8881
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / เรียนรู้ยาไทยอย่างใส่ใจ ตอบโจทย์คนไทยสุขภาพดี
« เมื่อ: 14 สิงหาคม 2011, 20:50:17 »
การรวบรวมองค์ความรู้ทางการแพทย์แผนไทยนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการแพทย์แผนไทยให้เชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคมปัจจุบัน สมกับที่บรรพบุรุษได้คิดค้นวิธีการจนได้องค์ความรู้ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ ในการดูแลสุขภาพตามแบบไทย กลายเป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์ทางการแพทย์พื้นบ้าน ที่ผสมผสานวัฒนธรรมและความเชื่อได้อย่างลงตัว
ในอดีตผู้คนมักไม่ได้เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย นานาชนิดอย่างที่เป็นกันทุกวันนี้ ไม่มีโรคร้าย กลายพันธุ์ และไม่มีโรคแฝงมากับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ชาวบ้านก็ใช้ชีวิตกันได้อย่างสงบ ทำมาหาเลี้ยงชีพตามอัตภาพ เมื่อเจ็บป่วยก็เก็บหา สมุน ไพรมาต้มกิน ถ้าอาการมากหน่อยก็จะพาไปหาหมอพระหรือหมอพื้นบ้านเพื่อให้รักษา และจัดยาสมุนไพรให้รับประทานไม่นานอาการเจ็บป่วยก็ทุเลา
เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคที่การแพทย์แผนไทย ภูมิ ปัญญาไทยจะต้องอิงความรู้ควบคู่ไปกับการวิจัยพัฒนาหรือความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ที่สากลยอมรับในด้านความสมบูรณ์ทางวิชาการ และความปลอดภัยของผู้บริโภค แล้วองค์ความรู้ด้านการรักษาและการใช้ยาสมุนไพรแต่ดั้งเดิมจึงไม่เพียงพอ จำเป็นจะต้องพัฒนาไปอย่างควบ คู่ อาทิ การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน เนื้อ หาต้องตอบโจทย์ได้ทั้งความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนปัจจุบัน หรือเชื่อมโยงอย่างมีเหตุมีผล
ประเทศไทยก็ได้มีการบรรจุยาสามัญประจำบ้านไว้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข นับตั้ง แต่ปี พ.ศ.2497 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน รวมถึงบัญชียาหลักแห่งชาติ แม้จะน้อยไปนิด แต่ก็เป็นก้าวย่างที่มีความหมายต่อวงการแพทย์แผนไทย
การพัฒนาการแพทย์แผนไทย ไม่ใช่หน้าที่ใคร หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น แต่แพทย์แผนไทยในฐานะที่เป็นผู้ดำรงไว้ซึ่งวิธีการรักษาและตรวจโรค เป็นเสมือนตัวแทนของวงการแพทย์แผนไทย ก็ต้องยึดมั่นในจรรยาเพื่อให้การแพทย์แผนไทยเข้าไปเป็นทางเลือกหนึ่งของคนไทยยุคปัจจุบัน
หัวใจหลักของการใช้ยาไทยเพื่อการรักษาโรคให้มีประสิทธิภาพ คือ หมอต้องวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง และวางยาแม่นเป็นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งมาจากการปรุงยา ยาที่ปรุงรักษาโรคนั้นต้องใช้ให้ถูกส่วน ถูกต้น ไม่ใช่เอาส่วนต้นไปแทนราก หรือเอาใบไปแทนเปลือก เพราะในยาสมุนไพรส่วนต่างๆ จะมีสรรพคุณแตกต่างกันไป
ประการสำคัญต่อมา เมื่อได้ตัวยาตามที่ต้องการก็ต้องรู้จักการทำความสะอาด เพื่อรักษาคุณค่าของสาระสำคัญในตัวยา การอบ บด ยา ต้องทำด้วยความประณีตและใส่ใจ และมีความจริงใจเพื่อต้องการให้ผู้ป่วยหายจากโรคภัยไข้เจ็บ
ปัจจุบันตลาดยาสมุนไพรในภาคเอกชนเปิดกว้าง นับเป็นนิมิตอันดีที่จะเห็นยาไทยเติบโตสร้าง เศรษฐกิจ แต่มันก็เปรียบเสมือนดาบ 2 คม เพราะผู้ที่ขายและผลิตไม่มีความรู้ที่ดีในการทำยาก็ทำให้ยานั้นกลายสภาพเป็นยาพิษแทนได้
มีนักเรียนแพทย์แผนไทยจำนวนมากที่ตั้งใจเล่าเรียนเพื่อออกมาเป็นผู้ประกอบการค้าขายยา ผลิตยาและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรจำหน่าย และทำการวินิจฉัยโรคเอง โดยยังขาดความรู้เวชกรรม จะเกิดอะไรขึ้นต่อวงการแพทย์แผนไทย
