แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 479 480 [481] 482 483 ... 650
7201
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / 4 วิธีพัฒนา EQ
« เมื่อ: 08 สิงหาคม 2012, 14:39:54 »
เด็กวัยเรียนอย่างน้อง ๆ นอกจากจะมี I.Q. หรือ ศักยภาพทางสมองแล้ว
ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ E.Q. ก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ นะ
เพราะการแสดงอารมณ์ที่ถูกต้องนั้น . . จะช่วย
สร้างความสุขในชีวิตน้อง ๆ ได้
 
มาดูกันเลยดีกว่า ว่าเราจะมีวิธีพัฒนาอย่างไร ?
เริ่มจากการฝึกสมาธิ เพราะการฝึกสมาธิช่วยในการจัดระเบียบความคิด
เป็นการเสริมประสิทธิภาพในการเรียนอีกวิธีหนึ่ง ด้วย . .
 
จากนั้น. . . ลองฝึกระงับอารมณ์ เช่นเวลาโกรธ ให้นับ 1-10 เข้าไว้
จะทำให้เราสามารถหาวิธีมาจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นได้ง่าย ขึ้น ...
 
ควรฝึกเอาใจเขามาใส่ใจเรา และสิ่งสุดท้าย
สำคัญนะคะ คือ ยอมรับข้อบกพร่องของตัวเอง
 
แค่4 วิธีง่าย ๆ แค่นี้ น้องๆ ก็สามารถมีความสุขในการใช้ชีวิตแล้วคะ
ลองนำไปปฏิบัติกันดูนะคะ
นอกจากจะสุขเรื่องเรียนแล้ว จะได้สุขในเรื่องของการใช้ชีวิตในสังคมอีกคะ ^^

ขอบคุณที่มา www. yenta4 .com

7202
น้องหลายคนแอบน้อยใจ ในโชค ลาภ วาสนา ที่มีติดตัวมาเพียงเล็กน้อย
. . . พอถึงวันที่ประกาศคะแนนทีไร มักจะโดนสายตาเยียดหยาม จ้องเขม่น !!! ทีเดียว
แต่อย่าเพิ่งน้อยใจไปนะคะ วันนี้.. พี่มีข้อดีของคนที่เรียนไม่เก่งมาฝากกัน
อย่ารอช้า ไปดูกันดีกว่า . . ว่ามีอะไร บ้าง

1. มีการเรียนแบบสบาย ๆ ไม่เกิดความเครียด
   ถ้าเรียนบทใด บทนึง ไม่รู้เรื่อง ค่อยมาเครียดทีเดียวตอนสอบ 555
 
2. ไม่เครียดเรื่องเกรด จะขึ้นจะลงก็มีความรู้สึกเหมือนเดิม
    เพราะมีความต้านทานมากพออยู่แล้ว ( แต่ถ้าน้อยเกินไปก็ไม่ดี นะคะ )

3. ไม่กดดันจากการคาดหวังของพ่อแม่
    สำหรับคนที่เรียนเกรดกลาง ๆ พ่อแม่จะไม่ค่อยเขี่ยวเข็ญมาก
    เอาแค่เรียนจบและสอบไม่ตกเป็นพอ และที่สำคัญ...
    ผลพลอยได้ของเรา คือ เราจะได้เดินตามความฝันที่ฝันไว้ โดยไม่มีใครมาบังคับ .. ^^

4. อาจารย์ไม่ค่อยเรียกให้ออกไปตอบคำถาม
   สำหรับน้อง ๆ ที่กลัวการออกไปหน้าชั้นเรียนมาก
  ข้อนี้ช่วยได้เพราะส่วนมาก อาจารย์มักจะเรียนเฉพาะเด็กเทพ
  แต่ที่สำคัญ ต้องตั้งใจเรียนตามปกติ นะคะ จะได้มีความรู้ไปสอบ บบบ ...

5. เป็นตัวของตัวเองไม่ต้องแคร์ใคร
   ไม่ได้แข่งขันกับใคร ไม่เกิดสภาวะเครียด แค่เราแข่งกับตัวเองก็พอ
   ไม่ว่าจะเรียน เก่ง หรือ ไม่เก่ง
   สิ่งที่สำคัญที่สุ๊ด ด ดด . ... มันอยู่ที่ว่าไม่ว่าจะยังไงน้อง ๆ ก็ต้องตั้งใจเรียนนะคะ
   แล้วก็ควรอยู่ในระเบียบ มีวินัย ของการเป็นนักเรียนที่ดี
   แล้วเดินตามฝันที่เราฝันไว้ สร้างมันขึ้นมาให้เป็นจริงให้ได้ นะคะ

ขอขอบคุณที่มาจาก www.dek-d.com

7203
 ประโยชน์ของติ่งหู

นักวิชาการด้านสรีรวิยาและพัฒนาการของมนุษย์สันนิษฐานว่า
บรรพบุรุษของเราเมื่อครั้งยังเดินสี่ขา   มีติ่งหูที่ใหญ่กว่านี้
เพื่อปกป้องอันตรายที่อาจเกิดแก่รูหูได้   แต่ดูเหมือนว่าติ่งหูจะ
ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดี จึงถูกลดขนาดให้เล็กลงอย่างในปัจจุบัน

ส่วนนักมนุษยวิทยาอธิบายไว้ว่า...
ติ่งหูเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ดึงดูดความสนใจของเพศตรงข้าม
และติ่งหูยังมีความพิเศษที่ช่วยคลายความร้อน ถ้าไปจับโดนอะไรร้อนๆ
ให้รีบเอามือข้างนั้นจับติ่งหู จะช่วยให้หายร้อนเร็วขึ้น
เพราะติ่งหูเป็นส่วนที่เย็นที่สุดของเรา

บรรดานักวิชาการและนักทฤษฏีทั้งหลายต่างก็ต้องเผชิญปัญหาเรื่องการหาเหตุผลมาอธิบายว่า
ทำไมอวัยวะหลายๆส่วนในร่างกายมนุษย์ที่ดูจะไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไหร่จึงไม่หดหายไปจาก
ร่างกายมนุษย์เสียเลยแต่ยังคงติดอยู่กับตัวมนุษย์ครบถ้วน

คล้ายกับว่าธรรมชาติพยายามเก็บรักษารายละเอียดทางพันธุกรรมเอาไว้ให้ครบถ้วนแม้ว่า
สิ่งนั้นจะขัดแย้งกับการคัดเลือกตามธรรมชาติก็ตามร่างกายมนุษย์จึงเป็นเสมือนพิพิธภัณท์ที่
เก็บสะสมมรดกแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์นั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: สำนักพิมพ์สารคดี”

7204
ใครจะเชื่อว่าไหม ?

ดร.พอล อี.เดนนิสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง
ผู้ก่อตั้งมูลนิธิวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวเพื่อการศึกษา
(The Educational Kinesiology Foundation) ประเทศสหรัฐอเมริกา
แนะนำให้ฝึกหาวพร้อมกับนวดบริเวณแก้ม
ตำแหน่งเหนือฟันกรามด้านบน
ซึ่งมีกล้ามเนื้อทำหน้าที่ควบคุมการเปิดปาก
ช่วยให้สามารถสูดอากาศได้นาน
และรับออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายมากขึ้นในเวลาอันสั้น

ด้วยเหตุผลที่ว่า . . . การหาวเป็นการเติมออกซิเจนให้กับร่างกาย
เป็นการเพิ่มพลังงานให้สมอง  อีกทั้งเพิ่มสมาธิในการทำงานอีกด้วย
 
วิธีหาว อย่างถูกต้อง

1. นั่งหรือยืนตัวตรง หลับตาให้สนิท
2. หาวโดยอ้าปากเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าทางปาก
3. วางนิ้วชี้และนิ้วกลางบนแก้มบริเวณเหนือฟันกรามบนทั้งสองข้าง แล้วนวดวนเป็นวงกลม
4. หาวจนสุดแล้วปิดปาก หายใจตามปกติ ทำซ้ำจนครบ 3 ครั้ง
ไม่น่าเชื่อเลยว่าการหาว จะเป็นการเพิ่มพลังงานให้สมองได้

. . ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกันแล้ว
 

 (นิตยสารชีวจิต ปักษ์แรกของเดือน มี.ค. 55, ปีที่ 14, ฉบับที่ 322) หน้า 16.

