แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 557 558 [559] 560 561 ... 651
8371
เมื่อเร็วๆ นี้ ผศ.ดร.สุดสาย ตรีวานิช อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ได้นำเสนอผลงานและรายงานเกี่ยวกับ การสร้างความความเข้มแข็งในระบบอาหารท้องถิ่น (Local food system) ของประเทศไทย (Strengthening Local Food Systems in Thailand: School Lunch Program And Small And Micro-Community Enterprises) ในการประชุมเชิงวิชาการระดับนานาชาติ “International workshop on strengthening local food systems for sustainable agriculture in Asia” จัดโดย Food and Fertilizer Technology Center for the Asian and Pacific Region ประเทศไต้หวัน ร่วมกับ The National Agricultural Cooperative Federation ประเทศเกาหลี ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลี

ในที่ประชุมดังกล่าว ได้หยิบยกตัวอย่างโครงการที่ส่งเสริมการเพิ่มอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกร ตลอดจนโครงการอาหารกลางวันเด็กนักเรียนผ่านบทบาทของภาคเอกชนและภาครัฐบาล รวมทั้งโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญ ต่อการส่งเสริมการสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนให้กับระบบอาหารท้องถิ่น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญต่อการพัฒนาระบบอาหารท้องถิ่นของประเทศไทย
 
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เป็นภาคเอกชนหนึ่งที่มีนโยบายชัดเจนสอดคล้องและดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริมการเพิ่มอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกร ตลอดจนมีกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ นำไปสู่ความเข้มแข็งยั่งยืนของชุมชน เช่น โครงการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรายย่อย และโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เป็นต้น
 
ความเข้มแข็งของชุมชนที่เกิดจากการสร้างงานสร้างอาชีพของซีพีเอฟ ปรากฏชัดเจนจากเกษตรกรรายย่อยกว่าหมื่นราย ที่สามารถดำรงชีพด้วยอาชีพเกษตรกรรมและยกระดับคุณภาพชีวิตของตนให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้มาก
 
จากแนวคิดของ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในเรื่องการส่งเสริมอาชีพและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรด้วยการนำระบบงานส่งเสริมอาชีพและรายได้ให้กับเกษตรกร ที่เรียกว่า Contract Farming มาดำเนินงานใน 2 รูปแบบคือ การประกันราคาและการส่งเสริม การเลี้ยงสัตว์ ตั้งแต่ปี 2518 ณ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ด้วยโครงการส่งเสริมการเลี้ยงไก่กระทง เป็นโครงการแรก และมีเกษตรกร เข้าร่วมโครงการกว่า 200 ครอบครัว ต่อมาจึงได้ขยายพื้นที่โครงการไปอีกหลายจังหวัด จนครบทุกภูมิภาค ทั่วประเทศ และได้รับความสนใจจากเกษตรกรเป็นอย่างมาก ทำให้ในปัจจุบันมีสมาชิกใน “โครงการ Contract Farming” ทั่วประเทศกว่า 10,000 ราย โดยการเลี้ยงสัตว์ครอบคลุมทั้ง ไก่กระทง ไก่ไข่ และสุกร
 
ทั้งนี้ ซีพีเอฟจะเป็นอำนวยความสะดวกในการจัดหาให้พันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ ยา และวัคซีน ซึ่งมีคุณภาพสูงให้กับเกษตรกร ตลอดจนให้ความรู้ คำแนะนำปรึกษา การสนับสนุนเทคโนโลยีต่างๆ และการร่วมวางแผนการผลิต โดยทีมนักวิชาการของบริษัท
 
ขณะที่โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้าก็อยู่ในแนวคิดเดียวกัน โดยซีพีเอฟได้รับความร่วมมือสนับสนุนจากส่วนราชการ อำเภอพนมสารคาม และธนาคารกรุงเทพ เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่มีฐานะยากจน ไม่มีที่ทำกินเป็นของตนเอง ให้มีโอกาสได้ประกอบอาชีพการเลี้ยงสัตว์ ควบคู่ไปกับการเพาะปลูก การดำเนินงานของโครงการ จัดเป็นระบบเบ็ดเสร็จครบวงจร ทำให้การพัฒนาอาชีพ ของเกษตรกรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
 
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ  เกษตรกรทั้งหมดต่างมุ่งมั่นดำเนินงานอย่างแข็งขัน ทำให้การเลี้ยงสุกรของหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้าเติบโต และขยายกิจการขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับ จากเมื่อเริ่มต้นโครงการมีสุกรแม่พันธุ์รวม 1,500  ตัว จนถึงปัจจุบันมีแม่พันธุ์กว่า  7,000 ตัว ขณะเดียวกัน จากคนที่ไม่มีแม้รายได้ วันนี้เกษตรกรที่นี่มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 80,000 บาทต่อครอบครัว

พื้นที่ของหมู่บ้านแห่งนี้ก็กลับอุดมสมบูรณ์สามารถเพาะปลูกพืชไร่  ไม้ผล ยางพารา  และมีสภาพแวดล้อมที่ดี จากการนำเอามูลสุกรหลังการบำบัดด้วยระบบแก๊สชีวภาพ (Biogas) มาบำรุงดิน หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้ามีการพัฒนาชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง จนอาจเรียกได้ว่าเป็นชุมชนเลี้ยงสุกรที่ทันสมัยสุดในประเทศไทย
 
สำหรับความมั่นคงทางอาหารในระดับท้องถิ่นที่เชื่อมโยงผ่านเยาวชน ก็คือ โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ที่นอกจากจะช่วยลดปัญหาภาวะทุพโภชนาการของนักเรียนแล้ว โรงเรียนในโครงการยังสามารถจัดสรรรายได้ เป็นค่าอาหารกลางวันนักเรียน ขณะเดียวกันเด็กนักเรียนก็มีอาชีพเลี้ยงไก่ไข่ติดตัว นำเทคนิคความรู้ที่ได้รับกลับไปถ่ายทอดสู่พ่อแม่ผู้ปกครองได้อีก
 
โครงการนี้มีรูปแบบที่เน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการการเลี้ยงไก่ไข่ การสนับสนุนพันธุ์ไก่รุ่นแรก อาหารสัตว์ และการดูแลอย่างใกล้ชิดจากสัตวบาลของบริษัทตลอดระยะเวลาการเลี้ยงไก่ไข่ในแต่ละรุ่น เพื่อให้เด็กนักเรียนสามารถสร้างผลผลิตไข่ไก่ในโรงเรียนได้สำเร็จ โดยนำผลผลิตส่วนหนึ่งมาประกอบเป็นอาหารกลางวัน และนำบางส่วนออกจำหน่าย เพื่อหารายได้มาจัดสรรเป็นค่าใช้จ่าย ดำเนินโครงการ ให้สามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องสำหรับนักเรียนในรุ่นต่อๆ ไป
 
ปัจจุบันโครงการนี้ช่วยแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการของเด็กและเยาวชนได้แล้วร่วม 75,000 คน ในโรงเรียนกว่า 370 แห่งทั่วประเทศ
 
ผศ.ดร.สุดสาย ตรีวานิช นำเสนอให้ที่ประชุมระดับนานาชาติรับทราบและเห็นพ้องต้องกันว่า โครงการอันเป็นประโยชน์เหล่านี้ จากซีพีเอฟ และภาครัฐบาล รวมทั้งโครงการตามพระราชดำริของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สามารถสร้างความมั่นคงทางอาหารระดับท้องถิ่นได้จริง และโครงการดังกล่าวของประเทศไทยก็กลายเป็นตัวอย่างที่นานาชาติให้ความสนใจ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการสร้างความเข้มแข็งของระบบอาหารท้องถิ่นอันจะนำไปสู่ความมั่นคงทางอาหารในระดับภูมิภาคอาเซียนต่อไป

โดย : เพ็ญภัสสร์ วิจารณ์ทัศน์
กรุงเทพธุรกิจ  29 พฤศจิกายน 2554

8372
อุทกภัยในประเทศไทยที่ผ่านๆ มา ถ้าไม่นับน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดในปี พ.ศ. 2554 นี้ ความเสียหายส่วนใหญ่จะอยู่ที่ภาคการเกษตร เรือกสวนไร่นา

ตลอดจนครัวเรือนที่อาศัยอยู่ตามลุ่มน้ำที่เกิดอุทกภัย และได้รับความสนใจน้อยจากผู้ที่อยู่ในภาคส่วนอื่นๆ แต่อุทกภัยใหญ่ครั้งนี้มีผลกระทบไปถึงภาคอุตสาหกรรม ทำให้นิคมอุตสาหกรรมสำคัญๆ ของประเทศ 7 แห่ง คือ นิคมสหรัตนนคร นวนคร บ้านหว้า (ไฮเทค) บางปะอิน แฟคตอรี่แลนด์ โรจนะ และ บางกะดี จมน้ำ จนเกิดความเสียหายในภาคอุตสาหกรรมที่มีผู้ประเมินค่าเชิงเศรษฐกิจหลายแสนล้านบาท ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงพยายามกู้นิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายโดยเร่งและเริ่มสูบน้ำออกจากนิคมฯ โดยที่ยังไม่มีรูปแบบการดำเนินงานที่ชัดเจนเกี่ยวกับการวิเคราะห์สิ่งเจือปนที่อาจจะมีอยู่ในน้ำก่อนเริ่มกระบวนการสูบน้ำออก ทำให้เกิดข้อทักท้วงจากนักวิชาการว่า มีความเสี่ยงต่อการกระจายสารพิษ (ที่อาจจะมี) สู่สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ ที่มาของความกังวล คือ การไม่มีข้อมูลว่าในแต่ละโรงงานมีสารเคมีอันตรายอะไรบ้าง ปริมาณเท่าใด และสารปนเปื้อนในน้ำที่ท่วมขังอยู่อาจเป็นสารที่อยู่ในน้ำเสียที่ปล่อยออกมา สารจากกระบวนการผลิต รวมถึงวัตถุดิบที่ไม่สามารถขนย้ายได้ทัน และอื่นๆ ทำให้ไม่สามารถคาดคะเนได้เลยว่า จะเกิดผลกระทบต่อพื้นที่ที่จะต้องรองรับน้ำหรือไม่ อย่างไร และมากน้อยเพียงใด
 
ข้อที่น่าสังเกตคือ ทั้งหน่วยงานภาครัฐและโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมฯ ที่ถูกน้ำท่วมขังแต่ละแห่งน่าจะบอกภาพรวม (ซึ่งไม่ใช่ความลับเชิงการค้า) ได้ว่าในน้ำที่ท่วมโรงงานอยู่อาจมีสารเคมีอันตรายอะไรอยู่บ้าง การตัดสินใจสูบน้ำออกก็สามารถทำได้โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่และจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
 
การขาดข้อมูลการผลิต การใช้ และการกระจายสารเคมีในประเทศไทยไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ และไม่ได้เป็นเฉพาะภาคอุตสาหกรรม แต่เป็นจริงในภาคการเกษตรและอื่นๆ ด้วย ขณะที่ประเทศไทยมีทั้งกฎหมายและข้อบังคับอยู่เป็นจำนวนมากที่ระบุความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ ในการจัดส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีไปยังหน่วยงานควบคุมและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย โดยมีรูปแบบและระบบสารสนเทศที่เอื้อผู้ประกอบการในการนำข้อมูล (ดูบทความ “ระบบข้อมูลสารเคมีเพื่อการเริ่มต้นแก้ไขปัญหามลพิษมาบตาพุด” ซึ่งเผยแพร่โดยหน่วยข้อสนเทศวัตถุอันตรายและความปลอดภัย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและของเสียอันตราย www.chemtrack.org/News-Detail.asp?TID=3&ID=25) ตัวอย่างเช่น

- การขออนุญาตประกอบกิจการ โรงงานต้องให้ข้อมูลปริมาณการใช้วัตถุดิบ (ซึ่งรวมถึงสารเคมี) และแหล่งที่มา
 
- การประกอบการ (การผลิต นำเข้า ส่งออก และมีไว้ในครอบครอง) ที่เกี่ยวข้องกับวัตถุอันตรายตามบัญชีพระราชบัญญัติวัตถุอันตรายจะต้องมีการขึ้นทะเบียน การขออนุญาต การแจ้งดำเนินการ การแจ้งข้อเท็จจริง ฯลฯ
 
- การแจ้งปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์รายเดือน (สำหรับประเภทหรือชนิดโรงงาน 90 ลำดับ)
 
- การจัดทำรายงานวิเคราะห์ความเสี่ยง (โรงงาน 12 ประเภท)

- การจัดทำรายงานชนิดและปริมาณสารมลพิษที่ระบายออกจากโรงงาน (โรงงาน 18 ประเภท)
 
ข้อเท็จจริงก็คือทุกครั้งที่มีปัญหาอุบัติภัยที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเกิดระเบิด ไฟไหม้ การรั่วไหล รวมทั้งการเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่คราวนี้ ก็จะมีผู้ชี้ว่าต้องมีข้อมูลที่เพียงพอและทันสมัยสำหรับใช้แก้ไขปัญหาพร้อมทั้งข้อเสนอแนะให้มีการเก็บและเปิดเผยข้อมูล เมื่อเกิดอุทกภัยใหญ่ครั้งนี้ ก็มีการชี้ปัญหาการขาดข้อมูล และข้อเสนอเดิมๆ ปรากฏขึ้นอีก
 
หน่วยข้อสนเทศวัตถุอันตรายและความปลอดภัย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและของเสียอันตราย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอใช้โอกาสนี้ ในการเสนอลักษณะข้อมูลเดิมที่น่าจะเป็นประโยชน์มาก (หากเป็นข้อมูลที่ทันสมัย) คือ ข้อมูลจำนวนชนิดและปริมาณสารเคมีที่ใช้และที่เก็บสูงสุด ซึ่งเคยมีการสำรวจโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2545 - 2546 เพื่อตอบคำถามว่า “มีสารเคมีอะไรบ้างในโรงงานอุตสาหกรรม”  ข้อมูลชุดนี้หน่วยข้อสนเทศฯ ได้นำมาตรวจสอบความซ้ำซ้อน จัดกลุ่มความเป็นอันตราย จัดทำแผนภาพการกระจายสารเคมีในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศจำแนกตามจังหวัดและอำเภอและเผยแพร่บนเว็บไซต์ (http://www.chemtrack.org/chem-map/chemmap.htm) ดังตัวอย่างที่เลือกมาวิเคราะห์เพิ่มเติมและนำเสนอในตารางที่ 1

อำเภอที่แสดงในตารางที่ 1 เป็นแหล่งที่ตั้งของนิคมทั้ง 7 แห่งที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แต่ตัวเลขที่แสดงมาจากการสำรวจโรงงาน 29 ประเภท ซึ่งเป็นโรงงานที่มีลักษณะการประกอบการที่น่าจะมีการใช้สารเคมีอยู่มาก จะเห็นว่าเมื่อประมาณ 8-9 ปีมาแล้ว ทุกอำเภอที่เกิดน้ำท่วมในครั้งนี้มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนหลายพันโรงงาน และมีการใช้สารเคมีต่อปีไม่น้อย ทั้งชนิดและปริมาณ
 
ในกรณีของนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่ง เมื่อไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า มีสารเคมีอะไรอยู่บ้าง ผู้เขียนจึงลองใช้ข้อมูลที่มีอยู่ปัจจุบันคือประเภทกิจการของโรงงานจากข้อมูลที่สืบค้นได้จากเว็บไซต์ของการนิคมฯ และของกรมโรงงานอุตสาหกรรมแล้วเทียบหาจำนวนโรงงานที่อยู่ในข่าย 29 ประเภท (โรงงานที่น่าจะมีการใช้สารเคมีมากในการประกอบกิจการ) ได้ข้อมูลดังแสดงในตารางที่ 2 

จะเห็นว่าจำนวนโรงงานที่อยู่ในข่ายฯ ในนิคมโรจนะ และ นวนคร มีมากกว่าอีก 5 นิคมฯ ที่เหลือ ดังนั้นจึงตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่านิคมโรจนะและนวนคร มีโอกาสของการเกิดความเสี่ยงจากการใช้สารเคมีมากกว่านิคมฯ อื่นๆ อย่างไรก็ดีข้อสันนิษฐานนี้จะใช้ประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อมีข้อมูลจริงว่าในโรงงานเหล่านั้นมี สารเคมีอะไรบ้าง เป็นสารอันตรายหรือไม่ และปริมาณเท่าใด
 
