แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - knife05

หน้า: 1 [2] 3 4
16
เทศกาลกินเจปีนี้ขายดีกว่าปีที่แล้ว คนกินเจกันมากขึ้น
ผมยึดหลักการเดียวกับการตั้งราคาข้าวกล้อง ข้าวกล้องแพงกว่าข้าวขาวทั้งๆที่ผ่านกรรมวิธีมาน้อยกว่า ความจริงมันน่าจะถูกกว่าด้วยซ้ำ แต่คนขายข้าวมองเห็นโอกาสที่ข้าวกล้องมีคุณค่ามากกว่า และผู้ซื้อตัดสินมูลค่ามันจากคุณค่าไม่ใช่กระบวนการผลิต และกลุ่มคนกินข้าวกล้องก็มักจะเป็นกลุ่มคนมีเงิน

ผมใช้หลักการเดียวกันนี้ ตั้งราคาอาหารเจ แม้ต้นทุนวัตถุดิบจะต่ำ มีแต่ผักกับพืช ซึ่งถูกกว่าเนื้อสัตว์ แต่ผมเชื่อว่าคนกินเจตัดสินคุณค่าที่ผลบุญที่ได้รับ ไม่ได้ตัดสินจากวัตถุดิบ ไม่น่าเชื่อว่าคนขายอาหารเจคนอื่นๆก็คิดแบบเดียวกับผม ตั้งราคากันโหดๆทั้งนั้น ฟันให้หัวแบะ แต่ในเมื่อลูกค้ายอมจ่าย มันก็ถือว่าวินวินทั้งสองฝ่าย

ข้าวผัดเผือกฟันกำไรโคตรมันเลยจริงๆ ปกติผมขายอาหารธรรมดา แต่อวาตาร์มาขายอาหารเจเฉพาะกิจ10วัน เดิมข้าวผัดหมูขายอยู่จานละ30บาท ต้นทุนมีทั้งไข่ไก่ มีทั้งหมู ซอสถั่วเหลืองชั้นดี ลองคำนวณดูแล้วต้นทุนตกประมาณจานละ 20บาท กำไร10บาท

แต่ข้าวผัดเผือกผมตั้งราคาขาย40บาท ต้นทุนมีแค่เผือกที่ซื้อมาตุนไว้หลายเดือน หั่นชิ้นบางๆ เหยาะกลิ่นเผือกผสมคลุกๆลงไป โรยหน้าด้วยชูรส อร่อยเหาะ ขายดีเป็นบ้า ต้นทุนจานนึงไม่ถึง10บาท กำไรเน้นๆ30บาท   

โปรตีนเกษตรทอดก็ขายดีถล่มทลาย ขายไปเลย40บาท เมื่อวานผมเพิ่งปรับราคาขึ้นเป็น45บาท เพราะขายดีจัด ลองขึ้นราคาดูว่าลูกค้าบ่นไหม แต่ไม่บ่นแหะ เพราะลูกค้ามองว่าจ่าย45บาท แต่ได้บุญ และบุญอาจส่งผลให้รวยเป็นร้อยล้าน ดังนั้นลูกค้ามองว่าเขาลุ้นเงินร้อยล้านด้วยต้นทุนแค่45บาท ถูกมาก

เมนูอื่นๆที่ทำจากเต้าหูบ้าง กากถั่วบ้าง พวกนี้ต้นทุนไม่แพง แต่อาศัยว่าทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ คนส่วนมากชอบหลอกตัวเอง อยากกินเจแต่ก็ต้องกินอาหารที่หน้าตาเป็นลูกชิ้นกุ้งบ้าง หมูดงหมูแดงบ้าง เราก็จัดให้ ฟันราคาแพงกว่าขายลูกชิ้นกุ้งจริงๆอีก

ซุป8เซียนเสด็จจากสวรรค์ เป็นเมนูที่ผมคิดค้นขึ้นมาเพื่อขายที่ร้านตัวเองโดยเฉพาะ ใส่ของ8อย่างที่หาได้เร็วๆ พวกเห็ด ถั่วลิสง เน้นตั้งชื่อให้มันดูยิ่งใหญ่อลัง ต้นทุนถุงนึงไม่เกิน15บาท ขายที่50บาท ลูกค้าปลื้มมาก ซื้อกันแทบจนผมรวยแบบไม่ทันตั้งตัว วันหนึ่งทำ3หม้อใหญ่ๆขายหมด

