แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 546 547 [548] 549 550 ... 650
8206
 3 โหรชื่อดังฟันธง!! ดวงเมืองปีหน้าแรงสุดๆ ส่งผลให้ปีหน้าเศรษฐกิจทรุดหนัก ระวังวงการการเงิน-การคลังปั่นป่วน ตลาดทุนหุ้นกระฉูดเร็วแต่ตกแรง พร้อมเตือน นักการเมือง ผู้นำทางธุรกิจ ทหาร ตำรวจที่เคยหมกเม็ดเรื่องลับๆ จะถูกเปิดเผย ชี้เรื่องอุบัติภัย วาตภัย อุทกภัยยังคงมีผลกระทบ ขณะที่การเมืองร้อนระอุอาจจะมีการเปลี่ยนขั้วอย่างน้อย 2 ครั้ง ส่วนคนที่ทำผิดต่อบ้านเมืองจะถูกแรงของ “ดาวเสาร์-ดาวพฤหัสฯ” ให้ต้องโทษทัณฑ์ตามกฎหมายแน่นอน
       
       หลังจากที่ประเทศไทยต้องบอบช้ำอย่างหนักจากการเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในประวิติศาสตร์ ทำให้ประชาชนจำนวนมากยังคงเก็บความบอบช้ำนั้นไว้ และอาจจะมีหลายคนที่ตั้งคำถามว่าเหตุการณ์อย่างที่เกิดขึ้นในปี 2554 จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ในปี 2555 “ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์” มีคำตอบจากผู้คร่ำหวอดในวงการโหราศาสตร์ซึ่งถือเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไปมาอย่างยาวนานว่ามีความถูกต้อง แม่นยำไม่แพ้ศาสตร์ทางวิชาการสมัยใหม่
       
       ปี 2555 “การเงิน-การคลัง” ร่อแร่

       อาจารย์ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหาราศาสตร์นานาชาติ ได้นำปรากฏการณ์การเกิดอุปราคามาอธิบายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับดวงเมืองของประเทศเป็นรายแรกของประเทศ โดยบอกว่านั่นคือการเกิดสุริยุปราคา และจันทรุปราคา มาผูกกับดวงเมืองเพื่อทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นถือเป็นวิชาเก่าแก่สืบทอดกันมานานนับพันปี จึงถือว่าการทำนายด้วยการใช้อุปราคาเป็นการทำนายที่มีความถูกต้องแม่นยำเช่นเดียวกับการนำปรากฏการณ์การโคจรของดวงดาวมาทำนาย ซึ่งดวงเมืองในปี 2555 จะมีอุปราคาเกิดขึ้น 5 ครั้ง โดยแบ่งเป็นสุริยุปราคา 2 ครั้ง จันทรุปราคา 2 ครั้ง และอุปราคาที่ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์อีก 1 ครั้ง
       
       สำหรับอุปราคาครั้งแรกจะเกิดขึ้นในวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 เวลา 06.48 น.ในช่วงเช้าเช้าตรู่ในระยะ 6 องศา 19 ลิปดา แนวคราสเป็นวงแหวนผ่านประเทศจีน ญี่ปุ่น และตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก รวมไปถึงรัฐทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศไทยจะเห็นได้ยกเว้นภาคใต้ของประเทศ การเกิดอุปราคาครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่นานแต่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยค่อนข้างนาน
       
       ในทางโหราศาสตร์ สุริยุปราคาครั้งแรกนี้เกิดขึ้นในราศีพฤษภ เป็นราศีธาตุดินชนิดสถิรราศี ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวผู้นำประเทศ ผู้นำทางด้านการปกครอง ผู้นำในวงการการเงิน การคลัง ตลาดทุน เพราะเกิดขึ้นกับดวงอาทิตย์ซึ่งหมายถึงผู้นำหรือเบอร์ 1 ในภาคส่วนต่างๆ อาจจะทำให้ผู้นำเหล่านั้นเผชิญปัญหาในองค์กรที่ตัวเองรับผิดชอบ โดยเฉพาะราศรีพฤษภนั้นอยู่ในภพที่ 2 ของดวงเมือง หมายถึงเรื่องของการเงิน การคลัง เศรษฐกิจ ซึ่งผู้นำต่างๆ ต้องระวังเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับระบบการเงิน การคลังของประเทศให้จงหนัก ตลาดเงินจะเกิดการผันผวน การปริวรรตเงินตราเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว จนรัฐบาลผู้รับผิดชอบใหญ่โดยตรงไม่สามารถจะควบคุมและแก้ไขได้ และจะทำให้ประชาชนในประเทศส่วนใหญ่เกิดความเดือดร้อน เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง โดยเฉพาะเรื่องราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันจะพุ่งสูงทำให้การดำรงชีวิตของประชาชนเดือดร้อนอย่างหนัก
       
       สำหรับการเกิดอุปราคาที่ 6 องศา ตกอยู่ในเขตของโจโรฤกษ์ และยังอยู่ในเรือนการเงินจะส่งผลต่อการกระทำผิดที่เกี่ยวกับการเงิน เกิดการคอร์รัปชันกันอย่างหนัก เกิดการฉกชิงวิ่งราวชนิดที่ตำรวจไม่สามารถช่วยเหลือได้ จะมีคดีความเกี่ยวกับการเงินเข้าไปสู่ศาลเพิ่มมากขึ้นจนผิดปกติ
       
       นอกจากนี้ ราศีพฤษภาซึ่งเป็นราศีธาตุดินจะทำให้เกิดผลกระทบต่อภัยทางธรรมชาติ ประเภทดินถล่ม แผ่นดินไหว ดินทรุดตัว ตึกถล่ม ภูเขาไฟระเบิดได้ แม้จะไม่เกิดขึ้นโดยตรงกับประเทศไทย แต่จะมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนไทยแน่นอน
       
       อุปราคาครั้งที่ 2 เป็นจันทรุปราคาบางส่วน เกิดขึ้นในวันที่ 4 มิถุนายน 2555 เวลา 18.13 น. ตรงกับระยะ 20 องศา 12 ลิปดา อยู่ในราศีพิจิกธาตุน้ำ แนวคราสเต็มดวงผ่านทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย และทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ประเทศไทยเห็นได้บางส่วนในเวลาพลบค่ำ จันทรุปราคาครั้งนี้จะส่งผลต่อประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบทางจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกทางจิตวิทยาสังคม ที่สำคัญราศีพิจิกเป็นราศีธาตุน้ำต้องระวังเกี่ยวกับน้ำ ทั้งน่านน้ำ อาณาเขตประเทศที่ติดกับน้ำ การคมนาคมทางน้ำ อุบัติภัยเกี่ยวกับน้ำ อาชีพที่เกี่ยวข้องกับน้ำ น้ำมันและก๊าซ จะได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะช่วงนี้จะมีความเสียหายอย่างรุนแรงที่เกี่ยวกับน้ำปรากฏขึ้น
       
       โดยช่วงที่เกิดจันทรุปราคานั้นตกอยู่ในภพมรณะของดวงเมือง จะส่งผลทำให้เกิดความสูญเสียทรัพย์สินของประชาชนอันเนื่องมาจากน้ำแบบฉับพลันทันใด หรือแบบไม่มีใครคาดคิด ซึ่งอาจจะหมายถึงการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศอื่นแล้วเกิดสึนามิในประเทศไทย หรือเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่จากเรือล่ม โป๊ะขนาดใหญ่แตก บ้านเรือนที่อยู่ริมน้ำเกิดการทรุดตัว ที่สำคัญการเกิดอุปราคาครั้งนี้ยังเกิดในเขตของสมโณฤกษ์ ซึ่งหมายถึงผู้นำทางศาสนา ผู้นำทางจิตวิญญาณ หรือคนที่ได้รับการยอมรับนับถือจากสังคม การเกิดในเขตนี้จะทำให้ต้องสูญเสียผู้นำทางศาสนา เกจิอาจารย์ชื่อดังหรือเกิดความวุ่นวายในวงการสงฆ์ได้
       
       ครั้งที่ 3 เป็นการเกิดสุริยุปราคาชนิดเต็มดวง เกิดขึ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2555 เวลา 05.09 น. ตรงกับ 27 องศา 54 ลปดา ในราศีตุลย์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม เป็นราศีที่ทำให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง รวดเร็ว และผ่านไปอย่างรวดเร็ว แนวคราสเต็มดวงผ่านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย แม้ประเทศไทยจะไม่สามารถมองเห็นการเปิกอุปราคาในครั้งนี้แต่ผลกระทบที่จะได้รับนั้นจะมีความรุนแรงไม่แพ้การเกิดครั้งแรก วึ่งครั้งนี้สิ่งที่เราจะได้เห็นชัดเจน คือ การเกิดลมกระโชกแรง เกิดลมพายุหมุน เกิดวาตภัยและนำไปสู่การเกิดอุทกภัยเหมือนปี 2554
       
       นอกจากนี้ อุปราคายังเกิดในภพที่ 7 ของดวงเมืองซึ่งเกี่ยวข้องกับการลงนาม สนธิสัญญาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านจะเกิดข้อพิพาทที่ลุกลามบานปลายไปสู่สงครามขนาดใหญ่ ที่สำคัญอุปราคาครั้งนี้ยังเล็งเข้าไปสู่ดวงอาทิตย์ของดวงเมืองซึ่งหมายผู้นำประเทศ ผู้นำองค์กรที่มีความสำคัญต่อความมั่นคง การเงิน การคลังของประเทศจะทำให้เกิดการเจ็บป่วยแบบไม่รู้สาเหตุ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหันกับตัวผู้นำ
       
       “ที่สำคัญการเกิดอุปราคาครั้งนี้ เกิดในเขตของเพชฌฆาตฤกษ์ ทำให้เราต้องพบกับผู้นำที่จะต้องนำมากฎหมายออกมาควบคุมและบังคับใช้อย่างเด็ดขาด รุนแรงซึ่งบอกไม่ได้ว่าเป็นกฎหมายที่เกิดจาก “คณะปฏิวัติ” หรือไม่ แต่ขอบอกว่ารุนแรงเด็ดขาดมาก”
       
       ครั้งที่ 4 เกิดจันทรุปราคาเงามัว เกิดในวันที่ 28 พฤศจิกายน2555 ตรงกับราศีพฤษภ เวลา 21.46 น. ตรงระยะ 12 องศา 44 ลิปดา การเกิดครั้งนี้จะมีผลต่อสภาพจิตใจของประชาชนไม่มีความรุนแรงมากนักแต่กลับจะรุนแรงกับการเงิน การคลังอีกครั้งหนึ่งเพราะเกิดในเขตภูมิปาโลฤกษ์เป็นฤกษ์ของการปกครองของแผ่นดิน ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองจะเกิดขึ้นชัดเจนที่สุดในช่วงนี้ สาเหตุเพราะปัญหาการเงิน การคลังที่สะสมมาตั้งต่อต้นปีจะเริ่มปรากฏผลกระทบที่ชัดเจนที่สุด
       
       ครั้งที่ 5 เกิดอุปราคาจากดาวศุกร์บังดวงอาทิตย์ในเดือนมิถุนายน ซึ่งดาวศุกร์นั้นเป็นดาวที่หมายถึงการเงิน การคลังและเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อโคจรไปบังดวงอาทิตย์ที่หมายถึงตัวผู้นำ จะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับการเงิน การคลังและเศรษฐกิจ สถาบันที่มีความสำคัญ รัฐสภา ทหาร ตำรวจ ผุ้นำองค์กรเหล่านี้อาจจะเกิดความสูญเสีย
       
       “การเกิดจันทรุปราคาทั้งสองครั้งนั้น เกิดตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 และวันเพ็ญเดือน 12 ซึ่งมีความหมายมากเพราะเหตุการณ์ที่กล่าวมาแล้วจะมีความรุนแรงมากกว่าเท่าตัวเรารู้แล้วจึงควรระวังตัวให้มากอย่าประมาทที่สำคัญหมั่นทำบุยเจริญวิปัสนากรรมฐานให้สม่ำเสมอจะช่วยให้ประเทศไทยเรารอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ดี”
       
       ปี 55 ดวงเมืองพิฆาตนักการเมือง

       ขณะที่อาจารย์ทศพร ศรีตุลา โหรชื่อดังอีกรายบอกว่า ปี 2554 ว่าดวงเมืองแตกและแรงแล้ว ขอบอกว่าปี 2555 นั้นจะแรงมากกว่านี้มาก เพราะช่วงปีนี้ดาวเสาร์ และดาวพฤหัสฯ โคจรมาพบกัน ซึ่งหมายถึงการปรากฏความจริงจากการปิดบังซ่อนเร้นโดยเฉพาะปัญหาการเงินและการคลังนั้นหนักหนามาก ปี 2554 เกิดอุทกภัยว่ามีความรุนแรงแล้วแต่การเงินและเศรษฐกิจของประเทศยังคงเดินไปได้แต่ปี 2555 นับจากวันเกิดประเทศคือวันที่ 13 เมษายนเป็นต้นไป เราจะเห็นปรากฏการณ์ “ต้มยำกุ้ง” เกิดขึ้นมาอีกครั้ง และครั้งนี้จะรุนแรงมากกว่าปี 2540 เสียอีก
       
