This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
Messages - story
หน้า: 1 ... 583 584 [585] 586 587 ... 648
8761
« เมื่อ: 08 กันยายน 2011, 21:49:40 »
ลอรีอัลมอบทุน “สตรีในงานวิทยาศาสตร์” ปีที่ 9 แก่ 4 นักวิจัยหญิงในสาขาวัสดุศาสตร์และวิทยาศาสตร์ชีวภาพ แพทย์รามาผู้ริเริ่มวิจัยความเกี่ยวข้องปริมาณสารพันธุกรรมบนโครโมโซมกับโรคทางพันธุกรรม นักวิจัยไบโอเทคผู้ศึกษาความสัมพันธ์ระบบโปรตีนกุ้งและไวรัส นักวัสดุศาสตร์ผู้วิจัยสารเติมแต่งเพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ฉลาด และนักวิจัยนาโนเทคผู้พัฒนาอนุภาคนาโนเพื่อใช้ห่อหุ้มสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด มอบทุนโครงการทุนวิจัยลอรีอัลประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (For Woman in Science) ด้วยความร่วมมือกับสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ครั้งที่ 9 แก่ 4 นักวิจัยหญิงไทยในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Science) และสาขาวัสดุศาสตร์ (Material Science) โดยทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ได้ร่วมงานเปิดตัวผู้ได้รับรางวัลเมื่อวันที่ 7 ก.ย.54 ณ โรงแรมแกรนด์ มิลเลนเนียม ผู้ได้รับรางวัลในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ได้แก่ ดร.พญ.ณฐินี จินาวัฒน์ จากสำนักงานวิจัยวิชาการและนวัตกรรม คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และดร.แสงจันทร์ เสนาปิน จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ส่วนผู้ได้รับรางวัลในสาขาวัสดุศาสตร์ ได้แก่ ผศ.ดร.หทัยกานต์ มนัสปิยะ จากวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ผลงานของ ดร.พญ.ณฐินี คืองานวิจัยในการศึกษาความเกี่ยวข้องของปริมาณสารพันธุกรรมดีเอ็นเอ (DNA) บนโครโมโซมกับโรคทางพันธุกรรม โดยใช้เทคนิคใหม่ในการตรวจดีเอ็นเอทั้งหมดที่เรียกว่า “จีโนม-ไวด์ เอสเอ็นพี อาร์เรย์” (Genome-wide SNP array) ซึ่งเธอบอกทีมข่าววิทยาศาสตร์ฯ ว่าเทคนิคนี้ต่างจากเทคนิคเดิมที่แยกโครโมโซมออกมาแล้วดูด้วยตาเปล่าผ่านกล้องโทรทรรศน์ ซึ่งใช้กันมากว่า 50 ปีแล้ว แต่เทคนิคใหม่นั้นจะใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการวิเคราะห์ ซึ่งจะให้ผลที่ละเอียดอีกกว่า และทราบความผิดปกติเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นบนตำแหน่งโครโมโซมได้ “เดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีใหม่ที่เราจะหั่นดีเอ็นเอเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่เข้าไปในแผ่นสไลด์ จากนั้นนำไปวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะวิเคราะห์ออกมาได้อย่างละเอียด แม้มีปริมาณดีเอ็นเอขาดหรือเกินเพียงเล็กน้อย ซึ่งต่างประเทศเริ่มนำมาใช้ตรวจคนไข้เมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว และเริ่มแพร่หลายเมื่อปี 2551 โดยในสหรัฐฯ ถือว่าวิธีนี้เป็นตัวชี้นำในการตรวจวัดคนไข้ที่เป็นโรคทางพันธุกรรมแต่ไม่มีอาการชี้ชัด” ดร.พญ.ณฐินีกล่าว ทั้งนี้ ดร.พญ.ณฐินี กล่าวว่าได้เริ่มงานวิจัยนี้มา 2-3 เดือนแล้ว โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่พบว่าคนในครอบครัวมีอาการปัญญาอ่อนหรือดาวน์ซินโดรม (Down syndrome) อย่างน้อย 1-2 คนหลายชั่วรุ่น แต่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่ายีนตัวใดเป็นสาเหตุของโรค ซึ่งหากการศึกษาครั้งนี้สำเร็จอาจได้พบยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคเหล่านี้ ผลที่ได้จะนำไปสู่การวินิจฉัยโรคและให้คำปรึกษาเรื่องพันธุกรรม รวมถึงกรณีที่ผู้เข้ารับการปรึกษาต้องการมีทายาทต่อไป ทางด้าน ดร.อุรชา เน้นงานวิจัยด้านการออกแบบการกักเก็บสาร (encapsulation) ในรูปอนุภาคนาโนเพื่อรักษาฤทธิ์ทางชีวภาพและควบคุมการปลดปล่อยสาร จากเดิมที่สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจะเสื่อมสลายและไม่คงตัว หากไม่มีสารอื่นมาห่อหุ้ม โดยสารที่นำใช้ห่อหุ้มที่เพื่อกักเก็บสารนั้นจะเน้นการใช้ไขมันและน้ำมัน ซึ่งตัวอย่างผลงานที่จะนำไปใช้จริงแล้วคือครีมและแผ่นแปะที่มีสารสกัดจากพริก ซึ่งปัจจุบันมีนำสารแคปไซซิน (Capsaicin) ในพริกที่ทำให้รู้สึกแสบร้อนไปใช้เป็นยาบรรเทาโรคข้ออักเสบ แต่เดิมไม่สามารถควบคุมการปลดปล่อยปริมาณยาได้ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแสบร้อนและทรมาน แต่เมื่อนำอนุภาคนาโนไปกักเก็บได้ช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องแปะหรือทายาบ่อยๆ ส่วน ผศ.ดร.หทัยกานต์ ทำงานวิจัยด้านการคิดค้นวัสดุเติมแต่งชนิดใหม่เพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ฉลาด (smart packaging) โดยเน้นการใช้วัสดุธรรมชาติในประเทศ เช่น แร่ดินเหนียวหรือนาโนเคลย์ (nano clay) เป็นต้น และได้พัฒนาวัสดุต้นแบบเป็นบรรจุภัณฑ์เพื่อยืดอายุผักและผลไม้ ตลอดจนใช้เป็นเซนเซอร์วัดความสดของพืชผลทางการเกษตร แต่ยังมีคำถามว่าวัสดุที่พัฒนาขึ้นนั้นมีความปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งต้องส่งทดสอบและทำการศึกษาต่อไป โดยคาดว่าจะได้พบประโยชน์จากวัสดุเหล่านี้มากขึ้นไปอีก สำหรับผลงาน ดร.แสงจันทร์นั้นเป็นงานวิจัยเพื่อแก้ปัญหาในอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งจากการระบาดของไวรัส โดยศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรตีน (Protein-protein interaction) ของกุ้ง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรตีนของไวรัส และปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรตีนของไวรัสและกุ้ง ด้วยวิธีที่เรียกว่า “ยีสต์ทูไฮบริด (Yeast to Hybrid assay) ซึ่งเมื่อมีการจับกันของโปรตีนที่ทดสอบในเซลล์ยีสต์จะพบการเปลี่ยนแปลงที่สามารถบอกปฏิสัมพันธ์ระหว่างโปรตีนได้ และความรู้ที่ได้นี้จะนำไปสู่วิธีในการกำจัดหรือยับยั้งไวรัสที่ระบาดในกุ้งได้ ทั้งนี้ ลอรีอัลได้มอบทุนแก่นักวิจัยสตรีไทยภายใต้โครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2545 และได้มอบทุนอย่างต่อเนื่องทุกปีแก่นักวิจัยทั้งหมด 35 คน ด้วยทุนวิจัยละ 200,000 บาท โดยนักวิจัยสตรีที่มีสิทธิรับทุนต้องมีอายุระหว่าง 25-40 ปี และผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2554 นี้จะได้รับรางวัลจาก ศ.ดร.อาดา โยนาธ (Dr.Ada Yonath) นักวิจัยสตรีชาวอิสราเอล ผู้ได้รับรางวัลทุนวิจัยลอรีอัล-ยูเนสโก “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2551 และได้รับรางวัลโนเบล สาขาเคมี ในปี 2552 และเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีทุนวิจัยระดับสากลคือ โครงการทุนวิจัยลอรีอัล-ยูเนสโก “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (L’Oreal-UNESCO Award for Women in Science) ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ทุนสำหรับนักวิจัยสตรีรุ่นใหม่ โดยคัดเลือกตัวแทนจาก 5 ทวีปๆ ละ 3 คนทั่วโลก และทุนวิจัยสำหรับนักวิจัยสตรีที่มีผลงานเด่นชัดยาวนานอีกทวีปละ 1 คน และได้ดำเนินการมอบทุนมาเป้นปีที่ 13 แล้ว และมีนักวิจัยสตรีที่ได้รับการสนับสนุนทุนดังกล่าวทั้งหมด 1,086 คน ใน 103 ประเทศ