กระเพาะปลาเจอีก เมนูนี้ผมเห็นคนอื่นทำขายเมื่อปีก่อน ปีนี้ผมเอาบ้าง ปกติกระเพาะปลาจริงๆ(มีของปลอมผสมบ้าง)ก็ขายกันถุงละ40บาทในตลาดบ้านผมนะ แต่นี่ผมทำกระเพาะปลาเจขาย ซื้อสำเร็จเขาส่งมาจากกรุงเทพ เราก็เอามาต้มขาย ขายแมร่ง80บาทเลย ต้นทุนประมาณ16-17บาท (เพราะต้มทีนึง2หม้อใหญ่ๆ) ฟันราคากระจาย ลูกค้าสั่งแทบทุกโต๊ะ เดินออกจากร้านหัวขาดทุกคน ฮ่าๆๆ

ยิ่งพวกที่มากันเป็นหมู่คณะ ผมเรียกว่ารถขนเงินมาคว่ำในร้านผมเลย โอ้โห สั่งแต่เมนูระดับอ๋องของร้านผมทั้งนั้น ลูกค้ากลุ่มพวกนี้รวย พวกที่เป็นสมาคมโรงเจอะไรพวกนี้ เป็นเจ้าของกิจการรวยๆกันทั้งนั้น แต่มารวมกลุ่มสมาคมอะไรผมก็ไม่ค่อยรู้ ใส่ชุดขาว และทำกิจกรรรมไหว้เจ้ากินเจ พวกนี้รวยจริงแต่ละคนที่เป็นกลุ่มกรรมการนี่เจ้าของธุรกิจหลักสิบล้านร้อยล้านทั้งนั้น มาจ้างผมทำอาหารเจไปเลี้ยงที่สมาคม ผมก็ไม่ค่อยว่างเพราะทำขายหน้าร้านก็ยุ่งจะตายแล้ว ก็เลยบอกราคาไปแบบไม่อยากขาย เพราะมองว่าคงทำไม่ไหว เลยบอกไปว่าเมนูต้มผมคิดหม้อละ1หมื่น เมนูผัดผมคิดหม้อละ8พัน เฮ้ย คนพวกนี้เอาว่ะ เมื่อวานผมทำส่งไปทั้งหมดเกือบแสนบาท จ้างคนงานพม่ามาทำ เราปรุงอย่างเดียว กำไรๆเน้นๆแบบที่ผมคำนวณคร่าวๆงานนี้ฟันไม่ต่ำกว่า 8หมื่นบาท ต้นทุนทั้งหมดยังไม่ถึง2หมื่นดีเลย แต่ขายได้เกือบแสน

รวมๆแล้ว6วันที่ผ่านมา ผมคิดคร่าวๆหักค่าใช้จ่ายอื่นๆและต้นทุนแล้ว ได้กำไรวันละประมาณ1แสนบาท (ไม่นับจ็อบที่ทำส่งสมาคมที่ได้กำไร8หมื่นนะ)  ถ้าขายครบ10วัน ผมจะกำไรประมาณ 1ล้านบาท  มากกว่าผมขายอาหารปกติทั้งปีอีก ทั้งปีผมขายอาหารตามสั่งได้กำไรเดือนละ4-5หมื่นบาทเอง เดี๋ยวหมดกินเจว่าจะไปออกรถมาขับสักหน่อย ให้รางวัลชีวิตตัวเองบ้าง

ที่เล่ามาเพียงแค่จะแชร์ประสบการณ์ทำธุรกิจ หาสิ่งที่เป็นคุณค่าที่ลูกค้ามองให้เจอ ไม่จำเป็นว่าของสิ่งนั้นต้นทุนเราจะต่ำแค่ไหน ถ้าลูกค้าตีมูลค่าของคุณค่าที่ได้รับไว้สูง นั่นคือโอกาสฟันกำไร

