แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 545 546 [547] 548 549 ... 651
8191
กรมควบคุมโรค มั่นใจไทยไร้เชื้อลิเจียนแนร์ เผย มีระบบเฝ้าระวังดี แจงไม่ใช่เชื้อใหม่ที่น่ากลัว ไม่ถ่ายทอดจากคนสู่คน
   
       จากกรณีรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของเกาะฮ่องกง ป่วยด้วยเชื้อโรคลีเจียนแนร์ และนำไปสู่การเดินหน้าตรวจดูเชื้อดังกล่าวของรัฐบาลฮ่องกง จนพบว่า มีเชื้อดังกล่าวสูงเกินมาตรฐานถึง 14 เท่า ในอาคารทำการใหญ่ของรัฐบาลฮ่องกง ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่า อาจเกิดจากน้ำสกปรกที่มีการก่อสร้างอาคารใหม่นั้น
       
       ล่าสุด วันนี้ (4 ม.ค.)นพ.รุงเรือง กิจผาติ โฆษกกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า โรคดังกล่าวเป็นโรคที่พบการระบาดครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2519 ขณะที่ประเทศไทยเคยพบผู้ป่วยราว 2-3 คนในอดีต แต่ไม่ได้มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อน และปีนี้ไม่พบการระบาดแต่อย่างใด ทั้งนี้ สำหรับโรคดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นโรคอุบัติใหม่ที่น่ากลัว เพราะไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ ดังนั้น อยากให้ประชาชนวางใจ ว่า ไม่มีการถ่ายทอดจากนักท่องเที่ยว หรือผู้ที่เดินทางมาจากฮ่องกงอย่างแน่นอน โดยการเกิดขึ้นของเชื้อแบคทีเรียลิเจียนแนร์นั้น เป็นการเกิดขึ้นจากเครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องเย็นตามอาคารที่อาจสกปรก จึงก่อเกิดแบคทีเรียชนิดดังกล่าว ซึ่งประเทศไทยเองมีการดำเนินการโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในการสุ่มตรวจเครื่องปรับอากาศ ระบบน้ำ และระบบความเย็นอื่นๆ ตามอาคาร ห้องพัก โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งก็ไม่พบเชื้่อดังกล่าวปนเปื้อนแต่อย่างใด จึงอยากให้ประชาชนวางใจในระบบควบคุม และป้องกัน เนื่องจากโรคนี้เคยขึ้นในประเทศใหญ่ๆแล้ว จึงมั่นใจว่า มีประสบการณ์ในการควบคุมที่ดี ทำให้ไม่มีการระบาดในวงกว้าง
       
       นพ.รุ่งเรือง กล่าวด้วยว่า สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อดังกล่าวนั้น จะมีทั้งมีอาการ และไม่มีอาการ โดยผู้ป่วยที่ไปพบแพทย์ส่วนใหญ่มักมีไข้สูง อ่อนเพลีย และหากอาการหนักก็มีปอดอักเสบ หรือปอดบวมได้ ซึ่งแพทย์จะรักษาตามอาการที่พบ อย่างไรก็ตามสำหรับคนไทยที่อาศัยหรือเดินทางไปฮ่องกงหากพบอาการไข้นานหลายวันแล้วไปพบแพทย์ก็ควรแจ้งประวัติให้แพทย์ทราบว่า มีการเดินทางไปพื้นที่ใดของฮ่องกงบ้าง เพื่อจะได้ง่ายต่อการตรวจหาเชื้อโรค ซึ่งหากพบก็รักษาไม่ยาก ส่วนเรื่องการดูแลและป้องกันตัวเองก็หากพบน้ำ หรือเครื่องปรับอากาศสกปรกตามสถานที่พักชั่วคราวก็ควรหลีกเลี่ยง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มกราคม 2555

8192
“การขวนขวายหาสารพัดเครื่องประทินผิวในช่วงฤดูหนาว กลายเป็นกระแสนิยมมานานสำหรับทุกสภาพผิว ทว่า หนาวปีนี้เราอยากเห็นคนผิวมันหยุดพักใช้สารเคมีบ้างก็ดี” ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร  หัวหน้าโครงการสาธิตการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวด้วยอารมณ์ขัน
       
       ภญ. สุภาภรณ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ในความจริงแล้วการเกิดมาเป็นคนผิวมันนั้นดี เนื่องจากสามารถสะสมความชุมชื้นของผิวได้ดี เว้นแต่ผิวหน้าที่อาจเจอปัญหาสิวบ้างสำรับคนเผชิญฝุ่น ควัน หรือสิ่งสกปรกในช่วงหน้าร้อน แต่หากเป็นฤดูหนาว คนผิวมันโชคดีกว่าคนผิวแห้งมาก เนื่องจากผิวไม่มีรอยแตก รอยแยกให้แบคทีเรียหรือเชื้อโรคอื่นๆ เข้าสู่ร่างกายได้เลย ซึ่งหลายคนมักแสดงอาการของเชื้อโรครบกวนด้วยการเกา และผลที่ตามมาเกิดเป็นแผลอักเสบ
       
       สำหรับสาวยุคนี้ การมีผิวแตกเป็นปัญหาความงามอย่างมาก เพราะนอกจากจะลดความมั่นใจในการโชว์เรียวขาแล้ว ยังยากต่อการบำรุงดูแลให้ผิวมีสุขภาพดีด้วย ดังนั้นจึงควรเลือกสรรหาครีมบำรุงผิวที่มีค่าความเข้มข้นสูง เพื่อให้สามารถเก็บความชื้นไว้ในสภาพอากาศแห้ง เช่น การหาครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว ครีมมะขามป้อม เป็นต้น หรือหากหาไม่ได้ก็สามารถซื้อครีมบำรุงธรรมดาที่มีวิตามินอี แล้วเลือกน้ำมันมาสักประเภทเพื่อหยดผสมกับครีมก่อนทาทั่วร่างกาย ซึ่งใช้แค่ 2-3 หยดต่อครั้งเท่านั้น ซึ่งสามารถทาได้ทั้งข้อศอก ล้นเท้า แขน ขา เว้นแต่ทาริมฝีปากปากต้องใช้น้ำมันอย่างเดียว

       นอกจากการใช้น้ำมันสารสกัดจากธรรมชาติในระยะเวลาสั้นๆ ข้างต้นแล้ว สำหรับคนที่มีเวลาว่างมากพอก็อาจเลือกดูแลผิวส้นเท้าในแบบพิถีพิถันมากกว่าเดิม โดยการผสมน้ำอุ่นครึ่งถัง เกลือ 1 ช้อนโต๊ะน้ำนมครึ่งถ้วยตวง น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวครึ่งถ้วยตวงแล้วแช่เท้าไว้นาน ประมาณ 15นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียงแค่สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็ย่อมมีสุขภาพผิวที่ดี ไร้ปัญหา แขน ขา แตกลายในฤดูหนาวแล้ว
       
       “ต้องจดจำไว้อย่างหนึ่งว่า การบำรุงผิวในช่วงหน้าหนาวนั้น ต้องหลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้ผิวบอบช้ำ เช่น การขัดด้วยหิน หรือการขัดส้นเท้าด้วยแปรงแข็ง ก็จะทำให้ระบมง่าย และควรใช้สบู่ทั่วไปให้น้อยที่สุด พยายามใช้ออยหรือน้ำมันสำหรับดูแลผิวทากายช่วงหลังอาน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวและมีน้ำมันหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ” ภญ.สุภาภรณ์ กล่าวย้ำ
       
       หลายคนมองว่าการผัดแป้งและแต่งหน้านั้นก็เป็นเรื่องจำเป็นแต่กรณีที่ผิวขาดความเอิบอิ่ม การทาแป้งมากไปอาจทำให้ผิวลอกเป็นขุย ดูเป็นอุปสรรคในการเสริมความงามอย่างมาก กรณีนี้ ภญ.สุภาภรณ์มีคำแนะนำว่า พยายามอย่าใช้สบู่ทั่วไปที่มีความเป็นเบส สูงเกินไป หลังจากนั้นให้ซับหน้าเบาๆ ให้แห้งก่อนทาครีมบำรุงผิวลงไป แต่ควรทารองพื้นบางๆและผัดแป้งเบาๆ ไม่ต้องหนามาก เนื่องจากแป้งตลับส่วนมากมีคุณสมบัติระงับความมันบนใบหน้า หรือถ้าไม่มั่นใจก็ควรปรึกษาสภาพผิวกับผู้เชี่ยวชาญก่อนเลือกซื้อแป้งด้วย
       
       “การบำรุงผิวด้วยวิธีข้างต้น ไม่ใช่การปรนเปรอผิวเพื่อความงามชั่วขณะ แต่หมายถึงการปกป้องผิวไม่ให้เปราะบางและสามารถนำไปสู่การสร้างภูมิต้านทานอย่างเหมาะสม ไม่เปิดทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ผิวหนังชั้นใน ดังนั้นขั้นตอนอาจช้าบ้าง เร็วบ้าง แต่ก็เพื่อปลายทางของผิวที่แข็งแรง ดังนั้นก็ต้องดูแลย่างเต็มที่”
       
       นอกจากนี้ ควรมีการพักผ่อนและทานอาหารอย่างเหมาะสมด้วย และดื่มน้ำให้มากๆ เพราะผิวทุกคนต้องการความชุ่มชื้นจากน้ำที่บริสุทธิ์ ซึ่งถ้าหากทำได้ผิวก็จะสุขภาพดีมีเกราะป้องกันเชื้อโรคได้ไม่ยาก

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มกราคม 2555

8193
เปิดผลวิจัยพบผักพื้นบ้านไทยคุณค่าเพียบ มีสารหลายชนิดป้องกันโรคมะเร็ง ชะลอแก่ สธ.หนุนประชาชนไทย หันมากินผักพื้นบ้าน4 ภาคในปี 2555
       
       วันนี้ (3 ม.ค.) นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า จากการที่สำนักโภชนาการ กรมอนามัย ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคุณค่าของผักพื้นบ้านที่คนไทยทั้ง 4 ภาคนิยมกินกันอยู่ทั่วไปทั้งดอก ใบ ยอดอ่อน ฝัก ผล หัวและรากนั้น และพบว่าพืชผักของไทยมีประโยชน์สารพัดนั้น ทาง สธ.จะมอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เผยแพร่ส่งเสริมประชาชนใช้บริโภคและให้โรงพยาบาลในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขนำมาปรุงเป็นอาหารของผู้ป่วยเป็นตัวอย่างประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างทั่วถึง
       
       ด้าน นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ประเทศไทยมีผักพื้นบ้านมากกว่า 300 ชนิด ส่วนใหญ่จะขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ริมห้วย หนองคลองบึง และป่าเขา ในการศึกษาผักพื้นบ้านในปี 2554 นี้ กรมอนามัยได้เก็บตัวอย่างผักพื้นบ้าน รวม 45 ชนิด จาก 4 ภาค ประกอบด้วย ภาคกลาง 12 ชนิด ภาคเหนือ 6 ชนิด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 ชนิด และภาคใต้ 22 ชนิด โดยศึกษาปริมาณสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกาย 9 ชนิด ได้แก่
1.พลังงาน
2.โปรตีน
3.ไขมัน
4.คาร์โบไฮเดรต
5.เบตาแคโรทีน
6.วิตามินซี
7.ใยอาหาร
8.ธาตุเหล็ก 
9.แคลเซียม
ผลการศึกษาเมื่อเปรียบเทียบน้ำหนักทุก 100 กรัมเท่ากัน พบว่าผักพื้นบ้านของไทยทุกชนิดให้พลังงาน โปรตีน ไขมันและคาร์โบไฮเดรตน้อยมาก จึงกล่าวได้ว่าผักเหล่านี้กินแล้วไม่ทำให้อ้วน
       