7206
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าในงานเลี้ยงหรืองานปาร์ตี้ที่ใดๆ มักจะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวชูโรงเพื่อเพิ่มความสุนทรีย์ให้กับนักดื่มทั้งหลายแบบขาดไม่ได้ แต่ทุกคนก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า โทษของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นส่งผลต่อตัวเองและคนรอบข้างเช่นไร หากดื่มในปริมาณที่มากเกินควร

       การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีทั้งโทษและประโยชน์ต่อร่างกาย แต่คนส่วนใหญ่มักตีตราเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่าเป็นเครื่องดื่มมึนเมา ที่ก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับ “ตับ” ที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างเช่น ไขมันสะสมในตับ (Alcoholic Fatty Liver), ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Hepatitis), ตับแข็งจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Cirrhosis) และมะเร็งตับ (Hepatocellelar carcinoma) แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ดื่มสุราทุกคนจะต้องเป็นโรคตับเสมอไป เพียงแต่จะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าเท่านั้นเอง

       1. ไขมันสะสมในตับ (Alcoholic Fatty Liver) เป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะแรก ที่มีการสะสมของไขมันโดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ที่เพิ่มขึ้นในตับ ในระยะนี้จะไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมาให้เห็น การตรวจเลือดอาจจะพบความผิดปกติเล็กน้อย หากหยุดดื่มได้ในระยะนี้ตับจะสามารถกลับไปเป็นปกติไม่นำไปสู่โรคตับแข็ง แต่บางรายอาจะมีอาการเบื่ออาหาร, คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดท้องรอบสะดือ หรือใต้ชายโครงด้านขวา เป็นต้น
       
       2. ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Hepatitis) เป็นโรคที่อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต หรือพิการได้ ในการตรวจร่างกายจะพบว่าตับมีขนาดใหญ่และกดเจ็บ หากตรวจเลือดจะพบว่ามีความผิดปกติในการทำงานของตับได้อย่างชัดเจน อาการที่พบส่วนใหญ่ของผู้ป่วยคือ มีไข้ ปวดท้องทั่วๆ ไป คลื่นไส้อาเจียน น้ำหนักลดลง มีภาวะ ตับวาย เลือดออกง่าย ดีซ่าน ถ้าเป็นมากอาจจะเสียชีวิตได้ในช่วง 1-2 สัปดาห์ ถ้าไม่เสียชีวิตจะเป็นโรคตับแข็งต่อไป
       
       3. ตับแข็งจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Cirrhosis) ตับแข็ง หมายถึง การมีแผลเป็นเกิดขึ้นในตับ เพราะตับอักเสบมากๆ เมื่อเซลล์ตับตายไปจะกลายเป็นแผลพังผืดเข้ามาแทนที่ ถึงแม้ว่าตับจะสามารถสร้างเซลล์ขึ้นมาทดแทนได้บางส่วน ก็ไม่สามารถทดแทนเซลล์เก่าได้ ทำให้ตับทำงานผิดปกติ อาการในช่วงนี้จะคล้ายกับช่วงตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ แต่อาจจะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มือแดงมาก ลูกอัณฑะฝ่อ ต่อมน้ำลายโต ถ้ามีภาวะโรคแทรกซ้อน โอกาสเสียชีวิตจะสูงมาก
       
       4. มะเร็งตับ (Hepatocellelar carcinoma) เมื่อถึงขั้นสุดท้าย คือภาวะตับแข็ง ถึงจะมีการสร้างเซลล์ตับใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทน แต่ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงอื่นๆ ร่วมอยู่ด้วย อย่างไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง ชนิด บี ซี จะทำให้อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว และเสียชีวิตในที่สุด

       ดื่มเพื่อสุขภาพ ไม่ทำร้าย “ตับ”
       การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสม สามารถช่วยให้สุขภาพแข็งแรงได้ สิ่งที่คุณควรรู้คือ ดื่มแค่ไหนถึงจะเรียกว่า ดีต่อสุขภาพ และดื่มแค่ไหนถึงจะทำร้ายสุขภาพ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการกำหนดปริมาตรการดื่มที่เรียกว่า standard drink สำหรับแอลกอฮอล์ขึ้นมา สำหรับคุณหนุ่มๆ ไม่ควรดื่มเกิน 2 standard drinks ส่วนคุณสาวๆ ไม่ควรดื่มเกิน 1 standard drink
       
       วิสกี้หรือสุราที่มีแอลกอฮอล์ 40 ดีกรี 1 standard drink คือ 43 ซีซี หรือประมาณ 1.5 ออนซ์
       
       เบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ 5 เปอร์เซนต์ 1 standard drink คือ 341 ซีซี หรือ 12 ออนซ์ (ประมาณ 1 กระป๋องเล็ก)แต่เบียร์ในบ้านเรามีความเข้มข้นสูงกว่าที่ระบุคือประมาณ 6 - 10 เปอร์เซนต์ ดังนั้น 1 standard drink จะน้อยกว่า 1 กระป๋อง
       
       ไวน์ ที่เป็น Table wine มีแอลกอฮอล์ ประมาณ 8 - 12 เปอร์เซนต์ 1 standard drink จะเท่ากับ ประมาณ 142 ซีซี หรือ 5 ออนซ์ ในขณะที่ Fortified wine หรือ Port wine มีแอลกอฮอล์ถึง 18 เปอร์เซนต์ 1 standard drink จะเท่ากับ 85 ซีซี หรือ 3 ออนซ์

       ดื่มเป็นประจำ 1 - 2 แก้ว
       คนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ 1 - 2 แก้ว จะมีอัตราเสี่ยงตายจากโรคหัวใจ, เส้นเลือดอุดตันน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มเหล้าถึง 20 - 40 เปอร์เซนต์
       
       ดื่ม 2 แก้วต่อวัน ไม่เมา
       ปริมาณการดื่มให้พอดีมักจะคิดคำนวณจากน้ำหนักตัว โดยทั่วไป ร่างกายจะเจือจางแอลกอฮอล์แก้วหนึ่งประมาณ 1 ชั่วโมง อย่างคนที่หนัก 180 ปอนด์ ดื่มเหล้าเข้าไป 2 แก้วใน 2 ชั่วโมง จะมีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดประมาณ 0.016 ฤทธิ์แอลกอฮอล์เท่านี้ยังไม่สามารถทำให้คุณออกอาการเมาได้
       
       ดื่มชั่วโมงละ 3 - 4 แก้ว จะเริ่มมึนหัว
       ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของคุณจะเพิ่มเป็น 0.056 ถึงตอนนี้คุณจะเริ่มมีอาการมึนหัวเล็กน้อย บางคนอาจมีปัญหาเรื่องการทรงตัวและสายตา ถ้าดื่มเข้าไป 4 แก้วภายใน 2 ชั่วโมง ค่าแอลกอฮอล์จะเพิ่มเป้น 0.064 ซึ่งฤทธิ์แอลกอฮอล์ในระดับนี้จะทำร้ายสมองบางส่วน เข้าข่ายอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาขับรถ

       ดื่มวันละ 4 แก้ว เริ่มอันตราย
       หากคุณดื่มแอลกอฮอล์วันละ 4 แก้ว ต่อวัน จะเริ่มส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณอย่างแน่นอน ผู้ชาย 4 ใน 10 คนที่กินเหล้าวันละ 4 แก้ว จะต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคตับอักเสบ ถ้าคุณดื่มอย่างนี้ติดต่อกันไปนานๆ 15 - 20 ปี โรคตับแข็งจะถามหาคุณแน่นอน นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูงอีกด้วย
       
       ดื่มมากกว่าวันละ 6 แก้วภายใน 4 ชั่วโมง หัวหมุน ขาดสติ
       การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป จะทำให้ระบบการทำงานในร่างกายของคุณไม่เป็นไปตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับรู้ การตัดสินใจ และความทรงจำต่างๆ ระบบการทำงานของกล้ามเนื้อจะช้าลง เลือดหมุนเวียนไม่ทั่ว คุณจะรู้สึกหน้าชา และน็อคไปเลยก็เป็นได้

