริมาณของดอกไม้ที่ใช้ และรูปแบบของการจัดดอกไม้ เช่น การจัดแบบสวนน้ำตก เป็นต้น นอกจากนี้ในบางกรณีเจ้าภาพงานศพต้องการเปลี่ยนดอกไม้ใหม่ เนื่องจากดอกไม้ดังกล่าวมีอายุการใช้งานประมาณ 2-3 วัน สำหรับผู้ตั้งสวดพระอภิธรรมหลายวันอาจจะต้องสั่งเปลี่ยนดอกไม้ 2-3 ชุด นอกจากนี้ในวันเผาเจ้าภาพบางรายต้องการตกแต่งเมรุให้ดูสวยงามด้วย

    3) ค่าอาหารเลี้ยงแขก ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารที่จัดเลี้ยงหลังการสวดพระอภิธรรมในแต่ละคืน จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรูปแบบของอาหาร เช่น การเลี้ยงข้าวต้ม เลี้ยงของว่างประเภทน้ำชา-กาแฟ เป็นต้น ซึ่งถ้าเจ้าภาพให้ทางวัดจัดการให้นั้นทางวัดจะคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อหัว โดยให้ทางเจ้าภาพประมาณจำนวนแขกในแต่ละคืนมาให้ ในบางกรณีที่เจ้าภาพสั่งอาหารมาเองค่าใช้จ่ายก็ขึ้นอยู่กับประเภทและจำนวนแขกเช่นกัน จากการสำรวจข้อมูลเฉพาะวัดในกรุงเทพฯราคาในการจัดเลี้ยงอาหารงานศพแต่ละคืนเฉลี่ยประมาณ 2,000-5,000 บาท

    ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนแขกที่มาร่วมงาน แต่หากเจ้าภาพมีฐานะเลี้ยงเป็นโต๊ะจีนก็จะเริ่มต้นที่ราคา 5,000 บาทไปจนถึง 10,000 บาท ซึ่งค่าอาหารนี้ยังไม่นับรวมในกรณีที่เจ้าภาพต้องการเหมาให้ทำอาหารถวายพระฉันเช้า ฉันเพลในระหว่างที่ตั้งศพ และเลี้ยงพระรวมทั้งญาติในวันที่มีการเผาศพด้วย นอกจากนี้เจ้าภาพบางรายยังมีการว่าจ้างในการเลี้ยงพระในวันครบรอบ 7 วันอีกด้วย

    4) ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดนี้จะแตกต่างกันอย่างมากโดยบางวัดจะแจกแจงรายการค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดเหล่านี้มาให้เจ้าภาพพิจารณาอย่างละเอียด แต่บางวัดจะเก็บค่าใช้จ่ายส่วนนี้ในลักษณะเหมารวม โดยค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดที่สำคัญคือ ค่าบำรุงศาลา ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ยังแตกต่างกันที่ขนาดของศาลา ประเภทของศาลา และจำนวนวันที่ตั้งศพ กล่าวคือ ถ้าศาลาขนาดใหญ่ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าศาลาขนาดเล็ก และถ้าศาลาที่มีเครื่องปรับอากาศค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าศาลาธรรมดา

    ค่าธรณีสงฆ์กรณีที่ญาติต้องเก็บศพผู้เสียชีวิตไว้ก่อนยังมิได้ประกอบพิธีเผาหรือนำไปฝัง วัดจะมีโกดังเก็บศพไว้ และกำหนดให้เก็บศพไว้ไม่เกิน 100-150 วัน เสียค่าบำรุงวัด 500-1,000 บาท ค่าบำรุงเมรุและค่าน้ำมันเผาศพประมาณ 2,000 บาท เจ้าหน้าที่จัดการศพทั้งรดน้ำศพและเผาศพประมาณ 1,000 บาท ค่าผ้ามหาบังสกุล/ผ้าบังสกุล เครื่องไทยธรรมถวายพระสวดอภิธรรมรวมทั้งดอกไม้ธูปเทียนถวายพระประมาณ 1,000 บาท/คืน ซึ่งยังไม่นับรวมค่าถวายสังฆทาน หรือติดกัณฑ์เทศน์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ได้แก่ ค่าเครื่องตราสัง ค่ารถไปรับศพ ค่าแรงคนงานไปรับศพ ค่าแรงงานคนงานบรรจุศพ ค่าสายสิญจน์ ค่าเฝ้าจุดธูปหน้าศพกลางวัน-กลางคืน ค่าดอกไม้จันทน์เผาศพ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับของระลึกในงานเผาศพอีกด้วย นอกจากนี้เจ้าภาพบางรายยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเป็นเงินสินน้ำใจเพิ่มเติมให้กับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลศาลาด้วย