       ผักที่มีแคลเซียมสูงที่สุด 10 อันดับ ได้แก่
1.หมาน้อย มี 423 มิลลิกรัม
2.ผักแพว มี 390 มิลลิกรัม
3.ยอดสะเดา มี 384 มิลลิกรัม
4.กะเพราขาว มี 221 มิลลิกรัม
5.ใบขี้เหล็ก มี 156 มิลลิกรัม
6.ใบเหลียง มี 151 มิลลิกรัม
7. ยอดมะยม มี 147 มิลลิกรัม
8.ผักแส้ว มี 142 มิลลิกรัม
9.ดอกผักฮ้วน มี 113 มิลลิกรัม
10.ผักแมะ มี 112 มิลลิกรัม
โดยแคลเซียม มีบทบาทหลักคือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกระดูก และป้องกันโรคกระดูกพรุน ช่วยในการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ หัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังช่วยในการแข็งตัวของเลือดและควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนบางชนิด
       
       ผักที่มีธาตุเหล็กสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1.ใบกะเพราแดง มี 15 มิลลิกรัม
2. ผักเม็ก มี 12 มิลลิกรัม
3.ใบขี้เหล็ก มี 6 มิลลิกรัม
4.ใบสะเดา มี 5 มิลลิกรัม 
5.ผักแพว มี 3 มิลลิกรัม
ส่วนธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง เพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย และมีบทบาทในด้านพัฒนาการและการเรียนรู้ สมรรถภาพในการทำงาน สร้างภูมิต้านทานโรค และเกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ ธาตุเหล็กจะถูกดูดซึมได้ดีต้องรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีควบคู่ด้วย
       
       ผักที่มีใยอาหารสูง 10 อันดับ ได้แก่ 
1.ยอดมันปู มี 16.7 กรัม
2.ยอดหมุย มี 14.2 กรัม
3. ยอดสะเดา มี 12.2 กรัม
4.เนียงรอก มี 11.2 กรัม
5.ดอกขี้เหล็ก 9.8 กรัม
6.ผักแพว 9.7กรัม
7.ยอดมะยม 9.4 กรัม
8.ใบเหลียง 8.8 กรัม
9.หมากหมก 7.7 กรัม
10.ผักเม่า มี 7.1 กรัม
ซึ่งใยอาหารในผัก ทำให้ร่างกายขับถ่ายอุจจาระได้เร็วขึ้น ท้องไม่ผูก ช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทำให้การดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดช้าลงส่งผลให้ลดระดับการใช้อินซูลิน นอกจากนี้ใยอาหารบางชนิดยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
       
       ผักที่มีเบตาแคโรทีนสูง 10 อันดับ ได้แก่
1.ยอดลำปะสี มี 15,157 ไมโครกรัม
2.ผักแมะ มี 9,102 ไมโครกรัม
3.ยอดกะทกรก มี 8,498 ไมโครกรัม
4.ใบกระเพราแดง มี 7,875 ไมโครกรัม
5.ยี่หร่า มี 7,408 ไมโครกรัม
6.หมาน้อย มี 6,577 ไมโครกรัม
7.ผักเจียงดา มี 5,905 ไมโครกรัม
8.ยอดมันปู มี 5,646 ไมโครกรัม
9.ยอดหมุย มี 5,390 ไมโครกรัม
10.ผักหวาน มี 4,823 ไมโครกรัม
       
       ส่วนผักที่มีวิตามินซีสูง 10 อันดับ ได้แก่
1.ดอกขี้เหล็ก มี 484 มิลลิกรัม
2.ดอกผักฮ้วน มี 472 มิลลิกรัม
3.ยอดผักฮ้วน มี 351 มิลลิกรัม
4.ฝักมะรุม มี 262 มิลลิกรัม
5.ยอดสะเดา มี 194 มิลลิกรัม
6.ผักเจียงดา มี 153 มิลลิกรัม
7.ดอกสะเดา มี 123 มิลลิกรัม
8.ผักแพว มี 115 มิลลิกรัม
9.ผักหวาน มี 107 มิลลิกรัม
10.ยอดกะทกรก มี 86 มิลลิกรัม
โดยทั้งเบต้าแคโรทีนและวิตามินซี เป็นสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ลดการอักเสบ เสริมสร้างภูมิต้านทานโรคในร่างกาย ทำให้ร่างกายแก่ชราช้าลงด้วย
       
       นพ.สมยศกล่าวอีกว่า การนำผักพื้นบ้านประจำถิ่นมาปรุงประกอบอาหาร นับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคโดยไม่ต้องพึ่งยาและสารเคมีในแต่ละภาคของประเทศไทยมีผักพื้นบ้านสามารถเลือกรับประทานได้ตลอดปีและประชาชนควรเพิ่มการกินผักพื้นบ้านให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์ผักพื้นบ้านให้ลูกหลานรู้จักและบริโภคต่อได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 มกราคม 2555

8194


เจ็บป่วยไม่สบาย สิ่งแรกที่เรานึกถึงและร้องเรียกหาหมอ...แทบจะไม่มีใครคิดถึงพยาบาลกันเลย

ทั้งที่พยาบาลมีความสำคัญต่อผู้ป่วยไม่น้อยไปกว่าแพทย์...ที่สำคัญเป็นบุคลากรดูแลคนป่วยใกล้ชิดยิ่งกว่าแพทย์

เพราะไม่มีใครให้ความสำคัญกับพยาบาล เลยทำให้แทบไม่มีใครรู้เลยว่า วันนี้ประเทศไทยกำลังมีปัญหาเรื่องขาดแคลนพยาบาลที่จะมาทำหน้าที่ช่วยเหลือแพทย์ดูแลผู้ป่วย

ขาดแคลนถึงขั้นโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่งไม่สามารถให้ บริการรักษาผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่

"การสำรวจเมื่อปี 2551 เราพบว่า กว่าร้อยละ 70 ของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ที่มีจำนวนเตียง 100 เตียงขึ้นไป ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีประมาณ 200 แห่งทั่วประเทศ ประสบปัญหาการขาดแคลนพยาบาล ถึงระดับที่ต้องปิด Ward หรือหอพยาบาลผู้ป่วยในบางแผนก เพราะไม่สามารถให้บริการได้ตามเป้าหมาย

ยกตัวอย่าง รพ.ราชวิถี หมอโรคหัวใจจะผ่าตัดให้ผู้ป่วย หมอมีพร้อมแต่ผ่าตัดให้ไม่ได้ เนื่องจากขาดพยาบาลที่จะมาดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด"

ดร.กฤษดา แสวงดี นักวิชาการพยาบาลชำนาญการพิเศษ หัวหน้าโครงการวิจัย "สุขภาพและชีวิตการทำงานของพยาบาลวิชาชีพในประเทศไทย" โครงการวิจัยระยะยาว 20 ปี (2552-2557) ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ชี้ให้เห็นปัญหาขาดแคลนพยาบาลของประเทศไทย

บ้านเราขาดแคลนพยาบาลขนาดไหน...สัดส่วนของประชากรต่อพยาบาล ในประเทศที่เจริญแล้ว อย่างญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อยู่ที่ พยาบาล 1 คน ต่อ ประชากร 200 คน

ประเทศใกล้บ้านเรา สิงคโปร์ พยาบาล 1 คน ต่อประชากร 250 คน

มาเลเซีย พยาบาล 1 คน ต่อประชากร 300 คน

บ้านเรา พยาบาล 1 คน ต่อประชากร 700 คน...เท่ากับอินโดนีเซีย

"เมื่อก่อนบ้านเรามาตรฐานแย่กว่านี้ ในช่วงปี 2520 อัตราสัดส่วนพยาบาลต่อประชากรอยู่ที่ พยาบาล 1 คน ต่อประชากร 2,000 คน แต่หลังจากรัฐบาลมีนโยบายผลิตพยาบาลเพิ่มมากขึ้น เป็นปีละ 6,000 คน ทำให้จำนวนพยาบาลเพิ่มมากขึ้นมาเรื่อยๆ

แต่เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 รัฐบาลมีนโยบายคุมกำเนิดข้าราชการ ลดการบรรจุข้าราชการ การผลิตพยาบาลเลยถูกลดจำนวนลงเหลือ 4,500 คน ตอนนั้นปัญหาก็ยังไม่รุนแรงเท่าไร"

ดร.กฤษดา ให้ข้อมูลว่า ปัญหาการขาดแคลน เริ่มมาปะทุรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงรัฐบาลเริ่มใช้นโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค...จำนวนผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาลของรัฐเพิ่มมากขึ้น

จากเดิมในปี 2546 มีผู้ป่วยนอกเข้ามาใช้บริการ 111.95 ล้านครั้ง...ปี 2551 เพิ่มเป็น 128.73 ล้านครั้ง

ผู้ป่วยในที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลจาก 4.3 ล้านรายในปี 2546...เพิ่มเป็น 4.95 ล้านรายในปี 2551

ไม่เพียงแต่โรงพยาบาลรัฐเท่านั้นที่จำนวนผู้มาใช้บริการเพิ่มขึ้น โรงพยาบาลเอกชนก็ไม่แพ้กัน...จากปี 2545 มีผู้ป่วยแค่ 15 ล้านราย เพิ่มเป็น 49.7 ล้านรายในปี 2549

เมื่อปริมาณการใช้บริการสุขภาพเพิ่มขึ้นมากอย่างนี้ ได้ก่อให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างภาระงานที่เพิ่มอย่างมากและรวดเร็ว ผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น ความต้องการพยาบาลก็มีมากขึ้น พยาบาลเริ่มขาดแคลน

โรงพยาบาลเอกชนเริ่มแย่งชิงตัวพยาบาลไปจากภาครัฐมากขึ้น...แต่ปัญหาแค่นี้ยังน้อยไป

หลังจากยุค 30 บาท รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการส่งออกบริการสุขภาพ ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในภูมิภาคเอเชีย ทำให้จำนวนผู้ป่วยจากต่างประเทศแห่แหนเข้ามารักษาตัวตามโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยมากขึ้น

"จากเดิมปี 2543 มีต่างชาติมารักษาตัวในบ้านเรา 102,000 ราย เพิ่มเป็น 133,570 รายในปี 2549 และยังมีต่างชาติที่มาใช้บริการแบบผู้ป่วยภายนอกเพิ่มขึ้นจาก 1.8 ล้านครั้ง เป็น 2.6 ล้านครั้งด้วยเช่นกัน"

