แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 436 437 [438] 439 440 ... 650
6556
ปิดตำนานสิ่งศักดิ์สิทธิ์รอบสนามบินสุวรรณภูมิ ผอ.สนามบินยังสักการะทุกเดือน ช่วงใกล้เปิดสนามบิน โหร คมช.ทักที่แรง สัมภเวสีเพียบ ให้ตั้งศาลพญานาคดูแลหนองงูเห่า ส่วนช่วงเวนคืนรื้อศาล 2,000-3,000 ย้ายวัดอีก 1...

สนามบินสุวรรณภูมิ ประตูหลักสู่ประเทศไทย มีผู้เข้ามาใช้บริการแต่ละวันนับแสนคน แต่ในอีกมุมหนึ่ง สนามบินแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยเรื่องเล่าขานในด้านความเชื่อ ล่าสุด เป็นเรื่องหญิงสาวห่มสไบเฉียง มาช่วยเหลือผู้โดยสารจากเหตุการณ์เครื่องบินสายการบินไทย ไถลหลุดออกนอกรันเวย์

แม้จะเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล แต่นางระวีวรรณ เนตระคเวสนะ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ "ทอท." เปิดเผยกับ "ไทยรัฐออนไลน์" ว่า ทุกๆ เดือนในวันพฤหัสบดี ที่ไม่ตรงกับวันพระ จะทำการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ 4 แห่ง ประกอบไปด้วย
1.พระพุทธมงคลสุวรรณภูมิ ซึ่งประดิษฐานอยู่หน้าทางเข้าสำนักงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
2.ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน ซึ่งตั้งอยู่ที่สวนด้านตะวันออกของอาคารผู้โดยสาร (สวนนก)
3.ศาลเจ้าที่ ตั้งอยู่บริเวณสำนักงานโครงการ และ
4.ศาลพ่อแก่มิ่ง ตั้งอยู่ที่อาคารซ่อมบำรุงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

โดยทุกๆ วันที่ 26 ก.ย. ซึ่งเป็นวันครบรอบเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ จะมีการทำบุญสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญทั่วทั้งสนามบินที่มีอยู่รวมทั้งสิ้น 16 แห่ง

“ถือเป็นประเพณีของคนไทยในการเคารพสถานที่ เมื่อบูชาแล้วทำให้รู้สึกดี โดยเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยคุ้มครองให้เกิดสิ่งที่ดีในพื้นที่” นางรระวีวรรณ กล่าว

ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดเผยว่า ในช่วงที่เวนคืนที่ดินเพื่อก่อสร้างสนามบิน พื้นที่รวมกว่า 20,000 ไร่ ต้องแผ้วถางพื้นที่และรื้อศาลต่างๆ ที่ชาวบ้านตั้งเอาไว้ มีจำนวนรวม 2,000-3,000 แห่ง จึงมีการตั้งศาลเจ้าที่บริเวณอาคารสำนักงานโครงการขึ้นมาทดแทน

นางณัฐา อินทวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทอท. เล่าว่า สำหรับศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ตั้งขึ้นหลัง นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ หรือ "โหร คมช." ทักว่าพื้นที่บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิเคยเป็นที่พักทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ระหว่างเดินทัพจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อไปตีเมืองจันทบุรี ซึ่งมีการทุบหม้อข้าวหม้อแกงเพื่อสร้างความฮึกเหิมให้แก่ทหาร

“วันที่บวงสรวงตั้งศาลขึ้น ก่อนเริ่มพิธี ท้องฟ้าสว่างสดใส แต่พอช่วงพิธี ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มลง และเกิดปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ทรงกลดด้วย” นางณัฐา กล่าว

นอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 แห่งแล้ว รอบๆ สนามบินสุวรรณภูมิยังมีการตั้งศาลพญานาคขึ้นทั้ง 4 มุมของสนามบิน ประกอบด้วย
1.ศาลพญาอนันตนาคราชเจ้าวิสุทธิเทวา ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงข้ามสถานีตำรวจภูธรสุวรรณภูมิ
2.ศาลพญามุจลินท์นาคราช ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ใกล้ทางเข้า-ออกสนามบิน ด้านถนนบางนา-ตราด
3.ศาลองค์นาคาธิบดี ศรีสุทโธ วิสุทธิเทวา ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตรงข้ามไปรษณีย์สุวรรณภูมิ และ
4.ศาลท้าววิรุปักเขมหานาคราชเจ้า ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้

ผู้อำนวยการฝ่ายอำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เล่าว่า ในช่วงก่อสร้างสนามบิน มีอุบัติเหตุหลายครั้ง มีผู้เสียชีวิตและคำร่ำลือด้านความเฮี้ยนของพื้นที่ ประกอบกับในช่วงใกล้เปิดสนามบินสุวรรณภูมิ นายโชติศักดิ์ อาสภวิริยะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทอท.ในขณะนั้น พบงูขนาดใหญ่เลื้อยผ่านระหว่างขับรถอยู่ในพื้นที่สนามบิน และฝันในทำนองเดียวกันอีก

เมื่อนายโชติศักดิ์พบกับโหรวารินทร์ก็ถูกทักว่า พื้นที่บริเวณนี้แรงมาก ลักษณะเหล็กชนเหล็ก มีสัมภเวสีจำนวนมาก จึงแนะนำให้ตั้งศาลพญานาคทั้ง 4 มุมของสนามบิน โดยศาลที่ตั้งให้อัญเชิญพญานาคที่มีฤทธิ์เดชมากมาช่วยดูแล เพราะพื้นที่นี้เป็นพื้นที่หนองงูเห่า ถ้าสังเกตจะเห็นว่า พระพุทธรูปในสนามบินสุวรรณภูมิจะเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก

จากนั้นจึงได้รับมอบหมายจากนายโชติศักดิ์ให้ไปจัดหาพญานาคที่ทำจากไม้สักที่ จ.หนองคาย โดยสามารถจัดหาได้ที่ร้านทำเครื่องบูชา ที่ตลาดท่าเสด็จ พร้อมกันนี้ ได้จัดหาไม้สักทองมาตั้งเป็นศาลตายายเคียงคู่กับศาลพญานาคทั้ง 4 แห่ง โดยมีโหรวารินทร์เป็นผู้ทำพิธี

นางณัฐา ยอมรับว่า พื้นที่บางส่วนของสนามบิน เป็นที่ของวัดหนองปรือ ซึ่งตั้งมานับร้อยปี แต่ช่วงก่อสร้างสนามบินต้องย้ายวัดออกไปอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงแทน จึงทำให้มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับความเฮี้ยนของพื้นที่จากเรื่องนี้ด้วย

นายบุญเลิศ รัตนกนก ประชาชนละแวกใกล้เคียงสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเดินทางมาสักการะศาลพญามุจลินท์นาคราช บอกว่า ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีประชาชนละแวกใกล้เคียงมาบนบานศาลกล่าวเป็นประจำ ส่วนตัวมีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อว่า ในพื้นที่นี้มีองค์พญานาคอยู่จริง ซึ่งหลังกราบไว้แล้วทำให้เกิดความสบายใจ

นอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 8 แห่งนี้แล้ว ยังมีศาลต่างๆ กระจาย อยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิ เช่น ศาลแดง และศาลอิตาเลียน (อิตาเลียน-ไทย) ที่ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของสนามบิน ที่มีคนที่ทำงานภายในสนามบิน และประชาชนละแวกใกล้เคียงเข้าไปกราบไหว้สักการะ และบนบานศาลกล่าว โดยมีหลายรายที่ได้สมตามปราถนา ก็จะนำสิ่งของมาแก้บนเป็นประจำ.

ไทยรัฐออนไลน์ 14 กย 2556

6557
ผงะศพ !! ผอ.รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล เครียด ฉีดยาเข้าแขนก่อนใช้เชือกผูกคอติดกับขื่อในบ้านพักเสียชีวิต คาดมีปัญหาเรื่องครอบครัว...

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ร.ต.ท.สมหมาย  เพชรสุริยา ร้อยเวร สภ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ได้รับแจ้งว่า มีคนผูกคอเสียชีวิต เหตุเกิดที่บ้านพักภายใน รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลก้านเหลือง อ.อุทุมพรพิสัย จึงรีบไปตรวจที่เกิดเหตุร่วมกับ พญ.สุกัญญา บุญบัวมาศ แพทย์เวร รพ.อุทุมพรพิสัย และหน่วยกู้ภัยจำนวนหนึ่ง  ที่เกิดเหตุอยู่ภายในบ้านพักของ ผอ.รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลก้านเหลือง (รพ.สต.) ซึ่งเป็นบ้านสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ อยู่ด้านหลังของโรงพยาบาล ที่ห้องโถงชั้นล่างของบ้านใกล้กับบันไดขึ้นชั้นสอง พบผู้เสียชีวิตเป็นชายสวมเสื้อคอโปโล สีขาว กางเกงยีนส์ขายาว มีเชือกไนล่อนสีขาวผูกคอติดกับขื่อ เท้าสองข้างแตะอยู่ที่พื้น บนพื้นที่มีไซริงค์เข็มฉีดยาใช้แล้ววางอยู่ 1 อัน ซึ่งในเบื้องต้นยังไม่ทราบว่าเป็นยาอะไร และที่บรรจุยาเต็มหลอดยังไม่ได้ใช้อยู่ในกระเป๋าเสื้ออีก 1 อัน ซึ่ง ที่บริเวณแขนขวามีรอยเข็มฉีดยาจนเลือดไหล ใกล้กันมีบันไดอะลูมิเนียมตั้งอยู่ นอกจากนั้นไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้ายและไม่พบจดหมายสั่งเสียใด ๆ ทราบชื่อต่อมาคือนายประชา  ครุฑแก้ว อายุ 57 ปี ผอ.รพ.สต.บ้านก้านเหลือง แพทย์สันนิษฐานว่าเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 12 ชม.

นางจันทร์เพ็ญ  แสงดี  อายุ 39 ปี เจ้าหน้าที่ รพ.สต.ก้านเหลือง ให้การกับตำรวจว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้อำนวยการก็ได้เข้าทำงานตามปกติตลอดทั้ง 5 วัน และได้บ่นให้ฟังว่ามีปัญหาภายในครอบครัวเรื่องลูก แต่ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น จึงไม่ทราบว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ซึ่งตนก็ไม่คิดว่าเรื่องจะหนักหนาจนถึงกับคิดฆ่าตัวตาย ท่านเป็นคนที่มีนิสัยดี เป็นที่รักใคร่ของผู้ใต้บังคับบัญชา และประชาชนในตำบล ไม่เคยมีปัญหาหรือมีเรื่องกับใคร พบเห็นครั้งสุดท้ายเช้าวันอาทิตย์ จากนั้นก็ไม่ได้เจออีก วันจันทร์ก็ไม่เห็นออกมาทำงาน จนกระทั่งเที่ยงไม่เห็นออกมาทานข้าว จึงได้ไปเรียกที่บ้านก็พบว่าผูกคอตัวเองเสียชีวิตจึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ดังกล่าว

ด้าน นพ.ประวิ  อ่ำพันธุ์ นายแพทย์สาธารณสุจจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า พอได้รับแจ้งก็ต้องตกใจมาก เนื่องจากคิดไม่ถึง ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไร การทำงานก็เป็นคนที่ไว้ใจได้ มีความเชื่อมั่นใจตัวเอง ตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับรายงานรายละเอียด ซึ่งจะต้องสอบสวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  ซึ่งในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่คาดว่า ผู้ตายอาจมีปัญหาครอบครัว หรือเครียดเรื่องลูกตามที่ได้เล่าให้เจ้าหน้าที่ในที่ทำงานฟัง ได้ส่งศพไปผ่าพิสูจน์ที่ รพ.ศรีสะเกษ และพิสูจน์ว่ายาในไซริงค์เป็นยาอะไร เพื่อหาสาเหตุของการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป.

ไทยรัฐออนไลน์  9 กย 2556

6558
เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในห้องกายภาพบำบัด ของโรงพยาบาลพะเยากลางดึก หลังเกิดฟ้าผ่าอย่างแรง จนเป็นเหตุให้เบรกเกอร์เครื่องปรับอากาศไฟลุกท่วม เจ้าหน้าที่ระดมรถดับเพลิงนับ 10 คัน สกัดเปลวเพลิงได้ภายใน 1 ชม. ขณะที่แพทย์-พยาบาลอพยพคนไข้อย่างอลหม่าน…

เมื่อเวลา 01.10 น. วันที่ 9 ก.ย.56 มีรายงานว่า โรงพยาบาลพะเยา เกิดเหตุเพลิงลุกไหม้ห้องกายภาพบำบัด ซึ่งอยู่ชั้นล่างตึกอุบัติเหตุ ติดกับแผนกทันตกรรม และห้องจ่ายยาผู้ป่วยใน โดยควันไฟหนาแน่นส่งกลิ่นเหม็น แพทย์พยาบาลเจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันขนย้ายผู้ป่วยที่มาตรวจรักษาห้องฉุกเฉิน ออกมายังที่ปลอดภัย พร้อมแจ้งขอรถดับเพลิงเทศบาลเมืองพะเยา 10 คัน มาช่วยฉีดน้ำสกัด ราว 1 ชั่วโมงเพลิงสงบ


ขณะเกิดเหตุนายชูชาติ กีฬาแปง ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา นพ.เธียรชัย คฤหโยธิน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพะเยา ได้มาอำนวยการดับเพลิงด้วย และนพ.เธียรชัย คฤหโยธิน กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุเพลิงไหม้น่าจะมาจากที่ก่อนหน้าเมื่อเวลา 00.45 น. ของวันที่ 9 ก.ย.ได้เกิดฟ้าผ่าอย่างรุนแรงใกล้กับโรงพยาบาล จากนั้นเวลา 01.10 น. เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์รับแจ้งจากญาติผู้ป่วยว่าเกิดไฟไหม้ที่ห้องกายภาพบำบัด โดยมีควันไฟพุ่งออกมาทางบานเกล็ด จึงได้แจ้งรถดับเพลิงเทศบาลเมืองพะเยามาดับไฟ พร้อมกับย้ายผู้ป่วยที่อยู่ในแผนกฉุกเฉิน ซึ่งอยู่ใกล้กันและมีควันไฟเข้าไปจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ได้ย้ายมาอยู่ในที่ปลอดภัย ส่วนที่เสียหายเป็นพวกอุปกรณ์ที่ใช้กับผู้ป่วย เตียงผู้ป่วย คอมพิวเตอร์ ตู้เก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งค่าเสียหายยังประมาณการไม่ได้ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน มาเก็บข้อมูลก่อน


หลังเกิดเหตุเข้าตรวจสอบห้องที่ไฟไหม้ พบว่า เบรกเกอร์แอร์ ซึ่งมีรอยไฟไหม้เกรียม และคาดว่าน่าจะเกิดจากเหตุฟ้าผ่า แล้วกระแสไฟจากฟ้าผ่าอาจลงมาตรงเบรกเกอร์แอร์ ที่มีสภาพเก่าจนเป็นเหตุให้ไฟฟ้าลัดวงจรจนเกิดไฟไหม้ห้องกายภาพบำบัด ส่วนสาเหตุใดนั้นต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานมาทำการตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไปอีกที

ไทยรัฐออนไลน์ 9 กย 2556

6559
 วุฒิสภาเคาะ กม.สาธารณสุขชุมชน ขีดเส้นให้วินิจฉัยโรคได้เบื้องต้นเพียง 20% เท่านั้น หลังซักไซ้ขอบเขตการทำงานสาธารณสุขชุมชนนานกว่า 2 ชั่วโมง หวั่นวินิจฉัยโรคผิดพลาด เพราะไม่ใช่แพทย์
       
       ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเสียงข้างมาก 116 ต่อ 4 เสียงเห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน ตามที่คณะกรรมาธิการร่วมกันของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเสนอ โดยจากนั้นจะส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป
       
       สำหรับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดนิยามคำว่าวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน หมายถึงวิชาชีพที่กระทำต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในชุมชนเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การควบคุมโรค การตรวจประเมิน และการบำบัดโรคเบื้องต้น แต่ไม่รวมถึงการประกอบโรคศิลปะตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะ หรือการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และการสาธารณสุขอื่นตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
       
       อย่างไรก็ตาม ตลอดการอภิปรายกว่า 2 ชั่วโมง ส.ว.ส่วนใหญ่ได้สอบถามว่าถึงขอบเขตในการทำงานของผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขชุมชนว่าเป็นอย่างไร โดยเกรงว่าอาจจะก่อให้เกิดการวินิจฉัยโรคที่ผิดพลาดได้ เนื่องจากไม่ได้เป็นแพทย์ที่มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยโรคได้โดยตรง
       
       พล.ต.ท.สมยศ ดีมาก ส.ว.สรรหา ในฐานะ กมธ.ชี้แจงว่า กฎหมายฉบับนี้จะให้อำนาจแก่ผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขในการวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยได้ประมาณ 20% เท่านั้น เช่น การให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เป็นต้น ก่อนที่จะส่งมอบให้แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญดำเนินการรักษาต่อไป ซึ่งการมีกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการทำให้การทำงานของผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขชุมนุมมีกฎหมายรองรับ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 กันยายน 2556

6560
สพฉ. ถอดบทเรียนจากเหตุรถพ่วง 18 ล้อชนประสานงา บขส. ที่ จ.สระบุรี จี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งอบรมพนักงานให้บริการบนรถโดยสารให้มีความรู้ด้านปฐมพยาบาลเบื้องต้น...

นายอนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เปิดเผยว่า สพฉ.ได้ถอดบทเรียนจากเหตุรถพ่วง 18 ล้อ ชนประสานงากับรถบัสโดยสารของ บริษัท ขนส่ง จำกัด(บขส.) ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อหาแนวทางแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก   โดย สพฉ. จะเร่งหาแนวทางในการพัฒนาวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือเกิดอุบัติเหตุ โดยประสานงานร่วมกันระหว่างทีมกู้ชีพและกู้ภัยให้มีความพร้อม มีมาตรฐานการทำงานที่เพียงพอ และมีกระบวนการส่งต่อผู้ป่วยที่มีความพร้อม โดยสามารถส่งผู้ป่วยหรือผู้ได้รับบาดเจ็บเข้าทำการรักษาในสถานพยาบาลที่ใกล้และมีความพร้อมในการรักษามากที่สุด ขณะเดียวกันอุปกรณ์กู้ภัยก็ต้องมีความพร้อม ทั้งการให้ความช่วยเหลือกรณีรถขนาดใหญ่พลิกคว่ำ หรือทับผู้ประสบเหตุ ซึ่งจะต้องมีรถเครนช่วยยกรถ แต่จากข้อมูลขณะนี้อุปกรณ์ดังกล่าวยังกระจายไม่ทั่วถึงในแต่ละภูมิภาค

สำหรับแนวทางในการป้องกันและแก้ปัญหาในเบื้องต้น สพฉ.จะเร่งให้ความรู้กับประชาชน รวมทั้งจัดฝึกอบรมพนักงานประจำรถโดยสารให้มีความรู้ด้านหลักการปฐมพยาบาลในเบื้องต้น เพื่อให้คำแนะนำที่ถูกต้องกับผู้โดยสาร นอกจากนี้จะขยายขอบเขตการฝึกอบรมสู่อาสาสมัครกู้ชีพที่ีมีความรู้เรื่อง การปฐมพยาบาลในแต่ละอาชีพด้วย เช่น โรงงาน โรงเรียน ชุมชน ซึ่งต้องรู้วิธีให้ความช่วยเหลือที่ถูกต้องเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกำหนดบทลงโทษอย่างจริงจังต่อผู้กระทำความผิดและฝ่าฝืนกฎหมาย 

น.ส.นวพร สุขประเสริฐ ฝ่ายประชาสัมพันธ์มูลนิธิร่วมกตัญญู รหัสนคร 0592 และนักสื่อสารกู้ชีพของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุถึง 19 ราย และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก 2 ราย โดยสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการโดนไฟคลอกและไม่สามารถหนีออกจากรถโดยสารได้ ซึ่งจากการเข้าช่วยเหลือของมูลนิธิฯ ในช่วงแรกที่เกิดเหตุเป็นไปอย่างยากลำบาก ทั้งลักษณะของรถบัสที่เป็นรถ 2 ชั้น ประกอบกับเปลวไฟโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง แม้จะทำการช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้วแต่ก็ยังมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก สิ่งสำคัญคือผู้ประสบเหตุเกือบทุกคนไม่รู้วิธีที่จะช่วยเหลือตัวเอง เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น และไม่รู้ตำแหน่งทางออกฉุกเฉินว่าอยู่ตรงช่วงใด

อย่างไรก็ตาม แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากรถทัวร์โดยตรง แต่รถทัวร์เป็นรถโดยสารสาธารณะ จึงควรจะมีวิธีในการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก หรือหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นผู้โดยสารควรได้รับข้อมูลที่จะเอาตัวรอดจากเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นได้ โดยเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดอบรมให้ความรู้แก่พนักงานขับรถและพนักงานที่ให้บริการบนรถโดยสารให้มีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้น รวมทั้งให้ข้อมูลแก่ผู้โดยสารกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ตลอดจนวิธีการสังเกตทางออกฉุกเฉิน และการใช้เครื่องมือต่างๆ เมื่อเกิดเหตุ ซึ่งอาจนำเสนอในรูปแบบของวิดีโอหรือหนังสั้น  หรือรูปแบบการ์ตูน เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ซึ่งจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนรถโดยสารได้.

ไทยรัฐออนไลน์ 28กค 2556

6561
รถ ฉุกเฉิน รพ.กระสัง นำผู้ป่วยส่ง รพ.จังหวัดบุรีรัมย์ พลาดท่าประสานงารถเก๋งที่วิ่งสวนทางมาพังยับตกข้างทาง ผู้ป่วย ญาติ และคนขับเก๋งสาหัส รวม 4 คนขับรถพยาบาลเจ็บเล็กน้อย

เมื่อเวลา 19.50 น. วันที่ 7 ก.ย. มีรายงานว่า ร.ต.ท.พงศกร อ่อนสลวย ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ รับแจ้งเหตุรถพยาบาลรับส่งคนไข้ของโรงพยาบาลกระสัง ชนประสานงากับรถเก๋ง บนถนนสายบุรีรัมย์ – สุรินทร์ ต.สวายจีก มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย จึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างจรรยาธรรมบุรีรัมย์ และกู้ชีพ อบต.สวายจีก บริเวณหลัก กม.ที่ 8 - 9 โค้งห้วยลึก ต.สวายจีก อ.เมือง

ที่เกิดเหตุพบรถตู้โตโยต้าสีขาว หมายเลขทะเบียน กง 5684 บุรีรัมย์ เป็นรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลกระสัง อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ หัวรถพุ่งลงไปข้างทาง สภาพด้านหน้ายุบพังยับเยิน มีนายธงชัย มั่นหมาย อายุ 41 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ขับรถของโรงพยาบาลกระสัง ได้รับบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าและขาด้านซ้าย นอกจากนั้นยังมีผู้ป่วย และญาติผู้ป่วย ได้รับบาดเจ็บอยู่ภายในรถ อีก 3 ราย ทราบชื่อ น.ส.ภาวนา ปิ่นทอง อายุ 22 ปี ผู้ป่วย  นางเชื้อ ปิ่นทอง อายุ 48 ปี และ นายปลอด ปิ่นทอง อายุ 51 ปี ทั้งหมดอยู่บ้านเลขที่ 168 หมู่ 5 ต.สูงเนิน อ.กระสัง เจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ ต้องเร่งลำเลียงผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งโรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ เพื่อให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เนื่องจากผู้บาดเจ็บทั้งหมดมีอาการสาหัส ใกล้กันพบรถเก๋งโตโยต้า คัมเมอรี่ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน กท 8549 นครราชสีมา สภาพพังยับเยินไปทั้งคัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บติดอยู่ภายในรถอาการสาหัส ทราบชื่อ นางชลิตา นิพรรัมย์ อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29 หมู่ 11 ต.ชุมเห็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ เจ้าหน้าที่ต้องเร่งนำร่างออกมาจากรถและนำส่งโรงพยาบาลให้แพทย์ทำการช่วยชีวิต

สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า รถฉุกเฉินของโรงพยาบาลกระสัง กำลังนำ น.ส.ภาวนา ปิ่นทอง ผู้ป่วยของโรงพยาบาล ไปส่งต่อยังโรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ พร้อมด้วย ญาติผู้ป่วย เมื่อถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้ง รถโรงพยาบาลที่ขับมาด้วยความเร็วมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองบุรีรัมย์ ขณะเดียวกันมีรถเก๋งคู่กรณีขับสวนทางมามุ่งหน้าอำเภอกระสัง ได้ชนประสานงาอย่างจังเสียงดังสนั่น เป็นเหตุให้รถเก๋งหมุนและพุ่งตกข้างทาง มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส และคนขับรถโรงพยาบาลกระสัง ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย รวมบาดเจ็บ 5 ราย

ไทยรัฐออนไลน์ 8 กย 2556

6562
 1. รัฐสภา ผ่านแก้ รธน.ที่มา ส.ว.อีก 2 มาตรา นัดถกมาตรา 5 เปิดช่อง “สภาผัวเมีย” 4 ก.ย.!

       เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ได้มีการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว.ต่อ หลังประชุมไปแล้ว 3 วัน(20-22 ส.ค.) ลงมติไปได้ 2 มาตรา ว่าด้วยชื่อของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวและวันบังคับใช้ ส่วนมาตรา 3 ที่ยังพิจารณาค้างอยู่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับจำนวน ส.ว.ที่มีการแก้ไขให้เพิ่มจาก 150 คน เป็น 200 คน และให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ยกเลิก ส.ว.สรรหา รวมทั้งให้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยบางจังหวัดอาจมี ส.ว.มากกว่า 1 คน
       
        ทั้งนี้ เมื่อการประชุมเริ่มขึ้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ได้ขอหารือประธานที่ประชุม เกี่ยวกับความเห็นของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย(คปก.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ที่ระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว.นั้น คณะกรรมาธิการ(กมธ.) ได้แก้ไขเกินกว่าหลักการที่รัฐสภาได้มีมติในวาระ 1 ไปแล้ว ซึ่งอาจเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากหลักการแก้ไข ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ปรากฏว่า มีการแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขให้บุพการี คู่สมรส และบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสามารถลงสมัคร ส.ว.ได้ และแก้ไขให้ ส.ว.ดำรงตำแหน่งได้หลายสมัยติดต่อกัน รวมทั้งแก้ไขให้สมาชิกพรรคการเมืองที่ยังพ้นสภาพไม่เกิน 5 ปี ลงสมัคร ส.ว.ได้ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว. อ้างว่า นายคณิตมีสิทธิแสดงความคิดเห็นได้ แต่ไม่ใช่ผู้ชี้ขาด เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญต่างหากที่จะวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังมีการอภิปรายมาตรา 3 ไปได้ไม่เท่าไหร่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้เสนอให้ปิดอภิปราย เพื่อลงมติ โดยอ้างว่า มีการอภิปรายกันมานานและเนื้อหาเริ่มวกวนแล้ว แต่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วย เพราะยังเหลือผู้อภิปรายอีกหลายคน สุดท้ายประธานต้องสั่งพักการประชุม เพื่อให้วิป 3 ฝ่าย(รัฐบาล-ฝ่ายค้าน-วุฒิสภา) ไปหารือกัน สุดท้ายจึงให้อภิปรายต่อ และเมื่อการอภิปรายมาตรา 3 ไม่แล้วเสร็จ จึงได้นัดประชุมต่อในวันรุ่งขึ้น(28 ส.ค.)
       
        สำหรับบรรยากาศการประชุมในวันที่ 28 ส.ค. ค่อนข้างดุเดือด เมื่อนายสุชีน เอ่งฉ้วน ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า การเลือกตั้ง ส.ว.ในอนาคตอาจทำให้ยึดโยงกับการซื้อเสียง โดยจะเกิดการซื้อประเทศไทยด้วยกุญแจ 4 ดอก ด้านนายมงคล ศรีคำแหง ส.ว.จันทบุรี ไม่พอใจ ลุกขึ้นประท้วง พร้อมตำหนินายสุชีนว่าพูดจาเลอะเทอะวกวน ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายตอบโต้กันมา เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ถ้าแก้ที่มา ส.ว.ตามกรรมาธิการจะมีผล 3 ประการ คือ 1.การได้มาซึ่ง ส.ว.ส่วนใหญ่จะมาจากฐานคิดเดียวกับ ส.ส. ซึ่งจะทำให้ ส.ส.-ส.ว.ผูกพันกันอย่างไม่ต้องสงสัย 2.การหวังจะเห็น ส.ว.อิสระจะไม่เกิดขึ้น และ 3.อาจมีฝ่ายการเมืองส่งนอมินีลงเลือกตั้งแบบลับๆ ใช้เครือข่ายแบบอุปถัมภ์จัดการให้ได้ ส.ว.เป็นจำนวนมาก ถือเป็นสัญญาณอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย
       
        อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายอย่างไร สุดท้ายที่ประชุมก็ได้ลงมติเห็นชอบมาตรา 3 ด้วยคะแนน 344 ต่อ 140 เสียง งดออกเสียง 32 เสียง และไม่ลงคะแนน 2 เสียง ส่วนมาตรา 4 ที่มีการแก้ไขโดยยกเลิกกระบวนการสรรหา ส.ว.นั้น ที่ประชุมนัดพิจารณาในวันที่ 30 ส.ค. ซึ่งทันทีที่การประชุมเริ่มขึ้น นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ได้เสนอให้ที่ประชุมลงมติทันที โดยไม่ต้องอภิปราย ซึ่ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยรีบสนับสนุน แต่ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วย จึงตอบโต้กันไปมา ขณะที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา บอกว่า ไม่ให้อภิปรายไม่ได้ เพราะจะเป็นการจำกัดสิทธิการอภิปรายของผู้ขอแปรญัตติ ด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทยไม่พอใจนายสมศักดิ์ สุดท้ายจึงต้องสั่งพักการประชุม เพื่อให้วิป 3 ฝ่ายไปหาทางออก
       
        เมื่อกลับมาเริ่มประชุมอีกครั้ง นายสมศักดิ์ จึงอนุญาตให้อภิปราย โดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ได้อภิปรายไม่เห็นด้วยที่มาตรา 4 มีการยกเลิกกระบวนการสรรหา ส.ว.ทั้งหมด เพราะจะทำให้การเลือกตั้ง ส.ว.ไม่คำนึงถึงความรู้ความเชี่ยวชาญ ไม่คำนึงถึงคนที่มีความรู้ความสามารถ รวมทั้งไม่ให้โอกาสผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ซึ่งเป็นการทำลายหลักการของวุฒิสภา เพราะ ส.ว.ต้องไม่เหมือน ส.ส. แต่สุดท้าย ที่ประชุมก็ได้ลงมติเห็นชอบมาตรา 4 ตามที่กรรมาธิการเสียงข้างมากแก้ไขด้วยคะแนน 332 ต่อ 108 เสียง งดออกเสียง 26 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง จากนั้นประธานได้นัดประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 4 ก.ย. เพื่อพิจารณามาตรา 5 ซึ่งเป็นมาตราที่สำคัญ เพราะมีการแก้ไขให้ ส.ว.สามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้หลายสมัย ไม่ต้องเว้นวรรคดังที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ระบุ นอกจากนี้ยังเปิดทางให้ผู้ที่พ้นจากตำแหน่งทางการเมืองลงสมัคร ส.วได้ทันที ไม่ต้องพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองเกิน 5 ปีดังที่รัฐธรรมนูญ 2550 ระบุ รวมทั้งมีการแก้ไขโดยเปิดโอกาสให้บุพการี สามีภรรยา หรือบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองลงสมัคร ส.ว.ได้ด้วย ซึ่งหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่า จะทำให้วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร กลายเป็น “สภาผัวเมีย” ทำงานเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน และจะส่งผลให้ฝ่ายบริหารเข้าไปแทรกแซงวุฒิสภาในการแต่งตั้งบุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่างๆ ด้วย
       
       2. อำนาจมืดคุกคามม็อบยาง! ยิงใส่ผู้ชุมนุม ดับ 1 สาหัส 1 ด้านผู้ชุมนุมขู่ยกระดับ 2 ก.ย. หาก รบ.ไม่สนองข้อเรียกร้อง-ไม่ส่งคนเจรจา!

       จากกรณีที่กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพาราและปาล์มน้ำมันได้ปักหลักชุมนุมต่อเนื่องบริเวณสี่แยกควรหนองหงษ์ ถ.เอเชีย 41 ต.ชะอวด อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค. เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือหลังเดือดร้อนจากปัญหาราคายางตกต่ำ แต่ตำรวจในพื้นที่กลับพยายามใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมเพื่อให้ผู้ชุมนุมเปิดถนน ส่งผลให้เกิดการปะทะกัน และมีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมขีดเส้นให้รัฐบาลช่วยเหลือตามข้อเรียกร้องโดยให้ประกันราคายางแผ่นที่ 120 บาท/กก. ,เศษยาง 60 บาท/กก. และปาล์มน้ำมัน 7 บาท/กก. หากรัฐบาลเพิกเฉย เกษตรกรสวนยางทุกภาคจะชุมนุมใหญ่ปิดประเทศในวันที่ 3 ก.ย.
       
       ขณะที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้ประกาศพร้อมยืนเคียงข้างผู้ชุมนุมชาวสวนยาง โดยนายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา ยืนยันว่า “เราเห็นด้วยกับการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนและเราจะเดินตามพี่น้องประชาชนทุกฝีก้าว... ส่วนเจ้าหน้าที่ที่สลายการชุมนุม มอบหมายให้นายนิพิฏฐ์ (อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ปชป.) ใช้มาตรการทางกฎหมายกับเจ้าหน้าที่เหล่านั้น พี่น้องที่ได้รับบาดเจ็บจะเรียกร้องค่าเสียหาย รวมทั้งเรียกร้องค่าสินไหมทุกประเภทกับรัฐบาล” อย่างไรก็ตาม การที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางคนไปให้กำลังใจผู้ชุมนุม ก็ทำให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ออกมาตั้งข้อสงสัยว่า ผู้ชุมนุมดังกล่าวเป็นม็อบการเมือง ส่งผลให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี เปิดแถลงยืนยัน พรรคไม่ได้อยู่เบื้องหลังผู้ชุมนุม แต่ชาวสวนยางเหล่านี้เดือดร้อนจนทนไม่ไหว เพราะรัฐบาลไม่ใส่ใจแก้ปัญหามา 2 ปีแล้ว ดังนั้นนายกฯ ควรลงไปแก้ปัญหา
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดถึงข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ต้องการให้รัฐบาลประกันราคายางแผ่นที่กิโลกรัมละ 120 บาทว่า ไทยต้องอิงตามราคาตลาดโลก ต้องดูตามหลักสมดุล ดูต้นทุนต่างๆ ไม่สามารถผลักราคาไปเท่ากับราคาตลาดโลกได้ เพราะปริมาณยางของไทย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้ว ยังน้อย ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ให้นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ไปเจรจากับแกนนำผู้ชุมนุม แต่เจรจาไม่สำเร็จ โดยนายสุภรณ์ บอกว่า รัฐบาลพร้อมช่วยในราคายางแผ่นดิบไม่เกิน 80 บาท/กก. ,น้ำยาง 70 บาท/กก. และเศษยางไม่เกิน 40 บาท/กก. ซึ่งผู้ชุมนุมรับไม่ได้ จึงยังคงชุมนุมเรียกร้องต่อ แต่นายสุภรณ์ อ้างว่า ผู้ชุมนุมที่เป็นชาวสวนยางจริงๆ รับได้และกลับบ้านแล้ว ส่วนผู้ที่ยังชุมนุมต่อไม่ใช่ชาวสวนยาง
       
       ด้านผู้ชุมนุมได้ปิดถนนเพิ่มขึ้นบริเวณแยกบ้านตูล หมู่ 2 ต.บ้านตูล อ.ชะอวด รวมทั้งปิดเส้นทางรถไฟทั้งขาขึ้นและขาล่อง ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่อาจใช้กำลังสลายการชุมนุมอีกครั้งหลังตำรวจชุดปราบจลาจลในจังหวัดใกล้เคียงได้รับคำสั่งให้เข้าไปในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่มีการสลายการชุมนุมซ้ำอีก แต่เจ้าหน้าที่ก็ได้ออกหมายจับแกนนำผู้ชุมนุมแล้ว 15 คน ฐานปิดถนนและทำให้ทางสาธารณะอยู่ในลักษณะที่อาจเกิดอันตรายแก่การจราจร
       
       ด้านนายยุคล ลิ้มแหลมทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยืนยันว่า จะไม่มีมาตรการพิเศษเข้ามาอุดหนุนราคายางหรือรับซื้อยางแผ่น 120 บาทต่อ กก. แต่จะช่วยเหลือตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ(กนย.) ซึ่งจะเสนอที่ประชุม ครม.ในวันที่ 3 ก.ย.นี้ ประกอบด้วย 1.ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการโรงงานผลิตภัณฑ์ยางขนาดใหญ่ทั้งยางแท่งและยางแผ่นวงเงิน 15,000 ล้านบาท เพื่อยกระดับโรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.อนุมัติสินเชื่อวงเงิน 5,000 ล้านบาทให้สหกรณ์กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ในอัตราดอกเบี้ยต่ำหรือปลอดดอกเบี้ย เพื่อตั้งโรงงานแปรรูปยางแผ่นดิบเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และ 3. อนุมัติงบกลางกรณีฉุกเฉินวงเงิน 5,628 ล้านบาทเศษ เพื่อเป็นค่าปุ๋ย โดยโอนผ่านบัญชี ธ.ก.ส. ให้เกษตรกรโดยตรง เฉพาะเกษตรกรที่มีพื้นที่สวนยางน้อยกว่า 10 ไร่ จะได้รับการสนับสนุนค่าปุ๋ยไร่ละ 1,250 บาท
       
       ทั้งนี้ ข้อเสนอดังกล่าว ส่งผลให้ชาวสวนยางมีทั้งพอใจและไม่พอใจ โดยชาวสวนยางบางภาคบางจังหวัดที่พอใจ ได้แก่ ภาคเหนือ เช่น จ.พะเยา ,อุตรดิตถ์ จึงได้ประกาศชะลอการเคลื่อนไหวออกไป เพื่อรอดูการแก้ปัญหาของรัฐบาลภายใน 15 วันก่อน หากไม่น่าพอใจ จะเคลื่อนไหวต่อไป ส่วนชาวสวนยางที่ไม่พอใจการช่วยเหลือในลักษณะดังกล่าว ได้แก่ เครือข่ายชาวสวนยาง 14 จังหวัดภาคใต้ เนื่องจากเห็นว่ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ตรงจุด และไม่จริงใจในการแก้ไขปัญหาราคายาง จึงยืนยันจะชุมนุมใหญ่ที่สหกรณ์การยาง หรือที่โคออฟ จ.สุราษฎร์ธานี ในวันที่ 3 ก.ย.
       
       ด้านเครือข่ายชาวสวนยาง จ.นครราชสีมา ก็ยืนยันเช่นกันว่า พร้อมร่วมชุมนุมใหญ่บริเวณทางแยกต่างระดับ ถ.มิตรภาพ อ.สีคิ้ว ในวันที่ 3 ก.ย. โดยคาดว่า จะมีชาวสวนยางภาคอีสานเข้าร่วมชุมนุมกว่า 50,000 คน
       
       ขณะที่เครือข่ายชาวสวนยางภาคอีสาน เสียงแตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งซึ่งปลูกยางบนพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิรู้สึกพอใจการช่วยเหลือด้านต้นทุนการผลิตต่อไร่ ไร่ละ 1,250 บาท แต่อีกฝ่ายซึ่งปลูกยางบนพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ไม่พอใจ เพราะไม่รู้ว่าจะได้รับการช่วยเหลือหรือไม่ จึงยืนยันจะเข้าร่วมชุมนุมในวันที่ 3 ก.ย.
       
       ด้านเครือข่ายชาวสวนยางพารา และสวนปาล์มน้ำมันที่ชุมนุมบริเวณสี่แยกควนหนองหงษ์และแยกบ้านตูล อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 31 ส.ค. โดยยืนยันว่า รัฐบาลจะต้องประกันราคายางแผ่นดิบชั้น 3 ที่ 120 บาท/กก. เศษยาง 60 บาท/กก. ปาล์มน้ำมัน 7 บาท/กก. พร้อมขีดเส้นให้รัฐบาลส่งคนมาเจรจากับผู้ชุมนุมโดยตรงภายในวันที่ 2 ก.ย. เวลา 11.00 น. หากยังเพิกเฉย จะยกระดับการชุมนุมให้เข้มข้นมากขึ้น โดยนายเอียด เส้งเอียด ผู้ประสานเวทีกลุ่มผู้ชุมนุมชาวสวนยาง ย้ำว่า รัฐบาลสามารถติดต่อมายังตนได้ตลอดเวลา หากมีการทำตามข้อเรียกร้อง ม็อบก็พร้อมจะยุติ แต่หากไม่ทำตามข้อเรียกร้องจะยกระดับการชุมนุม ส่วนจะดำเนินการรูปแบบไหนยังไม่บอก แต่เชื่อว่าต้องรุนแรงกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากชาวสวนยางได้รับความเดือดร้อนจริงๆ จึงจำเป็นต้องออกมาเรียกร้อง ไม่อยากให้ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ต้องมาเดือดร้อนด้วย แต่รัฐบาลยังเมินเฉยจึงจำเป็นต้องตอบโต้
       
       ล่าสุด เริ่มมีอำนาจมืดคุกคามผู้ชุมนุมชาวสวนยางแล้ว หลังมือมืดได้ยิงปืนเข้าใส่ผู้ชุมนุมเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 31 ส.ค.ล่วงเข้าวันที่ 1 ก.ย. ประมาณ 03.00น.เศษ บริเวณทางรถไฟบ้านตูล ซึ่งเป็นจุดที่ชุมนุม ส่งผลให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย ล่าสุด เสียชีวิตลงแล้ว 1 รายที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ทราบชื่อคือ นายศิริ บุญวงศ์ อายุ 29 ปี
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สอดคล้องกับที่ พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.นครศรีธรรมราช ได้ออกมาเตือนเชิงชี้นำเกี่ยวกับการชุมนุมของม็อบชาวสวนยางเมื่อวันที่ 29 ส.ค.ว่า สิ่งที่กังวลในเวลานี้ คือเรื่องของบุคคลที่สาม หากมีใครสักคนเข้าไปในพื้นที่ แอบยิงปืนสักนัดเข้าไปในเวที จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา…
       
       3. ผู้บริโภค ยื่นศาล ปค.ระงับขึ้นแอลพีจี ขณะที่ภาค ปชช.ล่า 5 หมื่นชื่อ ถอด รมว.พลังงาน พร้อมนัดชุมนุมใหญ่ 9 ก.ย.!

       เมื่อวันที่ 29 ส.ค. น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ในฐานะมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ,นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา ,น.ส.บุญยืน ศิริธรรม และนายชาลี ลอยสูง ผู้ฟ้องคดี 1-5 ได้ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ,คณะรัฐมนตรี ,คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ,รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-5 ต่อศาลปกครอง โดยขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนมติ ครม.เมื่อวันที่ 13 ส.ค. ซึ่งเห็นชอบให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือน ที่ให้ปรับขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัมตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. จนกว่าจะสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม
       
        ทั้งนี้ ผู้ฟ้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อมีคำสั่งระงับการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือนในวันที่ 1 ก.ย.ไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา โดยให้คงราคาขายปลีกที่กิโลกรัมละ 18.13 บาทไปพลาง จนกว่าจะมีการปรับโครงสร้างพลังงานให้ถูกต้องเป็นธรรม
       
        น.ส.สารี เผยเหตุที่ต้องฟ้องคดีต่อศาลปกครองว่า เนื่องจากการปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีครั้งนี้ขัดต่อกฎหมาย รัฐบาลไม่ได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 61 และมติ ครม.ที่ออกมาก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานไม่มีอำนาจจัดสรรก๊าซในประเทศจากโรงแยกให้กับภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรมภาคปิโตรเคมีใช้ก่อน และเมื่อมีมติออกมาและเสนอ ครม.แล้ว ครม.มีมติเห็นชอบ จึงทำให้มติ ครม.ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย เนื่องจากคณะกรรมการฯ ไม่มีอำนาจและยังเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะเอื้อประโยชน์ให้ ปตท.เพียงรายเดียว ทั้งนี้ รายงานแจ้งว่า พนักงานคดีได้แจ้งไปยังทนายความของผู้ฟ้องคดีว่า ศาลนัดไต่สวนในวันที่ 10 ก.ย. เวลา 09.30 น.
       
        วันเดียวกัน(29 ส.ค.) ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี แกนนำเครือข่ายประชาชนเจ้าของพลังงานไทย ได้เปิดแถลงข่าวบริเวณป้ายรถเมล์หน้าบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) โดยบอกว่า ระหว่างวันที่ 1-8 ก.ย.นี้ ทางเครือข่ายฯ จะตั้งโต๊ะให้ประชาชนร่วมลงชื่อ 50,000 รายชื่อ เพื่อปลดนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ,ปลัดกระทรวงพลังงาน และข้าราชการระดับสูงของกระทรวงฯ ออกจากตำแหน่ง โดยจะยื่นรายชื่อต่อองค์กรอิสระและวุฒิสภา พร้อมนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 9 ก.ย. เพื่อต่อต้านการขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีของรัฐบาล
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า วันเดียวกัน ได้มีกลุ่มคนซึ่งอ้างตัวว่าเป็นกลุ่มรวมพลคนรักพลังงาน ซึ่งประกอบด้วย คนเสื้อแดง จ.นนทบุรี และปทุมธานี พร้อมด้วยกลุ่มวิทยุชุมชนประมาณ 50 คน ไปรวมตัวกันที่หน้า ปตท.เพื่อสนับสนุนให้รัฐบาลปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี
       
        ด้านนายชนินทร์ รุ่งแสง ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานกรรมาธิการ(กมธ.) พัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์(เงา) ได้แถลงหลังลงพื้นที่ตลาดรุ่งเจริญและร้านค้าก๊าซในเขตยานนาวา เพื่อตรวจสอบเรื่องสินค้าราคาแพง ซึ่งเป็นผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาล จึงได้เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีในวันที่ 1 ก.ย. เพราะเป็นการซ้ำเติมประชาชนทั้งประเทศ
       
       4. ป.ป.ช. เปิดทรัพย์สิน ครม. “ยิ่งลักษณ์ 5” พบ “พงศ์เทพ” รวยสุดกว่า 3 พันล้าน ด้าน “ยิ่งลักษณ์” มาแปลก มีหนี้ยืมเงิน “ทักษิณ” ซื้อที่ดิน 27 ล้าน!

       เมื่อวันที่ 27 ส.ค. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของคณะรัฐมนตรีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในการปรับ ครม.ครั้งล่าสุด ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2556 จำนวน 18 ราย 19 ตำแหน่ง โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีทรัพย์สินกว่า 628.6 ล้านบาท มีหนี้สิน 27 ล้านบาท ขณะที่นายอนุสรณ์ อมรฉัตร คู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียน มีทรัพย์สินกว่า 76 ล้านบาท ส่วน ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตรชาย มีทรัพย์สินกว่า 1.2 ล้านบาท รวมแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 601.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสมัยที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ส.ค.2554 มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 50.5 ล้านบาท
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า การยื่นบัญชีทรัพย์สินครั้งล่าสุดนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีหนี้สินขึ้นมา 27 ล้านบาท โดยเจ้าตัวได้แจ้งต่อ ป.ป.ช.ว่า ตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาว่า เงินในบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาซอยอารีย์ ของตนจำนวน 77 ล้านบาทนั้น เป็นเงินที่ได้จากการขายหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่ในครอบครองของตน โดย พ.ต.ท.ทักษิณอนุญาตให้ยืมเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้จ่ายได้โดยไม่เสียดอกเบี้ย ดังนั้นเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2555 ตนจึงได้นำเงินดังกล่าวมาจำนวน 27 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินที่ ต.คลองกุ่ม อ.บึงกุ่ม กทม.
       
       เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า ในส่วนของนายอนุสรณ์ อมรฉัตร นั้น ก่อนหน้านี้เคยแจ้งบัญชีทรัพย์สินสมัยที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า มีหนี้สิน 369.6 ล้านบาท แต่ในการยื่นบัญชีทรัพย์สินครั้งล่าสุดนี้ กลับไม่ปรากฏหนี้สินดังกล่าวแล้ว
       
        สำหรับรัฐมนตรีที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 5 คือ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และคู่สมรส มีทรัพย์สินกว่า 3,085 ล้านบาท มีหนี้สิน 10 บาท ส่วนรัฐมนตรีที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุด คือ นายพ้อง ชีวานันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และคู่สมรส มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 10.9 ล้านบาท
       
        ส่วนบัญชีทรัพย์สินของรัฐมนตรีคนอื่นๆ ได้แก่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม มีทรัพย์สินกว่า 312 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน ,พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 394 ล้านบาท ,นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 137 ล้านบาท , นายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (อดีตอัยการสูงสุด ที่ถูกมองว่าทำงานสนองฝ่ายการเมืองในระบอบทักษิณ) มีทรัพย์สินกว่า 152 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน ,นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีทรัพย์สินกว่า 118 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน ,ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีทรัพย์สินกว่า 171 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน ,นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 23 ล้านบาท ,นางปวีณา หงสกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 377 ล้านบาท
       
       นางเบญจา หลุยเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (อดีตรองอธิบดีกรมสรรพากรที่ตอบข้อหารือคดีซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของนายพานทองแท้และ น.ส.พิณทอง ชินวัตร ว่าไม่ต้องเสียภาษี) มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 182 ล้านบาท , นายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีทรัพย์สินกว่า 16 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน ,นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 18 ล้านบาท ,นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีทรัพย์สินกว่า 364 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน ,นายพีระพันธ์ พาลุสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 69 ล้านบาท ,นายวิสาร เตชะธีรวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินเกือบ 47 ล้านบาท และนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินเกือบ 181 ล้านบาท
       
       5. คกก.สรรหา มีมติ 4 : 1 เลือก “ทวีเกียรติ” นั่งตุลาการศาล รธน.คนใหม่แทน “วสันต์” เผย ต้องคัดเลือกถึง 8 รอบ!

       เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ได้มีการประชุมคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อคัดเลือกผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทนนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ที่ลาออก โดยคณะกรรมการสรรหามี 5 คน ประกอบด้วย นายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกา ประธานกรรมการสรรหา ส่วนกรรมการ ได้แก่ นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด ,นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ,นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน
       
        สำหรับรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการสรรหามีทั้งสิ้น 9 คน ประกอบด้วย 1.นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม อายุ 63 ปี ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกาและอดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 2.นายพรเพชร วิชิตชลชัย อายุ 65 ปี ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 3.นายถาวร พานิชพันธ์ อายุ 63 ปี รองอัยการสูงสุด 4.ศ.บรรเจิด สิงคะเนติ อายุ 49 ปี ศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ และคณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) 5.ศ.ศุภลักษณ์ พินิจภูวดล อายุ 55 ปี ศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 6.ศ.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ อายุ 60 ปี ศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 7.นางเปรมใจ กิติคุณไพโรจน์ อายุ 65 ปี ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตรองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 8.นายไพรัช เกิดศิริ อายุ 66 ปี ผู้พิพากษาอาวุโสศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดภูเก็ต และอดีตรองประธานศาลอุทธรณ์ภาค และ 9.พล.อ.สถาพร เกียรติภิญโญ อายุ 61 ปี หัวหน้าสำนักงานตุลาการทหารและตุลาการพระธรรมนูญหัวหน้าศาลทหารสูงสุด และผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
       
        ทั้งนี้ หลังจากใช้เวลาเลือกอยู่ 8 ครั้ง ที่ประชุมได้มีมติเลือก ศ.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ด้วยคะแนน 4 ต่อ 1 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดว่าผู้ได้รับการเสนอชื่อต้องได้รับเลือกด้วยคะแนนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ สำหรับกรรมการสรรหาที่ไม่ลงมติเลือก ศ.ทวีเกียรติ คือนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยะกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้ จะมีการส่งรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกให้วุฒิสภาเพื่อให้ความเห็นชอบภายใน 30 วันนับแต่วันที่คณะกรรมการสรรหามีมติ หากที่ประชุมวุฒิสภาเห็นชอบ ให้นำรายชื่อกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งต่อไป แต่หากที่ประชุมวุฒิสภาไม่เห็นชอบ ให้ส่งรายชื่อกลับมายังคณะกรรมการสรรหาพร้อมระบุเหตุผล หากคณะกรรมการสรรหายืนยันด้วยมติเอกฉันท์ ให้นำรายชื่อกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งต่อไป แต่ถ้ามติไม่เอกฉันท์ จะต้องกลับไปเริ่มกระบวนการสรรหาใหม่ทั้งหมด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 กันยายน 2556

6563
 1. “ในหลวง-พระราชินี” พระอาการดีขึ้นเป็นลำดับ หลังประทับวังไกลกังวลครบ 3 สัปดาห์!

       เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงถึงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หลังเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ วังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ ครบ 3 สัปดาห์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระอาการดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากได้กลับไปประทับ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล ซึ่งเปรียบเสมือนบ้าน การฟื้นฟูร่างกายจะดีขึ้น ทางการแพทย์เรียกว่า การรักษาที่ไม่ใช้ยาในการรักษาโรค การที่พระองค์เสด็จไปประทับ ณ วังไกลกังวล ทำให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญและมีพระหทัยดีขึ้น การฟื้นฟูพระวรกายก็เป็นไปด้วยดี จนเป็นที่น่าพอใจของคณะแพทย์
       
       ศ.คลินิก นพ.อุดม ยังแถลงด้วยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำเนินไปยังศาลาแปดเหลี่ยม บริเวณริมทะเลน้อยเป็นเวลา 1-2 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อเปลี่ยนพระอิริยาบถ เนื่องจากมีอากาศเย็นสบาย สำหรับกิจกรรมที่พระองค์โปรดคือ ทรงพระดำเนินไปให้อาหารปลาที่ท่าลดา และเสด็จฯ ไปที่อู่และโรงเก็บเรือใบที่อยู่ในความสนพระทัย นอกจากนี้คณะแพทย์ยังถวายกายภาพบำบัดที่สระน้ำ หรือที่เรียกว่า “ไฮโดรเธอราปี” โดยรวมถือว่าพระอาการพระองค์ดีขึ้น และว่า ล่าสุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระประสงค์จะเสด็จฯ ยังโครงการศูนย์เรียนรู้ทางการเกษตรเขากระปุกตามพระราชดำริ และโครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการ
       
       สำหรับพระอาการของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ศ.คลินิก นพ.อุดม เผยว่า ขณะนี้พระหทัยดีขึ้นเป็นลำดับเช่นกัน ทรงพระดำเนินทุกเย็น ส่วนกล้ามเนื้อที่มีการอักเสบจนส่งผลให้พระกรขยับไม่สะดวกนั้น ขณะนี้ดีขึ้นมากแล้ว เจ้าหน้าที่ได้ถวายกายภาพบำบัด โดยรวมถือว่าพระอาการดีขึ้นทุกด้านเช่นกัน
       
       2. แกนนำพันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์ฉบับสุดท้ายประกาศยุติบทบาท หวังเปิดทางมวลชนเคลื่อนไหวได้อิสระ -พร้อมรวมตัวอีกครั้งเมื่อถึงเวลา!

       เมื่อวันที่ 23 ส.ค. แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง แถลงการณ์ฉบับสุดท้าย โดยสรุปความได้ว่า ตามที่พันธมิตรฯ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมาว่าจะยังไม่นำมวลชนเคลื่อนไหวในเวลานี้ เนื่องจากพันธมิตรฯ ถูกกลั่นแกล้งโดยยัดเยียดข้อหาร้ายแรงอันเป็นเท็จ และเพิ่มผู้ต้องหาจำนวนถึง 96 คนอย่างอยุติธรรมในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ แม้พันธมิตรฯ พร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม แต่ศาลอาญาก็ให้ประกันตัวโดยมีเงื่อนไข ดังนั้นหากแกนนำพันธมิตรฯ ชุมนุมภายใต้เงื่อนไขของศาล ก็เป็นเรื่องยากที่จะกำหนดยุทธวิธีให้ได้รับชัยชนะ แต่หากพันธมิตรฯ ชุมนุมโดยฝ่าฝืนคำสั่งศาล การเสียสละนั้นจะต้องได้รับผลคุ้มค่าที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้จริง ไม่ใช่เสียสละเพื่อสร้างคะแนนนิยมให้พรรคการเมืองฝ่ายค้านในสภาฯ
       
       เมื่อวิเคราะห์แล้วพันธมิตรฯ จึงเห็นว่า การเสียสละชุมนุมเพื่อแก้ปัญหารายประเด็นในเวลานี้ ย่อมไม่คุ้มค่ากับผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ เพราะหลังชุมนุม ศาลอาจถอนประกัน หรือต่อให้การชุมนุมขับไล่รัฐบาลได้สำเร็จ ก็อาจจบลงด้วยการยุบสภาที่พรรคเพื่อไทยก็จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก หรือหากมีการสลับขั้วการเมืองหรือการรัฐประหาร โดยไม่มีเป้าหมายเพื่อปฏิรูปประเทศ วิกฤตของชาติก็จะยังอยู่เหมือนเดิม จึงไม่คุ้มค่าที่แกนนำพันธมิตรฯ จะนำการชุมนุม โดยพันธมิตรฯ กำหนดความคุ้มค่าของการชุมนุมที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไว้ที่ “การชุมนุมเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองที่ล้มเหลวในปัจจุบัน และปฏิรูปประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเท่านั้น”
       
       แถลงการณ์พันธมิตรฯ ยังประณามนักการเมืองพรรคเพื่อไทยที่ทำตัวเป็นทาสในระบอบทักษิณ ไม่มีสำนึกต่อประโยชน์ของชาติและสร้างวิกฤตให้ประเทศไม่มีวันจบสิ้น ทั้งการแก้กฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้ตัวเองและพวกพ้อง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้วุฒิสภาอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ด้วยเหตุนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ในฐานะตัวแทนแกนนำพันธมิตรฯ จึงได้หาแนวร่วมเพื่อแก้ไขวิกฤตชาติ โดยเสนอทางออกให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เสียสละลาออกเพื่อหยุดความชอบธรรมของระบอบเผด็จการรัฐสภาและมานำมวลมหาประชาชนทั่วประเทศเคลื่อนไหวเพื่อหยุดระบบการเมืองที่ล้มเหลว เรียกร้องการเปลี่ยนแปลง และการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่เพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชน 65 ล้านคน โดยแกนนำพันธมิตรฯ พร้อมจะเสียสละและร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ในการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองครั้งนี้ เพราะเห็นว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ
       
       แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธ ไม่เสียสละลาออกจากระบบการเมืองที่ล้มเหลวเพื่อออกมาร่วมสู้กับประชาชน แสดงว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังคงหวังเพียงแค่ทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายรัฐบาล หรือหวังสลับขั้วการเมืองในวันข้างหน้า หรือหวังโค่นล้มรัฐบาลโดยสนับสนุนมวลชนกลุ่มอื่นให้เสียสละแทนตัวเอง หรือไม่พรรคการเมืองทุกพรรคในสภาฯ อาจกำลังสมรู้ร่วมคิดเพื่อรักษาระบอบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งแบบนี้ไว้เพื่อรออำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองในวันข้างหน้า จึงทำให้ไม่สามารถเชื่อได้ว่าจะมีการปฏิรูปประเทศภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งพันธมิตรฯ วิเคราะห์แล้วว่า แนวทางที่พรรคการเมืองทุกพรรคกำลังเดินหน้าอยู่นั้น จะนำไปสู่ความชอบธรรมของระบอบทักษิณที่จะได้รับชัยชนะในระบบรัฐสภามากขึ้น และจะกระชับอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนยากจะเยียวยาได้
       
       เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่เสียสละนำการชุมนุม จึงเป็นไปไม่ได้ที่แกนนำพันธมิตรฯ จะมีฐานะนำมวลชนได้จริงท่ามกลางสถานการณ์และเงื่อนไขในปัจจุบัน ประกอบกับการดำรงอยู่ของแกนนำพันธมิตรฯ อาจเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหวของมวลชนกลุ่มอื่นที่อาจไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพันธมิตรฯ ดังนั้นแกนนำพันธมิตรฯ ทั้งรุ่น 1 และ 2 จึงมีมติเอกฉันท์ยุติบทบาทจากฐานะแกนนำ เพื่อเปิดโอกาสให้แกนนำ นักปราศรัย ศิลปิน พิธีกร ประชาชน ฯลฯ ได้ตัดสินใจด้วยตัวเองที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมกับกลุ่มใดก็ได้อย่างอิสระเสรี ไม่ต้องรอมติจากแกนนำพันธมิตรฯ อีก รวมทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดขบวนการใหม่ในสังคมไทยด้วย
       
       ทั้งนี้ แถลงการณ์พันธมิตรฯ ยืนยันว่า การยุติบทบาทครั้งนี้ถือเป็นยุทธวิธีเดียวเท่านั้นที่จะเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจในปัจจุบัน หรือผู้ที่มีโอกาสจะมีอำนาจในอนาคต รวมทั้งทหาร และศาล ตลอดจนผู้มีบทบาทในบ้านเมืองและประชาชนทั่วไป ได้ตัดสินใจที่จะทำหน้าที่ของตนเอง มากกว่าที่จะคาดหวังหรือรอมติการนำมวลชนจากแกนนำพันธมิตรฯ พร้อมชี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังคงเป็นปัญหาส่วนหนึ่งของประเทศและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปประเทศ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ต้องรับผิดชอบในผลที่จะเกิดขึ้นต่อบ้านเมืองด้วยเช่นกัน
       
       อย่างไรก็ตาม แกนนำพันธมิตรฯ ย้ำว่า แม้แกนนำจะยุติบทบาทแล้ว แต่ทุกคนยังคงเป็นพันธมิตรฯ เหมือนเดิม และพันธมิตรฯ ยังคงอยู่เช่นเดิม อุดมการณ์ความเป็นพันธมิตรฯ ยังอยู่ในสายเลือดและจิตใจของทุกคนเหมือนเดิม และพันธมิตรฯ ยังมีหน้าที่ต่อสู้คดีความและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ที่สูญเสีย บาดเจ็บ และเสียชีวิตต่อไป โดยระหว่างนี้ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV เว็บไซต์แมเนเจอร์ สื่อสิ่งพิมพ์และวิทยุในเครือ ASTVผู้จัดการ จะยังคงเป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมเพื่อนำไปสู่การให้ปัญญาแก่ประชาชนและการปฏิรูปประเทศ ขณะที่แกนนำแม้จะยุติบทบาท แต่จะยังคงให้ปัญญากับประชาชนเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศต่อไป เมื่อใดที่สถานการณ์พร้อมและประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ หรือผู้มีอำนาจหรือผู้ที่มีโอกาสจะเข้าสู่อำนาจเสียสละอำนาจและผลประโยชน์เพื่อปฏิรูปประเทศเพื่อผลประโยชน์ของคนไทย 65 ล้านคนเมื่อใด แกนนำพันธมิตรฯ พร้อมจะกลับมารวมตัวกันเพื่อเคลื่อนไหวมวลชนอีกครั้ง หากวันนั้นพี่น้องประชาชนยังต้องการแกนนำพันธมิตรฯ
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงการประกาศยุติบทบาทของแกนนำพันธมิตรฯ ว่า ตนเข้าใจและเคารพการตัดสินของแกนนำพันธมิตรฯ ที่สู้กับระบอบทักษิณมาตลอด และขอขอบคุณแกนนำทุกคน พร้อมชมว่า มวลชนพันธมิตรฯ เป็นมวลชนที่มีคุณภาพ ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์จะสานต่อเจตนารมณ์ของพันธมิตรฯ ที่ต่อสู้กับความไม่ถูกต้องและระบอบทักษิณให้สำเร็จเพื่อให้คุ้มค่ากับความสูญเสียในอดีต นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ ยังชวนให้มวลชนพันธมิตรฯ มาร่วมต่อสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ หากสบายใจและสนิทใจแล้ว
       
       ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่พันธมิตรฯ เรียกร้องให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลาออกเพื่อมานำมวลชนว่า หาก ส.ส.ของพรรคทั้ง 150 คนลาออก แล้วมีการเลือกตั้งใหม่ ก็จะหวานคอ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะพรรคเพื่อไทยจะได้กลับเข้ามาทั้ง 150 คน กฎหมายที่ค้างอยู่ทุกฉบับก็จะผ่านหมด “พวกผมไม่ได้ยึดติดตำแหน่ง ไม่ใช่ว่าเป็น ส.ส.แล้วมันจะเป็นจะตาย แต่มันเป็นความภาคภูมิใจของพวกผม คือได้เป็นตัวแทนของประชาชนไปรักษาผลประโยชน์ของประชาชนในสภา แต่หากว่าเราต่อสู้ตามกระบวนการรัฐสภาถึงที่สุดแล้ว...รัฐบาลนี้ ตลอดจนลิ่วล้อ ขี้ข้าทักษิณทั้งหลายมีเจตนาร้ายต่อประเทศชาติ ต้องการยึดอำนาจไว้ใต้อุ้งเท้าของพวกเขาโดยไม่สนใจความถูกต้อง เมื่อเราประจักษ์ชัดเห็นพร้อมกันอย่างนั้นแล้ว พวกเราจะเป่านกหวีด”
       
       ส่วนมุมมองของนักวิชาการต่อการประกาศยุติบทบาทของแกนนำพันธมิตรฯ นั้น นายไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า น่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยสบายใจหรือถึงขั้นเหลิงอำนาจได้ เพราะไม่มีคนคอยคัดค้าน ซึ่งตนเชื่อว่าไม่เกินกลางปีหน้าจะมีการเลือกตั้ง ส.ว.ตามที่ได้แก้ไขรัฐธรรมนูญ และหาก ส.ว.เลือกตั้งเป็นบรรดาญาติพี่น้องของ ส.ส. ประชาชนก็จะเห็นภาพเผด็จการเสียงข้างมากกินรวบหมดทุกองค์กรได้ชัดขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นประชาชนจะทนไม่ได้และออกมาเรียกร้องต่อต้าน ซึ่งอาจรวมถึงพันธมิตรฯ ด้วย จึงน่าจะถือได้ว่าการยุติบทบาทของพันธมิตรฯ ก็เพื่อให้ประชาชนเกิดการตื่นตัวและเห็นพิษร้ายของเผด็จการเสียงข้างมากจนทนอยู่นิ่งไม่ไหว
       
       3. รัฐสภาป่วน หลัง ปชป.ไม่พอใจปิดปากฝ่ายค้านแปรญัตติแก้ที่มา ส.ว. ด้าน “สมศักดิ์”งัดค้อนทุบ -สั่งตำรวจจับดะ เจอฝ่ายค้านโห่ไล่ “ขี้ข้าทักษิณ”!

       เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ได้มีการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว. ในวาระ 2 ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยมีการแก้ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ยกเลิก ส.ว.สรรหา มีการเพิ่มจำนวน ส.ว.จาก 150 คน เป็น 200 คน ให้ ส.ว.มีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี และสามารถลงสมัครต่อได้ไม่ต้องเว้นวรรค พร้อมเปิดทางให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ลาออกจากตำแหน่งแล้ว ลงสมัคร ส.วได้ทันที ไม่ต้องพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองมา 5 ปีดังที่รัฐธรรมนูญ 2550 ระบุ นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขโดยเปิดโอกาสให้บุพการี สามีภรรยา หรือบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองลงสมัคร ส.ว.ได้ด้วย ซึ่งการแก้ไขในลักษณะดังกล่าวถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่า จะทำให้วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร กลายเป็น “สภาผัวเมีย” ดังเช่นเมื่อปี 2544-2548 ซึ่งเป็นผลจากการที่รัฐธรรมนูญ 2540 ระบุให้มี ส.ว.เลือกตั้งอย่างเดียว ทำให้ผู้สมัคร ส.ว.ส่วนใหญ่เลือกที่จะผูกโยงกับพรรคการเมือง เพื่อให้มีฐานเสียง จึงจะได้รับเลือกตั้ง และหากวุฒิสภาถูกฝ่ายการเมืองครอบงำ ก็จะส่งผลต่อการคัดเลือกบุคคลไปนั่งในองค์กรอิสระต่างๆ เช่นกัน
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า บรรยากาศการประชุมเมื่อวันที่ 20 ส.ค.เป็นไปด้วยความวุ่นวายทั้งวัน และมีการสั่งพักการประชุมหลายครั้ง หลังพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)ไม่พอใจที่ที่ประชุมเสียงข้างมากลงมติไม่ให้สิทธิอภิปรายแก่ ส.ส.และ ส.ว.57 คนที่ขอแปรญัตติไว้หลายประเด็น เช่น ให้ ส.ว.มาจากการสรรหาเหมือนเดิม โดยที่ประชุมอ้างว่าจะอภิปรายขัดต่อหลักการที่ให้มี ส.ว.เลือกตั้งอย่างเดียวไม่ได้ ส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์ประท้วง ลุกขึ้นยืนและส่งเสียงโห่เป็นระยะๆ สุดท้ายเหตุการณ์บานปลาย เมื่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ได้หยิบค้อนออกมาเคาะ 3 ครั้ง ก่อนสั่งให้ตำรวจสภาทั้งหมดเข้ามาในห้องประชุม เพื่อนำตัว ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ออกจากห้องประชุม “ขอเชิญตำรวจรัฐสภาทั้งหมดเข้ามา ท่านใดไม่นั่งให้เชิญตัว นำตัวออกไปทีละท่าน ไม่ต้องรีรอ ถ้าตำรวจสภาไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ถือว่าขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา จะตั้งกรรมการสอบ เชิญนำตัวออกไปทีละท่าน”
       
       ทั้งนี้ ระหว่างที่ตำรวจสภากำลังทำตามคำสั่งของนายสมศักดิ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้ตะโกนเป็นระยะๆ ว่า “สภาทาส” และ “ขี้ข้าทักษิณ” ขณะที่ ส.ส.หญิงบางคนได้กรีดร้อง เพราะตกใจที่ตำรวจสภาพยายามจะเข้ามาจับตัว ขณะเดียวกันก็มีตำรวจสภากว่า 10 นายคอยปกป้องบัลลังก์ประธานที่ประชุม จากนั้นได้เกิดเหตุชุลมุนและกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยระหว่าง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กับตำรวจสภาที่พยายามจะนำตัวออกจากห้องประชุม ด้านนายสมศักดิ์ตัดสินใจสั่งพักการประชุม
       
       เมื่อเปิดประชุมอีกครั้ง นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ได้ขึ้นทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ขณะที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้ลุกขึ้นประท้วงว่านายสมศักดิ์สั่งตำรวจมาคุกคามสมาชิกรัฐสภาได้อย่างไร พร้อมตะโกนว่า ออกไปๆ” ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ยังแฉด้วยว่า มีตำรวจปราบจลาจลตรึงกำลังอยู่ด้านหน้ารัฐสภา ขอให้ประธานสั่งให้ตำรวจดังกล่าวออกไป กระทั่งมีการสั่งพักประชุม เพื่อตรวจสอบและขอให้ตำรวจดังกล่าวออกจากพื้นที่ เมื่อการประชุมเริ่มขึ้นอีกครั้ง ปรากฏว่า น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นพูดเหน็บแนม ส.ส.หญิงพรรคประชาธิปัตย์ โดยบอกว่า อยากให้ตำรวจอยู่ในสภาต่อไป เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย เนื่องจากอยู่ดีดี ก็มีเสียงคล้ายชะนีโหยหวนเหมือนโดนน้ำร้อนลวก ทำให้นึกว่าอยู่ในสวนสัตว์ดุสิต ร้อนถึงนางนาถยา เบ็ญจศิริวรรณ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ต้องลุกขึ้นประท้วงให้ น.ส.ขัตติยาถอนคำพูด แต่ น.ส.ขัตติยา ไม่ยอมถอน แถมพูดเหมือนอวดตัวว่าสวยและใสกว่านางนาถยา “เรื่องความสวย ช่วยไม่ได้ เด็กกว่า ใสกว่า ต้องสู้กันนิดหนึ่ง ส่วนจะให้ถอนคำว่า ชะนีโหยหวนไม่ได้ว่าใครเฉพาะเจาะจง ทางบ้านส่งมา คิดว่าที่นี่ไม่ใช่รัฐสภา นึกว่าสวนสัตว์ดุสิต ขออนุญาตไม่ถอน” นางนาถยา จึงได้สวนกลับว่า “ถอยลงไปเยอะ สภาไม่ใช่สภาโจ๊ก ไม่ใช่ละคร ที่ทุกคนจะคิดว่าตัวเองเป็นนางเอก สวยไม่สวยไม่เกี่ยว เพราะในสภาต้องใช้สติปัญญา” ซึ่งภายหลัง น.ส.ขัตติยา ได้ยอมถอนคำพูด
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้บรรยากาศจะเป็นไปด้วยความวุ่นวาย แต่ที่ประชุมเสียงข้างมากก็ได้เดินหน้าลงมติผ่านมาตรา 1 ว่าด้วยชื่อของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว. ด้วยคะแนน 330 ต่อ 6 เสียง ก่อนเลื่อนพิจารณามาตรา 2 ว่าด้วยวันบังคับใช้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปเป็นวันรุ่งขึ้น(21 ส.ค.)
       