       สำหรับหนุ่มสาวนักปาร์ตี้คอทองแดง ก็ขอให้ตระหนักโทษของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จะตามมาด้วย ถึงแม้เครื่องดื่มเหล้านี้จะมีประโยชน์ แต่โทษของมันก็ไม่เบาเลยทีเดียว จะดื่มอะไรก็นึกถึง “ตับ ตับ ตับ ตับ...” อวัยวะที่ได้รับผลเต็มๆ จากการเป็นนักดื่มของคุณในภายหลังด้วย

 Taste 7 สิงหาคม 2555
manager.co.th

7207
 สธ.จัดยุทธศาสตร์ 5 ปี พัฒนาไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ พ.ศ.2555-2559 บริการ 4 สาขาหลัก ทั้งรักษาพยาบาล สปา แพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก และผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย เดินเครื่องพัฒนาโรงพยาบาล คลินิกทั้งภาครัฐและเอกชน ให้ได้มาตรฐานระดับนานาชาติ บริการครบสูตร ทั้งล่าม บริการต่อวีซ่า เผย ขณะนี้มีแล้ว 21 แห่ง จะอบรมเพิ่มในเดือนนี้อีก ขณะเดียวกัน ได้ขยายเวลาพำนักรักษาตัวให้ผู้ป่วยจาก 5 ประเทศกลุ่มอาหรับ พักในไทยได้ 90 วัน และต่ออายุได้ไม่เกิน 1 ปี
       
       นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะพัฒนาประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชียและนานาชาติ หรือ เมดิคัล ฮับ (Medical Hub) เพื่อนำรายได้เข้าประเทศ แนวคิดหลักของนโยบายนี้ คือ เน้นในการพัฒนาและส่งเสริมการจัดบริการสุขภาพแบบนานาชาติ (Medical Hub and Wellness) พัฒนาระบบโลจิสติกส์ ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานระดับสากล และส่งเสริมการประชาสัมพันธ์และการตลาด ดำเนินงานแบบบูรณาการร่วมกันทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นการต่อยอดการพัฒนาที่ได้เริ่มช่วงแรกมาตั้งแต่ พ.ศ.2547 เป็นต้นมา ที่มี 3 บริการหลัก คือ 1.รักษาพยาบาล 2.การส่งเสริมสุขภาพ และ 3.ผลิตภัณฑ์สุขภาพและสมุนไพรไทย ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา พบว่า ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย สร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจสุขภาพ และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ล่าสุด ในปี 2554 มีรายได้ประมาณ 97,874 ล้านบาท มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทย และรับบริการด้านสุขภาพเป็นจำนวนมากถึง 2.2 ล้านคน

       นายวิทยา กล่าวต่อว่า ในการพัฒนาช่วงที่ 2 นี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพของนานาชาติในปี 2555-2559 โดยให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเป็นเจ้าภาพหลัก เพื่อเป็นกรอบในการกำหนดรูปแบบแนวทางการดำเนินงานของศูนย์บริการสุขภาพทั่วประเทศ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอีกด้านหนึ่งด้วย โดยมีเป้าหมายหลัก 4 เรื่อง ได้แก่

1.การรักษาพยาบาล เช่น ทันตกรรม การรักษาโรคเฉพาะทาง การพำนักระยะยาว
2.การส่งเสริมสุขภาพ เช่น สปา นวดเพื่อสุขภาพ
3.ผลิตภัณฑ์สุขภาพและสมุนไพรไทยให้ได้มาตรฐาน จีเอซีพี (GACP) ขององค์การอนามัยโลก และ
4.การเพิ่มผลผลิตด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ส่งเสริมให้จัดตั้งโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย หรือการแพทย์ทางเลือกทุกภูมิภาค ให้โรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนเปิดคลินิกแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาล ทั้งหมดนี้จะไม่ให้เกิดผลกระทบกับการบริการสุขภาพโดยรวมของคนไทย
       
       ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ขยายเวลาพำนักของชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามารักษาพยาบาลในประเทศไทย จากเดิม 30 วัน เป็น 90 วัน โดยไม่ต้องทำวีซ่า และสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้หลายครั้ง รวมกันแล้วไม่เกิน 1 ปี ในขั้นต้นอนุโลมให้ 5 ประเทศในกลุ่มอาหรับ ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ รัฐกาตาร์ รัฐคูเวต รัฐสุลต่านโอมาน และรัฐบาห์เรน ผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป
       
       ขณะเดียวกัน จะพัฒนาโรงพยาบาลและคลินิกของไทยให้ได้มาตรฐาน ระดับนานาชาติ หรือมาตรฐาน เจซีไอเอ (JCIA: Joint Commission International on Accrediation) ซึ่งจะเป็นศูนย์บริการเฉพาะชาวต่างชาติที่เดียวเบ็ดเสร็จครบวงจร (One Stop service Center) มีล่าม มีหอผู้ป่วย บริการต่ออายุวีซ่า หรือบริการตามหลักศาสนาทั้งอาหารและบุคลากร
       
       ปัจจุบันมีโรงพยาบาลและคลินิกของไทย ได้รับการรับรองมาตรฐาน จำนวน 21 แห่ง ซึ่งจะมีการจัดอบรมเพิ่มขึ้นในเดือนนี้ โดยเน้นการดูแลผู้ป่วยเป็นหลัก รวมทั้งตรวจรับรองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพทุกประเภทให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อก้าวสู่การรับรองคุณภาพในระดับสากล เตรียมความพร้อมรองรับการลงทุนด้านสุขภาพของประชาคมอาเซียนในอนาคต ซึ่งจะทำให้ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำในเวทีโลกด้านบริการสุขภาพอย่างแท้จริง
       
       นายวิทยา กล่าวด้วยว่า แผนพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของนานาชาติในปี 2555-2559 ใช้งบประมาณในการดำเนินงานประมาณ 3,131 ล้านบาท และคาดว่า จะสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศรวม 5 ปี ประมาณ 814,266 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ต่อปี โดยด้านการรักษาพยาบาล คาดว่า จะสร้างรายได้ 672,236 ล้านบาท ด้านการส่งเสริมสุขภาพ 85,669 ล้านบาท ด้านแพทย์แผนไทยฯ 3,868 ล้านบาท ด้านสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สุขภาพ 52,493 ล้านบาท

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    3 สิงหาคม 2555

7208
 อย.แจง ยาปลอมไทยส่วนใหญ่ เป็นยากลุ่มรักษาเซ็กซ์เสื่อม และยานอนหลับ เหตุมีราคาแพง และต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ส่วนยาเบาหวาน ยามะเร็ง ผู้ป่วยได้รับสิทธิจากรัฐอยู่แล้ว ไม่ค่อยซื้อเอง ชี้ ปัญหายาปลอมเกิดจากยาแพงเข้าถึงยาก
       
       จากกรณีที่มีการจับกุมยาปลอมที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง ที่ประเทศเพื่อนบ้านนั้น นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า มาตรการปราบปรามยาปลอม เป็นสิ่งที่ อย.ได้ทำอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2554 สามารถจับกุมได้ 20 ราย กลุ่มยาส่วนใหญ่ที่มีการปลอมแปลง จะเป็นยาราคาแพง เข้าถึงได้ยาก ที่พบส่วนใหญ่จะเป็นยารักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และยานอนหลับ เนื่องจากราคาแพงและต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ ทำให้มีความต้องการซื้อจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ยาเบาหวาน และยามะเร็ง ที่มีข่าวว่า มีการปลอมและจับได้นั้น พบว่า ที่ผ่านมา ยากลุ่มดังกล่าวเป็นยาที่ประชาชนไม่ซื้อเอง เพราะอยู่ในสิทธิการรักษาพยาบาลทั้ง 3 กองทุนอยู่แล้ว ส่วนยามะเร็งถือเป็นยาควบคุมพิเศษ ที่ใช้เฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น โอกาสที่จะหายากลุ่มนี้จึงเป็นไปได้ยาก แต่ก็เป็นไปได้บ้าง เช่น การจัดซื้อโดยสถานพยาบาลเอกชน แต่ อย.ได้เตือนไปก่อนหน้านี้แล้ว ว่า สถานพยาบาลควรจัดหายากับผู้จัดจำหน่ายที่ไว้ใจได้ และต้องไม่เลือกยาที่มีราคาถูกจนผิดสังเกต เพราะอาจเป็นยาปลอมได้ ซึ่ง อย.ได้มีมาตรการในการตรวจสอบจับกุมอย่างสม่ำเสมอ
       