เป็นที่น่าเสียดายว่า กิจกรรมที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมจัดทำเฉพาะกิจเมื่อปี พ.ศ. 2545-2546 ในการสำรวจข้อมูลสารเคมีในโรงงานอุตสาหกรรมไม่มีการดำเนินงานเพิ่มเติมและต่อเนื่อง หากหน่วยงานควบคุมไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง มีระบบและผู้รับผิดชอบติดตามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ลักษณะของ “การไม่มีข้อมูล” จะยังคงเป็นจริงต่อไป การแก้ไขปัญหาอุบัติภัยในอนาคตก็จะเป็นรูปแบบเดิม คือ ไม่สามารถประเมินความเสี่ยงเพื่อมาตรการป้องกันและจัดการอย่างเป็นระบบและเหมาะสม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดผลกระทบระยะยาวเพิ่มขึ้นได้ คำถามที่สังคมต้องคิดต่อ ก็คือ เราจะต้องรอถึงเมื่อไร ที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะร่วมมือกันใช้รูปแบบและระบบที่มีอยู่แล้วทำให้ประเทศไทยมีผู้รับผิดชอบในการติดตามการเก็บข้อมูล การผลิต การเก็บ และการใช้สารเคมีที่เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ ทันสมัย และใช้ประโยชน์ได้จริง โดยไม่ต้องรอให้เกิดมหันตภัยครั้งต่อไป ซึ่งอาจจะเป็นอนาคตอันใกล้เกินคิด

โดย : รศ.ดร.วราพรรณ ด่านอุตรา,ศ.ดร. ธงชัย พรรณสวัสดิ์
กรุงเทพธุรกิจ 29 พฤศจิกายน 2554

8373
ไทยติดอันดับ 80 ดัชนีความโปร่งใสโลกแย่ลงจากอันดับ 63เมื่อปีที่แล้ว นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ สวีเดน สิงคโปร์ ปลอดคอร์รัปชั่นมากสุด

ทรานส์พาเรนท์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล (ทีไอ) กลุ่มเฝ้าระวังต่อต้านการคอร์รัปชั่น ซึ่งมีฐานอยู่ในเบอร์ลิน ระบุว่า คอร์รัปชั่นจะบั่นทอนความพยายามต่างๆที่จะรับมือกับวิกฤติหนี้ในกลุ่มยูโรโซน ขณะที่ กรีซ และอิตาลี มีคะแนนติดกลุ่มประเทศที่มีการฉ้อฉลด้วยกลวิธีต่างๆมากที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของทีไอ

"ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหาการจ่ายเงินใต้โต๊ะ และการหลีกเลี่ยงภาษี ที่เป็นตัวแปรหลักในการเกิดวิกฤติหนี้สาธารณะ"แถลงการณ์จากทีไอ ระบุ

ทั้งนี้ การจัดอันดับ ซึ่งไล่ตั้งแต่ 0-10 (โดยคะแนน0 หมายถึงการคอร์รัปชั่นสูงมาก ขณะที่หากประเทศใดได้คะแนน 10 หมายถึงมีการคอร์รัปชั่นเพียงเล็กน้อย) อิตาลีได้คะแนน 3.9 และกรีซ ได้คะแนน 3.4 อยู่ในอันดับ 69 และ 80 ตามลำดับในการจัดอันดับครั้งนี้ซึ่งมีประเทศทั้งหมด 182 ประเทศ

นางโรบิน โฮเดสส์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของทีไอ กล่าวว่า วิกฤติหนี้ในยูโรโซนสะท้อนถึง การบริหารจัดการทางการเงินที่ย่ำแย่ การขาดความโปร่งใส และการบริหารจัดการกองทุนสาธารณะที่ผิดพลาด

"เมื่อปัญหาการคอร์รัปชั่นแพร่ระบาดไปทั่ว ผู้คนทุกระดับชั้นจะรู้สึกถึงผลกระทบแง่ลบต่อปัญหานี้อย่างทั่วโลก ซึ่งอิตาลีและกรีซ ต้องดำเนินการมากกว่านี้ในการต่อสู้กับปัญหาการคอร์รัปชั่น" นางโฮเดสส์ กล่าว

นอกจากนี้ โซมาเลีย ที่บอบช้ำจากภัยสงคราม และเกาหลีเหนือก็ติดกลุ่มประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นมากที่สุดของโลกด้วยคะแนนด้วยเช่นกัน 1.0 ส่วนอิรัก มีการปรับปรุงปัญหานี้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังติดกลุ่มมีคอร์รัปชั่นสูงโดยรั้งอันดับที่ 175 และอัฟกานิสถาน ที่ยังคงรั้งอันดับ 180 แม้มีความพยายามต่างๆที่จะสกัดกั้นการจ่ายเงินใต้โต๊ะและการคอร์รัปชั่นก็ตาม และลิเบีย อยู่ในอันดับ 168 

ส่วนกลุ่มประเทศ  ที่มีการคอร์รัปชั่นน้อยที่สุด คือ นิวซีแลนด์ ได้คะแนน 9.5 ตามมาด้วย เดนมาร์ค ฟินแลนด์ สวีเดน และสิงคโปร์  ส่วนไทย ติดอันดับที่ 80ของโลก เทียบกับปีที่แล้ว ที่อยู่ในอันดับ 63  และอยู่ที่อันดับ 10 จาก 26 ประเทศในเอเชีย

สำหรับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้รับการจัดอันดับดัชนีความโปร่งใสในปี2554 มี พม่า (อันดับ180) กัมพูชา (164) ลาว (154) ฟิลิปปินส์ (129) เวียดนาม (112) อินโดนีเซีย (100) อินเดีย (95) จีน (75 ) มาเลเซีย (60) บรูไน (44) เกาหลีใต้ (43) ภูฎาน (38) และญี่ปุ่น (14)

ไทยอันดับคอร์รัปชั่นพุ่งไปที่80ของโลก
 
ดร. จุรี วิจิตรวาทการ เลขาธิการองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย (Transparency Thailand) ได้เปิดเผยผลการจัดอันดับดรรชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันประจำปี พ.ศ. 2554 พบว่า ประเทศไทยได้ 3.4 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน อยู่อันดับที่ 80 จากการจัดอันดับทั้งหมด 183 ประเทศทั่วโลก และอยู่อันดับที่ 10 จาก 26 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยในปีนี้ ประเทศไทยมีคะแนนเท่ากับ ประเทศโคลัมเบีย เอลซัลวาดอร์ กรีซ โมรอคโค และเปรู ผลการจัดอันดับประจำปีนี้ ประเทศส่วนใหญ่ยังคงมีคะแนนต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง มีเพียง 49 ประเทศเท่านั้นที่ได้คะแนนตั้งแต่ 5 คะแนนขึ้นไป

ประเทศนิวซีแลนด์ สามารถครองแชมป์อันดับหนึ่งในระดับโลก (9.5 คะแนน)และได้คะแนนมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว ส่วนเดนมาร์กและฟินแลนด์แชมป์เก่าแม้จะได้คะแนนมากขึ้นแต่ก็เป็นอันดับสอง (9.4 คะแนน)  ขณะที่อันดับสุดท้าย ได้แก่ ประเทศโซมาเลียและเกาหลีเหนือ (1.0 คะแนน)

ส่วนในภูมิภาคเอเชีย สิงคโปร์ยังครองอันดับหนึ่ง (9.2 คะแนน) และเมื่อพิจารณาตามกลุ่มประเทศและภูมิภาค พบว่า กลุ่มประเทศสมาชิกองค์กรเพื่อความร่วมมือเศรษฐกิจและการพัฒนาหรือ OECD และประเทศในภูมิภาคยุโรปส่วนใหญ่มีคะแนนค่อนข้างดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ ขณะที่กลุ่มประเทศในภูมิภาคยุโรปตะวันออกและเอเชียกลาง และภูมิภาคอัฟริกา มีคะแนนค่อนข้างน้อย

ดร. จุรี กล่าวว่า คะแนน CPI เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อรณรงค์ให้รัฐบาลและประชาชนของประเทศต่างๆทั่วโลก ได้ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศของตนเองและประเทศอื่นๆทั่วโลก เพื่อจะได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ในประเทศไทยเราก็ตื่นตัวเรื่องปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันมากขึ้น มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาของหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. ภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ที่สำคัญที่สุดเราต้องแก้ไขที่ระบบความคิดความเชื่อของคนไทยให้ได้ว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่คนไทยยอมรับไม่ได้  ด้วยการให้คุณค่าต่อความดีมากกว่าความร่ำรวยที่ไม่คำนึงถึงวิธีการ ซึ่งองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทยร่วมกับกรุงเทพมหานครได้ริเริ่มหลักสูตร “โตไปไม่โกง” มาใช้สอนในโรงเรียนสังกัดกทม. เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะยาว

ป.ป.ช.ยังไม่ขอให้ความเห็นอันดับคอร์รัปชั่นไทยพุ่ง

นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงการจัดอันดับดรรชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันประจำปี พ.ศ. 2554 พบว่า ประเทศไทยได้ 3.4 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน อยู่อันดับที่ 80 จากการจัดอันดับทั้งหมด 183 ประเทศทั่วโลก และอยู่อันดับที่ 10 จาก 26 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียด และเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของนายภักดี โพธิศิริ กรรมการป.ป.ช.

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  1 ธันวาคม 2554

8374
วมมือตำรวจ จับยาปลุกเซ็กซ์-เซ็กซ์ทอย และยาแผนโบราณผิดกฎหมาย มูลค่ารวม 7.5 แสนบาท เตือนยาบางตัวออกฤทธิ์ร้ายถึงตายได้
       
       วันนี้ (2 ธ.ค.) นพ. พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ พ.ต.อ.ไพฑูรย์ คุ้มสระพรหม รองผู้บังคับการปราบปราบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (รองผบก.ปคบ.) มีการแถลงข่าวการจับเว็บไซต์ http://spanishflyd9.blogspot.com  ลักลอบขายยาปลุกเซ็กซ์ ยานอนหลับ ยาเสียสาว และเซ็กซ์ทอย และยาแผนโบราณผิดกฎหมาย รวมมูลค่ากว่า 750,000 บาท
       
       โดย นพ.พงศ์พันธ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเว็บไซต์ชื่อhttp://spanishflyd9.blogspot.com  พบว่ามีการขายยาปลุกเซ็กซ์ ยาเสียสาว และอุปกรณ์ทางเพศต่างๆ จึงส่งข้อมูลให้ตำรวจ ปคบ. ดำเนินการสั่งซื้อสินค้าจากชื่อที่ปรากฏในเว็บไซต์ คือ นายสุจินต์ พิริเยศยางกูร (เอก) หลังจากนั้น ในวันที่ 30 พ.ย.2554 ได้มีการส่งมอบของและติดตามพนักงานส่งของจนพบ นายเอกที่คอนโดแห่งหนึ่งย่านปิ่นเกล้า เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงทำการตรวจค้น พบของกลางผิดกฎหมายจำนวนมาก ได้แก่ แมลงวันสเปน (ยาเสียสาว, ยาเสียตัว), ยาน้ำ Blue Wizard, โดมิคุมยาสลบ, ยานอนหลับอย่างแรง, ทิงเจอร์ขาว, Sex Drops, MAXMAN, Cialis และอุปกรณ์เซ็กซ์ทอย
       
       “โดมิคุมนั้นเป็นยาสลบที่มักอนุญาตให้จำหน่ายโดยแพทย์เท่านั้น ซึ่งที่ตรวจจับได้นี้ ส่วนมากเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ สำหรับทิงเจอร์ขาวนั้น ปกติมักจะใช้ในม้าตัวเมีย เวลาต้องการกระตุ้นให้ม้าผสมพันธุ์ เนื่องจากทิงเจอร์ขาวจะออกฤทธิ์เพื่อกระตุ้นความต้องการผสมพันธุ์ในม้าตัวเมีย ซึ่งจะการออกฤทธิ์แรงมากหากใช้กับคนอาจถึงตายได้” นพ.พงศ์พันธุ์ กล่าว
       
       รองเลขาธิการ อย.กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ อย.ได้ตรวจสอบร้านขายยาหลายแห่งร่วมกับตำรวจ ปคบ.พบว่า มีสถานที่ขายตรงบางแห่งมีการสั่งซื้อยาจากสถานที่ขายยาแห่งหนึ่งและนำมาขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมาย ทางตำรวจ ปคบ. จึงทำสืบสวนพบว่า สถานที่ดังกล่าวชื่อ “บ้านสมุนไพร” ตั้งอยู่เลขที่ 345/102 หมู่บ้านกิตตินคร บางปู ต.บางปู อ.เมือง จ.สมุทรปราการ มีการขายยาแผนโบราณโดยไม่มีใบอนุญาต ดังนั้น ในวันที่ 29 พ.ย. พบสถานที่นี้ไม่เคยได้รับอนุญาตใดๆ เกี่ยวกับ การดำเนินธุรกิจด้านยาจาก อย.จึงมีความผิดตามกฎหมายในการขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยยาแผนโบราณ ที่ตรวจพบอยู่ในชั้นวางสินค้าและในห้องเก็บของด้านหลังบ้านจำนวนหลายรายการ เช่น ยาจิ่วเจิ้งปู่เซิน เจียวหนัง, ยาเม็ดบรรเทาริดสีดวง, ยาผงผสมโสมตังกุย, ยาลี่ผิงเจียวหนัง, ยาจิ่วเจิ้งซึงเถียเจียวหนัง, ยาจิ่วเจิ้งทงลิ้มเจียวหนัง เป็นต้น พร้อมกันนี้ ยังพบแผ่นพับโฆษณาขายยาแผนโบราณ, เอกสารโฆษณาอาหารเจนิฟู้ดส์ และแผ่นป้ายไวนิลขนาดใหญ่โฆษณาผลิตภัณฑ์อาหาร เจนิฟู้ดส์ เจ้าหน้าที่ทำการตรวจยึดของกลางเพื่อดำเนินคดีต่อไปจำนวน 21 รายการ มูลค่ากว่า 700,000 บาท
       
       “ถึงแม้ว่ายาแผนโบราณที่ตรวจยึดดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนถูกต้องกับ อย.แล้ว แต่การขายยาและโฆษณาขายยาต้องได้รับอนุญาตจาก อย.ก่อน มิฉะนั้น ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีการขายยาในลักษณะขายตรงแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะการขายยา ผ่านทางเว็บไซต์ ส่วนใหญ่มีข้อความโฆษณาโอ้อวดเกินจริง อวดสรรพคุณในการรักษาสารพัดโรค เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน โรคตับ ไต อัมพฤกษ์ อัมพาต เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น ซึ่งเป็นการหลอกลวงประชาชนให้ต้องเสียเงินจำนวนมาก เพื่อซื้อยาที่ไม่มีคุณภาพตามที่อ้าง อาจทำให้เสียโอกาสในการได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ทั้งนี้ อย. จะดำเนินการตรวจสอบพร้อมเฝ้าระวังการลักลอบจำหน่ายยาและโฆษณาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด” รองเลขาธิการ อย.กล่าว
       
       พ.ต.อ.ไพฑูรย์ คุ้มสระพรหม รองผบก.ปคบ.กล่าวว่า ในส่วนของเว็บไซต์ที่กระทำผิดนั้น ได้ประสานกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอซีที) เพื่อสั่งปิดเว็บไซต์แล้ว โดยแจ้งความดำเนินคดีมีข้อหาดังนี้ 1.ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.ขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท 3.ขายวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 โดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุก 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท ส่วนกรณีการดำเนินคดีของบ้านสมุนไพร คือ ในเบื้องต้นได้แจ้ง 3 ข้อหา ดังนี้ 1.ขายยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 5,000 บาท 2.โฆษณาขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท 3.โฆษณาขายอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
       
       “จากอดีตที่เคยได้จับกุมมา ส่วนมากยาปลุกเซกส์ จะใช้ในผับ บาร์ ใช้ในการมอมยาเพื่อก่อเหตุไม่พึงประสงค์ซึ่งบางตัวออกฤทธิ์ช้า ออกฤทธิ์เร็วภายใน 3-4 นาที ขณะที่ยาบางตัวมีฤทธิ์ยาวนาน 24 ชั่วโมง พ.ต.อ.ไพฑูรย์ กล่าว
       
       แหล่งข่าวใน อย.กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่น่ากังวล คือ ยาบางตัวอย่าง Maxman นั้น เป็นชื่อทางการค้าที่มีตัวยา ซินเดนนาฟิล (Sildenafil))ซึ่งกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศของชาย โดยส่วนมากจะเป็นชนิดเม็ดแต่จากการติดตามสถานการณ์พบว่ามีการผสมในกาแฟปรุงสำเร็จ เพื่อให้ง่ายต่อการรับประทาน ออกฤทธิ์กระตุ้นเหมือนไวอะกร้า

