แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 650
61
องค์การอนามัยโลก (WHO) และกลุ่มนักวิจัยระหว่างประเทศเปิดเผยผลการศึกษาชิ้นใหม่ที่อาศัยเก็บรวบรวมข้อมูลผู้คนมากกว่า 220 ล้านคนในกว่า 190 ประเทศ และมีการประมาณการว่า อัตราการเกิดโรคอ้วนในผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วงปี 1990-2022 และเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าตัวในเด็กและวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 5-19 ปี

ขณะที่จากการวิเคราะห์พบว่า ในช่วงเวลาเดียวกันพบสัดส่วนของผู้ที่น้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานในเด็กผู้หญิง เด็กผู้ชายและผู้ใหญ่ต่างลดลงราว 1 ใน 5 และ 1 ใน 3 ตามลำดับ

ทั้งนี้จากผลการศึกษาพบว่า โรคอ้วนได้เกิดขึ้นในผู้คนจำนวนมาก และพบบ่อยกว่าคนที่มีน้ำหนักน้อยกว่ามาตรฐานในประเทศส่วนใหญ่ รวมถึงประเทศที่มีรายได้น้อย และปานกลางที่เคยต่อสู้กับภาวะการขาดสารอาหารมาก่อนด้วย
ฟรานเซสโก แบรนกา ผู้อำนวยการฝ่ายโภชนาการขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่าโรคอ้วน หรือโรคที่มีน้ำหนักตัวน้อยเกินไปถือเป็นภาระสองเท่าของภาวะทุพโภชนาการขณะที่ในอดีตเราอาจคิดว่าภาวะโรคอ้วนเป็นปัญหาของคนมีฐานะเท่านั้น แต่ปัจจุบันโรคอ้วนกลายเป็นปัญหาระดับโลกไปแล้ว

"อัตราโรคอ้วนได้เพิ่มขึ้นทุกประเทศ หรือเกือบทุกประเทศในโลก มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่สามารถรักษาอัตราโรคอ้วนไว้ได้ที่ระดับเดียวกับเมื่อ 30 ปีก่อน แต่โดยทั่วไปแล้วมีการเพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศที่มีรายได้สูง และในประเทศที่มีรายได้น้อย ดังนั้นเราจึงเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากของอัตราโรคอ้วนในแอฟริกาเหนือ ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ และในหมู่เกาะแปซิฟิก" แบรนกากล่าว

ผู้อำนวยการฝ่ายโภชนาการขององค์การอนามัยโลก  ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลง 2 อย่าง คือ ระบบอาหาร ณ ปัจจุบันที่มีอาหารแปรูรูป หรืออาหารที่มีการใช้ไขมัน น้ำตาล และเกลือสูง มากขึ้น และอาหารเหล่านี้มีราคาถูกลงมาก  และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการออกกำลังกาย ของผู้คน

สำหรับคนที่ประสบปัญหาเป็นโรคอ้วนเสี่ยงต่อการเสียชีวิตและความพิการก่อนวัยอันควร เนื่องจากโรคดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และไตในระยะเริ่มแรก และปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนการมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานอย่างรุนแรงอาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการของเด็ก และภาวะที่รุนแรงที่สุดอาจทำให้ผู้คนอดอยากจนเสียชีวิตได้

PPTVHD36
2มีค2567

62
"ธนาคารไทยพาณิชย์" เดินหน้าความยั่งยืนให้กับสังคมไทย ประกาศความพร้อมเปลี่ยนขวดน้ำดื่มเพื่อใช้ในกิจกรรมองค์กรเป็น "พลาสติกรีไซเคิล 100%" สร้างคุณค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ธนาคารไทยพาณิชย์ ตระหนักถึงบทบาทในการเป็นตัวกลางที่จะผลักดันสังคมยั่งยืน ด้วยเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่ Net Zero จากแผนการดำเนินงานภายในของธนาคารภายในปี 2030 และจากการให้สินเชื่อและการลงทุนภายในปี 2050 แม้ว่าสถาบันการเงินจะเป็นธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ แต่ธนาคารก็ยังให้ความสำคัญที่จะบูรณาการแนวทางการปฏิบัติงานภายในที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยในปีนี้ได้ริเริ่มลดการใช้พลาสติกภายในองค์กร จากการเปลี่ยนขวดน้ำดื่มที่ใช้สำหรับกิจกรรมต่างๆ ของธนาคาร เป็นขวดน้ำที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล 100% จำนวนปีละกว่า 1.3 ล้านขวด โดยเป็นธนาคารแรกที่ริเริ่มใช้ขวดประเภทดังกล่าว

ด้วยความห่วงใยถึงความสะอาดและความปลอดภัยของลูกค้าและผู้บริโภค ธนาคารจึงได้เลือกใช้ขวดน้ำดื่ม rPET (Recycled Polyethylene Terephthalate) ซึ่งเป็นขวดพลาสติกที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลด้วยเทคโนโลยีการรีไซเคิลพลาสติกมาตรฐานยุโรปที่ทันสมัย โดยโรงงานรีไซเคิลพลาสติกคุณภาพสูง ENVICCO หนึ่งใน GC Group ที่ได้รับรองมาตรฐานคุณภาพความสะอาดและความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยา (อย.) และมาตรฐานจาก อย.สหรัฐ rPET นับเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดปัญหาขยะพลาสติกปิดเส้นทางขยะสู่หลุมฝังกลบ โดยหมุนเวียนพลาสติกใช้แล้วในประเทศไทยให้กลับมาเป็นทรัพยากรสำหรับการขึ้นรูปเป็นขวดน้ำใหม่ สามารถลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ขวดน้ำดื่ม "น้ำใจไทยพาณิชย์ rPET" โฉมใหม่ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด "Sustainable Bloom" ความยั่งยืนที่เบ่งบานสู่อนาคต นำเสนอในลวดลายดอกไม้หลากสีรวม 17 สี อันสื่อถึง 17 เป้าหมายแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งยังเป็นตัวแทนแสดงเจตจำนงของธนาคารที่จะส่งมอบความยั่งยืนให้แก่สังคมและดูแลสิ่งแวดล้อมให้กับโลกใบนี้

ทั้งนี้ การใช้ขวด rPET สามารถลดปริมาณขยะฝังกลบและขยะที่ถูกทิ้งลงทะเล ลดมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม ขวดน้ำดื่ม "น้ำใจไทยพาณิชย์ rPET" ขนาดบรรจุ 320 มิลลิลิตร จำนวน 1.3 ล้านขวด นับเป็นการรีไซเคิลพลาสติกกลับมาผลิตเป็นขวดบรรจุภัณฑ์ใหม่ได้อย่างไม่รู้จบ แม้จะดูเป็นจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับขวดน้ำในอุตสาหกรรมอื่นๆ แต่การลดปริมาณพลาสติกใหม่จำนวน 1.3 ล้านขวดเทียบเท่ากับการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากต้นไม้ 2,200 ต้นในเวลา 1 ปี และคิดเป็นการปล่อยปริมาณก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าการใช้เม็ดพลาสติกผลิตขวดน้ำแบบเดิมถึง 60%