เมื่อย่างก้าวไปทางไหน จะเห็นแคปซูลขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร มะรุมและอื่นๆ อีกมากมาย หรืออย่างประชาสัมพันธ์ให้กินขมิ้นชันเพื่อต้านอนุมูลอิสระ แต่ผู้กินผู้ใช้ไม่เคยรู้สภาพร่างกายตนเองว่าเหมาะที่จะกินหรือไม่ หรือกินเพื่ออะไร นอกจากต้องการต้านอนุมูลอิสระ ในที่สุดคนเหล่านั้นก็ต้องประสบกับโรคภัยไข้เจ็บตามมาจริงๆ
ฉะนั้น ผู้บริโภคอย่าเพิ่งตัดสินใจสุ่มเสี่ยงต่อ ชีวิตและร่างกายตนเอง ควรต้องปรึกษาหมอแพทย์ไทยจริงๆ บอกเล่าอาการเพื่อให้หมอวินิจฉัยโรคและอาการแท้จริงให้พบเสียก่อน ค่อยกินยาสมุน ไพรก็ยังไม่สายเกินการ
เหล่าแพทย์แผนไทยทั้งหลายเองก็ต้องตระหนักด้วยว่าเรียนแพทย์แผนไทยไม่ใช่เพียง เพื่อมาขายยา อย่างที่เกลื่อนตลาดในทุกวันนี้
เภสัชกรรมไทยรุ่นใหม่จำนวนมาก หันมา ตั้งตำรับยาใหม่ๆ บนพื้นฐานความเข้าใจในการใช้ยาที่ผิดเพี้ยน ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ยาใช้ไม่ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพดีเท่าที่ควร ตำรับยาดีๆ ไม่ต้องไปหาที่ไหน แต่อยู่ในคัมภีร์ตำราต่างๆ ที่ทุกท่านเรียน ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์เวชศาสตร์วัณณา คัมภีร์แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ คัมภีร์ของพระยาพิษณุประสาทเวช คัมภีร์ของอาจารย์คล้อย ทรงบัณฑิตย์ คัมภีร์เหล่านี้ต่างบันทึกตำรับยารักษาโรคไว้จำนวนมากมาย ถ้าผู้เรียนสามารถนำมาใช้ได้อย่างแตกฉานก็รักษาโรคหาย ผู้ที่เรียนแพทย์แผนไทยทั้งหลายลองหันมามองขุมทรัพย์ทางปัญญาเหล่านี้แล้วตีโจทย์ให้แตก ทุกท่านจะร่วมเป็นหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพยาไทยให้ก้าวหน้าก้าวไกลได้ ทำให้การแพทย์แผนไทยผงาดได้
ในระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม-4 กันยายน 2554 จะมีการจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 8 ขึ้น ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ปีนี้จัดงานภายใต้แนวคิด ยาไทย เด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดี ผู้บริโภคลองไปค้นหาคำตอบของยาไทยที่มีคุณภาพอย่างแท้จริงได้.
ไทยโพสต์ 14 สิงหาคม 2554
ในอดีตผู้คนมักไม่ได้เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย นานาชนิดอย่างที่เป็นกันทุกวันนี้ ไม่มีโรคร้าย กลายพันธุ์ และไม่มีโรคแฝงมากับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ชาวบ้านก็ใช้ชีวิตกันได้อย่างสงบ ทำมาหาเลี้ยงชีพตามอัตภาพ เมื่อเจ็บป่วยก็เก็บหา สมุน ไพรมาต้มกิน ถ้าอาการมากหน่อยก็จะพาไปหาหมอพระหรือหมอพื้นบ้านเพื่อให้รักษา และจัดยาสมุนไพรให้รับประทานไม่นานอาการเจ็บป่วยก็ทุเลา
เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคที่การแพทย์แผนไทย ภูมิ ปัญญาไทยจะต้องอิงความรู้ควบคู่ไปกับการวิจัยพัฒนาหรือความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ที่สากลยอมรับในด้านความสมบูรณ์ทางวิชาการ และความปลอดภัยของผู้บริโภค แล้วองค์ความรู้ด้านการรักษาและการใช้ยาสมุนไพรแต่ดั้งเดิมจึงไม่เพียงพอ จำเป็นจะต้องพัฒนาไปอย่างควบ คู่ อาทิ การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน เนื้อ หาต้องตอบโจทย์ได้ทั้งความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนปัจจุบัน หรือเชื่อมโยงอย่างมีเหตุมีผล
ประเทศไทยก็ได้มีการบรรจุยาสามัญประจำบ้านไว้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข นับตั้ง แต่ปี พ.ศ.2497 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน รวมถึงบัญชียาหลักแห่งชาติ แม้จะน้อยไปนิด แต่ก็เป็นก้าวย่างที่มีความหมายต่อวงการแพทย์แผนไทย
