แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 556 557 [558] 559 560 ... 651
8356
1.3 การจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษ (โบนัส) ให้แก่เจ้าหน้าที่ พนักงาน และลูกจ้างไม่เหมาะสม

สปสช. เริ่มมีนโยบายให้จ่ายเงินโบนัสให้เจ้าหน้าที่ของ สปสช. ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2548 การจ่ายเงินโบนัสพิจารณาจากผลการดำเนินงานในภาพรวมของ สปสช. ซึ่งประเมินโดยบริษัท ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (Thai Rating & Information Service Co., Ltd. : TRIS ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ทริส คอร์ปอชั่น จำกัด TRIS Corporation Limited หรือ ทริส (TRIS)) และจากมติของคณะกรรมการกำหนดกรอบวงเงินโบนัสจากการประเมินผลงานในภาพรวมโดย ทริส ซึ่งแบ่งผลงานออกเป็น 3 ระดับ คือ
ระดับ A คะแนนตั้งแต่ร้อยละ 81 ได้รับกรอบเงินโบนัสร้อยละ 12 ของเงินเดือน
ระดับ B คะแนนตั้งแต่ร้อยละ 71 - 80 ได้รับกรอบเงินโบนัสร้อยละ 8 ของเงินเดือน และ
ระดับ C คะแนนระหว่างร้อยละ 60 - 70 ได้รับกรอบวงเงินโบนัสร้อยละ 4 ของเงินเดือน
โดยมีแนวทางและหลักเกณฑ์การจ่ายเงินโบนัส ที่ประกอบด้วยการพิจารณาผลการปฏิบัติงานดังนี้
ส่วนที่ 1 ให้เจ้าหน้าที่ของ สปสช. ทุกสำนักทุกคนเท่า ๆ กัน ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ช่วยผลักดันเป้าหมายของ สปสช. ให้บรรลุเป้าหมาย
ส่วนที่ 2 จัดสรรให้สำนักไม่เท่ากัน โดยให้ตามผลงานของสำนัก และทุกคนในสำนักเดียวกันได้เท่ากัน ในฐานะเป็นหนึ่งของทีมสำนัก และรับผิดชอบต่อผลงานของสำนักร่วมกัน
ส่วนที่ 3 ให้แต่ละคนไม่เท่ากันโดยให้ตามผลงานส่วนบุคคล

ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2548 - 2552 การประเมินผลงานของ สปสช. โดยรวมที่ประเมินโดยทริสนั้น สปสช. มีผลงานอยู่ในระดับ A ทั้ง 5 ปี โดยมีคะแนนระหว่าง 90.95 - 93.80 โดยมีรายละเอียดผลการประเมินแต่ละปีงบประมาณปรากฏดังตาราง


จากผลการประเมินผลการดำเนินงานโดยทริสตั้งแต่ปีงบประมาณ 2548 - 2552 สปสช. จึงมีการจ่ายเงินโบนัส ให้แก่เจ้าหน้าที่ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2548 - 2552 จ่ายเงินโบนัสให้พนักงานตั้งแต่ปีงบประมาณ 2550 - 2552 และจ่ายเงินโบนัสให้ลูกจ้างตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552เป็นต้นมา ปรากฏดังตาราง


หมายเหตุ :
1. ปีงบประมาณ 2548 - 2551 สปสช. มีการจ้างบุคคลปฏิบัติงานใช้ชื่อเรียกว่า “พนักงาน” ต่อมาในปีงบประมาณ 2552 มีการปรับจากพนักงานเป็นเจ้าหน้าที่ประมาณ 150 ตำแหน่ง และที่เหลือบางส่วนปรับเป็นลูกจ้างทำให้ปีงบประมาณ 2552 มีเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นมาก

2. ปีงบประมาณ 2548 - 2549 มีพนักงานจำนวน 158 คน และ 204 คน ตามลำดับ แต่ไม่มีการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษ (โบนัส) และ สปสช. จ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษ (โบนัส) ให้แก่พนักงานในปีงบประมาณ 2550 - 2551 เป็นเงินจำนวน 2,751,615.00 บาท

3. ปีงบประมาณ 2552 จ่ายเงินโบนัสเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 

จากการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลการจ่ายเงินโบนัสให้แก่เจ้าหน้าที่ พนักงาน และลูกจ้างของ สปสช. พบว่าไม่ได้นำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วนต่อคณะกรรมการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.3.1   ในปีงบประมาณ 2549 การจ่ายเงินโบนัสของ สปสช. เป็นการจ่ายโดยไม่มีมติเห็นชอบจากคณะกรรมการ ซึ่ง สปสช. จ่ายเงินโบนัสให้เจ้าหน้าที่ และลูกจ้าง เป็นจำนวนเงิน 18,702,836.00 บาท โดย สปสช. นำมติคณะกรรมการเรื่องการจ่ายโบนัสในปีงบประมาณ 2548 มาใช้สำหรับการจ่ายโบนัสในปีงบประมาณ 2549 ในขณะที่ปีอื่น ๆ จะมีมติคณะกรรมการอนุมัติให้จ่าย

1.3.2   ในปีงบประมาณ 2550 - 2551 สปสช. จ่ายเงินโบนัสให้พนักงานที่ สปสช. จ้างตามข้อบังคับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. 2546 ข้อ 15 ซึ่งไม่ถือว่าเป็นลูกจ้างของ สปสช. แต่เป็นพนักงานจ้างเหมาเฉพาะกรณี ซึ่งจากการสอบถามเลขาธิการ สปสช. ชี้แจงว่าพนักงานสามารถได้รับค่าตอบแทนพิเศษ (โบนัส) ตามประกาศสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่องการบริหารงานบุคคลสำหรับพนักงาน (ลูกจ้างสัญญาจ้าง) พ.ศ. 2550 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2550 ข้อ 11 พนักงานนอกจากได้รับค่าจ้างตามอัตราจ้างแล้วอาจได้รับเงินค่าตอบแทนอื่น เงินเพิ่มพิเศษ ค่าล่วงเวลา เบี้ยขยัน ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายอื่น สวัสดิการ การสงเคราะห์และประโยชน์เกื้อกูล ตามที่คณะกรรมการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลกำหนด การจ่ายเงินโบนัสให้พนักงานในปีงบประมาณ 2550 - 2551 จำนวน 2,751,615.00 บาท นั้นเป็นการจ่ายโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำหนดนโยบายบริหารทรัพยากรบุคคล และไม่ได้นำเสนอการจ่ายโบนัสให้พนักงานเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการทำให้คณะกรรมการยังไม่ได้พิจารณาว่าการจ่ายโบนัสให้พนักงานถูกต้องตามแนวทางหลักเกณฑ์การจ่ายเงินโบนัสที่คณะกรรมการกำหนด
...

8357
ผลการตรวจสอบและข้อเสนอแนะ

จากการตรวจสอบประเมินผลการดำเนินงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ใช้งบบริหารสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (งบบริหาร) และงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (งบกองทุน) พบว่า การบริหารจัดการยังไม่ถูกต้องและเหมาะสมในหลายประเด็นดังนี้

ประเด็นที่ 1   การใช้จ่ายงบบริหารไม่ถูกต้อง และไม่ประหยัด
ประเด็นที่ 2   การบริหารพัสดุไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
ประเด็นที่ 3   การนำเงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐจากการซื้อยาจากองค์การเภสัชกรรมโดยใช้งบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไปใช้เป็นเงิน สวัสดิการเป็นการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม
ประเด็นที่ 4   การจัดส่วนงานและการกำหนดตำแหน่งงานไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
ประเด็นที่ 5   ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด และการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ไม่เป็นไปตามคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง (Job Specification)
ประเด็นที่ 6   การใช้จ่ายงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์
ที่กำหนดในพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
ประเด็นที่ 7   การบริหารงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรายการงบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคไม่เป็นไปตามที่คู่มือกำหนด

รายละเอียดแต่ละประเด็นข้อตรวจพบมีดังนี้

ประเด็นที่ 1    การใช้จ่ายงบบริหารไม่ถูกต้อง และไม่ประหยัด
จากการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินจากงบบริหารของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พบว่ามีการจ่ายเงินไม่ถูกต้อง และไม่ประหยัด ดังนี้
1.1 การปรับอัตราเงินเดือนให้เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี

จากการตรวจสอบสัญญาจ้างเลขาธิการ สปสช. ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2551 - 2553 พบว่าไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี โดยมีรายละเอียดดังนี้
เลขาธิการ สปสช. คนปัจจุบัน เริ่มปฏิบัติงานเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 ในอัตราค่าจ้างเดือนละ 171,600.00 บาท และเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 42,900.00 บาท ต่อมาเมื่อมีการประเมินผลการปฏิบัติงานปีที่ 1 ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2551 - 31 มีนาคม 2552 คณะกรรมการมีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินเดือนเป็นเดือนละ 200,000.00 บาท และเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 50,000.00 บาท