อาหารเจ ต้นทุนต่ำมีแต่พืช ผัก ถั่ว เต้าหู้  ในเทศกาลปกติ ลูกค้าไม่ยอมจ่ายในราคานี้แน่ๆ
แต่เทศกาลกินเจ ลูกค้าคิดว่ากินแล้วได้บุญ ดังนั้นสิ่งที่เราขายไม่ใช่อาหาร แต่เราขายบริการ บริการผลิตบุญ
สิ่งที่ลูกค้าซื้อก็ไม่ใช่อาหาร แต่ลูกค้าซื้อความรู้สึกว่าตัวเองได้บุญ ดังนั้นเขาจึงยอมจ่ายทุกราคา

ปล.ล่าสุดกระทู้ผมได้ออกข่าวช่อง9 ตอน 19.20 ด้วยแฮะ


http://pantip.com/topic/31094214

17
ศุกร์ที่ 13 กันยา มีคนโทรเข้ามาบอกว่าเป็นพนักงานแบงค์กรุงเทพฯ บอกว่ามีลูกค้าโอนเงิน เข้ามาที่บัญชีเราผิด บอกเลขบัญชีทุกอย่างถูกหมด แล้วก็บอกให้โอนเงิน 50,000.- กลับด้วย เพราะว่าลูกค้าคนนั้น เดือดร้อนมาก เราก็บอกว่าขอไปเช็คก่อน

พอวันเสาร์เราไปกดตังค์ ก็พบว่ามีเงินเข้ามาบัญชีเราผิด 50,000.- จริง ตามจำนวนที่เค้าบอกจริงๆ ก็เลยโอนคืนไปให้... ก็ไม่คิดว่ามีอะไร เพราะมันก็ไม่ใช่เงินของเรา เราก็ไม่อยากได้มาโดยมิชอบ
จนมาวันนี้ได้รับใบ แจ้งหนี้ CITIBANK มี ยอด Call for cash ให้ผ่อนจ่ายรายเดือน ก็เลยโทรไปเช็คที่ call center เค้าบอกว่าเราโทรไปขอเบิกเงินสดเข้าบัญชีเราด่วน เป็นเงิน 50,000.- เอง เมื่อวันที่ 12 กันยา เราก็บอกว่าไม่ได้ทำ.. .
อย่างนี้ก็โดนหลอกแล้วซิ พนักงาน call center ก็ได้แต่บอกให้รีบไปแจ้งความ ซึ่งก็ยังดีที่เราเก็บ slip ที่เราโอน เงินไว้นะ......

จะรบกวนผู้รู้ค่ะ ว่าจะทำอย่างไรต่อดี จะไปแจ้งความที่ไหน แล้วตำรวจจะช่วยเราได้ไหม เพราะจำนวนเงินตั้ง 5 หมื่นบาท

วิธีแก้ไข จากธนาคาร

หากเจอแบบนี้ ท่านไม่ต้องทำรายการโอนครับ ถึงจะมีการโอนเข้ามาผิดจริง ทางธนาคารสามารถทำรายการแก้ไขได้เองอยู่แล้ว การที่เราทำรายการโอนเงินเอง เท่ากับเราเป็นผู้สั่งโอน ยากแก่การปฏิเสธ การแก้ไขกว่าจะได้เงินคืน จะทำได้ลำบาก

หรือ หากเป็นการโอนจาก ATM หรือ CDM ให้ขอหลักฐานเป็นหนังสือออก โดยธนาคารมาให้เราก่อน (ต้องเป็นตัวจริงนะครับ)
แล้ว เช็คข้อมูลกับธนาคารต้นทางก่อนจนแน่ใจ
อีก 4-5 วันค่อยโอนก้อไม่เสียหาย เพราะไม่ได้มีเจตนาโกง ฟ้องมาก้อชนะแน่นอน

ถ้าเป็นการทำรายการโอนผิด ทุกธนาคารแค่แจ้งลูกค้าปลายทาง แล้วจัดการแก้ไขเองได้

คนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นคนดี...อยากคืนเงินคนที่เดือดร้อนแน่อยู่แล้ว ดังนั้น มีโอกาสตกหลุมนี้ได้ไม่ยากเลย
เจ้าของบัญชีที่รับโอนกลับ อาจเป็นคนบ้านนอก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนัก ถูกจ้างให้เปิดบัญชี พร้อมบัตร ATM ได้เงินค่าจ้าง 200-300 บาทก็เอาแล้ว คนโกงก็ไปกด ATM เชิดไปแล้วหลายสิบราย ได้เงินไปหลายแสนบาทแล้วครับ