การให้บริการกับต่างชาติที่คิดค่าบริการราคาแพง ต้องใช้พยาบาลดูแลมากขึ้น เพื่อจะได้ใกล้ชิดคนไข้มากขึ้น...ยิ่งกระตุ้นให้ปัญหาความ ขาดแคลนมากขึ้นเข้าไปอีก

อีกปัจจัยหนึ่งที่น่ากังวลในภาวะที่ประเทศไทยกำลังขาดแคลนพยาบาล...สังคมอนาคตอันใกล้ ประเทศไทย สังคมไทยต้องการพยาบาลมากกว่าวันนี้

"อย่างที่รู้กัน   ขณะนี้สังคมไทยกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว จากเดิมเมื่อปี 2533 เรามีประชากรสูงอายุประมาณ 5 ล้านคน ปี 2550 เพิ่มมาเป็น 7.3 ล้านคน ปี 2573 คาดว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นถึง 17.7 ล้านคน หรือร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด

แม้วันนี้การพัฒนาสาธารณสุขของประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าอย่างมาก ผู้สูงอายุทุกวันนี้มีสุขภาพดีกว่าคนสมัยก่อนมาก แต่เมื่อประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ เป็นที่ทราบกันดีผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีปัญหาเรื่องการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง โรคประจำตัวกันมาก ยิ่งมีความต้องการพยาบาลเข้ามาช่วยดูแลมากขึ้น มากกว่าคนวัยอื่นๆ"

วันนี้ วันหน้า สังคมไทย ประเทศไทย ต้องการพยาบาลมากขึ้น... แต่ความต้องการเป็นพยาบาลกลับสวนทาง มีคนอยากเป็นพยาบาลน้อยลงไปทุกวัน

คล้ายหลายอาชีพที่คนไทยยุคนี้ไม่อยากทำกัน...หาคนทำไม่ได้ ในที่สุดต้องพึ่งคนชาติอื่นมาทำแทน

"สังคมไทยเปลี่ยนไปมาก  ความต้องการเป็นพยาบาลของเด็กรุ่นใหม่มีน้อยลงมาก  ผิดกับในยุคปี 2510 ที่บูมมาก  คนที่มาสมัครสอบเข้าเรียนพยาบาลส่วนใหญ่ จะเป็นเด็กที่มีผลการเรียนดีระดับเก่งกันทั้งนั้น  แต่พอยุคสมัยนี้ มีอาชีพใหม่ๆ รายได้ดีกว่าให้ผู้หญิงได้เลือกทำมากขึ้น  ความต้องการเป็นพยาบาลก็เลยเปลี่ยนไป

เด็กที่มาสมัครเรียนพยาบาลจะมีคุณสมบัติเรียนไม่เก่งเท่าในอดีต นี่เป็นอีกปัญหาของการผลิตพยาบาลยุคนี้ วิชาพยาบาลนั้นต้องการคนที่เรียนดีพอสมควร แม้ไม่จำเป็นต้องเก่งเท่าคนเรียนหมอก็ตาม แต่วิชาที่พยาบาลต้องเรียนและนำไปใช้ในการทำงาน   เป็นวิชาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ต้องใช้คนเก่งเช่นกัน"

ไม่เพียงแต่เด็กรุ่นใหม่เท่านั้นไม่อยากเป็นพยาบาล ตัวพยาบาลที่ทำงานเป็นพยาบาลในทุกวันนี้  ก็ประสบปัญหาไม่อยากเป็นพยาบาลเช่นกัน

จากการสำรวจบุคลากรทางการพยาบาลพบว่า มีเป็นจำนวนมากที่ต้องลาออกหลังจากแต่งงานและมีภาระครอบครัว...เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ และทนสภาพการทำงานหนักไม่ไหว

"คนไม่รู้ว่าแต่ละเดือนพยาบาลต้องทำงานหนักแค่ไหน ราชการทั่วไปทำงานเข้าเวรกันเดือนละ 22 วันหรือ 22 เวร แต่พยาบาลทำกันเดือนละ 32 เวร

หลายคนอาจคิดว่าเข้าเวรเยอะได้เงินมาก นั่นก็จริง แต่การเข้าเวรโดยเฉพาะการเข้าเวรดึก นอนผิดเวลา นานติดต่อกันนาน 15 ปี มีโอกาสที่จะเป็นโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้เพิ่มขึ้น"

นอกจากนั้น อาชีพพยาบาลยังต้องเสี่ยงกับโรคที่เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติหน้าที่อีกต่างหาก จากการสำรวจพบว่า ในปี 2551 ในจำนวนพยาบาลที่เจ็บป่วยจากการปฏิบัติหน้าที่ ร้อยละ 34.7 ถูกเข็มฉีดยาหรือของมีคมบาด ร้อยละ 32.6 เจ็บป่วยติดเชื้อวัณโรคจากผู้ป่วย ร้อยละ 14.9 ถูกผู้ป่วยทำร้าย ร้อยละ 10 สิ่งคัดหลั่งจากผู้ป่วยกระเด็นถูกร่างกาย ล้วนแต่เป็นความเสี่ยงของพยาบาลที่จะติดเชื้อจากผู้ป่วยทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้โครงการวิจัยปัญหาสุขภาพและชีวิตการทำงานพยาบาลระยะยาวจึงเกิดขึ้น ที่พยาบาลทั้งหลายสามารถตอบแบบสอบถามได้ที่ tuangtipt@hotmail.com หรือ ksawaengdee@gmail.com เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการปรับปรุงอาชีพพยาบาลให้ดีขึ้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนอยากเป็นพยาบาลมากขึ้น

เพื่อคนไทยจะได้ดูแลคนไทยกันไปอีกนานแสนนาน...เพราะเราไม่อยากได้แรงงานพม่า หรือกัมพูชามาทำแทน.

ไทยรัฐ 4 มกราคม พ.ศ.2555

8195
สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ จ.พัทลุง ยังไม่คลี่คลาย เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ เร่งนำกระสอบทรายกั้นประตูทางเข้า รพ.พัทลุง ทั้ง 5 ด้าน ขณะ ผอ.รพ.ยืนยันรับสถานการณ์ได้ ยังไม่มีการขนย้ายผู้ป่วย...

เมื่อวันที่ 3 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.พัทลุง ทหารจากกองพันทหารช่างที่ 402 ค่ายอภัยบริรักษ์ จ.พัทลุง ร่วมกับเจ้าหน้าที่องค์การบริการส่วนจังหวัด (อบจ.) พัทลุง และกำลังตำรวจ สภ.เมืองพัทลุง ได้ร่วมกันลำเลียงกระสอบทรายนำไปปิดกั้นประตูทางเข้า รพ.พัทลุง ทั้ง 5 ด้าน เพื่อป้องกันน้ำไหลทะลักเข้าไปภายในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น เนื่องจากระดับน้ำที่ท่วมขังบนถนนราเมศวร์ หน้า รพ.พัทลุง ยังไม่ลดระดับลงแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังช่วยลำเลียงผู้ป่วยจากบริเวณหน้าโรงพยาบาลเข้ามาภายในโรงพยาบาล เนื่องจากถนนใน รพ.พัทลุง ถูกน้ำท่วมขัง ระดับสูงเฉลี่ย 40-50 ซม.

พญ.ศิริพร อรุณ ผช.ผอ.รพ.พัทลุง กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลได้ขอสนับสนุนเครื่องสูบน้ำจากสำนักงานชลประทานจังหวัดพัทลุง และ อบจ.พัทลุง รวม 4 เครื่อง มาติดตั้ง เพื่อเร่งสูบน้ำที่ท่วมขังเส้นทางภายในโรงพยาบาลออก ส่วนผู้ป่วยที่นอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตามตึกผู้ป่วยต่างๆ นั้น ยังไม่มีการย้ายแต่อย่างใด เนื่องจากระดับน้ำยังไม่ท่วมถึงตึก คาดว่าถ้าฝนไม่ตกซ้ำ สถานการณ์จะดีขึ้น

ทั้งนี้ เขตเทศบาลเมืองพัทลุง น้ำที่ท่วมขังถนนสายราเมศวร์ลดระดับลงเล็กน้อย ขณะที่ถนนสายผดุง ดอนยอ สายพัฒนา สายจรูญธรรม สายประชาบำรุง ยังคงมีน้ำท่วมขัง สูงเฉลี่ย 40-50 ซม. รถเล็กต้องใช้ความระมัดระวังในการสัญจร ทุกสายมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทลุง คอยอำนวยสะดวก ส่วนบริเวณสี่แยกเอเชีย น้ำลดระดับเข้าสู่ภาวะปกติ รถสามารถผ่านได้แล้ว ขณะที่ถนนเพชรเกษม ช่วงพัทลุง-ตรัง ยังคงมีสภาพน้ำไหลลผ่านถนนเป็นช่วงๆ ระดับไม่สูง รถเล็กสามารถผ่านได้

ขณะที่ชาวบ้านในเขตเทศบาลเมืองพัทลุงที่สิ่งของได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมในเขตเทศบาล ต่างรุมสวดผู้บริหารเทศบาลที่นำท่อระบายน้ำมาฝังในเหมืองระบายน้ำริมถนนสายพัทลุง-ลำปำ ทำให้การระบายน้ำจากเขตเทศบาลลงสู่ทะเลสาบลำปำ (ทะเลสาบสงขลาตอนใน) ล่าช้า และเมื่อตอนดึกคืนที่ผ่านมาก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ของเทศบาลมาเปิดประตูระบายน้ำแต่อย่างใด จึงเป็นหน้าที่ของชาวบ้านต้องช่วยกันเปิดประตูระบายน้ำเอง ส่วนการประกาศเตือนภัยในเขตเทศบาลก็ไม่มีเช่นกัน

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในภาพรวมของจังหวัด ยังคงมีสภาพน้ำท่วมขังใน 7 อำเภอ ประกอบด้วย ควนขนุน, เมือง, บางแก้ว, ปากพะยูน, เขาชัยสน, ป่าบอน และป่าพะยอม หนักสุดคือที่เขตเทศบาลเมืองพัทลุง ต.พญาขัน ต.ชัยบุรี ต.นาโหนด อ.เมืองพัทลุง ต.เขาชัยสน อ.เขาชัยสน และ ต.พนางตุง ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน เฉลี่ยน้ำสูงอยู่ที่ 1-1.50 เมตร.

ไทยรัฐออนไลน์ 3 มค 2555

8196
รถตู้ฉุกเฉินโรงพยาบาลแม่สอดพลิกคว่ำที่ จ.ลำปาง จนท.เจ็บสาหัส 3 ราย ส่งตัวเข้ารับการรักษาต่อยังโรงพยาบาลประจำจังหวัดตาก...