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 ธันวาคม 2554

8375
วิธี​การสกัดยาที่​เรียกว่า "ยาดอง​เหล้า" นั้นถือว่า​เป็นวิธี​การที่น่าสน​ใจมาก ​การดอง​เหล้าคือ​การ​ใช้​แอลกอฮอล์สกัด​เอาสารสำคัญ​ในสมุน​ไพรออกมา จะ​ได้สารสำคัญที่​เข้มข้นกว่า​การต้มด้วยน้ำ​และยา​ไม่บูด​เสียง่าย ​และสามารถสกัดสารบางชนิดที่​ไม่ละลายน้ำ​ได้ นับ​เป็นวิธีที่ประหยัดตัวยา​ใช้​ได้นาน​และ​ใช้​ในปริมาณที่น้อยลง ​การดองต้อง​ใช้​เวลา 15-30 วันจะสกัดตัวยา​ได้มากขึ้น ​และสามารถกำจัด​แอลกอฮอล์ที่​ใช้ดองยา​โดยระ​เหย​ไปด้วย​ความร้อน ​เช่น ​การนึ่ง

ยาดอง​เหล้าส่วนมาก​เป็นยา​เกี่ยวกับพวก ​เลือดลม​และ​โรค​โลหิตสตรี ​เน้น​การ​ใช้กับ​ผู้หญิง หลังคลอด ยาที่​ใช้ส่วน​ใหญ่​เป็นพวกกระตุ้น​การบีบตัวของมดลูก ​และตัวยาที่​ใช้ดองจะ​เข้า ​ไปช่วย​เสริมสร้างประสิทธิภาพ​ทำ​ให้ร่างกายคืนสู่สภาพ​เดิม​ได้​เร็วขึ้น ​และ​ในกลุ่ม​ผู้ชาย​ซึ่ง​โดยส่วน​ใหญ่มัก​ใช้​แรงงานหนักจาก​การ​ทำงานมักปวดหลังปวด​เอว จะนิยม​ใช้ยาดอง​เหล้าที่ดองจากสมุน​ไพรชูกำลัง​หรือบำรุงกำลังช่วย​ให้ร่างกายหาย​เมื่อยล้าจาก​การ​ทำงานหนัก ​เป็นต้น ​การ​ใช้ยาดอง​เหล้ารักษา​โรคมัก​ใช้น้อยๆ กินวันละ 2 ครั้ง ​เช้า-​เย็นก่อนอาหาร​ไม่มาก​ไปกว่าครั้งละ 1 ​เป๊ก

ตำรับยาดอง​เหล้ามีมากมายหลายสูตรขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่จะนำ​ไป​ใช้​หรือหมอ​เป็น​ผู้​แต่งยา​ให้ ​ผู้​ใช้ยา​เหล่านี้จะต้อง​เป็น​ผู้มี​ความรู้​เรื่องยาสมุน​ไพร ​และต้อง​ใช้​ให้ถูกต้น ถูกขนาน ถูกวิธีด้วย ตัวยาที่พบ​โดยส่วนมาก ​ได้​แก่ ​โคคลาน ​เถาวัลย์​เปรียง ​เถา​เอ็นอ่อน ​เจ็ดกำลังช้างสาร ม้ากระทืบ​โรง กำลังวัว​เถลิง กำลัง​เสือ​โคร่ง พริก​ไทย ดีปลี ฝาง ว่านชักมดลูก ​โด่​ไม่รู้ล้ม รากกุ่มนา ​เปลือกต้นตะ​โกนา ​เถาม้าทะลาย​โรง สมุน​ไพรดังกล่าวนี้มัก​ใช้​เข้ากับตำราอื่นๆ ​เพื่อ​ใช้บำรุงกำลัง บำรุง​เลือด

ยาดอง​เหล้ามัก​ใช้สมุน​ไพร​แห้งดอง ​โดย​เอาสมุน​ไพรล้าง​ให้สะอาด หั่น​เป็นชิ้น​เล็กๆ ตาก​แดด​หรืออบ​ให้​แห้ง​เอาตัวยา​ทั้งหมดห่อด้วยผ้าขาวบาง​ใส่ลง​ในขวด​โหล ​เท​เหล้าขาว​หรือ​เหล้า​โรง (28-40 ​ใส่ลง​ในขวด​โหล ​เท​เหล้าขาว​หรือ​เหล้า​โรง (28-40 ดีกรี) ​ให้ท่วมตัวยา​แล้วปิดฝาขวด​ให้สนิท ทิ้ง​ไว้ 30-60 วัน​เป็นอย่างน้อย ​แต่ยิ่งทิ้งระยะ​เวลา​การดอง​ไว้นานกว่านี้​แล้วนำมา​ใช้​ก็จะ​ได้ยาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่าง​ไร​ก็ตาม ​การ​ใช้ยาดอง​เหล้ารักษา​โรค ห้าม​ใช้กับคนป่วยที่มีอา​การ​โรคหัว​ใจ  ​ความดัน​โลหิตสูง ​เบาหวาน หญิงมีครรภ์ ​ผู้ที่​แพ้​แอลกอฮอล์ หากจำ​เป็นต้อง​ใช้ยาที่มี​แอลกอฮอล์​เป็นตัวสกัด​แล้ว ควรต้อง​ใช้วิธีระ​เหย​เอา​แอลกอฮอล์ออก​ให้หมดก่อน ​โดย​เฉพาะ​แม่ที่​ให้นมบุตร

​การพัฒนารูป​แบบ​การปรุงยา​ในบ้าน​เรา ​โดย​เฉพาะ​การ​ใช้วิธีดองยาด้วย​เหล้านั้นยังติดด้วยข้อกฎหมาย พ.ร.บ.สุรา ​เพราะ​การดองยาด้วย​เหล้า​ทำ​ให้​เกิด​การ​เปลี่ยนสถานะ​เปลี่ยนสี​เปลี่ยนกลิ่น ถือว่าผิดกฎหมาย ​ทั้งที่​ความจริง​แล้ว​การ​ใช้วิธีสกัดยาวิธีนี้จะช่วยประหยัดตัวยา ​ไม่ต้อง​ทำลายป่า ​ไม่ต้อง​ทำลายทรัพยากร ​โดย​เฉพาะตัวยาที่หายากๆ ​ก็ยิ่งประหยัดมากขึ้น ​ในประ​เด็นที่ห่วงว่าประชาชนจะกิน​เหล้ามากกว่ากินยานั้น ต้อง​เปรียบ​เทียบ​ให้ดูว่า​แม้ประชาชน​ไม่กิน​เหล้าดองยา ​แต่หัน​ไปกิน​เหล้า​แดง​หรือ​เครื่องดื่มมึน​เมาอื่นๆ ​เพิ่มขึ้นทุกวันอยู่​แล้ว ​จึง​ไม่อยาก​ให้​เอาประ​เด็นนี้มา​เป็นข้อห้าม​ใน​การพัฒนายาดองด้วย​เหล้า

​ใน​การพัฒนาตำรับยาดอง​เหล้าที่​ได้รับ​การ ส่ง​เสริมอย่างถูกต้องจริงจังนั้นยังจะ​ได้ประ​โยชน์​ในด้าน​การคัด​เลือกตำรับยา ประสิทธิภาพยา ​แล้วส่ง​เสริม​ให้​ใช้​เป็นยาอย่างถูกกฎหมาย ตรวจ สอบคุณภาพ​และมาตรฐานอย่างจริงจังผ่าน​การควบคุมจาก อย. ผลพลอย​ได้ตามมาอีกมากมาย ควบคุมจาก อย. ผลพลอย​ได้ตามมาอีกมากมาย ต่างจาก​การปล่อย​ให้ดอง​ใส่​โหลตั้งริมทางที่กินกัน​แบบยก​โหล​เพราะคนมองว่า​เป็น​เหล้า ​แต่ถ้ากำหนด​ให้กิน​แบบยา​เน้น​การ​ใช้​เป็นยารักษา​โรคอย่างชัด​เจน

​ในตำรายา​แผน​โบราณของ​ไทย มีตัวยาที่สำคัญหลายตำรับที่ต้องสกัดด้วย​การดองยา​แล้วจะ​ได้ตัวยาที่ดีกว่าวิธีอื่น บางตำรับสามารถ​ใช้​ใน​การรักษา​โรค​เรื้อรัง​หรือ​โรคมะ​เร็ง​ได้

ที่สำคัญยืนยัน​ได้ว่า​การสกัดยาด้วยวิธีดองด้วย​แอลกอฮอล์​เพื่อ​แก้ปัญหา​การบริ​โภค​เหล้า ยาดอง ​และส่ง​เสริมกระบวน​การพัฒนายา​ไทยด้วยวิธีสกัดยาสมุน​ไพรด้วยวิธี​การดอง​เหล้าด้วย​แอลกอฮอล์นี้​ได้ตัวยาที่มีฤทธิ์​และประสิทธิภาพดี​แน่นอน

​ในอนาคตคงต้องศึกษาวิจัยว่าจะมีวิธี​การอย่าง​ไรที่จะ​แยก​เหล้าออกจากตัวยา ​แล้วนำ​ไป​ใช้​โดย​ไม่ต้องพะวงว่ายานั้นยังมี​เหล้าอยู่อีก ​เพื่อ​แก้ปัญหา​การบริ​โภค​เหล้า ยาดอง ​และส่ง​เสริมกระบวน​การพัฒนายา​ไทยด้วยวิธีสกัดยาสมุน​ไพรด้วยวิธี​การดอง​เหล้าด้วย.

​ไทย​โพสต์  4 ธันวาคม 2554

8376
ร.พ.ออกโรงกระตุ้นตลาดหลังน้ำลด เข็นแพ็กเกจตรวจสุขภาพราคาประหยัด-คุ้มค่าจูงใจ "พญาไท 2" แถมวัคซีนไข้หวัดใหญ่-กิฟต์โวเชอร์ที่พักหรู "กรุงเทพ" ลด 60% ชุดตรวจสุขภาพ ไทยช่วยไทย "เปาโล" งัดซื้อ 1 แถม 1 ลุย ขณะที่ "วิภาวดี" เพิ่มรายการตรวจ-ราคาสบายกระเป๋า

นายอิทธิ ทองแตง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือโรงพยาบาลพญาไทและเปาโล เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อและพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงน้ำท่วม ที่ระวังการใช้จ่ายและชะลอใช้จ่ายในเรื่องของการดูแลและการป้องกันรักษาสุขภาพ โรงพยาบาลจึงได้ปรับรูปแบบการทำตลาดมุ่งเน้นกิจกรรมเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง เช่น การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมทั้งจัดแพ็กเกจสุขภาพในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อกระตุ้น ด้วยการมุ่งไปที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่ามากขึ้น อาทิ การเพิ่มรายการตรวจ ราคาที่มีความจูงใจ และลูกค้าสามารถจ่ายได้ พร้อมทั้งขยายระยะเวลาแคมเปญให้ยาวขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า

ล่าสุด พญาไท 2 ได้จัดแคมเปญแฮปปี้ ไลฟ์ เช็ก อัพ ไปจนถึงเดือนธันวาคมนี้ สำหรับผู้ซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพตั้งแต่ 5,000-17,000 บาท รับหนังสือปรับวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง หรือหมอนผ้าห่มพญาไท หรือรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ มูลค่า 750 บาท พร้อมลุ้นรับกิฟต์โวเชอร์ที่พักเชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา และฟูจิ เรสเตอรองต์ รวมมูลค่า 75,000 บาท

ด้านนางสาวบุปผา ภู่ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริการ เครือโรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล ระบุว่า ได้ออกแพ็กเกจตรวจสุขภาพตามเทศกาลต่าง ๆ โดยเฉพาะปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงพีกที่สุด โดยกลยุทธ์การออกแพ็กเกจตรวจสุขภาพในช่วงนี้ได้ปรับให้มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยมุ่งไปที่เรื่องของ การแบ่งเบาภาระของลูกค้าจากปัญหาน้ำท่วม อาทิ ซื้อ 1 แพ็กเกจ รับ 1 แพ็กเกจ ที่มีรายการตรวจเหมือนกัน จากปกติได้รับแพ็กเกจขนาดย่อย คาดว่าจะเปิดตัว 15 ธันวาคมนี้ และขยายระยะเวลาถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ พร้อมรายการตรวจเพิ่มในราคาพิเศษ

นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังมีโปรแกรมตรวจสุขภาพ เปาโล เลิฟแคร์ อินเทล ลิเจนซ์ ราคา 3,900 บาท หากตรวจเป็นคู่ ในราคา 7,000 บาท พร้อมรับบัตรเปาโลโกลด์การ์ด ที่ให้ส่วนลดค่ายา 15% และค่าห้อง 25% (ถึง 15 ธันวาคม)

ขณะที่นางสาวปัทมพร บุพพะกสิกร ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์และพัฒนาธุรกิจ โรงพยาบาลวิภาวดี กล่าวว่า ขณะนี้โรงพยาบาลกลับมาเปิดให้บริการตามปกติ หลังจากน้ำท่วมทำให้ไม่สามารถให้บริการได้เต็มร้อย ขณะเดียวกันก็ได้เตรียมเปิดตัวแพ็กเกจตรวจสุขภาพหลังน้ำลด โดยจะเน้นไปที่เรื่องของความคุ้มค่า ทั้งในแง่ความหลากหลายและครอบคลุมระบบต่าง ๆ โดยจะลอนช์แคมเปญกลางเดือนธันวาคมนี้ รวมทั้งได้ขยายระยะเวลาจัดแคมเปญตรวจสุขภาพฟันและวัคซีนไข้หวัดใหญ่ถึงสิ้นปีนี้ จากเดิมจะสิ้นสุดในปลายเดือนพฤศจิกายน

"เราจะเน้นไปที่ความคุ้มค่าที่มีมากกว่าเดิม ราคา 1,000-2,000 ต้น ๆ และเพิ่มรายการตรวจจาก 5 รายการ เป็น 8-10 รายการ"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนโรงพยาบาลกรุงเทพ ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้จัดแคมเปญ The Gift of Health : ไทยช่วยไทย ด้วยชุดตรวจสุขภาพราคาพิเศษ ลดสูงสุดกว่า 60% ยาวไปจนถึงวันที่ 4 ธันวาคม และสามารถใช้สิทธิไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2555 อาทิ ชุดตรวจสุขภาพประจำปี ไทยช่วยไทย Vital (อายุ 14-30 ปี) ปกติ 6,900 บาท พิเศษ 2,100 บาท, Vital Plus (14-30 ปี) 8,470 บาท พิเศษ 3,900 บาท ชุดตรวจสุขภาพพร้อมวิวาห์ ชาย ปกติ 5,8010 บาท พิเศษ 2,900 บาท หญิง 6,640 บาท พิเศษ 3,300 บาท เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีแพ็กเกจตรวจสุขภาพ หลังน้ำท่วม ประกอบด้วยแพ็กเกจ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัด ใหญ่ ราคา 800 บาท โปรแกรมเอกซเรย์ปอด ราคา 900 บาท แพ็กเกจฉีดวัคซีนป้องกัน โรคปอดอักเสบในผู้ใหญ่ ราคา 1,500 บาท (รวมค่าบริการผู้ป่วยนอกและค่าแพทย์) ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนถึงสิ้นปี

ประชาชาติธุรกิจ  1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

8377
ปัจจุบันสวัสดิ​การด้านสุขภาพของคน​ไทยมีประสิทธิภาพมากกว่า​ในอดีตอย่าง​เห็น ​ได้ชัด ​โดยสามารถ​เข้ารับ​การรักษาอา​การ ​เจ็บ​ไข้​ได้ป่วย​โดย​แทบ​ไม่ต้อง​ใช้​เงิน ​แต่คน​ไทยส่วน​ใหญ่​ก็ยังมีพฤติกรรม​ใน​การซื้อยามารับประทาน​เอง ​ไม่นิยม​ไปพบ​แพทย์​เพื่อตรวจวินิจฉัย​โรค ​ถึง ​แม้จะ​เป็นสิทธิ​และ​เสรีภาพด้าน​การบริ​โภค ​แต่​ก็ ​เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผล​เสียต่อสุขภาพของประชา กร​ไทย ​และยังสร้าง​ความสูญ​เสียต่อ​เศรษฐกิจ​ทั้ง​ในระดับครัว​เรือน​ไปจน​ถึงระดับประ​เทศ

หลายรายนิยม​เลือกซื้อยาจากร้านขายยา​โดย ​ไม่มี​ใบสั่ง​แพทย์ บางครั้ง​ถึงขั้นวินิจฉัย​โรคด้วยตน ​เอง ​และมี​ความ​เข้า​ใจผิดๆ ว่ายา​แก้ปวด​และยาปฏิชีวนะ ​หรือยา​แก้อัก​เสบ ​เป็นยาครอบจักรวาลที่​ใช้รักษา​ได้ทุก​โรค​เช่น​เดียวกับที่ ชุมชนบ้าน​เหมือดขาว ตำบลม่วง อำ​เภอมหาชนะชัย จังหวัดย​โสธร ที่สูญ​เสีย​เม็ด​เงิน​ไปกับ​การซื้อยากิน​เองจากร้านขาย ยา ​เช่น ยา​แก้ปวด ยา​แก้หวัด คัดจมูก น้ำมูก​ไหล มูลค่า​ไม่น้อยกว่า 108,000 บาทต่อปี ​ในขณะที่ปัญหาด้านสุขภาพกลับรุน​แรงขึ้นขึ้น ​เนื่องมาจาก​การ​ใช้ยาที่ผิดวิธี

ด้วย​เหตุนี้ องค์​การบริหารส่วนตำบลม่วง อำ​เภอมหาชนะชัย จังหวัดย​โสธร ​จึง​ได้จัด​ทำ​โครง ​การ "หมอบ้าน​เหมือดขาวร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่น ​ให้น่าอยู่" ​เพื่อส่ง​เสริม​ให้คน​ในชุมชน​ได้ดู​แลรักษาสุขภาพของตน​เองตาม​แนวทาง​เศรษฐกิจพอ​เพียง ด้วย​การนำภูมิปัญญาท้องถิ่น​เกี่ยวกับ​การ​ใช้สมุน ​ไพรพื้นบ้าน​ใกล้ตัว​ซึ่งมีสรรพคุณทางยา มาประยุกต์​ใช้กับวิถี​การกินอยู่ประจำวันของครอบครัว ชุมชน ​และท้องถิ่น​ใกล้​เคียง ​โดย​ได้รับ​การสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุน​การสร้าง​เสริมสุขภาพ (สสส.)