ข้อควรระวังเรื่องนี้
1. ถ้ามีการโอนผิดจริง แบงก์สาขาจะสามารถจัดการได้เองเลย เราไม่ต้องทำอะไรครับ
2. เบอร์โทรเข้ามา ถ้าแปลกๆ แบบไม่แสดงเบอร์ หรือ เป็นแบบโทรจาก internet ให้ระวังไว้ก่อนเลยว่า อาจมีรายการหลอกลวง
3. ใบแจ้งหนี้บัตรเครดิต ควรทำลายอย่าให้เหลือเห็นข้อมูลต่างๆ เช่น วงเงินสินเชื่อ หรือ เลขบัญชีธนาคารที่ตัดอัตโนมัติ

โปรดกระจาย! ข่าวเรื่องนี้ไปยังเพื่อนและญาติๆ เพื่อป้องกันการหลอกลวงเช่นนี้ ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำหลายรายแล้ว


Pekoshop Joyly's status

18
วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์ นิยามความรวยกับความจน

มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้

คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่? ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน
แต่ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า...

๑) ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็ก ๆ เป็นกระท่อมน้อย ๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ มันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

๒) มีที่ดิน แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่ง มันเยอะมาก จริง ๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงิน เขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้น ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ ๆ ด้วย

เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่ายคือ ปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปี ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น เป็นเรื่องแปลก ที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย..มันร้อน ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะ จะทำการเกษตรได้ ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ ไม่เอาๆ อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญา จะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผม เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑

สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ...

๑) ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ

๒) ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า

วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า ลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอน ให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน ผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์มากที่สุด คืองานเกษตรซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่ม ในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหาร ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน

เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เพราะว่าสะอาด จ้างเท่าไหร่ก็ไม่อยากให้ไปอยู่ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด สำคัญที่สุดคือ เรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง เพราะว่าคนเมืองเห็นแก่ตัว วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ เดี๋ยวก็ฆ่ากัน ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโลก

คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น เอื้ออาทรกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกัน ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ ถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบของใครของมัน บ้านคนละหลัง ครอบครัวคนละหลัง ไม่รู้จักกัน ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็ก ๆ เราก็ช่วยเหลือกันได้ คุยกันได้ แบ่งปันกันได้ ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้ ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงิน ไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ แต่เขาจะมีสิ่งที่ดีกว่านั้นเยอะ คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี ไม่มียาเสพติด ไม่มีการพนัน ไม่มีอาชญากรรม มันน่าอยู่ ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้นมันก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยา ไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่น

ลูกผมเรียนหนังสือไม่เก่ง ปีนี้เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขา มีนักเรียน ๓๙ คน มันเดินสายกลางพอดีเลย (หัวเราะ) แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่า เป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้น ฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว ผมเคยอยู่ในสังคมอย่างนั้นมาก่อน มันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจ แต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิตของคนอีสาน ที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา ทำให้ลูกอายุแค่ ๘ ขวบเป็นคนมีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมากๆ เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก สำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต ผมคิดว่าเขาคงมีความสุขแน่ ! [ อ่านแล้วคุณรู้สึกอย่างไร? ]

Cr : MiniBIKE Thailand

19





ธรรมลีลา ชีวิตดี สุขภาพดี
ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๑๔๙ พฤกษาคม ๒๕๕๖

20
ข่าวสมาพันธ์ / The 12 year old girl that silenced...the world for 6 minutes!
« เมื่อ: 02 ตุลาคม 2013, 23:44:27 »