เมื่อเวลา 07.45 น. วันที่ 3 ม.ค. ศูนย์วิทยุสถานีตำรวจภูธรเถิน รับแจ้งเหตุรถตู้ฉุกเฉินโรงพยาบาลประสบอุบัติเหตุ พุ่งตกร่องน้ำพลิกคว่ำกีดขวางทางจราจรบนถนนพหลโยธินสายลำปาง-ตาก ขาขึ้น บริเวณหลัก กิโลเมตรที่ 626-627 หมู่ 6 บ้านสบแก่ง ต.แม่ถอด อ.เถิน จ.ลำปาง จึงประสาน พ.ต.ท.ธงชัย สุยะลังกา สบ 3 พนักงานสอบสวนเวร สภ.เถิน นำกำลังเข้าตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์กู้ชีพกู้ภัยออมบุญเถินกู้ภัยองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ถอด และทีมกู้ชีพโรงพยาบาลเถิน

ที่เกิดเหตุพบรถตู้ฉุกเฉินโตโยต้าสีขาว โรงพยาบาลแม่สอด หมายเลขทะเบียน กค 426 ตาก จอดขวางอยู่บนถนน สภาพรถพังเสียหายยับเยิน กระจกรถแตกทั่วทั้งคันรถเครื่องมือแพทย์ เปลพยาบาล หมอนที่นอนคนไข้ตกกระจายเต็มพื้นถนน ภายในรถมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ร้องขอความช่วยเหลือด้วยความเจ็บปวด เจ้าหน้าที่ได้เอาเหล็กงัดบานประตูหน้ารถ และประตูด้านข้างเปิดออกลำเลียงผู้บาดเจ็บทั้งหมดนำตัวส่งโรงพยาบาลเถิน เนื่องจากอยู่ในอาการสาหัสมีบาดแผลทั่วตัวทราบชื่อ คือ

นายสีพรรณ ยูลมดี อายุ 34 ปี พนักงานขับรถ อยู่บ้านเลขที่ 546 หมู่ 3 ต.แม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก,
น.ส.วีนัส เต็มเปี่ยม อายุ 31 ปี พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ และ
น.ส.พัชรี อุดมา อายุ 36 ปี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ประจำโรงพยาบาลแม่สอด จ.ตาก

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า เมื่อกลางดึกที่ผ่านมาได้นำส่งผู้ป่วยชื่อ นายเทิดเกียรติ ชินสรนัญจ์ นายกเทศมนตรีนครแม่สอดจากพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เดินทางไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ขากลับเมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นทางตรงขึ้นเนินยาวผ่านหมู่บ้านรถเกิดเสียหลักตกขอบถนนชนกับป้ายสัญญาณจราจรก่อนจะเสียหลังพุ่งตกร่องกลางถนนเฉี่ยวชนกับเสาไฟฟ้าข้างทางพลิกคว่ำหลายตลบแน่นิ่งอยู่กลางถนน ทำให้ผู้ที่อยู่ในรถได้รับบาดเจ็บทั้งหมด ต่อมาคณะแพทย์ลงความเห็นให้ส่งตัวเข้ารับการรักษาต่อยังโรงพยาบาลประจำจังหวัด เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บที่บริเวณอวัยวะภายใน กระดูกหัวไหล่ ต้นคอและหลังได้รับความกระทบกระเทือน ซึ่งได้รับการประสานงานจากโรงพยาบาลแม่สอดจังหวัดตากติดต่อรับผู้บาดเจ็บไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลในตัวจังหวัดตากแล้ว.

ไทยรัฐออนไลน์ 3 มค 2555

8197
ศัลยแพทย์เตือนผู้ใช้บริการเวเซอร์ เทคโนโลยีสลายไขมันล่าสุด ต้องทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น อย่าเห็นแก่ราคาโปรโมชั่นหรือแรงยุ

ผู้คนสมัยนี้ด้วยต้องทำงานนั่งโต๊ะ รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา กินอาหารประเภทของมันของทอดเป็นประจำ  ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกายหรือออกกำลังกาย  ทำให้เกิดไขมันพอกพูนสะสม แม้ดูโดยรวมจะดูเหมือนรูปร่างสวยงามสัดส่วนใช้ได้ เพราะการแต่งตัวที่ช่วยปิดบังอำพรางไว้

แต่สัดส่วนที่ขยายออกด้วยไขมันที่ไม่ต้องการ  ทั้งบริเวณต้นขา น่อง  สะโพก หน้าอก หน้าท้อง เอว แก้ม ใต้คาง โหนกหลังต้นคอ ไปจนถึงส่วนหลังและบั้นท้าย  เป็นศัตรูภายในใจที่ใครๆก็อยากอธิษฐานให้หายวับไปกับตา

ถ้าเป็นสมัยก่อนจะนึกไปถึงการผ่าตัดดูดไขมัน ซึ่งขึ้นชื่อว่าเจ็บปวดและทรมานมาก เนื่องจากดูดไขมันออกมาตามท่อ คนไข้เสียเลือดและน้ำเหลือง เนื้อเยื่อบอบช้ำ จึงทำให้ต้องพักฟื้นนาน มีรอยฟกช้ำบวม  และผิวหนังอาจเกิดรอยคลื่น เพราะผิวหนังเก่าที่เคยมีไขมันคอยพยุงตัวไว้ เมื่อดูดไขมันออกไปจึงกลายเป็นโพรง ผิวจึงหย่อยหยาน ขรุขระ ไม่เรียบตึง

ด้วยวิทยาการล้ำหน้าของเทคโนโลยีความงามสมัยนี้ นพ.ทรงยศ จันทจิตร์  ศัลยแพทย์ตกแต่ง  แห่งยศยาคลินิก ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า  เวเซอร์ (VASER : Vibration Amplification of Sound Energy at Resonance) สามารถขจัดไขมันส่วนเกิน และเซลลูไลท์ต่างๆ ได้ดีภายในระยะเวลาอันสั้น ฟื้นตัวเร็ว ผิวกระชับไม่เป็นคลื่น โดยได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา สหรัฐอเมริกา (US FDA) ในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย


เวเซอร์เป็นการใช้คลื่นเสียงพลังงานสูง  อัลตราโซนิก (Ultrasonic) กระจายคลื่นเป็นระลอกๆ เป็นผลให้เซลล์ไขมันละลายออกมา  สามารถเลือกเป้าหมายในการทำเวเซอร์ได้อย่างจำเพาะเจาะจง (LipoSelection) แม้เป็นส่วนที่มีไขมันหนาแน่นและดูดยาก เช่น บริเวณหลัง น่อง แขน สะบักหลัง และยังสามารถทำเวเซอร์ได้พร้อมๆกันหลายๆจุด ทั้งหน้าท้อง เอว สะโพก ต้นขา ทรวงอก หรือแม้แต่บริเวณที่มีพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น ต้นแขน หัวเข่า ใต้คาง บริเวณคอ และหน้าอกของผู้ชาย

 เพราะเป็นพลังงานคลื่นเสียงจึงมีวิธีการทำงานที่นุ่มนวล  และยังเลือกทำลายไขมันได้เฉพาะจุดนี่เอง การทำเวเซอร์จึงไม่ได้ทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อข้างเคียงในจุดที่เราไม่ได้เลือกทำ จึงไม่ส่งผลต่อเส้นประสาท เส้นเลือด และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่นๆ เมื่อเกิดความบอบช้ำน้อยคนไข้จึงฟื้นตัวได้เร็ว สามารถทำกิจกรรมต่างๆได้ตามปกติ

 แม้เวเซอร์จะช่วยสลายไขมันให้หายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์  แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือ การทำเวเซอร์ต้องทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น อย่าเห็นแก่ราคาโปรโมชั่นหรือแรงยุทางการตลาด ผู้บริโภคควรศึกษาหาข้อมูลก่อนการตัดสินใจทำ เลือกแพทย์ที่น่าเชื่อถือได้รับการฝึกฝนเฉพาะทาง  เพราะต้องมีเทคนิคพิเศษ

เช่น ขั้นตอนการใส่น้ำเกลือผสมยาก่อนทำเวเซอร์  , การใช้พลังงานจากการสั่นของคลื่นเสียงซึ่งทำให้เกิดความร้อนขึ้นจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ , การสะสมของไขมันในแต่ละส่วนของร่างกายจะไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะบริเวณที่มีไขมันน้อย เส้นเลือดมากต้องใช้ความชำนาญมาก      รวมไปถึงการใช้ยาสลบ และเลือกสถานที่ซึ่งเหมาะสม มีบุคลากรร่วมซึ่งมีความชำนาญเฉพาะทาง มีการดูแลที่ดีหลังการทำ

 สิ่งเหล่านี้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อที่จะได้สัดส่วนใหม่ไฉไลกว่าเดิม  แบบไม่เจ็บตัวและเจ็บใจ

กรุงเทพธุรกิจ 2 มกราคม 2555

8198
ไทยพร้อมแค่ไหนสำหรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนทั้ง 3 เสาหลักคือการเมืองและความมั่นคง-เศรษฐกิจและเสาหลักด้านวัฒธรรมและสังคม

ประเทศภาคีสมาชิกทั้ง 10 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ลาว พม่าและกัมพูชา กำลังก้าวไปสู่รวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอันจะทำให้มีพลังอำนาจในการต่อรองความร่วมมือกับองค์กรต่างๆนอกภูมิภาค

หากแต่วันนี้ ไทยในฐานะประเทศ 1 ใน 4 ประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน และเป็นประเทศที่มีบทบาทนำในภูมิภาคมาตลอด มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมเป็นประชาคมอาเซียน มากน้อยเพียงใด คงจะต้องย้อนกลับไปดูความฟิตของไทยว่าให้ความสำคัญการดำเนินงานมากน้อยเพียงใด ในความร่วมมืออาเซียน ใน 3 เสาหลักสำคัญ ได้แก่ เสาการเมืองและความมั่นคง มุ่งส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง การปกครองแบบประชาธิปไตย และระบบธรรมาภิบาล เสาหลักเศรษฐกิจและเสาหลักด้านวัฒธรรมและสังคม

ในส่วนของเสาหลักด้านความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคง กล่าวได้ว่า ประเทศในอาเซียน แสดงความเป็นหนึ่งเดียวในเรื่องนี้ค่อนข้างน้อย นับเป็นสัดส่วนเพียง 10 %ของการมีส่วนร่วมประชาคมอาเซียน เนื่องด้วยประเทศภาคอาเซียน มีรูปแบบปกครองเฉพาะตน และในกฎบัตรอาเซียนได้ระบุชัดว่า จะไม่มีการแทรกแซงการเมืองภายใน จึงทำให้แนวคิดทางการเมืองที่เป็นหนึ่งเดียวกันในทุกปัญหา จึงค่อนข้างเป็นไปด้วยความยากลำบาก

แล้วอาเซียนจะลดช่องว่างเหล่านี้อย่างไร อย่างปัญหาการก่อการร้าย การค้ามนุษย์ ปัญหาโลกร้อน การรับมือกับพิบัติภัยทางธรรมชาติ รวมไปถึงข้อพิพาทของประเทศในภูมิภาค ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ไทยก็มีบทบาทนำในการพัฒนากลไกระงับข้อพิพาทในภูมิภาค เช่น การจัดทำแนวทางฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Regional Code of Conduct) นับเป็นก้าวหนึ่งที่ไปสู่การทูตเชิงป้องกัน

ขณะที่ เสาที่ 2 เศรษฐกิจ มีสัดส่วนสำคัญ ราว 60 % ของการเป็นประชาคมอาเซียน เน้นการพัฒนาตลาดร่วม (Single Market) และเป็นฐานการผลิตอันเดียวกัน (Single Production Base) ซึ่งจะต้องมีการไหลเวียนของสินค้า บริการ การลงทุนและแรงงานฝีมือทั่วทั้งภูมิภาค ของประชาคมอาเซียนมีเงินทุนไหลเวียนโดยเสรี