       “ที่กล้าพูดอย่างนั้นเพราะจุดเปลี่ยนของดาวเสาร์ในปี 2555 เกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง ปี 2554 เกิดขึ้นมาแล้วในเดือนธันวาคม เราได้เห็นข่าว “ปลัดซ่อนเงิน” มาแล้วในปีนี้จะเห็นข่าวประเภทซ่อนเงื่อนปรากฏความจริงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักการเมืองที่มีนอกมีใน ดาวเสาร์ซึ่งจะย้ายตัวเองในวันที่ 5 เมษายน 2554 เป็นครั้งแรกของปีและอีกครั้งในวันที่ 7 กันยายน 2555 จะส่งผลต่อดวงการงานของดวงเมืองโดยตรง ทำให้เกิดผลสะเทือนต่อการทำงานของรัฐบาล การบริหารบ้านเมืองจะเกิดปัญหา ซึ่งน่าจะมีการเตรียมตัวที่จะรับสถานการณ์อย่างนี้ไว้แต่เนิ่นๆ จะได้ไม่บอบช้ำมากนัก โดยเฉพาะการบริหารงานด้านการเงินของประเทศจะต้องมีความระมัดระวังให้มาก จะเกิดปัญหาเรื่องการแลกเปลี่ยนเงินตรา ค่าเงินบาทผันผวน คนที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า ส่งออกจะ “บักโกรก” แบบสุดๆ ทีเดียว นอกจากนี้ ในวงการหุ้นไม่ใช่ปีที่หุ้นจะตก แต่เป็นปีที่หุ้นจะทะลุแต่จะตกด้วยความรวดเร็วนักลงทุนรายเล็กที่มีเงินน้อยจะเจ็บตัวมาก ดังนั้นจึงต้องระวังตัวเองให้ดี
       
       อย่างไรก็ตาม จังหวะที่ดาวเสาร์ย้ายอาจจะมีความรุนแรงทางด้านการเมืองกระแสนี้จะเริ่มครุกรุ่นตั้งแต่เดือนมีนาคมและเกิดอีกครั้งในเดือนสิงหาคมและกันยายน ซึ่งต้องจับตาดูการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เราอาจจะได้รัฐบาฃใหม่ก็เป็นได้ เพราะดาวเสาร์ย้ายสองครั้งในหนึ่งปีจะเกิดขึ้ทุก 30 ปี ครั้งนี้เราจะได้เห็น “เซอร์ไพรส์” โดยเฉพาะการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองจะเห็นอย่างน้อยต้อง 2 ครั้งแน่นอน ที่สำคัญปีนี้เป็นปีมะโรงธาตุน้ำ เราจะได้เห็นปรากฏการณ์ของน้ำอีกครั้งแต่ครั้งนี้จะไม่รุนแรงเท่าที่ควรเพราะธรรมชาติของมนุษย์เมื่อมีประสบการณ์ก็จะสามารถรับมือได้ดีกว่าเดิม
       
       “ขอบอกว่าปีนี้เป็นปีที่ความจริงจะปรากฏ ประชาชนทั่วไปจะหูตาสว่าง นักการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการที่มีวาระซ่อนเร้น บิดบัง มีความลับ ความลับนั้นจะถุกเปิดเผยสู่สายตาประชาชนเพราะปีนี้ดวงเมืองก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าเดิม แม้จะเกิดความวุ่นวายต่อเนื่องแต่ในความงามวุ่นวายนั้นจะได้เห็นสัจธรรมที่ว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วคนที่วันนี้ยังพ้นเงื้อมมือกฎหมาย แต่ปีมะโรงนี้รับรองว่าไม่รอดอย่างแน่นอน”
       
       การเมืองวุ่น-การเงินทรุด ประชาชนอดอยาก

       อาจารย์ธนกร สินเกษม นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ บอกว่า ในปีมะโรง 2555 ดาวเสาร์โทษทุกข์เล็งดาวอาทิตย์ซึ่งเป็นดาวของดวงเมือง หมายถึง ความวุ่นวายแรงๆทางการเมืองจะกลับมาอีกมีความพยายามที่จะใช้ยุทธวิธีล้มล้างกันทำทุกอย่างเพื่อหาคะแนนนิยมเข้าพรรคแล้วโยนบาปให้พรรคคู่ศัตรู ดาวเสาร์อยู่ในราศีตุลย์เป็นอุจจึงทำให้ดีกรีความร้อนแรงทางการเมืองที่สูงมาก
       
       การเงินของประเทศในปีนี้อยู่ในภาวะที่ทุดแล้วทรุดอีกคือแย่มาก เพราะดาวอังคารเป็นกาลีอยู่ในเรือนกดุมภะซึ่งเป็นเรือนการเงินทำให้ประเทศชาติและประชาชนต้องเดือดร้อนเรื่องการเงิน หนี้สิน มาก ซ้ำร้ายในปี 2555 ประเทศไทยจะยังคงประสบปัยหาทางภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งวาตภัย อุทกภัยอีกครั้ง
       
       นอกจากนี้ ดาวจันทร์เป็นอุตสาหะ ก็หมายถึงประเทศไทยจะต้องวุ่นวายในการสกัดกั้นอุทกภัยครั้งใหม่จากดวงเมืองกาลีอยู่ในเรือนกฎุมพะก็จะทำให้ประเทศไทยใช้เงินลงทุนแก้ปัญหาภับพิบัติทางธรรมชาติมหาศาล ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความรู้สึกหดหู่ ไม่มีกำลังใจเพราะดาวเสาร์ยังถอยหลังไปสู้เรือนอริทำให้เกิดเป็นหนี้สิน สำหรับราษฎรจากทุกพรรคการเมืองจะถูกเปิดเผยความลับที่ปกปิดมานาน เราจะได้เห็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “มันเป็นไปได้อย่างไร” อยู่บ่อยครั้งแน่นอน

ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์    29 ธันวาคม 2554

8207
รัฐมนตรี บอกว่า จะหาเงินให้ ไม่ต้องใช้เงินบำรุงของโรงพยาบาล
ปลัดกระทรวง บอกว่า ฉบับที่7 จะ add-on ด้วย P4P (ใช้เป็นค่าเค) ในช่วงเปลี่ยนผ่าน

คอยติดตามดูว่า จะเป็นจริงหรือไม่

8208
สบส.ร่วมตำรวจท้องที่ จับอีก! “2 หมอเถื่อน” เปิดคลินิกย่านลำลูกกา พบกระทำผิดสั่งจ่ายยาต้องห้าม มีฤทธิ์กล่อมจิตประสาท
       
       นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.สุวัช เซียศิริวัฒนา รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ได้ลงพื้นที่ตรวจจับ “คลินิกเวชกรรม” ที่มีผู้ประกอบวิชาชีพผิดกฎหมาย หรือหมอเถื่อนจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ “คลินิกเวชกรรมดอนเมือง” ตั้งอยู่เลขที่ 11/10 หมู่ 9 คลองสอง ถนนลำลูกกา ต.คูคต และ “คลินิกการแพทย์ตลาดนานา” ตั้งอยู่เลขที่ 23/7 ตลาดดีดี พลาซ่า เสมาฟ้าคราม คลองสอง ถ.ลำลูกกา ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งมีเจ้าของคนเดียวกัน คือ พล.ต.นพ.จักราวุธ แสนสืบ โดยเจ้าของมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างถูกต้อง แต่แพทย์ผู้ประกอบการในคลินิกกลับไม่ใช่แพทย์ที่ถูกกฎหมายทั้ง 2 แห่ง
       
       โดย นายพสิษฐ์ กล่าวว่า คลินิกทั้งสองแห่งได้รับใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาลถูกต้อง แต่กลับพบว่าแพทย์ที่ทำการรักษา จ่ายยาไม่ใช่แพทย์จริงๆ เนื่องจากตรวจสอบพบว่าไม่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างถูกต้อง ขณะเดียวกัน ยังสั่งจ่ายยาที่เข้าข่ายต้องห้าม โดยพบว่า มีการจ่ายยานอนหลับ หรือ ไดอาซีแพม (Diazepam) ซึ่งจัดเป็นยาวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 3-4 ซึ่งเป็นประเภทยาเสพติดที่ถูกกฎหมายทางการแพทย์ แต่ต้องใช้โดยแพทย์เท่านั้น หากไม่ใช่จะเข้าข่ายผิดกฏหมายทันที เนื่องจากยากลุ่มนี้หากใช้ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่แพทย์ผู้ชำนาญอาจได้รับอันตราย เพราะหากใช้ในจำนวนมากและต่อเนื่องอาจเสี่ยงเสียชีวิต
       
       “การจับกุมครั้งนี้สามารถเอาผิดได้ 2 ส่วน คือ ส่วนเจ้าของ ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตเปิดสถานพยาบาล คือ พล.ต.นพ.จักราวุธ แม้สถานพยาบาลได้รับอนุญาตถูกต้อง แต่ก็มีความผิดตามมาตรา 34(1) ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ฐานเป็นผู้ดำเนินการไม่ควบคุมและดูแลปล่อยให้บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพทำการประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนแพทย์ปลอม ที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งพบในคลินิกทั้งสองแห่ง คือ คลินิกเวชกรรมดอนเมือง โดยพบ นางวัฒนา เจตนฤทธิ์ และคลินิกการแพทย์ตลาดนานา พบ จ.ส.อ.ธนวันต์ อินทกาน์ ทั้ง 2 รายมีการรักษาและจ่ายยาผู้ป่วย ทั้งๆ ที่ไม่ใช่แพทย์จริง และยังจ่ายยาต้องห้ามซึ่งเป็นกลุ่มออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอีก” นายพสิษฐ์ กล่าว
       
       อนึ่ง ทั้ง 2 รายจะได้รับโทษ 4 ข้อหา ประกอบด้วย
1.ผิดมาตรา 26 ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียน และได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2.ผิดตามมาตรา 73 ของ พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมฯ ฐานออกใบรัรบรองแพทย์ปลอมหรือเป็นเท็จ มีความผิดจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269 จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 พันบาท และมาตรา 264 จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.ผิดมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ฐานขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และ

4.ผิดมาตรา 16 ของ พ.ร.บ.ยาฯ กรณีขายยาวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 3-4 โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกไม่เกิน

5 ปี และปรับไม่เกิน 1 แสนบาท ทั้งนี้ ส่วนคลินิกดังกล่าวจะมีสาขาอื่นหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบ
       
       ขณะที่ นพ.สุวัช กล่าวว่า จากนี้ไปจะส่งเรื่องกรณีแพทย์เจ้าของสถานพยาบาลให้ทางแพทยสภาพิจารณาว่า จะดำเนินการอย่างไร ขัดต่อหลักจริยธรรมหรือไม่ และจะส่งเรื่องไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานีให้สั่งปิดสถานพยาบาลทั้งสองแห่งชั่วคราวภายใน 60 วัน และให้พิจารณาว่า สมควรให้เปิดโดยต้องมีการปรับปรุงให้ถูกกฎหมายต่อไปหรือไม่

ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 ธันวาคม 2554

8209
       ลาทีปีกระต่าย 2554 ปีที่มีเรื่องชวนปวดเศียรเวียนเกล้า หากไม่นับอุทกภัยใหญ่ที่กระทบทุกวงการ ปีนี้ทั้งแวดวงคุณครู คุณหมอ วัฒนธรรม แรงงาน และ กทม.ต่างมีปัญหารุมเร้า ทั้งปัญหาใหม่ ปัญหาเก่าๆ สะสมเรื้อรังนานปี แต่ไม่ได้รับความสนใจแก้ไขเสียที โดยทีมข่าวการศึกษา-คุณภาพชีวิตได้นำข่าวเด่นสังคม ประจำปี 2554 จัดอันดับไว้ 10 ข่าว ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันตลอดทั้งปี ดังนี้
       
       1.แจกฟรี‘แท็บเล็ต’เขย่าคุณภาพเด็กไทย
       
       เริ่มต้นที่นโยบายแจกฟรี “แท็บเล็ต” สำหรับเด็ก ป.1 ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พยายามผลักดันสุดฤทธิ์ โดยกำหนดให้เป็นนโยบายเร่งด่วน ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายก็พยายามดันโครงการ One Laptop Perchild แต่ไม่สำเร็จ
       
       ครั้งนี้นโยบายประชานิยม ยังคงได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากพ่อแม่ ผู้ปกครอง นักวิชาการอย่างต่อเนื่องเพราะห่วงเรื่องความไม่เหมาะสมด้วยวัย และ ประโยชน์ความคุ้มค่า ข้อดี ข้อเสียต่างๆ ทำให้ต้องปรับแผนลดกระแสคัดค้านของสังคม ทว่า ตลอดระยะเวลา 5 เดือนของรัฐบาลชุดนี้กลับยังไม่ปรากฏให้เห็นความชัดเจน สุดท้าย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) งัดกลยุทธ์แก้ผ้าเอาหน้ารอด ว่า ให้ทดลองใช้แท็บเล็ตนำร่องใน 5 โรงเรียนไปก่อน แล้วให้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) รับหน้าที่วิเคราะห์ผลการใช้แท็บเล็ตมานำเสนอ
       