นายศุภษร อินทร์กาย นายกองค์​การบริหารส่วนตำบลม่วง หัวหน้า​โครง​การ อธิบายว่า ชาวบ้าน​เหมือดขาว​เกือบ​ทั้งหมดประกอบอาชีพ​ทำนา ​เมื่อ​เจ็บป่วย​ก็​เลือกที่จะซื้อยากิน​เอง​แทนที่จะ​ไปพบ​แพทย์ ​เนื่องจาก​การ​เดินทาง​ไป​โรงพยาบาล​ทำ ​ให้​เสีย​เวลา​ทำงาน ​เสียค่า​เดินทาง​และค่าอาหารต่อครั้งมากกว่า 200 บาท ผลกระทบที่ตามมาคือ ภาวะ​การ​ใช้ยา​แบบฟุ่ม​เฟือย ​เสี่ยงต่อ​การ​ใช้ยาผิด

ประ​เภท​และผิดวิธี นอกจากจะ​ไม่หายขาด อาจส่งผล​ให้สุขภาพ​เสื่อม​โทรม​และ​เกิด​การอา​การ​เจ็บป่วย​เรื้อรัง​ซึ่งยากต่อ​การรักษา

"​เมื่อประชาชน​ไม่สะดวกที่จะ​เข้า​ไปพึ่งพา​การรักษาจากหมอ​ใน​โรงพยาบาล​ใหญ่ด้วยข้อจำกัด​ใน​เรื่องต่างๆ ​ในฐานะองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น​จึงมีหน้าที่ต้อง สร้าง​เสริมสุขภาพที่ดี​แก่ทุกคน ดัง นั้น​การสร้างคน​ในชุมชน​ให้​เป็นหมอที่มี​ความรู้ ​เรื่อง​การ​ใช้ผัก​และสมุน​ไพร​ในท้องถิ่นมาปรุง​เป็น ยา ​เพื่อบรร​เทาอา​การ​เจ็บป่วย​เบื้องต้น ถือ​เป็น ​การกระตุ้น​ให้​เกิด​การพึ่งพาตน​เองที่ถูกต้อง​แทน​การซื้อยากิน​เอง ช่วย​ให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายที่​แข็ง​แรงขึ้น ค่า​ใช้จ่ายด้าน​การรักษาพยาบาลน้อยลง อีก​ทั้งยังช่วย​ให้​แพทย์​และพยาบาลมี​เวลาดู​แลรักษา​ผู้ป่วยที่จำ​เป็นต้อง​ได้รับ​การวิ​เคราะห์​โรค​เชิงลึก​และ​การรักษาที่​ใกล้ชิดกว่า" นายศุภษรกล่าว​เพื่อสร้างองค์​ความรู้​เกี่ยวกับ​การ​ใช้สมุน​ไพรอย่างถูกต้อง อบต.ม่วง ​จึง​ได้ชักชวน​ให้กลุ่ม​เป้าหมายหลัก​ซึ่ง​เป็น​ผู้ป่วยด้วย​โรค​เรื้อรัง อาทิ ​โรค​ความดัน​โลหิตสูง ​โรค​เบาหวาน ​โรคผิวหนังอัก ​เสบ ​เข้าค่ายฝึกอบรม​ในกิจกรรม งาน​แพทย์ทาง​เลือกวิถีพุทธ ณ สวนป่านาบุญ  อำ​เภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร ​โดย​เป็น​การถ่ายทอด​ความรู้ ​เรื่อง​การดู​แลสุขภาพ​แบบองค์รวม ด้วย​การบรร ​เทาอา​การ​เจ็บป่วยจาก​โรคต่างๆ ​เสริมสร้างร่าง กาย​ให้​แข็ง​แรงด้วยสมุน​ไพร​ใกล้ตัว

นางสาวจรูญ ​เหง้าชารี ​แกนนำกลุ่มหมอบ้าน​เหมือดขาว กล่าวว่า สมาชิก​ในชุมชนหลายรายมีปัญหาสุขภาพ​ซึ่ง​เป็นกระทบจากพฤติกรรม​การ​ใช้สาร​เคมี​ในภาค​การ​เกษตร ​โรคส่วน​ใหญ่ที่พบ​ในพื้นที่​จึง​เป็น​โรคระบบทาง​เดินหาย​ใจ ​โรคผิวหนังอัก​เสบ รวม​ถึง​โรค​เบาหวาน ​และ​ความดัน​โลหิตสูง จาก​การ​เข้าฝึกอบรม​ในกิจกรรมงาน​แพทย์ทาง​เลือกวิถีพุทธ ​จึงรู้ว่า​โรค​เรื้อรัง​เกิดจาก พฤติกรรม​การ​ใช้ชีวิตที่ขาด​ความพอดี หากต้อง ​การห่าง​ไกลจาก​โรคภัย​ไข้​เจ็บ​เหล่านั้นจะต้องปรับ​เปลี่ยนพฤติกรรม​การกินอยู่​ให้สมดุล​เป็นอันดับ​แรก

"วัฒนธรรม​การกินถิ่นอีสานหนี​ไม่พ้นข้าว​เหนียว ส้มตำ ​และน้ำพริก ​ในข้าว​เหนียวมี​แป้ง​และน้ำตาลสูง ส่วนกับข้าว​และ​เครื่อง​เคียงล้วน​เป็นอาหารรสจัด ​ทั้งหมดนี้คือปัจจัยกระตุ้น​ให้อา​การของ​โรค​ความดัน​โลหิตสูง​และ​เบาหวานกำ​เริบ ​การปรับวิธี​การกินอาหาร​จึง​เป็นกฎข้อ​แรกของ​การมีสุขภาพดีที่สมาชิกต้องปฏิบัติตามอย่าง​เคร่งครัด จากนั้นคือ​การถอนพิษ​ทั้งภาย​ใน​และภายนอกร่างกายด้วยวิธี​การต่างๆ" น.ส.จรูญระบุ อาหารหลักที่ช่วยปรับร่างกาย​ให้สมดุลคือ สมุน​ไพรที่หา​ได้ตามรั้วบ้านกว่า 10 ชนิด อาทิ ​ใบย่านาง​เขียว ​ใบ​เตย บัวบก หญ้าปักกิ่ง ​ใบอ่อม​แซม ​ใบ​เสลดพังพอน หยวกกล้วย ​และว่านกาบหอย ​ซึ่งส่วน​ใหญ่มีฤทธิ์​เย็น ​เมื่อ​ผู้ป่วยที่​เป็น​โรค​ความดัน​และ​เบาหวาน​ได้รับประทาน​ก็จะช่วยลดอุณหภูมิ​ในร่างกาย​ให้​เป็นปกติ

นายสุวิทย์ บุดดีสี วัย 60 ปี ชาวบ้าน​เหมือดขาวที่​เข้าร่วม​โครง​การ ​เปิด​เผยว่า ตนมีปัญหาสุขภาพ​ไม่ต่างจากคนอื่น ด้วย​เป็นห่วงว่าจะ​ไม่มี​ใครดู​แลที่นา ​เมื่อมีอา​การปวดหัว​เป็น​ไข้​จึงมักซื้อยากิน​เอง จนกระทั่งล้มป่วยหนักด้วยอา​การ​ไข้ กินอาหาร​ไม่​ได้ ​เคลื่อน​ไหวลำบาก ​จึงตัดสิน​ใจ​ไปพบ​แพทย์ ​แต่สุดท้าย​แพทย์​แต่ละคนกลับวินิจฉัย​ไม่ตรงกัน ​ทำ​ให้​เสีย​เงิน​ไปหลายพันบาท

"​การ​ใช้สมุน​ไพรบำบัด​เป็นทาง​เลือกสุดท้ายที่ต้อง​เลือก ​แต่​เมื่อปฏิบัติตามกลับพบว่าอา​การ​เจ็บป่วยทุ​เลาลงอย่าง​เห็น​ได้ชัด ทุก​เช้าจะดื่มน้ำคลอ​โรฟิลล์​ซึ่ง​เป็นสมุน​ไพรจากพืชผักพื้นบ้านที่ขึ้นตามริมรั้ว ​โดยนำมาบดสด​แล้วดื่มน้ำ กากที่​เหลือนำ​ไปพอกร่างกายบริ​เวณที่ปวด​เมื่อย​แล้ว​ใช้​ไม้ขูดนวด​เบาๆ ​ซึ่งสารอาหาร​ในกากสมุน​ไพรจะถูกดูดซึม​เข้าสู่ร่างกายอีกทางหนึ่ง ส่วนอาหาร​ใน​แต่ละมื้อ​ก็จะปรุงจากพืชผักพื้นบ้านที่ปรุงรสด้วย​เกลือ​และน้ำตาล​เพียงหยิบนิ้ว​เท่านั้น ​แล้วออกกำลังกายด้วย​การ​ทำ​โยคะ ​และสร้างสุขภาพ​ใจด้วย​การ​ทำสมาธิก่อน​เข้านอน ปรากฏว่าทุกวันนี้สามารถ​ทำงาน​ได้​เป็นปกติกินอิ่มนอนหลับสบาย​ใจ" นายสุวิทย์กล่าว

ปัจจุบันชาวบ้าน​เหมือดขาว​ได้รับปริญญาชีวิต​เป็นหมอสมุน​ไพรกันถ้วนหน้า สามารถดู​แลรักษาสุขภาพ​เบื้องต้น​ได้ด้วย​ความรู้​และสองมือของตน​เอง อีก​ทั้งยังสามารถถ่ายทอด​ความรู้​ความ​เข้า​ใจที่ถูกต้อง​ให้​แก่ชุมชนอื่นๆ ที่ประสบปัญหาด้านสุขภาพ​ได้อีกด้วย

"ที่ผ่านมา อบต.ถูกมองว่ามีหน้าที่ต้องสร้างถนน​เพื่ออำนวย​ความสะดวก​ให้​เหล่าพ่อค้า​แม่ค้า​ได้นำพาสิ่งของ​เครื่อง​ใช้หรูหรามาสู่ท้องถิ่น สิ่ง​เหล่านี้​เป็น​ความสุข​เพียงฉาบฉวย ​แท้จริงคือหนี้สิน​และวิถีชีวิตที่​เปลี่ยน​ไป ดังนั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดี​จึงมีหน้าที่ต้องดู​แลประชาชน​ให้อยู่ดีมีสุขอย่าง​แท้จริง ด้วย​การดู​แลสุขภาพของทุกคน ​เพราะ​เมื่อสุขภาพร่างกาย​แข็ง​แรง ห่าง​ไกล​โรค ​เศรษฐกิจ​ในครัว​เรือน​ก็ดีขึ้น สามารถดำ ​เนินชีวิต​ได้อย่างปกติสุข ชุมชน​ก็มี​ความน่าอยู่มากขึ้น กลาย​เป็นตำบลที่มี​ความ​เข้ม​แข็งจากภาย ​ใน​โดยทุกคนมีส่วนร่วม" หัวหน้า​โครง​การกล่าว.

ไทย​โพสต์ 4 ธันวาคม 2554

8378
เอกสาร
สรุปผลการตรวจสอบการดำเนินการ ปีงบประมาณ ๒๕๕๔
สำนักงานตรวจสอบการดำเนินงานที่ ๒










..........................................................

8379

สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)เผยแพร่สรุปผลการตรวจสอบประเมินผลสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ปีงบประมาณ 2554 ทางเว็บไซต์เมื่อเร็วๆนี้โดยระบุว่า มีการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรีหลายข้อทั้งการจ่ายเงินเดือนเลขาธิการ สปสช.ในอัตราสูงไม่เป็นไปตามสัญญา จ่ายเบี้ยประชุมให้ประธานและอนุกรรมการเกินกว่ามติ ครม.2เท่าตัว มั่วจ่ายเบี้ยเลี้ยง จ่ายโบนัสพนักงานโดยไม่มีมติคณะกรรมการ สปสช. ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

สรุปผลการตรวจสอบประเมินผลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ ๒๕๕๔
สำนักงานตรวจสอบการดำเนินการที่ ๒
















....................................................................

8380
นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ถึงกรณีที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ห่วงปัญหาเชื้อราในบ้านเรือนประชาชนหลังน้ำท่วมว่า พระองค์ท่านพระราชดำรัสในเรื่องนี้ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุข นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข และตนกำลังจะสนองพระราชดำรัส ซึ่งเชื้อราที่เราพบเป็นเชื้อที่ไม่ทำอันตรายแก่ทุกคนที่สภาพร่างกายปกติ แข็งแรง แต่เชื้อราจะมีผลเฉพาะกลุ่มคน 2 ประเภท คือ คนที่มีภูมิต้านทานต่ำ และกลุ่มที่แพ้ง่ายหรือเป็นโรคภูมิแพ้ ดังนั้นทางกระทรวงได้มีข้อแนะนำผู้ที่จะเข้าไปทำความ สะอาดบ้านควรจะสวมถุงมือ และถ้าเรารูสึกตัวว่าเราเป็นโรคภูมิแพ้หรือร่างกายในช่วงนั้นอ่อนแอไม่แข็งแรง พยายามสวมหน้ากากอนามัยทำความสะอาดบ้านในเบื้องต้น

นพ.ไพจิตร์กล่าวว่า ทางกระทรวงได้สนองพระราชดำรัสเราจะใช้อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) ที่มีอยู่ทั่วประเทศประมาณ 1 ล้านคนเข้าไปแนะนำแจกคู่มือช่วยประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลมีนโยบายในช่วงวันที่ 1-5 ธ.ค.จะได้เร่งดำเนินการสนองตอบในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา อย่างไรก็ตาม เชื้อราที่รุนแรงมากที่สุดคือทำให้ปอดอักเสบ เพราะถ้าร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำ เวลาที่สูดมันจะทำให้เกิดอาการปอดอักเสบหรือปอดบวมได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีลักษณะของภูมิต้านทานต่ำก็อาจจะถึงเสียชีวิตได้ อาทิ ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งแล้วต้องกินยากดภูมิต้านทาน ควรสวมหน้ากากอนามัยเข้าไปทำความสะอาดบ้าน หากมีอาการรุนแรงให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่สถิติคนที่แพ้เชื้อราขณะนี้มีจำนวนน้อย และยังไม่พบผู้เสียชีวิต รวมทั้งยืนยันว่ายังไม่พบเชื้อโรคใหม่ๆ เกิดขึ้นแต่อย่างใด

มติชนออนไลน์  3 ธันวาคม พ.ศ. 2554


8381
พริกแห้ง พริกป่น มักจะมี เชื้อรา และ สารอะฟลาทอกซินปนเปื้อน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ ที่ทำให้ผลผลิตที่ได้ไม่มีคุณภาพและไม่สามารถส่งออกได้ กรมวิชาการเกษตร จึงได้หาวิธีที่จะป้องกันการปนเปื้อนสาร อะฟลาทอกซินโดยไม่ใช้สารเคมี โดยทำการศึกษาสมุนไพรมากกว่า 10 ชนิดพบว่ากระเทียมสามารถทำลายเชื้อราได้ 100% และยังสามารถทำลายสารพิษได้อีกด้วย ทำให้พริกแห้งและพริกป่นที่ได้มีคุณภาพดีและปลอดการปนเปื้อนสารอะฟลาทอกซิน
   
วิธีปฏิบัติ เก็บพริกสดมาทำความสะอาด จุ่มลงในสารสกัดกระเทียมที่ได้จากกระเทียมสดคั้นน้ำ แล้วนำไปผึ่งให้แห้ง จากนั้นนำไปอบให้เป็นพริกแห้ง จะได้พริกแห้งที่ไม่มีเชื้อราและอะฟลาทอกซิน สามารถเก็บได้นานถึง 10 เดือน ซึ่งวิธีนี้สามารถทำได้ทั้งพริกเม็ดใหญ่ พริกขี้หนู และพริกป่น นอกจากนี้พริกที่มีสารพิษอยู่แล้วเมื่อนำมาคลุกกับสารสกัดกระเทียมดังกล่าว ก็จะช่วยลดปริมาณสารพิษเหล่านั้นลงได้ ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้พบว่าใช้ได้ผลดีกับพริก ถั่วลิสง หรือแม้แต่ข้าวโพด ก็สามารถใช้วิธีเดียวกันนี้ได้
   
การนำพริกมาจุ่มลงในสารสกัดกระเทียมนี้แม้จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่หากมองถึงสิ่งที่ได้รับคือพริกแห้งที่ได้มีความสวยงามมากขึ้น มีคุณภาพดี เก็บไว้ได้นาน และสามารถขายได้ในระดับพรี  เมี่ยม ซึ่งจะทำให้สินค้ามีราคาที่สูงขึ้นไปด้วย ดังนั้นจึงถือว่ามีความคุ้มค่าต่อการลงทุน นอกจากนี้ในส่วนของรสชาติที่ได้รับก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และอาจมีความหอมเพิ่มมากขึ้นจากสารสกัดกระเทียมดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายเกษตรกรสามารถทำเองได้
   
สำหรับในส่วนของกระเทียมนั้น หากเป็นช่วงที่กระเทียมมีราคาสูงเกษตรกรสามารถจัดการในด้านต้นทุนได้ ด้วยการนำกระเทียมในช่วงที่ราคาต่ำมาผลิตเป็นผงไว้ใช้งานได้ นอกจากนี้ผู้ผลิตกระเทียมเองก็อาจนำมาผลิตเป็นกระเทียมผงเพื่อขายให้กับเกษตรกรผู้ผลิตพริกแห้ง พริกป่น ถือเป็นการสร้างรายได้ให้ผู้ปลูกกระเทียมอีกทางหนึ่ง.