และมีสถานะการพัฒนาทางเศรษฐกิจในหมู่สมาชิกประชาคมที่เท่าเทียมกันรวมทั้งเสริมสร้างเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตอย่างมีเสถียรภาพด้านการเงิน การประสานในด้านนโยบายเศรษฐกิจระหว่างสมาชิกทั้ง 10 ชาติ รวมถึงมีกฎระเบียบที่ดีด้านการเงิน ทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายการแข่งขันทางการค้า และการคุ้มครองผู้บริโภคทั้งประชาคม

ทั้งนี้ การขยับเป้าหมายการรวมตัวเป็น "ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" จากเดิมที่จะมีขึ้นในปี 2563 ให้เร็วขึ้นเป็นปี 2558 ก่อให้เกิดคำถามว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ให้ความสำคัญกับการสานต่อแผนผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนนี้อย่างไร (โดยไม่นับรวมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับทวิภาคีระหว่างไทย กับประเทศในอาเซียน) โดยเฉพาะการสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)

ได้มีการส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับลู่ทางการลงทุน กลไกตลาด ระเบียบการค้าและภาษีให้กับนักลงทุนกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ในแง่ของการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจ ทุกภาคส่วนทางเศรษฐกิจของไทยต้องตื่นตัวรับรู้ว่า ปี 2558 จะก่อผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งบวกและลบอย่างไร

และได้เตรียมตั้งรับรวมทั้งเตรียมใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เช่นใด เช่นเมื่อตลาดอาเซียน ขยายขึ้นเป็นห้าร้อยล้านคน ถ้ามีการปรับลดกำแพงภาษีระหว่างกัน นักธุรกิจไทย พร้อมจะไปบุกตลาดเพิ่มหรือไม่ อีกทั้งรัฐต้องส่งเสริมการเรียนรู้ข้อมูลของตลาดอาเซียน รวมทั้งกฏกติกาการค้าแบบใหม่ที่อาเซียนจะเอามาใช้ร่วมกันด้วย

อีกประเด็นที่สำคัญ คือในทางทฤษฎี ตลาดแรงงานอาเซียน จะหลอมรวมเป็นตลาดเดียวกันต่อไปในอนาคต นั่นแปลว่า ผู้ประกอบการหรือคนงานทุกคนต้องตระหนักว่า จะต้องเกิดแรงงานไหลเวียน และเปิดเสรีของผู้ที่อาชีพที่ใช้ทักษะชั้นสูง เช่น อาชีพหมอ พยาบาล วิศวกร ผู้ตรวจสอบบัญชี อาจถูกแข่งขันจากเพื่อนร่วมอาชีพจากผู้ประกอบวิชาชีพเหล่านี้ จากประเทศสมาชิกอาเซียน

ขณะเดียวกัน ไทยก็สามารถข้ามรั้วไปทำงานบ้านเขาได้เช่นเดียวกัน แล้วประเทศไทย พร้อมในเรื่องนี้หรือยัง

เสาหลักที่ 3 สังคมและวัฒนธรรม เป็นส่วนสำคัญของประชาคมอาเซียน เนื่องจากได้ยกให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางของความร่วมมือ และมุ่งเชื่อมประสานสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน (ASEAN Connectivity) โดยมีกิจกรรมในด้านต่างๆ การเดินทางไปมาหาสู่กันทุกระดับ การแลกเปลี่ยนใกล้ชิดระหว่างกัน ทั้งด้านการศึกษา ภาคธุรกิจภาคเอกชน และสถาบันต่างๆ ตลอดจนการศิลปิน นักเขียนและสื่อสารมวลชน

เมื่อได้ทบทวนความร่วมมือทั้ง 3 เสาหลักแล้ว จะเห็นว่า สิ่งสำคัญประการแรก ในการเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทย ที่จะเข้าเป็นประชาคมอาเซียน นั่นคือ การทำความรู้จักประเทศตนเอง ในบริบททางวัฒนธรรมให้ดีพอเสียก่อน จึงจะเปิดรับและเรียนรู้ประเทศสมาชิกในอาเซียนอย่างลึกซึ้ง เพื่อที่จะรู้ถึงจุดอ่อนจุดแข็งของกันและกัน ที่จะช่วยส่งเสริมประโยชน์ในเรื่องการเชื่อมความสัมพันธ์

แต่ขณะนี้ก็เกิดคำถามว่า ประเทศไทยรู้จักเพื่อนบ้านร่วมอาเซียน เรารู้จักฟิลิปปินส์ กัมพูชา บรูไนดีแค่ไหน รู้จักวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิธีคิดจิตใจของเขา แค่ไหน

อย่างเมื่อปี 2554 มีข่าวปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดทั้งปี แน่นอนว่า ทั้ง 2 ประเทศย่อมมีทัศนคติในทางลบระหว่างกัน เรื่องนี้จึงเป็นสิ่งท้าทายในการวางกลยุทธ์เพื่อปเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยปราศจากการเมืองชี้นำ เพื่อสัมพันธ์ที่ยั่งยืนแท้จริง

ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาระบบการศึกษาไทย ยังไม่ได้เตรียมพร้อมให้เด็กไทยเข้าสู่ระบบการเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการก็กำลังปรับหลักสูตรให้ลงตัวอยู่ แต่จะทำได้ทันในปี 2558 หรือไม่ คงต้องลุ้นกันมากทีเดียว

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การรู้ภาษาอังกฤษก็มีความสำคัญและถือเป็นพื้นฐานขั้นต้น เพื่อสื่อสารกันให้เข้าใจ ซึ่งภาษาทำงานของอาเซียน คืออังกฤษ แล้วภาษาอังกฤษของเด็กไทย ที่ใช้สื่อสารกับเพื่อนอาเซียนอยู่ในเกณฑ์สื่อสารรู้เรื่องดีพอแล้วหรือไม่

ขณะที่บรูไน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ หรือพม่า อาจจะได้เปรียบไทย เพราะเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษมาก่อน ที่ผ่านมา จากการสำรวจทักษะด้านการใช้ภาษาอังกฤษในประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศไทยก็ยังรั้งในอันดับท้าย เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะเห็นความสำคัญ ในการกำหนดยุทธศาสตร์และดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจริงเพียงใด

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน มักกล่าวประโยคนี้บ่อยๆว่า อย่าคาดหวัง พอถึงปี 2558 แล้ว ประชาคมอาเซียนจะหลอมรวมกันอย่างทันทีทันใด และต้องยอมรับว่า ประชาคมอาเซียนจะเกิดขึ้นมาได้ชั่วข้ามคืน แต่เรื่องนี้ อาจถือได้ว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ของกระบวนการที่จะต้องพัฒนาต่อไป แต่ถึงอย่างไร ทิศทางอาเซียนต้องเดินหน้า หันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว

กรุงเทพธุรกิจ 2 มกราคม 2555

8199
ในรอบปีที่ผ่านมา เทรนด์ความสวยความงามแบบเกาหลีมาแรงแบบฉุดไม่อยู่จริงๆ โดยเฉพาะการแต่งเสริมเติมสวยหล่อด้วยมีดหมอหรือที่เราเรียกว่าการ “ศัลยกรรม” ซึ่งทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมที่เดินไปไหนมาไหนเชื่อได้ว่าคนที่เดินสวนกับคุณไปนั้นต้องมีใครคนใดคนหนึ่งทำศัลยกรรมอย่างแน่นอน ดังนั้น ปีหน้าฟ้าใหม่ หากอยากปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดูดีด้วยมือแพทย์ ลองมาอัปเดตเทรนด์ศัลยกรรมเลิศๆ ก่อนตัดสินใจกันดีกว่า
       
       นพ.นพรัตน์ รัตนวราห หรือ คุณหมอสอง อาจารย์พิเศษ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ และแพทยผู้เชี่ยวชาญด้านการศัลยกรรมตกแต่ง เปิดฉากอธิบายว่า แนวโน้มการทำศัลยกรรมตกแต่งในปีนี้ ส่วนใหญ่สามารถทำได้ทั้งหน้า ได้ทั้งตัว ซึ่งคนเอเชียส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องของใบหน้า ดังนั้นเทรนด์การทำศัลยกรรมของคนเอเชียโดยเฉพาะคนไทยก็จะทำที่หน้าเป็นหลักซึ่งจุดหลักที่แก้ไขกันมากที่สุด คือ “จมูก” เพราะจมูกเป็นจุดศูนย์กลางของใบหน้าที่ทำให้โครงสร้างหน้าของเราเปลี่ยนแปลงได้มากสุด ขณะเดียวกันคนไทยก็เผอิญมีปัญหาของจมูกที่ไม่โด่งพอจมูกโด่งขึ้นหน้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปได้เยอะ
       
       คุณหมอหนุ่มมือฉมังด้านการศัลยกรรม อธิบายต่อว่า รองลงมาบนใบหน้าก็จะเป็นเรื่องของการทำตา และในปัจจุบันเทรนด์ของการทำคางและทำปากบางก็เพิ่มมากขึ้นเพราะว่าคนจะชอบทำตามแฟชั่น ทำตามดาราเกาหลีมากขึ้น ส่วนในเรื่องของตัวหลักๆก็จะมีอยู่ 2 อย่าง คือการเสริมหน้าอกที่คนไทยหรือคนในเอเชียจะมีหน้าอกขนาดเล็กเมื่อเทียบกับชาวยุโรป และการดูดไขมันสะสมตามสะโพก ต้นขา และหน้าท้อง หรือคนที่มีอายุมากขึ้น รวมถึงผู้ที่มีบุตรแล้วก็จะให้ความนิยมมาทำกันมาก ส่วนอื่นๆจะน้อยมาก เช่น การตัดผิวหนังหน้าท้องสำหรับผู้ที่มีบุตรแล้วไม่ต้องการมีบุตรหรือผู้ที่ประสบปัญหาท้องลาย แต่ทั้งนี้ ก็ต้องแลกกับรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นด้วย
       
       “ความนิยมในปัจจุบันยังคงนิยมการศัลยกรรมแบบเกาหลีหลังจาก 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ก็ยังเป็นเกาหลีอยู่เนื่องจากว่าดาราเกาหลี นักร้องเกาหลีมาแรงมาก แต่สังเกตว่าในช่วงท้ายๆ ของปีที่ผ่านมานี้เทรนด์ลูกครึ่งเริ่มกลับมา เพราะดาราลูกครึ่งบ้านเราจะเยอะ ฉะนั้น เทรนด์ก็จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างนี้ตลอดเวลา”
       