       นพ.พิพัฒน์ กล่าวว่า สำหรับยาปลอมมีความหมายกว้าง ทั้งยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ยาเลียนแบบทั้งบรรจุภัณฑ์ เม็ดยา หรือยาที่ไม่ผลิตในสถานที่ตามที่จดแจ้ง ก็ถือว่าเป็นยาปลอมทั้งสิ้น ซึ่งกระบวนการขึ้นทะเบียนยา ถือเป็นมาตรฐานในการพิสูจน์ว่าเป็นยาที่ได้คุณภาพจริง ทำให้เมื่อตรวจสอบยาปลอม จะพบว่า มีคุณภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน มีทั้งตัวยามากเกินไป น้อยเกินไป หรือไม่สามารถวัดประสิทธิภาพของตัวยาได้เลย ทั้งนี้ การแก้ปัญหายาปลอมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งการทำให้ยาราคาถูกลง การทำให้ประชาชนเข้าถึงยาได้ แต่ยาที่ต้องได้รับการเข้มงวดในการใช้ ก็ยังจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อรับการประเมินก่อนใช้ยาเช่นเดิม
       
       “กลุ่มยารักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ถือเป็นยาที่พบว่ามีการปลอมมากที่สุด เพราะมีราคาแพง เช่น ยาไวอะกร้า 1 กล่อง มี 4 เม็ด ราคา 2 พันบาท และข้อบ่งขี้ยังต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ เนื่องจากยามีผลข้างเคียง โดยในอนาคตองค์การเภสัชกรรม จะมีการผลิตกลุ่มยาซิลดีนาฟิล ซึ่งจะมีราคาถูกลงเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความเข้าใจของสังคม ว่า โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศเป็นเรื่องปกติ ที่ปรึกษาแพทย์ได้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เป็นต้น ก็จะทำให้สามารถแก้ปัญหาของยาปลอมลงได้” นพ.พิพัฒน์ กล่าว
       
       นพ.พิพัฒน์ กล่าวว่า สำหรับวิธีสังเกตยาปลอม คือ 1.ดูทะเบียนและเอกสารกำกับยา 2.สังเกตฉลากตัวกล่อง ว่ามีความลบเลือนของตัวหนังสือหรือไม่ 3.ซื้อยาในสถานที่ที่ได้มาตรฐาน เช่น คลินิก ร้านขายยา ส่วนร้านค้าประเภทแผงลอย หาบเร่ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นยาปลอม ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนทั้งหมด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 สิงหาคม 2555

7209
ผลสำรวจพบคนกรุงรู้จักผักแค่ 8 ชนิด เหตุกินผัก ผลไม้น้อยลง ส่งผลผักพื้นบ้านเริ่มสูญหาย เพราะเน้นผลิตผักแบบอุตสาหกรรมโดยใช้สารเคมีมากขึ้น สสส.เร่งฟื้นระบบอาหารปลอดภัย จัดเทศกาล "กินเปลี่ยนโลก ครั้งที่ 1" เพิ่มความมั่นคงทางอาหารให้ประเทศไทย
   
       วันนี้ (4 ส.ค.) ที่สวนสันติชัยปราการ รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์สื่อสารสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวระหว่างเป็นประธานพิธีเปิดงาน “เทศกาลกินเปลี่ยนโลก ครั้งที่ 1” Taste of food ซึ่งจัดโดย มูลนิธิชีววิถี (BioThai) แผนงานความมั่นคงด้านอาหาร ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. ว่า องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้คาดการณ์ว่า ภายในปี 2561 ดัชนีของราคาอาหารของโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 30% ซึ่งจะกระทบต่อความมั่งคงทางอาหาร ซึ่งประเทศไทยเริ่มประสบกับปัญหาราคาอาหารแพงมาระยะหนึ่ง และพบว่ายังมีปัญหาโภชนาการด้วย จากข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ล่าสุด พบว่า มีคนไทยอ้วนมากกว่า 17 ล้านคน โดยเด็กตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 12 ปี จะมีความอ้วนสูงถึง 40% ในจำนวนนี้เมื่อเจาะหาไขมันในร่างกายพบ 70% มีปัญหาไขมันสูงเกินมาตรฐาน สถานการณ์นี้ทำให้แต่ละปีต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาโรคปีละหลายแสนล้านบาท
       
       รศ.ดร.วิลาสินี กล่าวต่อว่า พฤติกรรมการบริโภคของประชาชนเปลี่ยนแปลงไป จากการสำรวจพบประชาชนอาศัยในเขตเมือง รู้จักชนิดของผักเพียง 8 ชนิด โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ ที่เลือกรับประทานผัก ผลไม้ น้อยลง และหันไปรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีสารอาหารไม่ครบถ้วนแทน ส่งผลให้ไม่มีพื้นที่สำหรับผักพื้นบ้าน ความหลากหลายของอาหารท้องถิ่นลดลง ขณะที่ผักทางการตลาดและอุตสาหกรรมกลับสูงขึ้น และพบว่ามีการใช้สารเคมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากการสำรวจโดยสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค พบว่าเกษตรกรไทย 60% มีสารปนเปื้อนตกค้างในกระแสเลือดแสดงถึงการใช้สารเคมีจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังพบว่า ปริมาณการบริโภคผัก ผลไม้ ต่ำกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนด โดยกินเพียง 3 ส่วน จาก 5 ส่วน โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียนบริโภคผักเพียง 2 ส่วนเท่านั้น ขณะที่สินค้าทางการเกษตรมีการใช้สารเคมีทำให้มีต้นทุนสูงขึ้น และเกิดปัญหาปนเปื้อนในผักผลไม้ ซึ่งกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
       
       “ความปลอดภัยของอาหาร และโภชนาการที่ดีจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ ประชาชนควรเลือกรับประทานอาหารที่สด สะอาด ปลอดภัย และอร่อย โดยเลือกรับประทานอาหารจากท้องถิ่นที่มีความหลากหลาย และมีราคาไม่แพง ซึ่งแนวคิดนี้เรียกว่า “จากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร” (from farm to table) ที่ผู้บริโภคจะไม่ถูกทำลายสุขภาพ เกษตรกรรายย่อยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และระบบอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องผลักดันให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยให้ได้” รศ.ดร.วิลาสินี กล่าว
       
       สำหรับเทศกาลกินเปลี่ยนโลก จัดโดย สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้บริโภค เกษตรกร และผู้ประกอบการรายย่อย ได้แลกเปลี่ยนความรู้ และสร้างความเข้าใจระบบนิเวศอาหารที่หลากหลาย เพื่อสร้างการตระหนัก และรับรู้เรื่องอาหารปลอดภัยให้แก่ประชาชน โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจงาน ได้แก่ นิทรรศการเส้นทางกะปิ นำเสนอกระบวนการผลิตกะปิแบบธรรมชาติและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, ระยะทางของผัก นำเสนอระยะทางตลอดการเดินทางของผักจากแปลงสู่ปากผู้บริโภค และสวนผักคนเมือง City Farm ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้คนเมืองหันมาปลูกผักที่สดสะอาดปลอดภัยไว้กินเอง รวมถึงซุ้มฝึกลิ้น ที่จะชวนชิมอาหารเปรียบเทียบรสระหว่างอาหารสดเครื่องปรุงรสน้อยๆ กับอาหารปรุงรส ปรุงแต่งอย่างหนัก เพื่อให้รู้จักและแยกรสต่างๆ ของอาหารได้ โดยระหว่างงานจะมีผู้ผลิตจากหลากหลายระบบนิเวศเข้าร่วม อาทิ เกษตรอินทรีย์ จ.เชียงใหม่ ที่จะยกตลาดผักอินทรีย์มาถึงกรุงเทพฯ และเครือข่ายโรงเรียนชาวนานครสวรรค์ ที่พาข้าวอินทรีย์หลากสายพันธุ์ และน้ำพริกสารพัดรสชาติ มาให้เลือกสรรกันแบบจุใจ โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-5 สิงหาคมนี้ ที่สวนสันติชัยปราการ


 ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 สิงหาคม 2555

7210
 ครม.เห็นชอบมาตรการกำกับดูแลการทำการตลาด และการโฆษณานมสำหรับทารกและเด็กเล็ก
       
       นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการกำกับดูแลเกี่ยวกับการทำการตลาด และการโฆษณานมสำหรับทารกและเด็กเล็ก เพื่อขอความร่วมมือให้สถานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทั้งในกำกับและนอกกำกับ สธ.ปฏิบัติตามมาตรการฯ ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ ดังนี้ 1.ไม่ควรส่งเสริมหรืออนุญาตให้มีกิจกรรมด้านการขายและการตลาดทุกด้านเพื่อส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารทดแทนนมแม่และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ขวดนม จุกนม ไม่ควรแสดงผลิตภัณฑ์และสื่อที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ยกเว้นสื่อที่ได้รับอนุญาต
       
       2.ไม่ควรมีการสาธิต หรืออนุญาตให้มีการสาธิตการใช้นมดัดแปลงสำหรับทารกและอาหารทารก โดยบริษัทผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย ในสถานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข  3.ไม่ควรรับบริจาค หรือรับการสนับสนุนใดๆ ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ภายใต้หลักเกณฑ์นี้ รวมทั้งการใช้เครื่องมือสิ่งของอื่นๆ ที่ใส่ชื่อ เครื่องหมายบริษัท หรือสื่อใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์นี้ หรือบริษัทผู้ผลิตที่สื่อความหมายถึงผลิตภัณฑ์ ภายใต้หลักเกณฑ์นี้ และ 4.บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ควรปกป้องส่งเสริม สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และไม่ควรเป็นตัวแทนของผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายอาหารทดแทนนมแม่และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
       
       นอกจากนี้ ยังมีสาระสำคัญเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของ สธ.ดังนี้

        1.สธ.ได้มีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการเลี้ยงทารกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนองโครงการสายใยรักแห่งครอบครัว เนื่องจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชาติ ประกอบกับปัจจุบันมีการขยายตัวทางการค้าและอุตสาหกรรมเกี่ยวกับอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมุ่งเน้นผลประโยชน์ทางการค้ามากกว่าคำนึงถึงสุขภาพของเด็ก
       
       2.สธ.โดยกรมอนามัยได้ออกประกาศ สธ.เรื่อง หลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยว ข้อง พ.ศ.2551 ลงวันที่ 1 กันยาน พ.ศ.2551 โดยมีการกำกับดูแลและติดตามการปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว แต่ที่ผ่านมา ยังพบปัญหาเกี่ยวกับการทำตลาดอาหารทดแทนนมแม่ โดยมีการส่งเสริมการขายด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ แจกแถม ทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากมาตรการดังกล่าวครอบคลุมเฉพาะสถานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขในกำกับ สธ.เท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมถึงสถานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขนอกกำกับ สธ.ทำให้การส่งเสริมให้เลี้ยงเด็กด้วยนมแม่ไม่ประสบผลสัมฤทธิ์ตามที่มุ่งหมาย
       
       3.สธ.ได้พิจารณากำหนดมาตรการกำกับดูแลเกี่ยวกับการทำการตลาดและการโฆษณานมสำหรับทารกและเด็กเล็ก เพื่อขอความร่วมมือให้สถานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งในกำกับและนอกกำกับ สธ.เช่น สังกัดกระทรวงกลาโหม สังกัดกระทรวงมหาดไทย สังกัดกรุงเทพมหานคร ปฏิบัติตามมาตรการฯ ดังกล่าว เนื่องจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวอันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและการพัฒนาชาติ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 สิงหาคม 2555

7211
บอร์ด สปสช.เห็นชอบบรรจุยาใหม่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ 26 รายการ เข้าเป็นสิทธิประโยชน์ผู้ป่วยบัตรทอง
       
       นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพ (บอร์ด สปสช.) เคยมีมติเห็นชอบในหลักการเพิ่มยาที่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ ให้คณะอนุกรรมการพัฒนาสิทธิประโยชน์และระบบบริการพิจารณาและเสนอบอร์ด สปสช.เพิ่มประกาศเป็นยาในสิทธิประโยชน์ และคณะอนุกรรมการพัฒนาสิทธิประโยชน์ มีมติเห็นชอบให้รายการยาที่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยไม่ต้องรอลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้นำเสนอบอร์ด สปสช.เพื่อทราบและประกาศเป็นสิทธิประโยชน์ด้านยาเพิ่มเติมและให้มีผลในวันถัดหลังจากที่มีมติ
       
       นพ.วินัย กล่าวอีกว่า ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา สปสช.จึงได้เสนอสรุปการเปลี่ยนแปลงรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ปี 2555 โดยมีรายการยาที่คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติพิจารณาเพิ่มเติมรายการยาทั้งหมด 26 รายการ เพื่อให้บอร์ด สปสช.รับทราบ ซึ่งเมื่อบอร์ดรับทราบและการดำเนินการเพิ่มเติมยาในบัญชียาหลักเรียบร้อย จะถือเป็นสิทธิประโยชน์ด้านยาของผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ผู้ป่วยมีสิทธิ์ได้รับยาใหม่ที่มีการเพิ่มเติมในบัญชียาหลักแห่งชาติทันที ไม่ต้องเสนอเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ดสปสช.เพื่อให้ความเห็นชอบแต่อย่างใด
       
       ทั้งนี้ รายการยาที่คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติพิจารณาเพิ่มรายการยา 26 รายการ อาทิ ยาสำหรับโรคไวรัสตับอักเสบ ซี, ยาจอตาเสื่อมแบบเปียกในผู้สูงอายุและจอตาบวมในผู้ป่วยเบาหวาน, ยารักษาการติดเชื้อรา, ยาสำหรับการวินิจฉัยแยกโรคมะเร็งที่ต่อมไธรอยด์, ยารักษาพิษเฉียบพลันจากปรอท ทองแดง สารหนู, ยารักษาภาวะบูทูลิซึม, ยาใช้บำบัดพิษจากตะกั่ว, ยาใช้รักษาผ็ป่วยที่ติดสุรา, ยาฝังคุมกำเนิด, ยารักษาผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ และลำไส้ตรง และยารักษาอาการตาแห้ง ร่วมกับการอักเสบของพื้นผิวกระจกตา เป็นต้น


ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 สิงหาคม 2555

7212
ผลตรวจผักตลาดสดและหาบเร่ พบมีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน 38.1% ผักชีอันตรายสุด ที่ตลาดห้วยขวางพบสาร EPN เกินมาตรฐานยุโรป 102 เท่า มูลนิธิชีววิถีแนะปลูกผักกินเอง และเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้
       
       วันนี้ (7 ส.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN : Thailand Pesticide Alert Network) ร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อ แถลงผลการดำเนินการสุ่มตรวจผัก 7 ชนิด ได้แก่ กะหล่ำปลี คะน้า ถั่วฝักยาว ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน ผักชี และพริกจินดา โดยสุ่มเก็บจากตลาดสดทั่วไป 2 ตลาด ได้แก่ ตลาดห้วยขวาง และตลาดประชานิเวศน์ รวมถึงผักที่ขายในรถเร่ ไปวิเคราะห์หาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้าง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มออร์แกโนฟอสเฟต และคาร์บาเมต ที่ห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)
       