เดลินิวส์ 23 พฤศจิกายน 2554

8382
สั่งจำคุก 4 ปี "ดร. คอนราด เมอร์เรย์" แพทย์ประจำตัวนักร้องราชาเพลงป็อป "ไมเคิล แจ็คสัน" ในความผิดในคดีฆ่าคนตายโดยประมาท ด้านเจ้าตัวบอกไม่รู้สึกผิดเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด
       
       หลังใช้เวลาการตัดสินมายาวนานร่วม 2 ปี วันวานที่ผ่านมาศาลสูงลอสแอนเจลิส ก็ได้ตัดสินจำคุกเป็นเวลา 4 ปี แก่ "ดร. คอนราด เมอร์เรย์" ในความผิดในคดีฆ่าคนตายโดยประมาท หลังให้ยานอนหลับ ที่มีฤทธิ์กล่อมประสาทชนิดรุนแรง กับราชาเพลงป๊อป "ไมเคิล แจ็คสัน" จนถึงแก่ความตายเมื่อปี 2009 ที่ผ่านมา
       
       โดยในช่วงหนึ่งผู้พิพากษาแห่งศาลสูงลอสแอนเจลิส ไมเคิล พาสเตอร์ ได้กล่าวถึงความผิดของ ดร. คอนราด เมอร์เรย์ ว่า "เขาละเมิดความไว้เนื้อเชื่อใจ ของทั้งประชาคมแพทย์, เพื่อนร่วมอาชีพ รวมถึงคนไข้ของตัวเอง และยังไร้ซึ่งการสำนึกผิด, ไม่สำนึกถึงความบกพร่องของตนเอง ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายร้ายแรงอย่างยิ่ง"
       
       ทั้งนี้นายแพทย์คอนราด เมอร์เรย์ ถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ในเหตุการณ์เมื่อเดือน มิ.ย. 2009 ที่คร่าชีวิตของซูเปอร์สตาร์วัย 50 ปี ไมเคิล แจ็คสัน ไประหว่างที่เขากำลังเตรียมตัวเปิดการแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศอังกฤษ
       
       ในการตัดสินโทษครั้งนี้ครอบครัวแจ็คสันได้มอบหมายให้ทนายความ ไบรอัน เพนิช เป็นตัวแทนในการอ่านแถลงการณ์ซึ่งมีใจความส่วนหนึ่งว่า "พวกเราไม่ได้แสวงหาการแก้แค้น ไม่มีอะไรที่จะสามารถพา ไมเคิล กลับมาหาเราได้อีกแล้ว" โดยครอบครัวและพนักงานอัยการได้เห็นพ้องในการเรียกร้องให้ศาลลงโทษในอัตราสูงสุดกับ หมอเมอร์เรย์
       
       ฝ่าย เอ็ด เชอร์นอฟฟ์ ทนายความของ หมอเมอร์เรย์ ยังคงโต้เถียงในประเด็นเดิมที่ว่า ไมเคิล แจ็คสัน เป็นผู้ทำให้ตนเองเสียชีวิต ด้วยการให้ยาตัวเองโดยที่ หมอเมอร์เรย์ ไม่รู้เห็น "ไมเคิล แจ็คสัน คือคนที่ต้องการใช้ยาเหล่านั้นเอง และถามหายาจาก ดร. เมอร์เรย์ ซึ่งเขาก็มีส่วนผิดที่เป็นผู้จัดหายามาให้" ทนายความจำเลย กล่าวอธิบายต่อไปว่า "เขา (แจ็คสัน) หายาพวกนี้จากหมอคนอื่นด้วย เขาทรงอิทธิพล, โด่งดัง เป็นผู้ร่ำรวย มีทนายความ, หน่วยรักษาความปลอดภัย, ทีมงาน และที่ปรึกษามากมาย"
       
       เชอร์นอฟฟ์ พยายามร้องขอเพียงโทษทัณฑ์บน แทนที่จะเป็นการคุมขัง พร้อมอธิบายว่าหมอเมอร์เรย์มีประวัติที่ดีมาตลอด ก่อนที่จะมีปัญหาทางกฎหมายครั้งนี้ นอกจากนั้นยังอ้างว่านายแพทย์ผู้นี้ได้รับความอับอาย, ถูกทำลายความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะมีผลกับเขาไปทั้งชีวิตอยู่แล้ว และเขาน่าจะทำประโยชน์ให้กับสังคมได้มากกว่าหากอยู่นอกคุก
       
       อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษา พาสเตอร์ ไม่รับฟังและโต้ว่า เมอร์เรย์ มีความผิดหลายอย่างทั้ง "เกี่ยวข้องกับวงจรของการใช้ยาที่น่าสะพรึงกลัว" และยัง "แสดงพฤติกรรม โกหก, หลอกลวง อย่างเป็นขั้นเป็นตอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า"
       
       หลังมีการตัดสินลงโทษ เมอร์เรย์ ถูกนำตัวออกจากห้องพิจารณาคดีไป พร้อมกับถูกใส่กุญแจมือ อย่างไรก็ตาม Radaronline ให้ข้อมูลว่าสุดท้ายแล้ว โทษจำคุก 4 ปีน่าจะถูกลดลงเหลือกึ่งหนึ่ง เพราะคดีความผิดของเขาไม่ได้เป็นคดีประเภทเกี่ยวข้องกับความรุนแรง ซึ่งเขาอาจจะถูกกักบริเวณในบ้านหลังจากนั้นต่อไป

ASTVผู้จัดการรายวัน    30 พฤศจิกายน 2554

8383
หลักการผมอยากให้อยู่ได้ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อให้เกิดความสมดุล (ผู้ให้บริการและผู้รับบริการ)

ผมว่าเทรนด์ต่อไปของผู้ใช้บริการคือความเท่าเทียม เรื่องสิทธิมนุษยชน เป็นวัฒนธรรมตะวันตก มีทั้งข้อดีไม่ดี แต่ในเชิงปฎิสัมพันธ์ หากคนเราถ้าจะทำงานด้วยกัน ท่าทีต้องดีต่อกัน หากท่าทีไม่ศรัทธา ยังต้องมาใช้ระบบสปสช.อีก เดี๋ยวก็อาจจะทะเลาะกัน อีกฝ่ายหนึ่ง(ประชาชน)จะกลายว่าเป็นว่านี่คือสิทธินะ จะมาหาหมอเวลาไหนก็ได้ หมอปฏิเสธไม่ได้ สิทธิของเขา เมื่อหมอถาม เป็นอะไรมา ปวดหลัง เป็นมากี่วันแล้ว 2 วัน ถามว่าทำไมเพิ่งมาหาหมอตอนห้าทุ่ม ตีหนึ่ง ตีสอง นี่คือตัวอย่าง เพราะเขาคิดว่าระบบต้องให้บริการเขา เพราะฉะนั้นระบบต้องกำหนดเงื่อนไขการใช้บริการ ไม่ใช่อยากจะมาเมื่อไหร่ก็ได้

หากจะปรับระบบใหม่ อันนี้ต้องอาศัยหลายๆอย่าง ต้องคุยกัน คนเราต้องมีวินัยพอสมควร จะออกกฎได้ไหม หากคนเป็นโรคธรรมดา ที่ไม่ใช่เลือดตกยางออก คลอดลูก ผ่าตัด ช่วยกันหน่อยไหม กำหนดเวลาในการให้บริการ ให้ระบบนี้มันเดินไปได้ ไม่ใช่จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ใช่ผมเพิ่งขายปลาเสร็จ ตลาดเพิ่งปิด เพิ่งขายข้าวต้มเสร็จ มาห้าทุ่มเที่ยงคืน นี่คือสิทธิที่ยิ่งใหญ่ แต่คนทำงานไม่มีสิทธิอะไร เป็นหน้าที่อย่างเดียว หากเราปล่อยไปอย่างนี้มันเสี่ยงที่ระบบจะล่มสลาย

ที่ผมพูด ยังไม่มีตัวเลข ต้องไปจับดูว่าคนไข้ที่มาโรงพยาบาล เป็นโรคที่ไม่ควรจะมา มีจำนวนเท่าไหร่ อย่าง ญี่ปุ่น กลางคืนมันเหงานะ ไม่ใช่ป่วยฉุกเฉิน เขาก็ไม่มา หมอนอนสบาย เขาลดอัตรากำลังได้ แต่ของเรากลางวันใส่กำลังเต็มที่ แต่กลางคืนลดกำลังลง คาดเดาไม่ได้ ว่าฉุกเฉินจะมาเท่าไหร่ แต่ก็ไม่น้อยกว่ากลางวันนัก ตัวเลขเหล่านี้ต้องเอามากางดูกันว่าเป็นอย่างไร แล้วสร้างโมเดลออกมาว่าจะแก้ปัญหากันอย่างไร

กระทรวงสารณสุขไม่มีอะไรเลย โล่งโจ้ง อำนาจอยู่ที่เงิน จะให้ไม่ให้อยู่ที่สปสช. ขณะนี้ สส.รู้แล้วว่าผลของนโยบายสปสช. ทำให้โรงพยาบาลขาดทุนจำนวนมาก

ความหมายของคำว่าขาดทุน หมายถึงว่าโรงพยาบาลขาดทุน ควักเงินบำรุงของเขาจากที่เขามีอยู่ เช่น เงินบำรุง เงินบริการของเขามาใช้ ถามว่าไม่มีเงินจะบริหารอย่างไรให้ได้มาตรฐาน ประเด็นที่เราเป็นห่วงคือภาคประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ด้อยโอกาส ขณะที่คนพอช่วยตัวเองได้ ไปใช้บริการเอกชนแทน เราจะเห็นว่างบดุลโรงพยาบาลเอกชนเขาอยู่ได้ ไม่ต้องห่วงเขา

โรงพยาบาลเอกชนที่เป็นเครือข่ายสปสช. เขาเจ๊งเขาออกได้ แต่โรงพยาบาลเอกชนที่ทำ 30 บาทโดยเฉพาะก็มี แต่เขาก็มีวิธีการที่จะทำให้เขาอยู่ได้ เท่าที่ฟังมาคนไหนโรคไหนเยอะให้พรรคพวกไปแนะนำว่าคนนี้ทีหลังอย่ามาเลย หรือถ้าถูกบังคับต้องมาที่โรงพยาบาลนี้ก็ให้บอกว่าที่นี่..หมอไม่เก่งอย่ามาเลย

วงการแพทย์บางอย่างอธิบายยาก เวลาเปรียบเทียบคน เห็นดีๆ ว่าแต่ละคนเหมือนกัน แต่ข้างในไม่รู้ว่ามีอะไรต่างขนาดไหน ความทนต่อความเจ็บป่วยไม่เท่ากัน บางคนนิดเดียวก็มาหาหมอ บางคนจะตายแล้วจึงมา ทั้งๆที่เป็นโรคเดียวกัน หรือใครบอกว่าผ่าตัดไส้ติ่ง ไม่ตาย มี.. ตายก็มี เพราะความรุนแรงมันมาก แล้วบอกว่าเป็นการบกพร่องว่ามาโรคนี้ไม่ควรจะตาย คุณก็ต้องมาไล่ดูว่าเจอตอนแรกเป็นอย่างไร

ผมถึงบอกว่าเวลาเอาเรื่องการรักษาพยาบาลมาผูกโยงกับเงิน มันทำให้ขาดความเป็นอิสระในด้านหนึ่ง เมื่อก่อนหมอโรงพยาบาลรัฐ หมอเขาอยากอยู่ เขามีอิสระ มีแรงยืดหยุ่น แต่ตอนนี้ มีแต่…ต้องๆๆ .. ถ้าไม่อย่างนี้ไม่ต้อง ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่ได้ ก็กลายเป็นการทำงานที่เครียด คนทำงานต้องมีความสุขก่อน ไม่ใช่คิดว่าเมื่อไหร่จะวันศุกร์เสียที โล่งอก แสดงว่าระบบภายในไม่จูงใจ และเจ้าหน้าที่ภายในก็มีระบบกำกับดูแลอีกชั้น เวลาเครียดก็ทะเลาะกันอีกเพราะเรื่องเงิน ขณะที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะมีผลงานก็ต้องมีเปเปอร์มาส่งถึงจะได้เงินจากสปสช.