การพัฒนาการแพทย์แผนไทย ไม่ใช่หน้าที่ใคร หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น แต่แพทย์แผนไทยในฐานะที่เป็นผู้ดำรงไว้ซึ่งวิธีการรักษาและตรวจโรค เป็นเสมือนตัวแทนของวงการแพทย์แผนไทย ก็ต้องยึดมั่นในจรรยาเพื่อให้การแพทย์แผนไทยเข้าไปเป็นทางเลือกหนึ่งของคนไทยยุคปัจจุบัน
หัวใจหลักของการใช้ยาไทยเพื่อการรักษาโรคให้มีประสิทธิภาพ คือ หมอต้องวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง และวางยาแม่นเป็นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งมาจากการปรุงยา ยาที่ปรุงรักษาโรคนั้นต้องใช้ให้ถูกส่วน ถูกต้น ไม่ใช่เอาส่วนต้นไปแทนราก หรือเอาใบไปแทนเปลือก เพราะในยาสมุนไพรส่วนต่างๆ จะมีสรรพคุณแตกต่างกันไป
ประการสำคัญต่อมา เมื่อได้ตัวยาตามที่ต้องการก็ต้องรู้จักการทำความสะอาด เพื่อรักษาคุณค่าของสาระสำคัญในตัวยา การอบ บด ยา ต้องทำด้วยความประณีตและใส่ใจ และมีความจริงใจเพื่อต้องการให้ผู้ป่วยหายจากโรคภัยไข้เจ็บ
ปัจจุบันตลาดยาสมุนไพรในภาคเอกชนเปิดกว้าง นับเป็นนิมิตอันดีที่จะเห็นยาไทยเติบโตสร้าง เศรษฐกิจ แต่มันก็เปรียบเสมือนดาบ 2 คม เพราะผู้ที่ขายและผลิตไม่มีความรู้ที่ดีในการทำยาก็ทำให้ยานั้นกลายสภาพเป็นยาพิษแทนได้
มีนักเรียนแพทย์แผนไทยจำนวนมากที่ตั้งใจเล่าเรียนเพื่อออกมาเป็นผู้ประกอบการค้าขายยา ผลิตยาและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรจำหน่าย และทำการวินิจฉัยโรคเอง โดยยังขาดความรู้เวชกรรม จะเกิดอะไรขึ้นต่อวงการแพทย์แผนไทย
เมื่อย่างก้าวไปทางไหน จะเห็นแคปซูลขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร มะรุมและอื่นๆ อีกมากมาย หรืออย่างประชาสัมพันธ์ให้กินขมิ้นชันเพื่อต้านอนุมูลอิสระ แต่ผู้กินผู้ใช้ไม่เคยรู้สภาพร่างกายตนเองว่าเหมาะที่จะกินหรือไม่ หรือกินเพื่ออะไร นอกจากต้องการต้านอนุมูลอิสระ ในที่สุดคนเหล่านั้นก็ต้องประสบกับโรคภัยไข้เจ็บตามมาจริงๆ
ฉะนั้น ผู้บริโภคอย่าเพิ่งตัดสินใจสุ่มเสี่ยงต่อ ชีวิตและร่างกายตนเอง ควรต้องปรึกษาหมอแพทย์ไทยจริงๆ บอกเล่าอาการเพื่อให้หมอวินิจฉัยโรคและอาการแท้จริงให้พบเสียก่อน ค่อยกินยาสมุน ไพรก็ยังไม่สายเกินการ
เหล่าแพทย์แผนไทยทั้งหลายเองก็ต้องตระหนักด้วยว่าเรียนแพทย์แผนไทยไม่ใช่เพียง เพื่อมาขายยา อย่างที่เกลื่อนตลาดในทุกวันนี้
เภสัชกรรมไทยรุ่นใหม่จำนวนมาก หันมา ตั้งตำรับยาใหม่ๆ บนพื้นฐานความเข้าใจในการใช้ยาที่ผิดเพี้ยน ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ยาใช้ไม่ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพดีเท่าที่ควร ตำรับยาดีๆ ไม่ต้องไปหาที่ไหน แต่อยู่ในคัมภีร์ตำราต่างๆ ที่ทุกท่านเรียน ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์เวชศาสตร์วัณณา คัมภีร์แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ คัมภีร์ของพระยาพิษณุประสาทเวช คัมภีร์ของอาจารย์คล้อย ทรงบัณฑิตย์ คัมภีร์เหล่านี้ต่างบันทึกตำรับยารักษาโรคไว้จำนวนมากมาย ถ้าผู้เรียนสามารถนำมาใช้ได้อย่างแตกฉานก็รักษาโรคหาย ผู้ที่เรียนแพทย์แผนไทยทั้งหลายลองหันมามองขุมทรัพย์ทางปัญญาเหล่านี้แล้วตีโจทย์ให้แตก ทุกท่านจะร่วมเป็นหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพยาไทยให้ก้าวหน้าก้าวไกลได้ ทำให้การแพทย์แผนไทยผงาดได้
ในระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม-4 กันยายน 2554 จะมีการจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 8 ขึ้น ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ปีนี้จัดงานภายใต้แนวคิด ยาไทย เด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดี ผู้บริโภคลองไปค้นหาคำตอบของยาไทยที่มีคุณภาพอย่างแท้จริงได้.
ไทยโพสต์ 14 สิงหาคม 2554