       ทว่า เรื่องเงินๆ ทองๆ กลับชัดยิ่งกว่าชัด โดยเงินที่จะซื้อแท็บเล็ตนั้นองค์กรหลักจะควักเงินในกระเป๋ามากองให้รัฐบาลเอาไปซื้อแท็บเล็ต ประมาณ1,600 ล้านบาท แต่ก็ยังต้องรอความชัดเจนอีกอยู่ดีว่างบจำนวนนี้จะซื้อแท็บเล็ตให้นักเรียน ป.1 ในสังกัด ศธ.ได้ทั้ง 465,000 กว่าคนหรือไม่ แต่ที่ชัวร์คือจะให้ทันในปีการศึกษา 2555 แน่นอน เหนือสิ่งอื่นใดกลิ่นของผลประโยชน์ที่กรูวิ่งกันเข้ามาหา ศธ.กันซะฝุ่นตลบเลยทีเดียว
   
       2.แรงงานเฮ! 300 บาท นายจ้างกุมขมับ
       
       ในรอบปี 2554 นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศของพรรคเพื่อไทย ถูกจับตามองมากที่สุดถึงความเป็นไปได้ในการผลักดันออก เป็นกฎหมายเพื่อบังคับใช้จริง เพราะนโยบายนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการปรับขึ้นค่าจ้างให้ กับแรงงานในลักษณะก้าวกระโดด
       
       แต่หลังจากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลและมีการแถลงนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ได้มีการเปลี่ยนคำเรียกเป็นรายได้ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 300 บาท ส่งผลให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่านโยบายดังกล่าวเป็นเพียงการหาเสียงแต่ไม่สามารถทำได้จริง
       
       กระทั่ง นโยบาย 300 บาท เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการค่าจ้างกลาง (บอร์ดค่าจ้าง) จนได้ข้อสรุป แนวทางการปรับค่าแรงขึ้นต่ำโดยมีมติให้ปรับขึ้นค่า จ้างขั้นต่ำ 40% ของค่าแรงขั้นต่ำในแต่ละจังหวัด จากนโยบายเดิมที่จะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ในวันที่ 1 ม.ค.55 พร้อมกันทันทีทั่วประเทศ แต่เนื่องจากเกิดวิกฤตน้ำท่วมจึงเลื่อนการบังคับใช้ไปเป็น 1 เม.ย.55 และจะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทในทุกจังหวัดทั่วประเทศในวันที่ 1 ม.ค.56 โดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่มีการปรับขึ้นค่าจ้างอีก 3 ปี ซึ่งล่าสุดนโยบายดังกล่าวได้ถูกประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
       
       อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางฝ่ายสภาอุตสาหกรรมกำลังดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อ ระงับการประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ในกรณีที่คณะกรรมการค่าจ้างกลางไม่เป็นอิสระในการดำเนินการปรับขึ้นค่าแรง ขั้นต่ำ ถูกฝ่ายการเมืองครอบงำ ซึ่งหากศาลมีคำสั่งคุ้มครองก็อาจจะส่งผลให้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ถูกระงับหรือชะงักลงกลางครันก็เป็นได้!
       
       3.วัฒนธรรมสยิว‘คันหู’ดังพลุแตก
       
       กระแสมาแรงจนฉุดไม่อยู่ จ๊ะ “คันหู” วงเทอร์โบ เนื้อเพลงสื่อสองแง่สองง่าม ที่สำคัญ ลีลาท่าเต้นเกาตรงอวัยวะเพศ ประกอบกับการนุ่งน้อยห่มน้อยของเธอ เรียกเสียงฮือฮาจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างดาหน้ากันมายืนออหน้าเวที จนมีเสียงวิพาษ์วิจารณ์ของสังคม ผ่านตัวอักษร ทีวี และโซเชียลมีเดียต่างๆ ทว่า ยิ่งมีผู้วิจารณ์กันมากเท่าไหร่ ตรงกันข้ามกลับทำให้เพลงคันหูดังเป็นพลุแตก ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น ยังมีเพื่อนบ้าน เกาหลี ชื่นชอบ ใช้น้ำเสียงของจ๊ะ แต่ใช้ชาวเกาหลีเต้นประกอบตามเสียงเพลง ซึ่งลีลาท่าเต้นไม่ต่างกันมากนัก ท่าปลุกเสือป่า
       
       พร้อมกันนี้ ลองคิดดูว่าดังแค่ไหน จากการสำรวจของ google พบว่า มีผู้เข้ามาเซิร์ส “คันหู” เป็นอันดับต้นๆ สิ่งที่น่าแปลกใจกระทรวงวัฒนธรรม โดยเฉพาะกรมเฝ้าระวัง ซึ่งมีหน้าที่จัดเรดติ้ง กลับเงียบฉี่ เพิกเฉย เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียนี่ หากไม่มีหน่วยงานไหนออกมากำราบบ้าง บ้านเมืองเราจะมีเพลงสองแง่สองง่ามเกลื่อนเมืองไทย
       
       4. ยิ่งฉาวยิ่งแฉซื้อ-ขายวุฒิ ป.บัณฑิต มอส.
       
       กลายเป็นข่าวฉาวของวงการศึกษา ราวเดือนเมษายน หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลการซื้อขายใบประกาศนียบัติบัณฑิต (ป.บัณฑิต) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู ให้กับนักศึกษาที่จบหลักสูตรปริญญาตรีทุกสาขาที่ต้องการเป็นครูโดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาเรียนและสามารถใช้ในการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูจาก สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาได้แต่ยอมจ่ายเงินรายละ 55,000 บาท เหตุการณ์นี้ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในสมัยนั้นอย่าง นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แจ้งความเอาผิดกับ นายอัษฎางค์ แสวงการ อดีตอธิการมหาวิทยาลัยอีสาน (มอส.) ทันทีที่คณะกรรมการ (คกก.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงยืนยันว่า มอส.ทำการซื้อขายป.บัณฑิตจริง และให้ส่งข้อมูลถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ รับไปสอบสวนเชิงลึก พร้อมจัดตั้ง คกก.ควบคุม มอส.มีนายสมนึก พิมลเสถียร เป็นประธาน และให้ รศ.ดร.สุมนต์ สกลไชย เป็นอธิการบดี มอส.แทน นายอัษฎางค์
       
       การแก้ไขปัญหาของ คกก.ควบคุมฯ ที่ผ่านมา ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเพราะต้องไปรื้อและจัดการทุกระบบของ มอส.ใหม่หมดเพราะของเดิมทำไว้ชุ่ยๆ โดยเฉพาะระบบการเงิน ซ้ำยังเจอเหตุปั่นป่วนการทำงาน เช่น ขโมยคอมพิวเตอร์ ท่ามกลางความพยายามเร่งแก้ไขเรื่องคุณภาพการศึกษาของผู้เรียนในทุกหลักสูตรที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยให้ผู้เรียนเข้ารับการทดสอบประมวลความรู้ หากผ่านและคุณสมบัติถูกต้องจึงได้รับอนุมัติจบการศึกษา โดยขณะนี้สามารถอนุมัติจบการศึกษาทั้งหลักสูตร ป.บัณฑิตและอื่น ๆ ได้เพียงร้อยกว่ารายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม จุดจบของเรื่องคงมาถึงในไม่ช้าอย่างน้อยอีก 3 เดือนข้างหน้า เงิน 150 ล้านบาทจะชี้ชะตาว่า มอส.จะอยู่ภายใต้การดูแลของ คกก.ควบคุมฯ หรือจะถูกเสนอให้ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาสั่งปิดมหาวิทยาลัย

       5.“แพลงกิ้ง” ระบาดว่อนโซเชียลมีเดีย
       
       สุดฮิตภาพคนนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งมือแนบลำตัวราวกับไม้กระดานวางอยู่ตามสถานที่ หรือวัตถุแปลกๆ ไม่ต้องตกใจ นั้นคือ แพลงกิ้ง (PlanKing) ซึ่งเป็นที่นิยมของกลุ่มคนชื่นชอบความเสี่ยงทั่วโลก และแพร่ระบาดเข้าสู่ประเทศไทยอย่างรวดเร็วผ่านเว็บไซต์ยอดนิยมต่างๆ
       
       คนไทย ไม่ว่านักเรียน นักศึกษา นักแสดง นักร้อง คนทั่วไป ไม่ยอมน้อยหน้า คิดท่าแพลงกิ้งไทยสู้ “พับเพียบไทยแลนด์” ว่อนเน็ต นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม "เลวิเทติ้งไทยแลนด์" อีกกลุ่มที่ถือว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของกลุ่ม “แพลงกิ้ง” โดยเลวิเทติ้ง คือ การโพสต์ภาพที่ถ่ายไว้ขณะที่ร่างกายกำลังลอยค้างอยู่บนอากาศ แต่ที่ไม่เหมาะสมเห็น มีภาพพระสงฆ์รูปหนึ่ง เล่น แพลงกิ้ง ว่อนเน็ต จนมีเสี่ยงวิจารณ์ว่าเหมาะสมหรือไม่
       
       ทันทีทันใด กระทรวงวัฒนธรรม รีบเช็กว่าจำพรรษาอยู่วัดไหน และไม่ให้แหกกฎศาสนา อีกทั้งยังเตือนประชาชนการเล่นแผลงๆ ท่าพิสดาร ในสถานที่สูง อาจผลัดตกจนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ จากนั้นกระแสแพลงกิ้งจึงค่อยๆ คลายความนิยม แต่ก็มีท่วงท่าใหม่ๆ มาโชว์ผ่านเน็ตมิได้หยุดหย่อน
       
       6.“CCTV ดัมมี่” ทำ กทม.งานเข้า
       
       ปีนี้ต้องยกให้กระแสโลกไซเบอร์ที่ทั้งเร็วและแรง เมื่อชาวประชาในโลกไซเบอร์ตั้งกระทู้ให้แซดในโลกออนไลน์ถึงกล้องวงจรปิดที่ กทม.ติดแหกตา เพราะแท้จริงเป็นเพียงแค่กล่องเปล่าๆ ไม่มีชิ้นส่วนใดๆ ที่บ่งบอกว่าเป็นกล้องจริงที่คอยสอดส่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน !!
       
       เล่นเอา กทม.ต้องออก มาชี้แจงกันพัลวันว่า ต่างประเทศเขาก็มีกันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด และทำไปตามสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างแต่ก็ไม่ได้สร้างความกระจ่างแจ้งในใจของชาวประชาจนถึงขนาด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ต้องเปิดศาลาว่าการ กทม.แถลงพร้อมสั่งฝ่ายประจำเปิดเผยสัญญาจัดซื้อจัดจ้างทุกฉบับออกสู่สาธารณชน พร้อมทั้งเผยแพร่พิกัดการติดตั้งกล้อง CCTV และพิกัดของกล้องดัมมี่ที่ยังเหลือออกมาเปิดเผยเพื่อให้ประชาชนช่วยกันตรวจสอบ แถมยังตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
       
       แต่เห็นทีจะหนาวหน่อย ก็เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษโดดเข้ามาร่วมวงตรวจสอบประเด็นการสมยอมราคา มีเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนร่วมในการกระทำผิด จนไปถึงมีข้าราชการทางการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกับการจัดหาหรือไม่ ข้างฟาก ป.ป.ช.หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ก็ร่วมวงสอบด้วยเช่นกัน
       
       แต่ท้ายที่สุดแล้วผลสอบจากดีเอสไอ ก็ระบุชัดว่า กทม.จัดซื้อกล้องดัมมี่ถูกต้องส่วนจะล็อกสเปก หรือไม่นั้นต้องสอบกันต่อไป แต่ท้ายซะยิ่งกว่าท้ายเมื่อผู้ว่าฯ กทม.“สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ออกมาแถลงปิดตำนานกล้องดัมมี่โดยสั่งถอดออกทั้งหมดเพื่อความสบายใจของทุกคน พร้อมติดกล้องจริงแทน...เอวัง !!
       
       7.ประกันสังคมยกเครื่องสู้บัตรทอง
       
       ในปี 2554 ที่ผ่านมา สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ที่มีผู้ประกันตนกว่า 10 ล้านคน ได้ถูกยกไปเปรียบเทียบกับสิทธิการรักษาพยาบาลของสำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยมีข้อถกเถียงถึงสิทธิ์การเข้าถึงการรักษาพยาบาลว่า “ทำไมผู้ประกันตนที่เสียเงินเข้ากองทุนสปส.ทุกเดือนแต่กลับได้สิทธิ์การ รักษาน้อยกว่าของ สปสช.” สิ่งเหล่านี้จึงทำให้ทาง สปส.เร่งปรับปรุงและเพิ่มสิทธิ์การรักษามากขึ้นใน ช่วงปีที่ผ่านมา อาทิ เพิ่มค่าคลอดบุตรจากครั้งละ 12,000 บาท เป็น 13,000 บาทต่อครั้ง เพิ่มค่าทันตกรรม กรณีถอนฟัน อุดฟัน และขูดหินปูน เดิมครั้งละไม่เกิน 250 บาท และไม่เกิน 500 บาทต่อปี เป็นครั้งละไม่เกิน 300 บาท และไม่เกิน 600 บาทต่อปี เพิ่มสิทธิ์ในการใส่รากฟันเทียม ที่มีเงื่อนไขยุบยิบ เป็นต้น
       
       ตบท้ายปลายปี ประกันสังคมประกาศให้วันที่ 1 ม.ค.55 จะเริ่มปรับระบบการจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้ป่วยประกันสังคมแบบตามกลุ่มโรคร้ายแรงหรือ DRG จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นวงกว้าง และอาจนำไปสู่ข้อเสนอในการจัดทำราคากลางค่ารักษาโรคร้ายแรง ซึ่งต้องจับตากันต่อไป
       
       8.ซูเปอร์สกายวอล์ก...สุดยอดทางเดินหายไปในฟ้า !!
       