       สำหรับบรรยากาศการประชุมวันที่สองดีกว่าวันแรก เนื่องจากได้มีการประชุมวิป 3 ฝ่าย(ฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน-วุฒิสภา) และตกลงว่าจะคืนสิทธิอภิปรายให้ ส.ส.-ส.ว.ทั้ง 57 คนที่ขอแปรญัตติไว้ โดยจะให้เริ่มตั้งแต่มาตรา 2 ไม่ย้อนไปมาตรา 1 ทั้งนี้ แม้จะมี ส.ส.-ส.ว.อภิปรายขอให้ร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 1 ปี เพื่อให้ ส.ว.เลือกตั้งชุดปัจจุบันได้เว้นวรรค ไม่ใช่ลงสมัครทันที ถือว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ในที่สุด ก็ไม่สามารถทัดทานเสียงข้างมากได้ โดยที่ประชุมมีมติ 349 ต่อ 157 เสียง ให้ร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
       
       จากนั้นได้มีการพิจารณามาตรา 3 ว่าด้วยจำนวน ส.ว.ที่ให้เพิ่มจากเดิม 150 คนเป็น 200 คน และให้มีแต่ ส.ว.เลือกตั้ง ยกเลิก ส.ว.สรรหา ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยบางจังหวัดอาจมี ส.ว.มากกว่า 1 คน ทั้งนี้ การอภิปรายมาตรา 3 ยังไม่แล้วเสร็จ ประธานที่ประชุมจึงได้นัดพิจารณาต่อในวันรุ่งขึ้น(22 ส.ค.) แต่ที่สุดแล้ว วันที่ 22 ส.ค.ก็ยังอภิปรายมาตรา 3 ไม่แล้วเสร็จ ประธานจึงได้นัดพิจารณาต่อในวันที่ 27-29 ส.ค.
       
       เหตุที่ประธานไม่นัดประชุมต่อในวันรุ่งขึ้น(23 ส.ค.) เนื่องจากวันดังกล่าวได้นัดประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 วงเงิน 2.525 ล้านล้านบาท ในวาระ 2 ต่อ หลังการประชุมเมื่อวันที่ 14-17 ส.ค.ยังอภิปรายไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ ที่ประชุมเมื่อวันที่ 23 ส.ค.ใช้เวลาอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบฯ จนดึก ก่อนที่เสียงข้างมากจะมีมติ 290 ต่อ 136 เสียง ผ่านวาระ 3 โดยมีผู้งดออกเสียง 19 เสียง ไม่ลงคะแนน 2 เสียง รวมแล้วใช้เวลาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ในวาระ 2 และ 3 รวมทั้งสิ้น 5 วัน
       
       4. “ยิ่งลักษณ์” เปิดประชุมปฏิรูปประเทศ ไร้เงา ปชป.-พันธมิตรฯ ตั้ง “บรรหาร” มือประสานโรดแมป!

       เมื่อวันที่ 25 ส.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานเปิดการประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะทางออกประเทศไทยนัดแรก ในหัวข้อ “เดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย พัฒนาประชาธิปไตยและประเทศร่วมกัน” ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยก่อนที่การประชุมจะเริ่มขึ้น นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี เผยว่า มีผู้ตอบรับเข้าร่วมประชุมทั้งสิ้น 66 คน สำหรับผู้ที่ไม่ได้ตอบรับเข้าร่วม ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่ม 40 ส.ว. และนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เป็นต้น
       
       ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวเปิดการประชุมโดยยืนยันว่า รัฐบาลมีความจริงใจในการเป็นเจ้าภาพจัดพูดคุยเพื่อหาทางออกให้ประเทศและมองไปยังอนาคตข้างหน้า พร้อมอ้างว่า เหตุที่รัฐบาลมองแต่อนาคต ไม่คุยเรื่องปัจจุบันที่ยังหาทางออกไม่ได้ เช่นทำไมไม่ถอนกฎหมายออกจากสภา เนื่องจากสภาเป็นเวทีแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง แต่เวทีนี้เป็นของภาคประชาชน และว่า เดือนหน้าจะมีเวทีทางวิชาการ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับเวทีปฏิรูปประเทศ โดยได้เชิญผู้นำต่างประเทศมาร่วม เช่น นายโทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งจะมาบอกเล่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่าจะร่วมแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้นอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้ยกพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 1 ม.ค.2556 ให้ทุกคนน้อมนำมาปฏิบัติในการหาทางออกของประเทศด้วยว่า ทรงปรารถนาจะเห็นคนไทยตั้งจิตตั้งใจให้มั่นอยู่ในความเมตตาและหวังดีต่อกัน ดูแลเอาใจใส่ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ให้กำลังใจแก่กันและกัน ผูกพันไว้ฉันท์มิตร
       
       สำหรับการประชุมปฏิรูปประเทศครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมต่างเสนอวิธีแก้ปัญหาและหาทางออกให้ประเทศแตกต่างกันไป กระทั่งช่วงสุดท้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้สรุปผลหารือว่า จะนำโจทย์ที่ได้จากที่ประชุมมากำหนดกรอบในการทำงานร่วมกันภายใต้ 7 หลักใหญ่ ได้แก่ หลักการเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้มีความมั่นคงแข็งแรง ,หลักการทำงานที่โปร่งใสตรวจสอบได้ หลักธรรมาภิบาลที่ดี ,หลักประชาธิปไตยที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ,หลักการไว้เนื้อเชื่อใจกัน และการให้อภัยซึ่งกันและกัน ,หลักของประโยชน์ส่วนรวมและหลักของความถูกต้อง ฯลฯ พร้อมกันนี้ได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาโรดแมปของการปฏิรูปประเทศขึ้นมา 3 คณะ คือ คณะปฏิรูปการเมือง คณะปฏิรูปเศรษฐกิจ และคณะปฏิรูปสังคม พร้อมขอให้ผู้เข้าร่วมหารือแจ้งความจำนงว่าจะเข้าร่วมในคณะใด โดยให้นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นผู้ประสานงานของทั้ง 3 คณะ
       
       5. ศาลฎีกา พิพากษายืนยกฟ้อง “สนธิ-สโรชา” ไม่หมิ่น “พล.ต.อ.สันต์” ชี้ ติชมด้วยความเป็นธรรม!

       เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ อดีตผู้ดำเนินรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ฐานร่วมกันดูหมิ่นเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่และหมิ่นประมาทใส่ความโดยการแพร่ภาพ และการกระจายเสียงหรือป่าวประกาศ
       
        คดีนี้ โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 26 เม.ย.2547 ว่า เมื่อวันที่ 19 มี.ค.2547 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันออกอากาศรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท กล่าวหาว่า ยุคที่โจทก์เป็น ผบ.ตร.เป็นยุคที่ตำรวจละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด โจทก์ไร้ประสิทธิภาพ แต่งตั้งตำรวจโดยไม่ถูกต้อง ทำให้ตำรวจที่ได้รับแต่งตั้งไร้ประสิทธิภาพ และว่า โจทก์ไม่ให้ความเคารพองค์กรอิสระ คือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ไม่เคารพกฎหมาย ละเลยเพิกเฉยต่อการดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย เกี่ยวข้องกับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความมุสลิม
       
        ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยในฐานะสื่อมวลชชนได้ติชมการทำงานของโจทก์โดยชอบธรรม และเป็นวิสัยที่ประชาชนพึงกระทำ และเป็นการติชมโดยมุ่งไปที่การทำงานของโจทก์ ไม่ได้มุ่งไปที่เรื่องส่วนตัว และในฐานะที่โจทก์เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้รับมอบอำนาจอธิปไตยจากประชาชนส่วนใหญ่ ดังนั้นจำเลยในฐานะสื่อมวลชน และประชาชนส่วนใหญ่จึงมีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน ซึ่งต่อมา โจทก์ได้ยื่นฎีกา
       
        ขณะที่ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยวิพากษ์วิจารณ์และติชมโจทก์ด้วยความเป็นธรรม ในฐานะที่ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. อันเป็นวิสัยของประชาชนที่สามารถกระทำได้ และแม้จะมีข้อความบางส่วนเป็นการหมิ่นประมาทอยู่บ้าง แต่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสื่อมวลชนก็ได้รับการยกเว้นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1) (3) จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามฟ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
       
        ด้านนายสนธิ เผยหลังฟังคำพิพากษาว่า ความจริงคดีนี้ควรจบไปตั้งแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องแล้ว แต่ พล.ต.อ.สันต์สนิทสนมกับอัยการสูงสุด ทำให้อัยการสูงสุดมีความเห็นให้สามารถยื่นฎีกาในคดีนี้ได้ ซึ่งตนไม่รู้มาก่อนว่าศาลฎีกาจะพิพากษาว่าอย่างไร หากศาลพิพากษาให้จำคุก ตนก็พร้อมยอมรับ ไม่หนี เพราะตนเชื่อในหลักนิติรัฐ บ้านเมืองจะอยู่ได้ก็เพราะหลักนิติรัฐเท่านั้น ไม่ใช่ทำผิดแล้วออกกฎหมายเพื่อมาแก้ความผิดในภายหลัง ส่วนจะฟ้องกลับ พล.ต.อ.สันต์หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของตนจะดำเนินการต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 สิงหาคม 2556

6564
1. “ทนายสุวัตร” เผย “บอล” สารภาพนายเก่าคนสนิท “ทักษิณ” จ้างฆ่า “เอกยุทธ” 3 ล้าน คนมีสีลงมือ ด้าน ตร.รีบชิงส่งฟ้องต่ออัยการฐานฆ่าชิงทรัพย์!

       เมื่อวันที่ 13 ส.ค. นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านสิทธิการเมืองและสิทธิพลเมือง กสม. พร้อมด้วยอนุกรรมการฯ และ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะที่ปรึกษาอนุกรรมการ ได้แถลงผลตรวจสอบการเสียชีวิตของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดัง โดยยืนยันว่า หลังตรวจสอบกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานสอบสวน ,แพทย์นิติเวชที่ชันสูตรศพ ,แพทย์ที่ตรวจสอบศพ รวมทั้งลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านพักนายเอกยุทธ และจุดที่ฝังศพแล้ว พบว่า นายเอกยุทธถูกฆ่าโดยมืออาชีพ และฆ่าด้วยท่าพิเศษ ไม่ใช่การบีบคอหรือรัดคอตามที่พนักงานสอบสวนและผู้ต้องหาให้การแต่อย่างใด
       
       โดยการตรวจสอบได้ข้อสรุป 3 ประเด็น เช่น 1.แพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพพบว่า นายเอกยุทธถูกทำให้ขาดอากาศหายใจด้วยการใช้ท่าพิเศษ ซึ่งทำโดยมืออาชีพที่ไม่ใช่ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม สังเกตได้จากร่อยรอยบาดแผล 3 แห่ง ได้แก่ รอยฟกช้ำบริเวณปลายจมูก โคนลิ้นและลิ้นด้านซ้าย เนื้อเยื่อลำคอด้านขวา ซึ่งไม่พบรอยบีบรัดคอแต่อย่างใด แต่เป็นการกดบีบลำคอและปิดจมูกทำให้ขาดอากาศหายใจ ซึ่งท่านี้ทำให้ผู้ถูกกระทำเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่นาน 2. มีการเปลี่ยนแปลงสภาพศพหลังเสียชีวิต โดยมีการเตรียมการชัดเจนจากผู้ชำนาญการในการฆ่าคน เช่น มีการเตรียมวัสดุอุปกรณ์ห่อศพและลำเลียงศพจาก กทม.ไปพัทลุง มีการถอดเสื้อผ้าและเครื่องประดับออก เหลือแต่เสื้อกล้ามและกางเกงบอกเซอร์ มีการห่อศพและรัดศพด้วยเทคนิคเฉพาะของผู้มีความรู้และความชำนาญ เชื่อว่าศพถูกเก็บไว้ในที่มิดชิด เช่น ในรถตู้ไม่เกิน 3 วัน โดยไม่พบหนอนในศพ แสดงว่านายเอกยุทธถูกห่อหุ้มอย่างดี ส่วนการขุดหลุมฝังศพลึกไม่เกิน 50 ซม. แสดงว่าไม่ต้องการปกปิดศพ แต่ต้องการเปิดเผยเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยเชื่อว่าศพอยู่ในหลุมไม่เกิน 1 วัน
       
       นพ.นิรันดร์ เผยด้วยว่า ในการตรวจสอบคดีนายเอกยุทธ อนุกรรมการไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากตำรวจ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบพยานหลักฐานบางชิ้นได้ เช่น ไม่ให้ตรวจสอบรถตู้ ทั้งนี้ อนุกรรมการฯ จะทำรายงานผลการตรวจสอบเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาว่า ควรนำข้อเสนอของ กสม.ไปประกอบในสำนวนการสอบสวนหรือไม่ และไม่อยากให้ตำรวจเร่งสรุปสำนวนว่าเป็นคดีฆ่าชิงทรัพย์
       
       ส่วนความเคลื่อนไหวของญาตินายเอกยุทธ ได้มีการเข้าแจ้งความต่อกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเมื่อวันที่ 13 ส.ค. เพื่อขอเปลี่ยนคณะพนักงานสอบสวนคดีนายเอกยุทธ เนื่องจากไม่เชื่อมั่นการทำงานของกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพราะมีประเด็นขัดแย้งกันอยู่เดิม
       
       ด้าน พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยืนยันว่า ตำรวจทำคดีตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ และว่า พยานหลักฐานในขณะนี้เพียงพอที่จะส่งฟ้องผู้ต้องหาได้ โดยยังตั้งประเด็นไว้ที่การฆ่าชิงทรัพย์เพราะมีน้ำหนักมากสุด แต่ประเด็นอื่นก็ไม่ตัดทิ้ง
       
       ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความนายเอกยุทธ ได้ออกมาเผย(14 ส.ค.)ว่า เมื่อช่วงต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับการติดต่อจากนายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือบอล ผู้ต้องหาคนสำคัญในคดีฆ่านายเอกยุทธ ผ่านทางญาติ ขอให้ตนไปพบในเรือนจำ ตนจึงส่งทนายความไปพบ ซึ่งนายบอลรับสารภาพผ่านทนายความว่า นายบอลไม่ได้ลงมือฆ่านายเอกยุทธ แต่เป็นฝีมือคนมีสี โดยมีการลงมือ 3 ครั้ง สองครั้งแรกนายบอลลงมือแต่ไม่สำเร็จ ครั้งที่ 3 คนจ้างวานจึงให้ทีมคนมีสีลงมือ มีค่าจ้าง 3 ล้านบาท ส่วนแบ่งนายบอลจะได้ระดับแสนบาท โดยมีหน้าที่รับส่งพาไปทิ้งศพ แต่หลังงานสำเร็จ นายบอลถูกเบี้ยวค่าจ้าง จึงรับสารภาพ ทั้งนี้ นายสุวัตร ได้ประกาศเลิกยุ่งเกี่ยวกับคดีฆ่านายเอกยุทธแล้ว เนื่องจากญาตินายเอกยุทธบอกให้เลิก เพราะกลัว ขณะที่ตนก็ถูกขู่ฆ่ารายวัน “ผมทราบจากสายว่า มีคนร้ายเป็นกลุ่มที่ฆ่านายเอกยุทธจะดักฆ่าผมที่ถนนแห่งหนึ่ง โดยใช้รถบรรทุกทรายสองคันวิ่งประกบหน้าหลังแล้วอัดก๊อบปี้ ผมก็กลัวตายเหมือนกัน แถมยิ่งขุดคุ้ย ทางญาติบางคนก็ตำหนิผมว่าทำไมไม่ให้เรื่องจบ ผมก็ขอประกาศตรงนี้ว่า คดีเอกยุทธ ผมจบแล้ว”
       
       อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(15 ส.ค.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) และ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. ได้เปิดแถลงข่าว 2 รอบ รอบเช้า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ บอกว่า ไม่เข้าใจว่าท่าพิเศษคืออะไร พร้อมแขวะคนที่ออกมาพูดถึงคดีนายเอกยุทธว่า อย่าดีแต่พูด อย่าเอาชื่อนายเอกยุทธมาหากิน อย่ามาหาชื่อเสียงจากศพ ส่วนการแถลงรอบบ่าย มีการยืนยันว่า ได้เข้าไปสอบปากคำนายบอลแล้ว บอกว่า ตั้งแต่ถูกจับกุม ไม่มีทนายหรือผู้แทนของนายสุวัตรมาเยี่ยมแต่อย่างใด และว่า นายบอลยืนยันด้วยว่า ไม่เคยพูดว่ามีคนมาจ้างให้ฆ่านายเอกยุทธโดยจะให้ค่าจ้าง 3 ล้านบาท รวมทั้งการจ้างฆ่านายเอกยุทธจากกลุ่มคนมีสีด้วยเงิน 3 ล้านก็ไม่มีแต่อย่างใด พล.ต.ต.อนุชัย บอกด้วยว่า ผบช.น.เร่งรัดให้สรุปคดีนี้ เพราะมีระยะเวลาการฝากขัง แต่ก่อนศาลจะมีคำพิพากษา หากพบพยานหลักฐานเพิ่มเติม ก็สามารถส่งเพิ่มได้
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า วันต่อมา(16 ส.ค.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ และ พล.ต.ต.อนุชัย ได้เปิดแถลงอีกครั้ง โดยยืนยันว่า ได้มีการส่งสำนวนคดีนายเอกยุทธให้พนักงานอัยการกองคดีอาญา 6 แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 ส.ค. เนื่องจากหลักฐานพอฟ้อง และว่า หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการที่จะใช้ดุลพินิจส่งฟ้องต่อศาล
       
       วันเดียวกัน นายสุวัตรได้เปิดแถลง พร้อมด้วย น.ส.อัจฉรา แสงขาว 1 ในทีมทนายของตน โดยยืนยันอีกครั้งว่า นายบอลได้ให้คนติดต่อมาหาตนเมื่อวันที่ 18 ก.ค. จากนั้นตนได้ส่งทนาย คือ น.ส.อัจฉรา เข้าไปพบนายบอลเมื่อวันที่ 26 ก.ค. เวลาประมาณ 14.00น. โดยนายบอลได้เล่าเหตุการณ์ให้ น.ส.อัจฉราฟัง พร้อมฝากขอให้ตนช่วยนายบอลและครอบครัวด้วย เพราะกำลังลำบาก เนื่องจากคนที่จ้างวานฆ่านายเอกยุทธเบี้ยวค่าจ้าง 3 ล้านบาท โดยนายบอลได้รับเพียงหลักแสนบาทเท่านั้น นายบอล ยังเล่าด้วยว่า ก่อนมาขับรถให้นายเอกยุทธ เคยทำงานเป็นคนขับรถที่บริษัท ทีซีเอ็ม ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ทรีวิว จำกัด ซึ่งเจ้าของบริษัท คือ นายสมชาย จิตปรีดากร และมีภรรยาชื่อเล่นว่า เกียว พักอาศัยอยู่หมู่บ้านชิชา พระราม 2 และมีคอนโดมิเนียมเดอะ เลค ซึ่งเป็นคอนโดฯ เดียวกับที่นายเอกยุทธพักอยู่ และว่า นายสมชายเป็นลูกน้องคนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งนายบอลและนายสมชายได้เข้าออกพรรคเพื่อไทยเป็นประจำ ภายหลังนายบอลลาออกมาอยู่กับนายเอกยุทธ เมื่อนายสมชายทราบเรื่องจึงติดต่อมายังนายบอลว่าสนใจรับงานหรือไม่ จากนั้นได้ให้นายบอลติดต่อทีมอุ้มซึ่งเป็นคนมีสี โดยก่อนหน้านี้เคยตกลงวางแผนฆ่านายเอกยุทธมา 2 ครั้งแล้ว แต่ไม่สบโอกาส กระทั่งวันเกิดเหตุ นายบอลเห็นนายเอกยุทธลืมปืนไว้ในรถ จึงตัดสินใจประสานทีมอุ้มฆ่าเพื่อลงมือ นายบอล ยังบอกด้วยว่า ก่อนเกิดเหตุ คนที่ว่าจ้างได้ไปพบนายเอกยุทธด้วยและได้มีการพูดคุยกัน จากนั้นทีมอุ้มฆ่าจึงลงมือ
       
       ด้าน น.ส.อัจฉรา ได้ยกคำพูดบางช่วงบางตอนของนายบอลเพื่อยืนยันว่า งานนี้มีคนจ้างวานฆ่านายเอกยุทธจริง “พี่ลองคิดดูว่า ผมจะนำศพนายเอกยุทธลงไปที่พัทลุงได้อย่างไร โดยที่ไม่เจอด่านตำรวจ เพราะปกติผมจะขับรถชิดขวาตลอด และเมื่อพบด่านตำรวจ กลับปล่อยรถผมผ่านไป และในการทำงานครั้งนี้ ผมมีเบอร์พิเศษในการทำงาน สำหรับเรื่องฮาร์ดดิสก์ ผมไม่ได้ทุบทำลายตามที่เคยให้การกับตำรวจไว้ แต่ผมนำไปฝังดิน เนื่องจากฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถทำลายได้ง่าย ดังนั้นหลักฐานทุกอย่างยังคงอยู่ และสามารถสาวไปยังผู้บงการเรื่องนี้ได้”
       
       ขณะที่นายสุวัตร บอกว่า อยากขอให้ทีมพนักงานสอบสวนสอบสวนนายบอลใน 5 ประเด็น คือ 1.นายบอลเคยทำงานอยู่บริษัท ทีซีเอ็ม โฮลดิ้ง จริงหรือไม่ 2.นายสมชายมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย 3.นายบอลและนายสมชายเคยไปที่ทำการพรรคเพื่อไทยหรือไม่ 4.ขอให้พนักงานสอบสวนหาฮาร์ดดิสก์มาให้ได้ และ 5.ที่นายบอลอ้างว่า มีรถนำศพนายเอกยุทธไปยัง จ.พัทลุง 3 ช่วง เพื่อเป็นใบเบิกทางมีอยู่จริงหรือไม่ และเป็นรถของใคร โดยนายสุวัตรได้ให้ตัวแทนนำสำเนาเอกสารคำสารภาพของนายบอลให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลแล้วเมื่อวันที่ 17 ส.ค. เพื่อสอบสวนประเด็นดังกล่าวต่อไป
       
       ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รีบออกมายืนยันว่า สิ่งที่นายสุวัตร และ น.ส.อัจฉราแถลงเป็นความเท็จ กุเรื่อง ใช้จินตนาการเพื่อใส่ร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ “ผมขอเรียนว่านายสมชาย ไม่ใช่คนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงแต่เคยเห็นกันในต่างประเทศ เพราะนายสมชายเป็นคนไทยที่ไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา และมีกิจการขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกไปทั่วโลก พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยสั่งการหรือขอให้นายสมชายไปฆ่านายเอกยุทธ ผมได้ขอให้ทีมทนายไปแจ้งความเอาผิดนายสุวัตร และน.ส.อัจฉรา และทราบว่านายสมชายก็จะไปแจ้งความเอาผิดจนถึงที่สุด”
       
       ขณะที่นายสมชาย จิตปรีดากร ประธานกรรมการบริษัท ทรีวิว จำกัด ได้เข้าพบ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เมื่อวันที่ 17 ส.ค. โดยยืนยันว่า ตนไม่ได้จ้างฆ่านายเอกยุทธ และไม่เคยรู้จักนายเอกยุทธมาก่อน รวมทั้งไม่รู้จักนายสันติภาพ หรือนายบอลเช่นกัน เพิ่งรู้จากผู้จัดการฝ่ายในบริษัทว่านายสันติภาพเคยมาสมัคร และบริษัทรับเข้าทำงานได้เพียง 1 เดือน ก็ลาออกไป นายสมชาย ยังยืนด้วยว่า ไม่รู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณเป็นการส่วนตัว เคยพบในงานเลี้ยงนักธุรกิจเท่านั้น และไม่เคยเข้า-ออกพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด
       
       2. รัฐบาล เตรียมถกปฏิรูป 25 ส.ค. ด้าน ปชป.ซัด แค่ละครการเมือง ขณะที่ “สนธิ” ชี้ ถึงเวลา ปชป.ต้องกล้าทุบหม้อข้าวเพื่อชาติ!