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กันยายน 2554
8762
« เมื่อ: 08 กันยายน 2011, 21:38:44 »
เมื่อเวลา16.00 น.ที่รัฐสภา นายอร่าม อามระดิษ นายกสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้แทนเสนอกฎหมาย พร้อมกับประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง ได้นำรายชื่อประชาชนจำนวน 15,000 คน ยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.สมุนไพรแห่งชาติ พ.ศ.. ต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เพื่อให้พิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 163
โดยร่าง พ.ร.บ.สมุนไพรแห่งชาติ พ.ศ...มีสาระสำคัญให้มีกฎหมายว่าด้วยสมุนไพรแห่งชาติ โดยที่ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ พืชสมุนไพร และองค์ความรู้ดั้งเดิมของบรรพบุรุษ ในการนำสมุนไพรไปใช้เพื่อประโยชน์ในการรักษาโรค การบรรเทาอาการ การส่งเสริมดูแลสุขภาพ และยังสามารถนำมาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ จึงควรมีการสนับสนุน พัฒนา ด้านองค์ความรู้และบุคลากร ให้มีศักยภาพในการผลิตยาสมุนไพร โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการสมุนไพรแห่งชาติ เพื่อกำหนดนโยบาย การพัฒนา การสนับสนุน ส่งเสริมตลอดถึงหลักเกณฑ์การดำเนินการเกี่ยวกับสมุนไพรอย่างครบวงจรและเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ให้มีสถาบันสมุนไพรแห่งชาติ และกองทุสมุนไพรแห่งชาติเพื่อเป็นหน่วยงานรับสนับสนุนและผิดชอบในการดำเนินการพัฒนาสมุนไพรไทยให้มีประสิทธิภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
แนวหน้า 8 กันยายน 2554
8763
« เมื่อ: 08 กันยายน 2011, 21:37:28 »
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ในเฟซบุ๊ค ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขเดินหน้ารื้อนโยบายเก็บ 30 บาทรักษาทุกโรคของผู้ใช้บริการสุขภาพถ้วนหน้าของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)กลับมาใช้ เล็งเก็บเงินเฉพาะกลุ่มคนอายุ 12-59 ปี ส่วนผู้ยากไร้ ผู้พิการและผู้สูงอายุบริการฟรีเหมือนเดิม
อินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 8 กันยายน 2554
8764
« เมื่อ: 08 กันยายน 2011, 21:35:38 »
สธ.จัดประชุมวิชาการประจำปี 2554 เปิดเวทีเผยแพร่องค์ความรู้ใหม่ที่ได้จากการศึกษาวิจัยในพื้นที่ พัฒนาศักยภาพบุคลากร หวังยกระดับการบริการด้านสุขภาพไทยให้เป็นผู้นำเมดิคัลฮับในเอเชีย วันนี้ (8 ก.ย.) ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน จังหวัดชลบุรี นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2554 “เทิดพระเกียรติ 84 พรรษา สุขภาพดีถ้วนหน้า ด้วยสาธารณสุขไทย” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 กันยายน 2554 มีแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ พยาบาล นักวิชาการและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศร่วมประชุมกว่า 4,000 คน นายวิทยา กล่าวว่า ปัจจุบันการแพทย์มีความก้าวหน้าและขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในอุตสาหกรรมภาคบริการ ซึ่งรวมถึงบริการทางการแพทย์ด้วย เพื่อแข่งขันกับต่างประเทศ ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขจึงจำเป็นต้องสร้างองค์ความรู้ใหม่โดยการศึกษาวิจัย เพื่อนำนวตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการตรวจ วินิจฉัยโรค และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพ ให้มากขึ้น เพื่อลดปัญหาการเจ็บป่วย ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลสุขภาพตนเอง รวมถึงพัฒนาคุณภาพมาตรฐานบริการรักษาพยาบาล นายวิทยา กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลสุขภาพประชาชนทั้งประเทศ จะต้องพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง การประชุมวิชาการในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสดีในการเผยแพร่วิชาการ การศึกษาวิจัยพัฒนาจากพื้นที่ต่างๆ สู่กลุ่มบุคลากรด้วยกัน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหา พัฒนาระบบบริการให้มีประสิทธิภาพ เป็นการยกระดับการบริการด้านสุขภาพของไทย ให้เป็นเมดิคัลฮับ (Medical Hub) ในเอเชียด้วย และเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 ขอให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข พร้อมใจสนองพระปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ต้องการให้ประชาชนมีสุขภาพดี แข็งแรง และพระราชกรณียกิจของพระองค์มาเป็นหลักในการทำบทบาทภารกิจหน้าที่รับผิดชอบให้ดีที่สุด เพื่อถวายเป็นเบื้องพระยุคลบาท ด้าน นพ.ไพจิตร กล่าวว่า การประชุมวิชาการครั้งนี้ มีการนำเสนอและประกวดผลงานศึกษาวิจัย 7 สาขา ได้แก่ การแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ การสาธารณสุข และการบริหารจัดการ รวม 507 เรื่อง ในจำนวนนี้เป็นนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ 205 เรื่อง นอกจากนี้ ยังมีการมอบรางวัลผลงานวิชาการยอดเยี่ยมประจำปี 2553 ทั้งหมด 5 รางวัล
รางวัลผลงานวิชาการยอดเยี่ยม 1 รางวัล ได้แก่ เรื่อง “ฝ่าวิกฤตตาติดเชื้อหลังผ่าตัดต้อกระจก โรงพยาบาลขอนแก่น” ของ นางพิมพ์วรา อัครเธียรสิน โรงพยาบาลขอนแก่น ได้รับโล่และเงินรางวัล 30,000 บาท