สวัสดีค่ะ ดิฉันเซเวอร์น ซูซูกิ ตัวแทนจาก ECO องค์กรเด็กพิทักษ์สิ่งแวดล้อม
พวกเราคือกลุ่มเด็ก อายุ 12-13 ปี ที่พยายามจะสร้างความแตกต่าง
วาเนสซ่า ซัทตี้, มอร์แกน ไกส์เลอร์, มิเชล เควก และตัวดิฉัน เราทุ่มเทเงินทั้งหมดของเราเพื่อมาที่นี่ด้วยตัวเอง
นั่งเครื่องบินมากว่า 5,000 ไมล์เพื่อมาบอกว่าพวกคุณควรเปลี่ยนแนวทางที่เป็นอยู่
ที่ฉันขึ้นมาพูดวันนี้ ฉันไม่ได้ต้องการผลประโยชน์กับตัวดิฉันทั้งสิ้น ฉันจะมาต่อสู้เพื่ออนาคตของดิฉัน
สูญเสียอนาคต มันไม่เหมือนกับการแพ้การเลือกตั้ง หรือเสียหุ้นบางจุดในตลาดหุ้น

ฉันมาพูดที่นี่ก็เพื่อลูกหลานรุ่นต่อๆไปของเรา
ฉันมาที่นี่เพื่อพูดแทนเด็กๆที่ยากลำบากทั่วโลกที่ต้องร้องไห้โหยหวน และเจ็บปวด
ฉันมาพูดแทนสัตว์นับไม่ถ้วนที่ตายไปทั่วโลกเพราะพวกมันไม่มีที่จะให้ไปแล้ว
ฉันกลัวที่จะออกไปสู้กับพระอาทิตย์แล้วตอนนี้ เพราะว่ามันมีช่องโหว่ในชั้นโอโซนของเรา
ฉันกลัวที่จะสูดอากาศ เพราะฉันไม่รู้ว่ามีสารเคมีอะไรปนอยู่บ้าง

ฉันเคยไปตกปลาที่รัฐแวนคูเวอร์ บ้านของฉัน กับพ่อ จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้ เราเจอปลาที่เต็มไปด้วยโรคมะเร็งนานาชนิด
และตอนนี้เราก็ต่างรู้ว่า ทั้งสัตว์และพืชต่างกำลังจะสูญพันธ์อยู่ทุกวัน และกำลังจะสูญหายไปตลอดกาล
ทั้งชีวิตของฉัน ฉันใฝ่ฝ้นอยากจะเห็นฝูงสัตว์ป่ามหึมา, ป่าไม้และป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยนกและผีเสื้อ
แต่ตอนนี้ฉันสงสัยว่า พวกมันจะอยู่ถึงให้รุ่นลูกหลานของฉันได้เห็นหรือไม่

พวกคุณเคยต้องกลุ้มเรื่องพวกนี้ตอนอายุเท่าฉันไหมหละ ทั้งหมดกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา
เพราะเรากลับทำราวกับว่าเรามีเวลาเหลือเฟือที่จะหาทางแก้ไขได้ทัน
ฉันเป็นแค่เด็ก และฉันก็ไม่มีทางแก้ไขได้ทุกสิ่งหรอก แต่ฉันอยากให้พวกคุณรู้ว่า พวกคุณก็ไม่มีเหมือนกัน
พวกคุณไม่รู้วิธีซ่อมช่องโหว่ในชั้นโอโซนเรา
พวกคุณไม่รู้วิธีพาปลาแซลมอนออกจากน้ำเน่า
พวกคุณไม่รู้วิธีชุบชีวิตสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
และพวกคุณไม่สามารถชุบชีวิตผืนป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์ซึ่งตอนนี้กลายเป็นทะเลทรายไปแล้ว
ถ้าพวกคุณไม่รู้วิธีซ่อมมัน ก็ได้โปรด หยุดทำลายมันเถิด

ณ ตอนนี้ คุณคือตัวแทนของรัฐบาลประเทศของคุณ นักธุรกิจ ผู้จัดการ นักข่าว นักการเมือง
แต่จริงๆแล้วพ่อและแม่ของคุณ พี่น้องของคุณ ลุงป้าน้าอาของคุณ และพวกคุณทั้งหลาย ก็คือลูกกันทั้งนั้น
ฉันเป็นแค่เด็ก แต่ฉันรู้ว่าเราคือครอบครัวใหญ่ถึง 5 พันล้านชีวิต
แต่แท้ที่จริงแล้วมีถึง 30 ล้านสายพันธุ์ต่างหาก พรมแดน และรัฐบาลไม่มีทางแบ่งแยกเราได้