       ความคืบหน้ากรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผุดไอเดียเรื่องสภาปฏิรูป โดยอ้างว่าเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการเมือง พร้อมมอบหมายให้นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ทาบทามบุคคลสำคัญมาร่วมคณะทำงานเพื่อปฏิรูปการเมืองนั้น ปรากฏว่า รัฐมนตรีทั้งสองได้เดินสายทาบทามบุคคลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายคนตอบรับเข้าร่วมแล้ว เช่น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ,นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ,นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ยืนยันว่า การเข้าร่วมของนายพิชัยทำในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรค เพราะพรรคเห็นว่า หากรัฐบาลจริงใจปฏิรูปการเมือง ต้องถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ออกจากสภาก่อน แต่รัฐบาลกลับเดินหน้าใช้เสียงข้างมากในสภาผ่านวาระ 1 ร่างกฎหมายดังกล่าว
       
       ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า การเดินสายเชิญบุคคลต่างๆ เข้าร่วมสภาปฏิรูปของรัฐบาลนั้น เป็นละครทางการเมืองเพื่อลดกระแสกดดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเท่านั้น พร้อมเตือนคนที่ถูกทาบทาม ระวังจะตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลที่กำลังจะออกกฎหมายล้างผิดให้คนที่ฆ่าประชาชน เผาทรัพย์สินของรัฐ-เอกชน และหมิ่นสถาบัน
       
       สำหรับท่าทีของกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ(กปท.) ต่อสภาปฏิรูปของรัฐบาลนั้น นายไทกร พลสุวรรณ โฆษกกองทัพประชาชนฯ ยืนยันว่า ทางกลุ่มจะไม่เข้าร่วม เพราะยึดมั่นในอุดมการณ์โค่นล้มระบอบทักษิณ พร้อมชี้ว่า บุคคลที่รัฐบาลไปทาบทามให้เข้าร่วมสภาปฏิรูป ส่วนใหญ่เป็นคนที่เคยรับใช้ระบอบทักษิณมาแล้วทั้งสิ้น จึงไม่มีประโยชน์ในการตั้งสภาปฏิรูป
       
       ส่วนกรณีที่รัฐบาลคุยโวว่า ได้เชิญบุคคลสำคัญของต่างประเทศมาให้ความรู้เรื่องการปฏิรูปด้วยนั้น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เผยว่า นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ติดภารกิจ ไม่สามารถมาร่วมเป็นวิทยากรได้ ส่วนผู้ที่มาได้ ได้แก่ นายโทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ,นายมาร์ตี อาห์ติซารี อดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ และนางพริซิลลา เฮย์เนอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน โดยทั้ง 3 ท่าน จะมาร่วมปาฐกถาพิเศษ “ผนึกกำลังสู่อนาคตเรียนรู้ร่วมกันจากประสบการณ์ ครั้งที่ 1” ที่กระทรวงฯ จะจัดขึ้นในวันที่ 2 ก.ย. ทั้งนี้ มีข่าวสะพัดว่า รัฐบาลทุ่มงบ 20 ล้านเพื่อเชิญนายโทนี แบลร์ มาปาฐกถาพิเศษ แต่นายสุรพงษ์ ปฏิเสธว่า ไม่จริง เป็นการมาด้วยใจ จ่ายแค่ค่ารับรองและค่าที่พักเท่านั้น
       
       ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี เผยว่า การประชุมเรื่องการปฏิรูปการเมืองจะมีขึ้นในวันที่ 25 ส.ค. ซึ่งเลื่อนจากกำหนดเดิมวันที่ 16 ส.ค. เนื่องจากยังไม่พร้อม สำหรับผู้ที่จะเข้าร่วมพูดคุยมีจำนวน 50 คนขึ้นไป
       
       ส่วนความคืบหน้ากรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชี้ทางออกของประเทศ โดยเสนอให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ทุกคนลาออก แล้วมาเดินเกมการเมืองนอกสภาเพื่อปฏิรูปการเมือง โดยพันธมิตรฯ พร้อมจะร่วมสู้ด้วยนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 16 ส.ค. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกและแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 ได้หารือกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางคน เกี่ยวกับข้อเสนอของนายสนธิ ซึ่งการพูดคุยเป็นไปด้วยดี แต่ยังไม่มีข้อสรุป
       
       ด้านนายสนธิ ได้พูดผ่านรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เมื่อวันที่ 16 ส.ค. โดยแนะว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องกล้าเสี่ยงลาออกจาก ส.ส. มั่นใจจะมีมวลชนออกมาร่วมเคลื่อนไหวหลักล้าน ถึงเวลานั้น แม้แต่ทักษิณก็ต้องตกใจ และขอคุยด้วยเพื่อหาทางออกให้ประเทศ “ถ้าคุณทุบหม้อข้าวเนี่ยคุณไม่ต้องเป็นห่วงเลย คนใต้ทุกจังหวัดขนเสื่อขนหม้อขนไหขึ้นมากันหมดเลย คนอีสานก็มา... อย่าว่าแต่แสนคนเลยผมว่าล้านคนยังไม่พอ คุณชุมนุมกันแสดงข้อเรียกร้องคุณจากหน้ารัฐสภา ไม่ต้องถึงหน้ารัฐสภาเอาแค่แยกมิสกวันแถวคุณจะยาวไปถึงสนามหลวง... ผมพนันกับคุณได้ รัฐบาลแม้กระทั่งทักษิณยังต้องตกใจต้องขอเปิดคุยกัน ขอคุยว่าเราจะเอายังไงกับประเทศ ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของทักษิณ เป็นเรื่องของคุณแล้ว เป็นเรื่องของประเทศไทย... เมื่อมาคุยกันก็หาทางออก แล้วใครจะบริหารประเทศชาติ ไม่เป็นไร ถวายคืนพระราชอำนาจ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งนายกฯ และรัฐบาลมาดูแลประเทศไทย 2 ปี กำหนดวาระมา แล้วให้รัฐบาลชุดใหม่ตั้งงบประมาณในการที่จะมาสรรหาจัดตั้งระบอบกติกากันใหม่ ที่ให้ทุกคนได้เหมือนกันหมด แล้วจะไม่มีระบบเดรัจฉานในสภาอีก”
       
       นายสนธิ ยังย้ำด้วยว่า ถึงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องเสียสละบ้าง ถ้าไม่ลาออกจาก ส.ส.มานำประชาชน การเปลี่ยนแปลงชาติบ้านเมืองจะไม่เกิดขึ้น แล้วในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์จะต้องจบลงในประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นพรรคที่เล็กลงๆ และถ้าประเทศไทยถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ยึดเมื่อไหร่ พรรคประชาธิปัตย์คือตัวการ ถ้ายังไม่ออกมา เท่ากับเป็นการยกประเทศให้เขาไป
       
       3. สภา เลื่อนถกร่าง พ.ร.บ.งบ 57 หลังอภิปรายมาราธอน 3 วันไม่จบ ขณะที่ ส.ส.เพื่อไทย ทำฉาว ดูรูปโป๊กลางสภา อ้างมือไปโดน!

       เมื่อวันที่ 14-16 ส.ค. ได้มีการประชุมสภาฯ เป็นกรณีพิเศษ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 วงเงิน 2.525 ล้านล้านบาท โดยเป็นการพิจารณาในวาระ 2 หลังร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวผ่านวาระ 1 เมื่อวันที่ 31 พ.ค. และมีการตั้งกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญขึ้นมาพิจารณาเป็นเวลา 39 วัน ทั้งนี้ ได้มีการปรับลดงบลงประมาณ 3.1899 หมื่นล้านบาท โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ประเทศ
       
       สำหรับเนื้อหาการอภิปรายที่น่าสนใจ ได้แก่ กรณีที่นายชัย ชิดชอบ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย ขอปรับลดงบลง 5% หรือประมาณ 1.2625 แสนล้านบาท เนื่องจากเห็นว่างบปี 2556 วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท ยังเบิกจ่ายไม่หมด เหลือมากถึง 1.7 แสนล้านบาท จึงไม่เข้าใจว่ารัฐบาลกั๊กงบไว้ทำไม ไม่นำมาพัฒนาประเทศ “ข้าราชการอยากใช้งบให้หมด แต่ผู้มีอำนาจกั๊กเงินไว้ ฝ่ายค้านก็เอามาใช้ไม่ได้ เห็นใจฝ่ายค้าน ชาวบ้านก็รองบในการพัฒนาแหล่งน้ำ ถนนหนทาง ทั้งการแก้ปัญหาอีกร้อยแปด แต่รัฐบาลก็เอาเงินไปเก็บไว้ ไม่นำมาใช้ตามแผนงาน”
       
       ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ขอปรับลดงบในภาพรวมลง 10% เพราะตราบใดที่ กมธ.ใช้จ่ายงบโดยทุจริต ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอนุมัติงบปี’57 มากขนาดนี้ โดยเฉพาะโครงการจำนำข้าวที่ปัจจุบันยังมีการทุจริตในรูปแบบเดิม เพียงแต่เปลี่ยนตัวละครที่เล่นจากนายปาล์มมาเป็นมาดามกง
       
       ด้านนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายขอปรับลดงบกลางลง 0.1% จากที่ตั้งวงเงินไว้ 3.43 แสนล้านบาท เพราะเป็นงบที่สามารถใช้จ่ายเงินได้ตลอด 24 ชม.และมีความไม่ชอบมาพากลที่นายกรัฐมนตรีมีสิทธิอนุมัติงบได้เพียงคนเดียวเท่านั้น และว่า งบส่วนนี้ควรเป็นงบช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ แต่ในอดีตมีการนำเงินส่วนนี้ 2,000 ล้านบาท ไปจ่ายเยียวยาให้คนเสื้อแดงที่ถูกคุมขัง ถือว่าไม่เป็นธรรมกับผู้ถูกคุมขังทั่วประเทศ
       
       ทั้งนี้ หลังอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไปแล้ว 3 วัน ระหว่างวันที่ 14-16 ส.ค.โดยอภิปรายโต้รุ่งถึงเช้าวันที่ 17 ส.ค. แต่การอภิปรายก็ยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องมีผู้อภิปรายจำนวนมาก ดังนั้นหลังที่ประชุมได้อภิปรายและลงมติผ่านงบ มาตรา 17 ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยเสร็จสิ้น ประธานจึงได้สั่งปิดประชุมเมื่อช่วงสายวันที่ 17 ส.ค. โดยยังไม่ได้กำหนดว่าจะประชุมครั้งต่อไปในวันใด
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างประชุมสภาฯ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 57 มี ส.ส.พรรคเพื่อไทย ดูรูปโป๊กลางสภาผ่านไอแพด คือ ว่าที่ ร.ต.พงศ์พันธ์ สุนทรชัย ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ซึ่งหลังถูกผู้สื่อข่าวนำภาพมาเผยแพร่ เจ้าตัวรีบอ้างว่า ใช้ไอแพดไม่ค่อยเป็น และจริงๆ แล้วต้องการหาข้อมูลเรื่องค่าขนส่งข้าวของกระทรวงพาณิชย์ แต่มือได้ไปโดนแถบหัวข้อแฟชั่น ทำให้มีภาพวาบหวิวปรากฏขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์บนโซเชียลเน็ดเวิร์ก โดยไม่เชื่อคำอ้างของว่าที่ ร.ต.พงศ์พันธ์ แต่เชื่อว่าเจ้าตัวจงใจค้นหาในกูเกิลโดยพิมพ์คำว่า “นางแบบสาวสวย” จึงได้ปรากฎภาพโป๊ดังกล่าวขึ้นมา ไม่ใช่เกิดจากมือไปโดนแต่อย่างใด
       
       4. “น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ ทำลายสถิติคว้าแชมป์โลกคนแรกของไทย-อายุน้อยสุด ด้านต่างชาติยก “สาวน้อยมหัศจรรย์” ขณะที่เจ้าตัว ตั้งเป้าคว้าแชมป์โอลิมปิก!

       เมื่อวันที่ 11 ส.ค. รัชนก อินทนนท์ หรือน้องเมย์ นักตบลูกขนไก่มืออันดับ 3 ของโลกวัย 18 ปี ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการแบดมินตันไทย ด้วยการคว้าแชมป์หญิงเดี่ยวในการแข่งขันแบดมินตันชิงแชมป์โลก “บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพส์ 2013” ที่เมืองกวางโจว ประเทศจีน หลังเอาชนะสาวเจ้าถิ่น หลี่ เสวี่ยรุย มืออันดับ 1 ของโลกชาวจีน เจ้าของแชมป์โอลิมปิกเกมส์คนล่าสุด 2-1 เกม ด้วยสกอร์ 22-20 ,18-21 และ 21-24
       
        ทั้งนี้ การคว้าแชมป์โลกดังกล่าว ทำให้น้องเมย์ อดีตแชมป์เยาวชนโลก 3 สมัย กลายเป็นนักแบดมินตันที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถคว้าแชมป์โลกมาครอง และยังเป็นนักแบดมินตันคนแรกของไทยที่คว้าแชมป์โลกสำเร็จ หลังจีนครองแชมป์มายาวนานถึง 8 สมัย โดยปีนี้ น้องเมย์คว้าแชมป์แล้ว 3 รายการ คือ แชมป์แบดมินตันชิงแชมป์โลก ,แชมป์โยเน็กซ์ ซันไรส์ อินเดีย โอเพ่น 2013 และแชมป์เอสซีจี ไทยแลนด์ โอเพ่น 2013
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังคว้าแชมป์โลกดังกล่าวได้ น้องเมย์ได้ประกาศขอยกแชมป์โลกให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขณะที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานดอกไม้เพื่อแสดงความยินดีกับน้องเมย์ทันทีที่เดินทางกลับถึงประเทศไทยเมื่อคืนวันที่ 11 ส.ค. ด้านสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดงานวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2556 พร้อมมอบรางวัล “ลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่” ให้แก่น้องเมย์ด้วย
       
       ขณะที่สื่อต่างชาติต่างประโคมข่าวน้องเมย์คว้าแชมป์โลกครั้งนี้ พร้อมยกเป็น “สาวน้อยมหัศจรรย์” ด้านน้องเมย์ เผยว่า เป้าหมายต่อไปคือ การคว้าแชมป์โอลิมปิกเกมส์ 2016 ในอีก 3 ปีข้างหน้าให้ได้ ทั้งนี้ หลังคว้าแชมป์โลก 2013 หลายฝ่ายต่างอัดฉีดเงินให้น้องเมย์ รวมแล้วหลายล้านบาท ขณะที่โรงเรียนสอนแบดมินตันบ้านทองหยอด ต้นสังกัดของน้องเมย์ ก็ได้รับเงินสนับสนุนจากหลายฝ่ายเช่นกัน
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เปิดทำเนียบรัฐบาล ต้อนรับน้องเมย์เมื่อวันที่ 13 ส.ค. พร้อมมอบเงินสนับสนุนจากสำนักงานการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ ให้น้องเมย์ 7 แสนบาท พร้อมมอบให้โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด 3 แสนบาท ขณะที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผย(12 ส.ค.)ว่า ได้รับน้องเมย์เข้าเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวนเรียบร้อยแล้ว หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จะบรรจุเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตรทันที อย่างไรก็ตาม น้องเมย์ ได้ออกมาปฏิเสธในภายหลังว่า ยังไม่ขอรับตำแหน่งข้าราชการตำรวจ เพราะตอนนี้เพิ่งเรียนอยู่ชั้นปี 1 และต้องฝึกซ้อมเพื่อเป้าหมายขึ้นไปเป็นมือ 1 ของโลก และว่า หากเรียนจบแล้ว ค่อยมาดูอีกทีว่าจะเข้ารับราชการตำรวจหรือไม่
       
       ด้านสหพันธ์แบดมินตันโลก(บีดับเบิลยูเอฟ) ได้ประกาศผลการจัดอันดับโลกประจำสัปดาห์เมื่อวันที่ 15 ส.ค. ซึ่งปรากฏว่า น้องเมย์ได้ขยับจากอันดับ 3 ขึ้นไปอยู่อันดับ 2 ของโลกตามความคาดหมาย โดยมีคะแนนสะสม 78,028.1795 คะแนน เบียดจูเลียน เชงก์ นักหวดชาวเยอรมัน หล่นไปอยู่อันดับ 3 ซึ่งมีคะแนน 73,423.5663 คะแนน ขณะที่หลี่ เสวี่ยรุย สาวจีนที่แพ้น้องเมย์ในรอบชิงหญิงเดี่ยวแบดมินตันชิงแชมป์โลก ยังคงรั้งมือ 1 ของโลกต่อไป ด้วยคะแนนสะสม 85,819.9715 คะแนน


ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 สิงหาคม 2556

6565
1. “ในหลวง-พระราชินี” ทรงมีพระพลานามัยสดชื่นแข็งแรง หลังประทับแรมวังไกลกังวลครบ 1 สัปดาห์!
       
       หลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ วังไกลกังวล ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ส.ค. โดยมีคณะแพทย์ที่เคยถวายการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ตามไปถวายการรักษาที่วังไกลกังวลด้วยนั้น สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ว่า คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมีพระอาการทั่วไปดี ความดันพระโลหิตปกติ อัตราการเต้นพระหทัยอยู่ในเกณฑ์ดี เสวยได้มากขึ้น บรรทมได้ดี ทรงพระดำเนินได้ดี แต่มีพระอาการปวดที่พระอังสา(หัวไหล่) และข้อพระกรข้างซ้าย คณะแพทย์ได้ถวายการตรวจและเห็นว่า พระนหารู(เอ็น) บริเวณดังกล่าวอักเสบ จึงได้ถวายพระโอสถและกายภาพบำบัด ขณะที่ผลการตรวจพระโลหิตอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ คณะแพทย์ขอพระราชทานให้ทรงงดพระราชกิจต่อไปอีกระยะหนึ่ง
       
       ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เผยถึงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หลังเสด็จฯ เปลี่ยนพระอิริยาบถประทับ ณ วังไกลกังวล ครบ 1 สัปดาห์ว่า อยู่ในช่วงที่มีพระสุขภาพดี ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง สดชื่นดีมาก ทรงพระเกษมสำราญ พระดำเนินได้ดี และเสวยได้ดี ซึ่งคณะแพทย์ได้ถวายการดูแลอย่างใกล้ชิด
       
       2. ร่างนิรโทษฯ ผ่านสภาวาระแรกฉลุย ขณะที่ “ม.จ.จุลเจิม” ลั่น รับไม่ได้ ล้างผิดคนหมิ่นสถาบัน ด้าน “สนธิ” ยังเชียร์ ปชป.ลาออก พันธมิตรฯ พร้อมร่วมสู้!

       หลังสภาผู้แทนราษฎรมีกำหนดพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ฉบับนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เป็นวาระแรกในวันที่ 7 ส.ค. ตามมติของคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) โดยเมินเสียงคัดค้านของประชาชนในนามกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณที่นัดชุมนุมตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค. ขณะที่รัฐบาลรีบประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ใน 3 เขต คือ เขตดุสิต เขตพระนคร และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เป็นเวลา 10 วัน ระหว่างวันที่ 1-10 ส.ค. โดยอ้างเหตุเพื่อป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น ส่งผลให้กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณไม่สามารถชุมนุมใกล้รัฐสภาหรือที่สนามม้านางเลิ้งได้ จึงเปลี่ยนไปชุมนุมที่สวนลุมพินีแทน
       
       ด้านแกนนำพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้ประกาศจะคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ทั้งในสภาและนอกสภา โดยนอกสภา ได้จัดเวทีผ่าความจริงฯ ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 6 ส.ค.ถึงเช้าวันที่ 7 ส.ค. ที่ใต้ทางด่วนแยกอุรุพงษ์ เขตราชเทวี ซึ่งเป็นบริเวณที่ใกล้กับเขตพื้นที่ควบคุมตาม พ.ร.บ.มั่นคงฯ ที่สุด ส่วนเหตุผลที่จัดเวทีดังกล่าวโต้รุ่ง เนื่องจากต้องการให้มวลชนร่วมเดินเท้าไปส่ง ส.ส.ของพรรคเข้าไปทำหน้าที่คัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ในสภา ซึ่งเมื่อถึงกำหนด(7 ส.ค.) มวลชนไม่สามารถเดินไปส่งแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ถึงหน้ารัฐสภาได้ เพราะติดด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจตาม พ.ร.บ.มั่นคงฯ บริเวณแยกราชวิถี แม้แกนนำของพรรค ไม่ว่าจะเป็นนายชวน หลีกภัย ,นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะพยายามเจรจากับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แล้วก็ตาม แต่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ก็ไม่ยอมให้ตำรวจเปิดทางให้มวลชนผ่าน อนุญาตให้เฉพาะ ส.ส.เท่านั้นที่จะผ่านด่านตำรวจเข้าสภาได้ แกนนำประชาธิปัตย์จึงได้แยกกับมวลชน ณ จุดนั้น ส่งผลให้มวลชนทยอยกลับบ้าน ขณะที่ผู้ชุมนุมกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณที่สวนลุมพินีไม่ได้เคลื่อนขบวนมายังรัฐสภาแต่อย่างใด
       
       ทั้งนี้ นายสุเทพ พูดถึงกรณีที่มวลชนไม่สามารถมาส่งแกนนำพรรคถึงหน้าสภาเพราะตำรวจไม่อนุญาตว่า “ผมได้ขอให้ประชาชนเดินทางกลับบ้านไปพักผ่อน เพราะตรากตรำมากับ ปชป.ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ส่วน ปชป.จะเข้าไปทำหน้าที่และจะรายงานให้ประชาชนทราบเป็นระยะ ผมจะสู้วาระ 1-3 ตามกฎเกณฑ์กติกา ถ้ารัฐบาลยังดื้อด้าน ดึงดันไม่ฟังเสียงประชาชน เมื่อเสร็จสิ้นการพิจารณาในวาระที่ 3 จะไปปรึกษาหารือกันอีกครั้งว่าจะดำเนินการขั้นตอนต่อไปอย่างไร”
       
       สำหรับบรรยากาศการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับนายวรชัยเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ซึ่งเริ่มขึ้นในช่วงบ่าย แม้พรรคประชาธิปัตย์จะพยายามเสนอที่ประชุมให้เลื่อนเรื่องอื่นขึ้นมาพิจารณาก่อน แต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นชี้แจงหลักการและเหตุผลที่เสนอร่าง กฎหมายฉบับนี้ โดยอ้างว่า เนื่องจากสังคมมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย การจะทำให้ประเทศกลับมาสู่ความสงบสุข สามัคคี จำเป็นต้องตรา พ.ร.บ.ฉบับนี้
       
       ด้าน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ต่างประท้วงการชี้แจงหลักการและเหตุผลของนายวรชัยเป็นระยะๆ ส่งผลให้ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ซึ่งนั่งข้างนายวรชัย ไม่พอใจ ได้ยกรองเท้าหนังสีดำขึ้นชูในระหว่างที่นายวรชัยแถลง พรรคประชาธิปัตย์ จึงประท้วงพฤติกรรมของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ แต่เจ้าตัว อ้างว่า เห็นสถานการณ์ไม่ดี จึงถอดรองเท้าเตรียมวิ่งออกจากห้องประชุม หรืออาจจะเอารองเท้ามาปกป้องใบหน้า ขณะที่ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นประท้วงขอให้มีการสอบจริยธรรม จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้พยายามเสนอให้ที่ประชุมเลื่อนพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ออกไปก่อน เพราะนายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในที่ประชุม แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยไม่ต้องการให้เลื่อน สุดท้ายที่ประชุมจึงมีการลงมติว่าจะเลื่อนหรือไม่ ผลปรากฏว่า เสียงข้างมากไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนด้วยคะแนน 301 ต่อ 160 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ประธานจึงเปิดให้อภิปรายต่อ
       