ตามแผนงานการมุ่งสู่ Net Zero ผ่านการปฏิบัติงานภายในธนาคารไทยพาณิชย์ในปี 2030 นั้น การเปลี่ยนขวดน้ำดื่มเป็นขวด rPET จำนวน 1.3 ล้านขวดต่อปี ในช่วงปี 2024-2030 คิดเป็นปริมาณขวด rPET รวมประมาณ 8 ล้านขวด เทียบเท่ากับการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากต้นไม้ได้ถึง 13,500 ต้น สามารถบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกได้ในระยะยาว

ปลูกจิตสำนึกพนักงานไทยพาณิชย์ ลดการใช้พลาสติก ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากเปลี่ยนขวดน้ำดื่มเป็น "น้ำใจไทยพาณิชย์ rPET" แล้ว ธนาคารยังมีโครงการปลูกฝังจิตสำนึกพนักงานในการลดการใช้ขวดพลาสติกภายในชีวิตประจำวัน ด้วยการรณรงค์การนำกระบอกน้ำหรือบรรจุภัณฑ์ส่วนตัวที่ทนทานและใช้ซ้ำได้มาใช้เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดปัญหาขยะพลาสติก และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

พร้อมกันนี้ในอนาคต ธนาคารได้วางนโยบายขยายผลเพิ่มการเก็บกลับขวดพลาสติกใช้แล้วโดยร่วมมือกับ GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์มบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้ว เพื่อนำขวดพลาสติกเข้าสู่ระบบเพิ่มปริมาณการรีไซเคิล และนำกลับมาสร้างประโยชน์ใหม่ให้ได้มากที่สุดตามแนวเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปูทางสู่เป้าหมาย Net Zero ของทั้งสององค์กร ร่วมสร้างโลกที่ยั่งยืน

2 ม่ีค 2567
ไทยรัฐ

63
ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดแพร่กระจายทั่วโลก คำแนะนำเรื่อง ล้างมือ บ่อย ๆ เป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะปฏิบัติอยู่เสมอเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ เมื่อลองย้อนดูประวัติศาสตร์ก่อนที่การล้างมือจะกลายมาเป็นเรื่องสำคัญอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากลอย่างเช่นทุกวันนี้ ความจำเป็นและประโยชน์ของการล้างมือ เคยเป็นประเด็นที่ถูกโต้เถียงกันอย่างมากสำหรับวงการแพทย์

กว่าที่การล้างมือจะเป็นที่ยอมรับก็ใช้เวลาในการพิสูจน์อยู่ไม่น้อย หากย้อนเวลากลับไปในอดีต จะพบว่า “การล้างมือ” เคยเป็นพิธีกรรมที่ผู้คนในยุคกลางยึดถือปฏิบัติ รวมถึงยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแสดงสถานะทางชนชั้นอีกด้วย

ผู้คนจำนวนไม่น้อยในยุคกลางได้รับการปลูกฝังและให้ความสำคัญเรื่องมารยาทและความสะอาดบนโต๊ะอาหาร เห็นได้จากภาพวาดในยุคกลางที่มักจะแสดงให้เห็นเหยือกน้ำ อ่างน้ำ และผ้าสำหรับเช็ดมืออยู่เสมอ

สิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ผู้คนรู้จักระเบียบมารยาท อย่างไรก็ตาม เดิมทีแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อสุขอนามัยที่ดีเป็นอันดับแรก เนื่องจากมันเริ่มต้นมาจากเรื่องของมารยาทและความสุภาพเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังเป็นพิธีปฏิบัติที่แสดงถึงฐานะและอำนาจของแต่ละบุคคล

บทความของ Sarah Durn ในเว็บไซต์ของ National Geographic ที่อธิบายเรื่องชนชั้นสูงในยุคกลางใช้การล้างมือเป็นสัญญะในการแสดงสถานะทางอำนาจ Sarah เล่าถึงมารยาทและข้อปฏิบัติบนโต๊ะอาหารไว้ว่า ในยุคกลาง เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารจำพวกมีด ช้อน และส้อม เป็นของหายาก ผู้คนทั่วไปส่วนใหญ่มักรับประทานอาหารด้วยมือ

การล้างสิ่งสกปรกในแต่ละวันจึงเป็นเรื่องจำเป็น รวมถึงยังเป็นการแสดงความสุภาพ และความเคารพต่อผู้อื่น ดังข้อความที่ปรากฏใน Les Contenances de Table ซึ่งเขียนเกี่ยวกับมารยาทบนโต๊ะอาหารในศตวรรษที่ 13 ไว้ว่า “จงดูแลนิ้วและเล็บของคุณให้สะอาดเป็นอย่างดี”

ในบทความนี้ยังอ้างถึง Amanda Mikolic ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ประจำฝ่ายศิลปะยุคกลางแห่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะคลีฟแลนด์ (Cleveland) ในรัฐโอไฮโอ ซึ่งเธออธิบายเกี่ยวกับพิธีปฏิบัติก่อนรับประทานอาหารสำหรับชนชั้นสูงไว้ว่า ในบรรดาขุนนางหรือเหล่านักบวชจะมีการล้างหน้าเพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากการล้างมือ
หากเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์ พิธีปฏิบัติจะยิ่งซับซ้อนและประณีตมากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกออกแบบมาอย่างละเอียด เพื่อแสดงถึงอำนาจและสถานะทางชนชั้นระหว่างบุคคลในยุคกลาง

โดยเฉพาะสำหรับบรรดาแขกของกษัตริย์ในยุคกลาง พวกเขาจะได้รับการต้อนรับด้วยบทเพลงอันไพเราะจากเหล่านักดนตรี จากนั้น พวกเขาจะถูกนำไปยังในห้องน้ำที่ประกอบไปด้วย “อ่างน้ำอันหรูหรา … ผ้าขนหนูสีขาวสะอาด และน้ำปรุงกลิ่นหอม” โดยแขกผู้มาเยือนจะทำความสะอาดมือของตน และที่สำคัญต้องคอยระวังไม่ให้ผ้าขนหนูสกปรก

นอกจากนี้แล้ว ผู้หญิงจะต้อง ล้างมือ มาก่อนที่จะมาถึง เพื่อให้แน่ใจว่า “เมื่อเอาผ้าขาวมาเช็ดมือ จะไม่มีเศษดินหรือคราบสกปรก [เปื้อนผ้าขาว] ซึ่งเป็นการพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ของสุภาพสตรี”