ฉันเป็นเพียงแค่เด็ก ที่รู้ว่าเรากำลังเผชิญสิ่งนี้ร่วมกัน และควรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อเป้าหมายเดียว
ตอนฉันโกรธ ฉันก็ยังไม่ตาบอด และตอนฉันกลัว ฉันก็ไม่เกรงกลัวที่จะบอกให้โลกรู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไร
ในประเทศของฉัน เราสร้างทางเลือกเยอะเกินไป
เราซื้อแล้วก็ทิ้ง ซื้อแล้วก็ทิ้ง และแถมประเทศทางเหนือก็ไม่แบ่งปันให้กับผู้ด้อยโอกาส
แม้ว่าเราจะมีมากเกินพอแล้ว เราไม่กล้าที่จะแบ่ง เราไม่กล้าที่จะแบ่งความรวยให้คนอื่นบ้าง

ในแคนาดา เรามีชีวิตที่ครบครัน เรามีอาหาร, น้ำและที่อยู่อาศัยมากมาย
เรามีนาฬิกาข้อมือ จักรยาน คอมพิวเตอร์ และทีวี ไม่กี่วันก็เบื่อ
สองวันก่อน ที่บราซิลนี้แหละ เราถึงกับต้องช็อค เมื่อเห็นเด็กบางคนต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน
และนี้คือสิ่งที่เด็กคนหนึ่งบอกกับฉัน หนูหวังว่าหนูจะรวย
และถ้าหนูรวยจริง หนูจะให้อาหาร, เสื้อผ้า, ยา, ที่อยู่ และความรักความห่วงใยให้กับเด็กข้างถนนทั้งหมด
ถ้าขนาดเด็กข้างถนนที่ไม่มีอะไรเลย ยังอยากที่จะแบ่งปัน
แล้วทำไมเราผู้ซึ่งมีทุกสิ่ง กลับยังโลภกันได้เช่นนี้

ฉันหยุดคิดไม่ได้ ว่านี้ คื่อ เด็กในวัยเดียวกับฉัน ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่เกิด
ซึ่งฉันก็สามารถเป็นเด็กพวกนั้นที่อาศัยอยู่ที่ฟาเวลวัส ริโอ ได้เช่นกัน
ฉันสามารถเป็นเด็กอดอยากที่โซมาเลียได้
หรือเป็นเหยื่อของสงครามที่ตะวันออกกลางก็ได้
หรือขอทานในอินเดีย

ฉันเป็นเพียงเด็กที่รู้ว่าเงินทุนสงคราม ควรจะนำมาใช้ตอบคำถามเกี่ยวกับสิ่วแวดล้อม และจัดหาที่อยู่อาศัย
โลกมันจะน่าอยู่ขึ้นมากแค่ไหน คุณลองนึกดู

ที่โรงเรียน แม้แต่อนุบาล คุณสอนให้เราปฏิบัติยังไงต่อโลก
คุณสอนให้เราห้ามเล่นกับคนอื่น สอนให้คิด สอนให้เคารพคนอื่น สอนให้เก็บกวาดสิ่งที่ทำ
สอนว่าห้ามทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่น ให้แบ่ง อย่างเป็นคนงก
แล้วทำไมคุณถึงทำสิ่งที่คุณห้ามไม่ให้เราทำล่ะ

จงตะหนักว่าทำไมคุณถึงเข้าร่วมประชุมที่นี่ คุณทำไปเพื่อใคร เราคือลูกหลานของคุณ
คุณเป็นคนตัดสินว่า คุณอยากอยู่บนโลกแบบไหนในอนาคต
พ่อแม่ควรจะปลอบใจลูกด้วยการพูดว่า ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น โลกยังไม่แตกซักหน่อย พ่อกับแม่ทำดีที่สุดแล้ว
แต่ฉันว่า พวกคุณคงจะพูดอย่างนั้นกับเราไม่ได้แล้วล่ะ
เด็กอย่างพวกเราเคยสำคัญกับพวกคุณบ้างไหม
พ่อของฉันบอกเสมอว่า ลูกคือสิ่งที่ลูกทำ ไม่ใช่สิ่งที่ลูกพูด
ก็นั่นแหละ สิ่งที่พวกคุณทำ ทำให้พวกเขาร้องไห้ทุกกลางคืน
คุณออกไปพูดว่าคุณรักเรา
แต่ฉันขอท้าคุณเลย ขอเถอะ ช่วยทำอะไรให้สมกับคำพูดหน่อย ขอบคุณค่ะ