2.รูปแบบของพิธีกรรมทางศาสนา จากการสำรวจพบว่ารูปแบบของพิธีกรรมทางศาสนา เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ค่าใช้จ่ายงานศพแตกต่างกัน โดยค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดต่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นเป็นพิธีงานศพแบบไทย ส่วนในกรณีที่เป็นงานศพแบบจีนนั้นจะมีค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มในกรณีที่ทำพิธีกงเต็ก และค่าหลุมฝังศพ กล่าวคือ

    1) การทำพิธีกงเต็ก เจ้าภาพจัดงานศพจะมีค่าใช้จ่าย 2 ส่วนคือ ค่าใช้จ่ายให้กับคณะที่จัดพิธีกงเต็ก และค่าใช้จ่ายเพิ่มให้กับทางวัด โดยค่าใช้จ่ายให้กับคณะที่จัดพิธีกงเต็กนั้นแตกต่างกันในกรณีที่เป็นกงเต็กใหญ่หรือเล็ก กล่าวคือกงเต็กใหญ่จะมีพระสวด 9 รูป สวดตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 20,000 บาท ส่วนกงเต็กเล็ก นิมนต์พระสวด 3-7 รูป สวดตั้งแต่ 4 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 10,000-18,000 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้ยังไม่รวมเครื่องกระดาษและของไหว้ในพิธีที่เจ้าภาพจะต้องจัดเตรียมเอง โดยค่าใช้จ่ายในส่วนนี้แตกต่างกันโดยมีราคาตั้งแต่ 3,000-20,000 บาท นอกจากนี้เจ้าภาพยังมีค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มให้กับทางวัด โดยในวันทำพิธีกงเต็กนั้นทางวัดจะคิดค่าอนุญาตทำพิธีกงเต็ก ค่าบำรุงเตาเผาเครื่องกงเต็ก และค่าตำรวจรักษาการคืนทำกงเต็ก ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในส่วนนี้จะแตกต่างกันในแต่ละวัดอยู่ที่ประมาณ 500-1,000 บาท

    2) ค่าหลุมฝังศพ จะมีราคาตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 1,000,000 บาทขึ้นไปทั้งนี้ขึ้นกับทำเล สำหรับทำเลปานกลางก็จะมีราคาประมาณ 1 แสนบาท แต่ถ้าทำเลดีก็จะมีราคา 2-3 แสนบาทขึ้นไป โดยในงานแบบจีนจะมีส่วนเพิ่มคือ เสื้อผ้าของญาติที่จะใช้ทำพิธีกงเต็ก ค่าจัดพิธีกงเต็ก ของไหว้ศพ เครื่องกระดาษ(ใช้เผา) ค่าดูฮวงจุ้ย และอื่นๆ

    อย่างไรก็ตามในปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายจีนบางส่วนไม่ได้เคร่งครัดที่จะต้องมีพิธีกงเต็ก หรือการฝังศพ โดยหันมาเผาศพผู้ที่เสียชีวิตเช่นเดียวกับพิธีของคนไทยมากขึ้น ซึ่งบางครั้งเป็นความประสงค์ของผู้ที่เสียชีวิตที่ไม่ต้องการให้เป็นภาระกับลูกหลานมากนัก