       ซึ่งช่วงหนึ่ง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายยืนยันไม่รับหลักการร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ เพราะมีการหมกเม็ดอย่างน้อย 2 เม็ด 1. ชื่อร่างดังกล่าวบอกว่านิรโทษฯ ให้การกระทำที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง แต่ในมาตรา 3 กลับระบุนิรโทษฯ ให้การกระทำใดใดที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมด้วย ทำให้การนิรโทษฯ ดังกล่าวครอบคลุมถึงจำเลย 1 คนในคดีก่อการร้ายที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมคือคนที่อยู่นอกประเทศ 2. ผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนหนึ่งทำความผิดคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมีอยู่อย่างน้อย 4-5 คน คนเหล่านี้ก็จะได้รับผลพวงด้วย
       
       ทั้งนี้ การอภิปรายเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ไม่แล้วเสร็จ เพราะยังเหลือผู้อภิปรายจำนวนมาก ประธานจึงนัดประชุมเพื่ออภิปรายและลงมติร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ในวันรุ่งขึ้น(8 ส.ค.) ซึ่งก่อนที่การประชุมในวันที่สองจะเริ่มขึ้น วิปรัฐบาลได้ตกลงกับวิปฝ่ายค้านว่า จะปิดการอภิปรายและลงมติในเวลา 18.00น. อย่างไรก็ตาม หลังอภิปรายไปได้ไม่กี่คน นายพายัพ ปั้นเกตุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นเสนอญัตติปิดอภิปราย โดยอ้างว่าได้มีการอภิปรายมาพอสมควรและได้เนื้อหาครอบคลุมแล้ว ส่งผลให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเชียร์ให้ปิดอภิปรายเป็นการใหญ่ แต่พรรคประชาธิปัตย์ค้าน และเสนอขออภิปรายต่อ เพราะฝ่ายค้านมีผู้อภิปราย 60 คน เพิ่งอภิปรายไปได้แค่ 4 คน จึงมีการประท้วงกันไปมา จนประธานต้องสั่งพักการประชุมหลายครั้ง
       
       กระทั่งในที่สุด ประธานที่ประชุมได้ขอมติปิดการอภิปรายในเวลา 16.30น. ซึ่งเสียงข้างมากเห็นด้วยให้ปิดการอภิปรายด้วยคะแนน 300 ต่อ 126 เสียง ท่ามกลางเสียงโห่จากพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายยุคล ชนะวัฒน์ปัญญา ส.ส.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความไม่พอใจด้วยการลุกขึ้นฉีกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ
       
       สำหรับผลการลงมติว่าจะรับหรือไม่รับหลักการวาระ 1 ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ นั้น ผลปรากฏว่า เสียงข้างมากลงมติรับหลักการด้วยคะแนน 299 ต่อ 121 เสียง งดออกเสียง 14 เสียง ไม่ลงคะแนน 3 เสียง อย่างไรก็ตาม นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ทักท้วงว่าบัตรมีปัญหา ขอแก้คะแนน ประธานจึงให้ลงคะแนนใหม่ ผลปรากฏว่า เสียงข้างมากมีมติรับหลักการด้วยคะแนน 300 ต่อ 124 เสียง งดออกเสียง 14 เสียง ไม่ลงคะแนน 2 เสียง จากนั้นที่ประชุมให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 35 คน เพื่อแปรญัตติใน 7 วัน ก่อนสั่งปิดการประชุม
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังการประชุมสภาฯ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ เสร็จสิ้นลงในวันที่ 8 ส.ค. รัฐบาลได้ประกาศยกเลิก พ.ร.บ.มั่นคงฯ ทันที ขณะที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แถลงถึงท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า พ.ต.ท.ทักษิณดีใจที่ร่างดังกล่าวผ่านวาระแรก แม้จะมีการประท้วงและถ่วงเวลาของพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม พร้อมยอมรับว่า พรรคเพื่อไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นห่วงที่พรรคประชาธิปัตย์จะใช้ม็อบมาล้มกฎหมายฉบับนี้ในวาระ 3 โดยอยากให้เลิกคิดและขอให้ส่งตัวแทนไปร่วมพิจารณาในชั้นกรรมาธิการอย่างสร้างสรรค์
       
       สำหรับปฏิกิริยาของฝ่ายต่างๆ ต่อกรณีที่สภาเสียงข้างมากผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ วาระ 1 แล้วนั้น นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บอกว่า พรรคประชาธิปัตย์พลาดมากที่เข้าสภาเมื่อวันที่ 7 ส.ค. แล้วเสนอให้เลื่อนวาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ เมื่อเลื่อนไม่สำเร็จ ประชาธิปัตย์ต้องเดินออกจากสภาทั้งหมด แล้วไปเจอมวลชนของตัวเองที่อยู่ข้างนอก ซึ่งจะทำให้รัฐบาลไปไม่เป็น ประชาธิปัตย์ต้องไม่ให้สภาเดินเรื่องร่างนิรโทษฯ ต่อ เพราะขาดความชอบธรรม
       
       นายสนธิ ยังชี้ทางออกของประเทศด้วยว่า ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ต้องไม่ยอมรับระบบเดรัจฉานในสภานี้ ต้องหาทางให้ทุกฝ่ายมานั่งคุยกัน ซึ่งวิธีเดียวที่จะให้ทุกฝ่ายมานั่งคุยกันได้คือ ประชาธิปัตย์ทุกคนต้องลาออก แล้วมาเดินเกมการเมืองนอกสภา ต้องปฏิรูปประเทศ หากประชาธิปัตย์ทำได้ ตนและพันธมิตรฯ พร้อมจะร่วมสู้ด้วย และพร้อมจะให้อภัยในสิ่งที่ผ่านมา “ผมพร้อมจะร่วม พันธมิตรฯ พร้อมจะร่วม แต่คุณต้องลาออกนะ ให้คุณนำ ผมไม่ต้องการนำ ผมเป็นผู้ตามคุณ ผมยินดีตามพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าคุณกล้าทำอย่างนี้ อาการเจ็บหลังของผมที่ผมโดนแทงข้างหลัง และเจ็บหัวที่โดนยิงหัว ผมลืมได้ ผมทิ้งไว้ข้างตัวเลย เอาชาติมาก่อน ถ้าอย่างนั้นแล้ว ระดมคนทั่วประเทศไทย 7 วันต้องมีคนเป็นล้านมา วันนั้นเพื่อไทยต้องเคาะประตูแล้วขอคุยด้วย”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล หรือ “ท่านใหม่” พระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์(พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงทัศนะไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ที่ผ่านสภาวาระแรกแล้ว เนื่องจากเป็นการนิรโทษกรรมให้กลุ่มคนที่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงระบุด้วยว่า การออกกฎหมายนิรโทษกรรมครั้งนี้เป็นการล้างผิดให้คนที่ไม่สำนึกว่าตัวเองทำผิด ซึ่งคนเหล่านั้นเป็นพวกพ้องของคนในพรรคเพื่อไทยที่ใส่ร้ายป้ายสีสถาบันพระมหากษัตริย์ติดต่อกันนานเกือบ 10 ปี “บ้านเมืองนี้ว้าเหว่สิ้นดี เมื่อการเมืองไม่ชอบธรรม เมื่อรัฐสภาไม่ตั้งอยู่ในสุจริตธรรม ผ่านกฎหมายมากี่ฉบับ บ้านเมืองก็ลุกเป็นไฟ... ล้างผิดทั้งที่เจตนาทำ มีคนตักเตือน ทักท้วงและห้ามปราม ชี้สิ่งที่ควรและไม่ควร คนทำเหล่านี้ก็ไม่ไยดี ไม่ยี่หระใดๆ ในฐานะเราชาวพุทธคนหนึ่งและประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะให้ล้างผิดพวกหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น ทำใจไม่ได้จริงๆ”
       
       3. ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับยกฟ้อง นปช.มือยิงอาร์พีจีถล่มกลาโหม ชี้ พยานให้การขัดกัน ด้าน “อภิสิทธิ์” ดักคออัยการต้องยื่นฎีกา เหตุศาลชั้นต้นสั่งลงโทษหนัก!

       เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม หรือนายบัณฑิต สิทธิทุม อายุ 44 ปี อดีตตำรวจ สภ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว และแนวร่วมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เป็นจำเลยในหลายความผิด เช่น ร่วมกันก่อการร้าย ,ร่วมกันทำให้เกิดระเบิดเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ,ร่วมกันยิงปืนโดยใช้ดินระเบิดในที่ชุมนุม ,ร่วมกันมีเครื่องยิงระเบิดไว้ในครอบครอง ,ร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง ฯลฯ จากกรณียิงจรวดอาร์พีจีเข้าใส่กระทรวงกลาโหม เมื่อปี 2553
       
       คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยและพวกอีก 1 คน ได้ร่วมกันใช้เครื่องยิงจรวจอาร์พีจี 2 เล็งและยิงลูกระเบิดไปยังอาคารกระทรวงกลาโหม ทำให้นายศักดิ์ หาญสงคราม ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้สายเคเบิลโทรศัพท์ของบริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) ก็ได้รับความเสียหายด้วย และว่า จำเลยกับพวกกระทำการดังกล่าวเพื่อขู่เข็ญ บังคับรัฐบาลไทยให้ยุบสภา ทั้งยังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นการสนับสนุนช่วยเหลือการก่อการร้ายของกลุ่ม นปช. ทั้งนี้ จำเลยมีเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี 2 จำนวน 1 กระบอก ,ลูกระเบิดแบบสังหาร เอ็ม 67 จำนวน 3 ลูก ,ปืนกลมือ(เอ็ม 3) ขนาด .45 จำนวน 48 นัด
       
       ด้านศาลชั้นต้น พิพากษาเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2554 ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม รวมจำคุก 38 ปี และให้ริบของกลาง ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี
       
       ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้มีพยานโจทก์หลายปาก ซึ่งเห็นคนร้ายในช่วงเวลาต่างกัน โดยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า พยานเห็นคนร้ายขับรถยนต์โตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน ตศ.9818 กรุงเทพมหานคร เข้ามาจอดในซอยด้านหลังกระทรวงกลาโหม ซึ่งพยานระบุว่า เห็นจำเลยอยู่ในรถคันดังกล่าวด้วย จากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบรถคันดังกล่าวจอดอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ สภาพกระจกแตกทั้งคัน ประตูรถเสียหายทั้งบาน และตัวรถเสียหายมาก ขณะที่ภายในรถ ยังพบเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี 2 จำนวน 1 กระบอก และระเบิดสังหารเอ็ม 67 จำนวน 3 ลูก และเสื้อแจ๊กเก็ต 1 ตัว แสดงว่าคนร้ายใช้รถยนต์คันดังกล่าวในการก่อเหตุจริง
       
       อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์เห็นว่า มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ ซึ่งศาลเห็นว่า โจทก์นำพยานขึ้นเบิกความหลายปาก แต่คำเบิกความของพยานไม่ตรงกัน พยานบางรายระบุว่าเห็นจำเลยเป็นคนขับ บางรายระบุว่าจำเลยนั่งข้างคนขับ พยานบางรายบอกว่าจำเลยใส่หมวกแก๊ป ขณะที่บางรายบอกว่าไม่ได้ใส่หมวก ศาลเห็นว่า พยานให้การขัดแย้งกันเองไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ และขัดแย้งกับคำให้การของตนเองที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน จึงยังไม่แน่ใจว่าคนร้ายใช่จำเลยหรือไม่
       
       อีกทั้งขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน แสงไฟมีน้อย แม้ว่าผลตรวจลายนิ้วมือแฝงภายในรถและเสื้อแจ๊กเก็ต จะพบว่ามีสารพันธุกรรมของจำเลยปะปนอยู่ แต่ก็มีของบุคคลอื่นด้วย ส่วนที่พยานให้การว่า จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับรถยนต์คันก่อเหตุที่มีการซื้อขายต่อกันมาหลายทอดนั้น ศาลเห็นว่า พยานก็ไม่ได้เบิกความยืนยันว่าจำเลยอยู่ในรถยนต์คันเกิดเหตุด้วยและเป็นคนร้ายจริงหรือไม่ ศาลเห็นว่าแม้พยานแวดล้อมจะเบิกความระบุว่าจำเลยเกี่ยวข้องกับรถยนต์คันดังกล่าว แต่โจทก์ไม่มีพยานเบิกความเน้นว่าจำเลยเป็นคนร้ายแต่อย่างใด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงพิพากษากลับยกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างฎีกาและให้ริบของกลาง
       
       ด้าน ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม จำเลยในคดีนี้ เผยความรู้สึกหลังฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า “รู้สึกดีใจมาก รอคอยวันนี้มานาน และเห็นว่าความยุติธรรมยังมีอยู่จริง ซึ่งที่ผ่านมา ยืนยันว่าผมเองไม่ผิดและจะต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด”
       
       ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดีดังกล่าวว่า คิดว่าอัยการควรจะต้องยื่นฎีกา เพราะเป็นคดีที่ทำให้เกิดความเสียหาย และกระทบกระเทือนต่อส่วนรวมอย่างมาก อย่าลืมว่าศาลชั้นต้นตัดสินลงโทษจำเลยไว้สูงมาก เพราะฉะนั้นคดีนี้ต้องดำเนินการไปให้ถึงที่สุดคือศาลฎีกา หากไม่มีการยื่นฎีกา ที่สุดแล้วก็จะเป็นปัญหาว่า ใครก็ตามที่ทำความเสียหายต่อส่วนรวมแล้ว จะไม่ร่วมกันหาคนรับผิดชอบ
       
       4. สมเด็จเกี่ยว มรณภาพแล้ว หลังติดเชื้อในกระแสเลือด ด้านมหาเถรสมาคมเตรียมคัดเลือก ปธ.คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชรูปใหม่!

       เมื่อวันที่ 10 ส.ค. เวลา 08.41น. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ และประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มรณภาพลงที่โรงพยาบาลสมิติเวช เนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด สิริรวมอายุ 85 ปี
       
       ทั้งนี้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้ป่วยด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด และเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวชอย่างต่อเนื่องมากว่า 5 เดือน โดยครั้งล่าสุด ได้เข้ารับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณเดือนกว่า กระทั่งมรณภาพลงในที่สุด
       
        นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวถึงการมรณภาพของสมเด็จพระพุฒาจารย์ว่า “คณะสงฆ์ไทยได้สูญเสียพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ถือเป็นพระนักพัฒนาผู้มุ่งมั่นที่จะเห็นพระพุทธศาสนามีความมั่นคงอยู่บนผืนแผ่นดินไทย และแผ่ไพศาลไปเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลก โดยเป็นผู้วางรากฐานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสหรัฐอเมริกาและยุโรป จนกระทั่งประสบผลสำเร็จในปัจจุบัน”
       
       ด้านพระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ เผยว่า เจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวังได้มาจัดสถานที่ในการตั้งศพ และเนื่องจากสมเด็จพระพุฒาจารย์มีสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะ จะได้รับพระราชทานโกศไม้สิบสอง พร้อมด้วยเครื่องประกอบเกียรติยศศพตามฐานันดร ขณะที่พิธีสวดพระอภิธรรมศพจะอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ 7 วัน
       
       สำหรับการคัดเลือกประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชรูปใหม่แทนสมเด็จพระพุฒาจารย์นั้น มหาเถรสมาคม (มส.) จะต้องคัดเลือกจากคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏ 7 รูป ได้แก่ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปฺญโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ,สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ธรรมยุต) ,สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อมฺพโร) เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม (ธรรมยุต),สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร (ธรรมยุต) ,สมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย) เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร (ธรรมยุต) ,สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี) เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม และสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร เมื่อทาง มส.ลงมติเลือกแล้ว ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะรายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ เพื่อให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ต่อไป

ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 สิงหาคม 2556

6566
1. “ในหลวง-พระราชินี” เสด็จฯ ประทับวังไกลกังวล หลังประทับรักษาพระอาการประชวรใน รพ.ศิริราชเกือบ 4 ปี - พสกนิกรปลื้มปีติ!
       
       เมื่อวันที่ 1 ส.ค. เวลา 16.25น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ ลงจากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเสด็จฯ ไปประทับ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีประชาชนที่ทราบข่าวมารอเฝ้ารับเสด็จอย่างเนืองแน่น พร้อมโบกธงชาติ ธงตราสัญลักษณ์ ภปร.และ สก. และเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ขณะที่ทั้งสองพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์และแย้มพระสรวลให้แก่พสกนิกรที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จ ยังความปลาบปลื้มแก่พสกนิกรเป็นอันมาก บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
       
       ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากโรงพยาบาลศิริราชถึงวังไกลกังวลในเวลา 18.49 น. โดยตลอดเส้นทางถนนเพชรเกษมจนถึงหน้าวังไกลกังวล มีพสกนิกรจำนวนมากเฝ้ารับเสด็จ นับเป็นวันแห่งความปลื้มปีติของพสกนิกรเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นทั้งสองพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง จนสามารถเสด็จพระราชดำเนินไปยังวังไกลกังวลได้ รวมระยะเวลาที่พระองค์ประทับรักษาพระวรกาย ณ โรงพยาบาลศิริราช เป็นเวลา 3 ปี 10 เดือนเศษ
       
       ด้าน ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงถึงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า อยู่ในช่วงที่มีพระพลานามัยดี ทำให้มีพระราชดำริที่จะเสด็จฯ ไปประทับที่วังไกลกังวล เพื่อเป็นการเปลี่ยนพระอิริยาบถ ถือเป็นการเสด็จฯ ไปประทับชั่วคราว แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าพระองค์จะประทับที่วังไกลกังวลกี่วัน ยังไม่ได้มีรับสั่งตรงนี้ อย่างไรก็ตามถือว่าพระองค์ยังเป็นคนไข้อยู่ คณะแพทย์ที่ถวายการดูแลอยู่ในปัจจุบันได้ตามไปถวายการดูแลที่วังไกลกังวลด้วย “เราก็ไปเตรียมโรงพยาบาลที่หัวหินด้วย ในกรณีฉุกเฉินอาจต้องเข้าโรงพยาบาลที่หัวหินก่อนเบื้องต้นก่อนที่จะกลับมาศิริราช ในเรื่องของความพร้อมเราคิดว่าพร้อมเต็มที่ แพทย์พยาบาลก็ได้จัดไปอยู่เวรที่หัวหินเหมือนกับเวรที่ศิริราชเลย ไม่ได้ลดจำนวนลงเลย ถือว่าเป็นการถวายความปลอดภัยในแง่สุขภาพสูงสุด อันนี้ก็ได้กราบบังคมทูลไปว่าให้ทรงสบายพระราชหฤทัยว่าต่อไปนี้เหมือนมีสองบ้าน หนึ่งคือบ้านศิริราช สองบ้านที่วังไกลกังวล”
       
       ด้าน พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งให้มีการจัดหมู่เรือรักษาการณ์วังไกลกังวลขึ้น เพื่อถวายความปลอดภัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ระหว่างประทับ ณ วังไกลกังวล โดยมี พล.ร.ต.สมชาย ณ บางช้าง ผู้บัญชาการกองเรือฟรีเกต ที่ 1 เป็นผู้บัญชาการหมู่เรือ ซึ่งหมู่เรือรักษาการณ์ฯ ได้มีการยิงสลุตหลวงเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติตามประเพณีด้วย
       
       
       2. รบ. งัด กม.มั่นคงฯ คุมม็อบ 10 วัน ด้าน “สุเทพ” ลั่นพร้อมนำม็อบ หากค้านนิรโทษฯ แพ้ในสภา 3 วาระ ขณะที่ “สนธิ” เชียร์ ปชป.ลาออกทันที เชื่อชนะแน่!

ความคืบหน้ากรณี “แนวร่วมกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ” ภายใต้การนำขององค์การพิทักษ์สยาม(อพส.) ได้นัดชุมนุมวันที่ 4 ส.ค.เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณและคัดค้านกรณีที่สภาฯ จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ฉบับนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เป็นวาระแรกในวันที่ 7 ส.ค. ปรากฏว่า ยังไม่ทันที่การชุมนุมจะเริ่มขึ้น ทางคณะรัฐมนตรีชุดเล็กที่มีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ได้มีมติเมื่อวันที่ 31 ก.ค.ให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ในพื้นที่ 3 เขต ประกอบด้วย เขตดุสิต เขตพระนคร และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1-10 ส.ค.โดยอ้างว่า เพื่อป้องกันเหตุไม่สงบที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมมอบหมายให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.)
       
       ซึ่งต่อมา พล.ต.อ.อดุลย์ ได้ออกประกาศ 3 ฉบับ เพื่อรับมือม็อบ โดยอ้างว่าฝ่ายความมั่นคงประเมินว่า การชุมนุมจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย จึงต้องออกประกาศห้ามบุคคลใดเข้าหรือออกจากพื้นที่ที่กำหนด เช่น ทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภา ,ห้ามบุคคลใดเข้าหรือออกจากพื้นที่ 12 เส้นทางโดยรอบทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา
       
       ส่วนมาตรการคุมม็อบนั้น พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการ ศอ.รส. ยืนยันว่า จะยึดหลักสากล แต่ยอมรับว่า หลักสากลอาจขัดกับความรู้สึกของประชาชน “ตามลำดับสากลที่เป็นขั้นบันไดนั้น เป็นลำดับความรุนแรงของการใช้กำลัง เช่น การใช้แก๊สน้ำตา จะเบากว่าการใช้โล่กระบอง หรือการใช้แก๊สน้ำตาเบากว่าการฉีดน้ำ ตรงนี้อาจขัดกับความรู้สึกของประชาชน แต่ขอเรียนว่า การใช้แก๊สน้ำตาจะส่งผลเพียงแค่แสบตา ผ่านไปประมาณ 10 นาทีก็เป็นปกติ แต่การใช้โล่กระบอง อาจทำให้บวมและช้ำเป็นสัปดาห์”
       
       ด้านกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ นำโดยนายพิเชษฐ์ พัฒนโชติ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ใน 3 เขตดังกล่าว ระหว่างวันที่ 1-10 ส.ค. เนื่องจากไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีเจตนาข่มขู่ สกัดกั้นไม่ให้ประชาชนมาร่วมชุมนุม ทั้งที่การชุมนุมของกองทัพประชาชนฯ เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
       
       ทั้งนี้ หลังจากกองทัพประชาชนฯ ไม่สามารถชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้งได้ เพราะอยู่ในพื้นที่ควบคุมตามประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จึงได้เปลี่ยนมาเป็นที่สวนลุมพินีแทน โดยการชุมนุมจะเริ่มตั้งแต่เวลา 15.00น.เป็นต้นไป นายไทกร พลสุวรรณ เสนาธิการร่วมกองทัพประชาชนฯ แถลง(3 ส.ค.)ว่า การชุมนุมครั้งนี้เป้าหมายเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ และจะเป็นการชุมนุมโดยสงบ คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก และพร้อมเปิดกว้างสำหรับทุกกลุ่มที่จะมาร่วมชุมนุม ส่วนการชุมนุมจะยืดเยื้อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และหากเกิดความรุนแรงขึ้น แสดงว่ามาจากรัฐบาลและมือที่สาม
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า การประชุมสภาฯ ในวันที่ 7 ส.ค. ที่จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับนายวรชัย ส่อว่าจะไม่โปร่งใส เพราะจะไม่มีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 แต่อย่างใด โดยนายอำนวย คลังผา ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) เผยหลังประชุมวิปรัฐบาลเมื่อวันที่ 31 ก.ค.ว่า การประชุมสภาฯ ในวันที่ 7 ส.ค. จะเริ่มขึ้นในเวลา 13.00น. จากนั้นจะให้อภิปรายร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับนายวรชัยไปจนถึงเวลา 23.00น. ก่อนลงมติว่าจะรับหลักการหรือไม่ และจะปิดประชุมในเวลา 24.00น. โดยจะไม่มีการถ่ายทอดสดการประชุมในวันดังกล่าว ขณะที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ประชุมและมีมติว่า การประชุมสภาฯ ในวันที่ 7 ส.ค. จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับนายวรชัยฉบับเดียวเท่านั้น เพื่อป้องกันความสับสน
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแนะรัฐบาลว่า หากต้องการป้องกันเหตุวุ่นวาย ทำได้ไม่ยาก แค่รัฐบาลถอนร่างกฎหมายนิรโทษฯ ออกจากสภาฯ แล้วมาพูดคุยกันว่าจะมีทางออกอย่างไร หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความจริงใจก็ประกาศให้ชัด เปิดเวทีตั้งโต๊ะคุยกัน จะทำให้ได้กฎหมายที่ทุกฝ่ายยอมรับ
       
       ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ปราศรัยบนเวทีประชาชน เดินหน้าผ่าความจริงฯ ที่พรรคฯ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ก.ค. ว่า ส.ส.ของพรรคจะคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ด้วยการสู้ในสภาฯ แต่ถ้าสู้จนวาระ 3 แล้วยังแพ้อีก ขอให้ประชาชนเป่านกหวีดยาวได้ พร้อมจะออกมายืนกับประชาชน แต่ระหว่างนี้ ขอให้ประชาชนมาร่วมกันต่อสู้ทุกวัน และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ “ขอเรียกร้องให้ประชาชนลุกฮือต่อต้านรัฐบาล หากเราแพ้ในสภาวาระ 3 ถึงวันนั้นไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ต้องมายืนข้างประชาชน”
       
       ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ชี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ไม่ควรเล่นการเมืองข้างถนน และว่า หากพรรครวบรวมหลักฐานเรียบร้อยเมื่อไหร่ จะยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะการปลุกระดมของ ปชป.เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย และอาจเข้าข่ายผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68
       
       ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ได้ออกมายืนยันว่า พรรคไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย “การเคลื่อนไหวของเรามีเป้าหมายเดียว คือการล้มกฎหมายฉบับนี้(ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับนายวรชัย) เรายังยึดมั่นในระบบรัฐสภา แต่การเคลื่อนไหวนอกสภาก็จะปฏิบัติตามกฎหมาย ปชป.ไม่ได้ชวนคนมาเผาบ้านเผาเมือง แต่เป็นการทำตามเสรีภาพที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และที่ต้องทำ เพราะรัฐบาลกำลังเอาระบบรัฐสภาไปฉ้อฉล ใช้เสียงข้างมากไปทำสิ่งผิดให้เป็นถูก การเคลื่อนไหวครั้งนี้เพื่อรักษารัฐสภาไม่ให้ถูกฉ้อฉลโดยผู้มีอำนาจ”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้การชุมนุมจะยังไม่ได้เริ่มขึ้น แต่ก็เริ่มมีขบวนการข่มขู่เกิดขึ้น โดยเมื่อกลางดึกวันที่ 30 ก.ค. มือมืดได้ขว้างระเบิดชนิดเอฟ 1 ใส่บ้านของ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตหัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลที่ใกล้ชิด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โชคดีที่ระเบิดไม่ทำงาน เพราะไม่ได้ถอดสลัก ขณะที่ พล.ร.อ.พะจุณณ์ พูดถึงระเบิดดังกล่าวว่า “ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของบุคคลที่ไม่หวังดีรับงานมาให้ก่อกวนบ้านผม เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย ส่วนจะเกี่ยวกับการที่ผมไปชุมนุมร่วมกับกลุ่ม อพส.ก็แล้วแต่จะคิด แต่วันที่ 4 ส.ค.ที่กลุ่ม อพส.จะมีการชุมนุม ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งก็คงจะเดินทางไปร่วมชุมนุมด้วย”
       
       ส่วนท่าทีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต่อการชุมนุมของกลุ่ม อพส.นั้น หลังเดินทางกลับจากต่างประเทศเมื่อวันที่ 2 ส.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยอมรับว่าห่วงการชุมนุม ส่วนเรื่องร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า ควรให้เป็นเรื่องของสภา ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้บันทึกเทปรายการพิเศษเกี่ยวกับทางออกของประเทศไทย โดยออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ทุกช่องในช่วงค่ำวันที่ 2 ส.ค. ซึ่งนอกจากจะพูดถึงการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แล้ว ยังได้เสนอทางออกให้กับประเทศด้วย “จะขอเชิญชวนตัวแทนจากกลุ่มบุคคลทั้งฝ่ายรัฐบาล พรรคการเมือง แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พันธมิตรฯ สมาชิกวุฒิสภา องค์กรอิสระ เอกชน และนักวิชาการ มาร่วมโต๊ะพูดคุย ออกแบบประชาธิปไตยของประเทศไทย เพื่อหาทางออกให้กับอนาคตของเรา... ในสัปดาห์หน้า รัฐบาลจะเชิญตัวแทนกลุ่มบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และมีความเห็นที่หลากหลายในมุมมองให้มาหารือร่วมกันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อที่จะนำไปสู่การปฏิรูปการเมือง”
       
       ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงข้อเสนอของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า พรรคฯ เห็นด้วยกับการพูดคุยร่วมกัน เพราะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการสร้างความปรองดองให้กับประเทศ แต่นายกฯ ควรถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ และร่าง พ.ร.บ.ปรองดองทั้ง 4 ฉบับออกจากสภาก่อน เนื่องจากเป็นร่างกฎหมายที่สร้างความแตกแยกมากกว่า
       
       ส่วนท่าทีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น เมื่อวันที่ 31 ก.ค. แกนนำพันธมิตรฯ ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันอีกครั้งว่า แม้พันธมิตรฯ จะคัดค้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรมทุกฉบับที่จะเข้าสภา และเห็นว่า ส.ส.ที่เกี่ยวข้องควรถอนร่างกฎหมายนิรโทษฯ ออกจากสภาเสีย เพื่อให้ทุกฝ่ายได้พิสูจน์ตัวเองและเข้าสู่กระบวนยุติธรรมอย่างเท่าเทียม และรักษาไว้ซึ่งหลักนิติรัฐ แต่แกนนำพันธมิตรฯ มีมติเอกฉันท์ยังไม่เคลื่อนไหวด้วยการชุมนุมในเวลานี้ เนื่องจากอาจขัดเงื่อนไขการประกันตัวในคดีที่พันธมิตรฯ ถูกกลั่นแกล้งโดยยัดเยียดข้อหาร้ายแรงอันเป็นเท็จในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องการสร้างพันธนาการให้กับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ประกอบกับพันธมิตรฯ เห็นว่า สถานการณ์ปัจจุบัน นักการเมืองยังคงต่อสู้เพื่อช่วงชิงขั้วอำนาจและเพื่อผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้องทั้งสิ้น โดยปราศจากทิศทางในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง
       
       ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ พูดผ่านรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ทาง ASTV ถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศพร้อมนำมวลชนต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษฯ หากผ่านสภาวาระ 3 ว่า อยากให้นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และทุกคนในพรรคประชาธิปัตย์ ลาออกจาก ส.ส.ทั้งหมด และมาร่วมต่อสู้กับประชาชน ไม่ใช่รอให้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ผ่านวาระ 3 เพราะรู้อยู่แล้วว่าสู้อย่างไรก็แพ้ 3 วาระ “คนเราถ้าจะทำอะไร ถ้ารู้ว่าสู้ในสภาฯ อย่างไรก็แพ้ 3 วาระ แล้วคุณจะสู้ไปทำไม ต้องหาวิธีสู้ใหม่ใช่ไหม วิธีสู้ใหม่สู้อย่างไร 2 ทาง นิ่งเฉยไปเลย หรือว่าลาออก ลาออกจาก ส.ส.เลย แล้วมาสู้กับภาคประชาชน นั่นคือวิธีที่ปลาเอาตัวรอดจากการว่ายทวนน้ำ ไดโนเสาร์ทำไมตาย เพราะว่ามันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองตามกาลเวลาได้ มันถึงตาย ถึงสูญพันธุ์ไง ประชาธิปัตย์กำลังจะเป็นไดโนเสาร์นะ เหมือนกับเรายืนอยู่ พอรถไฟออก เรายังอยู่ที่เก่า รถไฟไปแล้ว ตามไม่ทัน วิธีคือเราต้องกระโดดเกาะรถไฟไปด้วย..”
       
       นายสนธิ ยังบอกด้วยว่า หาก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลาออกมาร่วมต่อสู้กับภาคประชาชน พันธมิตรฯ พร้อมให้คำปรึกษา ทั้งการดูแลความปลอดภัย การถ่ายทอดสด 24 ชั่วโมง และว่า ประชาธิปัตย์จะกลัวอะไร มีตั้ง 12 ล้านเสียง ออกมาแค่ 10% แค่ 1.2 ล้านคน ก็เต็มถนนแล้ว ทำไมประชาธิปัตย์ไม่ทำ ที่ไม่ทำเพราะรอให้พันธมิตรฯ ออก แล้วพรรคประชาธิปัตย์จะคอยตีกินใช่หรือไม่
       
       3. “ทักษิณ” อ้าง เห็นคลิปขู่ฆ่าแล้วขำ พร้อมชี้พิรุธ 4 จุด ยัน อัลกออิดะห์ปลอม ด้านผู้บริหารวอลโว่ ปัดไม่ใช่มือโพสต์คลิป!

       จากกรณีที่มีผู้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านเว็บไซต์ยูทูบอ้างว่าเป็นกลุ่มอัลกออิดะห์ มีเนื้อหาขู่ฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อล้างแค้นให้กับชาวมุสลิมที่ถูกสังหารในภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะจากกรณีเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ โดยคลิปดังกล่าวถูกโพสต์เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณพอดี ปรากฏว่า หลังคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ แกนนำพรรคเพื่อไทยต่างออกมาปฏิเสธเป็นการใหญ่ ว่าไม่ใช่ฝีมือกลุ่มอัลกออิดะห์ แต่เป็นเพียงการสร้างสถานการณ์ โดย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง บอกว่า คลิปดังกล่าวเป็นเพียงโจ๊กการเมืองเพื่อให้รัฐบาลเสียสมาธิ และว่า จากการตรวจสอบทราบแล้วว่าเป็นฝีมือของกลุ่มใด แต่ไม่อยากเปิดเผย
       
       ขณะที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ก็อ้างว่า คลิปดังกล่าวเป็นการจัดฉากของกลุ่มที่อยู่ตรงข้ามกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยการเผยแพร่ออกมาจากต่างประเทศ แต่ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้
       
       ด้าน พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บอกว่า คลิปดังกล่าวน่าจะไม่มีการตัดต่อ และพบว่าเป็นคลิปที่สร้างมาจากตะวันออกกลาง อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นกลุ่มไหน โดยจะประสานหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาที่มีข้อมูลอยู่
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังคลิปขู่ฆ่าดังกล่าวถูกตีแผ่ออกมา ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอยู่ระหว่างร่วมงานเลี้ยงวันเกิดกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เดินทางไปอวยพรที่ฮ่องกง ได้รีบขอตัวกลับทันที โดยบอกกับ ส.ส.ว่า “ขออนุญาตกลับก่อน วันนี้เหนื่อยมากแล้ว ขอกลับไปพัก” จากนั้นมีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางออกจากฮ่องกง คาดว่าเดินทางกลับเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
       
       กระทั่งหลายวันให้หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ จึงได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 31 ก.ค. โดยยืนยันว่า ตนเห็นคลิปขู่ฆ่าที่อ้างว่าเป็นกลุ่มอัลกออิดะห์แล้วรู้สึกขำ พร้อมชี้ว่า บุคคลในคลิปไม่ใช่อัลกออิดะห์จริง “ผมขอบอกวิธีดูให้ 3-4 จุด 1.เวลาเป็นอัลกออิดะห์แท้ เขาจะไม่เปิดหน้า เขากลัวถูกตามฆ่า 2.อัลกออิดะห์ไม่ใส่นาฬิกาสีทอง 3.สำเนียงพูดจะเป็นเสียงมุสลิมปากีสถาน เพราะผมมีเพื่อนเป็นปากีสถานหลายคนและอยู่ดินแดนมุสลิม 4.อัลกออิดะห์ไม่ให้ความสนใจเข้ามายุ่งเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนใต้”
       
       ด้านบริษัท วอลโว่กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกจดหมายชี้แจงกรณีมีชื่อนายมันโซร์ อาเหม็ด(mansoor ahmed) ผู้บริหารระดับสูงของวอลโว่กรุ๊ปเป็นผู้โพสต์คลิปขู่ฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ โดยยืนยันว่า นายมันโซร์ อาเหม็ด ไม่เกี่ยวข้องกับคลิปดังกล่าว และในวันที่มีการเผยแพร่คลิป นายมันโซร์ อาเหม็ด อยู่ระหว่างพิธีศพของบิดาที่ประเทศอินเดีย
       
       4. เกิดเหตุท่อน้ำมันดิบ ปตท.รั่วลงทะเลทะลักอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด ด้านผู้ว่าฯ ระยองประกาศภัยพิบัติ สะพัด น้ำมันรั่วมากถึง 2.5 แสนลิตร ไม่ใช่ 5 หมื่นลิตร!

       เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 ก.ค. ได้เกิดเหตุท่อรับน้ำมันดิบของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือพีทีทีจีซี รั่วลงทะเล ระหว่างที่เรือบรรทุกน้ำมันดิบกำลังถ่ายน้ำมันผ่านทุ่นรับน้ำมันดิบมายังโรงกลั่น โดยเหตุเกิดห่างจากชายฝั่งท่าเรือนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ประมาณ 18 กิโลเมตร ส่งผลให้น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเลประมาณ 50 ตัน หรือประมาณ 50,000 ลิตร ต่อมาเจ้าหน้าที่บริษัท พีทีทีจีซี ได้ปิดวาล์วหยุดการส่งน้ำมัน พร้อมใช้เรือฉีดพ่นยาขจัดคราบน้ำมันที่ลอยกลางทะเล ขณะที่กองทัพเรือได้ช่วยวางบูมเพื่อจำกัดวงการแพร่กระจายของคราบน้ำมัน แต่ก็ยังมีน้ำมันจำนวนมากลอยเข้าฝั่งบริเวณอ่าวพร้าวของเกาะเสม็ด ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านและผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ เนื่องจากนักท่องเที่ยวแห่เช็กเอาต์ ขณะที่บางส่วนยกเลิกทัวร์และที่พัก ด้านสำนักข่าวต่างประเทศ ต่างรายงานข่าวเหตุการณ์น้ำมันรั่วจนส่งผลกระทบต่ออ่าวพร้าว แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของไทยจนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก
       
        เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้นายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ต้องประกาศให้อ่าวพร้าวเป็นพื้นที่ภัยพิบัติทางทะเล ก่อนที่หลายฝ่ายจะมาช่วยกันเก็บคราบน้ำมัน ด้านนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์น้ำมันรั่วครั้งนี้ “ผมมอบหมายให้นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการพีทีทีจีซี เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง... ทราบว่าเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แต่ครั้งนี้ปริมาณการรั่วไหลมากกว่าที่ผ่านมา”
       
        ด้านนายประเสริฐ ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมยืนยัน จะสอบสวนหาสาเหตุและรายงานผลตรวจเบื้องต้นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานภายใน 1 สัปดาห์ พร้อมเชื่อว่า จะควบคุมสถานการณ์น้ำมันดิบที่กระจายอยู่ในทะเลได้ 100% ภายใน 3 วัน และว่า บริษัท พีทีทีจีซีพร้อมเยียวยาและชดเชยความเสียหายแก่ผู้ได้รับผลกระทบ โดยบริษัทได้ทำประกันภัยไว้วงเงิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,500 ล้านบาท
       
        ทั้งนี้ หลายฝ่ายข้องใจว่า ปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วลงทะเลครั้งนี้น่าจะมากกว่า 50,000 ลิตร โดยอาจจะถึง 250,000 ลิตร ทำให้การแก้ไขและทำลายคราบน้ำมันเป็นไปด้วยความล่าช้า โดยมีรายงานว่า บริษัท พีทีทีจีซีแจ้งกรมควบคุมมลพิษขออนุญาตนำเข้าสารละลายเพื่อทำลายคราบน้ำมันจำนวน 25,000 ลิตร แต่อธิบดีกรมควบคุมมลพิษเซ็นอนุญาตแค่ 5,000 ลิตร เนื่องจากเห็นว่าหากน้ำมันรั่ว 50,000 ลิตร ใช้สารละลายฯ แค่ 5,000 ลิตรก็เพียงพอแล้ว เพราะปกติการใช้สารตัวนี้ จะใช้ในสัดส่วน 1 : 10 การที่พีทีทีจีซี ขอนำเข้าถึง 25,000 ลิตร แสดงว่าน้ำมันอาจรั่วมากถึง 250,000 ลิตร
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังใช้เวลาเก็บคราบน้ำมันบริเวณอ่าวพร้าวนานเป็นสัปดาห์ สถานการณ์จึงเริ่มคลี่คลาย โดยนายบวร วงศ์สินอุดม ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ พีทีทีจีซี ได้ออกมายืนยันเมื่อวันที่ 3 ส.ค.ว่า “คราบน้ำมันที่ปนเปื้อนในน้ำ ขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถขจัดออกได้ทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงคราบน้ำมันดิบบนชายหาดอ่าวพร้าว และโขดหินที่ต้องใช้กระดาษซับ และน้ำแรงดันสูงฉีด จะขอความร่วมมือจิตอาสามาร่วมทำความสะอาดครั้งใหญ่หรือบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ในวันที่ 5 ส.ค. เชื่อว่าจะขจัดคราบน้ำมันดิบทั้งหมดแล้วเสร็จในสัปดาห์หน้า”
       
       ส่วนการชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำมันรั่วครั้งนี้ ทาง ปตท.จะส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจว่ามีผู้ได้รับผลกระทบกี่ราย โดยเบื้องต้นยังไม่ได้ตั้งวงเงินไว้ ส่วนผลกระทบทางธรรมชาติ จะให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบต่อไป
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเกิดเหตุน้ำมันดิบของพีทีทีจีซี ในเครือ ปตท.รั่วลงทะเล จนส่งผลกระทบต่ออ่าวพร้าวครั้งนี้ ปรากฏว่า มีผู้ที่เคยได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียวจำนวน 9 ราย นำรางวัลไปคืน ปตท. ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรางวัลดังกล่าว เช่น นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยให้เหตุผลที่คืนรางวัลครั้งนี้ว่า เพราะ ปตท.ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโปร่งใส และยังขาดแผนการแก้ไขอย่างชัดเจน ทั้งนี้ นอกจาก นพ.รังสฤษฎ์ จะคืนรางวัลให้ ปตท.แล้ว ยังคืนเงินรางวัลด้วยจำนวน 100,000 บาท ขณะที่ผู้บริหาร ปตท.อ้างว่า รางวัลดังกล่าวไม่ได้เป็นของ ปตท. แต่เป็นของสถาบันลูกโลกสีเขียว ดังนั้นจะนำรางวัลดังกล่าวไปคืนกับทางสถาบันฯ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 สิงหาคม 2556

6567
อาหารที่ทำจากปลาหมัก เช่นกะปิ ปลาร้า น้ำปลา น้ำบูดู เป็นวัฒนธรรมร่วมของชาติอาเซียน ซึ่งใช้ประโยชน์จากเชื้อแบคทีเรีย แล็กโตบาซิลลัสเช่นเดียวกับโยเกิร์ตของบัลกาเรีย เช่น Lactobacillus farciminis L. pentosus และ L. plantarum หากแต่ยังไม่มีการนำแบคทีเรียจำเพาะถิ่นมาใช้เป็นจุดขายที่ชัดเจน (manager.co.th)
       ไม่นานนี้มีผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตที่มีจุดขายเป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ต้นกำเนิดจากบัลกาเรีย ยิ่งมีพระเอกดาวรุ่งเป็นพรีเซนเตอร์จึงขายดิบขายดีจนขาดตลาด แล้วของพื้นบ้านอย่างกะปิ น้ำปลา ปลาร้า สาโทจากเชื้อหมักไทยๆ จะมีก้าวสู่สากลได้ไหมน้อ?
       
       ในยุคทุนนิยมการตลาดและการโฆษณาดูเหมือนจะสำคัญกว่าเนื้อแท้ของสินค้าที่ต้องมาทีหลัง การหาจุดขายที่น่าสนใจของสินค้าและผลักดันให้โดดเด่นกว่าผลิตภัณฑ์ยี่ห้ออื่นในตลาด จึงเป็นเหมือนสงครามทางการตลาดที่ต้องจับจุดให้มั่น คั้นคอคนซื้อให้มาตายคามือให้ได้ คนซื้อก็สนุกกับจินตนาการเพราะสินค้ามันมี “สตอรี่” หรือเรื่องนาวที่ชวนจับจ่ายให้เสียเงิน
       
       หลายวันก่อน หลังจากนายปรี๊ดเห็นพระเอกหนุ่มดาวรุ่งแห่งยุคกินโยเกิร์ตที่โฆษณาว่าใช้เชื้อต้นตำรับจากบัลกาเรียอย่างเอร็ดอร่อย นายปรี๊ดก็แจ่นไปร้านสะดวกซื้อทันที ไม่ใช่ด้วยเพราะอยากกินแล้วหล่อใสแบบพ่อพระเอก แต่มีข้อสงสัยว่าเท่าที่เรียนมา โยเกิร์ตทั่วไปมันก็หมักด้วยแบคทีเรียจากบัลกาเรียชื่อ “แล็คโตบาลิสสัส บัลการิคัส” อยู่แล้วนี่นา หรือมันจะเป็นเชื้อใหม่เชื้อสายพันธุ์จากแหล่งต้นกำเนิด จะต้องทำให้เราเคลิ้มไปกับรสชาติของนมบูดแห่งคาบสมุทรบอลข่านเป็นแน่แท้
       
       แต่เมื่อพลิกดูตามฉลาก เทียบกับโยเกิร์ตยี่ห้ออื่นๆ ก็พบว่า เชื้อที่ใช้หมักโยเกิร์ตในแต่ละยี่ห้อแม้จะต่างกันไป แต่ส่วนมากก็เลือกใช้ เชื้อแบคทีเรีย แล็คโตบาลิสสัส บัลการิคัส (Lactobacillus bulgaricus) และ สเตรปโทค็อกคัส เทอร์โม ฟิลัส (Streptococcus thermophilus) ส่วนบางยี่ห้อที่มีบริษัทแม่ในญี่ปุ่นมักเลือกใช้ แล็คโตบาลิสสัส พาราคาเซอิ (Lactobacillus paracasei) และ แล็คโตบาลิสสัส คาเซอิ (Lactobacillus casei) ซึ่งใช้แบคทีเรียสัญชาติญี่ปุ่นก็นำมาเป็นจุดขายสร้างความแตกต่างด้วยเช่นกัน ตอกย้ำว่าโยเกิร์ตจากญี่ปุ่นต้องใช้จุลินทรีย์ญี่ปุ่นนะ จะมาใช้แบคทีเรียไก่กาแถวนี้ไม่ได้!
       
       จากโครงคิดง่ายๆ จึงน่าจะเชื่อมโยงได้ว่า เมื่อผู้ผลิตต้องการหาจุดขายที่แตกต่าง การใช้ “เอกลักษณ์ประจำชาติ” ที่สามารถสื่อถึงที่ไปที่แบบจำเพาะถิ่น มีที่เดียว เกิดที่นั่น ทำที่นี่จึงเป็นกลยุทธ์ที่มักพบเห็นบ่อยและดูจะขายได้เสมอๆ เพราะเมื่อลองพลิกดูถ้วยโยเกิร์ต ก็ยิ่งยืนยันได้ถึงกลยุทธ์นี้เพราะมีป้ายแปะไว้ว่า “ได้รับการรับรองเชื้อสายพันธุ์ต้นกำเนิดจากรัฐบาลบัลกาเรีย”ด้วย
       
       แม้นายปริ๊ดจะยังไม่สามารถค้นหาได้ว่ารัฐบาลบัลกาเรียมีการออกใบรับรองให้จริงหรือไม่ แต่เมื่อค้นดูตามเว็บไซด์ของบริษัทซึ่งจำหน่ายหัวเชื้อหมักนมหลายบริษัท ก็มีการออกใบรับรองว่าหัวเชื้อที่จัดจำหน่ายเป็นจุลินทรีย์ แล็คโตบาลิสสัส บัลการิคัส แท้ๆ ที่ไม่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม สกัดได้จากโยเกิร์ตพื้นเมืองซึ่งหมักและเติบโตในสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมของบัลกาเรียจริงๆ รวมทั้งมีการรับรองจากเครือสหภาพยุโรปในแง่ของผลิตภัณฑ์อาหารพื้นเมือง และสินค้าเกษตรประจำภูมิภาคด้วย ถือเป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์พื้นบ้านที่แบคทีเรียตัวจิ๋วสามารถช่วยสร้างชาติ กลายเป็นสัญลักษณ์และสินค้าออกหน้าออกตาของประเทศเกษตรกรรมอย่างบัลกาเรียได้แบบเต็มภาคภูมิ

นักโบราณคดีหลายท่านเชื่อว่าสาโทของไทยคือต้นกำเนิดของสาเกราคาแพงของญี่ปุ่น ก้อนแป้งหมักพื้นบ้านของแต่ละท้องถิ่นมีส่วนผสมแตกต่างกันไป และมีสมุนไพรเพื่อแต่งกลิ่นและควบคุมจุลลินทรีย์ก่อโรค การวิจัยหาจุลินทรีย์เฉพาะถิ่น อาจเป็นหนึ่งในการตลาดที่ยกระดับผลิตภัณฑ์พื้นบ้านให้มีเรื่องราวน่าสนใจในระดับสากลได้ (surathai.net)
       เชื่อว่าคนไทยหลายล้านคน รู้ว่า ในนมเปรี้ยวมี “แล็คโตบาลิสสัส” ที่มีประโยชน์จากอิทธิพลของโฆษณา แต่เราเคยรู้จักจุลลินทรีย์ในวิถีชีวิตพื้นบ้านของเรา หรือเคยสงสัยกันไหมว่ามันมีชนิดพันธุ์เฉพาะถิ่นเหมือนที่เค้ามีกันบ้างไหม? แล้วถ้ามีเราจะนำมันมาสร้างเป็นจุดขายผลักดันให้เป็นจุลินทรีย์แห่งชาติได้อย่างไร?
       