จากนั้น เมื่อบรรดาแขกของกษัตริย์ได้เข้าไปนั่งในห้องโถงใหญ่เรียบร้อยแล้ว กษัตริย์จึงจะเข้าไป โดยบรรดาแขกผู้มาเยือนจะลุกขึ้นยืน ขณะที่กษัตริย์กำลังล้างทำความสะอาดพระหัตถ์ และเมื่อกษัตริย์ล้างพระหัตถ์เป็นที่เรียบร้อย ทุกคนจึงจะนั่งลง

สถานะทางอำนาจและชนชั้นที่ถูกแสดงออกผ่านพิธีปฏิบัตินี้ ยังควบคู่ไปกับข้าวของเครื่องใช้อันหรูหรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกันสำหรับชนชั้นสูงไม่ว่าจะเป็น สบู่ หรือ ภาชนะสำหรับ ล้างมือ

ในยุคกลาง เรียกได้ว่าเป็นยุคเปลี่ยนผ่านจากสบู่ประเภทที่ผลิตจากไขมันของสัตว์ที่นิยมเมื่อศตวรรษก่อน ๆ มาเป็น สบู่อเลปโป (Aleppo) ซึ่งถือว่าเป็นของที่มีราคาและดูมีคลาสสำหรับผู้คนในยุคกลาง

อเลปโป เป็นสบู่ที่ผลิตจากน้ำมันมะกอกและน้ำมันลอเรล ซึ่งถูกนำเข้ามายังยุโรปโดยชาวแซ็กซอน และจากนั้นไม่นาน ผู้คนทั่วยุโรปจึงเริ่มคิดค้นวิธีการทำสบู่อเลปโปด้วยสูตรของตนเอง โดยใช้น้ำมันมะกอกที่มีอยู่ตามท้องถิ่นของตน

นอกจากสบู่อเลปโปที่ดูดีมีคลาสแล้ว ความมั่งคั่งของเหล่าชนชั้นสูงยังถูกแสดงออกผ่านภาชนะที่หรูหราในครัวเรือน เช่น Aquamaniles (เหยือกน้ำ) และ Lavabos (ลักษณะคล้ายกาน้ำที่ถูกแขวนไว้) ภาชนะเหล่านี้จะบรรจุน้ำปรุงกลิ่นหอมที่ใช้สำหรับล้างมือไว้ และคนรับใช้จะมีหน้าที่เทน้ำปรุงกลิ่นหอมลงฝ่าบนมือของผู้รับประทานอาหาร

ภาชนะเหล่านี้มีล้ำค่ามากจน Jeanne d’Évreux ราชินีแห่งฝรั่งเศสและพระชายาของพระเจ้าชาร์ลที่ 4 ทรงนำ Aquamaniles มาใช้เป็นเครื่องประดับบนโต๊ะอาหารอันทรงคุณค่าของพระองค์

ประเพณีเหล่านี้อยู่คู่กับชาวยุโรปเรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 18 เมื่อช้อนและส้อมเริ่มมีบทบาทบนโต๊ะอาหารมากขึ้น การล้างมือจึงเริ่มเป็นสิ่งไม่จำเป็น และจึงหลุดออกจากพิธีปฏิบัติบนโต๊ะอาหารในที่สุด โดย Mikolic ได้กล่าวว่า

“พิธีกรรมเกี่ยวกับการล้างมือเริ่มจางหายไปเมื่อเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร [ช้อน ส้อม ฯลฯ] เริ่มมีบทบาทมากขึ้น และแต่ละครัวเรือนเริ่มมีเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารสำหรับบรรดาแขกเหรื่อ”

รวมถึง “เมื่อคุณสามารถรับประทานอาหารได้ในขณะที่ยังสวมถุงมืออยู่” Mikolic กล่าว

นอกจากนี้ ในศตวรรษที่ 18 ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับการล้างมือ จากที่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงพิธีปฏิบัติที่เกี่ยวกับมายาทและความสุภาพ จนเมื่อเกิดการตั้งข้อสันนิษฐานทางการแพทย์เกี่ยวกับการล้างมือโดย Ignaz Semmelweis นายแพทย์ชาวฮังการีประจำโรงพยาบาล Vienna General Hospital ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแพทย์ขนาดใหญ่ มีแบ่งแผนกตั้งครรภ์และคลอดบุตรออกเป็นสองวอร์ด คือ วอร์ดแรกสำหรับแพทย์และนักเรียน และอีกวอร์ดหนึ่งสำหรับพยาบาลผดุงครรภ์

Semmelweis ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับอัตราการเสียชีวิตหลังคลอดของมารดาในวอร์ดสำหรับแพทย์และนักเรียนที่สูงถึง 98.4 ต่อ 1,000 ซึ่งเกิดจากไข้หลังคลอด

Semmelweis พยายามตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตหลังคลอดและพิสูจน์ข้อสันนิษฐานต่าง ๆ จนในปีค.ศ. 1847 Jakob Kolletschka เพื่อนร่วมงานของ Semmelweis ก็ทำให้เขาพบข้อมูลสำคัญ เมื่อ Kolletschka ได้กรีดนิ้วของเขาบนมีดผ่าตัดระหว่างการชันสูตรพลิกศพ และเกิดการติดเชื้อที่ทำให้เขาเสียชีวิต

Semmelweis สงสัยว่าอาจมีการติดเชื้อประเภทเดียวกันนี้ในแผนกสูติกรรมของแพทย์หรือไม่

แม้ว่าข้อสันนิษฐานของ Semmelweis จะยังไม่ถูกต้องเสียทีเดียว แต่การปฏิบัติต่อทฤษฎีของเขานั้นค่อนข้างเป็นไปในทิศทางที่เข้าท่าแล้ว เขาเริ่มสั่งให้แพทย์ในวอร์ดล้างมือด้วยปูนคลอรีนทุกครั้งหลังจากการชันสูตรพลิกศพ

จนในที่สุด ระหว่างปี ค.ศ. 1848 ถึง 1859 อัตราการเสียชีวิตของมารดาในวอร์ดสำหรับแพทย์ก็ลดลง เหลือระดับเดียวกับวอร์ดพยาบาลผดุงครรภ์ แต่ถึงแม้ว่า Semmelweis จะพยายามโน้มน้าวให้ผู้คนในวงการแพทย์ยอมรับในข้อปฏิบัติของเขา แต่ก็ใช่ว่าทุกคนทำตามข้อปฏิบัตินี้ง่าย ๆ ข้อปฏิบัติของเขาถูกปฏิเสธและไม่เป็นที่ยอมรับตลอดในช่วงชีวิตของเขา