3.สถานที่จัดงานศพ สถานที่จัดงานศพก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ค่าใช้จ่ายในงานศพนั้นแตกต่างกัน ในกรณีที่เป็นการจัดงานศพในกรุงเทพฯ และจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจ กับจังหวัดทั่วๆ ไป ค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉลี่ยแล้วค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันประมาณ 3 เท่าตัว เนื่องจากงานศพในต่างจังหวัดมักจะจัดอย่างเรียบง่ายกว่าและมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า

4.วัดที่จัดงานศพ การเลือกวัดที่จัดงานศพก็มีผลต่อค่าใช้จ่ายเช่นกัน โดยเฉพาะระหว่างวัดที่เป็นพระอารามหลวง วัดขนาดใหญ่และวัดขนาดเล็ก กล่าวคือ ค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพในวัดที่เป็นพระอารามหลวงนั้นจะสูงที่สุด รองลงมาคือวัดขนาดใหญ่ ส่วนวัดขนาดเล็กนั้นค่าใช้จ่ายก็จะไม่สูงมากนัก นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในวัดเดียวกันยังแตกต่างกันในกรณีที่เลือกขนาดของศาลาแตกต่างกัน กล่าวคือ ถ้าเป็นศาลาขนาดใหญ่ก็จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าศาลาขนาดเล็ก รวมทั้งถ้าเป็นศาลาที่มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นไปอีก

ธุรกิจเกี่ยวเนื่องผุดเป็นดอกเห็ด

ธุรกิจงานศพเติบโตมากมายแค่ไหน สามารถประเมินได้จากการผุดขึ้นของธุรกิจเกี่ยวเนื่องใหม่ๆ อาทิ ธุรกิจรับจัดงานศพอย่างครบวงจร เนื่องจากการจัดงานศพนั้นมีรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างมาก ทำให้เกิดธุรกิจรับจัดงานศพอย่างครบวงจรครอบคลุมการบริการอย่างครบวงจรตั้งแต่การแต่งหน้าและฉีดยาศพ จัดหาวัด ขอใบมรณะบัตร จัดเตรียมพิธีรดน้ำศพ ติดต่อขอน้ำหลวงอาบศพ จัดทำพิธีบรรจุศพ จัดทำพิธีสวดพระอภิธรรมหรือพิธีกงเต็กและงานฌาปนกิจหรือพระราชทานเพลิงศพ รวมถึงงานอื่นๆ ทั้งการ์ดงานศพ ดอกไม้ อาหารว่าง บอร์ดภาพถ่าย ของชำร่วย/หนังสือที่ระลึก และบริการเสริมในการจัดงานได้ เช่น พิธีลอยอังคาร การนำผู้ร่วมงานไปยังที่ฝังศพ เป็นต้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าภาพที่ไม่มีเวลา และไม่ต้องการยุ่งยากในการจัดงานให้ครบถ้วนตามประเพณี

ลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจรับจัดงานศพอย่างครบวงจรนั้นส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าระดับบนหรือลูกค้าที่มีรายได้สูง โดยมีระดับราคาตั้งแต่ 120,000 –400,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่จะจัดพิธีศพ และรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งคาดว่าธุรกิจนี้จะมีผู้ประกอบการที่มีฐานะเป็นบริษัทผู้จัดงานสนใจเข้ามาทำธุรกิจลักษณะดังกล่าวเพิ่มขึ้น เพราะยังเหลือช่องว่างทางการตลาดมาก