       เฮือฮาตั้งแต่ต้นปีเมื่อ “สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ออกมาประกาศเปิดตัวแผนแม่บทสำหรับการก่อสร้างโครงข่ายทางเดินลอยฟ้า หรือ ซูเปอร์สกายวอล์ก (Super Skywalk System) เพื่อให้คนกรุง มีทางเดินลอยฟ้าที่ไร้สิ่งกีดขวางการเดินเป็นระยะทางรวม 50 กิโลเมตร มูลค่าการลงทุนกว่าหมื่นล้านบาทแบ่งออกเป็น 2 เฟส คือ เฟสที่ 1 พื้นที่ถนนสุขุมวิท พญาไท รามคำแหง และ วงเวียนใหญ่ รวมระยะทาง 16 กิโลเมตร เริ่มก่อสร้างเดือน มี.ค.2554 เสร็จภายใน 18 เดือน ส่วนเฟสที่ 2 ระยะทางประมาณ 32 กม.มีแผนจะก่อสร้างในปี 2555-2557 ครอบคลุมพื้นที่ย่านถนนราชดำริ สีลม สาทร เพชรบุรี รามคำแหง ทองหล่อ เอกมัย พหลโยธิน กรุงธนบุรี และ บางหว้า
       
       จากนั้นเสียงคัดค้านก็อื้ออึง ทั้งมูลค่าโครงการมหาศาล ไม่มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จนมีการขู่จะฟ้องกทม.จากเอ็นจีโอหากกทม.ยืนยันจะสร้างซูเปอร์ทางเดินลอยฟ้านี้จริงๆ ขณะเดียวกัน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ได้ร่อนหนังสือถึง กทม.ให้ตั้งตู้รับฟังความคิดเห็น ปรับปรุงคำถามให้ตรงเป้าหมาย ประกาศลงเว็บไซต์
       
       แม้ กทม.จะปฏิบัติตาม แต่ในที่สุด สตง.ส่งหนังสือฉบับที่ 3 ให้ทบทวน 3 เส้นทางสุขุมวิท พญาไท รามคำแหง เพราะเห็นว่าขั้นตอนไม่โปร่งใส แถมยังไม่ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของ สตง.ทำให้โครงการดังกล่าวต้องพับเก็บใส่กระเป๋ากลับบ้าน และเมื่อมหาวิบัติอุทกภัยมาเยือนเมืองกรุง ผู้ว่าฯ กทม.ก็จึงสั่งชะลอโครงการก่อสร้างทางเดินลอยฟ้าออกไป เพื่อโยกงบมาฟื้นฟูน้ำท่วมแทน เรียกว่าต้องโบกมือลาถาวรไม่มีโอกาสยลสกายวอล์คในยุคคุณชายอย่างแน่นอน!
       
       9.คืนชีพ 30 บาท แบบมึนๆ
       
       เป็นข่าวที่ไม่ดังเปรี้ยงปร้างแต่สะเทือนคนในแวดวงสาธารณสุขไม่น้อย หลังจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศคืนชีพนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค จากที่รัฐบาลขิงแก่เปลี่ยนให้เป็นระบบรักษาฟรี
       
       ครั้งนี้หัวหอกอย่าง “วิทยา บุรณศิริ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยืนยันชัดเจนว่า จำเป็นต้องกลับมาเก็บค่าธรรมเนียมในการรักษาอีกครั้ง เนื่องจากจะมีการปรับโฉมครั้งใหญ่ โดยนำงบประมาณมาพัฒนาคุณภาพการให้บริการที่ดีขึ้น ภายใต้เสียงคัดค้านที่เบาเหมือนเสียงมด ขณะที่ เจ้ากระทรวง ให้คำมั่นอย่างจับต้องไม่ได้ว่า การกลับมาเก็บค่าธรรมเนียมการรักษาจะมาพร้อมกับบริการที่ดีกว่าเดิม โดยจากที่จะเริ่มดีเดย์ตั้งแต่ตุลาคม แต่ก็ต้องเลื่อนไปเดือนพฤศจิกายน จนสุดท้ายประเทศไทยเผชิญภัยน้ำท่วม จึงต้องชะลอไปก่อนอย่างไม่มีกำหนดการ
       
       ภายใต้ความคลุมเครือของนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค ที่ดูแลประชาชนถึง 48 ล้านคน งบเหมาจ่ายรายหัวที่ได้ในปีงบ2555กลับลดเหลือ 2,755 บาทต่อหัว จากปีงบ 2554 ที่ได้ 2,895บาทต่อหัว ก็เลยยังงงว่าจะพัฒนาระบบให้ดีขึ้นได้อย่างไร แม้จะมีเงินจากการกลับไปเก็บ 30 บาทเหมือนเดิม 2 พันล้านบาท
       
       แต่ที่แน่ๆ ได้มีการเข้ามาแทรกแซงผ่าตัดสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยเฉพาะการกำจัดเอ็นจีโอ และนักวิชาการรุ่นเก๋าออกจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็น ศ.ดร.อัมมาร สยามวารา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ภก.สำลี ใจดี ฯลฯ ที่ถูกโละยกแผง จนล่าสุดฟากเอ็นจีโอพยายามดัน ภญ.สำลี กลับเข้าไป ทำให้ต้องดับเครื่องชนฟ้องศาลปกครองเอาผิดนายวิทยา ดังนั้น สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ปี 2555 ที่จะถึงนี้ต้องจับตาดูให้ดีชนิดห้ามกะพริบตาเลยทีเดียว
       
       10.รพ.ขาดสภาพคล่อง-หมอ-คนไข้ปัญหาที่ค้างคา
       
       นับได้ว่า ปี 2554 เป็นปีที่กระทรวงหมอเงียบเชียบจนผิดหูผิดตา แม้ว่าปัญหาหลายปัญหายังคงอยู่ไม่หายไปไหนเพียงแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้ลุล่วง
       
       เริ่มตั้งแต่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างแพทย์และผู้ป่วยที่ยังคงเถียงกันไม่จบไม่สิ้น เพราะล่าสุดเมื่อหนึ่งในกรรมการแพทยสภาได้นั่งเก้าอี้ในคณะกรรมการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ก็เริ่มจะปลุกกระแสขยายมาตรา 41 ตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 อีกครั้ง ซึ่งก็ต้องลุ้นว่าตกลง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายทางการแพทย์ พ.ศ...จ่อคิวเข้าสู่วาระการพิจารณาของรัฐบาลนั้นจะแท้ง หรือจะคลอด ในปี 2555 ส่วนปัญหาการขาดทุนและขาดสภาพคล่องของโรงพยาบาลในสังกัด สธ.ประมาณ 570 แห่ง รวมเป็นเงินกว่า 1,800 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่รัฐบาลใหม่เข้ามาก็ยังไม่คืบหน้าแต่อย่างใด
       
       ดูเหมือนปัญหาต่างๆที่คาราคาซังอยู่นั้น ปีหน้า นายวิทยา บุรณศิริ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) คงต้องแสดงความสามารถคลี่คลายปัญหาเสียที
       
       นอกจากนี้ ยังมีข่าวสังคมที่น่าสลดสะเทือนคุณภาพสังคมไม่ว่าจะเป็น แม่ชี ทศพร ชัยประคอง ที่มีคลิปแพร่คำสอนผิดเพี้ยน แนะวิธีแก้กรรมโดยการให้มีเพศสัมพันธ์ ไม่เฉพาะชีเท่านั้น วงการสงฆ์ก็สั่นคลอนมิใช่น้อย หลังมีข่าวของ พระเกษม อาจิณณสีโล ใช้คำพูดขึ้นมึงกู แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ขณะที่แวดวงการศึกษายังมีนโยบาย “ครูพันธุ์ใหม่” ต้องจับตา กองทุนกู้ยืมก็ยังค้างคา ฯลฯ รับรองปีหน้ามีเรื่องเหนื่อยอีกโข

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 ธันวาคม 2554

8210
สปส.เดินหน้าหาพันธมิตรร่วมผลิตแพทย์-พยาบาล รักษาผู้ประกันตนในพื้นที่ขาดแคลน ประเดิมให้ทุนรุ่นแรกเดือน พ.ค.ปี 55

   
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์
นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง (รมว.รง.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่ได้มอบนโยบายให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ช่วยเหลือสังคมโดยร่วมมือกับสถาบันผลิตแพทย์ในการผลิตแพทย์และพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญโรคเฉพาะทางในรูปแบบของการให้ทุนผลิตแพทย์และพยาบาล ขณะนี้ สปส.ได้เสนอโครงการดังกล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนขอไปศึกษารายละเอียดก่อน
       
       “โครงการนี้เป็นโครงการที่ดี ผมอยากให้เกิดขึ้นเพื่อให้บุตรหลานของผู้ประกันที่ได้รับทุนเรียนต่อแพทย์ได้มีการศึกษาที่ดีและกลับไปดูแลผู้ประกันตนในพื้นที่ของตนเอง” รมว.รง.กล่าว
       
       นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการสปส. กล่าวว่า เบื้องต้นคาดไว้ว่าน่าจะให้ทุนแพทย์จำนวน 20 ทุน และพยาบาลทุนละกว่า 1 แสนบาท จำนวน 100 ทุนโดยตั้งเป้าหมายจะให้ทุนในช่วงเดือน พ.ค.ปี 2555
       
       นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล ผอ.สำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ สปส.กล่าวว่า ความร่วมมือในการผลิตแพทย์และพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ระหว่างกับโรงพยาบาลต่างๆ ขึ้นอยู่กับสาขาแพทย์และพยาบาลที่ขาดแคลนโดยยึดตามพื้นที่มีผู้ประกันตนอาศัยอยู่จำนวนมากซึ่งมีความต้องการแพทย์ในสาขาขาดแคลน ได้แก่ เวชศาสตร์ฉุกเฉิน แพทย์ทางสมอง แพทย์ทางประสาท แพทย์ผ่าตัดซึ่งโรงพยาบาลทั่วประเทศก็ขาดแคลนโดยเฉพาะในเมืองใหญ่
       
       ทั้งนี้ เบื้องต้นไว้วางร่างหลักเกณฑ์คุณสมบัติของแพทย์และพยาบาลที่จะได้รับทุนนั้น จะต้องเป็นบุตรหลานของผู้ประกันตนโดยกำหนดไว้ใน 2 ลักษณะ ได้แก่ 1.ให้ทุนหลังจากสอบเข้าเรียนต่อแพทย์หรือพยาบาลได้แล้ว 2.เจรจากับสถาบันผลิตแพทย์ให้มีการเพิ่มโควตาสำหรับโครงการนี้ รวมทั้งมีเงื่อนไขว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะต้องทำงานในโรงพยาบาลของสปส.ที่มีผู้ประกันตนจำนวนมาก
       
       สำหรับในรูปแบบแรกก็ไม่ได้เป็นการเพิ่มจำนวนนักเรียนแพทย์โดยเป็นไปตามการผลิตแพทย์ตามปกติเพียงแต่ สปส.เข้าไปให้ทุน ส่วนรูปแบบที่สอง จะทำให้จำนวนแพทย์และพยาบาลเพิ่มขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสถาบันผลิตแพทย์ว่ามีศักยภาพผลิตแพทย์พยาบาลเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมได้หรือไม่ ส่วนต้นทุนการผลิตแพทย์อยู่ที่ไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อคน ซึ่งถือเป็นเงินที่ไม่มาก
       
       “ปัญหาการดำเนินการดังกล่าวไม่ได้อยู่ที่งบประมาณ แต่อยู่ที่การนำระเบียบในการนำเงินกองทุนประกันสังคมไปใช้ไม่เอื้อให้นำเงินไปใช้ เนื่องจากระเบียบ สปส.กำหนดไว้ว่าจะต้องเงินประกันสังคมไปใช้ในภารกิจของประกันสังคมที่กฎหมายระบุไว้ ทั้งนี้ มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าการผลิตแพทย์ไม่ใช่ภาระของ สปส.ซึ่งจะต้องไปหารือกับฝ่ายกฎหมายของ สปส.ในการนำเงินของประกันสังคมไปใช้ในการผลิตแพทย์และพยาบาลโดยไม่ผิดระเบียบของ สปส.อย่างไรก็ตาม จะหารือกับเลขาธิการ สปส.และ
รมว.รง.ให้ได้ข้อสรุป เพื่อให้ดำเนินการได้ทันก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ในเดือนพ.ค.ปี 2555” นพ.สุรเดช กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 ธันวาคม 2554

8211
 เครือข่ายแพทย์ชนบทเคลื่อนไหวจับตาการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลัง สปสช.ชุดใหม่ เผย มีผู้แทนแพทย์เอกชนยกขบวนยึดครอง หวั่นชงเสนอบอร์ดเก็บ 30 บาท
       
       นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท เปิดเผยว่าเครือข่ายแพทย์ที่ทำงานอยู่ใน รพ.ชุมชนทั่วประเทศ ได้เห็นร่างรายชื่อคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลัง สปสช.ชุดใหม่ ซึ่งมี นางวรานุช หงส์ประภาส ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ นายวิทยา บูรณศิริ รมว.สธ.แต่งตั้งและจะเสนอบอร์ด สปสช.เห็นชอบในวันที่ 9 ม.ค.2555 นี้ ว่า ดูรายชื่อแล้วน่าเป็นห่วง เพราะนอกจากมี นพ.ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์ กรรมการแพทย์ประกันสังคมเป็นรองประธานแล้ว ยังดึงกลุ่มแพทย์เอกชนและนายทุนพรรค เช่น นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ นพ.พินิจ หิรัญโชติ และ นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ ร่วมเป็นอนุกรรมการและที่ปรึกษา เป็นการเปิดทางให้ รพ.เอกชนและนายทุนเข้ามากำหนดนโยบายกองทุน สปสช.และเตรียมเสนอเก็บเงิน 30 บาทกับผู้ป่วย รวมทั้งผลักดันเพิ่มงบประมาณเหมาจ่ายตามระบบ DRG ให้สูงเท่าเทียมกับระบบประกันสังคมซึ่งกำลังถูกสังคมมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับ รพ.เอกชน

        “การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ในสปสช.โดยเปิดช่องให้เอกชนและนายทุนของพรรคเข้ามายึดครองกำหนดนโยบายการเงินการคลังของระบบบัตรทองครั้งนี้ จะทำให้ระบบ สปสช.อ่อนแอลง และต้องใช้งบประมาณเพิ่มมากขึ้นมหาศาล เป็นภาระกับงบประมาณของประเทศ จนทำให้ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติถึงกับล่มสลายกลายเป็นระบบสงเคราะห์คนจนอนาถาเหมือนในอดีต” นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 ธันวาคม 2554

8212
สมาคมผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์ แฉเล่ห์ สปสช.หวังฮุบกองทุนประกันสังคม ด้านกลุ่มประกันฯสธ.ชี้ บัตรทองควรปรับปรุงระบบบริหารกองทุนย่อย ปี 54 มีเงินตกค้างมากกว่า 4 พันล้าน...

นพ.บัญชา ค้าของ ผู้แทนกลุ่มประกันสุขภาพ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.) กล่าวถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพของประเทศ ในงานประชุมภาคีเครือข่ายเพื่อระบบสุขภาพที่ดีกว่าของคนไทย หรือ 2011 Thailand Healthcare Summit หัวข้อ “ระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพที่ยั่งยืนของประเทศไทย” เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ปัญหาของระบบการเงินการคลังในระบบสุขภาพของประเทศไทย จะเห็นได้ว่า มีการผลักภาระความเสี่ยงค่าใช้จ่ายจากกองทุนประกันสุขภาพไปให้หน่วยบริการ ขณะเดียวกันอำนาจอิสระที่ขาดสมดุลของกองทุนในการกำหนดหลักเกณฑ์จัดสรรภายใน และระหว่างกองทุน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการจัดบริการประชาชน มีปัญหาความไม่เท่าเทียมและเป็นธรรม

"จากปัญหาต่างๆ ได้มีการสำรวจโรงพยาบาล (รพ.) ในสังกัด สธ.กว่า 840 แห่ง โดยมุ่งไปที่ระบบกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง ซึ่งพบว่า ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา กองทุนนี้มีการผลักภาระไปให้หน่วยบริการตลอด แม้จะได้รับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่กลับกัน เงินจำนวนมากที่กองกลางตั้งเป็นกองทุนย่อย ทั้งกองทุนส่งเสริมสุขภาพ กองทุนผู้สูงอายุ ฯลฯ ทำให้งบบริการพื้นฐานของหน่วยบริการไม่เพียงพอ ที่สำคัญยังทุ่มงบไปในงบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่กลับไม่เพิ่มงบโครงสร้างพื้นฐาน และงบในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ทั้งๆ ที่หากป้องกันโรคได้มากเท่าใด ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้ ซึ่งจากข้อมูลพบว่า การกันงบส่วนนี้ ทำให้มีเงินเหลือค้างท่อ หรืออยู่ในกองกลางอีกนับหมื่นล้านบาท แต่ได้มีการทยอยจ่ายให้แก่ รพ. ผ่านกองทุนย่อยต่างๆ กระทั่งข้อมูลล่าสุด ปี 2554 พบว่า ยังเหลือเงินค้างท่ออีก 4,200 ล้านบาท ซึ่งปัญหาเงินค้างท่อมาจากการที่ รพ.แต่ละแห่ง ต้องทำรายละเอียดยุ่งยาก อย่างกรณีการตรวจเยี่ยมผู้ป่วยตามบ้าน หากไม่ทำก็ไม่ได้เงินส่วนนี้ ดังนั้น สปสช.ควรปรับปรุงระเบียบการบริหารงบ ลดขั้นตอนยุ่งยากในกองทุนย่อย เพราะไม่เช่นนั้นก็จะมีปัญหาเบิกจ่าย" นพ.บัญชา กล่าว

พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) เปิดเผยว่า ปัญหาเงินค้างท่อเกิดจากระบบบริหารเงินของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไม่ดี รายละเอียดยุ่งยาก ต้องผ่านเกณฑ์ต่างๆ ซึ่ง รพ.ส่วนใหญ่รักษาผู้ป่วย ก็แทบไม่มีเวลาในการจัดทำขั้นตอนเบิกจ่ายแล้ว ตรงนี้บางแห่งก็ไม่ได้รับงบไปเลยก็มี ซึ่งก่อนหน้านี้ สพศท.ได้เปิดเผยเรื่องนี้ โดยระหว่างปี 2551-2553 พบเงินค้างท่อถึง 39,000 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนั้น สปสช.ก็มีการตามจ่ายเร่งด่วน ทำให้เงินค้างท่อลดลง และเหลือ 18,000 ล้านบาท กระทั่งล่าสุดเหลือ 4,200 ล้านบาท ซึ่งก็ยังมากอยู่ดี แต่ข้อมูลตรงนี้ไม่มีหลักฐานว่า มีการตามจ่ายให้ รพ. ไปแล้วจริงหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงควรตรวจสอบด้วย ไม่ใช่ให้ สปสช.พูดฝ่ายเดียว

ด้าน ภก.ธีระ ฉกาจนโรดม นายกสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (พรีม่า) กล่าวว่า สปสช.เป็นหน่วยงานที่มีความอิสระมาก ทั้งๆที่มีอายุเพียง 9 ขวบ แต่สามารถเข้าไปดำเนินการต่างๆ ได้ อย่าง รพ.เอกชน มีการทำงานก่อตั้งมาร่วม 21 ปี แต่ปรากฏว่า ขณะนี้กำลังถูกเด็กอายุ 9 ขวบ ไล่เตะก้น ด้วยความพยายามดึงผู้ประกันตนออกจากกองทุนประกันสังคม และไปอยู่ในกองทุนบัตรทอง ซึ่งโดยข้อเท็จจริง แต่ละกองทุนต้องแข่งขันกัน เพื่อสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วยมากกว่า เรียกได้ว่าขณะนี้ สปสช.กำลังแผ่อิทธิพลเข้าสู่ สปส. ดังนั้น จึงอยากฝากลูกจ้างผู้ประกันตนทั้งหลาย ออกมาเรียกร้องสิทธิของตน เพราะอย่าลืมว่า ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินทุกๆ เดือน ก็ควรได้สิทธิประโยชน์การบริการที่ดีกว่าสิทธิอื่น และ สปส.ควรใช้วิธีทำสัญญากับประกันสุขภาพเอกชน เพราะหากใช้บริษัทประกันสุขภาพ ย่อมได้รับการดูแลดีกว่าไปประสานกับ รพ.เอง

ขณะที่ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ทุกๆ วันที่ 30 กันยายน สปสช. จะกันเงินสำหรับให้ รพ. ทำการเบิกจ่ายกรณีกองทุนต่างๆ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน ตามการวินิจฉัยโรคร่วมหรือ DRG ซึ่งในปีงบประมาณ 2554 จะกันไว้กว่า 4 พันล้านบาท ซึ่งทุกปีไม่เคยถึงหมื่นล้านบาทแน่นอน โดยงบส่วนนี้ตั้งเป้าว่าต้องกันไว้ไม่เกินร้อยละ 5 ของงบกองทุนทั้งหมด และในปีงบประมาณ 2555 ตั้งเป้าไว้ว่าต้องกันไว้ไม่เกินร้อยละ 4 ส่วนที่ใครจะมีการพูดถึง สปสช.ในการเข้าไปดึงผู้ประกันตนนั้น ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า สปสช. ทำตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งเป็นการทำตามกฎหมาย ตามมาตรา 10 แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากยังไม่พร้อม.

ไทยรัฐออนไลน์ 30 ธค 2554

8213
อาจารย์สอนภาษาชาวอเมริกันใจบุญ ลงพื้นที่ชลบุรี รับ "น้องกาน เด็กหัวโต" เข้ารักษาในโรงพยาบาลเอกชน โดยออกทุกบาททุกสตางค์ หวังให้มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น...

เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2554 ดร.ฮาเวิร์ด เลสนิค อายุ 70 ปี อาจารย์สอนภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ พร้อมคณะลูกศิษย์ ได้เดินทางเข้าพบกับนายปราโมทย์ อ่วมประเสริฐ อายุ 43 ปี คนขับรถรองนายกเทศมนตรี ตำบลเขตรอุดมศักดิ์ และนางอัมพร อ่วมประเสริฐ อายุ 44 ปี ภายในห้องเช่าหมายเลข 12 เลขที่ 82/95 ซ.สัตหีบสุขุมวิท 69 (เทพบูรพา) ม.5 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นพ่อแม่ของ ด.ช.นพกร อ่วมประเสริฐ หรือน้องกาน วัย 2 ขวบ 7 เดือน ที่ป่วยโรคสมองบวมจนศีรษะมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ขนาด 92 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 25 กิโลกรัม ไปรักษายังโรงพยาบาลกรุงเทพ-พัทยา

ดร.ฮาเวิร์ด เปิดเผยว่า รู้สึกสงสารเด็ก อีกทั้งครอบครัวมีฐานะยากจน และเมื่อเข้ารักษาในโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งไม่เข้าใจว่า ทำไมแพทย์ได้บอกให้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่มีการรักษา หรือผ่าตัดแต่อย่างใด จึงติดต่อกับพ่อแม่ของน้องกาน เพื่อรับตัวไปทำการตรวจสภาพอาการเพื่อทำการรักษา เพราะอยากให้น้องกานมีสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยออกค่ารักษาทุกบาททุกสตางค์ไม่ให้ครอบครัวของน้องกานต้องเดือดร้อน

อย่างไรก็ตาม นายปราโมทย์และนางอัมพร พ่อแม่ของน้องกาน ได้กล่าวขอบคุณ โดยระบุว่า ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ทีมแพทย์จะรักษาได้หรือไม่ ก็พร้อมที่จะรับสภาพกับสิ่งที่เกิดขึ้น และจะเลี้ยงดูน้องกานไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต และขอขอบคุณผู้ใจบุญที่ร่วมกันบริจาคเงินให้การช่วยเหลือแก่ครอบครัว และคอยเป็นกำลังใจให้ตลอดมา โดยสัญญาจะนำเงินทุกบาทที่ทุกคนร่วมบริจาคมาไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด

ไทยรัฐออนไลน์ 30 ธค 2554

8214
ฝูงปลานานาชนิดนับหมื่นตัวในแม่น้ำชุมพร หนีตายจากน้ำมือมนุษย์ใจบาป วางยาเบื่อ เบ็ดราว ไฟฟ้าช็อตพึ่งใบบุญอาศัยอยู่หน้าวัดหาดทรายแก้ว เจ้าอาวาสกันพื้นที่เป็นเขตอภัยทาน

เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 30 ธ.ค.54 พระครูสมุห์เดชภัทร อายุ 59 ปี เจ้าอาวาสวัดหาดทรายแก้ว หมู่ที่ 3 ต.ตากแดด อ.เมือง จ.ชุมพร แจ้งให้ผู้สื่อข่าวทราบว่า ในแม่น้ำชุมพร บริเวณหน้าวัด มีฝูงปลานานาชนิดนับหมื่นตัวมาอาศัยอยู่ แต่ทางวัดยังขาดปัจจัยในการซื้ออาหารปลา วอนหน่วยงานราชการและผู้มีจิตเมตตา ช่วยเหลือเพื่ออนุรักษ์พันธุ์ปลาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบ พบที่หน้าศาลาสุวราช บริเวณท่าน้ำหน้าวัด ซึ่งมีแม่น้ำชุมพรไหลผ่าน มีฝูงปลาจำนวนมากนับหมื่นตัว เช่น ปลาตะเพียน ปลาจะละเม็ดน้ำจืด ปลายี่สกเทศ ปลาแรด ปลากดคัง และโดยเฉพาะปลากดเหลือง ซึ่งเป็นปลาประจำถิ่นของจังหวัดชุมพร ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ แหวกว่ายไปมาอยู่ในแม่น้ำชุมพรบริเวณท่าน้ำของวัดหาดทรายแก้วไม่ยอมไปไหน โดยฝูงปลาดังกล่าวเท่าที่สังเกต แต่ละตัวมีน้ำหนักตั้งแต่ 1–5 กิโลกรัม