       นายพชร แก้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกการคุ้มครองความปลอดภัยด้านอาหาร มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวถึงผลการตรวจ ว่า ผักในตลาดสดทั่วไปและรถเร่พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินมาตรฐาน 38.1% ใกล้เคียงกับผลการสุ่มตรวจผักที่มีตรามาตรฐาน Q ของกรมวิชาการเกษตรและผักที่ขายในห้างซึ่งพบว่ามีผักที่พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินมาตรฐาน 43% ทั้งๆ ที่ผักดังกล่าวมีราคาแพงมากกว่าผักที่ขายในตลาดสดตั้งแต่ 2-10 เท่า

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
   
นายพชร กล่าวอีกว่า ผักที่พบสารพิษตกค้างมากที่สุดและอันตรายที่สุด คือ ผักชี โดยพบสารตกค้างเกินมาตรฐาน 5 ชนิด ได้แก่ Carbofuran, Chlorpyrifos, EPN, Methidathion และ Methomyl โดยเฉพาะผักชีจากกูร์เมต์ มาร์เก็ต (สยามพารากอน) พบ Carbofuran เกินค่ามาตรฐาน 37.5 เท่า ผักชีตลาดประชานิเวศน์ พบ Carbofuran เกิน 56.5 เท่า ในขณะที่ตลาดห้วยขวาง พบ EPN เกิน 102 เท่า
       
       ด้าน น.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า จากการตรวจสอบ ผักที่ไม่พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในกลุ่มออร์แกโนฟอสเฟต และคาร์บาเมต ตกค้างเลย คือ ผักบุ้งจีน เนื่องจากเป็นผักที่มักมีศัตรูพืชน้อยกว่าผักประเภทอื่นๆ สำหรับกะหล่ำปลี และผักกาดขาว ซึ่งมีความเสี่ยงในการพบสารเคมีตกค้างค่อนข้างมากนั้น การสำรวจครั้งนี้ พบว่า มีการตกค้างของ Carbofuran และ Methomyl น้อยกว่ามาตรฐานที่สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (มกอช.) และของสหภาพยุโรปกำหนดไว้ ซึ่งอาจเกิดจากช่วงที่สุ่มเก็บตัวอย่างนั้น ยังไม่ใช่ฤดูกาลที่ศัตรูพืชของผักประเภทนี้ระบาดทำให้มีการใช้สารเคมีน้อยกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม แม้ไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่หากได้รับบ่อยๆ ก็จะสะสมในร่างกายจนก่อให้เกิดอันตรายได้
       
       น.ส.ปรกชล กล่าวอีกว่า เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เตรียมยื่นเรื่องไปยังกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำเนินการควบคุมการส่งเสริมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของบริษัทสารเคมี และเกษตรกรให้เข้มงวดเท่าเทียมกับที่มีมาตรการที่ใช้กับผักส่งออก และให้การยกเลิกการขึ้นทะเบียนและห้ามมิให้มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่หลายประเทศห้ามใช้แล้วโดยทันที นอกจากนี้ จะยื่นเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้มีมาตรการในการสุ่มตรวจดูความปลอดภัยของผักและผลไม้ด้วย
       
       “สำหรับผู้บริโภคสามารถลดผลกระทบจากปัญหานี้ได้ โดยการเลือกซื้อ หรือบริโภคผักที่มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชน้อย อาทิ ผักพื้นบ้าน ผักที่ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ หรือปลูกผักเพื่อบริโภคเอง โดยอาจหาข้อมูลเบื้องต้นได้จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องส่วน การลดสารเคมีตกค้างในผัก สามารถทำได้โดยการล้างน้ำหลายๆ ครั้ง หรือการใช้ด่างทับทิม แต่อาจไม่ได้ผลเสมอไป เพราะสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหลายชนิดเป็นประเภทดูดซึม” น.ส.ปรกชล กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 สิงหาคม 2555

7213
ทริปแอดไวเซอร์ เว็บไซต์ท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดในโลก เผยผลสำรวจล่าสุดจากทริปแอดไวเซอร์ อินดัสตรี อินเด็กซ์ (TripAdvisor Industry IndexTM) ซึ่งเป็นการสำรวจด้านโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยการสำรวจนี้ได้รับคำตอบมากกว่า 25,000 คำตอบจากผู้ประกอบการโรงแรมทั่วโลก และกว่า 500 คำตอบจากประเทศไทยเพียงแห่งเดียว การสำรวจนี้ได้เผยผลสำรวจที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระแสอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน
       
จากผลสำรวจหลักๆ พบว่า ประเทศไทยติดอันดับ 3 ในฐานะประเทศที่สร้างอาชีพในสายงานโรงแรมมากที่สุดของโลก และมีผู้ประกอบการโรงแรมร้อยละ 31 คาดว่าจะเพิ่มอัตราการจ้างงานในอีก 6 เดือนข้างหน้า จากการสำรวจด้านธุรกิจโรงแรมปีละ 2 ครั้งของทริปแอดไวเซอร์ พบสิ่งที่น่าสนใจมากมายในอุตสาหกรรมบริการ เช่น การคาดการณ์ราคาห้องพักเมื่อเข้าสู่เดือนกันยายน วิธีเข้าถึงนักเดินทางผ่านช่องทางออนไลน์และโทรศัพท์มือถือ และแผนให้บริการโปรแกรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
       
       ประเทศไทยและอินโดนีเซียเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมสำหรับสายงานโรงแรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากผลสำรวจพบว่ามีจำนวนผู้ประกอบการโรงแรมในประเทศไทย ร้อยละ 31 และอินโดนีเซีย ร้อยละ 30 วางแผนเพิ่มจำนวนพนักงาน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น ร้อยละ 20 นิวซีแลนด์ ร้อยละ 9 และออสเตรเลีย ร้อยละ 8       

       แนวโน้มธุรกิจที่ดีสำหรับธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย จากคำตอบของผู้ร่วมการสำรวจต่อคำถามที่ประเมินการรับรู้สถานภาพทางธุรกิจของตนพบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของโรงแรมในประเทศไทย (ร้อยละ 49) คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น
       
       เมื่อเทียบกันแล้ว ประเทศอินโดนีเซียเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยมีจำนวนโรงแรมร้อยละ 67 ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า
       
       นอกจากนี้ แนวโน้มธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย โดยมีผู้ประกอบการโรงแรมในภูมิภาคฯ ร้อยละ 50 คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 48 จากผลการสำรวจครั้งก่อนในเดือนธันวาคม 2554
       
       ประเทศที่มีแนวโน้มธุรกิจโรงแรมที่เติบโตเร็ว :
       1. อินโดนีเซีย
       2. บราซิล
       3. รัสเซีย
       4. สหรัฐอเมริกา
       5. อินเดีย
       
       ประเทศที่มีแนวโน้มธุรกิจโรงแรมที่ขยายตัวช้า :
       1. นิวซีแลนด์
       2. ฝรั่งเศส
       3. สเปน
       4. อิตาลี
       5. กรีซ
       
       โรงแรมใหญ่กว่าทำกำไรได้ดีกว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ร้อยละ 29 ของโรงแรมในประเทศไทยรายงานว่าสามารถทำกำไรได้ดีหรือดีมาก นอกจากนี้ ร้อยละ 37 ของโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ (มากกว่า 50 ห้องพัก) ชี้ว่าธุรกิจโรงแรมทำกำไรได้ดีหรือดีมากกว่า เมื่อเทียบกับร้อยละ 24 ของโรงแรมขนาดเล็ก (ตั้งแต่ 50 ห้องพักลงไป)
       
       ภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเทศอินโดนีเซียและอินเดียทำกำไรช่วงต้นปีได้มากกว่า โดยร้อยละ 44 ของโรงแรมในอินโดนีเซีย และร้อยละ 35 ของโรงแรมในอินเดียรายงานว่าธุรกิจทำกำไรได้ดีหรือดีมาก
       
       การจัดอันดับราคาห้องพัก : ประเทศใดเพิ่ม/ลด ราคาห้องพักในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ประเทศที่มีราคาห้องพักต่ำ 5 อันดับ :
       1. กรีซ - 58%
       2. สเปน - 43%
       3. อิตาลี - 37%
       4. ออสเตรเลีย - 32%
       5. นิวซีแลนด์ - 29%
       