รางวัลวิชาการดีเด่น 3 รางวัล ได้รับโล่และเงินรางวัล 20,000 บาท ได้แก่ 1.เรื่องปริมาณไวรัสและระยะเวลาในการขับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิด เอ เอช1เอ็น1 หรือไข้หวัดใหญ่ 2009 ในผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) ขณะเกิดโรคระบาดในสถาบัน จังหวัดนครราชสีมา 2552 ของนพ.วิชัย ขัตติยวิทยากุล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา 2.เรื่องการพัฒนาการผลิตกุ้งจ่อม อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ของนางขวัญเนตร ศรีเสมอ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ 3.เรื่องการประดิษฐ์อุปกรณ์ช่วยขึ้น - ลงรถเข็นคนพิการ ของนางทัศวรรณ กันทาทอง โรงพยาบาลเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และ
รางวัลชมเชย 1 รางวัล ได้แก่ เรื่อง “ผลการลดระยะเวลาภายหลังการใช้ระบบทางด่วนสำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บรุนแรงในโรงพยาบาลกำแพงเพชร”ของนพ.สมเพ็ง โชคเฉลิมวงศ์ โรงพยาบาลกำแพงเพชร ได้รับโล่และเงินรางวัล 10,000 บาท นอกจากนี้กลุ่มสภาอุตสาหกรรมมาบตาพุต ยังขอเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหารือแก้ไขปัญหามาตาพุต โดยได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข หารือแทน ซึ่งทางผู้ประกอบการเรียกร้องขอให้กระทรวงสาธารณสุขรับเป็นกลางในการแก้ไข ปัญหา หลังจากที่ผ่านมาปัญหาดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง และในพื้นที่มีปัญหาเรื่องความหวาดระแวงของชาวบ้าน โดยคาดว่าจะมีหน่วยกลาง 4 ฝ่าย เข้ามาร่วมแก้ไข ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการ ชาวบ้าน และนักวิชาการ เพื่อหารือร่วมกัน โดยในอนาคตอาจเป็นโมเดลในการใช้แก้ไขปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวกับการประกอบอาชีพ ในนิคมอุสาหกรรมหลายพื้นที่ สำหรับสถานการณ์สุขภาพในปัจจุบัน ยังคงมีการติดตามปัญหาผลกระทบจากโรคที่เกิดขึ้นในพื้นที่ แต่ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน และได้มีการยกระดับรพ.มาบตาพุต ให้เป็นรพ.ขนาดใหญ่ 200 เตียงแล้ว
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 กันยายน 2554
8765
« เมื่อ: 07 กันยายน 2011, 23:29:42 »
องคมนตรี แนะเจ้าหน้าที่สาธารณสุข นำพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาปรับใช้ในการดูแลสุขภาพประชาชน วันนี้ (7 ก.ย.) ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน จังหวัดชลบุรี ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ได้ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “พระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่มีต่อการสาธารณสุขไทย” ในการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุขประจำปี 2554 ว่า งานสาธารณสุขเป็นงานที่ท้าทาย มีเป้าหมายในการดูแลสุขภาพของประชาชน ต้องทำให้เกิดประโยชน์และความสุขแก่ประชาชน โดยนำนวัตกรรมที่เป็นความรู้ใหม่ๆมาใช้และพัฒนาให้ดีขึ้น ศ.นพ.เกษม กล่าวต่อว่า งานสาธารณสุขได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รัชกาลที่ 1 เป็นต้นมา มีการตั้งโรงพยาบาลหลายแห่ง เช่น โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลพระมงกุฎ มีการรวบรวมคัมภีร์แพทย์รักษาโรค รวบรวมตำรายา ทั้งแผนตะวันตก และแผนไทย จากนั้นได้มีพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ และใน พ.ศ.2485 ได้ตั้งกระทรวงสาธารณสุขขึ้น ในรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งหน่วยแพทย์ เพื่อให้บริการแก่ประชาชนในถิ่นทุรกันดาร เช่น แพทย์หลวงเคลื่อนที่พระราชทาน หน่วยแพทย์พระราชทาน หน่วยจักษุแพทย์พระราชทาน หน่วยแขน-ขา เทียมพระราชทาน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่ผู้ประสบสาธารณภัย ให้มีการตั้งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ รวมถึงให้มีการพัฒนาการรักษา ควบคุมป้องกันโรคต่างๆ เช่น วัณโรค โรคเรื้อน อหิวาตกโรค นอกจากนี้ ยังมีการแพทย์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เช่น สาธารณสุขมูลฐาน การขาดสารไอโอดีน เป็นต้น ทั้งนี้ ศ.นพ.เกษมได้ยกตัวอย่างพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2511 ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ใจความว่า “ในการที่ท่านทั้งหลายออกไปประกอบการงานในการแพทย์ต่อไปนั้น ให้ถือว่างานของท่านมีส่วนผูกพัน รับผิดชอบต่อประชาชนส่วนรวม และต่อความเจริญของการแพทย์ไทยอย่างแน่นแฟ้น ท่านจะต้องตั้งใจปฏิบัติหน้าที่โดยเต็มความสามารถด้วยความเสียสละ และด้วยอุดมคติ พร้อมกับพยายามศึกษาหาความรู้และความเจริญก้าวหน้า ขอระลึกไว้เป็นนิจว่าจรรยาแพทย์เป็นวินัยที่มิได้มีการบังคับให้ทำตาม แต่ท่านต้องบังคับตัวของท่านเองให้ปฏิบัติตามให้ได้ และหากเมื่อใดท่านละเมิดจรรยาแพทย์เมื่อนั้นจะเกิดความเสื่อมเสียแก่ตัว แก่การแพทย์และแก่ประเทศชาติในที่สุด” ซึ่งพระราชดำรินี้สามารถที่จะปรับใช้กับการทำงานของชาวสาธารณสุขได้ นอกจากนี้ ยังมีการอภิปราย เรื่อง “ความต้องการครั้งสุดท้ายของชีวิต สิทธิปฏิเสธการรักษา” โดยคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง “ภาคีร่วมใจปกป้องเด็กไทย ไม่ท้องก่อนวัย” โดยกรมอนามัย เรื่อง “ความพร้อมรับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่” โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เรื่อง “จังหวัดใดสุขกว่าใคร” และ “ไอคิวทำอย่างไรให้ได้เกิน 100” โดยกรมสุขภาพจิต เรื่อง “อำเภอควบคุมโรค”โดยกรมควบคุมโรค และเรื่อง “การพัฒนาระบบการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ที่เหมาะสมและเท่าเทียม” โดยกรมการแพทย์
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กันยายน 2554
8766
« เมื่อ: 07 กันยายน 2011, 23:19:39 »
เรื่องความขัดแย้ง ความแตกแยกในกระทรวงสาธารณสุข เกิดจากหลายเหตุ หนึ่ง คือ แต่ละคน แต่ละฝ่ายไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้อง จึงมีความคิดเห็นต่างกันไป และอีกเหตุหนึ่งที่สำคัญคือ กระทรวงฯไม่เคยสนใจรับฟังความคิดเห็นของผู้ปฏิบัติงานอย่างจริงจัง ผู้บริหารระดับกระทรวงก็เล่นกันไป ผู้บริหารระดับโรงพยาบาลก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ทุกอย่างจึงเป็นแบบ Top down โดยผู้ปฏิบัติงานถูกบังคับให้ทำ ก็เลยสักแต่ว่าทำ และไม่ค่อยพอใจผู้บริหาร สภาพปัจจุบันและอดีตก็เป็นแบบนี้ ไม่มีใครสนใจใคร ข้างบนก็ไม่สนใจข้างล่าง ข้างล่างก็ไม่สนใจข้างบนเหมือนกัน