เกี่ยวกับเรื่องนี้ พระครูสมุห์เดชภัทร เจ้าอาวาส เปิดเผยว่า สำหรับหาดทรายแก้วแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 มีเนื้อที่ 8 ไร่ 3 งาน 40 ตารางวา แนวเขตด้านทิศตะวันออกอยู่ติดแม่น้ำชุมพร ความยาว 800 เมตร สำหรับฝูงปลาดังกล่าว พระ-เณร เริ่มพบเห็นมาอยู่ที่บริเวณหน้าวัดแห่งนี้ เมื่อประมาณปี พ.ศ.2548 แต่เป็นฝูงเล็กๆโดยเฉพาะปลากดเหลือง ซึ่งเป็นปลาประจำถิ่นของจังหวัดชุมพร มีจำนวนมากที่สุด แต่ช่วงนั้นมีชาวบ้านเข้ามาลักลอบจับปลาในเวลากลางคืน โดยใช้อวน แห และมีบางรายใช้ไฟฟ้าช็อต ทำให้ฝูงปลาลดจำนวนน้อยลง ต่อมาเมื่อปี 2552 ได้มีชาวบ้านใช้ยาเบื่อปลา ทำให้ปลาตายทั้งหมด ลอยเป็นแพหลายพันตัว ชาวบ้านที่ใจบุญรวมทั้งพระสงฆ์ในวัดรู้สึกเสียดายไปตามๆกัน แต่แล้วจู่ๆเมื่อต้นปี 2554 นี้ กลับมีฝูงปลาจำนวนมากนับหมื่นตัว แต่ละตัวมีน้ำหนักระหว่าง 1-5 กิโลกรัม ไม่ทราบว่าฝูงปลาเหล่านี้มาจากไหน มาว่ายวนเวียนอยู่หน้าวัด พระเณรเห็นเข้า ก็เลยเอาข้าวก้นบาตรโปรยหว่านให้กินทุกวัน ทำให้ฝูงปลาเหล่านี้ไม่ยอมหนีไปไหน เพราะหากปลาฝูงนี้ว่ายออกไปนอกเขตวัด ซึ่งมีพื้นที่แนวยาวขนานแม่น้ำชุมพร ประมาณ 800 เมตร ก็อาจถูกจับเป็นอาหาร

ดังนั้นทางวัดจึงกันเขตแนวด้วยการเขียนป้ายประกาศติดไว้ว่าเป็นเขตอภัยทาน ห้ามจับสัตว์น้ำในบริเวณนี้ พระครูสมุห์เดชภัทร เผยอีกว่า สงสัยปลาฝูงนี้น่าจะรู้ว่าถ้าขืนว่ายออกไปนอกบริเวณวัด มันก็จะตาย ดังนั้นจึงไม่ยอมว่ายไปไหน อยู่แต่ที่ท่าน้ำของวัดแห่งนี้ ซึ่งนับวันจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆคาดว่าไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นตัว แต่ที่ทางวัดประสบปัญหาอยู่เวลานี้ คือไม่มีปัจจัยที่จะไปซื้ออาหารปลามาเลี้ยงปลาฝูงนี้ให้อยู่คู่กับวัดไปนานๆ จึงอยากวิงวอนผู้ใจบุญมีจิตเมตตา รวมทั้งสำนักงานประมงจังหวัดชุมพร ให้เข้าไปช่วยในเรื่องนี้ เนื่องจากทางวัดอยากจะขออนุรักษ์พันธุ์ปลาฝูงนี้เอาไว้ เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยว ให้ลูกหลานได้เที่ยวชมต่อไปในอนาคต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับวัดหาดทรายแก้วแห่งนี้นับว่าเป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของจังหวัดชุมพร มีอดีตเจ้าอาวาสรูปหนึ่งชื่อพระครูอาทรพัฒนกิจ เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ศพไม่เน่าไม่เปื่อย ปัจจุบันร่างของท่านถูกเก็บไว้ในโลงแก้วอยู่ที่วัดนี้

8215
หมายเหตุ - เป็นเนื้อหาบางส่วนจากรายงานการปรับลด-ปรับเพิ่มร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ.2555 ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ซึ่งรัฐบาลตั้งงบรวม 2,380,000,000,000 บาท แต่ กมธ.ปรับลด 43,429,515,000 บาท ต่อมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ตั้งเพิ่มขึ้นตามจำนวนตามที่ปรับลด โดยเกลี่ยไปลงหน่วยงานใหม่ ขั้นตอนจากนี้ จะเสนอร่าง พ.ร.บ.เข้าสู่การพิจารณาของสภาในวาระ 2 และ 3

รายละเอียดรายการปรับลด(-) ปรับเพิ่ม(+)รายกระทรวง

1.งบกลาง ในความควบคุมของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ (+)

ตั้งงบประมาณที่ 420,601,127,400 บาท กมธ.ได้ปรับลดงบประมาณลงจำนวน 156,000,000 บาท แต่ ครม.ได้ขอตั้งงบเพิ่มจำนวน 1,766,000,000 บาท ทำให้งบกลางหลังการพิจารณามีจำนวน 422,210,127,400 บาท

2.สำนักนายกรัฐมนตรี (-)

ตั้งงบประมาณที่ 22,485,567,100 บาท กมธ.ได้ปรับลดงบประมาณลงจำนวน 687,680,600 บาท แต่ ครม.ได้ขอตั้งงบเพิ่มจำนวน 325,840,000 บาท ทำให้งบประมาณสำนักนายกรัฐมนตรีมีจำนวน 22,123,726,500 บาท

3.กระทรวงกลาโหม (+)

ตั้งงบประมาณที่ 167,446,209,900 บาท กมธ.ได้ปรับลดงบประมาณลงจำนวน 896,945,900 บาท แต่ ครม.ตั้งงบประมาณเพิ่มจำนวน 2,118,109,500 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหมมีจำนวน 168,667,373,500 บาท

4.กระทรวงการคลัง (+)

ตั้งงบประมาณที่ 190,981,390,100 บาท กมธ.ได้ปรับลดงบประมาณลงจำนวน 412,241,300 บาท แต่ ครม.ได้ตั้งงบประมาณเพิ่มจำนวน 846,010,000 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงการคลังมีจำนวน 191,415,658,800 บาท

5.กระทรวงการต่างประเทศ (-)

ตั้งงบประมาณที่ 7,733,592,500 บาท กมธ.ได้ปรับลดงบประมาณลงจำนวน 153,780,900 บาท แต่ในส่วนนี้ ครม.ไม่ได้ขอตั้งงบประมาณเพิ่มทำให้งบในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศมีจำนวน 7,579,811,600 บาท

6.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (+)

ตั้งงบประมาณที่จำนวน 6,754,235,200 บาท กมธ.ได้ปรับลดงบประมาณลงจำนวน 167,490,200 บาท ครม.ได้ปรับเพิ่มจำนวน 3,677,800,000 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีจำนวน 10,264,545,000 บาท

7.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (+)

ตั้งงบประมาณที่จำนวน 10,249,781,800 บาท กมธ.ได้ปรับลดงบประมาณลงจำนวน 209,619,200 บาท แต่ ครม.ได้ขอให้ตั้งเพิ่มจำนวน 170,000,000 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีจำนวน 10,401,162,600 บาท

8.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (-)

ตั้งงบประมาณจำนวน 77,993,076,900 บาท กมธ.ได้ปรับลดงบประมาณลงจำนวน 2,978,869,500 แต่ ครม.ได้ขอให้ตั้งเพิ่มจำนวน 1,707,000,000 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีจำนวน 77,621,207,400 บาท

9.กระทรวงคมนาคม (+)

ตั้งงบประมาณจำนวน 81,310,006,900 บาท โดย กมธ.ปรับลดงบประมาณลงจำนวน 1,579,981,500 บาท แต่ ครม.ตั้งเพิ่มจำนวน 9,122,650,000 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงคมนาคมมีจำนวน 88,852,675,400 บาท

10.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (-)

ตั้งงบประมาณจำนวน 24,611,197,200 บาท กมธ.ขอปรับลดงบประมาณลงจำนวน 536,771,600 บาท ครม.ได้ขอให้ตั้งเพิ่มจำนวน 1,510,532,800 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีจำนวน 24,034,425,600 บาท

11.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (-)

ตั้งงบประมาณที่ 3,935,283,100 บาท กมธ.ปรับลดงบประมาณจำนวน 173,638,000 บาท แต่ ครม.ไม่ได้ขอตั้งงบประมาณเพิ่มเติมในส่วนนี้ ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีจำนวน 3,761,645,100 บาท

12.กระทรวงพลังงาน (-)

ตั้งงบประมาณที่ 1,994,607,200 บาท กมธ.ปรับลดจำนวน 143,673,600 บาท แต่ ครม.ไม่ปรับเพิ่ม ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงพลังงานมีจำนวน 1,850,933,600 บาท

13.กระทรวงพาณิชย์ (-)

ตั้งงบประมาณจำนวน 6,995,569,500 บาท กมธ.ขอปรับลด 402,717,800 บาท แต่ ครม.ไม่ได้ขอปรับเพิ่มในส่วนนี้ ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงพาณิชย์มีจำนวน 6,592,851,700 บาท

14.กระทรวงมหาดไทย (+)

ตั้งงบประมาณจำนวน 283,875,474,500 บาท กมธ.ปรับลดลงจำนวน 8,848,171,100 บาท แต่ ครม.ตั้งเพิ่มจำนวน 10,227,500,000 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงมหาดไทยมีจำนวน 285,254,854,400 บาท

15.กระทรวงยุติธรรม (-)

ตั้งงบประมาณที่ 18,208,781,200 บาท กมธ. ขอปรับลดจำนวน 262,375,000 บาท ครม.ไม่ขอ ให้มีการตั้งเพิ่มทำให้งบประมาณในส่วนของ กระทรวงยุติธรรมมีจำนวน 17,946,406,200 บาท

16.กระทรวงแรงงาน (-)

ตั้งงบประมาณที่ 27,265,036,000 บาท กมธ. ขอให้ปรับลดจำนวน 10,948,937,900 บาท โดย ในส่วนนี้ ครม.ไม่ได้ขอให้ปรับเพิ่ม ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงแรงงานมีจำนวน 16,316,098,100 บาท

17.กระทรวงวัฒนธรรม (-)

ตั้งงบประมาณจำนวน 5,690,860,300 บาท กมธ.ขอปรับลด 232,863,000 บาท ครม.ตั้งเพิ่มจำนวน 10,000,000 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรมมีจำนวน 5,467,997,300 บาท

18.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (-)

ตั้งงบประมาณจำนวน 8,222,605,300 บาท กมธ.ให้ปรับลดจำนวน 191,710,000 บาท แต่ ครม.ให้ตั้งเพิ่มจำนวน 21,400,000 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีจำนวน 8,052,295,300 บาท

19.กระทรวงศึกษาธิการ (+)

ตั้งงบประมาณรายจ่ายจำนวน 418,616,322,200 บาท กมธ.ปรับลดจำนวน 2,730,459,600 บาท แต่ ครม.ตั้งเพิ่มจำนวน 4,604,170,000 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการมีจำนวน 420,490,033,600 บาท

20.กระทรวงสาธารณสุข (-)

ตั้งงบประมาณจำนวน 93,056,779,600 บาท กมธ.ปรับลดลงจำนวน 1,149,311,700 บาท แต่ ครม.ตั้งเพิ่มจำนวน 89,340,000 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขมีจำนวน 91,996,807,900 บาท

21.กระทรวงอุตสาหกรรม (-)

ตั้งงบประมาณจำนวน 6,297,055,500 บาท กมธ.ปรับลดจำนวน 559,623,000 บาท ครม.ไม่ได้ขอตั้งเพิ่มทำให้งบประมาณในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมมีจำนวน 5,737,432,500 บาท

22.ส่วนราชการไม่ได้สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง (-)

ตั้งงบประมาณจำนวน 89,619,763,200 บาท กมธ.ขอปรับลดจำนวน 398,753,500 บาท แต่ ครม.ให้ตั้งเพิ่มจำนวน 236,000,000 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของส่วนราชการไม่ได้สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง มีจำนวน 89,457,009,700 บาท

23.หน่วยงานของรัฐสภา (+)

ตั้งงบประมาณจำนวน 5,829,213,800 บาท กมธ.ให้ปรับลดจำนวน 267,500,000 บาท แต่ ครม.ให้ตั้งเพิ่มจำนวน 695,400,900 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของหน่วยงานของรัฐสภามีจำนวน 6,257,114,700 บาท

24.หน่วยงานของศาล (+)

ตั้งงบประมาณจำนวน 15,049,112,100 บาท กมธ.ขอปรับลดจำนวน 10,000,000 บาท ครม.ให้ตั้งเพิ่มจำนวน 129,470,400 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของหน่วยงานของศาลมีจำนวน 15,168,582,500 บาท

25.หน่วยงานขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ (-)

ตั้งงบประมาณจำนวน 11,669,334,700 บาท กมธ.ขอปรับลดจำนวน 49,179,000 บาท แต่ ครม.ให้ตั้งเพิ่มจำนวน 22,291,400 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของหน่วยงานขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญมีจำนวน 11,623,448,100 บาท

26.งบประมาณรายจ่ายของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด (-)