       เมื่อมองกลับมาในบ้านเรา จุดขายที่ใช้จุลินทรีย์มาทำการตลาดมีให้เห็นไม่มากนัก ทั้งๆ ที่ชีวิตคนไทยเราผูกพันธ์กับอาหารหมักดองทุกลมหายใจ คนไทยทุกภูมิภาคกินน้ำปลา กะปิ ปลาร้า ซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว ปูเค็ม และผักดองสารพัดชนิด เช่น หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง หลายพื้นที่มีสาโท เหล้ากลั่น หรือไวน์ผลไม้เป็นสินค้าโอทอป ส่วนในกระบวนการทำเกษตรก็เริ่มนิยมใช้ปุ๋ยหมัก และจุลินทรีย์ช่วยปราบแมลงศัตรูพืช
       
       ตัวอย่างที่น่าสนใจของจุลินทรีย์ไทย อาจจะอยู่ในแป้งหมักสาโท ซึ่งแต่ละพื้นที่มีสูตรการทำลูกแป้งหัวเชื้อที่แตกต่างกันตามท้องถิ่น เช่นสมุนไพรหลากหลายที่ในการแต่งกลิ่นแต่อีกทางหนึ่งก็ช่วยฆ่าเชื้อก่อโรคได้ด้วย เช่น ดีปลี เป็นต้น
       
       จากข้อมูลในงานวิจัยใหม่ๆ ก็พบว่า ในลูกแป้งสาโท พบเชื้อ แซคคาโรไมคอปซิส ฟิบูลิเจอร่า (Saccharomycopsis fibuligera) มากกว่า และมีความสำคัญในการสร้างแอลกอฮอล์ต่อจากเชื้อราที่ย่อยแป้งมาแล้ว ซึ่งแต่ก่อนเชื่อว่ากระบวนการสร้างแอลกอฮอล์เกิดขึ้นโดยเชื้อ แซคคาโรไมซิส ซิริวิซิอี ( Saccharomyces cerevisiae) ซึ่งพบในกระบวนการหมักไวน์และเหล้าทั่วไป
       
       แต่ก็ยังไม่ค่อยเห็นงานวิจัยที่ลงรายละเอียดถึงซับสปีซี่ส์พื้นเมืองของแต่ละพื้นที่ออกมาเผยแพร่มากนัก ยังไม่นับรวมการหมักดองอาหารอื่นๆ เช่นกะปิ ปลาร้า หน่อไม้ดอง ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็มีกรรมวิธีแตกต่างกัน ซึ่งมีผลกับการคัดเลือกจุลินทรีย์ที่แตกต่างออกไป
       
       ใช่ว่านักวิทยาศาสตร์บ้านเราจะไม่เคยผลักดันจุลินทรีย์ในอาหารพื้นบ้านเข้าสู่การตลาด เมื่อสิบกว่าปีก่อน หลายท่านคงเคยได้ยิน “แหนมไบโอเทค และแหนมฉายรังสี” ซึ่งผู้ผลิตแหนมชื่อดังของจังหวัดเชียงใหม่หลายเจ้าได้รับเทคโนโลยี ทั้งชนิดเชื้อจุลินทรีย์ชั้นดีสำหรับหมักแหนม และการฉายรังสีเพื่อฆ่าเชื้อก่อโรคเพื่อให้ประชาชนชาวไทยกินแหนมได้อย่างเปรมปรี
       
       สมัยนั้นคำว่าเทคโนโลยีชีวภาพพึ่งจะเริ่มบูมการนำมาสร้างเป็นจุดขายจึงมีความน่าสนใจโดยไม่ต้องสร้างเรื่องราวให้มากความ แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาการใช้จุลินทรีย์เป็นสร้างจุดขายที่ชัดเจนก็แทบไม่ปรากฏให้เห็นในตลาดสินค้าของไทยอีกเลย

แล็กโทบาซิลลัส เดลบรึคคิไอ ซับสปีชีส์ บัลแกริคัส (Lactobacillus delbrueckii subsp. Bulgaricus) หรือที่เรียกว่า แล็กโตบาซิลลัส บัลแกริคัส ถูกค้นพบในโยเกิร์ต ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวบัลกาเรียน แต่กลับเริ่มเป็นที่นิยมไปทั่วโลกตั้งแต่ปลายคริตศวรรษที่ 19 ด้วยงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย ชื่อ Ilya Metchnikoff ผู้ที่ศึกษาแล้วพบว่าแบคทีเรียที่ผลิตกรดแลคทิคนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน (kimchitech.co.kr)
       เมื่อโลกก้าวผ่านยุคทองของการปฏิวัติเขียวด้วยเทคโนโลยีที่ต้องการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรทุกวิถีทาง ผู้บริโภคเริ่มหวนกลับมาหา “ของบ้านๆ” ไร้การตัดแต่ง เน้นสุขภาพ ความยั่งยืน และกรรมวิธีการผลิตแบบรักษ์โลก แม้แต่หมู เห็ด เป็ด ไก่ ยังต้องอารมณ์ดีก่อนตาย ไข่ไก่ไข่เป็ดที่เลี้ยงแบบพื้นบ้านราคามีสูงขึ้น ผักปลอดสารพิษที่มีรอยแมลงกัดกินบ้างกลับเป็นที่สนใจ การทำเกษตรปลอดสาร และจุลลินทรีย์ที่เป็นมิตรกับคนเริ่มกลับมาเป็นจุดขายทั้งในกระบวนการผลิตและในอาหารที่คนเราต้องกินลงท้อง
       
       บางทีการรื้อฟื้นของบ้านๆ พื้นๆ อาจจะเปิดโอกาสให้จุลินทรีย์สายพันธุ์ไทย ได้ก้าวไกลสู่ครัวโลกได้...ใครจะรู้?
       
       แหล่งค้นคว้าเพิ่มเติม
       http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/1077/yogurt-โยเกิร์ต
       http://surathai.wordpress.com/2007/06/12/satho-micro/

   
       เกี่ยวกับผู้เขียน
       “นายปรี๊ด” นักศึกษาทุนปริญญาเอกด้านชีววิทยา ซึ่งมีประสบการณ์ในแวดวงวิทยาศาสตร์อย่างหลากหลาย ทั้งงานสอน บทความเชิงสารคดี ผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ทำสื่อการสอน ของเล่นเชิงวิทยาศาสตร์กรรมการตัดสินโครงงาน วิทยากรบรรยายและนักจัดกิจกรรมเพื่อการจุดประกายวิทยาศาสตร์จากสิ่งใกล้ตัว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 กันยายน 2556

6568
 กระทรวงสาธารณสุขจับมือกระทรวงมหาดไทยตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการเอาชนะไข้เลือดออก” ทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอ ระดมพลังจากทุกภาคส่วนในการต่อสู้กับปัญหาไข้เลือดออก หลังพบผู้ป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยึดอำเภอเป็นฐานในการดำเนินการ เน้นหนักในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ใช้มาตรการเยี่ยมบ้าน เคาะประตูบ้าน ให้ทุกบ้านกำจัดยุงลายและแหล่งเพาะพันธุ์ ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอด 8 สัปดาห์ ควบคุมโรคเป็นรายหมู่บ้านที่พบผู้ป่วย ด้วยการฉีดพ่นสารเคมีทุกสัปดาห์
       
        นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าเนื่องจากขณะนี้เกิดระบาดของโรคไข้เลือดออกอย่างรุนแรง จากข้อมูลของสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค พบว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 20 สิงหาคม 2556 มีจำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกทั่วประเทศรวม 106,148 ราย อัตราป่วย 165.17 ต่อประชากรแสนคน สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 4 เท่าและมากที่สุดในรอบ 10 ปี ขณะที่มีผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว 101 ราย และยังมีแนวโน้มการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าหากไม่มีมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคที่เข้มแข็งมากพอ ในปีนี้จำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกอาจมีมากถึง 200,000 ราย ซึ่งจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยเดิมถึง 8 เท่าตัว นอกจากจะส่งผลต่อภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยที่สูงถึง 2,000 ล้านบาทแล้ว ยังก่อให้เกิดความสูญเสียต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างมาก
       
        นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่ารัฐบาลมีความห่วงใยในสุขภาพของพี่น้องประชาชน จึงได้กำหนดให้มียุทธศาสตร์ “รวมพลังเอาชนะไข้เลือดออก” ด้วยการรวมพลังจากทุกภาคส่วนในการต่อสู้กับปัญหาไข้เลือดออก ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอให้จังหวัดปรับบทบาทของ War room เป็น “ศูนย์ปฏิบัติการเอาชนะไข้เลือดออก” โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานและนายแพทย์สาธารณสุขเป็นเลขานุการศูนย์ ระดับอำเภอให้เปิดศูนย์ปฏิบัติการเอาชนะไข้เลือดออก มีนายอำเภอเป็นประธานและมีสาธารณสุขอำเภอเป็นเลาขานุการศูนย์ และให้ศูนย์ปฏิบัติการเอาชนะไข้เลือดออกระดับจังหวัด/อำเภอดำเนินการติดตามสถานการณ์โรคไข้เลือดออก วิเคราะห์พื้นที่เป้าหมายพร้อมทั้งชี้เป้าในการดำเนินการ และระดมทรัพยากรในการควบคุมป้องกันโรคไข้เลือดออกตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้
       
        ด้าน ดร.นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าการดำเนินการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกให้ได้ผล ไม่สามารถดำเนินการได้เพียงหน่วยงานเดียว จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างเร่งด่วน คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2556 เรื่อง“การควบคุมและป้องกันการระบาดใหญ่ของไข้เลือดออกปี 2556” ซึ่งจะมีการดำเนินงานอย่างเข้มข้นในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลัก มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการป้องกันโรคไข้เลือดออก ให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานที่จะดำเนินการและเป็นความจำเป็นเร่งด่วน มีผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชน รับผิดชอบระดมสรรพกำลัง ในการทำให้ประชาชนทุกคนลุกขึ้นมากำจัด กวาดล้าง ทำลายลูกน้ำทุกบ้านอย่างเร่งด่วน ยึดอำเภอเป็นฐานในการดำเนินการให้นายอำเภอเป็นผู้นำในการพาทุกภาคส่วนลงมือทำด้วยมาตรการเยี่ยมบ้าน เคาะประตูบ้านให้ทุกบ้านจัดการลูกน้ำยุงลายและยุงตัวแก่ กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ควบคุมโรคเป็นรายหมู่บ้านที่พบผู้ป่วย ด้วยการฉีดพ่นสารเคมีทุกสัปดาห์
       
        นอกจากนี้ยังได้ให้ทุกอำเภอดำเนินการรณรงค์ ให้ติดป้ายประชาสัมพันธ์ทุกอำเภอ บริเวณที่ว่าการอำเภอ โดยจัดทำงบประมาณของพื้นที่หรือของท้องถิ่น โดยสามารถดาวน์โหลดต้นแบบป้ายประชาสัมพันธ์ได้ที่ เว็บไซต์ http://emc.moph.go.th/ รวมทั้งได้ทำการสื่อสารประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ ความเข้าใจให้ประชาชนในทุกพื้นที่ เพื่อให้ทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดย อสม.เยี่ยมบ้าน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านกำชับกระตุ้นเตือนตรวจสอบแต่ละบ้าน มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานพร้อมรายงานไปยังจังหวัด กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุข
       
        “ทางกรมควบคุมโรคได้จัดพิมพ์หนังสือนวัตกรรมทางการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกแจกฟรี!!ให้กับประชาชน โดยภายในเล่มจะเป็นข้อมูลความรู้และแนวทางการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกด้วยตนเอง ซึ่งได้มาจากภูมิปัญญาชาวบ้านและจากนักวิชาการในสายที่เกี่ยวข้อง โดยครั้งแรกพิมพ์จำนวน 30,000 เล่ม และได้แจกให้กับประชาชนไปหมดแล้วและกำลังพิมพ์เพิ่มอีก 50,000 เล่มรวมทั้งหมด 80,000 เล่ม หากท่านใดสนใจสามารถสอบถามได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข โทร 1422” อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 สิงหาคม 2556

6569
เครือข่ายลดอุบัติเหตุ-องค์กรงดเหล้าประสานเสียงหนุนตำรวจเพิ่มโทษเมาแล้วขับ ชี้ต้องบังคับใช้กฎหมายให้จริงจัง เครื่องมือในการตรวจจับต้องมีเพียงพอ แนะทำระบบฐานข้อมูลยื่นศาลเพิ่มโทษฟันคนทำผิดซ้ำซาก
       
       นพ.พรหมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) กล่าวว่า สคอ.พร้อมสนับสนุนการเพิ่มโทษกรณีเมาแล้วขับ เพราะโทษปัจจุบันไม่ส่งผลต่อคนมีเงิน ทั้งนี้ โทษจะมีอยู่ 2 ส่วน คือ โทษปรับ และโทษอาญา กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจนถึงแก่ชีวิต รวมทั้งถ้าคนผิดเป็นข้าราชการก็จะถือว่ามีความผิดวินัยร้ายแรง การเพิ่มโทษจึงเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้มีวินัยมากขึ้น แต่ปัญหาของการเพิ่มโทษ คือต้องมีกลไกในการบังคับใช้จริงจัง เนื่องจากที่ผ่านมาการบังคับใช้ทางกฎหมายยังไม่เข้มงวดเพียงพอ รวมไปถึงเครื่องมือในการตรวจจับ เช่น เครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ก็ยังมีปัญหาไม่เพียงพอ โดยมีอยู่เพียงประมาณไม่เกิน 1 พันเครื่อง ทั้งที่ประเทศไทยมีโรงพักประมาณ 3-4 พันแห่ง ขณะที่การตรวจจับก็ยังมีปัญหาส่งผลต่อการใช้งานจริง ที่สำคัญการจัดซื้อเครื่องมือเหล่านี้ยังกระจัดกระจายแทนที่จะเป็นหน้าที่ของตำรวจโดยเฉพาะ บ้างก็ยังซื้อโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จังหวัด หรือขนส่งจังหวัด เป็นต้น ทำให้เวลาบำรุงรักษาจึงมักมีปัญหา ดังนั้น เห็นด้วยที่จะมีการเพิ่มโทษ แต่ปัญหาดังกล่าวก็ต้องมีการจัดการให้เป็นระบบด้วย
       
       “ที่ผ่านมาเคยเสนอแนวคิดนี้ให้กับทางศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เมื่อช่วงกลางปี 2556 โดยขอให้มีการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวด ภายใต้เครื่องมือที่มีอย่างเพียงพอ ดังนั้น ข้อเสนอนี้อยากให้มีการนำไปใช้จริงๆ” ผอ.สคล.กล่าว
       
       ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า หากตำรวจมีมาตรการที่จะเพิ่มโทษเมาแล้วขับจริงก็เห็นด้วย และพร้อมสนับสนุนให้ข้อมูล แต่นอกจากการเพิ่มโทษแล้วปัจจัยที่จะช่วยให้ลดอุบัติเหตุได้จริง ก็คือการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจัง อย่างญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง พบว่าสามารถลดอุบัติเหตุลงได้ 70-80% สำหรับประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นโทษปรับเพียงอย่างเดียว และจำนวนในการปรับก็ถือว่าน้อย ขณะที่โทษจำคุกที่จะทำให้คนเข็ดหลาบกับความผิดนั้นมักไม่ค่อยถูกนำมาบังคับใช้ รวมไปถึงคนที่กระทำความผิดแบบซ้ำซาก ก็ไม่มีข้อมูลยื่นต่อกระบวนการยุติธรรมเพื่อเพิ่มโทษแต่อย่างใด ซึ่งตรงนี้ต้องถามกลับไปที่ทางตำรวจว่ามีข้อมูลเหล่านี้มากเพียงพอหรือไม่ ดังนั้น หากจะเพิ่มโทษเมาแล้วขับ ก็ควรที่จะต้องเร่งดำเนินการแก้ไขในเรื่องเหล่านี้ด้วยอย่างเป็นระบบ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กันยายน 2556

6570
บอร์ด สปสช.เห็นชอบข้อเสนอรับฟังความเห็นขอเพิ่มสิทธิเจาะน้ำคร่ำในครรภ์แรก การรักษาแผลผู้ป่วยเบาหวานด้วยออกซิเจนความดันสูง การรักษาภาวะมีบุตรยาก การเข้าถึงวัคซีนมะเร็งปากมดลูก อีสุกอีใส ตับอักเสบ และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เพิ่มค่าใช้จ่ายให้ รพ.ทุรกันดารและเสี่ยงภัย พร้อมเร่งรัดให้ดำเนินการตามข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยเฉพาะโรคที่ยังไม่ครอบคลุม
       
       วันนี้ (2 ก.ย.) ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) กล่าวภายหลังประชุมบอร์ด สปสช.ซึ่งมีการพิจารณาเรื่อง รายงานความคืบหน้าการพิจารณาข้อเสนอที่ได้จากการรับฟังความคิดเห็นทั่วไปในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประจำปี 2556 ว่า บอร์ด สปสช.กำหนดแผนปฏิบัติการรับฟังความคิดเห็นทั่วไปจากประชาชนและผู้ให้บริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการดำเนินการ เพื่อนำไปปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และปัญหาในพื้นฐานทางด้านสาธารณสุขโดยเน้น 3 ประเด็นคือ
1.นำความคิดเห็นมาพัฒนาคุณภาพมาตรฐานของการให้บริการทางด้านสาธารณสุข
2.นำมาพิจารณาในการจัดสรรเงินกองทุนให้กับหน่วยบริการและเครือข่ายของหน่วยบริการและเกี่ยวข้องและ
3.ประเด็นต่างๆ ของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้ครอบคลุมประชาชน 49 ล้านคน
       
       นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า มติที่ประชุม บอร์ด สปสช.ได้รับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นจากทั่วประเทศทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการแล้ว และได้มอบหมายให้เร่งรัดติดตามข้อเสนออื่นๆ ที่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยการดำเนินการทั้งหมดเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีประสิทธิภาพตรงตามที่ต้องการมากที่สุด

       นพ.จรัล ตฤณวุฒิพงศ์ กรรมการหลักประกันสุขภาพด้านการแพทย์สาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ กล่าวว่า ผลการรับฟังความคิดเห็นที่ต้องส่งให้คณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อนำไปดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรม ซึ่งต้องผ่านคณะอนุกรรมการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์คือ เรื่องการเจาะน้ำคร่ำในครรภ์แรก, การรักษาแผลผู้ป่วยเบาหวานด้วยเครื่องมือ Hyperbaric Chamber หรือการรรักษาด้วยออกซิเจนความดันสูง ซึ่งสิทธิประโยชน์เดิมให้รักษาเฉพาะโรคน้ำหนีบเท่านั้น, การรักษาภาวะมีบุตรยาก และสิทธิประโยชน์การเข้าถึงวัคซีน เช่น วัคซีนมะเร็งปากมดลูก วัคซีนอีสุกอีใส วัคซีนไวรัสตับอักเสบ A B และ C และวัคซีนโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ กรณีฉุกเฉิน 3 กองทุน รพ.เอกชนไม่รับผู้ป่วยหรือยังมีการเรียกเก็บเงินจากผู้รับบริการ และผ่านไปยังคณะอนุกรรมการควบคุมคุณภาพมาตรฐาน และอนุกรรมการบริหารยุทธศาสตร์ คือ ปัญหาเรื่องระบบส่งต่อผู้ป่วยกลับหน่วยบริการต้นสังกัด หรือการใช้ยาและเวชภัณฑ์มาตรฐานเดียวกันทั้ง 3 สิทธิการรักษา เป็นต้น
       
       นพ.จรัล กล่าวอีกว่า สำหรับข้อเสนอที่ต้องผ่านคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลัง โดยเฉพาะการเพิ่มงบกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น หรือกองทุนสุขภาพตำบลจาก 40 บาทต่อประชากร เป็น 45 บาทต่อประชากร พร้อมทั้งขอให้ปรับรูปแบบการบริหารจัดการงบค่าเสื่อมโดยลดสัดส่วนงบในระดับประเทศ/เขต/จังหวัด และเพิ่มสัดส่วนงบที่จัดสรรตรงให้หน่วยบริการ และขอเพิ่มรายการค่าใช้จ่ายเพื่อประสิทธิภาพหน่วยบริการ (สถานพยาบาลที่จำเป็นต้องให้บริการประชาชนในพื้นที่ทุรกันดารและเสี่ยงภัย) พร้อมทั้งให้มีการกำกับและเร่งรัดการใช้เงินกองทุนทุกระดับ รวมทั้งเงินกองทุนสุขภาพท้องถิ่น
       
       “นอกจากนี้แล้ว ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับอนุกรรมการการมีส่วนร่วมและคุ้มครองสิทธิ ให้ขยายหน่วยรับเรื่องร้องเรียนที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียนครอบคลุมทุกจังหวัด และเชื่อมโยงกับศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพในโรงพยาบาล ปรับเพิ่มเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 ตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งขณะนี้ได้ปรับเพิ่มไปแล้วในปี 2556 พร้อมทั้งยังมีประเด็นการรับความคิดเห็นไปสู่การปฏิบัติให้มากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องการคุ้มครองสิทธิและหน้าที่ของผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพทั้ง 49 ล้านคน” นพ.จรัล กล่าว
       
       อย่างไรก็ตาม ผลการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นทั่วไปในปี 2556 ในระดับเขต ทั้ง 13 เขต มีกลุ่มเป้าหมายในการรับฟังความคิดเห็น ได้แก่ ผู้ให้บริการสาธารณสุขจากสถานพยาบาลทุกระดับ ผู้แทนองค์กรวิชาชีพต่างๆ ประชาชนทั่วไป ทั้งที่มีและไม่มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมทั้งผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการ หรือผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกว่า 10,000 คนทั่วประเทศ โดยเน้นประเด็น 7 ด้าน คือ
1.ประเภทและขอบเขตบริการสาธารณสุข
2.ด้านมาตรฐานบริการสาธารณสุข
3.ด้านการบริการจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
4.ด้านบริหารจัดการสำนักงาน
5.ด้านการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
6.ด้านการรับรู้และคุ้มครองสิทธิ์ และ
7.ด้านการบริการจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่นและพื้นที่
เพื่อกำหนดเป็นชุดสิทธิประโยชน์ให้กับประชาชนต่อไป
       
       ทั้งนี้ ประเด็นจาการรับฟังความคิดเห็นฯ ซึ่งมีการประกาศเป็นนโยบาย หรือกำหนดเป็นชุดสิทธิประโยชน์แล้ว ตั้งแต่ปี 2548 ถึงปัจจุบัน เช่น การขยายบริการทดแทนไตสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย การเปลี่ยนหน่วยบริการจาก 2 ครั้ง เป็น 4 ครั้ง การสนับสนุนเร่งรัดพัฒนาบริการปฐมภูมิใกล้บ้านใกล้ใจ การให้ความคุ้มครองผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ การเพิ่มการเข้าถึงบริการแพทย์แผนไทย การบริหารจัดการโรคที่มีค่าใช่จ่ายสูงอย่างครบวงจร การเพิ่มการเข้าถึงยาราคาแพง และยาในบัญชี จ(2) การใช้บัตรประชาชน Smart card แทนบัตรทอง การผ่าตัดปลูกถ่ายตับ การผ่าตัดหัวใจ เป็นต้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กันยายน 2556

หน้า: 1 ... 436 437 [438] 439 440 ... 650