กระนั้นก็ตาม Semmelweis ไม่ใช่คนเดียวที่พยายามต่อสู้เพื่อข้อเสนอนี้ ยังมีนายแพทย์ชาวอเมริกัน โอลิเวอร์ เวนเดลล์ โฮล์มส์ (Oliver Wendell Holmes) ซึ่งได้ตีพิมพ์บทความไว้ในในปี ค.ศ. 1843 โดยเสนอว่า มือที่ไม่สะอาดเป็นสาเหตุให้เกิดไข้หลังคลอดได้ แม้แต่ ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล (Florence Nightingale) พยาบาลชาวอังกฤษซึ่งถือเป็นผู้ก่อตั้งการพยาบาลสมัยใหม่ ยังได้เขียนไว้ในหนังสือ Notes on Nursing ที่เผยแพร่ในปีค.ศ. 1860 ว่า “พยาบาลทุกคนควรหมั่นล้างมืออยู่เป็นประจำในระหว่างวัน”

ถึงที่สุดแล้ว วงการแพทย์ก็ยังไม่สามารถเข้าใจในประโยชน์และความสำคัญของการล้างมือได้จริง ๆ จนกระทั่งมีการตีความทฤษฎีที่เกี่ยวกับเชื้อโรคและแบคทีเรีย ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยเรื่องการติดเชื้อจากจุลินทรีย์ที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา

ทฤษฎีดังกล่าวได้รับการยอมรับและเป็นที่ประจักษ์ เมื่อโจเซฟ ลิสเตอร์ (Joseph Lister) ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ สามารถทำให้อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยลดลงเป็นอย่างมาก โดยการผลักดันให้ศัลยแพทย์หมั่นล้างมือและฆ่าเชื้อเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้กับผู้ป่วย การล้างมือจึงกลายเป็นเรื่องของสุขอนามัยที่จำเป็นต่อสุขภาพจากนั้นมาจนถึงทุกวันนี้

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 7 กรกฎาคม 2564
เว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม

2 มีค 2567

64
“จุลพันธ์” แจง ที่ราชพัสดุ ไม่เคยเรียกสิทธิการเช่าคืน ชี้ ระบบสิทธิการเช่า 3 ปี เพื่อไม่ให้ประชาชนเสียค่าธรรมเนียมมาก ยันสืบทอดถึงทายาทได้ ด้าน “ชนินทร์” อัด “พิธา” จะให้นำที่ดินของรัฐมาออกเป็นโฉนดหมดไม่ได้

เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 2 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่หนองวัวซอ รับฟังปัญหาที่ดินของประชาชน แล้วพูดถึงการให้สิทธิในการเช่าที่ดิน 3 ปีไม่ถือเป็นกรรมสิทธิ์ ทำให้ไม่มีความมั่นคงในชีวิตนั้น ล่าสุดนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่าน x ชี้แจงเรื่องดังกล่าวว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับนโยบายมอบสิทธิการเช่าที่ดินสำหรับอยู่อาศัยและทำกินในการดูแลของกรมธนารักษ์ ผมขออนุญาตเพิ่มเติมรายละเอียดสิทธิประโยชน์ในการเข้าสู่ระบบเช่าของกรมธนารักษ์ดังนี้ครับ

พื้นที่ราชพัสดุถูกจัดสรรให้พี่น้องประชาชนได้ใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องและยังไม่เคยเรียกคืนสิทธิการเช่า เว้นพื้นที่ติดภารกิจสำคัญทางราชการ เช่น ภารกิจทางทหารที่อาจเป็นอันตรายต่อประชาชน ก็จะไม่สามารถให้เช่าได้

ระบบสิทธิการเช่า 3 ปี เป็นการปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ หากจัดให้เช่ามากกว่าสามปี เช่น 30 ปี จะมีการต่ออายุสัญญาเช่าอย่างต่อเนื่องคราวละ 3 ปี เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิการเช่าจำนวนมาก (ในกรณีเช่าคราวละเกิน 3 ปี)

สิทธิในการเช่าที่ดินราชพัสดุสามารถสืบทอดไปยังทายาทได้ ตั้งแต่ดำเนินการมารัฐยังไม่เคยเรียกคืนสิทธิการเช่า

มีอัตราค่าเช่าที่ต่ำ ดังนี้

สำหรับการเช่าเพื่ออยู่อาศัย เนื้อที่เช่าทั้งหมดไม่เกิน 100 ตารางวา คิดอัตรา 25 สตางค์/ตารางวา/เดือน เกินกว่า 100 ตารางวา คิดอัตราค่าเช่า 50 สตางค์/ตารางวา/เดือน
หากเช่าเพื่อการเกษตร เนื้อที่เช่าทั้งหมดไม่เกิน 50 ไร่ คิดอัตราค่าเช่า 20 บาท/ไร่/ปี เกินกว่า 50 ไร่ คิดอัตราค่าเช่า 30 บาท/ไร่/ปี กรมธนารักษ์จะยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้าทั้งหมด ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการรังวัดทั้งหมด และเรียกเก็บหลักประกันสัญญาเช่าเท่ากับอัตราค่าเช่าเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น

ผู้เช่าจะได้รับการอำนวยความสะดวกและการดูแลจากรัฐในฐานะที่ดินเช่า มีการจัดการสาธารณูปโภคเพื่ออำนวยความสะดวก เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา การขอทะเบียนบ้าน และการช่วยบรรเทาความเสียหายเมื่อเกิดเหตุอุบัติภัยต่างๆ เนื่องจากเป็นพื้นที่ในการกำกับดูแลของรัฐโดยตรง

ผู้เช่าสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น เพราะสิทธิการเช่าที่ดินราชพัสดุสามารถนำไปเป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อจากธนาคารที่ดำเนินการโดยรัฐได้ เมื่อทำสัญญาเช่าที่ดิน จะมีการยกเว้นค่าเสียหายฐานบุกรุกที่ดินราชพัสดุให้ผู้ได้สิทธิเช่า เป็นการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างรัฐและประชาชนอย่างยั่งยืน

ด้านนายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่าน X ตอบโต้นายพิธา เช่นเดียวกัน ว่า คุณพิธาต้องเข้าใจว่า สิทธิทำกิน มีหลายประเภท จะคาดหวังให้นำที่ดินของรัฐมาออกเป็นโฉนดทั้งหมดไม่ได้ครับ

ทั้งนี้ที่ดินหนองวัวซอ ที่รัฐบาลส่งมอบ 9,000 ไร่ ให้ประชาชน ถึงแม้จะไม่ใช่ ‘กรรมสิทธิ์ขาด’ แต่ก็เป็น ‘สิทธิการเช่า’ ที่พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์มากขึ้นแน่นอน ทั้งนี้การจะวิพากษ์วิจารณ์ต้องเข้าใจก่อนว่า ที่ดินหนองวัวซอ เป็นที่ดินธนารักษ์ (ของรัฐ) มาอยู่แล้ว แต่มีกองทัพเข้าไปใช้งาน