พอมีประเด็นอะไรขึ้นมาความขัดแย้งก็ปะทุขึ้น
8767
« เมื่อ: 07 กันยายน 2011, 22:57:52 »
สธ.พัฒนาระบบเยียวยาใจผู้ได้รับผลกระทบกว่า 2 หมื่นราย จากเหตุไม่สงบ 4 จังหวัดชายแดนใต้ 7 ปี ในปีนี้พบเหยื่อความรุนแรงเป็นโรคพีทีเอสดี ร้อยละ 13 วันนี้ (7 ก.ย.) ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานี จ.ปัตตานี นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการการดำเนินงานเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เยียวยายุคเปลี่ยนผ่าน:เสียงกู่จากผู้ปฏิบัติงานเยียวยาชายแดนใต้ สู่รัฐบาลใหม่ โดยมีภาคีเครือข่ายผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องภาครัฐและเอกชน ได้แก่ ศูนย์เยียวยาจังหวัด ศูนย์เยียวยาอำเภอ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประธานเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบระดับอำเภอ ศูนย์เยียวยาฟื้นฟูสุขภาพจิตประจำโรงพยาบาล กรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพจำนวน 4 คน ร่วมประชุม 250 คน เพื่อพัฒนาระบบการดูแลผู้ได้รับผลกระทบให้ยืนหยัดอยู่ในสังคมมีเกียรติมีศักดิ์ศรีและปกติสุขเหมือนคนไทยทั่วไป นายต่อพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ โดยเน้นส่งเสริมความร่วมมือในทุกภาคส่วนกับประชาชนในพื้นที่ และบูรณาการการบริหารจัดการให้มีเอกภาพทั้งในระดับนโยบายและระดับการปฏิบัติ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรม จากการประเมินสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย ยะลา นราธิวาส ปัตตานี และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา จนถึงขณะนี้ยังมีเหตุเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 7 ปีตั้งแต่ปี 2547-2554 มีผู้ได้รับผลกระทบรวม 20,689 คน เสียชีวิต 4,771 คน เป็นประชาชนทั่วไป ร้อยละ 87 ทหาร ร้อยละ 7 ตำรวจร้อยละ 6 ผู้บาดเจ็บ พิการ จำนวน 8,512 คน สตรีผู้สูญเสียผู้นำครอบครัว จำนวน 2,295 คน มีเด็กกำพร้า 5,111 คน ซึ่งส่งผลกระทบถึงบุคคลใกล้ชิดด้วย ที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงานดูแลเยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมดโดยให้ศูนย์สุขภาพจิตที่ 15 จังหวัดปัตตานี เป็นศูนย์กลางประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายต่อพงษ์ กล่าวต่อว่า โรคที่กระทรวงสาธารณสุขเฝ้าระวัง ในพื้นที่ความไม่สงบมี 5 โรค ได้แก่ 1.โรคซึมเศร้า 2.ภาวะเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย 3.โรคพีทีเอสดี (Post Traumatic Stress Disorder) หรือโรคเครียดภายหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ 4.โรคเครียดวิตกกังวล 5.ภาวะการติดสุรา/สารเสพติด จากการตรวจคัดกรองสุขภาพจิตในกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมดในรอบ 6 เดือนปีนี้ พบผู้มีปัญหาผู้มีโรคพีทีเอสดี จำนวน 6 คน หรือร้อยละ 13 ของผู้มีความเสี่ยง ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ปกติซึ่งต้องไม่เกินร้อยละ 10 ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน ยังมีอาการฝันร้าย นึกถึงเหตุการณ์ เลี่ยงไปที่เกิดเหตุ ขณะนี้จิตแพทย์ นักจิตวิทยา อสม.ได้ติดตามดูแลอาการใกล้ชิด และประเมินอาการ เป็นระยะ ด้านนายแพทย์อิทธิพล สูงแข็ง รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว่า ในการติดตามดูแลผลกระทบสุขภาพจิตหลังเกิดเหตุการณ์ ระยะที่ 1 เจ้าหน้าที่บุคลากรสาธารณสุขศูนย์เยียวยาฟื้นฟูสุขภาพจิตประจำ รพ.จะทำการเยี่ยมประเมินอาการเพื่อค้นหาผู้ที่เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตและให้การปฐมพยาบาลด้านจิตใจ ภายใน 72 ชั่วโมงแรกถึง 2 สัปดาห์หลังเกิดเหตุการณ์ ระยะที่ 2 ช่วง 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือน จะดูแลประคับประคองด้านจิตวิทยา และการช่วยเหลือต่างๆ ระยะที่ 3 ช่วง 1-3 เดือน จะติดตามเพื่อประเมินผลกระทบทางด้านสุขภาพจิต หากระดับความเครียดหรือความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตยังไม่ลดลง จะส่งพบจิตแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและให้การบำบัดรักษาด้วยยาและปรับพฤติกรรมความคิดในกรณีที่มีภาวะพีทีเอสดี กระบวนการทั้งหมดนี้ดำเนินการอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล โดยใช้บุคลากรประกอบด้วยนักจิตวิทยาพยาบาลศูนย์เยียวยาฟื้นฟูสุขภาพจิต และ อสม.ซึ่งขณะนี้มีองค์กรสาธารณที่ไม่หวังผลประโยชน์และหน่วยงานภาครัฐอื่นมาร่วมดูแลเป็นระบบแบบวันสตอปเซอร์วิส ยึดผู้ได้รับผลกระทบเป็นศูนย์กลางให้ครอบคลุมที่สุด
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กันยายน 2554
8768
« เมื่อ: 07 กันยายน 2011, 22:54:53 »
“วิทยา” เร่งพัฒนาระบบริการสาธารณสุขทั้งระบบ โครงการใกล้บ้าน-ใกล้ใจ รองรับหลักประกันถ้วนหน้า เห็นผลใน 6 เดือน ระบบส่งต่อสมบูรณ์แบบใน 2 ปี เตรียมตั้งศูนย์ฮอตไลน์ ให้บริการเรื่องลับๆ ของวัยรุ่น เยาวชน พร้อมเปิดรายการเพื่อสุขภาพช่วงเช้า โดยใช้ภาษาถิ่น ป้องกันไม่ให้คนป่วย ประสานเพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน ที่กระทรวงสาธารณสุข นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์หลังประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุขเมื่อเช้าวันนี้ (7 ก.ย.) ว่า มีนโยบายเร่งรัดพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพ ลดความแออัดผู้ป่วยโรงพยาบาลใหญ่ กระจายงานลงโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล โดยจะนำระบบไอที ระบบอินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงงานบริการรักษาถึงกัน ในโครงการสถานพยาบาลใกล้บ้านใกล้ใจ อาจจะมีการเพิ่มคลินิก หรือสถานบริการเพิ่มเติม โดยเฉพาะในชุมชนที่มีประชากรแฝง เข้าไปใช้แรงงานจำนวนมาก ซึ่งไม่ได้ย้ายทะเบียนตามไปด้วย เพิ่มความสะดวกให้ผู้เจ็บป่วย ไม่ต้องเดินทางไกล และได้รับบริการดูแลรักษามาตรฐานเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมาระบบส่วนนี้มีอยู่แล้ว แต่ขาดการเชื่อมโยง ก็จะบูรณาการเข้ากันให้เป็นระบบ รองรับโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงภายใน 6 เดือน และภายใน 2 ปี จะสมบูรณ์แบบทั้งหมด