จากกรณีข้างต้นในช่วงเวลาปฏิบัติงาน 1 ปี เลขาธิการได้รับการปรับเงินเดือนจากอัตราเดือนละ 171,600.00 บาท เป็นเดือนละ 200,000.00 บาท หรือเป็นกรอบอัตราสูงสุดของกรอบเงินเดือนเลขาธิการตามมติ ครม. เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 16.55 ซึ่งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของการได้รับเงินเดือนของเลขาธิการ ตามมติ ครม.ที่กำหนดว่า “การกำหนดอัตราค่าตอบแทนพื้นฐานในส่วนของเงินเดือนประจำในระยะเริ่มแรกไม่ควรกำหนดไว้ให้ใกล้เคียงกับขั้นสูงสุดเพื่อให้สามารถปรับอัตราค่าตอบแทนพื้นฐาน (เงินเดือน) ได้ตามผลงานเป็นระยะ ๆ ตลอดอายุสัญญา” ดังนั้นการกำหนดอัตราเงินเดือนให้เลขาธิการจากการปฏิบัติงานปีแรกแล้วปรับเป็นอัตราสูงสุดตามกรอบถือว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี

1.2 การจ่ายเงินค่าเบี้ยประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2545 มีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการตรวจสอบ 4 คน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2546 และมีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการตรวจสอบชุดใหม่มีจำนวน 5 คน เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 ในคำสั่งดังกล่าวได้กำหนดค่าตอบแทนเหมาจ่ายเป็นรายเดือน หรือค่าเบี้ยประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบโดยให้ประธานอนุกรรมการได้รับเดือนละ 20,000.00 บาท และอนุกรรมการได้รับคนละ 16,000.00 บาทต่อเดือน
เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนฯ หลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมฯ และการพัฒนาการดำเนินงานและการประเมินผลองค์การมหาชน โดยมติคณะรัฐมนตรีมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดกรอบอัตราเงินเดือนและประโยชน์
ตอบแทนอื่นและเบี้ยประชุม ให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะให้อยู่ในหลักเกณฑ์เดียวกัน ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีกำหนดเบี้ยประชุมของประธานกรรมการ กรรมการ และอนุกรรมการ และมีการจ่ายจริง ดังนี้

1.2.1   สปสช. เป็นองค์การมหาชนในกลุ่มที่ 3 กำหนดอัตราเบี้ยประชุมกรรมการขั้นต่ำและขั้นสูงเท่ากับ 6,000.00 - 12,000.00 บาท จากการตรวจสอบพบว่ากรรมการได้รับเบี้ยประชุมคนละ 12,000.00 บาทต่อเดือน
1.2.2   ประธานกรรมการให้ได้รับอัตราสูงกว่ากรรมการร้อยละ 25 ดังนั้น ขั้นต่ำและขั้นสูงของประธานกรรมการเท่ากับ 7,500.00 - 15,000.00 บาท จากการตรวจสอบพบว่าประธานกรรมการได้รับเบี้ยประชุมเดือนละ 15,000.00 บาท
1.2.3   อนุกรรมการให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนตามที่คณะกรรมการกำหนดแต่ไม่เกินครึ่งหนึ่งของอัตราเบี้ยประชุมกรรมการ ดังนั้นจากข้อมูลตามข้อ 1.2.1 อนุกรรมการตรวจสอบจะได้รับเบี้ยประชุมในอัตราสูงสุดไม่เกินคนละ 6,000.00 บาทต่อเดือน จากการตรวจสอบพบว่าอนุกรรมการตรวจสอบยังคงได้รับเบี้ยประชุมในอัตราคนละ 16,000.00 บาทต่อเดือน
1.2.4   ประธานอนุกรรมการให้ได้รับในอัตราสูงกว่าอนุกรรมการร้อยละ 25 ดังนั้นจากข้อมูลตามข้อ 1.2.2 ประธานอนุกรรมการตรวจสอบจะได้รับเบี้ยประชุมในอัตราสูงสุดไม่เกินเดือนละ 7,500.00 บาท จากการตรวจสอบประธานอนุกรรมการตรวจสอบยังคงได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดือนละ 20,000.00 บาท

กล่าวโดยสรุปตั้งแต่มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 กันยายน 2547 ถึงปัจจุบันเดือนมีนาคม 2553 เป็นระยะเวลา 5 ปี 6 เดือนที่ สปสช. จ่ายค่าเบี้ยประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบสูงเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเป็นเงินจำนวน 3,105,000.00 บาท ปรากฏดังตาราง


หมายเหตุ :    
1. อัตราเบี้ยประชุมที่ควรได้รับ หมายถึง อัตราเบี้ยประชุมที่คำนวณมาจากฐานอัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คือครึ่งหนึ่งของอัตราเบี้ยประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
2. รวมเบี้ยประชุมที่จ่ายสูงเกินไปใช้ระยะเวลาคำนวณ 5 ปี 6 เดือน หรือ 66 เดือน (1 ตุลาคม 2547 – 31 มีนาคม 2553)
3. คณะอนุกรรมการชุดที่ 1 มีอนุกรรมการจำนวน 3 คน คำสั่งแต่งตั้งเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2546  คำนวณการประชุมตั้งแต่มีมติคณะรัฐมนตรี (เดือนตุลาคม 2547) ถึงวันที่ได้อนุกรรมการชุดที่ 2 (เดือนกันยายน 2550) เป็นระยะเวลา 36 เดือน
4. คณะอนุกรรมการชุดที่ 2 มีอนุกรรมการจำนวน 4 คน คำสั่งแต่งตั้งเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 คำนวณการประชุมตั้งแต่มีคำสั่งแต่งตั้งเดือนตุลาคม 2550 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2553 เป็นระยะเวลา 30 เดือน
...

8358
ผู้ชายไทยมีพฤติกรรมนอกใจคนรักมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในโลก ขณะที่เพื่อนบ้านรั้วติดกันอย่างมาเลเซีย ก็ตามมาในอันดับที่ 3 หนังสือพิมพ์ไชนาเพรสส์ของมาเลเซีย รายงานผลการศึกษาของดูเร็กซ์ วานนี้ (5)
       
       การสำรวจครั้งนี้ เปิดเผยว่า ชายไทย 54 เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่า เคยนอกใจคนรัก โดยหนุ่มเกาหลีใต้ตามมาเป็นอันดับ 2 ที่ 34 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้ชายมาเลเซีย มีจำนวน 33 เปอร์เซ็นต์ เคยนอกลู่นอกทาง
       
       ประเทศที่อันดับไล่หลังมาเลเซีย ได้แก่ รัสเซียที่ 32 เปอร์เซ็นต์ และฮ่องกง 29 เปอร์เซ็นต์
       
       ในกรณีของฝ่ายหญิง ดูเร็กซ์ รายงานว่า หญิงไทยครองอันดับ 2 แห่งการนอกใจด้วยคะแนน 59 เปอร์เซ็นต์ โดยอันดับ 1 ได้แก่ ไนจีเรีย ที่ 62 เปอร์เซ็นต์ ส่วนมาเลเซียตามมาเป็นอันดับ 3 อีกเช่นเคยที่ 39 เปอร์เซ็นต์
       
       สตรีจากรัสเซียครองอันดับ 4 ที่ 33 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่สิงคโปร์ มีผู้หญิงยืดอกยอมรับว่า เคยนอกใจคนรัก 19 เปอร์เซ็นต์ เป็นอันดับที่ 5
       
       ทั้งนี้ ดูเร็กซ์ ผู้ผลิตถุงยางอนามัยชั้นนำ ทำการสัมภาษณ์ผู้คน 29,000 คน ใน 36 ประเทศทั่วโลกว่าด้วยเรื่องเพศสัมพันธ์ในห้วข้อต่างๆ โดยยังระบุว่า ผู้ชายมาเลเซีย มีคู่ควงเฉลี่ย 3 คน ขณะที่สิงคโปร์และฮ่องกง มีมากถึง 16 คน เป็นสถิติที่สูงสุดในเอเชีย อย่างไรก็ตาม รายงานชิ้นนี้ไม่ได้อ้างถึงจำนวนคนรักเฉลี่ยของผู้ชายไทย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 ธันวาคม 2554

8359
หรือสังคมจะอยู่​ในภาวะถดถอยจน​ถึงขั้นต้อง "หากินกับศพ" กัน​แล้ว? ​และที่กระตุกต่อม​ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี​ให้ออกมาดิ้นพล่านๆ ด้วย​ความคิดที่ว่า​ทำ​ไม​จึงมี​เรื่อง​แบบนี้​เกิดขึ้น​ได้​ก็​เพราะศพที่ถูก​ใช้หากินคือร่าง​ซึ่งมีคุณูป​การต่อ​การพัฒนาวง​การ​แพทย์ ​เป็นร่าง​ซึ่ง​แม้จะ​ไร้วิญญาณ​แต่​ไม่​ไร้จิตวิญญาณฝ่ายดีที่มีต่อสังคม​โดยรวม นั่นคือร่างบริสุทธิ์ที่​เปี่ยมด้วยคุณค่าภาย​ใต้ชื่อ "อาจารย์​ใหญ่" ​และ​เรื่องที่สร้างภาวะขุ่น​เคือง ​ความสับสน ​ความลัง​เล​ให้คนดีของสังคมที่ยอมอุทิศร่างกายภายหลังสิ้นลมหาย​ใจของตน​ให้​แก่​โรงพยาบาลต่างๆ ​เพื่อนำ​ไป​ใช้ประ​โยชน์​แล้ว ต้องกลับมาคิดทบทวน​ความรู้สึกนั้นอีกรอบ จนบางคน​ถึงขั้นจะขอยก​เลิก​การบริจาค​ทั้งหมด ​เพียง​เพราะปลา​เน่า​ไม่กี่ตัวที่สร้าง​ความวุ่นวาย​และ​ความ "​เสื่อม" ​เป็นวงกว้าง