สิ่งที่รัฐบาลทำ คือเจรจาดึงสิทธิบนที่ดินกลับมา แล้วมาออกเอกสารสิทธิการเช่าให้ประชาชน มีที่ดินทำกิน “แบบถูกต้องตามกฎหมาย” ไม่ต้องบุกรุก ไม่ต้องมีข้อพิพาท

การเช่าจากรัฐครั้งนี้ เป็นการเช่า 3 ปี ต่อ 3 ปี ไปเรื่อยๆ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และค่าเช่าถูกมากกกก

(จะให้โอนกรรมสิทธิ์ของรัฐให้เป็นที่ดินประชาชนโดยขาดไปเลย ก็อาจจะยังไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมในกรณีนี้)

สิทธิการเช่านี้ ใช้เป็นหลักทรัพย์ขอสินเชื่อได้ อาจจะไม่มากเท่ากรรมสิทธิ์ขาด แต่ก็เป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงทุนของประชาชน


ไทยรัฐ
2 มีนาคม 2567

65
ศิริราชมอบรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบทประจำปี 2565 ให้แก่ "นพ.เพียรศักดิ์ แซ่หว่อง" แพทย์ชำนาญการ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ริเริ่มโครงการต่อลมหายใจ กองทุนช่วยเหลือเด็กป่วย สู่การส่งผู้ป่วยเด็กกลับบ้านพร้อมเครื่องช่วยหายใจ วางแนวคิดก่อตั้ง รพ.เด็กสรรพสิทธิประสงค์แห่งแรกของเขตสุขภาพที่ 10

เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล เป็นประธานงานแถลงข่าว “ประกาศผลพร้อมมอบรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบท ประจำปี 2565” พร้อม ผศ. นพ.สมุทร จงวิศาล ประธานคณะกรรมการคัดเลือกแพทย์ดีเด่นในชนบทโดย ศ.นพ.อภิชาตระบุว่า แพทย์ดีเด่นในชนบท ประจำปี 2565 คณะกรรมการฯ ได้คัดเลือกให้ นพ.เพียรศักดิ์ แซ่หว่อง นายแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เป็นผู้ได้รับรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบทของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ประจำปี 2565

ผศ.นพ.สมุทร กล่าวถึงการคัดเลือกแพทย์ดีเด่นในชนบท ว่า คณะกรรมการฯ มีการพิจารณาคุณสมบัติหลายประการ ประกอบด้วย การให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุข การบริหาร มนุษยสัมพันธ์ ความเสียสละ ความใฝ่รู้ในวิชาการ ความเป็นผู้นำที่ดี และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม รวมทั้งระยะเวลาในการปฏิบัติงานทางการแพทย์ในชนบทติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี และไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช

สำหรับปี 2565 ได้มีการเสนอชื่อแพทย์ที่ปฏิบัติงานในชนบท ให้คณะกรรมการฯ พิจารณา จำนวน 11 คน จากนั้นจึงเดินทางไปเยี่ยมชมการปฏิบัติงาน โดยมีการสัมภาษณ์แพทย์ ผู้ร่วมงาน และผู้มารับบริการ ตลอดจนเยี่ยมชมผลงานและโรงพยาบาล ซึ่งเป็นการพิจารณาขั้นสุดท้าย เพื่อคัดเลือกแพทย์ที่มีความเหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ยังนำผลงานแพทย์ที่เคยตรวจเยี่ยมและสัมภาษณ์เมื่อปีก่อนมาพิจารณาด้วย คณะกรรมการฯ สามารถคัดเลือกแพทย์ดีเด่นในชนบท ประจำปี 2565 ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ อีกทั้งยังเป็นผู้อุทิศตนปฏิบัติราชการในจังหวัดห่างไกล รวมทั้งปรับแนวทางการดูแลผู้ป่วยในความเชี่ยวชาญอย่างครอบคลุมถึงครอบครัวและชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม นับเป็นการประยุกต์ใช้ความรู้ ความชำนาญ ให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการและทรัพยากรสุขภาพ เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยและครอบครัวอย่างสุดความสามารถ มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรและชุมชนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคลากรและประชาชนในท้องถิ่นและพื้นที่ใกล้เคียงอย่างยั่งยืน เป็นแบบอย่างและเป็นแรงบันดาลใจที่ดีของการทำงานอย่างมีความสุขในทุกระดับการบริการสาธารณสุข

ผศ.นพ.สมุทรกล่าวว่า นพ.เพียรศักดิ์ แซ่หว่อง เป็นแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นด้านการครองตน การครองคน และการครองงาน ยึดถือการปฏิบัติงานบนปณิธานที่จะใช้ศักยภาพของตนเองให้เกิดประโยชน์สูงสุด จากผลงานของแพทย์ท่านนี้ที่ประจักษ์สู่สาธารณชน เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าท่านเป็นผู้ใช้ศาสตร์ทางการแพทย์และศิลปะในเสียงเพลง เพื่อการต่อลมหายใจให้ผู้ป่วยได้อย่างแท้จริง จนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแค่ในหน่วยบริการสาธารณสุขเท่านั้น แต่ยังคงใส่ใจประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกสถานะ ทุกเชื้อชาติ อย่างเท่าเทียมกันตลอดมา ดังนั้น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล จึงมีมติให้ นพ.เพียรศักดิ์ แซ่หว่อง เป็นผู้รับรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบท ประจำปี 2565 เพื่อเป็นเกียรติประวัติ เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่แพทย์ท่านอื่นสืบไป

สำหรับรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบท ประกอบด้วย โล่เกียรติยศและเงินรางวัลจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล จำนวน 200,000 บาท บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 50,000 บาท และบริษัท เทอรูโม (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 20,000 บาท

ประวัติ นพ.เพียรศักดิ์ แซ่หว่อง เกิดวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2515 จบการศึกษาปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต ปี 2540 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตหาดใหญ่) , วุฒิบัตรสาขากุมารเวชศาสตร์ ปี 2546 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวุฒิบัตรสาขาโรคระบบหายใจเด็ก ปี 2548 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนประวัติการทำงาน ปี 2540 - 2541 ตำแหน่ง นายแพทย์ 4 รพ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี , ปี 2542-2548 ตำแหน่ง นายแพทย์ 5 - 6 รพ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ปี 2549 - ปัจจุบัน ตำแหน่ง นายแพทย์ 7 (ชำนาญการ) ด้านเวชกรรมสาขากุมารเวชกรรม รพ.สรรพสิทธิประสงค์