นายวิทยา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีนโยบายให้กรมอนามัย เปิดบริการปรึกษาวัยรุ่น เยาวชน ทางสายด่วน ฮ็อตไลน์ และผ่านทางข้อความสั้น ในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องลับที่วัยรุ่นไม่กล้าปรึกษาใคร รวมทั้งให้คำปรึกษาแก่ประชาชนทั่วไปทุกเรื่อง เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วย ควรทำอย่างไร เป็นการให้คำปรึกษาการดูแลตัวเองเบื้องต้น ช่วยให้ประชาชนดูแลตนเอง ตลอดจนแนะนำการดูแลก่อนไปพบแพทย์ สำหรับการป้องกันควบคุมไม่ให้ป่วยเรื้อรังของประชาชนทั่วไป กระทรวงสาธารณสุขจะเพิ่มช่องทางสื่อสารให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม เป็นรายการเพื่อสุขภาพ โดยจะให้ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆเช่น แพทย์แผนไทย เจ้าหน้าที่สาธารณสุข รวมทั้งประชาชนที่ดูแลสุขภาพดีไม่ป่วย ไปให้ความรู้ผ่านทางสื่อที่ใกล้สุด เช่น วิทยุชุมชน เคเบิลทีวี สถานีโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ โดยจะเผยแพร่ในช่วงเช้า เน้นให้ความรู้การดูแลสุขภาพ ลดการป่วยจากโรคเรื้อรังต่างๆ เช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกินอาหาร การออกกำลังกายเป็นหลัก โดยใช้ภาษาถิ่นเข้าใจง่าย เนื่องจากขณะนี้โรงพยาบาลทุกแห่งมีประเภทนี้ไปใช้บริการเป็นจำนวนมาก นายวิทยา กล่าวต่อว่า ในเรื่องนโยบาย 30 บาท และการดูแลผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้ถูกใจประชาชนมากที่สุด เนื่องจากได้รับการร้องเรียนเรื่องคุณภาพบริการ ทั้งเรื่องยา บุคลากร ผู้ที่เคยได้รับการยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียม เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และอื่นๆ ก็จะคงสิทธิ์การยกเว้นเช่นเดิม ในส่วนของผู้ประกันตนหรือกลุ่มผู้ร่วมจ่าย กระทรวงสาธารณสุขจะปรับปรุงสิทธิประโยชน์ไม่ให้เหลื่อมล้ำกับผู้ป่วยบัตรทอง หากเปรียบเทียบกับบัตรเครดิต ผู้ป่วยในโครงการ 30 บาท เสมือนเป็นผู้ถือบัตรทอง ส่วนผู้ประกันตน ถือบัตรแพลตินัม โดยกระทรวงสาธารณสุข จะหารือร่วมกับกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ในเดือนนี้
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กันยายน 2554
8769
« เมื่อ: 07 กันยายน 2011, 22:53:19 »
พบผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ เฉลี่ยวันละ 27ราย เป็นผู้เสพยาจากเข็มฉีดสูงถึง 900 คน เร่งเดินหน้ามาตรการลดจำนวนผู้เสพยาและโอกาสเสี่ยงติดเชื้อใน 14 จังหวัด รวมแล้ว 4-5 พันคน วานนี้ (6 ก.ย.) พญ.เพชรศรี ศิรินิรันดร์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจัดการปัญหาเอดส์แห่งชาติ กรมควบคุมโรค (คร.). กล่าวในโครงการสัมมนาเรื่อง “การสื่อสารในการลดอันตรายเพื่อป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ในกลุ่มผู้ติดสารเสพติด” ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 5 แสนราย ในแต่ละปีมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2554 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 10,097 คน หรือเฉลี่ยวันละ 27 คน อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ใช้ยาเสพติดด้วยวิธีฉีดในประเทศจากการคาดประมาณไม่ต่ำกว่า 30,000 คน และด้วยอัตราการใช้เข็มและกระบอกฉีดร่วมกันที่สูงถึงร้อยละ 36 ในปี 2551 ทำให้คาดประมาณว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ที่เป็นผู้ใช้ยาเสพติดด้วยวิธีฉีดยาเข้าเส้นเลือดในปี 2553 ประมาณ 900 คน “หากสามารถดำเนินการเร่งรัดการป้องกันการติดเชื้อ โดยใช้วิธีอย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ย่อมทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกลุ่มนี้ลดลงเหลือประมาณ 400 คน ซึ่งการติดเชื้อจากการเสพยานั้น ไม่ได้มีเพียงการติดเชื้อเอชไอวีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบ ซี ส่วนมาตรการในการป้องกันการติดเชื้อในผู้ติดยาเสพติดนั้น กรมดำเนินการภายใต้การสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ในการจัดทำ โครงการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดในประเทศไทย เพื่อหามาตรการลดปัญหาผู้ติดเชื้อจากการใช้ยาเสพติด ซึ่งดำเนินการมาแล้ว 2 ปี” พญ.เพชรศรี กล่าว พญ.เพชรศรี กล่าวต่อว่า โครงการนี้เริ่มมา 2 ปีมีอาสาสมัครที่เคยติดยาเสพติด ร่วมกับเครือข่ายผู้ใช้ยาแห่งประเทศไทย คอยช่วยเหลือในการหาคนเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด 14 จังหวัด ซึ่งปัจจุบันมีผู้ติดยาฯ ที่เข้าร่วมโครงการราว 4-5 พันคน โดยแต่ละคนมีมาตรการในการลดอันตรายจากการใช้ยาแตกต่างกันไป อาทิ การบำบัดรักษาผู้เสพยาโดยใช้สารทดแทนระยะยาว เรียกว่า สารเมทาโดน (Methadone) ซึ่งนำมาทดแทนผู้ติดยาประเภทเฮโรอีน
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กันยายน 2554
8770
« เมื่อ: 06 กันยายน 2011, 22:24:26 »
ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยร้านขายยาแผนโบราณก็ยังคงยืนหยัดคงประสิทธิภาพยาไทยรักษาคนไทยให้หายป่วยได้ แม้จะมียาแผนปัจจุบันที่เข้ามาทำให้ยาแผนโบราณถูกลดความนิยมไปบ้าง แต่สำหรับร้านขายยาเก่าแก่กว่า 100 ปี “เจ้ากรมเป๋อ” ยังได้รับความนิยม ลูกค้าแวะเวียนมาอุดหนุนไม่ขาดสาย มาวันนี้เข้าสู่ยุครุ่น “เหลน” เข้ามาบริหารงานก็ยังสามารถคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ยาไทยไว้ไม่เสื่อมคลาย
ย่านประตูวัดจักรวรรดิเป็นที่ตั้งร้านขายยาแผนโบราณเจ้ากรมเป๋อ ตั้งตระหง่านมาเป็นเวลา 115 ปีแล้ว ปัจจุบันทายาทรุ่นเหลนเป็นผู้ดูแลกิจการ “ถวัลย์ สุวรรณเตมีย์” ย้อนอดีตให้ฟังว่า ร้านขายยาแผนปัจจุบันเจ้ากรมเป๋อก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2439 มาถึงวันนี้เป็นเวลา 115 ปี แล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยนายเป๋อ สุวรรณเตมีย์ ที่ไม่ได้มียศศักดิ์เกี่ยวข้องกับทางราชการเลย แต่เหตุที่ถูกเรียกว่าเจ้ากรมนั้นมาจากยศของคนที่มีหน้าที่จัดการเรื่องทุกอย่างของวัด ไม่ต่างจากมัคนายก ในปัจจุบัน โดย นายเป๋อ ได้รับใช้ดูแลใกล้ชิดและดูแลกิจการของวัดจักรวรรดิราชาวาส กับสมเด็จหลวงปู่มา (ท่านเจ้ามา) เป็นเจ้าอาวาส ด้วยความขยันขันแข็ง และซื่อสัตย์สุจริตของท่านทำให้ได้รับแต่งตั้งยศเป็นเจ้ากรมของวัด