​โดยประ​เด็นที่กำลังถก​เถียง​และ​ได้รับ​ความสน​ใจ​เกี่ยวกับ​การ "หากินกับศพ" จนลุกลาม​ไป​ใหญ่​โต​เรื่องนี้ ​เกิดจาก​เจ้าหน้าที่ของ​โรงพยาบาลศิริราช ​เรียก​เ​ก็บ​เงินค่ารับร่างอาจารย์​ใหญ่จากญาติราคาสูง​ถึง 14,000 บาท ​โดย​ไม่มี​ใบ​เสร็จ​ใดๆ รับรองนอกจาก​การชี้​แจงปาก​เปล่าว่ามีค่าอะ​ไรบ้าง จน​ผู้​เสียหายฉุกคิดอย่างฉงนสงสัยว่าบริจาคร่างกาย​แล้วยังต้องมีค่า​ใช้จ่ายด้วยจริง​หรือ? ​และค่า​ใช้จ่าย​ทั้งหมดนั้นจะ​เข้ากระ​เป๋า​ใคร? ​เป็นน​โยบาลของ​โรงพยาบาล ​หรือ​แค่คนคน​เดียว? ​จึง​ได้มี​การตั้งกระทู้​ใน​เว็บ​ไซต์ชื่อดังอย่างพันทิพ พร้อม​ทั้ง​โทรสอบถาม​แก่​เจ้าหน้าที่​และ​ได้รับคำตอบว่า "หากร่างที่บริจาคอยู่นอกหลัก​เกณฑ์ (นอก​เขตรับบริจาค) ​การ​เกิดค่า​ใช้จ่ายจะ​เป็นข้อตกลงกัน​เองระหว่างญาติ​และ​เจ้าหน้าที่"

​ทั้งนี้ ล็อคอิน มะม่วงกะล่อน ​ซึ่งอ้างว่าตน​เป็น นายบุญส่ง ​เจริญวัฒน์ อาจารย์ ​ผู้รับผิดชอบดู​แล​เจ้าหน้าที่ห้องศพ ของภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะ​แพทย์ศิริราช ​ได้ออกมายืนยัน​ในกระทู้ดังกล่าวด้วยว่า​การรับศพนั้น "​ไม่มีค่า​ใช้จ่าย" ส่วนค่า​ใช้จ่ายที่​เกิดขึ้น ​เป็น​การตกลงกันระหว่างญาติอาจารย์​ใหญ่​และ​เจ้าหน้าที่ฯ พร้อม​ทั้ง​แจ้งว่ามี​เรื่องร้อง​เรียน ​การ​ทำงานของ​เจ้าหน้าที่ฯ ​เฉลี่ยปีละ ๑ ครั้ง ส่วน​ใหญ่​เป็น​เรื่อง​เรียกรับ​เงิน - ทุกครั้ง "​ผู้ที่ร้อง​เรียน" ​ไม่​เคย​เป็นคน​เดียวกับ "​ผู้ตกลง" ​และทุกครั้งที่มี​การร้อง​เรียน ​หรือ ภาควิชาฯ รับทราบปัญหา ​ไม่ว่าจะ​เป็นช่องทาง​ใด จะมี​การตั้งกรรม​การสอบสวน บันทึก​เป็นลายลักษณ์อักษร - หากพบว่า​เจ้าหน้าที่ฯ มีส่วนผิด ​หรือ บกพร่อง จะมี​การลง​โทษ ตามระ​เบียบขั้นตอน

อย่าง​ไร​ก็ตาม จากคำชี้​แจงของอาจารย์บุญส่งข้างต้น มิ​ได้​ทำ​ให้​ความ​เดือดดาลของ​ผู้​ให้​ความสน​ใจ​เกี่ยวกับ​เหตุ​การณ์นี้ลดน้อยลง​แม้​แต่น้อย ​แต่กลับกระตุ้นอารมณ์ขุ่นมัว​และสร้างคำถามค้างคา​ให้​เกิดขึ้น​ใน​ใจ​เพิ่ม​เติม​เมื่อ​เหตุ​การณ์ดังกล่าว​ไม่​ได้​เพิ่ง​เกิดขึ้น​เป็นครั้ง​แรก ​เหตุ​ใดทาง​โรงพยาบาล​จึงปล่อยประละ​เลย​ให้มี​การทุจริต​ใน​เรื่อง​เดิม​เกิดขึ้นซ้ำ​แล้วซ้ำ​เล่า ​โดย​ไม่มี​แนวทางป้องกันที่ชัด​เจน พร้อม​ทั้งยกตัวอย่างสถานรับบริจาคอื่นๆ ​ซึ่ง​ให้​ความ​เคารพต่อร่างอาจารย์​ใหญ่ ​ให้​เกียรติดู​แลพิธีทุกขั้นตอน ​และที่สำคัญ​ไม่มี​การ​เรียก​เ​ก็บค่า​ใช้จ่าย​ใด​ใด​ทั้งสิ้น

...จาก​เหตุ​การณ์ที่​เกิดขึ้นน่าจะ​เป็นบท​เรียน​ให้​แก่​ผู้ที่สน​ใจบริจาคร่างกายพึงต้องศึกษาหลัก​เกณฑ์​การรับบริจาคของ​แต่ละสถาบันอย่างละ​เอียด​เพื่อจะ​ได้​ไม่ต้อง​เสียรู้​ให้กับกล​โกงที่พร้อมจะมา​ในรูป​แบบต่างๆ ​และ​ไม่​ให้ศรัทธาดีๆ ต้อง​เสีย​ไป​เพียง​เพราะปลา​เน่า​เพียง​ไม่กี่ตัว ส่วนทางสถานรับบริจาค​ก็ควรออกกฏระ​เบียบ บทลง​โทษ​แก่​ผู้กระ​ทำผิด​ไว้อย่างชัด​เจน ​และดู​แล​เอา​ใจ​ใส่มิ​ให้มี​การทุจริต​เกิดขึ้นอย่าง​ใกล้ชิด หากต้องมีค่า​ใช้จ่าย​ใดๆ ​เกิดขึ้นควร​แจ้งญาติ​ผู้ตายก่อน​เกิด​เรื่องบานปลายตามมา หมั่นดู​แลทรัพยากรบุคคลของท่าน​ให้ประพฤติตนอย่าง​เหมาะสม ก่อนที่ทรัพยากรบุคคลที่​ไม่ดี​เหล่านั้นจะ​ทำ​ให้องค์กร​ใหญ่ต้อง​เสื่อม​เสีย ​และก่อนที่​ผู้มีจิตศรัทธาต้อง​เสื่อมศรัทธา​และกลาย​เป็น​ความ​เย็นชา​ในสังคม​ไปทีละน้อย

RYT9.COM  6 ธันวาคม 2554

8360
จิต​แพทย์​แนะ​ไม่ว่าจะ​เกิดวิกฤต​การณ์อย่าง​ไร "พ่อ" ​ผู้ที่​ทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัว ​ผู้​แบกรับ​การตัดสิน​ใจ ​การ​แก้​ไขปัญหา ​การ​เผชิญหน้ากับอุปสรรคมากมาย จะต้อง ​ให้​ความสำคัญต่อ​การ​เป็นตัวอย่าง​ให้กับลูก ​โดย​เฉพาะลูกชาย​ใน​เรื่องของ​การวางตัว ​การมีสติ ​การตัดสิน​ใจ ​และ​การ​ใช้อารมณ์ ​เพื่อ​ให้ลูกก้าวสู่​การ​เป็น​ผู้​ใหญ่ที่ดี ​และ​เป็น "พ่อ" ที่ดีต่อ​ไป​ในอนาคต

นาย​แพทย์​โกวิทย์ นพพร จิต​แพทย์​โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า ประ​เด็น ​ใน​การ​เป็น​แบบอย่างที่ดี​ให้กับลูกของพ่อ​แต่ละคนนั้นอาจ​แตกต่างกัน​ไป ​แต่สิ่งที่​เหมือนกัน​และ​เป็นพื้นฐานของ​การ​เป็น​แบบอย่างที่ดี​ให้ลูก​ก็คือ ​เรื่องของ​การครอง​และบริหารชีวิต ​ซึ่ง​การครองชีวิตที่ดี​เหมาะสม จะนำพาชีวิต​เรา​ไปสู่​ความสำ​เร็จ ​ทั้งนี้ พ่อควร​เป็น​แบบอย่างของคนที่ประพฤติดี มี ศีลธรรม จริยธรรม ขยันหมั่น​เพียร มี​ความอดทน มี​ความสามารถ​ใน​การฟันฝ่าอุปสรรค ​และ​แก้​ไขปัญหาต่างๆ ​ในชีวิต​ไป​ได้ รวม​ถึง ​การตัดสิน​ใจที่ดี​ในยามวิกฤติ​และ​การยืนหยัด อยู่​ได้​ในทุกสถาน​การณ์