ตั้งงบประมาณจำนวน 18,170,000,000 บาท กมธ.ขอปรับลดจำนวน 368,000,000 บาท แต่ ครม.ไม่มีการตั้งเพิ่มทำให้งบประมาณในส่วนของงบประมาณรายจ่ายของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดมีจำนวน 17,802,000,000 บาท

27.งบประมาณรายจ่ายของรัฐวิสาหกิจ (-)

ตั้งงบประมาณจำนวน 133,151,631,800 บาท กมธ.ขอปรับลดจำนวน 5,468,718,600 บาท แต่ ครม.ให้มีการตั้งเพิ่มจำนวน 1,425,000,000 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของงบประมาณรายจ่ายของรัฐวิสาหกิจมีจำนวน 129,107,923,200 บาท

28.สภากาชาดไทย (-)

ตั้งงบประมาณจำนวน 4,572,941,000 บาท กมธ. ขอปรับลดจำนวน 105,074,800 บาท แต่ ครม.ไม่มีการตั้งเพิ่มทำให้งบประมาณในส่วนของสภากาชาดไทยมีจำนวน 4,467,866,200 บาท

29.กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน (+)

ตั้งงบประมาณจำนวน 163,704,492,600 บาท กมธ.ขอปรับลดจำนวน 3,339,481,700 บาท แต่ ครม.ให้มีการตั้งเพิ่มจำนวน 4,725,000,000 บาท ทำให้งบประมาณในส่วนของกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนมีจำนวน 165,090,010,900 บาท

ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร
ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย
โฆษก กมธ.พิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555

หลังจากการทำงานนานกว่า 7 สัปดาห์ ขณะนี้การพิจารณางบประมาณปี 2555 ในขั้นตอน กมธ.แล้วเสร็จ และส่งให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร บรรจุเป็นวาระการประชุมในวันที่ 4-5 มกราคมนี้แล้ว โดย กมธ.ได้ปรับลดงบประมาณลงจำนวน 43,429,515,000 บาท โดยงบประมาณกระทรวงแรงงานถูกปรับลดมากที่สุดคือ 10,948,000,000 บาท ซึ่งอยู่ในส่วนของสำนักงานประกันสังคมจำนวน 10,000,000,000 บาท แต่จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา มีการพิจารณาแปรญัตติเพิ่มโดยผ่านเข้ามาทาง ครม. ในจำนวนเท่ากับที่ กมธ.ปรับลดลง โดยกระทรวงมหาดไทยได้รับการแปรเพิ่มมากที่สุด จำนวน 10,277,000,000 บาท โดยในจำนวนนี้เป็นงบประมาณของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นมากที่สุด เนื่องจากรัฐบาลให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจ

สำหรับการแปรเพิ่มงบประมาณของกระทรวงต่างๆ เพื่อใช้ในการซ่อมแซม บูรณะฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วม อย่างกระทรวงกลาโหมที่ได้รับแปรเพิ่ม 2,118,000,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นงบประมาณในการขุดลอกคูคลองแหล่งน้ำเพื่อป้องกันอุทกภัย มีงบประมาณจัดซื้อยุทโธปกรณ์รายการเดียวคือโครงการจัดซื้อยานยนต์สาย สพ.ที่สอง จำนวน 400,000,000 บาท ส่วนกระทรวงคมนาคมที่ได้รับการแปรเพิ่มจำนวน 9,122,650,000 บาท เป็นการเพิ่มในส่วนของกรมทางหลวงชนบท จำนวน 4,839,000,000 บาท และกรมทางหลวง 4,283,000,000 บาท เป็นการซ่อมแซมถนนหลังน้ำท่วม

(ที่มา : มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 29 ธันวาคม 2554)

8216
ข้าราชการ 6.5 แสนรายเฮ! กระทรวงการคลังเตรียมประกาศปรับรายได้ให้ข้าราชการ ลูกจ้าง วุฒิปริญญาตรีขึ้นไป รับเงินเดือนบวกเงินเพิ่มต้องไม่ต่ำกว่า 15,000 ต่อเดือน กลุ่มที่ต่ำกว่าปริญญาตรีได้ปรับด้วย มีผล1 ม.ค.2555นี้ บอกเป็นของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลยิ่งลักษณ์

เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2554 นายรังสรรค์  ศรีวรศาสตร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า นโยบายรัฐบาลเรื่องการปรับรายได้ให้แก่บุคลากรภาครัฐ โดยเฉพาะผู้ที่จบปริญญาตรีเมื่อเข้าทำงานในระบบราชการควรมีรายได้ขั้นต่ำอย่างน้อย 15,000 บาทต่อเดือน นั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการนำเสนอร่างระเบียบเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำ ล่าสุดได้มีการยืนยันร่างระเบียบดังกล่าว ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2554  ซึ่งคาดว่ากระทรวงการคลังจะประกาศให้มีผลบังคับใช้ตามที่รัฐบาลได้มอบนโยบายไว้อย่างแน่นอน โดยเริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2555 ถือเป็นการให้ของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลท่านนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

นายรังสรรค์  กล่าวเพิ่มเติมว่า บุคลากรภาครัฐที่จะได้รับการปรับเพิ่มรายได้ครั้งนี้จะครอบคลุม    5 กลุ่ม จำนวนกว่า  649,323 คน คือ

1. ข้าราชการ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษา ข้าราชการรัฐสภาสามัญ
2. ลูกจ้างประจำ       
3. ลูกจ้างชั่วคราวที่จ้างจากเงินงบประมาณ
4. ทหารกองประจำการ และ
5. พนักงานราชการ

โดยเงินที่จ่ายจะเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว (พชค.)  กำหนดเงื่อนไขไว้ 2 ลักษณะคือ  กลุ่มที่บรรจุในตำแหน่งที่กำหนดคุณสมบัติเฉพาะว่าต้องใช้วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป  ถ้าได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึงเดือนละ 15,000 บาท ให้รับเงิน พชค. เพิ่มจนถึง 15,000 บาท  และกลุ่มที่บรรจุในตำแหน่งที่ใช้วุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ถ้าได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึงเดือนละ 12,285 บาท ให้รับเงิน พชค. เดือนละ 1,500 บาท แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 12,285 บาท หรือถ้ารวมกันแล้วไม่เกิน 9,000 บาท ก็ให้อีกจนถึง 9,000 บาท และทหารกองประจำการที่รับเงินเดือน ระดับ พ.1 ถ้ารับเงินเดือนรวมกับเบี้ยเลี้ยงประจำตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมแล้วไม่ถึงเดือนละ 9,000 บาท  ให้ได้รับเงิน พชค. เพิ่มขึ้นตามที่กระทรวงกลาโหมจะกำหนดต่อไป  แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน เดือนละ 9,000 บาท

“ปัจจุบันข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวและพนักงานราชการ ที่บรรจุในวุฒิปริญญาตรีขึ้นไปมีจำนวน 346,365 คน  งบประมาณที่ใช้ จำนวน 1,589 ล้านบาทต่อเดือน  ที่ต่ำกว่าปริญญาตรี จำนวน 164,943 คน ทหารกองประจำการ จำนวน 138,015 คน  2 กลุ่มนี้จะใช้เงินงบประมาณ จำนวน 455 ล้านบาทต่อเดือน รวมใช้งบประมาณ 2,044 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ระยะเวลา 9 เดือนจะใช้เงินจำนวน 18,396 ล้านบาท   ด้านระบบเงินเดือน ทางกรมฯ ได้เตรียมการรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อกฎหมายประกาศ ก็สามารถจ่ายเงินได้ตามเวลาที่กำหนดทันที สำหรับการเยียวยาข้าราชการที่ทำงานมานานแล้ว และได้รับผลกระทบการปรับค่าครองชีพในครั้งนี้       ทางสำนักงาน ก.พ. กำลังดำเนินการ และคาดว่าจะมีผลในวันที่ 1 มกราคา 2555 เช่นกัน” นายรังสรรค์กล่าว

มติชนออนไลน์  29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

8217
รพ.เกษมราษฎร์วางเป้ารายได้ปีหน้าโตมากกว่า 10% หลังโครงการเดอะเวิลด์ เมดิคอล เซ็นเตอร์เริ่มสร้างรายได้ เดินหน้าซื้อกิจการ รองรับแข่งขัน

นายแพทย์เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล หรือ KH ซึ่งประกอบธุรกิจโรงพยาบาลภายใต้ชื่อ รพ.เกษมราษฎร์ เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปีหน้าเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% จากปี 2554 จากปัจจัยบวก  จากการเปิดบริการของเดอะเวิลด์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจับลูกค้าในระดับบน และจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาเต็มไตรมาสในไตรมาส 4 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ผลบวกต่อเนื่องจากการที่บริษัทยกเลิกการเข้าโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคที่ทำให้กำไรดีขึ้น  รวมทั้งสำนักงานประกันสังคม หรือ สปส.ปรับรูปแบบจ่ายค่ารักษาผู้ป่วยในกลุ่มประกันสังคม จากเหมาจ่ายเป็นตามความรุนแรงของโรค ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัท

ภาพรวมของธุรกิจโรงพยาบาลดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงกลุ่มเกษมราษฎร์ด้วย โดยเฉพาะปีที่แล้วเรายกเลิกโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค กำไรเราก็เริ่มดีขึ้น โดยในปี 2555 บริษัทยังเดินแผนเข้าซื้อกิจการเพื่อขยายขนาดของธุรกิจ นอกเหนือจากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโรงพยาบาลหลายแห่งที่บริษัทถือหุ้นอยู่แล้ว แต่จะมองหาบริษัทใหม่ๆ ด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นเจรจา 1 ดีล คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีหน้า

"เราจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นไปเรื่อยๆ ของใหม่ก็จะเห็น รอให้ดีลเสร็จก่อน ปีหน้ามีแนวโน้มทำดีลได้ แต่รอให้จบก่อน"

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา บริษัทแจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทสามารถซื้อหุ้นของ บริษัท ศรีบุรินทร์ การแพทย์ จำกัด เพิ่มทั้งสิ้น 52.20% ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว ทำให้บริษัทถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวทั้งสิ้นเป็น 93.67% นอกจากนี้ บริษัทได้ซื้อหุ้นสามัญของบริษัท โรงพยาบาลรัตนาธิเบศร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่ง เพิ่มขึ้น 3.71% ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว ในราคาหุ้นละ 55.00 บาท ทำให้บริษัทถือหุ้นในบริษัทย่อยดังกล่าวทั้งสิ้นเป็น 72.73%

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  29 ธันวาคม 2554

8218
น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ​และนางสุนทรี ​เซ่งกี่ กรรม​การหลักประกันสุขภาพ​แห่งชาติ ​ผู้​แทน​เกษตร​และ​แรงงาน ​เปิด​เผยว่า คณะกรรม​การสำนักงานคณะกรรม​การหลักประกันสุขภาพ​แห่ง ชาติ (สปสช.) ชุด​ใหม่​ได้มา​โดย​ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ​จึง​ได้ยื่นฟ้องศาลปกครอง​แล้ว​เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา ​เพื่อขอ​ให้​เพิกถอน​การ​แต่งตั้งกรรม​การชุดดังกล่าว ที่ผ่านมา นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข (สธ.) ​ในฐานะประธานบอร์ด สปสช.จง​ใจ​ไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ​แห่งชาติ ม.13 ที่​ให้มี​การสรรหากรรม​การ​ผู้ทรงคุณวุฒิด้วย ​ความอิสระ ​ไม่มี​ใบสั่งจาก​ผู้มีอำนาจ ​และ​ให้กรรม​การจากทุกองค์ประกอบ​เป็น​ผู้สรรหา​และคัด​เลือก ​แต่​การประชุมที่ผ่านมากรรม​การจากองค์กรพัฒนา​เอกชน​ทั้ง 5 คน​ไม่​ได้มีส่วนร่วม​เพราะติดภาวะน้ำท่วม ​ทำ​ให้​การคัด​เลือก​ผู้ทรงคุณวุฒิ​ทั้ง 7 คนที่ผ่านมา​ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ​เหมือนครั้งปี 2546 ที่ รมว.สธ.​ในขณะนั้นสั่ง​ให้คัด​เลือก​ใหม่

"​เรา​เคยมีหนังสือคัดค้าน​การ​แต่งตั้งที่​ไม่ชอบด้วยกฎหมาย​ไปยัง รมว.สธ.​และนายกรัฐมนตรี 2 ฉบับ​แล้ว ​แต่​เรื่องยัง​เงียบอยู่​และ รมว.สธ.มี​ความพยายามจะจัดประชุมคณะกรรม​การชุด​ใหม่ ​เพื่อออกมติ​ให้มี​การ​เ​ก็บ​เงิน​ผู้ป่วย ​จึงต้องพึ่งอำนาจศาลปกครอง​ให้​เพิกถอน​การ​แต่งตั้งกรรม​การชุดนี้" นางสาวบุญยืนกล่าว

นพ.​เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูล​เกียรติ ประธานชมรม​แพทย์ชนบท ​เปิด​เผยว่า ​แพทย์ชนบททั่วประ​เทศร่วมกับ​เครือข่าย​ผู้ป่วย​โรคต่างๆ กำลังจับตาดู​การ​เปลี่ยน​แปลงของรัฐบาลที่​เข้ามา​แทรก​แซง ​โดย​เอานายทุนพรรค​และพวกที่​เคยคัดค้านบัตรทอง​เข้ามา​เป็น​เสียงข้างมาก​ในกรรม​การ สปสช.ชุด​ใหม่ ว่าจะมีมติอะ​ไรที่​เป็น​การ​ทำลายระบบบัตรทอง ​หรือ​เอื้อประ​โยชน์​ให้กับธุรกิจ​เอกชน​หรือ​ไม่ ถ้ามีมติ​เ​ก็บ​เงิน 30 บาท ​หรือ​ผู้ป่วย​ไม่สามารถ​เข้า​ถึงบริ​การ​ได้ ​เครือข่ายต่างๆ จะฟ้อง​เอาผิดกรรม​การอย่าง​แน่นอน.