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วคุณคิดว่าหมอจะมาจับตัวคนไข้ถามว่าคุณลุงเป็นอย่างไร ดีขึ้นไหม.. ไปถึงแล้ว ประโยคพวกนี้ไม่มีออกมา มีแต่เป็นไง อึๆๆๆ จบๆไป

ไทยพับลิก้า : เทคนิคการบริหารโรงพยาบาลไม่ให้ขาดทุน จะเอาตัวรอดอย่างไร

ผมคงไม่ก้าวล่วง ต้องถามคงทำงานจริงๆ แต่ละที่ทำอย่างไร แต่มันมีที่ผมเห็นประชาชนมาขอเงินให้ช่วย ผมถามว่าทำอะไร เขาบอกว่าหมอส่งเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ แต่ไม่มีเงิน แม้รัฐจ่ายด้วย แต่เขาต้องจ่ายด้วย หรือคนฟอกเลือดด้วยไตเทียมคนไข้ต้องจ่ายด้วยส่วนหนึ่ง (ข้อเท็จจริงแต่ละบางรพ.ไม่เหมือนกัน) หรือคนที่ล้างไตผ่านช่องท้อง สปสช.ให้คนไตวายให้เขาล้างไตผ่าช่องท้องเป็นอันดับแรก

ดังนั้นถ้าเก็บ 30 บาทพอไหม คุณวิเคราะห์หรือยังว่าพอไหม และ 30 บาท ไม่ได้เก็บทุกครั้งที่มาหาหมอ สมมติวันแรกสั่งยา และนัดมาเอ็กซเรย์ วันที่มาเอ็กซเรย์ถ้าไม่ได้พบหมอก็ไม่เก็บ 30 บาท



ไทยพับลิก้า : ทำไมนำนโยบาย 30 บาทกลับมาใช้ใหม่

อันนี้เป็นนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อสภาที่ผ่านมา จะนำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคกลับมาใช้ใหม่ นโยบาย 30 บาทที่ไม่มี(ไม่เก็บเงินหรือรักษาฟรี)คือรัฐบาลคุณสุรยุทธ์ จุลานนท์ การเลือกตั้งถัดมารัฐบาลเพื่อไทยได้เขาก็ไม่เก็บ และปชป.มาบริหาร ก็ต่อปอีก 2 ปี ที่ผ่านมาก็ไม่มีการเก็บเงิน ไม่มีใครกล้า เพราะเป็นเรื่องการเมือง เซ้นซิทีพไม่มีใครอยากทำ แต่พอเพื่อไทยกลับมาก็ประกาศว่าจะนำมาใช้ใหม่ พิสูจน์แล้วว่าระบบนี้มันอยู่ไม่ได้

เท่าที่สอบถามมีการร่วมจ่าย(co payment) จะดีกว่าไม่มี เพราะทางการแพทย์มีความยุ่งยาก และระบบสปสช.เขามีความยุ่งยากต้องยาจ่ายตามบัญชียาหลัก

ไทยพับลิก้า : ระบบสุขภาพถ้วนหน้า คุณภาพยาไม่ดี

ที่บอกว่ายาไม่ดี สปสช.เขาอธิบายว่ามีมาตรฐานรับรอง แต่ในโลกความเป็นจริงเป็นอย่างที่ว่า เพราะคนที่คิดรีเสิร์ชได้คนแรก วัตถุดิบยา บอกสูตรหมด ตั้งแต่กรรมวิธีทางเทคนิค ทางวิทยาศาสตร์ แต่หลัง 5 ปี เมื่อหมดสิทธิบัตรแล้ว คนอื่นทำได้ วัตถุดิบ กรรมวิธีการทำ ความบริสุทธิ์เนื้อยา เครื่องมือแพกกิ้ง มันมีขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี่ เพราะฉะนั้นการผลิตที่อินเดีย ยุโรป มาตรฐานจะต่างกัน แต่เราก็ต้องระวังว่าที่ผลิตที่ยุโรปมันก็อาจจะหลอกเราได้ อะไรก็ดีหมด แต่ในที่สุดก็ต้องดูมาตรฐานยา โดยดูคุณภาพในเชิงฤทธิ์ยาอยู่ในขอบเขตมาตรฐานหรือไม่ ถ้าได้ก็โอเค ซึ่งคณะเภสัชเขาทำวิจัยจะมีการตรวจสอบอยู่

เพราะฉะนั้นยาบัญชียาหลักที่สปสช.ยืนยันว่ายาทุกตัวมีมาตรฐานในระดับเขาว่า แต่มาตรฐานไทย ยุโรป ญี่ปุ่น ไม่เท่ากันหรอก(หัวเราะ) คำว่ามาตรฐานคือสิ่งที่เรายอมรับว่าใช้ทั่วๆไป ได้ ถามว่ามาตรฐานไทยเทียบกับญี่ปุ่น ยุโรปได้ไหม ไม่เท่ากันหรอกคนละมาตรฐานกัน แต่โดยทั่วไปเขาถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย ส่วนการรักษาจะได้ผลไม่ได้ผลมีปัจจัยเยอะแยะ มันอยู่ที่การวินิจฉัยโรคถูกต้องไหม คนไข้กินยาตรงตามเวลาไหม เป็นต้น

ไทยพับลิก้า : อนาคตแพทย์ไทยจะเป็นอย่างไร

อนาคตแพทย์ แบ่งตามสังกัด กระทรวงสาธารณสุข ทหาร โรงเรียนแพทย์(กระทรวงศึกษา) กระทรวงมหาดไทย กทม.หน่วยงานอิสระเช่นกาชาด มันหลายกระทรวง หรือถ้ามองในภาครัฐ ภาคเอกชน ก็แบ่งโดยเศรษฐฐานะในการแบ่ง คนที่มีฐานะก็ไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน แต่คนที่ไปไหนไม่ได้ใช้ระบบสปสช. แต่จะทำอย่างไรให้สปสช.บริการจะดีขึ้นหรือดีตามที่พูดไว้ ซึ่งงานบริการเหล่านี้การจะดีได้ต้องอาศัยหมอ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์ นักเทคนิคการแพทย์ เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล เป็นองค์รวม เป็นทีมใหญ่ไม่ใช่หมอเก่งคนเดียว ต้องช่วยกัน หากกลุ่มคนเหล่านี้ท้อใจ กำลังคนไม่มี มีแต่งานๆๆ เขาก็ไม่ไหว ลาออกกัน

ไทยพับลิก้า : แต่สปสช.ก็มีระบบการป้องกันไม่ให้งานมาหาหมอ

ระบบสปสช. ซ่อมนำสร้าง หากดูสถิติค่อนข้างบอกยาก เพราะระบบสปสช.เปิดกว้างให้เขามาใช้บริการกี่ครั้งก็ได้ ผมเลยไม่ทราบว่าตัวเลขที่คนมาโรงพยาบาลถี่ เพราะโรคมากจริงๆ หรือเพราะเปิดทางให้เขามากี่ครั้งก็ได้ตามสิทธิของเขา ดังนั้นนโยบายสร้างนำซ่อม ก็ไม่จริง สร้างคือป้องกันไม่ให้เป็นโรค หลักการต้องการซ่อมต้องน้อยลง ถ้าหมวดส่งเสริมสุขภาพการป้องกันโรคทำได้ดีจริง การมาหาหมอต้องน้อยลง โรงพยาบาลว่าง เตียงว่าง ร่างกายคนแข็งแรง แต่นี่ไปโรงพยาบาลมีเตียงไหม ไม่มี คนแน่นไปหมด

ไทยพับลิก้า : ดูแล้วมืดมน แก้ไม่ได้

หากเป็นระบบสปสช.ต่อไป ต้องมานั่งดูว่าหากจะให้สปสช.เดินไปข้างหน้าจะต้องปรับอะไรบ้าง ความจริงระบบสปสช.โดยหลักเกณฑ์ก็ดี แต่ปัญหาทำอย่างไรให้ฝ่ายทำงาน ฝ่ายบริการเขาอยู่ได้ ไม่ใช่เขามาร้องว่าขาดทุน อยู่ไม่ไหวแล้ว ซึ่งเขาขาดทุนจริงๆ ทั้งๆที่สปสช.มีเงินค้างท่อ จ่ายช้าเพราะอะไร และสปสช.มักอ้างว่าเอกสารไม่ครบ ดังนั้นระบบทำงานอย่าพยายามทำให้ยุ่งยากซับซ้อน ควรตรวจสอบได้ด้วยระบบไหนก็ว่ามา แต่อย่าให้ยุ่งยาก ต้องทำให้ง่าย

ระบบนี้งบประมาณส่งสปสช. สปสช.ยิงตามรพ. ตรงนี้หากไม่ผ่านสปสช. ยิงไปที่จังหวัดเลยไหม จะแก้อย่างไร ต้องถามผู้อำนวยการโรงพยาบาลว่าจะแก้อย่างไร เพราะเขารู้ดี เราติดแทนเขาไม่ได้

ไทยพับลิก้า : เคยมีไหมที่หนึ่งกระทรวง มี 2 ระบบ

ไม่มี มีแต่กระทรวงสาธารณสุข รมต.นั่งเป็นประธานสปสช.และสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข การนั่งเป็นประธานสปสช.เขามีคณะกรรมการของเขา 30 กว่าคน ประธานแค่รับทราบ รับรู้ เท่านั้น

ไทยพับลิก้า : สปสช.ทำหน้าที่จัดซื้อยาเอง

ผมว่าโครงสร้างมันเสีย ทำไมสปสช.ต้องถือเงิน ทำไมไม่ให้กระทรวงสาธารสุขซึ่งเขามีองค์การเภสัชกรรมอยู่แล้ว เป็นแม่ข่ายใหญ่ ซื้อกันในกลุ่มของเขา เงินย้ายซ้าย-ขวา ก็ว่ากันไป แต่สปสช.เขาก็ซื้อผ่านองค์การเภสัช แต่เขาอ้างว่าซื้อได้ถูก เช่น สเตนท์หัวใจ

ไทยพับลิก้า : แต่คนใช้บอกไม่ได้คุณภาพ

มองมุมสปสช.เขาบอกว่าได้ผลดี เขาซื้อของตามมาตรฐานทุกอย่าง เรื่องทางการแพทย์อธิบายได้หลายมิติ หมอคนที่ใช้ บอกว่าคนซื้อไม่ได้ใช้คนใช้ไม่ได้ซื้อ ถ้าผม(หมอ)ใส่แบบนี้ไป ฝ่ายจัดซื้อรับผิดชอบไหม เรื่องนี้ต้องถามหมอหัวใจ เป็นความยุ่งยากในการรักษา หลักการถือเงินใครจะถือ

จริงๆ ก็เหมือนกับโรงพยาบาลเอกชน ที่ต้องรับผิดชอบกับบริษัทประกัน เพื่อรักษาลูกค้าที่ซื้อประกันสุขภาพ บริษัทประกันไม่ได้ซื้อยา ซื้อเครื่องมือให้โรงพยาบาล โรงพยาบาลไปบริหารจัดการเอง ให้ลูกค้าได้รับสิทธิตามนั้น บริษัทประกันก็อยู่ได้ เพราะมีปลายปิด มีข้อจำกัดในการรักษาโอพีดีกี่ครั้งต่อปี วงเงินเท่าไหร่ หากมากกว่านั้นก็ต้องจ่ายเอง คุ้มครองโรคไหนบ้าง แล้วแต่เงื่อนไข และโรงพยาบาลที่รับเงื่อนไขต้องมีการต่อรอง

อย่างของสภาผู้แทนราษฏร ที่ทำประกันสุขภาพ ก็ยังมีการจำกัดการใช้ว่ากี่ครั้งต่อปี วงเงินเท่าไหร่ สส.จะใช้โอพีดี ใช้ครั้งละไม่เกิน 3,300 บาทต่อครั้ง มีอั้นทุกอย่าง ค่าห้องใช้ได้ไม่เกินเท่านี้ ค่าธรรมเนียมแพทย์ ค่าผ่าตัดไม่เกินเท่าไหร่ เป็นปลายปิดหมด

สส.ไม่ต้องการแบบนี้ต้องการเบิกแบบราชการ ตามอายุสภาฯ แต่สภาฯอยากได้ใช้โรงพยาบาลรัฐและจ่ายตรงจากกรมบัญชีกลาง อันนี้ไม่ดี

ของสส.ไม่รวมครอบครัว หลักการก็ถูกต้อง ไม่ควรให้ครอบครัว เพราะคุณอาสามาทำงาน วิธีคิดแบบเศรษฐพอเพียง ดูแบบแฟร์ๆกัน อย่ามากไปน้อยไป มีเหตุผล

สาเหตุที่สปสช.อยู่ไม่ได้เพราะปลายเปิดมากเกินไป ที่ให้แบบไม่อั้น ไม่มีการจำกัด ระยะแรกระบบมันอยู่ได้ แต่พอปีที่ 8 ปีที่ 9 ก็เริ่มอยู่ไม่ได้แล้ว คนทำงาน หมอ พยาบาล ลาออก โรงพยาบาลขาดทุน ลองไปดูว่าหมอลาออกไปทำอะไร อย่างพยาบาลเลิกทำไปเลย ปัญหาตอนนี้พยาบาลขาดแคลนอย่างรุนแรง

ตอนนี้มีการปรับอัตรากำลังพล ที่ต้องจ่ายปริญญาตรี 15,000 บาท ตรงนี้โรงพยาบาลจะแก้อย่างไร จะต้องไปหักจากค่าใช้จ่ายต่อหัว หรือว่าจะเอาเงินที่ไปเสริมให้โรงพยาบาล ไม่งั้นรายจ่ายต่อหัวของประชาชนลดลงอีก

ค่าใช้จ่ายต่อหัว 2,700 – 2,800 บาท จริงๆเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่ายา ค่ารักษาพยาบาล เฉลี่ยนิดเดียว ไม่ใช่ 2,700 – 2,800 บาท เพราะในนี้รวมค่าเงินเดือน ค่าจ้างด้วย

เวลาที่เราพูดในสภาฯ ทุกคนคิด ได้ต่อหัวเฉลี่ย 2,700 – 2,800 คูณ 48 ล้านคน โอ้ เงินเยอะมาก แต่จริงๆไม่ใช่ เพราะระบบสปสช.วางมาอย่างนั้น จะแก้ก็ลำบาก มีพลังมวลชน ถูกด่าแน่ ว่าทอดทิ้งประชาชน นักการเมืองไม่กล้าทำ

ไทยพับลิก้า : จะให้ใครพูดว่าระบบมันอยู่ไม่ได้แล้ว

ต้องให้หน่วยบริการ ออกมาพูดให้สังคมได้รับรู้เรื่อยๆ ตัวแทนแพทย์ กลุ่มวิชาชีพ ตัวแทนแพทยสภา ว่าระบบนี้ไปไม่ได้ ผู้ให้บริการทั้งหลายต้องออกมาพูด นักการเมืองที่คิดโครงการนี้เอาเปรียบมาก นั่งกระดิกเท้า มีคนมาขอบคุณ เพราะประชาชนชอบ รวมทั้งพรรคผมอาจจะมีปนด้วย เพราะกระแสไปอย่างนั้น หากเราไม่ทำก็แพ้เขา ขนาดทำก็แพ้ นี่คือการต่อสู้ แต่ต้องมีอะไรมากำกับ เช่น มีกฎหมายมากำหนดเรื่องงบประมาณ ต้องมีงบลงทุนว่าเป็นเท่าไหร่ ปัจจุบันงบลงทุนเราน้อยลงเรื่อยๆจาก 30 % ลดลงเรื่อยๆตั้งแต่มีนโยบายประชานิยม เหลือ 16 – 17 % นี่คืออันตรายของประเทศ ที่งบลงทุนเราไม่โต

ดังนั้นเรื่องค่ารักษาพยาบาลขนาดประเทศมหาอำนาจยังอยู่ไม่ได้ ประเทศที่พัฒนาแล้วยังเอาไม่อยู่ ประเทศเหล่านั้นภาษีมูลค่าเพิ่มเขาแพงมาก อย่างสแกนดิเนเวีย 24 – 25 % แต่ของเราเก็บแค่ 7 % เราจะไปเอาอย่างเขาคงไม่ได้ เป็นลัทธิเอาอย่างไม่ได้ ต้องดูฐานะของเราก่อน จะให้บริการเขาได้อย่างไร ต้องเปิดใจคุยกัน

พอออกมาเป็นกฏหมาย ต้องไปแก้ ใครจะเป็นหัวหอกแก้ ต้องให้คนที่ได้รับผลกระทบเป็นคนแก้ เสนอผ่านนักการเมือง การให้นักการเมืองเป็นโต้โผเอง ยาก..ในแง่การเมือง เดี๋ยวก็เถียงกันในพรรคเละ ถ้าเทียบกับอัตรากำลังคน ระหว่างคนใช้บริการ 48 ล้านคน ขณะที่คนให้บริการทั้งหมด รวมครอบครัวหมอและอื่นๆประมาณ 1 ล้านคน จะชนะได้อย่างไร แพ้อยู่แล้ว เวลาเลือกตั้งก็โฆษณาชวนเชื่อ ก็แพ้อยู่แล้วหากจะแก้กฏหมายรื้อระบบบริการสาธารณสุขใหม่

ไทยพับลิก้า : ถ้าปล่อยไปมันล่มสลายแน่นอน

ใช่ ระบบสาธารณสุขล่มสลายแน่ ต้องช่วยกันเพราะว่าโรงพยาบาลรัฐมีคุณค่ามาก จะทำอย่างไรให้ทุกคนอยู่ได้ คนป่วยเนี่ยะ ช่วยตัวเองไม่ได้นะ ต้องวิ่งไปหาคนที่คิดว่าช่วยเขาได้ แต่คนที่จะช่วยก็ป้อแป้ๆ โรงพยาบาลยังไม่รู้จะรอดหรือเปล่า มันจะช่วยได้ดีได้อย่างไร นี่คือภาพ…มันจะช่วยกันอย่างไร ปกติเวลาที่เราเดือดร้อนก็ต้องไปหาคนที่ช่วยเราได้ มั่นคงกว่าเรา แต่นี่กลับไปหาคนที่เดือดร้อนไปด้วย

ไทยพับลิก้า : คุยกับหมอหลายคนถอดใจ ลาออกกันเยอะ

ถอดใจๆ กลายเป็น เข้าทางโรงพยาบาลเอกชน นโยบายนี้นายกฯทักษิณ ชินวัตร เขาจึงทำนโยบายแบบคู่ขนาน ในตลาดหลักทรัพย์มีใครขายโรงพยาบาลบ้าง เพราะรู้แล้วว่าโรงพยาบาลเอกชนหากินกับคนข้างบน คนชั้นกลางที่ขี้เบื่อ หรือกินกรุ๊ปบริษัทประกันสุขภาพ คนไปหาโรงพยาบาลเอกชนไม่ได้จ่ายเงินเอง ส่วนใหญ่ซื้อประกัน คุ้มครองดีกว่าเป็นโคเปเมนท์ และตัวเองก็ต้องรักษาตัวเองให้ดีพอสมควร แต่ถ้าระบบเปิดสปสช.ไม่ต้องดูแลตัวเอง เพราะการรักษาฟรี สำมะเลเทเมา ไปเที่ยวผู้หญิง มาเป็นโรคหนองใน ไม่ต้องกลัว ฟรี เป็นวัณโรค ไม่ต้องกลัว ฟรี