The girl who silenced the world for 6 minutes
by Severn Cullis-Suzuki

21



ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีที่ ๑๓ ฉบับที่๑๕๒ สิงหาคม ๒๕๕๖

22



ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีที่๑๓ ฉบับที่ ๑๔๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖

23



ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีที่๑๓ ฉบับที่ ๑๕๒ สิงหาคม ๒๕๕๖

24



ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีที่๑๓ ฉบับที่ ๑๕๒ สิงหาคม ๒๕๕๖

25



ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีที่ ๑๓ ฉบัยที่๑๔๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖

26


ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๑๕๓ กันยายน ๒๕๕๖

27



ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีที่ ๑๓ ฉบับที่๑๔๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖

28




ธรรมลีลา ชีวิตดีสุขภาพดี
ปีืที่ ๑๓ ฉบับที่ ๑๕๓ กันยายน ๒๕๕๖

29
นานมาแล้ว มีต้นแอปเปิ้ลต้นใหญ่ต้นหนึ่ง มีเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งชอบมาเล่นที่นี่ทุกวัน เขาปีนขึ้นไปบนต้นไม้ เขากินลูกแอปเปิ้ล และงีบหลับใต้ร่มเงา
เด็กน้อยชอบต้นไม้ และต้นไม้ก็ชอบเล่นกับเด็กชาย เวลาผ่านไป เด็กชายโตขึ้น และไม่มีเวลามาเล่นเหมือนเดิม

วันหนึ่งเด็กชายกลับมาหาต้นไม้ สีหน้าดูเศร้าสร้อย
ต้นไม้เชิญชวน "มาเล่นกันเถอะ"
เด็กชายตอบ "ฉันไม่ใช่เด็กอีกต่อไป ฉันไม่วิ่งเล่นรอบต้นไม้แล้ว ฉันอยากได้ของเล่น แต่ฉันไม่มีเงินไปซื้อ"
ต้นไม้ตอบ "ฉันเสียใจที่ฉันไม่มีเงิน แต่เธอสามารถเก็บผลแอปเปิ้ลไปขาย จะได้มีเงินไงหล่ะ"
เด็กชายรู้สึกตื่นเต้น เขาเก็บแอปเปิ้ลไปขายอย่างมีความสุข หลังจากนั้นเด็กชายก็ไม่ได้กลับมาหาต้นแอปเปิ้ลอีกเลย

จนกระทั่งวันหนึ่ง เด็กชายเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มกลับมาหาต้นไม้ ต้นไม้ตื่นเต้นมากและเชิญชวน "มาเล่นกันเถอะ"
"ฉันไม่มีเวลาพอที่จะเล่น ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัว ฉันต้องการมีบ้าน เธอช่วยฉันได้ไหมต้นไม้"

"ฉันเสียใจที่ฉันไม่มีบ้านให้เธอ แต่เธอสามารถต้ดกิ่งก้านของฉันไปสร้างบ้านได้"
ชายหนุ่มดีใจมาก ตัดกิ่งก้านต้นไม้ไปทั้งหมดแล้วจากไปอย่างมีความสุข ต้นไม้ดีใจมากที่เห็นเขามีความสุข แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่กลับมาหาต้นไม้อีก ปล่อยให้ต้นไม้อยู่ลำพังอย่างโดดเดี่ยวและเศร้าโศก

ฤดูร้อนหนึ่งมาถึง ชายคนเดิมกลับมา ต้นไม้มีความสุขมาก ต้นไม้เชิญชวน "มาเล่นกันเถอะ"
ผู้ชายกล่าวว่า "ฉันเริ่มแก่แล้ว ฉันต้องการล่องเรือเพื่อพักผ่อน ต้นไม้เธอหาเรือให้ฉันได้ไหม"
"ใช้ลำต้นของฉันทำเรือได้เลย เธอจะได้แล่นเรืออย่างมีความสุข"