ไทย​โพสต์  29 ธันวาคม 2554

8219

สมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปแห่งประเทศไทย
ที่ สพศท. ๙/๒๕๕๔                                                                           วันที่ ๒๙  ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔                                                                                                                                                                                                   
เรื่อง ขอทราบความชัดเจนเรื่องค่าตอบแทนการปฏิบัติงานในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป 

เรียน รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข นายวิทยา บุรณศิริ และปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายไพจิตร์ วราชิต

สิ่งที่ส่งมาด้วย  ๑. หนังสือที่ สธ.๐๒๐๑.๐๔๒.๑/ว ๖๖๒ (๔ ส.ค. ๒๕๕๒)
                  ๒. ข่าวเพื่อสื่อมวลชน สำนักงานสารนิเทศ และประชาสัมพันธ์(สธ.) (๑๐ ก.ค. ๒๕๕๒)
                  ๓. ข้อสรุปค่า K สมาพันธ์แพทย์ รพศ/รพทฯ (๑๕ ก.ย. ๒๕๕๒)                                                                         

           อ้างถึงหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ สธ.๐๒๐๕.๐๒/๔๙๕๘๑ ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๔ เรื่องอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๔ เพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับกำลังคนด้านสาธารณสุข(เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ถึงเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๔)  ซึ่งได้โอนงบประมาณงวดที่ ๑ (รวม ๑,๗๑๗,๗๗๙,๕๖๐  บาท) มาแล้ว และได้แจ้งว่าหากได้รับอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมจะจัดสรรให้พื้นที่ในงวดต่อไปอีกครั้ง บัดนี้เวลาได้ล่วงเลยการจ่ายค่าตอบแทนปีงบประมาณ ๒๕๕๕ มา ๓ เดือนแล้ว(ตุลาคม ถึง ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔) บุคลากรผู้ปฏิบัติในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปมีความกังวลและสับสนถึงแนวทางการจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าว  คณะกรรมการสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปฯ จึงขอเรียนเพื่อรับทราบถึงความชัดเจนและขอเสนอแนวคิดในประเด็นดังต่อไปนี้

           ๑. แนวทางการจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป (ฉบับที่ ๗) ที่ค้างอยู่ของปีงบประมาณ ๒๕๕๔ ว่าจะมีแนวทางเช่นไร? 

            จะให้รองบประมาณที่จะจัดสรร หรือสามารถจ่ายจากเงินบำรุงของโรงพยาบาลต่อไปในส่วนที่เหลือได้เลย หากมีแนวทางเช่นไร ขอความกรุณาให้ทางกระทรวงสาธารณสุขมีหนังสือยืนยันแนวทางการจ่ายค่าตอบแทนที่ค้างอยู่ของปีงบประมาณ ๒๕๕๔  แจ้งให้โรงพยาบาลศูนย์ / โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่งทราบ เพื่อให้มีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนที่เหลือโดยเร็วที่สุด และลดความกังวลใจของบุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลศูนย์ / โรงพยาบาลทั่วไปทุกคน

            ๒. นโยบายเรื่องค่าตอบแทนกำลังคนด้านการสาธารณสุขในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ จะมีแนวทางอย่างไร?(ซึ่งบัดนี้ได้ผ่านมา ๓ เดือนแล้ว)

             จะยังคงข้อบังคับกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนฉบับที่ ๔ , ๖ และ๗ ดังเดิม หรือจะเปลี่ยนวิธีการจ่ายค่าตอบแทนเป็นการจ่ายตามภาระงานและผลการปฏิบัติงาน (P4P)

               หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการจ่าย คือ ใช้ฉบับที่ ๔ , ๖ และ ๗ ทางสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปฯขอเรียกร้องให้มีการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปตามฉบับที่ ๗ อย่างครบถ้วน คือ ให้มีการจ่ายตามค่าผันแปร(ค่า K)ด้วย ดังที่ปรากฏในหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าตอบแทนฉบับที่ ๗ (สิ่งที่ส่งมาด้วย ๑) และตามประกาศ (สิ่งที่ส่งมาด้วย ๒) และคำมั่นสัญญาของผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขที่ให้ไว้กับบุคลากรโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (สิ่งที่ส่งมาด้วย ๓)

               แต่หากจะปรับเปลี่ยนวิธีการและเงื่อนไขเป็นแบบตามภาระงานและผลการปฏิบัติงาน(P4P)  ทางสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปฯเรียกร้องให้มีการกำหนดแนวทางการจ่ายอย่างเป็นธรรมและเหมาะสมกับภาระงานอย่างแท้จริง และใช้หลักเกณฑ์เดียวกันในโรงพยาบาลทุกระดับ

               จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา และดำเนินการเพื่อให้บุคลากรในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปได้ทราบถึงความชัดเจนในการจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าว และเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจในการทำงาน ส่งผลให้การทำงานตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขมีประสิทธิภาพ เป็นผลให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีมีความพึงพอใจต่อไป         

                                                                    ขอแสดงความนับถือสูง
                                                                                     
                                                                 แพทย์หญิงประชุมพร บูรณ์เจริญ
                                   (ประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปแห่งประเทศไทย)
...................................................................................................
สิ่งที่ส่งมาด้วย ๑



สิ่งที่ส่งมาด้วย ๒




สิ่งที่ส่งมาด้วย ๓



8220
สื่อให้ฉายา “บิ๊ก” วงการ สธ.“วิทยา” ได้ ฉายา “ไม่แคร์สื่อ” ขณะที่ รมช.ได้ฉายา “อีดี้จอมพีอาร์” ส่วนปลัดกระทรวงคุณหมอ ได้ฉายา “ปลัดคลิปหลุด”
       
       สื่อมวลชนสายกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกันตั้งฉายาแห่งปีของบรรดาผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับฉายาว่า “เฮียใหญ่ไม่แคร์สื่อ” เนื่องจากมีบุคลิกที่ทำงานแบบข้ามาคนเดียว ลุยโดดๆ ไม่สนใจสื่อมวลชน ว่า จะคิดอย่างไร หรือมีข้อเสนอแนะอย่างไร ส่วนนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับฉายาว่า “อีดี้จอมพีอาร์” เพราะตระกูลไชยสาส์น มีฉายาทางการเมืองว่า อีดี้ เนื่องจาก นายประจวบ ไชยสาส์น มีหน้าตาคล้าย อีดี้ อามิน ไม่ว่าจะทำอะไรมักเป็นข่าวอยู่ตลอด ขณะที่ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.ได้รับฉายาว่า “ปลัดคลิปหลุด” เนื่องจากเคยถูกโจมตีจากคลิปฉาว แต่สุดท้ายก็หลุดพ้นจากข้อกล่าวหา หลังตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นการตัดต่อคลิป ส่วน รองปลัดกระทรวงและผู้ตรวจราชการกระทรวง ที่ได้รับการแต่งตั้งครั้งนี้ ได้ฉายาว่าเป็นรองปลัด และผู้ตรวจชุด “คุณขอมา” เนื่องจากส่วนใหญ่มีเส้นสายและสัมพันธ์โยงใยกับฝ่ายการเมืองและปลัดกระทรวงสาธารณสุข
   
       มาที่อธิบดีที่ล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไปในการได้รับตำแหน่งแทบทั้งสิ้น มีการตั้งฉายา ดังนี้ อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ได้รับฉายาว่า “อธิบดีเด็กเส้น” เพราะสนิทกับนักการเมืองสายกิจสังคมเดิม ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ นายวิทยา บุรณศิริ เคยอยู่ ขณะที่ นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้รับฉายาว่า “อธิบดีแห้ว” เพราะมีชื่อติดโผจะได้นั่งกรมควบคุมโรค สุดท้ายเส้นไม่ถึงจึงต้องนั่งในตำแหน่งเดิม เช่นเดียวกับนพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย ที่ได้รับฉายาว่า “อธิบดีรักคุด” เพราะหวังว่าจะได้กลับไปนั่งในกรมการแพทย์ แต่กลับไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างที่ใจหวัง ส่วน นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข ได้รับฉายาว่า “อธิบดีม้ามืด” เพราะเดิมมีชื่อติดโผเป็นรองปลัดกระทรวง แต่สุดท้ายได้รับแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ฉายา “จับแหลก” เพราะจับคลินิกที่มีผลิตภัณฑ์ ยาปลอมแทบทุกที่ ส่วนนพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทญ์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ฉายา “ผู้คุมศูนย์เฉื่อยชาฉุกเฉิน” เพราะเป็น ผอ.สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าจะขอข้อมูลหรือขอความช่วยเหลือก็ช้าตลอด
       
       ขณะที่ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้รับฉายาว่า “อธิบดีโลกลืม” เพราะเคยมีบทบาทอย่างมากใน สธ.และควรจะได้เป็นอธิบดีก่อนหน้านี้ แต่กลับถูกลืม เพิ่งมาได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้ ส่วนพญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้รับฉายาว่า “กระบี่หญิงหนึ่งเดียว” เพราะเป็นอธิบดีหญิงเพียงคนเดียวของ สธ.และมีกระบี่ คือ หลังบ้านเป็น กกต.ทำให้เป็นที่เกรงขามของฝ่ายการเมือง สำหรับอธิบดีกรมสุขภาพจิต นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ได้รับฉายาว่า “หมอใจนักเลง” เพราะเป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง มีเพื่อนพ้องน้องพี่ให้ความเคารพอยู่มาก และสุดท้ายตำแหน่งที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง คือ ทพ.ญ.นัยนา แพร่ศรีสกุล ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ได้รับฉายาว่า “โฆษกหลุดคิว” เพราะชอบเปลี่ยนแปลงกำหนดการต่างๆ ในการให้ข่าวและแถลงข่าวอยู่ตลอดเวลา
       
       ส่วนบรรดาหมอที่มีบทบาทในแวดวงสาธารณสุข เช่น ศ.นพ.ประเวศ วะสี ได้รับฉายาว่า “หมอหลังม่านเหล็ก” เพราะอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มแพทย์เอ็นจีโอเกือบทั้งหมด ขณะที่นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ได้รับฉายาว่า “หมอจำปีทอง” เพราะใช้บริการสายการบินไทยบินมา กทม.ตลอดเวลาจนได้รับบัตรสมาชิกระดับทอง เช่นเดียวกับ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ที่ได้รับฉายาว่า “หมอร้อยบอร์ด” เพราะมีชื่อในคณะกรรมการในหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานประกันสังคม (สปส.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) องค์การเภสัชกรรม (อภ.) จะวางบทบาทเป็นผู้ตรวจสอบข้าราชการ และสื่อมวลชน อยู่ตลอด
       
       ส่วน พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา กรรมการแพทยสภา ได้รับฉายาว่า “หมอจอมแฉ” เนื่องจากนิยมเขียนบทความแฉเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่เป็นธรรมต่อบุคลากรในวิชาชีพแพทย์อย่างต่อเนื่องขณะที่นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ ได้รับฉายาว่า “หมอฮาร์ดคอร์” เนื่องจากมักจะออกมาแฉเรื่องราวความไม่ชอบมาพากลต่างๆ ด้วยท่าทีที่รุนแรง ส่วนพญ.อรพรรณ เมธาดิลกกุล ได้รับฉายาว่า “หมอค้าความ” เพราะมีเรื่องฟ้องร้องข้าราชการ สธ.ตั้งแต่ระดับ รมต.ปลัดไปจนถึงอธิบดีที่ยังค้างอยู่ในศาลหลายสิบคดี ส่วน นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช.ได้รับฉายาว่า “โปรเฉินร้อยสนาม” เนื่องจากมีฝีมือการตีกอล์ฟในระดับแถวหน้า และมักจะมีชื่อได้รับรางวัลจากการออกรอบแทบทุกสนาม
       
       นอกจากนี้ ยังมีแพทยสภา ได้ฉายา “มีดหมอบิ่น” เพราะไม่ว่าเกิดข้อร้องเรียนของแพทย์คนใด ประโยคแรกที่จะได้ยินจากแพทยสภา คือ ไม่มีมูลเสมอ ทั้งที่บางครั้งยังตรวจสอบไม่แล้วเสร็จ หรือไม่มีการตรวจสอบด้วยซ้ำ เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ฉายา “นักประท้วงกลุ่มน้อย” เนื่องจากมีการประท้วงแบบเงียบๆ ไม่หวือหวา โดยเฉพาะกรณี พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 ธันวาคม 2554

หน้า: 1 ... 546 547 [548] 549 550 ... 650