ผลงานดีเด่น ปี 2549 โครงการต่อลมหายใจ (Home Ventilator) และกองทุนช่วยเหลือเด็กป่วย โดยเป็นตันแบบและพัฒนางานไปสู่การเป็น Home Ventilator Center ในระดับภูมิภาค รวมถึงสร้างเครือข่ายความร่วมมือในระดับนานาชาติ สามารถส่งผู้ป่วยเด็กกลับบ้านพร้อมเครื่องช่วยหายใจได้เป็นรายแรกของ สปป.ลาว ในปี 2561 โดยปัจจุบันมีผู้ป่วยในโครงการต่อลมหายใจที่สามารถกลับบ้าน พร้อมเครื่องช่วยหายใจและอยู่ในความดูแลต่อเนื่องร่วมกับเครือข่ายทั่วประเทศ จำนวนมากที่สุดในไทย คือ 42 ราย

ปี 2563 วางแนวคิดและร่วมก่อตั้ง “รพ.เด็กสรรพสิทธิประสงค์” ซึ่งเป็นการพัฒนาพื้นที่การใช้งาน รพ.สนามเดิมของ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ หลังจากการรองรับผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากร และแก้ไขปัญหาความแออัดของหอผู้ป่วยเด็กใน รพ.ศูนย์ “รพ.เด็กสรรพสิทธิประสงค์” สามารถเปิดให้บริการเป็น รพ.เด็กแห่งแรกในเขตบริการสุขภาพที่ 10 และในระดับภูมิภาค ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2564

นพ.เพียรศักดิ์ แซ่หว่อง ได้รับการเรียกขานว่า “หมอนักร้อง” เนื่องจากได้ประพันธ์เพลง ขับร้อง และจัดคอนเสิร์ตการกุศลอยู่เสมอ เพื่อหาทุนช่วยเหลือผู้ป่วยและชุมชน นอกจากนี้ยังเป็นนักพูด นักเขียน นักกิจกรรม ในหัวข้อ “เรื่องเล่าเร้าพลัง (Empowerment)” และเขียนหนังสือ “หน้าต่างความดีงาม” เพื่อเผยแพร่มุมมอง และทัศนคติในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าต่อสังคม เพื่อหาทุนในการจัดกิจกรรม ได้แก่ ก่อตั้งหน่วยโรคระบบทางเดินหายใจเด็กและกองทุน โครงการมีชีวา

อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีและรักษาภาพลักษณ์ของทางราชการ โดยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2559 จนถึงเดือนมีนาคม 2564 นพ.เพียรศักดิ์ แซ่หว่อง ได้รับเชิญจากหน่วยงานต่างๆ ให้เป็นวิทยากรในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จำนวน 215 ครั้ง ซึ่งมีผู้ฟังมากกว่า 50,000 คน รวมถึงเป็นผู้มีทักษะในการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ โดย ปี 2562 จ.อุบลราชธานีประสบอุทกภัย นพ.เพียรศักดิ์ แซ่หว่อง เสียสละโดยการลงพื้นที่ บริจาคเงินส่วนตัว และเครื่องอุปโภคบริโภค ภายหลังที่สถานการณ์คลี่คลายลง ได้จัดคอนเสิร์ตร่วมกับ ม.ราชภัฏอุบลราชธานีและเครือข่ายทางสังคม เพื่อขอบคุณทุกหน่วยงานที่เข้าช่วยเหลือ พร้อมทั้งเปิดช่องทางการสื่อสารผ่าน YouTube เพื่อเผยแพร่ภาพประกอบบทเพลง “ลมหายใจ” ปี 2563 ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 นพ.เพียรศักดิ์ แซ่หว่อง ได้เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ผ่านสื่อออนไลน์ในท้องถิ่นอย่างสม่ำเสมอและเผยแพร่มิวสิกวิดีโอ ทาง YouTube นั่นคือ เพลง หมอขอร้อง “โคโรน่าออกไป” ซึ่งดัดแปลงจากเพลง “I will survive”

นอกจากนี้ นพ.เพียรศักดิ์ แซ่หว่อง ยังได้รับเกียรติจาก สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ HA Thailand ให้จัดแสดงมินิคอนเสิร์ต “นักรบเสื้อขาว เธอผู้ไม่ยอมแพ้” เพื่อให้กำลังใจแก่บุคลากรสาธารณสุข และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ทั่วประเทศไทย ที่ได้ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ซึ่งมีผู้รับชมการถ่ายทอดสดมากกว่า 10,000 คน

สำหรับรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบท ก่อตั้งเมื่อปี 2516 เพื่อเชิดชูเกียรติแพทย์ผู้อุทิศตนปฏิบัติหน้าที่ในชนบท และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาบริการทางการแพทย์และงานส่งเสริมสุขภาพในพื้นที่ให้เจริญก้าวหน้า เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนร่วมวิชาชีพและนักศึกษาแพทย์ โดยเฉพาะบัณฑิตแพทย์ที่ต้องออกไปปฏิบัติงานในชนบท ให้มีทัศนคติที่ดีและมองเห็นคุณค่าของการทำประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชนและสังคมในชนบท

รางวัลนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยที่แพทย์ผู้รับรางวัลจะได้รับเกียรติให้แสดงปาฐกถาอุดม โปษะกฤษณะ เพื่อเป็นเกียรติและอนุสรณ์แด่ ศ.เกียรติคุณ นพ.อุดม โปษะกฤษณะ อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขท่านเป็น “ครูแพทย์” ที่สำคัญของศิริราช ที่มีความรู้อย่างกว้างขวางลึกซึ้งในวิทยาการหลายสาขา เป็นผู้ที่เอาใจใส่ ดูแล สนับสนุนและส่งเสริมการปฏิบัติงานของแพทย์ไทยในชนบทอย่างดีตลอดมา แม้ว่าท่านจะครบเกษียณอายุราชการแล้ว ท่านยังไปเยี่ยมเยียน เป็นกำลังใจ และเป็นที่ปรึกษาแก่แพทย์ที่ทำงานในชนบท โดยเฉพาะการถ่ายทอดความรู้ทักษะในการทำผ่าตัดต่าง ๆ ต่อมาเป็นเวลาหลายปี นามของท่านจึงสมควรปรากฏเพื่อเป็นตัวอย่างอันดีแก่บุคคลรุ่นหลังสืบไป โดยบรรดาศิษย์และญาติมิตรของท่านอาจารย์ได้ร่วมกันบริจาคเงินจำนวนหนึ่งก่อตั้ง “ทุนศาสตราจารย์นายแพทย์อุดม โปษะกฤษณะ” ใช้ดอกผลดำเนินงานเกี่ยวกับ “ปาฐกถาอุดม โปษะกฤษณะ” และเป็นรางวัลแก่แพทย์ดีเด่นในชนบท