       สำหรับดาราเกาหลีที่คนไข้ของคุณหมอสองนิยมนำไปเป็นต้นแบบในการเสริมจมูก 3 อันดับแรกคือ คิม แต ฮี, ซอง เฮ เคียว และแองเจล่า เบบี้ซึ่งคนนี้เป็นซุปเปอร์โมเดลจากฮ่องกง ส่วนดาราชายจะคละเคล้ากันไป เช่น จมูกแบบนิชคุณ หรเวชกุล และคิม บอม ส่วนปากบางนั้นนิยมทำแบบ อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ ทั้งนี้ คุณหมอสองยังระบุด้วยว่าเมื่อก่อนรูปที่นำมาให้ดูเป็นแบบอย่างส่วนใหญ่เกิน 100% เป็นสไตล์เกาหลีแต่ตอนนี้เหลือประมาณ 80% โดยมีขั้นตอนที่ต้องพูดคุยตกลงกัน 3 ข้อ อ 1.นำความชอบของแต่ละคนมาพูดคุยกันก่อนว่าชอบแบบไหนโด่งมาก น้อย แล้วก็จะอธิบายให้ฟังว่าจมูกที่ทำออกมาไม่เหมือนในรูปนี้ทั้งหมดแต่จะพยายามทำให้ใกล้เคียงที่สุด 2.จมูกที่จะแก้ไขให้นั้นจะทำให้เข้ากับใบหน้า และ 3.เนื้อเยื่อบริเวณจมูกเขาพร้อมที่จะทำหรือเปล่า รับไหวไหม ซึ่งคุณหมอสองจะนำทั้ง 3 อย่างนี้มารวมกันก่อนปั้นสวยหล่อด้วยมีดและซิลิโคน
       
       อาจารย์สองของนิสิตแพทย์ มศว อธิบายต่อว่า ส่วนเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศัลยกรรมตกแต่ง ความสวยความงาม หรือทางผิวหนังทุกๆ ปีก็จะมีสิ่งใหม่ออกมาโดยตลอดเวลาแต่หลายๆเทคนิค สารพัดการคิดค้นที่เกิดขึ้นจะเลือกทำอันไหนต้องเลือกให้ดี รอบคอบเพราะหลายๆอย่างเมื่อทำไปแล้วไม่ได้ดี ไม่เกิดผล ทั้งยังทำให้เสียเงินเปล่า เจ็บตัวฟรี รวมถึงเป็นอันตรายต่อร่างกายอีกด้วยเพราะแม้จะมีรายงานทางวิชาการรองรับแต่ไม่ได้หมายความจะใช้ได้ผลดีเสมอไป ซึ่งพอทำไม่ได้ผลดีสักระยะหนึ่งเทรดน์อันนั้นก็จะเสื่อมสลายไป
       
       “บางอย่างมาฮิตมาก เขาบอกเป็นเทคโนโลยีใหม่ไม่เจ็บเห็นผลชัด พอซื้อมาปุ๊ปเขาก็พยายามที่จะทำการตลาดเพื่อให้คุ้มค้ากับเงินที่ได้ลงทุนไปแต่เมื่อถึงระดับที่คนไม่นิยมมาก สิ่งนั้นก็จะหายไป เช่น ยุคนึงไอออนโต้ฮิตมากทุกคนที่ซื้อเครื่องมาที่ก็ต้องทำให้คืนทุน แต่เมื่อทำแล้วไม่ได้ผลดีก็ต้องเลิกทำซึ่งมีหลายแห่งได้ยกเลิกไปบ้างแล้ว เวลาที่ผมไปประชุมวิชาการใหม่ๆผมจะไม่นำสิ่งเหล่านั้นมาใช้เลยทีเดียว เพราะบางสิ่งบางอย่างไม่ว่าจะทฤษฎีหรือการปฏิบัติจริงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แต่เราไปเพื่อรับรู้เมื่อคนไข้ถามก็ตอบได้ ส่วนการจะนำมาใช้นั้นก็จะต้องวิเคราะห์ก่อน ผมจะเลือกที่เห็นผลและชัวร์จริงๆโดยจะมีการทดลองกับตัวเองก่อน เช่น การฉีดฟิลเลอร์ โบท๊อกก็จะทดลองฉีดหน้ากระจกด้วยตัวเอง หรือหากรีบ ไม่ถนัดก็จะให้หมอที่รู้จักฉีดให้ซึ่งทำปุ๊ปหากไม่มีผลแทรกซ้อนหรืออยู่ในภาวะที่รับได้จึงจะนำมาใช้จริงกับคนไข้”
       
       คุณหมอสอง เล่าอีกว่า ขณะที่การฉีดสารเพื่อสะลายไขมันหากฉีดให้ตนเองแล้วไม่ได้ผลดีก็จะไม่นำไปใช้กับคนไข้ด้วยเช่นกันเพราะตนเองได้ทดลองสารมาหลายชนิดแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงเครื่องมือที่ทำจากภายนอกเพราะขนาดฉีดใส่เข้าไปในร่างกายยังไม่เห็นผล ฉะนั้นจึงไม่จะเป็นต้องเสียเงินแพงๆ ในการซื้อคอร์สทำพวกนี้
       
       “คนไข้ที่มาดูดไขมันก็จะเล่าให้ฟังว่าไปซื้อคอร์สสลายไขมันมาเป็นแสนแต่ไม่ได้ผลเลย อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าต่อไปจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆมาอันไหนดีก็จะได้ไปต่อ เช่น โบท๊อก ส่วนการฉีดฟิลเลอร์แต่การฉีดฟิลเลอร์หรือสารหรือสารเติมเต็มซึ่งส่วนใหญ่นิยมฉีดที่ร่องแก้มภาวะแทรกซ้อนอาจรุนแรงกว่าการฉีดโบท๊อก ควรเลือกยี่ห้อที่ปลอดภัยสุดผ่านอย. สลายได้เป็นส่วนใหญ่ซึ่งคนมักเข้าใจผิดว่าสลายได้หมดแต่ข้อเท็จจริงไม่มีฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนสลายได้หมด 100% แต่หากเลือกที่สลายได้น้อยภาวะแทรกซ้อนก็จะมากกว่า บางคนฉีดฟิลเลอร์เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะอยู่ได้ 4 เดือนจากนั้นก็จะสลายออกด้านข้างแบนลงและสะสมอยู่ภายในผิวหนังทำให้เนื้อหนาขึ้น เมื่อฉีดบ่อยๆเข้าก็จะทำให้จมูกโต การผ่าตัดแก้ไขจะยากมาก บางทีต้องขูดออก หรือบางคนฉีดเสริมคาง ดังนั้นหากเป็นผมจะเลือกทำในบางรายเท่านั้น”
       
       ปัจจุบันมีการโฆษณาส่งเป็นข้อความทางบีบี หรือทางอีเมล์เพื่อแจ้งว่าจะมีการฉีดสารนั้นสารนี้แต่เขาไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนฉีดซึ่งเมื่อไปถึงแล้วกลับกลายเป็นผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ซึ่งเคยเป็นพยาบาลที่เคยกับคลินิกนี้หรือโรงพยาบาลนี้เป็นผู้ฉีดให้ซึ่งหากเกิดผลแทรกซ้อนเราก็ไม่สามารถที่จะตามตัวได้เลย ซึ่งมีหลายเคสที่มาหาคุณหมอสองเพื่อให้แก้ไขให้
       
       “เขาไม่มีความรู้ทางการแพทย์ในด้านนั้นเหมือนกับแพทย์ที่จบมาเฉพาะด้านโดยตรงซึ่งแม้แต่แพทย์ที่จบด้านศัลยกรรมตกแต่งมาก็ยังต้องอาศัยประสบการณ์เพราะทางการแพทย์ไม่มีอะไร 100% แต่เมื่ออยู่ในมือหมอที่ชำนาญแล้วก็สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาช่วยเราได้ อย่างไรก็ตาม อย่าคาดหวังว่าการศัลยกรรมจะช่วยให้เราเปลี่ยนจากอีกคนหนึ่งไปเป็นอีกคนหนึ่ง เราต้องยอมรับผลแทรกซ้อนด้วย และอย่าคิดว่าการศัลยกรรมจะช่วยแก้ปัญหาครอบครัวได้ต้องพิจารณาให้ดีเพราะมันไม่เกี่ยวกันไม่ใช่ทุกคนจะ Extreme Make Over ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรควรที่จะศึกษาให้ชัดเจน ผลดี ผลเสีย อีกทั้งนวัตกรรมอะไรใหม่ๆที่เข้ามาควรพิจารณาให้ดีอย่าเชื่อคำโฆษณา” คุณหมอสอง ฝากทิ้งท้าย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 มกราคม 2555

8200
 แพทยสภา เผย ยอดร้องเรียนการกระทำผิดจริยธรรมแพทย์กว่า 200 กรณี ขณะผลพิจารณาความผิดตัดสินถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ 1 ราย พักใช้ใบอนุญาต 3 ราย ตักเตือน 15 ราย ย้ำ คกก.แพทยสภาพิจารณาอย่างเป็นธรรม วอนแพทย์ -ผู้ป่วยเจรจากันก่อนตัดสินใจฟ้องร้อง หวังยุติข้อพิพาทด้วยความเข้าใจ
       
       ศ.คลินิก นพ.อำนาจ กุสลานันท์ นายกแพทยสภา กล่าวถึงสถานการณ์การร้องเรียนกรณีความผิดทางจริยธรรมของแพทย์ ว่า ในระหว่างเดือน ต.ค.2553 ถึง ก.ย. 2554 พบมีผู้ป่วยและญาติร้องเรียนกรณีความผิดจริยธรรมของแพทย์เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการ (คกก.) แพทยสภา ทั้งหมด 202 กรณี แบ่งเป็นเรื่องร้องเรียนแบบมูลความผิด 74 กรณี และไม่มีมูล 104 กรณี ซึ่งหากพบว่าเป็นการร้องเรียนที่ไม่มีมูล เช่น เป็นการยืนยันแค่พยานปาก ทาง คกก.แพทยสภา ก็จะส่งเรื่องเพื่อชี้แจงว่า ไม่พบมูลความผิด จึงไม่สามรรถดำเนินการได้ ส่วนขั้นตอนทางกฎหมายอื่น เช่น ผู้ป่วยหรือญาติจะดำเนินการทางชั้นศาล ก็แล้วแต่การตัดสินใจ เนื่องจากแพทยสภามีหน้าที่ในการพิจารณาจริยธรรม ตาม พ.ร.บ.ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 เท่านั้น ขณะที่จำนวนการฟ้องร้องในชั้นศาลเกี่ยวกับความผิดพลาดของแพทย์ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตั้งแต่ปี 2539-2554 พบว่าแพทย์ถูกฟ้องร้องในคดีแพ่งจำนวน 162 คดี และคดีอาญาจำนวน 20 คดี โดยส่วนมากเป็นการร้องเรียนกรณีไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพ
       
       นายกแพทยสภา กล่าวว่า สำหรับช่วงปีงบประมาณที่ผ่านมา ทางแพทยสภาได้มีมติพิจารณาตามเรื่องร้องเรียนกรณีแพทย์ที่ทำผิดจริยธรรม โดยมีการลงโทษถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพฯ 1 ราย พักใบอนุญาต 3 ราย โดยขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างขั้นตอนของการพิจารณาจากสภานายกพิเศษเพื่อดูว่ามีข้อโต้แย้งใดๆ หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีแพทย์ที่มีความผิดที่ไม่รุนแรง ซึ่งแพทยสภาได้ดำเนินการว่ากล่าวตักเตือนไปแล้วจำนวน 15 ราย
       