       ประเทศที่มีราคาห้องพักสูง 5 อันดับ :
       1. สหรัฐอเมริกา - 47%
       2. บราซิล - 42%
       3. รัสเซีย - 42%
       4. อินโดนีเซีย - 37%
       5. ตุรกี - 35%
       
       สิทธิพิเศษและส่วนลด: โรงแรมในประเทศไทยเอาชนะใจแขกผู้เข้าพักได้อย่างไร
       สิทธิพิเศษยอดนิยม :
       1. ส่วนลดห้องพัก - 64%
       2. บริการสิ่งอำนวยความสะดวกพิเศษ (เช่น ฟรี Wi-Fi) - 49%
       3. เข้าพักฟรีพร้อมบริการสำรองห้องพัก - 28%
       4. บริการที่จอดรถฟรี - 19%
       5. บริการรถรับ-ส่งในบริเวณใกล้เคียงฟรี - 17%
       
       มีโรงแรมในประเทศไทยเพียงร้อยละ 5 ที่ไม่ให้บริการสิทธิพิเศษใดๆ เลย
       
       บริการฟรี Wi-Fi มีแนวโน้มอย่างไร?
       ร้อยละ 81 ของผู้ร่วมตอบคำถามในการสำรวจบอกว่า โรงแรมของตนให้บริการฟรี Wi-Fi เพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในห้องพัก และร้อยละ 41 ของผู้ที่ยังไม่ให้บริการฟรี Wi-Fi วางแผนให้บริการดังกล่าวในอีก 6 เดือนข้างหน้า
       
การจัดอันดับด้านสื่อออนไลน์พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก ประเทศไทย (ร้อยละ 80) ได้อันดับ 6 ของโลกในฐานะประเทศที่ใช้สื่อออนไลน์ในการดึงดูดนักเดินทาง ตามหลังประเทศมาเลเซีย (ร้อยละ 89) และอินโดนีเซีย (ร้อยละ 84) แต่ชนะประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น ประเทศญี่ปุ่น (ร้อยละ 62) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 55) และนิวซีแลนด์ (ร้อยละ 46)
       
       จากโรงแรมขนาดและประเภทต่างๆ ในประเทศไทย ผู้ร่วมตอบแบบสำรวจกล่าวถึงเหตุผลหลักในการใช้สื่อออนไลน์ ดังนี้ การตลาดผ่านเว็บไซต์สังคมออนไลน์ (ร้อยละ 51) รายการและวิจัยของอุตสาหกรรมบริการ (ร้อยละ 41) และคำแนะนำของเพื่อน (ร้อยละ 24) สำหรับวิธีการใช้เว็บไซต์สังคมออนไลน์ ผู้ร่วมตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ตอบว่าเพื่อลงข้อมูลสิทธิพิเศษ (ร้อยละ 68) โต้ตอบผลตอบรับจากแขก (ร้อยละ 66) และประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ (ร้อยละ 50)
       
       ในประเทศไทย โรงแรมขนาดใหญ่ทำการตลาดบนโทรศัพท์มือถือมากกว่าโรงแรมขนาดเล็ก (B&B)
       
       โรงแรมขนาดใหญ่ โรงแรมขนาดเล็ก (B&B)ความสามารถในการสำรองห้องพักผ่านเว็บไซต์ของโรงแรมบนโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องที่ “สำคัญมาก” 62% 51% การลงข้อมูลสิทธิพิเศษต่างๆ ให้ผู้ใช้อุปกรณ์ไร้สายสามารถเข้าถึงได้เป็นเรื่องที่ “สำคัญมาก” 48% 33%ให้บริการที่จะเข้าถึงแขกผ่านอุปกรณ์ไร้สาย 35% 23% โปรแกรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม : ดีต่องบประมาณโรงแรมและสิ่งแวดล้อม
       
ผู้ประกอบการโรงแรมในประเทศไทย (ร้อยละ 75) ติดอันดับที่ 13 ของโลกในด้านการปฏิบัติการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ชนะประเทศในภูมิภาคเดียวกันอย่าง ประเทศญี่ปุ่น (ร้อยละ 69) แต่ยังตามหลังประเทศนิวซีแลนด์ (ร้อยละ 93) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 80) อินเดีย (ร้อยละ 80) และมาเลเซีย (ร้อยละ 76)
       
       โปรแกรมรักษาสิ่งแวดล้อมที่ใช้กันทั่วไปคือ การใช้หลอดประหยัดไฟ (ร้อยละ 66) การนำผ้าเช็ดตัว/ผ้าปูที่นอนกลับมาใช้ใหม่ (ร้อยละ 65) และโปรแกรมประหยัดพลังงาน (ร้อยละ 61)
       
       เมื่อถามถึงเหตุผลของการจัดโปรแกรมรักษาสิ่งแวดล้อม ผู้ร่วมตอบแบบสำรวจให้เหตุผลหลักว่า เพื่อลดค่าใช้จ่าย (ร้อยละ 69) และเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด (ร้อยละ 40)
       
       “การสำรวจทริปแอดไวเซอร์ อินดัสตรี อินเด็กซ์ เน้นย้ำให้เห็นถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยผู้ประกอบการโรงแรมในอเมริกาเหนือ เอเชียแปซิฟิก และละตินอเมริกา มีแนวโน้มเป็นสองเท่า โดยประมาณว่าจะสามารถทำกำไรได้ดีในช่วง 6 เดือนหลังนี้ เมื่อเทียบกับโรงแรมในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา” มิสคริสทีน ปีเตอร์เซน ประธานฝ่ายธุรกิจทริปแอดไวเซอร์ กล่าวว่า “สิ่งที่เป็นแรงกระตุ้นคือ แรงฉุดลากที่โรงแรมต่างๆ กำลังปฏิบัติในส่วนของการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ สังคมออนไลน์ และโทรศัพท์มือถือ ขณะที่ในปัจจุบันมีผู้ร่วมตอบแบบสำรวจเพียง 1 ใน 4 ที่ให้บริการโปรแกรมเพื่อเข้าถึงผู้ใช้อุปกรณ์ไร้สาย เราคาดว่าตัวเลขในส่วนนี้จะเพิ่มสูงขึ้น”

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 สิงหาคม 2555

7214
ข่าวแจก
จากสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย(สผพท.)
 
บุคลากรสาธารณสุขรวมพลังยื่นเสนอพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขพ.ศ. ....(พ.ร.บ.ก.สธ. พ.ศ. ....) ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อแยกบุคลากรสาธารณสุขออกจาก ก.พ.  วันที่ 7 สิงหาคม 2555 เวลา 10.00น.

สหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย
และบุคลากรสาธารณสุขทุกสาขาวิชาชีพ จะเข้ายื่นสนอกฎหมาย พ.ร.บ.ก.สธ. พ.ศ..... เพื่อแยกบุคลากรสาธารณสุขออกจากก.พ.ทั้งนี้มีผู้ลงชื่อร่วมเสนอกฎหมายนี้ทั้งสิ้น 112,502 คน

   ทั้งนี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้มอบหมายให้นายวิสุทธิ์ สุทธิมรรค รองประธานสภาเป็นผู้รับมอบร่างกฎหมายฉบับนี้ ที่สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่7 สิงหาคม 2555 เวลา 10.00 น.ที่อาคารรัฐสภา 1 ชั้น1  โดยนพ.ธงชัย ซึงถาวร ผู้ตรวจราชการเขต 17 จะนำคณะบุลากรสาธารณสุขจากเขต17 และบุคลากรจากหลายจังหวัด มาร่วมในการยื่นเสนอกฎหมายนี้ในวันและเวลาดังกล่าว

เหตุผลในการยื่นพ.ร.บ.ก.สธ. พ.ศ..... นี้
ก็เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนตำแหน่งและอัตรากำลังของบุคลากรสาธารณสุขทุกระดับและทุกสายงาน ทั้งนี้ ก็เพื่อให้มีจำนวนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกประเภทและทุกระดับอย่างเหมาะสมต่อการทำงานบริการประชาชนอย่างมีมาตรฐานและปลอดภัย