ธุรกิจงานศพครบวงจร

    1.ธุรกิจแต่งหน้า/แต่งตัวศพ ก่อนที่จะนำร่างผู้ตายไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ญาติๆจะจัดการอาบน้ำแต่งตัวให้ผู้ตายเสียใหม่ ด้วยเชื่อว่าจะทำให้ผู้ตายมีเสื้อผ้าดีๆใส่ติดตัวไปยังภพภูมิใหม่ด้วย นอกจากนั้นยังมีการแต่งหน้าให้ดูดี มีสีสัน เพื่อให้ผู้ตายดูดี และไม่เป็นที่หวาดกลัวของแขกเหรื่อที่มาร่วมไว้อาลัย หากผู้ตายเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็มักจะเป็นผู้แต่งหน้าศพให้ โดยมีทั้งเจ้าหน้าที่ซึ่งโรงพยาบาลว่าจ้างมาจากภายนอก และบุคลากรของโรงพยาบาลเอง ปกติมีค่าใช้จ่ายประมาณศพละ 1,000-2,000 บาท ค่าฉีดฟอร์มาลินปกติอยู่ที่ 500 บาท แต่หากเสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ค่าฉีดยาศพจะสูงถึง 1,500-2,000 บาท เพราะจะคิดค่าความเสี่ยงด้วย

    2.ธุรกิจจัดกงเต๊ก กงเต็กหมายถึงการที่ลูกหลานทำบุญกุศล ทั้งทำแทนผู้ตายและทำให้ผู้ตายเพื่อให้ผู้ตายได้กุศลผลบุญมากพอที่จะขึ้นไปสวรรค์ โดยพิธีกงเต็กมี 3 แบบคือ แบบพระจีนเป็นผู้ทำพิธี ถ้าต่างนิกายกันจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน แบบคนธรรมดาเป็นผู้ประกอบพิธี โดยจะเป็นผู้ชายสวมชุดพระจีนสีขาว และแบบกงเต็กจีนแคะ การทำพิธีกงเต็กจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับจำนวนพระที่นิมนต์มาสวด โดยถ้าเป็นกงเต็กใหญ่ก็จะต้องนิมนต์พระมาสวด 5 รูปขึ้นไป และถ้าเป็นกงเต็กเล็กก็จะมีการนิมนต์พระมาสวดรูปเดียวหรือ 3-5 รูป

    ปัจจุบันผู้ที่ดำเนินการธุรกิจจัดพิธีกงเต็กนั้นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ดำเนินธุรกิจนี้มาเป็นเวลานาน และจะได้รับการติดต่อในลักษณะบอกต่อๆกัน หรือการให้เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ไว้กับทางวัดที่อนุญาตให้มีการทำพิธีกงเต็กในวัดได้ ค่าใช้จ่ายนั้นเป็นการตกลงกันระหว่างเจ้าภาพและผู้ดำเนินการธุรกิจจัดพิธีกงเต็ก นอกจากนี้ธุรกิจต่อเนื่องจากธุรกิจกงเต็กคือ ธุรกิจเครื่องกระดาษ ของไหว้ รวมทั้งชุดที่ใส่เฉพาะในพิธีกงเต็กที่ทำจากผ้ากระสอบและผ้าดิบ

    3.ธุรกิจเสื้อผ้าไว้ทุกข์ โดยทั่วไปจะเป็นเสื้อผ้าสีดำ แต่สำหรับชาวจีนจะนิยมใส่สีขาวทั้งชุดในระหว่างพิธีสวดศพ ในกรณีที่เป็นลูกหลานหรือญาติสนิทจะต้องซื้อเสื้อผ้าเพื่อใส่ไว้ทุกข์ ซึ่งโดยปกติจะไว้ทุกข์ประมาณ 100 วัน สำหรับผู้หลักผู้ใหญ่หรือทำงานมีชื่อเสียงทำให้ต้องได้รับเชิญให้ไปร่วมงานพิธีศพ ทำให้ต้องมีการเตรียมเสื้อผ้าสีดำไว้อย่างน้อย 3-5 ชุด ดังนั้นผู้ประกอบการจำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูปจึงมักจะมีชุดดำไว้จำหน่าย เนื่องจากสามารถขายได้เรื่อยๆ ทุกเทศกาล