2 มี.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

66
ปัจจุบัน “ขยะทะเล” เป็นปัญหาที่สร้างวิกฤติให้กับสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะขยะพลาสติกที่มักไม่ได้รับการจัดการ หรือทำลายให้ถูกต้องเหมาะสม ประมาณ 10 – 15% ของขยะพลาสติกทั้งหมด มีโอกาสไหลลงสู่ทะเลผ่านทางแม่น้ำลำคลอง ทำให้ขยะพลาสติกที่ตกค้างเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงสัตว์ทะเล

ขยะพลาสติกเหล่านี้ล้วนเป็นอันตรายต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ทะเลมากที่สุด โดยเฉพาะเต่าทะเล โลมา และวาฬ ส่งผลให้สัตว์เหล่านี้เสียชีวิตจากสาเหตุขยะพลาสติกเข้าไปอุดตันในกระเพาะอาหารทำให้ร่างกายของพวกมันทำงานไม่ได้ จนเสียชีวิตในที่สุด

นอกจากขยะพลาสติกจะมีผลกระทบต่อสัตว์น้ำแล้ว มนุษย์ก็อาจได้รับผลกระทบจากขยะทะเลด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อสัตว์น้ำกินเศษขยะหรือมีเศษขยะขนาดเล็ก ที่เรียกว่า “ไมโครพลาสติก” เข้าไปในร่างกาย เมื่อมนุษย์บริโภคสัตว์น้ำเป็นอาหาร ได้รับปริมาณไมโครพลาสติกที่มากขึ้นในทุกๆ วัน ก็อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้  การติดตั้งทุ่นดักขยะ เพื่อลดปริมาณขยะที่ไหลลงสู่แม่น้ำท่าจีนและอ่าวไทย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาขยะในทะเล

ธ.กรุงเทพ ติดตั้งเครื่องมือดักขยะในทะเล
“กอบศักดิ์ ภูตระกูล” กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารได้เริ่มต้นดำเนินโครงการ ‘Bualuang Save the Earth : รักษ์ท่าจีน’ เพื่อร่วมดำเนินการแก้ไขปัญหาขยะในแม่น้ำท่าจีน ซึ่งเป็น 1 ใน 5 แม่น้ำสายหลักที่ไหลลงสู่ทะเลอ่าวไทย โดยในปัจจุบันได้เริ่มดำเนินงานในระยะที่ 1 อย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด ได้ร่วมกับหน่วยงานราชการท้องถิ่น ประชาชน และชุมชนในพื้นที่ ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร ติดตั้งเครื่องมือดักขยะในพื้นที่นำร่องบริเวณคลองหลวงสหกรณ์ และคลองพิทยากรณ์ ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร หลังจากศึกษาข้อมูลและสำรวจพื้นที่ร่วมกันพบปัญหาขยะจำนวนมากที่ไหลจากชุมชนต่างๆ มารวมบริเวณนี้ก่อนจะถูกกระแสน้ำพัดพาออกปากแม่น้ำท่าจีนและอ่าวไทย

ดักขยะไหลลงแม่น้ำลำคลอง
เครื่องมือดักขยะที่ติดตั้งในครั้งนี้ประกอบด้วย 3 ประเภทเครื่องมือ ได้แก่ ทุ่นดักขยะ (Boom) ผลิตจากพลาสติก HDPE สีเหลือง ขนาด 0.35x0.50 เมตร พร้อมตาข่ายความยาว 15 เมตร และลึกลงไปจากผิวน้ำ 50 เซนติเมตร อายุการใช้งาน 5-7 ปี กระชังไม้ไผ่ดักขยะ เป็นโครงไม้ไผ่ติดอวน ขนาด 3x3 เมตร อายุใช้งาน 3-5 ปี และเครื่องมือดักขยะแบบปักหลัก เป็นโครงไม้ไผ่ผูกอวน ขนาด 5x10 เมตร อายุใช้งาน 3-5 ปี ซึ่งเครื่องมือทั้ง 3 ประเภทเหมาะสมกับสภาพกระแสน้ำ สามารถรองรับกระแสน้ำขึ้นน้ำลงได้ จะเป็นตัวช่วยดักขยะที่ไหลมาตามน้ำไม่ให้ไหลต่อลงสู่แม่น้ำท่าจีนและทะเลอ่าวไทย

ติดตั้ง “น้องจุด” หรือ ฉลามวาฬพี่ใหญ่แห่งท้องทะเล เป็นที่พักขยะแบบถาวร สำหรับพักขยะประเภทขวดพลาสติก ทั้งจากการดักจับบนผิวน้ำและเกิดขึ้นบนบก ซึ่งขวดพลาสติกเครื่องดื่มเป็นหนึ่งในขยะทะเลที่ถูกพบมากในประเทศไทย โดยจะตั้งวาง “น้องจุด” ไว้ 2 จุดในบริเวณลานวัดสหกรณ์โฆสิตาราม ซึ่งเป็นพื้นที่การจัดกิจกรรมและตลาดนัดเป็นประจำ

ทั้งนี้ อุปกรณ์ทุกประเภทดังกล่าวจะมีเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เข้ามาดูแลเป็นประจำ โดยตักขยะเพื่อนำไปคัดแยกและรีไซเคิล ส่วนขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้แล้ว หรือขยะกำพร้า จะถูกส่งไปทำเชื้อเพลิงทดแทนให้เกิดประโยชน์ต่อไป

กอบศักดิ์ กล่าวว่านอกจากการติดตั้งเครื่องมือดักขยะแล้ว คณะทำงานยังได้เริ่มดำเนินงานตามแผนในระยะ 2 โดยจัดกิจกรรมร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อสร้างความตระหนักรู้และปลูกฝังในเรื่องการคัดแยกขยะในครัวเรือนให้แก่ชุมชน และโรงเรียนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และต่อยอดสู่การเพิ่มมูลค่าและเป็นรายได้ให้แก่ครอบครัว

 “เมื่อชุมชนเริ่มมีองค์ความรู้และขยะที่คัดแยกออกมาได้มีปริมาณที่มากขึ้น ธนาคารจะเริ่มพัฒนาและต่อยอดสู่การก่อตั้งโครงการธนาคารขยะในชุมชนต้นแบบ ให้ประชาชนและบริษัทรับซื้อ เข้ามาแลกเปลี่ยนซื้อขายขยะในพื้นที่ เพื่อให้จัดการขยะได้อย่างครบวงจรและมีประสิทธิภาพและเกิดความยั่งยืน”