ไทยพับลิก้า : ตกลงระบบรักษาพยาบาลควรจะฟรีหรือจะแชร์

สังคมต้องตอบเรื่องนี้ ถ้าจะฟรี อย่าให้เงินเขาแค่นี้ ก็ต้องให้เขาอีก ก็สะท้อนมาที่งบลงทุน คุณจะทำประชานิยมอย่างไรก็ตาม สำนักงบประมาณต้องมีกฏหมายกำหนดว่าต้องมีงบลงทุนเท่าไหร่ คุณจะทำประชานิยมอย่างไรก็ตาม หากมีอย่างนี้ก็จะต้องกันงบลงทุนไว้ก่อน ประเทศจึงจะเจริญ แต่หากไม่มีกฏหมาย งบประมาณก็จะถูกเฉือนไปอย่างนี้

ไทยพับลิก้า : โรงพยาบาลเตียงคนไข้ไม่พอ ตึกไม่มี โรงพยาบาลต้องหาเงินเอง

ช่วง 7-8 ปี ที่ผ่านมางบลงทุนลดลงไปเรื่อยๆ งบสร้างตึกไม่มี รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีงบไทยเข้มแข็ง หวังให้มีการลงทุน โรงพยาบาลจะได้สร้างตึก

โรงพยาบาลรัฐอยู่ไม่ได้ วิธีหาเงินคือไซ่ฟ่อนเงินจากการรักษาข้าราชการ ใส่เต็มที่กับค่ายาจากข้าราชการ งบค่ารักษาพยาบาลจึงสูงมากเกือบ 7 หมื่นล้านบาท ไซ่ฟ่อนเงินจากกรมบัญชีกลางไปใช้ โรงพยาบาลไหนเล็กๆที่ข้าราชการไม่ค่อยใช้ ก็เจ๊ง โรงพยาบาลแพทย์มักอยู่ได้เพราะความน่าเชื่อถือ

ด้วยเหตุนี้เมื่อระบบข้าราชการเสีย มีการควบคุมการใช้ยาของข้าราชการ นี่เป็นเพราะโรงพยาบาลไม่มีรายได้ก็ต้องเอาจากการให้บริการข้าราชการ ดังนั้นปัญหาพันกันไปหมด

การเมืองสบาย ทำแล้วได้บุญคุณ แต่หมอ พยาบาลหัวหงอกไปหมด ทำไม่ไหว เท่ากับคุณทำลายระบบ แทนที่ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงต้องสร้างความเข้มแข็ง สร้างระบบภูมิคุ้มกันให้เขา แต่ระบบสปสช.กลับทำให้ระบบแย่ลง สังคมต้องรับรู้ จะแก้ไขอย่างไรก็ว่ามา ซึ่งไม่มีสูตรสำเร็จว่าจะแป็นอย่างไร

ระบบมีเงินแค่นี้ สปสช.ได้เงินมาแสนกว่าล้านบาท ให้แค่ซอฟแวร์ ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์ ในการสร้างตึก ซื้อครุภัณฑ์ ติดแอร์ ทาสี โรงพยาบาลไปหาเอง ไปทำเอง

หมอที่ริเริ่มโครงการนี้เชื่อตัวเองมากเกินไป เป็นหมอกลุ่มเดียวที่ไปผลักดันนโยบายกับพรรคไทยรักไทย(ตอนนั้น) ไม่ได้ถามคนที่ทำงาน พอนำร่องดี ก็ขยายเต็มพื้นที่ ผมว่าการมีส่วนร่วมให้คน 48 ล้านคน รับรู้ความจริง เป็นเรื่องสำคัญ คุณโปร่งใสคุณต้องเปิดข้อมูลว่าระบบมันไม่สมบูรณ์

ระบบให้บริการสาธารณสุขมีทางแก้ไขได้ อย่างอุปกรณ์เครื่องมือที่ซับซ้อน เครื่องที่ซับซ้อนที่ยากๆ มาแชร์กัน ทำเป็นศูนย์กลางแต่ละภาคเพื่อให้บริการ เป็นต้น

นี่เป็นอีกมุมมองต่อระบบสาธารณสุขไทย
....................................................
http://thaipublica.org
16 พฤศจิกายน 2011

8384

กระแสของผู้ให้บริการสาธารณสุขที่เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบายประกันสุขภาพถ้วนเริ่มเสียงดังมากขึ้น โดยเชื่อว่านโยบายดังกล่าวจะทำให้ระบบสาธารณสุขไทยล่มสลายได้ในอนาคตอันใกล้ เพราะคนทำงานไม่ว่าแพทย์ พยาบาล นักเทคนิคการแพทย์ เภสัชกร และเจ้าหน้าที่อื่นๆในโรงพยาบาลรัฐซึ่งมีประมาณ 1 ล้านคน ไม่สามารถรองรับการใช้บริการของคนจำนวน 48 ล้านคนได้ หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบให้เหมาะสมระหว่างผู้ให้บริการกับผู้มารับบริการ

ต่อเรื่องนี้ นพ.เธียรชัย สุวรรณเพ็ญ สส.เขต 1 จังหวัดตาก พรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวอภิปรายงบประมาณประจำปี 2555 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2554 ว่า

หลังจากที่ได้ศึกษางบประมาณปี 2555 ผมมีความเห็นดังต่อไปนี้ โดยเฉพาะในสิ่งที่รัฐบาลท่าน(พรรคเพื่อไทย)ได้เริ่มในอดีต หลายเรื่องเป็นเรื่องประชานิยม และเป็นเรื่องที่พี่น้องเข้าใจว่าจะได้รับสิ่งที่ท่านทำนโยบายนั้น ผมจำเป็นต้องพูดถึง นโยบายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่เริ่มมาในปี 2545 เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก แต่อยากจะเรียนว่าในนโยบายที่พวกเราสร้างขึ้นมา ในระยะแรกอาจจะไม่เห็นผลชัดเจนในเรื่องความเสียหาย เราอาจจะชนะบนซากปรักหักพังของสังคม ที่ผมพูดคือสังคมของกระทรวงสาธารณสุข ที่ผมกล้าพูดเช่นนี้ เพราะหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเริ่มออกฤทธิ์ ไม่ว่ารัฐบาลใดที่ขึ้นมาบริหาร เพราะไม่สามารถจัดสรรงบประมาณ ได้อย่างมากเพียงพอ เพื่อสนองตอบต่อการรักษาของพี่น้องประชาชน ซึ่งอยู่ในภาคส่วนที่ไม่ใช่ข้าราชการและประกันสังคม คือจำนวน 48 ล้านคนที่อยู่ในกองทุนนี้



ทุกยุคทุกสมัยวงเงินกองทุนเพิ่มแต่ไม่พอ เพราะเราไปตั้งหลักการที่ผิดธรรมชาติ ทำไม.. เพราะว่าเราส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้ารับบริการโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง กี่ครั้งต่อปีก็ได้ เป็นโรคอะไรเราไปโฆษณาชวนเชื่อเกินความเป็นจริงว่ารักษาได้ทุกโรค มีมาตรฐานกำกับ สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทำให้พี่น้องเกิดความชะล่าใจ ตกอยู่ในความประมาทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การดูแลรักษาสุขภาพซึ่งควรเป็นความรับผิดชอบส่วนตัว ถูกละเลยอย่างน่าเสียดาย เพราะไปหาหมอได้ตลอด 24 ชั่วโมง ต้องมีคนให้บริการ เพราะนี่คือสิทธิของพี่น้องประชาชน เราค่อนข้างจะเข้าใจสิทธิมากเกินไปหรือไม่ เมื่อระบบสาธารณสุขในสภาพความเป็นจริงรองรับไม่ได้

ขณะนี้ยอดผู้มาใช้บริการโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขประมาณ 200 ล้านครั้งต่อปี เมื่อเทียบกับจำนวนแพทย์ พยาบาล บุคลากรด้านอื่นๆ ในหน่วยบริการคือโรงพยาบาล มีแพทย์ประมาณ 10,000 คน พยาบาล 100,000 คนเศษ ต้องให้บริการ 24 ชั่วโมง รองรับไม่ไหว ทำให้ผู้ทำงานเกิดความทุกข์กาย ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ซึ่งไม่เท่าไหร่ แต่ทุกข์ใจด้วย เพราะความผิดพลาดจากจำนวนที่มากครั้งที่รักษา เฉลี่ยประมาณ 500,000 ครั้งต่อวันทั่วประเทศ

นี่คือสิ่งที่บั่นทอนความเข้มแข็งและแข็งแรงของโรงพยาบาล ไม่ว่าโรงพยาบาลศูนย์,ทั่วไป หรือ ชุมชน ทั่วประเทศ ทำให้เกิดสภาพขาดทุนอย่างรุนแรง

งบประมาณแต่ละปีที่ให้กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อพี่น้องประชาชนเพิ่มขึ้นทุกปี คนตายก็เพิ่มขึ้น จำนวนผู้ป่วยนอกมาใช้มากขึ้น ผู้ป่วยในก็เพิ่มขึ้นไม่หยุดยั้ง ทำให้โรงพยาบาลรัฐขาดทุนทุกระดับ มีหลายสาเหตุ ต้องฝากรมต.สาธารณสุขและนายกรัฐมนตรี ว่าภาคการบริการสาธารณสุข มี 2 ระบบ ทำให้เกิดปัญหาที่เกิดวิกฤตอย่างรุนแรง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์ ผู้ป่วย ผู้ให้บริการในโรงพยาบาล มีปัญหาความขัดแย้ง

และเมื่อเร็วๆ นี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไปพูดให้เจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด บอกว่าอย่าสุรุ่ยสุร่าย อย่าใช้เงินให้มีปัญหาการเงินการคลัง จะกระทบต่อการให้บริการต่อพี่น้องประชาชน ผมอยากจะเรียนว่าพี่น้องแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ให้บริการใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ แต่เงินที่ได้รับการอุดหนุนจำกัดในการให้บริการ มีการควบคุมค่าใช้จ่ายตลอดเวลา แต่ไม่จำกัดการมาใช้บริการของพี่น้องประชาชน

นี่คือการอภิปรายในประเด็นงบประมาณด้านสาธารณสุข โดยชี้ให้เห็นถึงปัญหาของระบบของนพ.เธียรชัย สุวรรณเพ็ญ สำนักข่าวไทยพับลิก้าได้สัมภาษณ์ในประเด็นนี้เพิ่มเติมดังต่อไปนี้



ไทยพับลิก้า : นโยบายสาธารณสุขที่ใช้ระบบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติควรต้องปรับปรุงอย่างไร

ระบบสาธารณสุขที่ได้รับการปฏิรูปมาตั้งแต่ปี 2545 โดยพรรคไทยรักไทย(ขณะนั้น) เขาได้ทำนโยบายให้สิทธิแก่พี่น้องประชาชนเต็มขั้นตามรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ที่ไม่ได้อยู่ในภาคราชการ ประกันสังคม ปรากฏว่าผลการประกาศนโยบายนี้ประชาชนลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ถือเป็นสิทธิให้การรักษา มีการร่างกฎหมาย ได้ออกเป็นพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545

แนวปฏิบัติของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้งบประมาณผ่านมาทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ผลจากการปรับเปลี่ยนนโยบาย ทำให้ระบบบริหารในกระทรวงสาธารณสุขมี 2 ขา มี 2 ระบบ คือ 1.ระบบควบคุมบุคลากร เรื่องตำแหน่ง โยกย้าย ขึ้นเงินเดือน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขดูแล แต่ 2.สปสช.เป็นตัวแทนของภาคประชาชน 48 ล้านคน ซึ่งการเป็นตัวแทนมีทั้งข้อดีข้อเสีย โดยสปสช.เป็นตัวแทนผู้ซื้อที่มีความรู้ทางการแพทย์ ทำทุกอย่างที่คิดว่าประชาชนควรได้สิทธิ ออกแบบเป็นรายจ่ายต่อหัว ซึ่งได้เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ สปสช.จึงเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุด 108,000 ล้านบาท (ปี 2554)

สปสช.ถือเงินตัวนี้ จ่ายเงินให้กับหน่วยบริการ คือโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า การให้สิทธิของประชาชนเป็นการให้สิทธิเต็มที่ สามารถไปใช้กี่ครั้งก็ได้ ขณะที่สปสช.เป็นตัวแทนผู้ซื้อ มาซื้อหน่วยบริการ เป็นการซื้อโดยมีข้อจำกัด ที่เรียกว่าปลายปิด หรือ เหมาจ่าย เช่น หมวดผู้ป่วยนอกหรือโอพีดี จ่ายให้กว่า 700 บาทต่อคน หรือหมวดคนไข้ใน ให้ 900 กว่าบาทต่อคน ถ้าเกินกว่านั้นไม่รับผิดชอบนะ

เมื่อสปสช.ตั้งเกณฑ์แบบนี้ ทำให้หน่วยบริการรองรับไม่ไหว พฤติกรรมผู้ใช้บริการเปลี่ยนไป จากที่คนมาใช้บริการเฉลี่ย 1.8 ครั้งต่อปีต่อคน ตอนนี้เป็นกว่า 3 ครั้งต่อคนต่อปี หรือ 200 กว่าล้านครั้งต่อปี จาก 48 ล้านคน ทำให้ หมอ เภสัชกร พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล จำนวนคนเหล่านี้มีจำกัด หากเปรียบเทียบแล้วเหมือนระบบอินเทอร์เน็ตล่ม คนแออัดยัดเยียด ขณะที่กลุ่มข้าราชการมาใช้บริการด้วย เนื่องจากมีโรงพยาบาลแห่งเดียวในจังหวัด หรือประกันสังคมก็มาใช้บริการด้วย ก็ยิ่งแน่นเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นโรงพยาบาลรัฐทุกแห่งเริ่มแน่น

ในทางปฏิบัติเมื่อจำนวนผู้มาใช้บริการจำนวนมาก บางคนบอกว่าไปทั้งวันได้บริการแค่นี้จะคุ้มไหม เพราะต้องรอหมอนาน ขณะที่คนให้บริการเริ่มหน้าหงิกหน้างอ ธรรมชาติมันเสียไป เพราะฉะนั้นนโยบายนี้ผลกระทบต่อคนที่ทำงาน คือเจ้าหน้าที่ด่านต่อด่าน ผมเป็นหมอ คุณเป็นผู้ป่วย ผมเดินผ่านมาโฮ…คนไข้รออยู่ 40-50 คน ตอนนี้ 9 โมงแล้ว ตรวจยังไงให้ทัน ซึ่งหมอต้องทำอย่างนี้ทุกวัน ก็เกิดการเผชิญหน้า คนไข้ก็บอกหมอขอเอ็กซเรย์ ขอเจาะเลือด ขณะที่หมอประชุมกับผผู้อำนวยการโรงพยาบาลมาบอกว่าโรงพยาบาลต้องประหยัด สภาพการเงินมันตึงมากแล้วนะ ช่วยๆกันหน่อย กลายเป็นเรื่องเขียมในการรักษาไป แทนที่จะทำได้อย่างอิสระ ตามหลักการทางการแพทย์ ทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นอิสระสำคัญ ให้แพทย์วินิจฉัยเองว่าควรจะเปิดอันไหน ควรเจาะ ไม่เจาะ หรือจะทำอะไร ไม่ใช่เกิดลำเอียง ว่าลึกๆ มีเรื่องเงินๆ คำว่ามาตรฐานเริ่มหย่อน โรงพยาบาลไหนไม่มีปัญหาการเงิน ก็ไม่เป็นไร จึงทำให้การให้บริการมาตรฐานไม่เท่ากัน ดังนั้นที่เขียนว่าประชาชนได้สิทธิเท่าเทียมกันเริ่มไม่จริง เริ่มแปรปรวน นี่คือประเด็น

แล้วถามว่าพรรคเพื่อไทย ที่เป็นคนออกนโยบายนี้มา ได้ดูแลนโยบายนี้ไหม เขาดูแลไม่ได้ดี ไม่เข้าใจ การจัดตั้งมันง่าย แต่การดูแลให้ให้คงอยู่ในสภาพ และพัฒนาให้ก้าวหน้ามันยาก 8-9 ปีที่ผ่านมา วงเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพิ่มขึ้น แต่คนยังแออัดยัดเยียด หน่วยบริการไม่เพียงพอ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลไม่มีใครอยากอยู่ ขอลาออกหรือไม่ขอย้ายไปอยู่หน่วยงานอื่น อาทิ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล หรือหน่วยปฐมภูมิบ้าง