ช่วงที่เจ้ากรมเป๋อรับใช้หลวงปู่มา ก็ได้ศึกษาวิชาด้านสมุนไพรมาโดยตลอด จนกระทั่งหลวงปู่ชราภาพมากก็เป็นห่วงอนาคตของเจ้ากรมเป๋อ จึงแนะให้เปิดร้านขายยาสมุนไพร อาศัยความรู้ที่สะสมมาตลอดเกือบทั้งชีวิตมาต่อยอดเป็นอาชีพ โดยให้เช่าพื้นที่วัดเป็นสถานที่จำหน่าย หลังจากหลวงปู่มรณภาพ เจ้ากรมเป๋อก็ถอนตัวจากการดูแลวัด หันมาประกอบธุรกิจร้านยาอย่างเต็มตัว จนกระทั่งปี พ.ศ.2487 ท่านก็เสียชีวิตลงในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ในวัย 84 ปี
เมื่อเจ้ากรมเป๋อเสียชีวิตลง ธุรกิจนี้ก็ตกไปอยู่ที่ลูกชายและลูกสาวเพียง 2 คน โดยลูกสาวเข้ากรมเป๋อมีทายาท 7 คน เป็นชาย 1 คน และหญิง 6 คน ซึ่งคุณแม่ของนายถวัลย์เป็นลูกสาวคนโต แต่เป็นบุตรคนที่ 2 รองจากพี่ชาย ต่อมาเหลือเพียงทายาทรุ่นหลานของเจ้ากรมเป๋อเป็นผู้สืบทอดกิจการ คือ ศาสตราจารย์แพทย์หญิงสลาด ทัพวงศ์ ที่แม้จะเรียนจบมาทางด้านแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับยาแผนโบราณเพราะเป็นยาที่สามารถใช้เป็นยารักษาโรคได้เหมือนกัน
“เมื่อคุณหญิงสลาด เข้ามาบริหารซึ่งผมก็คลุกคลีอยู่ในร้านยาตลอดก็เห็นความสำคัญไม่แพ้กัน แม้จะไปศึกษาต่อยังต่างประเทศช่วงหนึ่ง เมื่อกลับมาก็คิดจะสานต่อกิจการนี้ในฐานะทายาทรุ่นเหลน ที่ผมไม่อยากทิ้งสมบัติที่มีคุณค่าทางด้านยาแผนโบราณไป เพราะตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ร้านเรามีสมุนไพรกว่า 500 ชนิด จนถึงขณะนี้มีกว่า 750 ชนิดแล้ว ทั้งสมุนไพรที่มาจากพืช สัตว์ และแร่ธาตุ รักษาโรคได้ประมาณ 50-60 โรค ยกเว้นโรคปอดและกระดูก โดยโรคที่ผู้คนเข้ามาหาซื้อยาแผนโบราณเพื่อทำการรักษาเป็นจำนวนมาก ได้แก่ โรคเบาหวาน สมุนไพรที่เสริมความงาม และยาเกี่ยวกับสุภาพสตรี”
การเข้ามาซื้อยาแผนโบราณของร้านเจ้ากรมเป๋อ ลูกค้าจะมี 2 ประเภท คือ 1.เข้ามาเล่าอาการให้ฟัง และใก้ทางร้านจัดตัวยาให้ตามสัดส่วนสมุนไพรที่เป็นสูตรของทางร้าน และ 2.มีใบสั่งยามาพร้อมว่าต้องการสมุนไพรชนิดไหน จำนวนเท่าใด ซึ่งทางร้านก็มีการแนะนำไปบ้างหากสั่งตัวยาสมุนไพรบางตัวมีปริมาณมากไปอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ โดยลูกค้ามีทุกระดับชั้นตั้งแต่ผู้ใช้แรงงาน ไปจนถึงคนใหญ่คนโตเป็นที่รู้จักในสังคมไทย
“ปัจจุบันความนิยมในเรื่องยาแผนโบราณเริ่มกลับมาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น หลังคนไทยมีอาการแพ้ยาแผนปัจจุบันมากขึ้น และเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง รวมถึงราคาแพงกว่ายาแผนโบราณมาก นอกจากนี้ยาแผนปัจจุบันยังรักษาโรคแบบชั่วคราว ในขณะที่ยาแผนโบราณบางคนใช้รักษาโรคเดียวกันแต่อาการหายไปเป็นปี อย่าง โรคไข้ทับระดู หรือ ยาแผนโบราณรักษาโรคเบาหวาน ช่วยลดน้ำตาลในเลือด มีตัวยากว่า 10 ชนิด ที่กำลังเป็นที่นิยมมากในขณะนี้ เพราะคนไข้รู้ว่าหากรับประทานยาที่ช่วยลดน้ำตาลเป็นเวลานานจะมีผลต่อไต เป็นต้น”
ศักยภาพยาแผนโบราณเรียกได้ว่ายังสามารถครองใจคนไทยได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ร้านเจ้ากรมเป๋อมีลูกค้าแวะเวียนมาทั้งวันตั้งแต่ 8.00-16.30 น. (หยุดวันอาทิตย์) ในขณะที่ลูกจ้างต่างขมักเขม้นบรรจุยาตำรับต่างๆ ตามที่ลูกค้ามาสั่งไว้ไม่หยุดมือ ส่วนนายถวัลย์ และลูกพี่ลูกน้องอีก 2-3 คน ต้องยืนรับลูกค้าสั่งยาและจัดยา ประมาณ 7 ชั่วโมง/วัน สิ่งเหล่านี้คงเป็นเครื่องการันตีได้ว่ากระแสยาไทยๆ กับสมุนไพรที่มีมากในป่าเขตร้อนกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง สำหรับร้านเจ้ากรมเป๋อ จะพยายามถ่ายทอดธุรกิจนี้ให้แก่ทายาทรุ่นต่อไปหวังให้เป็นแหล่งรวมสมุนไพรคุณภาพอยู่คู่คนไทยให้ยาวนานที่สุด
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กันยายน 2554
8771
« เมื่อ: 06 กันยายน 2011, 22:20:38 »
เอเยนซี - แพทย์โรงพยาบาลศูนย์ผู้ป่วยเด็กในเซี่ยงไฮ้ประสบความสำเร็จ ผ่าตัดแยกแฝดเพศหญิงตัวติดกันบริเวณหน้าอกและส่วนท้อง หลังจากปฏิบัติการลงมีดนานถึง 6 ชั่วโมง วานนี้ (5ก.ย.) และขณะนี้หมวยน้อยทั้งสองปลอดภัยแล้ว นายแพทย์หลิว จินเฟิน ผู้อำนวยการศูนย์ผู้ป่วยเด็กเซี่ยงไฮ้ เผยว่า แฝดหมวยน้อยชื่อว่า อานอาน และ ซินซิน ถือกำเนิดเมื่อปลายเดือนเม.ย.ปีนี้ โดยทั้งสองมีตับและถุงหุ้มหัวใจเชื่อมติดกัน และเราได้ทำการผ่าตัดแยกแฝดออกจากกันได้สำเร็จ การผ่าตัดเริ่มต้นเมื่อเวลา 9.00น. ช่วงเช้า และมีทีมแพทย์อีก 4 กลุ่มร่วมผ่าตัดพร้อมกัน “พวกเราผ่าแยกหัวใจและตับ ปรับรูปร่างกระดูกทรวงอก พร้อมกับปรับบริเวณอกด้วยแผ่นไทเทเนียม” หลิว เผยหลังการผ่าตัด หลังถือกำเนิดได้ 2 ชั่วโมง แฝดหมวยก็ถูกส่งเข้าห้องไอซียู ณ ศูนย์ผู้ป่วยเด็กแห่งเซี่ยงไฮ้ทันที ขณะนั้นมีน้ำหนักรวม 4.89 กก. ด้วยการดูแลที่ถูกต้องจากโรงพยาบาล เมื่อครบ 4 เดือน เด็กทั้งสองก็มีน้ำหนัก 10 กก. และพร้อมที่จะเข้ารับการผ่าตัด หลิวเผย “การผ่าตัดนี้เสี่ยงและอันตราย แต่เราก็ตัดสินใจผ่า” ผลิวกล่าว พร้อมเสริมด้วยว่า หลังจากผ่าตัดแล้วต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธีและใกล้ชิดแพทย์ “เด็กน้อยทั้งสองอาจจะต้องพึ่งเครื่องช่วยหายใจไปสักระยะหนึ่งก่อน” หลิวปิดท้าย
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กันยายน 2554
8772
« เมื่อ: 06 กันยายน 2011, 22:16:57 »
นาโนเทคโนโลยี คือเทคโนโลยีประยุกต์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง การสังเคราะห์ วัสดุหรือผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กมากในระดับอนุภาคของอะตอมหรือโมเลกุล (0.1-100 นาโนเมตร เล็กกว่าเส้นผมประมาณ 100,000 เท่า) ส่งผลให้โครงสร้างของวัสดุหรือสสารมีคุณสมบัติพิเศษ ไม่ว่าจะทางฟิสิกส์ เคมี และชีวภาพ ซึ่งขนาดที่เล็กมากของนาโนทำให้มีพื้นที่สัมผัสต่อปริมาตรมาก ใช้ในปริมาณน้อยแต่ให้ประโยชน์มหาศาล และสามารถแทรกซึมเข้าสู่พื้นที่ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