ผู้ชายจึงตัดต้นแอปเปิ้ลมาทำเรือ เขาล่องเรือไปไกล และ ไม่เคยกลับมาอีกเป็นเวลานาน

ในที่สุด ผู้ชายก็กลับมาในอีกหลายปีต่อมา ต้นไม้พูดว่า "ฉันเสียใจที่ฉันไม่มีอะไรเหลือให้เธอใช้ประโยชน์ได้อีกแล้ว ไม่มีแม้แต่ลูกแอปเปิ้ลให้เธอได้กิน"
"ไม่เป็นไร เพราะฉันก็ไม่มีฟันเหลือที่จะกัดแอปเปิ้ลแล้ว"

"ฉันไม่มีลำต้นให้เธอได้ปีนอีกแล้ว" "ฉันแก่เกินที่จะปีนแล้ว"
"ฉันไม่มีอะไรให้เธออีกแล้วจริงๆ ยกเว้นแต่รากแก่ๆที่ใกล้จะหมดอายุแล้ว" ต้นไม้พูดพร้อมกับหลั่งน้ำตา
"ฉันไม่ต้องการอะไรอีกต่อไปแล้ว แค่ต้องการที่ๆจะได้พักบ้าง เพราะฉันเหนื่อยมามากแล้ว"

"งั้นดีแล้ว รากแก่ๆของฉันเป็นที่ๆดีที่สุดสำหรับเอนหลังพักผ่อน มานั่งลงตรงนี้เถิด แล้วพักเสีย" ผู้ชายนั่งลง ต้นไม้ดีใจมากยิ้มทั้งน้ำตา

เรื่องนี้เป็นชีวิตของเราทุกคน ต้นไม้ก็เหมือนกับพ่อแม่ของเรา ตอนที่เราเป็นเด็ก เราชอบที่จะเล่นกับพ่อแม่ เมื่อเราโตขึ้น เราก็ไปจากพ่อแม่ แต่จะกลับมาหาท่าน เมื่อเราต้องการความช่วยเหลือหรือต้องการอะไรจากท่าน แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พ่อแม่จะรอเราอยู่เสมอ และให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการ เท่าที่ท่านจะสามารถหาให้เราได้ เพื่อทำให้เรามีความสุข

คุณอาจคิดว่า เด็กชายคนนี้ใจดำกับต้นไม้ แต่นั่นก็เป็นวิถีทางที่บางครั้งเราก็ปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเรา เรามักละเลยท่าน ไม่เคยแสดงความซาบซึ้งต่อสิ่งที่ท่านทำให้เรา จนกระทั่ง มันสายเกินไป ใช่ไหม...

เครดิต : Learning Petals

30


When I born, I black   เมื่อแรกเกิด ฉันผิวดำ
When I grow up, I black   เมื่อฉันโตขึ้น ฉันผิวดำ
When I go in Sun, I black   เมื่อฉันโดนแดดแผดเผา ฉันผิวดำ  
When I scared, I black   เมื่อฉันกลัว ฉันผิวดำ
When I sick, I black   เมื่อฉันเจ็บป่วย ฉันผิวดำ
And when I die, I still black   เมื่อฉันตาย ฉันก็ยังผิวดำ

And you white fellow   เพื่อนผิวขาวของฉันเอ๋ย
When you born, you pink   เมื่อแรกเกิด ผิวเธอสีชมพู
When you grow up, you white   เมื่อเธอโตขึ้น ผิวเธอสีขาว
When you go in sun, you red   เมื่อเธอโดนแดดแผดเผา ผิวเธอสีแดง
When you cold, you blue   เมื่อเธอเหน็บหนาว ผิวเธอสีม่วง
When you scared, you yellow   เมื่อเธอหวาดกลัว ผิวเธอสีเหลือง
When you sick, you green   เมื่อเธอเจ็บป่วย ผิวเธอสีเขียว
And when you die, you grey   เมื่อเธอตาย ผิวเธอสีเทา

And you calling me colored??   แล้วเธอ ยังจะเรียกพวกฉันว่า”ผิวสี”อีกหรือ?      

(Nominated by UN as the best Poem of 2006 /Written by an African kid)

หน้า: 1 [2] 3 4