       ศ.คลินิก นพ.อำนาจ กล่าวต่อว่า ในแต่ละคดีที่ผ่านการพิจารณาของแพทยสภานั้นจะใช้พิจารณาทุกกระบวนการกระทั่งแล้วเสร็จประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี โดยแต่ละกรณีจะมีขั้นตอนการพิจารณาที่แตกต่างกัน ก็ต้องใช้เวลาประสานงานกับทางราชวิทยาลัยต่างๆ เพื่อพิจารณามูลความผิด ซึ่งขอย้ำว่า ในปี 2555 จะพยายามเร่งรัดมาตรการการประสานงานต่างๆ เพื่อให้ผลการพิจารณาแล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ทั้งขั้นตอนการพิจารณาในขั้นของราชวิทยาลัย คณะอนุกรรมการจริยธรรมแพทยสภา และคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม
       
       “ขอย้ำว่า จะทำหน้าที่ในการพิจารณาทุกเรื่องร้องเรียนอย่างเป็นธรรม และยังปลูกฝังให้บุคลากรทางการแพทย์ดูแลผู้ป่วยเสมือนญาติ ซึ่งต้องทำโดยหน้าที่และจิตสำนึกที่ดี รักษาและช่วยชีวิตทุกคนด้วยความตั้งใจจริง ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติอันดีของแพทย์ทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นเชื่อว่า ความผิดพลาดหลายกรณีคงไม่ได้เกิดจากการตั้งใจกระทำผิดของแพทย์เสมอไป ซึ่งหากเป็นไปได้กรณีผิดพลาดเล็กน้อย อยากให้ผู้ป่วยและญาติเจรจากันก่อนตัดสินใจฟ้องร้อง เนื่องจากหากเรื่องถึงชั้นศาลจะใช้เวลาในการตัดสินนาน เพราะกระบวนการพิจารณาคดีแพทย์กับผู้ป่วยนั้นมีขั้นตอนซับซ้อน ดังนั้น หากรู้จักไกล่เกลี่ยก็จะเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย” ศ.คลินิก นพ.อำนาจ กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 มกราคม 2555

8201
เจ้าหน้าที่เร่งอพยพคนไข้หนักหนี หลังน้ำทะลักเข้าท่วมโรงพยาบาลหลังสวนอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยชั่วโมงละ 10 ซม. ด้านผู้ว่าฯชุมพร ร่อนหนังสือด่วนประกาศเตือนฝนตกหนัก สั่งเตรียมพร้อมรับมือ 24 ชั่วโมง ล่าสุดปิดถนนชุมพร-หลังสวนแล้ว...

เมื่อวันที่ 2 ม.ค. นายพินิจ เจริญพานิช ผวจ.ชุมพร ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย ดินและหินถล่มจังหวัดชุมพร มีหนังสือความเร่งด่วน ถึงนายอำเภอทุกอำเภอ และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร นายกเทศมนตรีเมืองชุมพร หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ องค์กรเอกชน และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง เรื่องประกาศเตือนฉบับที่ 1 ระหว่างช่วง 1–2 วันนี้ มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมประเทศมาเลเซียตอนบน เคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือ ทำให้บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกตั้งแต่ จ.ชุมพร ลงไป มีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณ จ.ชุมพร ตอนล่าง ระมัดระวังอันตรายที่เกิดจากฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง

สำหรับคลื่นลมในอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังแรง ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร โดยเฉพาะ อ.ละแม อ.หลังสวน และ อ.พะโต๊ะ มีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนหนักบางพื้นที่ คลื่นลมมีกำลังค่อนข้างแรง ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ดังนั้น เพื่อเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติดังนี้ โดยให้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้ทราบ เตรียมการป้องกันระมัดระวังอันตราย ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และให้ติดตามประกาศเตือนภัย จากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งแจ้งเตือนชาวเรือ ให้เพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือในช่วงระยะนี้ด้วย นอกจากนั้นให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เตรียมความพร้อมให้การช่วยเหลือประชาชน ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ ทั้งจัดเจ้าหน้าที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง หากสถานการณ์มีความรุนแรงให้ดำเนินการตามขั้นตอนของแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้สามารถช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที และรายงานสถานการณ์ให้จังหวัดทราบทุกระยะ จนกว่าสถานการณ์จะปกติ ทางโทรศัพท์/โทรสาร หมายเลข 0-7750-1207, 0-7750-2257 และสายด่วน 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ได้เกิดฝนตกหนักตลอดทั้งวัน ในพื้นที่ จ.ชุมพร ตอนล่าง ตั้งแต่ อ.ทุ่งตะโก อ.ละแม อ.หลังสวน และ อ.พะโต๊ะ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่ม ขณะนี้มีปริมาณน้ำฝนไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรบ้างแล้ว

ต่อมาเมื่อเวลา 13.30 น. น้ำได้ไหลทะลักเข้าท่วมโรงพยาบาลหลังสวนอย่างรวดเร็ว โดยน้ำได้เพิ่มระดับชั่วโมงละ 10 เซนติเมตร ด้านเจ้าหน้าที่เร่งอพยพคนไข้หนักออกจากพื้นที่ชั้น 1 และเคลื่อนอุปกรณ์การแพทย์ไปไว้ในพื้นที่สูง

ล่าสุดได้มีการปิดถนนเส้นทางชุมพร-หลังสวน ระยะทาง 90 กิโลเมตร ไม่สามารถสัญจรไปมาได้ และเส้นทางหลังสวน-ละแม เนื่องจากสะพานขาดไป 2 แห่งแล้ว

ไทยรัฐออนไลน์ 2 มค 2555

8202
เจ้าของรีสอร์ทดัง เมืองระยอง ยิงปืนเคาท์ดาวน์ รับปีใหม่ ทะลุอกสามีดับ

ร.ต.อ.วิรัตน์ ยอดเสา พนักงานสอบสวนเวร สภ.เพ อ.เมืองระยอง ได้รับแจ้งมีผู้เสียชีวิต จากการถูกยิง หลังรับแจ้งจึงเดินทาง ไปที่ ร.พ.ระยอง พบผู้เสียชีวิตอยู่ในห้องดับจิต ทราบชื่อภายหลัง คือ นายธนกิจ ศุภสีห์ อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 88 ม. 4 ต.เพ อ.เมือง ระยอง เจ้าของรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ชายหาดแสงเทียน เกาะเสม็ด ถูกกระสุนปืน เข้าที่ หน้าอกด้านซ้าย สอบสวน นางลำภา ฟุ้งเฟื่อง อายุ 48 ปี ภรรยาผู้เสียชีวิต ให้การว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ทางรีสอร์ท ได้จัดงาน ปาร์ตี้ เคาท์ดาว บริเวณชายหาด ลูกน้อง ได้ตั้งพลุ จำนวน 3 แท่ง ไว้ที่ชายหาด สามีเป็นคนจุดพลุ ส่วนตนเป็นคนยิงปืน ในลักษณะยืนหันหลังให้กัน โดยยิงไปจำนวน 3 นัด พอจะยิงนัดที่ 4 กระสุน เกิดขัดลำกล้อง จึงสะบัดปืนลงมาที่พื้น หลังจากนั้น สามีรู้สึกเจ็บที่หน้าอก คิดว่าถูกพลุกระเด็นใส่ ต้องรอเรือจากฝั่งมารับ กว่าจะถึงโรงพยาบาล ใช้เวลานาน สามีจึงเสียชีวิต มาทราบภายหลังว่า สามีถูกกระสุนปืนไม่ใช่พลุ ซึ่งตนได้นำปืน ขนาด .22 ที่ใช้ยิงขึ้นฟ้า มาส่งให้กับ ตำรวจด้วย

norsorpor.com 1 เดือนมกราคม พ.ศ.2555

8203
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แนะ ประชาชนกินอาหารฉลองปีใหม่อย่างปลอดภัย ยึดหลัก "ร้อน สุก สะอาด"

นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในช่วงวันหยุดเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังเรื่องความสะอาด ยึดหลัก "สุก ร้อน สะอาด" สุกคือการปรุงอาหารให้สุก ไม่รับ
ประทานอาหารดิบ หรือ สุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ร้อน คือ การรับประทานอาหารที่ปรุงสุกทันที หรือ สุกใหม่ ๆ อาหารที่เหลือให้เก็บใส่กล่อง หรือ ถุง ก่อนรับประทานต้องอุ่นให้เดือด สะอาดคือ การเลือกอาหารที่มีขบวนการผลิตที่ปลอดภัย ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร และหลังการใช้ส้วมทุกครั้ง ไม่ใช้มือหยิบจับอาหารใส่ปาก ใช้ช้อนกลางตักอาหาร ดูแลครัวและอุปกรณ์ในการปรุงอาหารให้สะอาด แยกมีด เขียง ระหว่างอาหารดิบและสุก ล้างผักผลไม้ด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง และขอให้ดื่มน้ำบรรจุขวดที่มีฝาปิดสนิท และมีเครื่องหมาย อย.รับรอง ส่วนน้ำแข็ง ควรเลือกชนิดบรรจุถุงที่มีเครื่องหมาย อย. เพื่อลดความเสี่ยงเกิดโรคระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะโรคอาหารเป็นพิษ และอุจจาระร่วง


norsorpor.com 1 เดือนมกราคม พ.ศ.2555

8204
มหาอุทกภัยที่ผ่านมาสร้างความเสียหายให้กับประชาชนในหลายจังหวัดสูญเสียทั้งทรัพย์สินเงินทอง และวัสดุอุปกรณ์ทำมาหากินต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่สถานบริการทางการแพทย์ ก็ได้รับผลกระทบทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้ยากลำบาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรัง แม้รัฐบาลจะประกาศจ่ายค่าชดเชยให้แต่เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ต้องสูญเสียโดยเฉพาะด้านจิตใจ หลายคนต้องกลายเป็นคนซึมเศร้า ส่งผลให้สุขภาพกายทรุดโทรมตามไปด้วย แม้น้ำจะลดลงแล้วแต่หลายคนก็ยังคงทำใจไม่ได้เมื่อต้องเผชิญกับความจริงถึงสิ่งที่

ปริมาณน้ำที่มาในแต่ละพื้นที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่สิ่งที่ต้องไม่เกิดขึ้นก็คือ โรคระบาด เรื่องนี้ต้องขอชมกระทรวงสาธารณสุขรวมถึงทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอาสาสมัครสาธารณสุขที่ช่วยกันอย่างแข็งขันทำให้ไม่มีการระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงต่างๆ ที่หลายคนกังวล

สธ.พอใจการดูแลประชาชนช่วงน้ำท่วม นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการเสียหายไปกับมวลน้ำมหาศาล ลงพื้นที่สำรวจของทีมแพทย์ในช่วงน้ำท่วมพบว่าไม่มีโรคติดต่อ ส่วนปัญหาด้านสุขภาพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ได้มีการส่งทีมแพทย์ จิตแพทย์ลงพื้นที่ดูแลอย่างดี รวมถึงการเคลื่อนย้ายส่งต่อผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่ประสบปัญหาน้ำท่วมไม่มีการสูญเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีการให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการดูแลสุขภาพแก่ประชาชนในการป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยทำให้ประชาชนมีความรู้ในการดูแลตนเองส่งผลให้ไม่มีโรคระบาดเกิดขึ้นหลังน้ำลด