"​เมื่อ​เรา​เป็นคนดี มีศีลธรรม ​ก็จะสามารถอดทน อดกลั้น ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ​ในยามวิกฤติ​ได้ ​ในขณะที่​ความขยันหมั่น​เพียร มีสัมมาอาชีวะ ​ก็จะสามารถสร้างสิ่งที่ดีๆ ส่งต่อ​ไปยังอนุชนรุ่นหลัง​ได้ ​ซึ่งต้องพึงระลึก ว่า​การสอน​ให้ลูก​เป็นอย่างที่ตัว​เอง​เป็นนั้น ​ก็คือ​การ​ทำตัว​ให้​เป็น​แบบอย่างที่ดีควบคู่​ไปกับ​การสอนสิ่งที่ถูกต้อง​ให้​แก่ลูกด้วย"

สำหรับ​การกระ​ทำ​ให้​เป็น​แบบอย่างที่ดี ​แม้จะต้อง​เจอวิกฤติน้ำท่วม​หรือภัยพิบัติที่ถา​โถม​เข้ามา​ในช่วงท้ายปี 2554 ​และอาจจะ ต่อ​เนื่องยาว​ไปจน​ถึงปี 2555 นั้น นพ.​โกวิทย์ ​แนะว่า​ผู้ที่​ทำหน้าที่พ่อควร​ใช้ช่วงวิกฤตินี้ถ่ายทอด​แบบอย่างที่พึงประสงค์ ​เพื่อ​ให้ลูกสามารถ​เติบ​โต​และฝ่าวิกฤติ​ไป​ได้​เมื่อ​โตขึ้น ​โดยมีหัว​ใจที่สำคัญ 3 ประ​การคือ

​การรู้จักตั้งสติที่ดี​ไม่ตื่นตระหนก​เกิน​ไป ​เช่น ​เวลาที่​เกิดปัญหา พ่อต้อง​แสดง​ให้ลูก​เห็นว่าจะต้องมีสติ ​ไม่ตื่นตระหนกจน​ทำอะ​ไร​ไม่ถูก มี​ความอดทนอดกลั้นต่อสภาวะที่ประสบอยู่ ​แม้ว่าน้ำท่วมจะ​ทำ​ให้​เรา​เดือด​เนื้อร้อน​ใจ ​แต่ถ้า​เรา​ไม่อดทน มัว​แต่ตก​ใจจน​ทำอะ​ไร​ไม่ถูก ​เรา​ก็จะ​แก้ปัญหา​แบบ​ไร้ทิศทาง ฉะนั้น​การที่​เรามี​ความสุขุม จะ​ทำ ​ให้​เราค่อยๆ ​แก้​ไขปัญหา​ได้

​การมีจริยธรรม มี​การตัดสิน​ใจ​แก้ปัญหาที่ดี ด้วยพฤติกรรมที่​เหมาะสม ​เช่น ถ้า​เรา​เป็นคนที่มี​ความมานะอุตสาหะ ​เรา​ก็จะ​ไม่​ได้​เป็นคนที่นั่งรอคอย​ความช่วย​เหลือ​แล้ว​ก็​โวยวาย​ไปว่า​ทำ​ไม​ไม่มี​ใครมาช่วย ​เมื่อมีคนมาช่วย​เหลือ​แล้ว ​ก็​เผื่อ​แผ่​แบ่งปัน ​เจือจาน​ให้คนข้างหลัง ​ได้รับ​การช่วย​เหลืออย่างทั่ว​ถึง ​ความคิดที่ว่าฉัน​เดือดร้อน​แล้ว ​แต่​เธอยังสบายอยู่​หรือ​เดือดร้อนน้อยกว่า ฉัน​ไม่ยอม ฉันต้อง​ทำ​ให้​เธอ​เดือดร้อนลำบากด้วย ​ไม่​ใช่​โม​เดลที่ดีที่จะ​แสดง​ให้ลูก​ได้​เห็น ​และ​ไม่ควร​ไป​แสดง​ให้​ใคร​เห็น

ประ​การสุดท้าย คือ ​การ​ไม่​ใช้​ความรุน​แรง​ใน​การ​แก้​ไขปัญหา ​เพราะ​การ​ใช้​ความรุน​แรง ​ไม่​ได้​ทำ​ให้สิ่งที่ตัว​เองประสบอยู่นั้นทุ​เลา​เบาบางลง​ไป ควร​ใช้สติปัญญา​ใน​การตัดสิน​และ​แก้​ไขปัญหา ​ซึ่งน่าจะ​เป็นต้น​แบบ ที่ดี​ให้กับลูก ​และ​เมื่อ​เขา​เรียนรู้จากพ่อ-​แม่ ​ในอนาคต​เมื่อ​เขาพบปัญหาลักษณะ​เดียวกัน ​เขาจะ​ได้ยึดหลัก​การตัดสิน​ใจ​และ​แก้​ไขปัญหาตาม​แบบพ่อ-​แม่

นพ.​โกวิทย์ ยัง​แนะนำหลักปฏิบัติสำคัญพื้นฐานสำหรับ​การ​เลี้ยงดูลูก ​เพื่อ​ให้ลูก​ได้ซึมซับ​และ​เป็น​แบบอย่างของ​การ​เป็นพ่อ ที่ดี​ในอนาคต คือ ​การที่พ่อจะต้องมีอารมณ์ที่มั่นคง คง​เส้นคงวา อย่า​เป็นพ่อที่อารมณ์​เดี๋ยวดี​เดี๋ยวร้าย ​เพราะจะ​ทำ​ให้ลูกงงว่า​ทำ​ไม ​ทำ​แบบ​เดียวกัน ​แต่​เดี๋ยวพ่อ​ก็ดุด่า บางที​ก็​เฉยๆ ​ไม่สน​ใจ ​และบางที​ก็ยิ้ม ​และยิ่งถ้าพ่อควบคุมอารมณ์ตัว​เอง​ไม่​ได้​แล้ว​ใช้​ความรุน​แรง ​เช่น ถ้า​ทำผิดอย่าง​เดียวกัน วันนี้พ่อตี​เสียตัวลาย อีกวันพ่อ​ทำ​เป็นมอง​ไม่​เห็น อีกวัน ​ก็กลับชม​เสียอีก ​เด็ก​ก็จะสับสน ​ใน​แง่หนึ่งคือ​เด็ก​เรียนรู้ ว่าตกลงจะ​เอายัง​ไง ​ในวันที่พ่อ ​ทำ​โทษ​แรงๆ ​เด็ก​ก็จะมองว่าพ่อ​ไม่รัก ​เรื่องนี้มีผลกระทบกับลูกมาก ​เด็กจะ​ไม่รู้ว่าอะ​ไรคือสิ่งที่ควร​ทำ อะ​ไร​ไม่ควร​ทำ ที่สำคัญอารมณ์ที่​ไม่คง​เส้นคงวาอาจ​ทำ​ให้ลูก​ไม่ค่อยกล้า​เข้าหาพ่อ​เ พราะ​ไม่​แน่​ใจว่าวันนี้​เข้าหาพ่อ​แล้วพ่อจะดี​หรือร้าย ​และ​ผู้​เป็นพ่อจะต้องลด​ความคาดหวังที่มีต่อลูกลงบ้าง ว่าลูกของ​เรานี่จะต้อง​เก่ง จะต้อง​เป็นคน​โดด​เด่นกว่า​เพื่อน​ใน​โรง​เรียน ลด​การ​แข่งขันลง ​เพื่อที่ว่า​เด็กจะ​ได้มีชีวิตอยู่อย่างมี​ความสุขมากกว่า

"​เท่าที่​เห็น​ในสังคมทุกวันนี้ พ่อ-​แม่ค่อนข้างจะคาดหวังจากลูกมาก คาดหวังว่าจะ​เรียนรู้​เยอะ ​เข้า​โรง​เรียนดีๆ ​แข่งขันกับ​เพื่อน​ได้ ฉะนั้น พ่อ​แม่​ก็​เลยพยายามยัด​เยียด สิ่งต่างๆ ที่คิดว่าดี​ให้ลูก ​เน้น​เรื่อง​การ​ให้ ​การศึกษา พ่อ​แม่​ทั้งหลาย​ก็​เน้นผลักดัน​ให้ลูก​ได้รับ​การศึกษามากๆ ​ให้ลูก​เป็นคนที่​โดด​เด่นกว่าคนอื่น อาจจะ​ไม่​ได้มองที่ว่า มัน​เหมาะสมกับลูกตัว​เอง​แค่​ไหน พยายามผลักดัน​ให้ลูก​ทำอย่าง​เดียว​ก็คือ ​เรียนหนังสือ รวม​ถึง​เรียนนอก​เวลา ​เรียนพิ​เศษอย่างอื่น ​ทั้ง​เรียนดนตรี กีฬา ศิลปะ ​ทำ​ให้​เด็ก​ไม่​ได้ถูกฝึก​ให้มี​ความรับผิดชอบ​ในชีวิตประจำวันด้านอื่นๆ หลายรายติดสินบนลูก ด้วยของ​เล่น​หรือด้วยรางวัลอย่างอื่น ​ซึ่งบางที มัน​ก็​ไม่​เหมาะกับอายุ​เด็ก ​และอาจ​ทำ​ให้​เด็กกลาย​เป็นคนที่ติดวัตถุมากกว่าทางด้านจิต​ใจ สุดท้าย​ก็ส่งผล​เสียกลับมา ​และ​เมื่อ​เขา​โตขึ้น ​เขาจะ​ไม่สามารถ​เป็น​โม​เดลที่ดี​ให้กับคนรุ่นต่อ​ไป กลาย​เป็นว่า​ได้​เรียนรู้สิ่งผิดๆ ​และ​ทำสิ่งผิดๆ ตาม​แบบที่ซึมซับมาอีก"