จากคุณสมบัติของนาโนดังกล่าว ทำให้มีการนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์หลายๆ อย่าง เช่น ผงซักฟอก เสื้อผ้า ครีมบำรุงผิว ยา สีทาบ้าน เครื่องกรองน้ำ จักรยาน ฯลฯ
ล่าสุด นาโนได้สร้างคุณูปการให้เกิดกับวงการแพทย์ จากงานวิจัยของ รศ.ดร.สนอง เอกสิทธิ์ หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยอุปกรณ์รับรู้ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้วิจัยและคิดค้น “ผ้าปิดแผลนาโน” ซึ่งเป็นนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยีเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์แบบปลอดเชื้อ เพื่อช่วยเยียวยารักษาแผลกดทับเป็นโพรงหรือแผลที่มีร่องลึกของผู้ป่วยอัมพาต แผลเบาหวาน แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือแผลติดเชื้อหายช้า
ผ้าปิดแผลนาโนเป็นการผสมอนุภาคเงินนาโน (Blue Silver Nanoparticles) ที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตและกำจัดแบคทีเรีย เข้ากับเส้นใยเซลลูโลสชีวภาพระดับนาโน ซึ่งเป็นเส้นใยที่มีเนื้อเนียน เหนียว มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้มากกว่าน้ำหนักเดิม 200 เท่า มีรูพรุนจำนวนมากที่สามารถยึดเกาะกับผิวสัมผัสได้ดีในสภาพแห้ง และหลุดออกง่ายเมื่อน้ำซึมผ่าน จึงช่วยให้แผลหายง่ายขึ้น โดยใช้เวลาในการพัฒนาเกือบ 2 ปี ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการนำไปใช้ทดสอบเพื่อรักษาแผลกดทับกับผู้ป่วยในโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งพบว่าหลังใช้ผ้าปิดแผลนาโน แผลเริ่มมีอาการดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ ช่วยลดการติดเชื้อและอักเสบ ผู้ป่วยจึงเจ็บปวดจากแผลอักเสบลดลง
ผ้าปิดแผลนาโน หนึ่งในงานวิจัยเพื่อวงการแพทย์ ได้นำไปจัดแสดงให้ผู้สนใจเข้าชมในงาน Thailand Research Expo 2011 ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เมื่อวันที่ 26-30 สิงหาคม ที่ผ่านมา ที่ศูนย์ประชุมบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
ryt9.com 6 กันยายน 2554
8773
« เมื่อ: 06 กันยายน 2011, 22:14:38 »
การขี่ม้าเป็นศาสตร์และศิลป์ที่นำบำบัด ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งจะเห็นได้ว่าศูนย์แห่งการขี่ม้าบำบัดเกิดขึ้นอย่างมากมาย จากผลการวิจัยพบว่าหลังจากให้เด็กสมองพิการ 25 คน ขี่ม้าวันละ 20 นาที 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 3 เดือน ปรากฏว่าเด็กกลุ่มนี้มีการทรงท่าที่ดีขึ้น บางการศึกษาพบว่า หลังจากการขี่ม้า 8 นาทีทำให้อาการเกร็งของเด็กสมองพิการ 15 คนดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในกลุ่มผู้ใหญ่ที่เป็นอัมพาตครึ่งท่อนและอัมพาตทั้งตัว ซึ่งพบว่าหลังจากขี่ม้า 18 เดือน ทำให้ผู้ป่วยลดเกร็งทำให้อาการเจ็บปวดและปัญหาความผิดปกติของข้อต่อ นอกจากนี้ยังช่วยในการขับถ่ายได้ดีขึ้นอีกด้วย แม้ว่าเมืองไทยจะไม่มีการศึกษาอย่างจริงจังนักแต่เสียงตอบรับจากผู้ปกครองที่มีโอกาสพาเด็กมาลองขี่ม้าดูก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันผลลัพธ์ที่น่าพอใจเพราะม้าช่วยเยียวยาปัญหาเด็กออทิสติก นอกจากจะเป็นส่วนช่วยบำบัดรักษาทางร่างกายโดยตรงแล้วยังมีส่วนบำบัดผู้ที่มีปัญหาทางด้านระบบประสาท สติปัญญาและอารมณ์ได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในกลุ่มออทิสติกและสมาธิสั้น เนื่องจากเด็กออทิสติกจะไม่ควบคุมการเคลื่อนไหว การทรงตัวและประสาทสัมผัสของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆเด็กยังมีการสูญเสียทางด้านสังคมไม่สามารถตอบปฏิกิริยาระหว่างบุคคลได้ จึงทำให้เด็กออทิสติกอยู่ในโลกของตนเองไม่มีการติดต่อสื่อสารกับใคร
นายสุนทร ยนต์ตระกูล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาสารคาม กล่าวว่า โรงพยาบาลมหาสารคามได้มองเห็นความสำคัญจึงได้จัดโครงการนี้เพื่อให้การดูแลช่วยเหลือเด็กออทิสติกได้ครอบคลุม ตลอดถึงการให้ช่วยเหลือที่บ้าน ชุมชนและเพื่อให้เกิดชมรมออทิสติกในจังหวัดมหาสารคามขึ้น โดยให้ผู้ปกครอง ผู้ดูแลได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทักษะการดูแลเด็กกลุ่มนี้ ให้มีการพัฒนาการเพิ่มตามศักยภาพและปรับตัวอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข ซึ่งโรงพยาบาลมหาสารคาม เปิดให้บริการมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2548 จนถึงปัจจุบันมีผู้ป่วยมารับบริการในคลินิกจำนวน 878 ราย และช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2554 ได้มีกุมารแพทย์เพิ่มอีก 1 คน จึงได้ขยายเวลาให้บริการในคลินิกพัฒนาการเด็กเพิ่มจากเดิมเปิดบริการสัปดาห์ละ 1 ครั้ง คือวันพฤหัสบดีเปลี่ยนเป็นวันอังคารเช้าให้บริการกลุ่มเด็กที่คลอดก่อนกำหนด วันพุธและวันศุกร์เช้าให้บริการเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการช้าทุกประเภทก่อน ซึ่งในแต่ละปีพบว่ากลุ่มเด็กออทิสติกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเด็กกลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีความผิดปกติทางพัฒนาการด้านสังคม ภาษา พฤติกรรมอารมณ์ และจินตนาการ ทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ ไม่สามารถสื่อสารไม่ว่าจะเป็นความต้องการ และความรู้สึกของตนได้ ทำให้มีความบกพร่องในการดูแลตนเอง การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างและสิ่งแวดล้อม (สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล, 2554) การที่เด็กออทิสติก จะได้มาซึ่งพัฒนาการที่ดีขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับการส่งเสริมพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากทีมสหสาขาวิชาชีพผู้รับผิดชอบดูแลรักษาทางคลินิกและผู้ดูแลที่บ้านในเรื่องการจัดหากิจกรรมส่งเสริม กระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสมรวมทั้งการติดตามพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจนสามารถส่งต่อเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ มีการส่งเสริมเครือข่ายผู้ปกครองให้ดูแลบุตรได้ถูกต้องและขยายผลในชุมชนให้เป็นต้นแบบได้