จะเห็นได้ว่าในช่วงน้ำท่วมหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้ระดมกำลังกันให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยกันอย่างเต็มที่จนทำให้ภาระหน้าที่ในด้านอื่นๆ ต้องหยุดชะงัก แต่หลังจากปัญหาน้ำผ่านพ้นไปเหตุการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติทุกหน่วยงานก็ต้องหันมาดำเนินการตามนโยบายที่วางไว้เช่นเดียวกับกระทรวงสาธารณสุข

พร้อมเดินหน้านโยบายหลังน้ำลด นายวิทยา กล่าวว่า สำหรับแนวทางการทำงานของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2555 นี้ จะเป็นการนำนโยบายทั้งหมดมาขับเคลื่อนเนื่องจากที่ผ่านมานโยบายทุกอย่างหยุดชะงักไปเนื่องจากน้ำมาเยอะเป็นอุปสรรคใหญ่ของการขับเคลื่อนนโยบายทุกรูปแบบของผู้เสียชีวิตทุกสาเหตุทั่วประเทศที่มีประมาณ 4 แสนราย สาเหตุการป่วยเกี่ยวข้องกับ 2 ปัจจัย คือการขาดการออกกำลังกาย และเรื่องอาหารการกิน โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็ง ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้ว่าไทยจะมีระบบประกันสุขภาพที่ได้รับการชื่นชมจากทั่วโลกก็ตาม แต่ที่ผ่านมาจะรองรับการดูแลรักษาการเจ็บป่วยเป็นส่วนใหญ่ สถิติในปี 2553 ทั้ง 5 โรคมีผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 2 ล้านกว่าราย เสียชีวิตรวม 1 แสนกว่าราย หรือคิดเป็น 25% ของผู้เสียชีวิตทุกในหลายจังหวัด สิ่งที่จะเดินหน้าต่อไปก็คือเรื่องหลักประกันสุขภาพ ต้องมีการนำกลับมาใช้ให้ประชาชนทั้ง 48 ล้านคนได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลเพราะเป็นสิทธิ์ที่ประชาชนต้องได้รวมถึง ประชาชนในระบบแรงงาน อีก 10 กว่าล้านคน และกระจายความเสี่ยงลดความแออัดในสถานพยาบาล โดยจะเน้นหนักที่การลดความแออัดของผู้ป่วย ซึ่งเป็นปัญหาอันดับ 1 ในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปซึ่งมี 95 แห่งทั่วประเทศ ต่อวันมีผู้ป่วยใช้บริการ 1,200-3,000 คน โดยจะพัฒนาศักยภาพความเข้มแข็งระบบบริการขั้นพื้นฐานในเขตชนบท คือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ส่วนในเขตเทศบาลเมืองทั้ง 76 จังหวัด จะจัดตั้งศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง ซึ่งเป็นบริการใหม่ล่าสุด ยังไม่มีในเขตเมืองมาก่อน มีบุคลากรทุกสาขา ทำหน้าที่ให้บริการตรวจรักษาผู้ป่วยนอกทุกโรค แทนแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป ไม่มีเตียงนอนรักษา และเพิ่มบริการส่งเสริมสุขภาพคนในชุมชนไม่ให้เจ็บป่วย และติดตามฟื้นสมรรถภาพผู้ป่วยเรื้อรังที่อยู่บ้าน เช่น ผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาต ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ป้องกันโรคแทรกซ้อน ในเบื้องต้นมีนโยบายตั้ง 215 แห่ง จนถึงขณะนี้ดำเนินการได้เกินเป้า มีการจัดตั้งศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองไปแล้ว 233 แห่งทั่วประเทศ

"รวมถึงการให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารจัดการเรื่องหลักประกันของโรงพยาบาลต่างๆ ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะบริหารติดขัดทำให้โรงพยาบาลเกือบขาดทุน สิ่งเหล่านั้นจะถูกดำเนินการโดยให้ รพสต.เข้ามามีส่วนรับภาระในการดูแลสุขภาพประชาชนในด่านแรก โดยจะมีการพัฒนาให้เชื่อมโยงกับโรงพยาบาลศูนย์แก้ปัญหาแพทย์ พยาบาลขาดแคลนโดยใช้ข้อมูลออนไลน์เข้ามาช่วย เช่น การขอคำปรึกษาในการรักษาพยาบาลจากหมอในโรงพยาบาลศูนย์ผ่านกล้อง มีการสั่งจ่ายยาผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้ลดขั้นตอนการทำงาน" นายวิทยา กล่าว

เน้นฟื้นฟูโรคเรื้อรังและป้องกันการเจ็บป่วย นอกจากนี้ยังมีนโยบายเร่งแก้ไขปัญหาการป่วยและเสียชีวิตของคนไทยจากโรคไม่ติดต่อ 5 โรคสำคัญ ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็ง ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้ว่าไทยจะมีระบบประกันสุขภาพที่ได้รับการชื่นชมจากทั่วโลกก็ตาม แต่ที่ผ่านมาจะรองรับการดูแลรักษาการเจ็บป่วยเป็นส่วนใหญ่ สถิติในปี 2553 ทั้ง 5 โรคมีผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 2 ล้านกว่าราย เสียชีวิตรวม 1 แสนกว่าราย หรือคิดเป็น 25% สาเหตุทั่วประเทศที่มีประมาณ 4 แสนราย สาเหตุการป่วยเกี่ยวข้องกับ 2 ปัจจัย คือการขาดการออกกำลังกาย และเรื่องอาหารการกิน

ส่วนการป้องกันและสร้างเสริมสุขภาพได้เน้นหนักให้ทุกจังหวัดเร่งแก้ไข และป้องกันการป่วยด้วย 2 กิจกรรมหลัก สอดรับกับการบริหารหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรง ประการแรกคือ การกระตุ้นให้คนไทยออกกำลังกายให้มากขึ้น โดยให้ อสม. 1 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับพื้นที่และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เป็นผู้นำในการรณรงค์ โดยผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติครั้งล่าสุดในปี 2554 ในคนไทยอายุ 11 ปีขึ้นไป ที่มีทั้งหมด 57 ล้านกว่าคน พบว่าออกกำลังกาย เล่นกีฬาเพียง 15 ล้านกว่าคน หรือกล่าวได้ว่าในคนไทยอายุ 11 ปีขึ้นไป ทุกๆ 4 คน จะมีคนออกกำลังกายเพียง 1 คน ซึ่งสถิติลดลงจากปี 2550 ร้อยละ 3 ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกระตุ้นให้คนที่ไม่ออกกำลังกายจำนวน 42 ล้านคน หันมาใช้เวลาออกกำลังกายกันเป็นประจำ ให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย

ประการที่ 2 คือการคุ้มครองความปลอดภัยอาหาร จะให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ตรวจสอบเฝ้าระวังอาหารปนเปื้อนครอบคลุมทั้งตลาดสด รถเร่ ตลาดนัด ทุกหมู่บ้าน โดยเน้นตรวจความปลอดภัยอาหาร น้ำ รวม 8 ประเภท ได้แก่ 1.บอแรกซ์ที่ลักลอบในเนื้อสัตว์ ขนมหวาน 2.สารฟอกขาว 3.สารกันรา 4.ฟอร์มาลิน 5.สารกำจัดศัตรูพืชตกค้าง 6.สารเร่งเนื้อแดง 7.สารโพลาร์ในน้ำมันทอดซ้ำ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง โดยแต่ละปีคนไทยบริโภคน้ำมันพืชกว่า 8 แสนตัน และ 8.น้ำแข็ง ไอศกรีม น้ำดื่มทั้งบรรจุขวด และน้ำจากตู้หยอดเหรียญซึ่งกำลังได้รับความนิยม ซึ่งเรื่องนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดติดตามควบคุมแก้ไขอย่างต่อเนื่อง และยกมาตรฐานร้านอาหาร แผงลอย ตลาดสด ให้ถูกหลักสุขาภิบาล ปลอดภัย ไม่ต่ำกว่า 80% นอกจากนี้ยังมีโครงการรากฟันเทียมพระราชทาน และทูบีนัมเบอร์วัน ที่จะทำควบคู่กันไป

แม้ผลงานของคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขในช่วงเปลี่ยนถ่ายรัฐบาลใหม่จะยังไม่เด่นนัก แต่การป้องกันไม่มีโรคระบาดในช่วงน้ำท่วมก็คงเป็นสิ่งที่การันตีได้ถึงความสามารถ

บ้านเมือง 1 มกราคม 2555

8205
ปลัด สธ. เผย คืนเคาท์ดาวน์ อย่ายิงปืนขึ้นฟ้าเด็ดขาด เพราะอันตรายมาก อาจหล่นใส่ชาวบ้านได้ ให้กล่าวว่า ไชโย แทนดีกว่า


น.พ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในวันที่ 31 ธ.ค. และ 1 ม.ค. เป็นวันที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงที่สุด ในช่วงการฉลองเทศกาลปีใหม่ กระทรวงสาธารณสุขได้เพิ่มกำลังแพทย์พยาบาลในโรงพยาบาลที่อยู่ในสังกัดทั่วประเทศกว่า 800 แห่ง อีก 2 เท่าตัว พร้อม คลังเลือด ออกซิเจน ห้องผ่าตัด ห้องฉุกเฉิน และดูแลรักษาผู้บาดเจ็บตลอด 24 ชั่วโมง และหากรับแจ้งจะส่งทีมแพทย์ฉุกเฉิน ให้การดูแลรักษาถึงจุดเกิดเหตุภายใน 10 นาที ซึ่งการช่วยผู้บาดเจ็บได้รวดเร็วและมีคุณภาพ จะลดการเสียชีวิตและพิการได้

สำหรับเรื่องที่น่าห่วง ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งเป็นคืนวันส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ มีประชาชนบางพื้นที่ที่มีความเชื่อและเอาฤกษ์เอาชัย โดยยิงปืนขึ้นฟ้าเคาท์ดาวน์รับปีใหม่ ถือว่าเป็นอันตรายมาก เนื่องจากลูกปืนซึ่งเป็นโลหะและมีน้ำหนัก จะหล่นมาถูกประชาชนที่มีการรวมตัวกันเฉลิมฉลองปีใหม่ เช่น ที่ จ.เพชรบุรี ในช่วง 3 ปีมานี้ มีผู้บาดเจ็บจากการถูกลูกปืนหล่นใส่ และถูกปืนระเบิดใส่มือขณะยิง รวม 9 ราย ในวันปีใหม่ปีที่ผ่านมา พบ 3 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ดังนั้น จึงขอให้หลีกเลี่ยงการยิงปืนเคาท์ดาวน์ ขอให้ใช้วิธีอื่นที่ปลอดภัย เช่น การกล่าวคำไชโยแทน   

norsorpor.com
31 เดือนธันวาคม พ.ศ.2554

หน้า: 1 ... 545 546 [547] 548 549 ... 651