สำหรับ "พ่อ" ​ซึ่งกำลังมี​ความวิตก กังวล ​ไม่สบาย​ใจ ทุกข์​ใจ ​หรือมี​ความ​เครียดจากวิกฤติน้ำท่วม หากต้อง​การคำปรึกษาจากนักจิตวิทยา​และจิต​แพทย์ สามารถ ​ใช้บริ​การสายด่วน "มนารมย์ร่วม​ใจช่วย ​ผู้ประสบภัยน้ำท่วม" ที่ 02-7259555 ​ได้ทุกวัน ตั้ง​แต่​เวลา 8.00-18.00 น. ​หรือ ศึกษาข้อมูล​การสร้างสุขภาพจิตที่ดี รวม​ถึง ​ทำ​แบบทดสอบประ​เมิน​ความ​เครียดด้วยตัว​เองที่ www.manarom.com

​แนวหน้า  6 ธันวาคม 2554

8361
กลุ่ม​เอ็นจี​โอ" ​เตรียมยื่นหนังสือคัดค้านตั้ง "หมอประดิษฐ์" ​เป็นกรรม ​การ​ผู้ทรงคุณวุฒิ บอร์ด สปสช.​เผย​เคยมีคำ วินิจฉัย​ในสมัย "สุดารัตน์" ​ไม่ครบองค์ประกอบ คัด​เลือก​ไม่​ได้ ฉะ​แสน​เสียดายสัดส่วนกรรม ​การบอร์ดชุดนี้มีหมอ​แต่งดำคัดค้านระบบหลักประกันสุขภาพอยู่ด้วย

นายนิมิตร์ ​เทียนอุดม กรรม​การคณะกรรม​การหลักประกันสุขภาพ​แห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ​เปิด​เผยว่า ที่ผ่านมา​การที่ตน​ไม่​เข้าประชุมบอร์ด สปสช.  ​เพราะ​เห็นว่า​การประ ชุมยัง​เป็น​เรื่อง​ไม่ถูกต้อง ​แต่ยืนยันว่า​การที่กลุ่ม ตน​ไม่​เข้าประชุม​ก็ถือว่า​เป็น​การ​ทำงานอย่างหนึ่ง ​โดย​ในวันที่ 6 พ.ย.นี้ จะ​เข้าร่วมประชุม​แน่นอน ​ทั้งนี้ ​ก็​เพื่อจะ​ไปยื่นหนังสือคัดค้าน​การคัด​เลือกกรรม​การ​ผู้ทรงคุณวุฒิด้าน​การ​แพทย์​แผน​ไทยที่​ไม่ถูกต้อง ​เพราะ​ในวันที่มี​การลงคะ​แนนคัด​เลือกนั้น  องค์ประกอบของที่ประชุม​ไม่ครบตามหลัก​การ

นายนิมิตร์กล่าวต่อว่า ​ทั้งนี้ ที่ผ่านมา​เคยมีกรณี​การคัด​เลือกกรรม​การ​ผู้ทรงคุณวุฒิ ​และถูกคัดค้านด้วย​เหตุผล​เดียวกันนี้​ในสมัยที่นางสุดารัตน์ ​เกยุราพันธุ์ ​เป็นประธานบอร์ด ​ซึ่งต่อมากฤษฎีกา​ได้วินิจฉัยว่าคำ​แย้งดังกล่าวถูกต้อง  ​การ​ไม่ครบองค์ประกอบถือว่าคัด​เลือก ​ไม่​ได้ ดังนั้นตน​จึงถือว่าคำตัดสินนี้​เป็นบรรทัด ฐาน​ใน​การยื่นคัดค้านครั้งนี้

ต่อข้อถามว่า หาก รมว.สธ.ยังยืนยันมติตั้ง นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์  ​เป็นกรรม​การ​ผู้ทรงคุณวุฒิต่อ จะดำ​เนิน​การทางกฎหมายอย่าง​ไรต่อ​ไป​หรือ​ไม่  นายนิมิตร์กล่าวว่า คงต้อง​ให้หน่วยงานทางด้านกฎหมายมาช่วยดู ​เพราะถ้า​เป็นมุมขัด​แย้งของสองฝั่ง​แล้วตกลงกัน​ได้​ก็จำ​เป็นต้องมีคนกลาง ​แต่​ทั้งหมดนี้​เป็น​เพียง​ความ​เห็นของตน​เพียงคน​เดียว ต้องรอปรึกษากับพรรคพวกอีก 5 คนอีกครั้ง​เพื่อหา​แนวทางที่​เหมาะสม

"​เป็น​เรื่องที่น่าหนัก​ใจกับสัดส่วนของคณะกรรม​การบอร์ด สปสช.ชุดนี้  ​เพราะหลายคนมี​แนว​โน้ม​ไม่ค่อย​เห็นด้วยกับระบบหลักประกันสุขภาพด้วยซ้ำ  ​จึงน่า​เป็นห่วง​ใน ​เชิงทัศนะ​ความ​เข้า​ใจต่อระบบหลักประกันสุขภาพ​แห่งชาติ  ​เพราะคนที่​เข้า​ไปคือคนที่​เคย ​แต่งชุดดำ ​เคยมี​ความ​เห็นว่าระบบหลักประกันสุขภาพ​เป็นตัว​ทำลายระบบสาธารณสุขของประ​เทศ ​หรือมีมุมมองว่าระบบนี้​ทำ​ให้คน​เคย ตัว ​ทำ​ให้คนออก​ไป​ใช้บริ​การกันพร่ำ​เพรื่อ คือถ้าคุณมีมุมมอง​แบบนี้​แล้วคุณมานั่งบริหารระบบนี้ ​ก็คิดดูว่าประชาชนจะ​ได้​หรือ​เสียประ ​โยชน์" นายนิมิตร์กล่าว.

ไทย​โพสต์ 6 ธันวาคม 2554
.........................................................................................

  “วิทยา” เมินเสียงคัดค้าน ถอดถอน “นพ.ประดิษฐ์” พ้นแถวการพิจารณาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ บอร์ด สปสช.ยันดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนแล้ว ด้านภาคประชาชน ท้าขอดูผลงาน ย้ำ ทุกฝ่ายพร้อมเดินหน้าเพื่อประชาชน
       
       หลังจาก นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอชื่อ นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิสัดส่วนการแพทย์แผนไทย ของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) และเตรียมเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัตินั้น
       
       ล่าสุด ( 6 ธ.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ว่า ในการประชุมครั้งนี้ ทางภาคประชาชน ได้ใช้สิทธิในการคัดค้าน ซึ่งเป็นสิทธิปกติที่พึงกระทำ อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมก็อธิบายชัดเจนว่า การเลือกที่ผ่านมาถูกต้องครบตามองค์ประชุม ซึ่งยังยืนยันว่าเป็นนพ.ประดิษฐ์ เนื่องจากดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องแล้ว
       
       ขณะที่ นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า จากการที่ได้ยื่นหนังสือคัดค้านการแต่งตั้งผูทรงคุณวุฒิดังกล่าวนั้น นายวิทยา ได้รับเรื่องไว้แล้ว แต่ในเมื่อที่ประชุมยังยึดมติเดิม ทางภาคประชาชนก็ต้องขอให้โอกาสในการดำเนินงานร่วมกัน แล้วค่อยๆ ดูกันต่อไปว่า จะบริหารงานไปในทิศทางใด เพราะถือว่า ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่แล้วในการสรรหาคณะกรรมการดังกล่าว
       
       นายนิมิตร์ กล่าวด้วยว่า ในการจะยอมรับ นพ.ประดิษฐ์ นั้น ก็ถือเป็นการให้โอกาส เพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพของไทย แต่หากบริหารงานบกพร่อง หรือผิดพลาด ก็ค่อยพิจารณากันใหม่ ส่วนกรณีที่หลายคนสงสัยว่า การบริหารงานของคณะกรรมการชุดนี้จะเอนเอียงหรือไม่ คิดว่าคงต้องดูแนวโน้มการบริหารงานในภาพรวมก่อน เพราะในที่ประชุมมีการหารือกันแล้วว่า จะทำงานเพื่อประชาชนร่วมกัน

ASTVผู้จัดการออนไลน์  6 ธันวาคม 2554

8362
สพศท.แฉ สตง.ตรวจพบ สปสช.บริหารงบผิดพลาด หลายส่วนไม่ตรงตามมติ ครม.มีการจ่ายเงินคณะอนุกรรมการซี้ซั้ว “หมอประชุมพร” ขนข้อมูลฟ้อง “วิทยา” 6 ธ.ค.นี้ ด้าน “นพ.วินัย” พร้อมชี้แจงทุกประเด็น เว้นจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยง ขอเวลาคุยกฤษฎีกา
       
       พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ย.2554 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ได้เผยแพร่สรุปผลการตรวจสอบประเมินผลสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ปีงบประมาณ 2554 โดยระบุว่า มีการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลายข้อ เช่น การจ่ายเงินเบี้ยประชุมให้ประธานและอนุกรรมการเกินกว่ามติ ครม. มั่วจ่ายเบี้ยเลี้ยง โดยไม่มีมติคณะกรรมการ สปสช.การจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยงการเดินทางในการจัดประชุมอบรมสัมมนาของสปสช. ที่เกินกว่าอัตรากำหนด หรือ แม้กระทั่งการบริหารงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรายการงบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคไม่เป็นไปตามที่คู่มือกําหนด
       