นายแพทย์ไพโรจน์ ศิตศิรัตน์ ประธานชมรมออทิสติก จังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า ตนเองได้ใช้สถานที่บ้านถนนเทศบาลอาชา อ.เมือง จ.มหาสารคาม เป็นสถานที่รับฝึกการพัฒนาออทิสติก โดยให้ผู้ปกครองรับฟังเข้าอบรมขั้นตอนที่จะให้เด็กเข้ามาฝึกบำบัดอาชา ตามขั้นตอนต่าง ๆ ชมการแสดงของเด็กออทิสติกจากศูนย์การศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม โดย อ.ชูศักดิ์ จันทภานนท์ นายกสมาคมผู้ปกครองออทิซึมไทย โดยมีการแบ่งฐานต่าง ๆ เช่น ฐานที่ 1 อาชาบำบัดโดยวิทยากรพันตรีสงกรานต์ จันทะปัสสา แผนกสัตวบาลกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 2 กรมการสัตว์ทหารบก ต.ท่าพระ อ.เมือง จ.ขอนแก่น ฐานที่ 2 กิจกรรมบำบัด มีกิจกรรมการทรงตัวบนลูกบอล นั่งรถ โยนลูกบอลลงตะกร้า ร้องเพลงโดยนักกิจกรรมบำบัดจากโรงพยาบาลมหาสารคาม ฐานที่ 3 ศิลปะบำบัดจากครูการศึกษาพิเศษสถาบันมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามโดยการระบายสีเพื่อฝึกกล้ามเนื้อมือให้แข็งแรง และฐานที่ 4 จากโรงพยาบาลพ่อแม่สู่ชุมชนโดยพยาบาลวิชาชีพจากโรงพยาบาลจังหวัดกาฬสินธ์ุ ขั้นตอนสุดท้าย ฝึกให้เด็กได้สัมผัสกับม้าไม้ไปก่อนที่จะนั่งม้าจริง และสุดท้ายลงสนามขี่ม้า โดยครูฝึก จะมีท่าต่าง ๆตามขั้นตอน ซึ่งปัจจุบันมีเด็กและเยาวชนจำนวนมากที่มีอาการผิดปกติทางร่างกายและจิตใจ ความจำสั้นหรือสมาธิสั้น ซึ่งในการบำบัดเด็กเหล่านี้ให้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นจึงเป็นเรื่องไม่ง่าย มีหลากหลายวิธีที่จะช่วยพัฒนาการของเด็กกลุ่มนี้ให้เป็นปกติเช่นเด็กทั่วไป โครงการอาชาบำบัดเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ กรมการสัตว์ทหารบกใช้ม้าเป็นตัวสำคัญในการบำบัดเด็กกลุ่มดังกล่าวดีขึ้นมาแล้ว จึงมีแนวคิดที่เปิดให้บริการที่จังหวัดมหาสารคามแต่โรงพยาบาลมีข้อจำกัดในเรื่องสถานที่ จึงใช้บริเวณบ้านของตน ซึ่งครอบครัวเองก็มีนิสัยชอบม้าอยู่แล้วบุคลิกและลักษณะนิสัยของม้าจึงได้จัดหาม้าพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่มีลักษณะเด่นมาเลี้ยงเอาไว้หลายตัว
นายเจือ จิตชนะ ชาว อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม เล่าว่า ตอนนี้ลูกอายุได้ 5 ขวบ เกิดมาเป็นเด็กออทิสติกในช่วงแรกเป็นการทรมานมากเพราะลูกไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย จนไม่อยากจะเลี้ยงเค้าไว้ พอมาเข้าเป็นค่ายอาชาบำบัดกับชมรมออทิสติกรู้สึกว่าลูกชายตนเองมีการพัฒนาการได้ดีขึ้นตามลำดับ ในช่วงที่เข้ามารักษาม้าบำบัดซึ่งได้อะไรที่มากมาย เช่น ได้เพื่อนได้สังคมและลูกตนเองมีการพัฒนาที่ดีขึ้นเพราะที่ชมรมมีครูฝึกหรือครูพี่เลี้ยงจากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามและครูฝึกขี่ม้ากองการสัตวแพทย์และเกษตรกรรมที่ 2 กรมทหารบก ตำบลท่าพระ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และเมื่อตนเองกลับไปบ้านก็ไปฝึกให้กับลูกเพื่อที่ลูกจะได้รับรู้หรือรับทราบจนถึงปัจจุบันทำให้ลูกตนเองใกล้จะปกติซึ่งตนเองผู้เป็นบิดาดีใจมากอยากจะฝากให้ผู้ปกครองที่มีลูกเป็นออทิสติกไม่ต้องท้อและไม่ต้องเสียใจแต่ต้องอดทนสักนิดเพราะครูฝึกที่สอนให้ก็ดีเพื่อการพัฒนาของลูกกลับมาถึงบ้านต้องย้ำฝึกให้อีกสักนิดก็เกิดผลสำเร็จ.
กิริยา กากแก้ว
เดลินิวส์ 6 กันยายน 2554
8774
« เมื่อ: 05 กันยายน 2011, 23:08:50 »
เมโทร/บีบีซี - หนุ่มใหญ่สหรัฐฯ ถูกตำรวจรวบตัว ฐานทำร้ายงูเหลือมตัวหนึ่ง โดยใช้ปากกัดจนมันได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากเมาจนเสียสติ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามรายงานระบุว่า เดวิด เซนก์ ชาวเมืองซาคราเมนโต วัย 54 ปี ใช้ปากกัดงูเหลือมตัวหนึ่ง 2 ครั้งอย่างรุนแรง ขณะเขากำลังมึนเมาจนสติวิปลาส ส่งผลให้งูเหลือมตัวนี้บาดเจ็บสาหัส และต้องได้รับการดูแลจากสัตวแพทย์เป็นการด่วน ช่วงดึกคืนวันพฤหัสบดี (1) ที่ผ่านมา ตำรวจซาคราเมนโต ได้รับแจ้งจากเจ้าของงูเหลือมให้รีบไปยังที่เกิดเหตุในเมืองซาคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อนพบเซนก์เมาสลบอยู่บนพื้นบ้านคนอื่น โดยมีเลือดของงูเหลือมเปรอะเปื้อนเต็มหน้า งูเหลือมความยาวกว่า 1 เมตรครึ่งตัวนี้ เกือบเอาชีวิตไม่รอด โดยบาดเจ็บสาหัสซึ่งต้องอยู่ในการดูแลของสัตวแพทย์อย่างใกล้ชิด โดย จีนา คเนปป์ ผู้จัดการศูนย์ดูแลสัตว์ซาคราเมนโต เปิดเผยว่า บาดแผลของงูตัวนี้มีขนาดใหญ่มากพอจนสามารถมองเห็นตับและอวัยวะภายในของมัน อีกทั้งกระดูกซี่โครงก็หักไปหลายท่อน ทั้งนี้ ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น เคโอวีอาร์-ทีวี จากในเรือนจำ ดูเหมือน เดวิด เซนก์ จะสารภาพว่า ได้กัดงูเหลือมตัวดังกล่าวจริงตามข้อกล่าวหา แต่ก็ยอมรับว่าไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ทั้งหมดได้ “ผมทำอะไร? ... ถ้าคุณพบเจ้าของงูนั่น ฝากบอกเขาด้วยว่าผมเสียใจจริงๆ ผมยินดีช่วยออกค่ารักษา” เดวิด เซนก์ ให้สัมภาษณ์ในชุดนักโทษอย่างสำนึกผิด “ผมเมา เมาแล้วบ้า … ผมติดเหล้ามานานแล้ว” เซนก์ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่าความจริง “ในทางกลับกัน มันน่าจะเป็นฝ่ายกัดผมเสียมากกว่า”
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กันยายน 2554
8775
« เมื่อ: 05 กันยายน 2011, 23:06:44 »
“วิทยา” แบ่งงานบริหารลงตัว ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขดูแลกรมอนามัย กรมสุขภาพจิต กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าขณะนี้ได้แบ่งงานในกระทรวงสาธารณสุขเรียบร้อยแล้ว ตามคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 1045/2554 เรื่อง มอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 1 กันยายน 2554 โดยมอบอำนาจให้ นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดูแล กรมอนามัย กรมสุขภาพจิต กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สถาบันวิจัยระบบสุขภาพ โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) ส่วนที่เหลืออยู่ในความดูแลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และหน่วยงานในกำกับ ได้แก่ องค์การเภสัชกรรม สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กันยายน 2554
หน้า: 1 ... 583 584 [585] 586 587 ... 648
|