    4.ธุรกิจของที่ระลึกในงานศพ ซึ่งทำให้เกิดเงินสะพัดในธุรกิจผลิตของชำร่วย และปัจจุบันนิยมแจกหนังสือเป็นของที่ระลึก โดยถ้าเป็นงานศพของผู้มีฐานะทางสังคมก็จะมีการจัดพิมพ์หนังสือที่ระลึกเฉพาะงานขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งหนังสือเหล่านี้บางเล่มเป็นที่ต้องการของตลาดหนังสือ เนื่องจากเป็นที่นิยมของผู้อ่านมาก ทำให้มีการนำมาจำหน่ายต่อเป็นหนังสือมือสองอีกด้วย แต่ถ้างานศพที่ไม่ใหญ่โตมากนักก็มักจะเลือกหนังสือเกี่ยวกับธรรมะมาแจกเป็นหนังสือที่ระลึกในงานศพ ซึ่งทำให้เกิดเม็ดเงินสะพัดในธุรกิจสิ่งพิมพ์ นอกจากนี้เจ้าภาพบางรายนิยมแจกของที่ระลึกในลักษณะของชำร่วย โดยติดสติ๊กเกอร์ว่าเป็นของที่ระลึกพิธีศพผู้ใด ของที่นิยมได้แก่ ที่รองแก้ว ยาหม่อง ยาดม ฯลฯ

    5.ธุรกิจแคทเทอริ่ง ธุรกิจการจัดเลี้ยงอาหารในช่วงที่พระสวดอภิธรรม มูลค่าธุรกิจนี้อยู่ในเกณฑ์สูงทำให้บรรดาผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหาร และเบเกอรี่เล็งเห็นช่องทางธุรกิจ โดยการเข้าไปเสนอตัวเป็นผู้จัดการด้านอาหารให้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าภาพทั้งในลักษณะเป็นการจัดเลี้ยง หรือในลักษณะของการจัดอาหารกล่อง เครื่องดื่มประเภทต่างๆ รวมทั้งของว่าง นับว่าเป็นการสร้างช่องทางธุรกิจเพิ่มขึ้นให้กับธุรกิจแคเทอริ่ง ซึ่งเป็นธุรกิจจัดเลี้ยงนอกสถานที่ที่มุ่งเจาะตลาดสัมมนาและงานต่างๆ เช่น งานเปิดตัวสินค้า หรือร้านค้า เป็นต้น โดยค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับประเภทอาหารและจำนวนแขกที่มาในงานเป็นสำคัญ

    6.ธุรกิจร้านถ่ายรูป/วิดีโอ ธุรกิจร้านถ่ายรูป/วิดิโอได้รับอานิสงส์จากงานศพเช่นกัน โดยเจ้าภาพงานศพบางรายต้องการอัดขยายรูปของผู้เสียชีวิตเพื่อนำไปตั้งไว้หน้าศพในระหว่างวันที่สวดอภิธรรมศพ และวันที่เผาศพ นอกจากนี้เจ้าภาพยังถ่ายภาพพิธีศพ และบรรดาผู้เข้ามาร่วมงานเก็บไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย อาจจะดำเนินการเองหรือจ้างช่างถ่ายรูปมาดำเนินการให้ ในปัจจุบันยังมีธุรกิจรูปแบบใหม่คือ บริการแสดงภาพและความรู้สึกที่มีต่อผู้เสียชีวิตผ่านจอภาพพลาสม่าที่ติดตั้งที่ศาลาสวดอภิธรรม เช่น แสดงประวัติของผู้เสียชีวิต แสดงภาพและความรู้สึกประทับใจ แสดงคำไว้อาลัยของครอบครัวและผู้ร่วมงานต่อผู้เสียชีวิต เป็นต้น โดยมีการจัดแสดงทุกวันที่มีการสวดอภิธรรม และเมื่อเสร็จสิ้นงานก็จะมอบซีดีให้กับเจ้าภาพงานศพ

thaipublica.org  20 กันยายน 2011

หน้า: 1 2 [3] 4