       พญ.ประชุมพร“สรุปผลของ สตง.นั้นย่อมสะท้อนให้เห็นว่า สปสช.มีความผิดพลาดในการบริหารงานจริงๆ ดังนั้น ในวันที่ 6 ธ.ค.ที่จะมีการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ตนจะนำหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว พร้อมกับหลักฐานผลสรุปของ สตง.ไปเสนอต่อ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) ในฐานะประธานบอร์ด ให้รับทราบถึงความไม่โปร่งใสของหน่วยงานเพื่อที่จะได้แก้ไขและปรับปรุงข้อบกพร่องให้ดีขึ้น” กล่าว
       
       ด้าน นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า จากข้อท้วงติงของ สตง.นั้น ตนและหน่วยงานรับทราบดี และได้ชี้แจงในบางส่วนไปแล้ว เช่น กรณีการบริหารงบประมาณ การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคนั้น ความจริงแล้วเป็นเพียงความเข้าใจผิดที่ตีความทางคู่มือ ซึ่ง สปสช.ได้กระจายงบประมาณไปยังหน่วยงานนอกบริการในลักษณะความร่วมมือ หรือ MOU (เอ็มโอยู) เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนมีการดูและป้องกันสุขภาพอย่างถูกต้อง เหล่านี้ล้วนเป็นการส่งเสริมการสร้างเสริมสุขภาพทั้งสิ้น ซึ่ง สปสช.จะแก้ไขคู่มือใหม่ให้ครอบคลุมการบริการสุขภาพมากขึ้น
       
       “สำหรับกรณีของการจ่ายเงินในเรื่องการลงพื้นที่ดำเนินงานและการการใช้จ่ายเงินบางรายการที่ระบุว่า เป็นไปโดยไม่ประหยัด เช่น ค่าเดินทางโดยเครื่องบิน เบี้ยเลี้ยงการประชุมอบรมสัมมนาของ สปสช.ที่ไม่ได้มีการคิดรวมกับค่าอาหารในงานประชุมซึ่งไม่ได้อยู่ในมติของ ครม.นั้นทาง สปสช.คงต้องขอเวลาในการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการเสียก่อน ส่วนกรณีเบี้ยประชุมนั้น ไม่ได้อยู่ในอำนาจการสั่งจ่ายของ ครม.หรือต้องผ่านความเห็นของรัฐมนตรีเลย เพราะเบี้ยประชุมมีการคิดแยกจากค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานอยู่แล้ว” นพ.วินัย กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 ธันวาคม 2554

8363
“หม่ำ” ฮาไม่ออกบ้านน้ำท่วมมิดหัว ผ่านมาเป็นเดือนเพิ่งลดเหลือระดับเอว ยันยังไม่คิดย้ายกลับไปเพราะกลัวปลิงมาก ออกปากเห็นใจหน่วยงานทุกฝ่ายที่ต้องเร่งแก้ปัญหา ยันที่เหน็บ 5 พันยังไม่พอค่าสีทาบ้านแค่พูดเล่น เผยสงสารชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำจะหาเงินจากไหนมาซ่อมบ้าน ฝากให้ทุกคนตั้งสติอย่าคิดมาก
       
       ตลกชื่อดังอย่าง “หม่ำ จ๊กมก” หรือ “เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา” ก็อ่วมไปไม่น้อยทั้งๆ ที่เพิ่งย้ายไปอยู่คฤหาสน์หรูกว่า 50 ล้านบาทได้ไม่ทันไร ก็เจอมหาอุทกภัยซัดบ้านท่วมสูงมิดหัว เล่นเอาหน้ามืดจนเมียบ่นเป็นห่วงบ้านไม่ยอมออกมา เจ้าตัวเผยถึงตอนนี้น้ำลดเหลือระดับเอวแต่ก็ยังไม่กล้ากลับเข้าบ้านเพราะกลัวปลิง
       
       “ตอนนี้ยังเข้าบ้านไม่ได้ครับ น้ำลดแล้วแต่รถยังเข้าไม่ได้ บ้านอยู่แถว อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ตอนแรกสูงท่วมหัว ตอนนี้อยู่ระดับเอว มันก็ไม่รู้จะพูดยังไงเพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติ ต้องปล่อยไปตามนั้น โดนกันทุกคนไม่รู้จะสงสารใคร ผมเห็นข่าวแล้วก็สงสารคนนู้นคนนี้ เขาก็โดน เราก็โดน สงสารรัฐบาล มายังไม่ทันไรมาเจอเรื่องนี้แล้ว น่าเห็นใจทุกฝ่าย เห็นใจผู้ว่าฯ กทม.ด้วย มันมะรุมมะตุ้มไปหมด”
       
       “สงสารชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ มันไม่รู้จะไปไหน ไม่มีบ้านแล้วก็ต้องอยู่ชั้น 2 แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปกู้มาทำบ้านใหม่อีก มันก็โอเคสำหรับคนที่พอมีเงินมีทองหน่อย แต่คนที่ไม่มีนี่สิ บอกให้เขาย้ายไปอยู่ที่ศูนย์อพยพเขาจะไปได้ไง ทั้งชีวิตเขามีแค่บ้านหลังนั้นน่ะ เขาจะทิ้งไปได้ยังไง”
       
       “เหมือนเมียผม ต้องดึงเขาออกมา เขาไม่ยอมออกมา ไม่ออกไม่ได้ นี่ขนาดเขาอายุยังไม่มากยังไม่อยากออกเลย ขอตายอยู่ตรงนั้นแหละ ให้ลูกให้เต้าไปก่อน อ้าว แล้วลูกจะอยู่กับใคร สัญชาตญาณของคนรักบ้าน มันเป็นสิ่งสุดท้ายแล้วที่มีอยู่ อย่างที่บอกคนที่มีเงินมีทองมันก็โอเค แต่คนที่หาเช้ากินค่ำจะเอาเงินจากไหน เขาก็รู้สึกว่าอยู่กับบ้านตายกับบ้านไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย มันหนีธรรมชาติไม่รอดอยู่แล้ว (เห็นแอบเหน็บว่า 5 พันยังไม่พอค่าสีทาบ้าน?) ผมพูดเล่น สำหรับผม 5 พันบาทมันก็โอเคอยู่แล้วนะ เพราะมาลองนึกว่ามันกี่หลังรวมแล้วเป็นเงินเท่าไหร่ ไม่ใช่น้อยๆ”
       
       ถ้าน้ำไม่ลด จะไม่กลับเข้าบ้านเด็ดขาด ไม่คิดแตะน้ำเพราะกลัวปลิงมาก!
       
       “ส่วนตัวผมกลัวปลิงมาก ผมจะไม่ลงน้ำเลย ว่ายน้ำเป็น แต่ถ้าเจอปลิงแล้วเนี่ย ไม่เอาด้วยเลย ให้ทำอะไรก็ได้ เออ ให้ไปล่าไอ้เข้ยังไม่น่ากลัวเท่าปลิงเลย เป็นความรู้สึกของคนเฉยๆ มันไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก ไม่มีพิษมีภัย แต่เห็นมันอี๋.. ขนลุก”
       
       “ยังไงก็อย่าไปคิดอะไรมากครับทุกท่าน ชาวไทยทุกคน ผมก็โดนหนักไม่ใช่เล่น มันผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไปเหมือนสายลม อย่าให้มันพัดมาอีกแล้วกัน ตั้งสติกัน ใครที่ฟุ่มเฟือยจะรู้ตอนนี้แหละว่าต้องเก็บเงิน เวลามันจะได้ใช้มันจะมีประโยชน์”

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 ธันวาคม 2554

8364
 เอเอฟพี - หลายหมื่นครอบครัวที่ติดเชื้อเอชไอวีในเอเชียกำลังเผชิญ “ความยากจนที่เลี่ยงไม่ได้” จากอัตราค่าครองชีพที่สูงขึ้นตามราคายาต้านไวรัสเอดส์ โดยเด็กและสตรีเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ยูเอ็นเสนอรายงานสถานการณ์เอดส์ในเอเชียวันนี้ (1 ธ.ค.) เนื่องในวันเอดส์โลก
       
       อัตราค่ารักษาพยาบาลราคาสูงประกอบกับโอกาสที่ผู้ติดเชื้อจะตกงานจากการถูกเลือกปฏิบัติ หมายความว่า สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนที่ติดเชื้อเอดส์ทั่วเอเชียกำลังตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว รายงานของยูเอ็นระบุ
       
       “หากไม่มีการแทรกแซง ครอบครัวผู้ติดเชื้อจำนวนมากจะกลายเป็นคนยากจนโดยไม่อาจเลี่ยงได้” นิโกลัส โรเซลลินี รองผู้อำนวยการโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ภูมิภาคเอเชีย ระบุในคำแถลงที่เผยแพร่วันนี้
       
       โรเซลลินียังเรียกร้องรัฐบาลทั่วเอเชียหาทางช่วยลดผลกระทบของโรคเอดส์ต่อสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ขณะที่ปัจจุบันเอดส์เป็นปัจจัยที่ทำให้หลายครอบครัวติดอยู่ในวังวนแห่งการเป็นหนี้ เด็กๆ ในครอบครัวเหล่านี้ก็จะเป็นคนยากจนไปตลอดชีวิต
       