นั่นแสดงว่าระบบนี้ไม่ถูกแล้ว แต่เป็นระบบที่ประชาชนชอบ พูดเรื่องนี้ที่ไหนประชาชนไม่เอากับเรา แต่เป็นเรื่องที่ต้องทำแล้ว เพราะต่อไปหากหมอ พยาบาลหรือคนลาออก ถ้าคุณผลิตไม่ทัน เรื่องเหล่านี้ต้องใช้เวลา กว่าจะได้คนมีประสบการณ์ มีความรู้ ความสามารถและคนที่รักองค์กร หากเขาค่อยๆหายไปทีละกลุ่ม มันกระทบยิ่งหนักขึ้น ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนให้ค่าตอบแทนมากกว่า งานน้อยกว่า ความเสี่ยงน้อยกว่าเพราะได้ดูแลคนไข้ดีกว่า

ขณะที่โรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข หมอจะได้อะไรที ต้องมีเปเปอร์เวิร์ค ต้องผ่านขบวนการและทำเอกสารหลายอย่าง ทำให้ยุ่งยาก เช่น จะล้างไตเทียมต้องทำเอกสาร แค่จะดูคนไข้ก็ยุ่งพอแล้ว ต้องเขียนใบรับรองแพทย์ เขียนโอพีดีการ์ดก็ยุ่งแล้ว นี่คือปัญหา ทำให้คนให้บริการท้อแท้ กว่าจะขยายงาน กว่าเงินจะเบิกได้ ยังมีการค้างจ่ายอีก

นี่คือระบบสปสช.ที่วางไว้ไม่ยืดหยุ่นให้คนทำงาน ไม่ให้ความเป็นธรรมคนทำงาน

“ระบบสปสช.เป็นการสร้างขึ้นมาเหมือนให้คนใช้บริการ 48 ล้านคน ไปถล่มคนให้บริการ ที่มีอยู่ 1 ล้านคน ในหน่วยบริการรักษาที่ไม่ให้คุณป่วย ไม่ให้คุณพิการ นี่ยังไม่นับรวมผลกระทบของหน่วยงานเชิงป้องกัน งานส่งเสริมสุขภาพ ดังนั้นระบบสปสช.เหมือนเป็นการเอาใจภาคประชาชนฝ่ายเดียว เพราะฉะนั้นหากเราปล่อยทิ้งไว้ คนในระบบสาธารณสุขจะออกมากขึ้น ขณะที่คนไข้จะยิ่งทวงถาม ทำไมนานนัก ในที่สุดระบบนี้ก็จะตายซาก”



เวลาผมรักษาคนไข้ ค่อนข้างคุยกับคนไข้นาน ทั้งนี้แล้วแต่เคส แต่ตอนหลังหมอ คนไข้แทบจะไม่มองหน้ากันแล้ว เกิดผลกระทบความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้หายไป ของดีๆหายไป เพราะสู้ไม่ไหว อย่างหมอทำงานหนัก เมื่อคืนเพิ่งผ่าตัดมา หรือหมออีกคนไปประชุมวิชาการ เหลือ 2 คน ต้องรีบตรวจ ถ้าทำวันสองวันไม่เป็นไร แต่ถ้าทำอย่างนี้ทุกวันไม่ไหว ชีวิตต้องถามหาว่าตัวเองทำไปเพื่ออะไร หมอ พยาบาล อายุสั้นกว่าเกณฑ์กำหนด แก่เร็ว เครียดทางอารมณ์

“ผมจึงคิดว่าระบบต้องสมดุล ระหว่างผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้ได้สิทธิในการรักษาฟรี เป็นเรื่องที่ดี แต่ทำอย่างไรที่จะเหมาะสม จุดที่เหมาะสมอยู่ที่ไหน ผมบอกไม่ได้ ต้องเอาฝ่ายให้บริการมาคุย ว่าเขามีกำลังขนาดนี้ที่จะให้บริการคุณ คุณจะจัดการอย่างไรให้เหมาะสม ต้องคุยในรายละเอียด หากปล่อยไว้ระบบมันล่ม กว่าจะฟื้นคืน มันยากนะ เราคิดว่าป้องกันไว้ดีกว่า พรรคเพื่อไทยเป็นคนทำให้เกิดนโยบายนี้ จะต้องดูแล รับรู้ปัญหานี้ อย่าให้เกิดการล่าช้าในการจ่ายเงิน เพราะเงินนี้เป็นเงินเดือนด้วย ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายรายหัวคนไข้อย่างเดียว อย่างพยาบาลขาดไป ต้องรับใหม่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมักจะรับเด็กๆ เพราะเงินเดือนน้อย ไม่ใช่พยาบาลที่มีประสบการณ์ อย่างอายุ 40 – 45 ปี มีประสบการณ์ดีมาก”

ไทยพับลิก้า : การดูแลระบบสาธารณสุข เป็นหน้าที่กระทรวงสาธารสุขหรือสปสช.

ระบบกฎหมายเขียนไว้หน่วยบริการสาธารณสุข(โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข)ต้องรับ ไม่รับไม่ได้ แต่สปสช.ออกกฏมาที่ขัดแย้งกับนโยบายกระทรวงสาธารณสุข คนปฏิบัติจะทำอย่างไร ผมไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า เพราะที่นี่(กระทรวงสาธารณสุข)หนึ่งกระทรวง 2 ระบบ .. ยาก โดยความเห็นผมคิดว่า “เงิน” ถ้าจะให้สปสช. ผมว่าเอาไปให้กระทวงสาธารณสุขบริหารจัดการไปเลยดีกว่า ส่วนสปสช.บทบาทควรเปลี่ยนเป็นคนกำกับดูแลจะดีกว่า มาอยู่ฟากประชาชนที่มีความรู้ มีโนฮาว แต่อย่าไปถือเงิน

แต่นี่สปสช.ไปสร้างว่าเขาเป็นผู้ซื้อแทนภาคประชาชน เป็นผู้ถือเงิน มาต่อรองกับกระทวงสาธารณสุขว่าต้องรักษาทุกโรค กี่ครั้งก็ได้ แล้วจะให้เงินต่อหัวแก่คุณ(หน่วยบริการของกระทรวงสาธารณสุข) นี่คือกฏเกณฑ์ที่สปสช.ตั้งเอาไว้ ผมไม่รู้ว่ากฎเกณฑ์ซื้อขายแบบนี้ มีที่ไหนในโลก แม้แต่เราทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพยังมีเงื่อนไขในการใช้ บอกว่าผู้ป่วยนอกสามารถใช้ได้กี่ครั้ง รวมวงเงินต้องไม่เกินเท่าไหร่ จะเป็นปลายปิดหมด แต่ระบบสปสช.เป็นปลายเปิดหมด ประชาชนใช้ได้ไม่อั้น

คนที่ออกกฎหมายเป็นปลายเปิดหมด ใช้ได้ไม่อั้น ทั้งๆ ที่คนที่ริเริ่มโครงการนี้วัตถุประสงค์ดี หมอที่ทำ แต่ไอดีลไม่อยู่ในโลกความเป็นจริง แต่นี่เรากำลังทวงถามความเป็นจริง โลกของความเป็นจริง เพราะประเทศไทยยังไม่ใช่เศรษฐี จะโปรภาคประชาชนอย่างไรก็ได้ สมมติเรามีบ้านหลังหนึ่ง เราคงไม่ลงทุนการรักษาดูแลสุขภาพเต็มที่ โดยปล่อยให้บ้านผุพัง ห้องน้ำเละเทะ ถนนเข้าบ้าน ไฟฟ้า โทรศัพท์ก็ไม่มี ไม่ใช่ใส่ให้สุขภาพซะเต็มที่

ต้องเปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่มีฐานะใกล้เคียงกัน เขาบริหารจัดการเรื่องนี้อย่างไร หากจับเอามิติปรัชญาพอเพียง สิ่งที่สปสช.ทำ มิตินี้ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง ดูเหมือนดี เพราะช่วยคนยากคนจน แต่จริงๆ ไม่ใช่ เพราะระบบมันรองรับไม่ได้ เพราะให้มากเกินไป

ควรให้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข(สวรส.)ทำงานวิจัยระบบสาธารณสุข ออกมาให้ชัดเจน อย่างบ้านผมที่จ.ตาก มีต่างชาติอยู่ด้วย โรงพยาบาลต้องให้บริการ เอาเงินภาษีมาให้บริการเขาด้วย โดยหลักการรัฐบาลต้องไปประสาน UNSCR การเอาเงินงบประมาณไปให้ต่อหัวไม่ถูก เช่นที่ อุ้งผาง ท่าสองยาง มีโรคติดต่อมากมายของพม่า ข้ามมารักษาฝั่งนี้ เจ้าหน้าที่ไม่ให้หรือ ไม่ได้ หมออุ้งผางเขารักษาให้ ยิ่งทำให้โรงพยาบาลรับไม่ไหว

ไทยพับลิก้า : จะแก้ไขอย่างไร

ต้องเอาตัวเลขสปสช. 9 ปีที่ผ่านมา มาดู หากจะเอาระบบนี้ต่อไป ตอนนี้เขาก็เริ่มรู้แล้วว่าไปไม่ได้ ทางรัฐมนตรีจะเก็บ 30 บาท เดิมจะเก็บตั้งแต่เดือนนี้(พฤศจิกายน 2554) แต่บังเอิญอยู่ในช่วงน้ำท่วมพอดี ก็กลัวคนด่า คนการเมือง หากมันเสียเขาก็ไม่ทำ เขาก็รอ การเก็บ 30 บาท ก็ไม่ตอบโจทย์ แต่บรรเทาปัญหาลง ที่ต้องตอบโจทย์คือจำนวนครั้งมันหนักเกินไป และ 30 บาท ปรับได้ไหม ซึ่งเรื่องนี้ต้องถามเจ้าหน้าที่ เพราะแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน มีความหลากหลาย

ความเห็นส่วนตัวผม ผมอยากใช้ระบบอิสระ โรงพยาบาลในพื้นที่ แต่ละจังหวัดควรได้รับเงินโดยตรง ยิงมาจากกรมบัญชีกลาง ให้จังหวัดบริการจัดการกันเอง สมมติ จ.ตากมีประชากร 5 แสนคนที่อยู่ในข่ายได้รับสิทธิ ให้เงินจังหวัดไปเลย ให้เขาบริหารจัดการ และเขาอาจจะมีการจับกลุ่มกับเครือข่าย เพราะทุกโรงพยาบาล ต้องมีโรงพยาบาลศูนย์เป็นพี่เลี้ยง จังหวัดต้องบูรณาการให้เป็นแบบเดียวกัน เหมือนเป็นบริษัทรับประกันรักษาสุขภาพของคนทั้งจังหวัด หากมีคนไข้ข้ามเขต จะคิดอย่างไรก็ว่าไป รายละเอียดมันเยอะทางการแพทย์ บริหารแบบมีโครงข่ายเช่นว่า คนนี้ทำกายภาพที่นี่ ไปเที่ยวหัวหิน อยากทำที่รพ.หัวหินจะตามจ่ายกันอย่างไร

นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผม ไม่รู้เป็นไปได้ไหม ยังไม่ได้ศึกษา ประเด็นคือให้เขาเป็นอิสระในการวินิจฉัยรักษา

ส่วนสปสช.ต้องช่วยในเรื่องมาตรฐาน ตรวจสอบ ประชาชนคนไหนที่ได้รับผลกระทบจากการรักษา ในการช่วยเหลือเบื้องต้น ตายได้ 200,000 บาท ซึ่งมาตรานี้คุ้มครองแค่นี้ ส่วนจะปรับใหม่อย่างไรให้ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง เพราะเป็นความผิดในระบบ ซึ่งปัญหานี้ยังพอพูดคุยกันได้


8385
 สธ.ทุ่มงบ 290 ล้านบาท สร้างอาคารกระตุ้นพัฒนาการเด็กครบสูตรที่สุดในเอเชีย เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษาในหลวง ทั้งพัฒนาการทางสมอง ร่างกายและพฤติกรรมของเด็กด้อยโอกาส ที่สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ จ.เชียงใหม่ เป็นอาคารประหยัดพลังงาน และมีอุปกรณ์ส่งเสริมพัฒนาการเด็กครบถ้วนที่สุดในเอเชีย คาดแล้วเสร็จภายในปี 2555
       
       วันนี้ (30 พ.ย.) นายต่อพงษ์  ไชยสาส์น  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมติดตามการก่อสร้างอาคารพัฒนาการทางสมอง ร่างกาย และพฤติกรรม ของเด็กด้อยโอกาส ที่สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายในการพัฒนาเด็กวัยก่อนเรียนให้มีพัฒนาการสมวัย และเด็กวัยเรียนมีระดับสติปัญญาหรือไอคิวเกิน 100 จุด โดยผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2550 พบเด็กไทยที่มีอายุน้อยกว่า 19 ปี จำนวนเกือบ 20 ล้านคน  มีเด็กที่มีความพิการร้อยละ 2.2 และจากการสำรวจระดับสติปัญญาเด็กนักเรียนไทย ในปี 2553 ของกรมสุขภาพจิต พบว่า เด็กไทยมีระดับสติปัญญาบกพร่องถึงร้อยละ 6.5 อีกทั้งพบว่ามีเด็กพัฒนาการล่าช้าเข้ารับการรักษาที่สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์เพิ่มขึ้น โรคที่พบมากที่สุด ได้แก่ ออทิซึม สมาธิสั้น เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ และสมองพิการ จึงมีนโยบายให้กรมสุขภาพจิต จัดสร้างอาคารพัฒนาการทางสมอง ร่างกายและพฤติกรรมของเด็กด้อยโอกาส ที่สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านการกระตุ้นพัฒนาเด็กด้านนี้โดยเฉพาะ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา ซึ่งจะทำให้เด็กพิเศษกลุ่มนี้ได้รับการส่งเสริมกระตุ้นพัฒนาการอย่างเหมาะสม
       
       อาคารดังกล่าวใช้งบก่อสร้างทั้งหมด 290 ล้านบาท เป็นอาคารรูปเปียโน ทันสมัย เป็นอาคารต้นแบบใช้พลังงานแสงอาทิตย์แทนไฟฟ้าทั้งอาคาร สามารถให้บริการเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการและสุขภาพจิตอย่างครบวงจรแห่งแรกในเอเชีย บริการทั้งผู้ป่วยในและต่างประเทศ ประกอบด้วย ห้องกระตุ้นการเคลื่อนไหว ห้องกิจกรรมบำบัด ห้องกายภาพบำบัด ห้องอรรถบำบัดฝึกพูด ศูนย์วิจัยเด็กออทิสติก ห้องฝึกการใช้ประสาทสัมผัส โรงเรียนศึกษาพิเศษ ห้องดนตรีบำบัด ห้องละครบำบัดห้องสมุด ศูนย์ฝึกอาชีพสำหรับผู้ปกครองและเด็ก ห้องนวดบำบัด และห้องธาราบำบัด ขณะนี้การก่อสร้างคืบหน้าประมาณร้อยละ 50 คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2555
       
       ด้านนายแพทย์สมัย ศิริทองถาวร ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้สถาบันฯได้ทำโครงการศึกษา 654พฤติกรรมพัฒนาการเด็กก่อนวัยเรียนอายุต่ำกว่า 5 ปี  เพื่อหาค่าปกติพัฒนาการของเด็กไทยวัยแรกเกิดถึง 5 ปี โดยใช้ของเล่นกระตุ้นพัฒนาการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการวิพากษ์ของนักวิชาการคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2555หลังจากนั้นจะมีการแถลงผลการวิจัยอย่างเป้นทางการ เพื่อนำไปใช้กระตุ้นพัฒนาการเด็กไทยให้ได้อย่างสมวัย  ซึ่งจะส่งผลต่อการเรียน สติปัญญาของเด็กไทยรุ่นใหม่ด้วย
       
       ทั้งนี้ สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดหาและมอบอุปกรณ์การแพทย์พระราชทานในพระนามาภิไธยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เช่น รถนั่งไฟฟ้า หูฟัง ให้แก่เด็กพิการและผู้พิการทั่วประเทศ ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2543  ถึงปัจจุบัน  โดยได้รับการบริจาคอุปกรณ์ฯ จากองค์กรการกุศล ได้แก่ องค์กรวีลส์ ออฟ โฮป สหรัฐอเมริกา (Wheels of Hope, USA) โจนิและเพื่อน สหรัฐอเมริกา(Joni and Friends, USA) วีลแชร์ ออฟ โฮป ประเทศญี่ปุ่น (Wheelchairs of Hope, Japan) และเฮลปิง แฮนส์ ประเทศนอร์เวย์    (Helping Hands, Norway) หากท่านใดมีความต้องการอุปกรณ์การแพทย์ฯ สามารถติดต่อขอรับได้ทางหมายเลข  0-5389-0238-44 หรือ www.ricd.go.th 

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 พฤศจิกายน 2554

หน้า: 1 ... 557 558 [559] 560 561 ... 651