  สภาพปัจจุบันนี้ ก็คือ จำนวนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขมีน้อย ถึงแม้รัฐบาลบังคับให้บุคลากรสาธารณสุขทำงานชดใช้ทุนแต่ก็ไม่มีตำแหน่งบรรจุ  ซึ่งเรื่องประหลาดที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขบอกว่าบุคลากรสาธารณสุขขาดแคลน แต่ไม่มีอัตราบรรจุ ถ้าไปดูตัวเลขการขาดแคลนบุคลากรยังขาดอยู่อีกหลายหมื่นอัตราแต่กระทรวงสาธารณสุขไม่สามารถบรรจุบุคลากรได้เองต้องไปร้องขอจากก.พ.ทุกปี แต่ขอตำแหน่งไปที่ก.พ.เป็นหมื่น อาจจะได้ตำแหน่งเพียงร้อยละ 10 ของที่ขอไป เมื่อไม่มีตำแหน่งงาน ทำให้บุคลากรทั้งหลายลาออกกันมากทุกปี

 แล้วบุคลากรลาออกไปไหนล่ะ? ก็ลาออกไปอยู่ รพ.เอกชนที่รัฐบาลเองก็สนับสนุนให้เกิด Medical Hub เพราะต้องการได้เงินจากชาวต่างชาติที่เข้ามารักษาในประเทศไทยเป็นจำนวนมากขึ้น รพ.เอกชนจึงต้องการบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขขึ้น จนเกิดปัญหาสมองไหลไปภาคเอกชนมาก ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่เจ็บป่วยไม่ได้รับความสะดวกปลอดภัยในการไปรับการดูแลรักษาสุขภาพในโรงพยาบาลภาครัฐในประเทศของตนเอง

   แต่เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายให้ก.พ.ลดตำแหน่งและอัตรากำลังของข้าราชการทั้งหมด (เป็นการตัดสินใจแบบรวบอำนาจจากส่วนกลาง) ทำให้มีผลกระทบต่อการขาดตำแหน่งและอัตรากำลังของบุคลากรต่างๆในกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องทำงานดูแลรักษาสุขภาพประชาชน ทำให้บุคลากรหลายหมื่นคนต้องทำงานในตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ขาดสวัสดิการ ขาดความมั่นคงและความก้าวหน้าในวิชาชีพ(หรืออาชีพ) ส่งผลให้บุคลากรขาดขวัญกำลังใจในการทำงาน และตัดสินใจลาออกจากการทำงานให้บริการสาธารณะด้านสาธารณสุขในกระทรวงสาธารณสุข

การขาดแคลนบุคลากรที่เหมาะสมทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่เจ็บป่วย และไปรับการดูแลซ่อมแซมสุขภาพ
ใน รพ.ของกระทรวงสาธารณสุขได้รับการดูแลรักษาจากบุคลากรที่มีน้อยเกินไป ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อความผิดพลาดและความเสียหายจากการไปรับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข

ถ้าสามารถแยกบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขออกจากก.พ.แล้ว คณะกรรมการข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขซึ่งจะสรรหามาจากผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานในพื้นที่ก็จะสามารถกำหนดกรอบอัตรากำลังเพื่อบรรจุข้าราชการในสายงานต่างๆให้เหมาะสมกับภาระงานที่จะต้องรักษามาตรฐานให้ดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ นับว่าเป็นการกระจายอำนาจการบริหารสาธารณสุขมาสู่บุคลากรที่รู้ปัญหาจริง เพื่อทำให้ประชาชนที่เจ็บป่วยได้รับการดูแลรักษาอย่างมีมาตรฐานและปลอดภัย

 โดยจะสามารถกำหนดตำแหน่งบุคลากรให้เหมาะสม มีตำแหน่งงานตามความเชี่ยวชาญที่รับผิดชอบ มีความก้าวหน้าในสายงานวิชาชีพ(อาชีพ) ทำให้บุคลากรมีขวัญกำลังใจดี ไม่ลาออกไปทำงานในภาคเอกชนเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และประชาชนจะได้รับความสะดวกและปลอดภัยในการไปรับการบริการด้านสุขภาพจากโรงพยาบาลและสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขดีขึ้นกว่าเดิม

  สหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย(สผพท.)ได้ติดตามศึกษาปัญหานี้มายาวนาน และได้เริ่มรวบรวมรายชื่อบุคลากรสาธารณสุขและประชาชนทั่วไป เพื่อเสนอพ.ร.บ.ก.สธ.นี้ ที่ได้ยกร่างโดยพญ.อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล
และนายสุกฤษฎิ์ กิติศรีวรพันธุ์ และได้ผ่านการพิจารณาโดยคณะอนุกรรมการพิจารณาปรับเปลี่ยนเงินเดือนและค่าตอบแทนแพทย์ แพทยสภา ซึ่งได้เชิญบุคลากรสาธารณสุขจากหลากหลายสาขาวิชาชีพและอาชีพ มาพิจารณาให้ความเห็นต่อร่างพ.ร.บ.ก.สธ. .... นี้ และได้มอบให้พญ.อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล เป็นหัวหน้าคณะทำงานรวบรวมรายชื่อผู้เสนอกฎหมาย โดยนพ.ธงชัย
ซึงถาวร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 17 จะเป็นผู้นำคณะบุคลากรสาธารณสุข ไปยื่นเสนอพ.ร.บ.ก.สธ. ....
ต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้พิจารณาออกเป็นกฎหมายใช้บังคับต่อไป

7215


เวียนถึง/เรียน  พี่น้องสาธารณสุขเพื่อทราบและส่งต่อ


            ขณะนี้สหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย       (สผพท.) ร่วมกับหลายองค์กร  รวมถึงตัวท่านหลายคน  ได้เข้าชื่อเสนอกฎหมายแยกตัวจาก ก.พ. จัดตั้ง ก.สธ.เพื่อการบริหารบุคลากรสาธาณสุขที่ดีกว่า    โดยใช้ฉบับยกร่างเบื้องต้นโดย พ.ญ.อรพรรณ์ เมธาดิลกกุล (หัวหน้าคณะทำงานเข้าชื่อเสนอกฎหมายเพื่อพัฒนาการสาธารณสุข) ได้จำนวน  112,502 รายชื่อ  และประธานสภาได้อนุญาตให้เข้าเสนอร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวได้ในวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ.อาคารรัฐสภา ๑ ชั้น ๑  

            ในการนี้ สผพท. จะมี นายแพทย์ธงชัย ซึงถาวร ผู้ตรวจราชการเขต ๑๗ ( 081 3790940)ซึ่งเป็นผู้บริหารคนสำคัญของกระทรวงสาธารณสุขที่ให้ความสำคัญกับชีวิตการทำงานของชาว สาธารณสุขทุกหมู่เหล่าจนเป็นที่ประจักษ์ชัดของคนทำงาน    เป็นผู้นำชาว สธ.ยื่นร่างกฎหมาย แยกตัวจาก ก.พ. หรือ ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการและบุคลากรสาธารณสุข พ.ศ. .....

          จึงเรียนเชิญพี่น้องชาว สธ. และคนไทย ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการแพทย์และการสาธารณสุขที่ดีกว่าเพื่อคนไทย  เข้าร่วมในวันประวัติศาสตร์นับ ๑ แยกตัวจาก ก.พ. / ปฏิเสธการบริหารแบบกดดันของ ก.พ.    พร้อมกันในวัน/สถานที่ดังกล่าว นัดรวมพล 10.00 น.(พบกันก่อนยื่นกฎหมาย)  แต่งกายชุดปฏิบัติงานหรือชุดสบายๆ พร้อมนำสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านมาด้วย


                            ประกาศ ณ.วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๕

                    แพทย์หญิงเชิดชู  อริยศรีวัฒนา  ประธาน สผพท. 086 5659985

             แพทย์หญิงอรพรรณ์  เมธาดิลกกุล  หัวหน้าคณะทำงานเข้าชื่อฯ 083 2495151, 086 3635794

                นายแพทย์ฐาปนวงศ์  ตั้งอุไรวรรณ  หัวหน้า เครือข่าย คบส. 086 057284


หน้า: 1 ... 479 480 [481] 482 483 ... 650