       ค่าครองชีพพิเศษที่ครอบครัวผู้ป่วยเอดส์เผชิญทำให้ผู้ปกครองมีภาระหนักในการชำระค่าเล่าเรียนของลูกๆ ผลการศึกษาครั้งนี้พบว่า เอเชียมีอัตราการหยุดเรียนกลางครันสูงมากจากปัญหานี้
       
       โรคเอดส์ยัง “กระทบต่อสตรีและเด็กหญิงอย่างไม่เป็นธรรม” เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มีข้อจำกัดในการเข้าถึงการพยาบาล และมักต้องรับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยเอดส์ที่อยู่ในบ้าน
       
       จากการศึกษาครอบครัวผู้ป่วยเอดส์ทั่วเอเชีย 17,000 ครัวเรือน ยูเอ็นพบว่า ครอบครัวที่ติดเชื้อในประเทศเอเชีย เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลมากกว่าครอบครัวปกติถึง 3 เท่า
       
       กัมพูชาเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่รายจ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือนที่ติดเชื้อเอดส์ไม่สูงเกินกว่าค่าครองชีพเฉลี่ยของครอบครัวทั่วไป เนื่องจากมีการแจกจ่ายยาต้านไวรัสจากหน่วยงานรัฐบาลอย่างแพร่หลาย
       
       นอกจากนี้ ยูเอ็นประเมินว่า ประกรโลกประมาณ 34 ล้านคน ติดเชื้อเอชไอวีเมื่อปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน การรักษาพยาบาลที่ดีช่วยให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ลดลงมาก และยังสามารถยับยั้งการระบาดสู่ผู้ป่วยใหม่
       
       ทั้งนี้ นพ.สำลี เปลี่ยนบางช้าง ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงความเห็นผ่านหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ไว้ว่า “ผู้หญิงเอเชียอายุต่ำกว่า 15 ปี ประมาณ 1.3 ล้านคน กำลังติดเชื้อเอชไอวี” ปัจจัยสำคัญต่อการระบาดของเอดส์ คือ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และการใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกัน โดยพม่า อินเดีย อินโดนีเซีย เนปาล และไทย เป็น 5 ประเทศ ที่พบการระบาดหนักที่สุดในเอเชีย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 ธันวาคม 2554

8365
เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 ปีของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ได้เสนอรายงานพิเศษ ชุด อาย ออน ไทยแลนด์ (Eye on Thailand) ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจในประเทศไทย โดยเริ่มออกอากาศตอนแรกในวันนี้ (5) เรื่อยไปจนถึงสัปดาห์หน้า
       
       เมื่อเวลา 07.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย ซีเอ็นเอ็น ได้เสนอบทสัมภาษณ์พิเศษใน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่พระราชทานแก่พิธีกรหญิง พอลลา แฮนค็อกส์ ซึ่งติดตามเสด็จฯไปเยี่ยมโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเวลา 1 วัน โดย ซีเอ็นเอ็น กล่าวชื่นชมพระองค์ว่า ทรงเป็น “เจ้าหญิงนางฟ้า” ผู้เป็นที่เคารพรักยิ่งของคนไทย
       
       สมเด็จพระเทพฯ ตรัสในบทสัมภาษณ์ต่อซีเอ็นเอ็น ตอนหนึ่งว่า “ประชาชนบางรายก็อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล และมีปัญหาด้านสุขภาพ แต่ก็ไม่สามารถเดินทางไปโรงพยาบาลได้ เพราะติดปัญหาด้านการเดินทาง”
       
       ขณะเดียวกัน แอนนา โคเรน พิธีกรหญิงของซีเอ็นเอ็น ก็ได้รายงานบรรยากาศงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาจากด้านนอกพระบรมมหาราชวัง ซึ่งปวงชนชาวไทยต่างพร้อมใจกันเดินทางมาร่วมถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างมืดฟ้ามัวดินในวันนี้ (5)
       
       รายงานพิเศษชุด Eye on Thailand จะเริ่มออกอากาศในช่วง เวิลด์ รีพอร์ต ทางสถานีโทรทัศน์ ซีเอ็นเอ็น ตั้งแต่วันที่ 5-14 ธันวาคม โดยเนื้อหาประกอบด้วยสถานการณ์ในรอบวัน และประเด็นที่น่าสนใจในประเทศไทย เช่น
       
       - สถานการณ์น้ำท่วมไทย บทสัมภาษณ์เจ้าของธุรกิจโรงแรมเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น ตลอดจนแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังน้ำลด
       
       - แวดวงฟุตบอลไทย และบทสัมภาษณ์ ร็อบบี ฟาวเลอร์ อดีตดาวดังจากสโมสรลิเวอร์พูล ซึ่งเดินทางมาค้าแข้งในไทยพรีเมียร์ลีก
       
       - การแพทย์ของไทย ซึ่งได้รับความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวชาวอาหรับ ที่เดินทางมารับการรักษาเป็นจำนวนมากในแต่ละปี โดยมีการสำรวจแผนกคนไข้มุสลิมของโรงพยาบาลกรุงเทพ
       
       - มวยไทย กีฬาซึ่งได้รับความนิยมไปทั่วโลก และบทสัมภาษณ์ บัวขาว ป.ประมุข นักมวยไทยที่มีชื่อเสียงโด่งดังบนเวทีโลก
       
       นอกจากนี้ สำนักข่าวต่างประเทศทั่วโลก ต่างเผยแพร่ภาพพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 ปี ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กันโดยถ้วนหน้า โดยสำนักข่าวเอพีรายงานพระราชดำรัสที่พระราชทานต่อผู้มาเฝ้าฯโดยละเอียด พร้อมชี้ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้พระองค์ทรงเน้นย้ำมาโดยตลอดให้ชาวไทยมีความสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ขณะที่ ไต้หวัน นิวส์ รายงานบรรยากาศรอบท้องสนามหลวง ว่า เป็นดั่ง “เทศกาลเฉลิมฉลองใหญ่” และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของไทยนอกจากจะทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกแล้ว ยังทรงเป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุด โดยคาดว่า ทรงมีพระราชทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2010

ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 ธันวาคม 2554

8366
สธ.สนองนโยบายรัฐ ฟื้นฟู 6 จังหวัดน้ำท่วมภายใน 45 วัน ด้าน ปภ.เขต 1 ปทุมฯ ร่วม 6 จังหวัด เร่งกู้หมู่บ้านเมืองเอก คาด 2-3 สัปดาห์สู่ภาวะปกติ

                     4 ธ.ค.54 ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ.แจ้งว่า กระทรวงสาธารณสุขเร่งฟื้นฟูสภาพแวดล้อม 6 จังหวัด ที่มีน้ำท่วมขังภายใน 45 วัน โดยนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขเร่งสนองนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมหลังน้ำลด เพื่อให้กลับคืนสู่ภาวะปกติ และมีความปลอดภัย ซึ่งจะเริ่มพร้อมกันใน 6 จังหวัด ประกอบด้วย ปทุมธานี นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สมุทรสาคร และนครปฐม ระหว่างวันที่ 1-5 ธันวาคมนี้

                     ทั้งนี้ จะมีการดำเนินการในเรื่องการกำจัดยุง แมลงวัน พาหะนำโรค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด การกำจัดน้ำเน่าเสีย การจัดส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บริการประชาชน และการตรวจคัดกรองสุขภาพจิตผู้ประสบภัย กิจกรรมดังกล่าวจะดำเนินการต่อเนื่องพร้อมทั้งตั้งเป้าให้พื้นที่ดังกล่าว  กลับคืนสู่สภาวะปกติ คือ มีอาหาร และน้ำ รวมถึงความปลอดภัยทุกตำบล

                     ขณะเดียวกันทาง ศปภ. แจ้งด้วยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โดยศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 1 จังหวัดปทุมธานี ร่วมกับเทศบาลตำบลหลัก 6 จังหวัดปทุมธานี และการประปานครหลวงระดมรถสูบน้ำ 4 คัน และเครื่องสูบน้ำ 19 เครื่อง ซึ่งสามารถระบายน้ำได้วันละ 65,000 ลูกบาศก์เมตร ออกจากพื้นที่โครงการหมู่บ้านเมืองเอก ซึ่งมีพื้นที่กว่า 4,300 ไร่  คาดภายใน 2-3 สัปดาห์ สถานการณ์จะคลี่คลายกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

                     นอกจากนี้ นายสมชัย ศิริวัฒนโชค อธิบดีกรมการขนส่งทางบก แจ้งผ่าน ศปภ.ว่า กรมการขนส่งทางบกได้ประสานบริษัทรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ กว่า 10 บริษัท จัดตั้งคลินิกให้คำปรึกษาเจ้าของรถที่ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งแต่ละบริษัทได้จัดวิศวกรผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย พร้อมมอบคูปองส่วนลดค่าแรง และอะไหล่ให้กับผู้ที่มาร่วมงาน “ตรวจรถก่อนใช้ ปลอดภัยแน่นอน” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ ที่กรมการขนส่งทางบก เขตจตุจักร ซึ่งปกติงานดังกล่าวจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี อีกทั้งก็จะให้บริการตรวจความพร้อมของระบบเครื่องยนต์ โดยให้บริการฟรีตลอดเดือนธันวาคมนี้ด้วย

คมชัดลึก 5 ธค 2554

8369
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) กล่าวว่า ภารกิจสำคัญของ สปสช. คือการจัดบริการเพื่อดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ และทุกๆ วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นวันเอดส์โลก ซึ่งในปีนี้คำขวัญประจำปี พ.ศ.2554 หรือ ค.ศ.2011 นี้คือ "getting to zero" "เอดส์ ลดแล้ว...ลดอีก" หมายถึง ลดการติดเชื้อรายใหม่ ลดการตายจากเอดส์ และลดการตีตราจากสังคม ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของ สปสช.ในการให้หลักประกันสุขภาพกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ในการได้รับบริการสุขภาพ โดยมีการจัดสรรงบประมาณแยกจากงบเหมาจ่ายหัว ซึ่งในปีงบประมาณ 2555 คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2554 จัดสรรงบประมาณ 2,940.055 ล้านบาท         

นพ.วินัยกล่าวว่า สำหรับการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีจำนวน 157,600 ราย อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายเงินได้ยึดแนวทางเดิมของการจัดสรรงบปี 2554 ไปพลางก่อน เนื่องจากต้องรอการพิจารณาในสภาอีกครั้ง ทั้งนี้สำหรับเงินกองทุนนี้ส่วนหนึ่งจะถูกจัดสรรลงหน่วยบริการสาธารณสุขที่ให้บริการดูแลผู้ป่วย โดยอิงตามภาระงานของแต่ละหน่วยบริการและตามอัตราชดเชยที่ สปสช.กำหนด และอีกส่วนหนึ่งใช้สำหรับการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดบริการ เพื่อเพิ่มศักยภาพการปฏิบัติงานของหน่วยบริการทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ       

เลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ชุดสิทธิประโยชน์สำหรับการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีแบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ

1.บริการยาต้านไวรัสและยาอื่นๆ ประกอบด้วย การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี การให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีทารกแรกเกิด การให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีเพื่อการป้องกันการติดเชื้อภายหลังสัมผัส และการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูงที่เป็นผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัส

2.การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อติดตามการรักษา

3.การให้คำปรึกษาและการตรวจเลือดแบบสมัครใจ และการป้องกันโรคเอดส์ในกลุ่มผู้ติดเชื้อ รวมถึง

4.การจัดโครงการตรวจการดื้อยาต้านไวรัสเพื่อการปรับเปลี่ยนสูตรยาต้านให้ทันกับสถานการณ์ 

มติชนออนไลน์  1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

8370
ถ้ามีคนมาถามว่า "รู้จักเอดส์ไหม?" เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา พอเดาคำตอบได้ไหม หากนึกถึง "เอดส์"

แน่นอนว่า...มีความเชื่อที่คลาดเคลื่อนเยอะไปหมด เช่น เมื่อเข็มมั่วเพศติดเอดส์แน่นอน, เป็นโรคของคนส่ำส่อน, เป็นแล้วก็ตายลูกเดียว, ควรจะแยกที่อยู่จานชามช้อนส้อมอย่าไปใช้ปะปน อย่าไปยุ่งเกี่ยวนะเดี๋ยวจะติด ฯลฯ และอีกหลายความเชื่อที่ไม่มีทางให้คนเข้าถึงการรักษา และเรื่องเกี่ยวกับช่องทางการติดต่อ ที่ช่างเย้ายวนความสนใจและเขาว่ากันว่าสั่นคลอนศีลธรรม (?)  คือการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ติดต่อทางใช้เข็ม เป็นต้น ก็อาจจะยิ่งสร้างภาพย้ำเรื่อง "เอดส์" ดูแย่

ทว่าทั้งหมดที่ว่ามานี้ ถ้าคุณเรียกว่า "รู้จักเอดส์" แล้วล่ะก็... นั่นก็คงถึงเวลาที่คุณ (ควร) จะรู้จริงๆ แล้วล่ะ

รู้ไหม? ว่า "เอดส์รู้เร็วรักษาได้" เชยสะบัด หากบอกว่าเอดส์เป็นแล้วต้องตายอย่างเดียว เพราะอาการเอดส์ คือภาวะที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลง จนเกิดโรคฉวยโอกาส เช่น เชื้อราเยื่อหุ้มสมอง เริม งูสวัด ฯลฯ ซึ่งโรคเหล่านี้หากได้รับการรักษาทันท่วงทีก็จะหายเป็นปกติ และหากเพียงผู้ติดเชื้อฯ ได้กินยาต้านไวรัสเอชไอวี ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าจะช่วยไปต้านไวรัสไว้ ไม่ให้แพร่สมาชิกในร่างกาย เมื่อเชื้อน้อย ภูมิคุ้มกันก็แข็งแรง ก็กลับมามีสุขภาพที่ดี ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ป่วยด้วยโรคฉวยโอกาส อาการเอดส์ก็หายไป เป็นเพียงผู้ติดเชื้อเอชไอวี

รู้ไหม? ปัจจุบัน ประเทศไทยมีระบบสวัสดิการด้านสุขภาพทุกระบบของประเทศ มีความพร้อม สามารถให้การดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยเอดส์ได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย  ไม่ว่าจะเป็นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า, ระบบสวัสดิการประกันสังคม และ ระบบสวัสดิการข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ  ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตาม ก็สามารถเข้าไปรับบริการ และดูแลตัวเองได้อย่างทันท่วงที

รู้ไหม? จะติดเชื้อเอชไอวีได้ ต้องมีช่องทาง มีปริมาณและคุณภาพเชื้อที่เหมาะสมพอที่จะทำให้ติดได้ซึ่งช่องทางที่เสี่ยง ก็คือทางเพศสัมพันธ์ และทางเลือด ความเชื่อที่ว่าจะติดเชื้อเอชไอวีทางจานชามช้อนส้อม น้ำลายนั้นเป็นเพียงเรื่องตื่นตระหนก

รู้ไหม? ว่าใครก็ตามที่ยังมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน  ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชไอวีได้ทุกคน แล้วจะมีแค่กลุ่มเกย์ พนักงานบริการ ฯลฯ เสี่ยงหรือไม่ สรุปก็คือ เรื่องเอชไอวี/เอดส์ ไม่ใช่แค่เรื่องของใคร เป็นเรื่องของทุกคนนั่นเอง
 
แล้วตอนนี้พอประเมินได้แล้วหรือไม่ว่าตัวเอง "เสี่ยง" หรือ "ไม่เสี่ยง"

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าปัจุบันประเทศไทย มีระบบการเข้าถึงการรักษาเรื่องเอชไอวี/เอดส์ รวมทั้ง ยังมี "บริการการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยความสมัครใจได้ ปีละ 2 ครั้ง" สามารถเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลของรัฐ และเอกชนที่เข้าร่วมระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ใดก็ได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ขณะนี้ก็ยังมีผู้ติดเชื้อฯรายใหม่ 10,8853 ราย หรือ วันละประมาณ 30 ราย   และยังมีผู้ที่ป่วยที่เสียชีวิตจากเอดส์ ปีละ ประมาณ 1,000 ราย ทั้งหมดนี้อาจจะเนื่องมาจากความ "ไม่รู้"...ไม่รู้และเข้าใจเรื่องเอดส์อย่างเพียงพอ นำไปสู่การเรื่องการประเมินความเสี่ยงของตัวเองที่ผิดพลาด และนำไปสู่การไม่ป้องกันตัวเองและผู้อื่น แล้วก็นำไปสู่การติดเชื้อฯรายใหม่เพิ่มขึ้นในที่สุด

ดังนั้นคงถึงเวลาที่คุณจะรู้ผลเลือดตัวเอง!

ทางเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย และมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงถือโอกาสในวันเอดส์โลก 1 ธันวาคม นี้เปิดตัวแคมเปญ "TIME 2 TEST HIV  ถึงเวลาที่ทุกคนจะรู้ผลเลือดเอชไอวีของตัวเอง" โดยสามารถเข้ารับบริการการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยความสมัครใจได้ ปีละ 2 ครั้ง  ด้วยเห็นว่า  หากคนทั่วไปรู้ผลเลือดของตนเอง  กรณีผลเลือดลบ ก็จะนำไปสู่การประเมินและลดความเสี่ยง รวมทั้งการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อเอชไอวี    จะส่งผลต่อการลดอัตราการติดเชื้อฯรายใหม่ลง  และถ้าผลเลือดบวก หากรู้ได้เร็ว  ก็จะทำให้เข้าสู่บริการสุขภาพได้เร็ว ทั้งเรื่องการป้องกัน รักษาโรคฉวยโอกาสที่ทุกโรค รักษาให้หายได้ และจะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีที่ทันท่วงที โดยไม่ต้องรอให้ป่วย ทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรง ใช้ชีวิตตามปกติได้  และลดอัตราการตายจากเอดส์ลงในที่สุด

โดยจะมีกิจกรรมรณรงค์ต่อเนื่อง จนถึง วันเอดส์โลก 1 ธันวาคม 2555 และหวังให้เกิดกระแสความสนใจของผู้คนที่ตระหนักจะเริ่มต้น "รู้" ประเมินความเสี่ยงตนเอง ต่อไปอนาคต

ขอตบท้ายด้วยประโยคสุดคลาสสิคว่า วันนี้คุณ "รู้" ตัวเองแล้วหรือยัง?

ฝ่ายรณรงค์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย
มติชนออนไลน์ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หน้า: 1 ... 556 557 [558] 559 560 ... 651