ทั้งนี้แม่น้ำท่าจีน เป็น 1 ใน 5 แม่น้ำสายสำคัญที่จะไหลลงสู่ทะเล และพบปัญหาขยะที่มีมากกว่า 14 ล้านชิ้น หรือประมาณ 148 ตันต่อปี เป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องเร่งกำจัดขยะเหล่านี้ออกให้เร็วที่สุด ควบคู่กันก็คือ ต้องสกัดไม่ให้ขยะใหม่ไหลลงไปสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น อันเป็นที่มาของการติดตั้งเครื่องมือดักขยะ  โดยจะมีการบันทึกข้อมูลเพื่อวัดปริมาณขยะแต่ละประเภทและวิเคราะห์ที่มาของขยะ เพื่อจะได้เข้าใจปัญหาอย่างชัดเจนและแก้ไขไปจนถึงต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหา แก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความยั่งยืน

พิทักษ์ธรรมชาติและประชาชน
วสันต์ แก้วจุนันท์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร และผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตำบลโคกขาม มากว่า 37 ปี กล่าวว่า การติดตั้งเครื่องมือดักขยะตามแผนงานโครงการ ‘Bualuang Save the Earth : รักษ์ท่าจีน’ จะช่วยแก้ไขปัญหาขยะที่จะไหลลงสู่ทะเลได้เป็นอย่างดีและเห็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น

เนื่องจากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พื้นที่เมืองเริ่มขยายตัวมากขึ้น มีหมู่บ้านจัดสรรและโรงงานเพิ่มขึ้น ตามมาด้วยปัญหาขยะและน้ำเสียที่ไหลลงแม่น้ำลำคลอง กระทบต่อสภาพแวดล้อมทั้งส่งผลให้พื้นที่การทำประมงและพื้นที่ธรรมชาติถูกรุกล้ำมากขึ้น ชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงชายฝั่ง หรือการทำวังกุ้ง ก็ทำได้ลำบาก หาลูกกุ้งธรรมชาติได้ยากมากขึ้น หรือแม้แต่การลงเล่นน้ำในคลองก็ทำไม่ได้ เพราะน้ำไม่สะอาด

“หวังว่าการติดตั้งทุ่นดักขยะ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยดักขยะไม่ให้ไหลลงสู่ชายฝั่งและทะเล ที่เป็นหนึ่งในต้นเหตุสำคัญของปัญหา จากนั้นคงต้องช่วยกันฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่ง พวกลูกกุ้งธรรมชาติจะได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อมีการส่งเสริมความรู้เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการดูแลสิ่งแวดล้อมให้กับเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ก็เชื่อว่าเมื่อเด็กมีนิสัยที่ดีติดตัว ก็จะช่วยเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นได้ในอนาคต” 

Bangkokbiznews
1 มีค 2567

67
จากกรณีข่าวชายต่างชาติ ทำร้ายร่างกายหมอธารดาว ที่บริเวณชายหาดยามู จังหวัดภูเก็ต ขณะนั่งเล่นริมหาด เนื่องจากชายต่างชาติอ้างว่าเป็นการบุกรุกพื้นที่วิลล่าของเขา ซึ่งวันนี้ทางฝั่งคู่กรณีได้ออกมาชี้แจงว่าไม่ได้เตะแต่อย่างใดเป็นเพียงล้ม พร้อมขอโทษหมอธารดาวและครอบครัวแล้วนั้น

ล่าสุด หมอธารดาว เปิดใจว่า ในวันนี้คู่กรณีได้มีการแถลงข่าวขอโทษ ซึ่งเธอมองว่าหากเป็นการขอโทษมาจากก้นบึ้งของหัวใจเธอก็ยินยอมและจะรับคำขอโทษนั้น แต่ในเมื่อกระทำผิดไปแล้วก็ควรเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย

และนอกจากนี้เธอมองว่าการทำร้ายร่างกายไม่ควรเกิดขึ้นกับใครไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหนหรือคนประเทศอะไร คนก่อเหตุก็ไม่ควรใช้ความรุนแรง  ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆคนรับไม่ได้ มองว่าไม่ได้ส่งผลต่อสภาพร่างกายเพียงอย่างเดียวยังส่งผลต่อสภาพจิตใจอีกด้วย

ขณะที่นายเกษม พ่อของหมอธารดาว เปิดเผยว่า การที่คู่กรณีซึ่งเป็นชาวต่างชาติมีพฤติกรรมดังกล่าวเชื่อว่ามีคนระดับสูงหนุนหลัง และเชื่อว่าคู่กรณีที่เป็นชาวต่างชาติจะต้องเป็นคนที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในพื้นที่ ส่วนประเด็นที่มีการแจ้งความและตำรวจมีลักษณะคล้ายข่มขู่  เนื่องจากกฎหมายในการบุกรุกมีทั้งหมด 3 ข้อแต่ทางเจ้าหน้าที่กลับเลือกที่จะบอกข้อหาที่หนักที่สุด ใครต้องการทำให้ลูกสาวของตัวเองเกิดความกลัว

ทั้งนี้มองว่าตำรวจที่เข้าไปในพื้นที่ควรจะปกป้องประชาชน ที่ถูกกระทำไม่ใช่ปกป้องคู่กรณี ซึ่งมันผิด ดังนั้นตำรวจอย่าเป็นเห็บ ต้องเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ไม่เช่นนั้นสังคมไทยจะอยู่อย่างไรต่อไป และอยากให้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่างในสังคมไทย
อย่างไรก็ตามควรจะมีการจัดการพื้นที่ในการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตใหม่ ต้องมีการจัดระเบียบพื้นที่สาธารณะในแหล่งท่องเที่ยวให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ในการเข้าไปใช้พื้นที่ได้ และอยากให้คนในพื้นที่ภูเก็ตออกมาเปล่งเสียงเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่

นอกจากนี้ยังมีอีก 1 คน ได้ส่งข้อความมาหา หมอธารดาว ผ่านทางโซเชียลว่า ตนเองก็ถูกกระทำจากชายชาวต่างชาติรายนี้เหมือนกัน โดยพฤติกรรมคือฝั่งคู่กรณี ขับรถหวาดเสียวตนจึงได้เข้าไปแจ้งความแต่ทางคู่กรณีได้แจ้งความกลับในข้อหาหมิ่นประมาท และเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2567 ทางคู่กรณีได้มีการยกนิ้วกลางใส่ชายคนดังกล่าว โดยที่ชายคนนี้ยังเผยว่าคู่กรณีที่เป็นชาวต่างชาติมีพฤติกรรมที่ค่อนข้างแย่

PPTVHD36
1มีค2567

68
สื่อนอกเกาะติดข่าว กรณีแพทย์หญิงชาวไทยเสียชีวิตจากการแพ้อาหารรุนแรง หลังทานข้าวที่ร้านอาหารในดิสนีย์เวิลด์ แม้ย้ำร้านหลายรอบ ด้านสามีไม่ทนยื่นฟ้องชดใช้

เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า สามีของแพทย์หญิงชาวไทยในสหรัฐ ไม่ทนยื่นฟ้องดิสนีย์เวิลด์ หลังภรรยาเสียชีวิต เนื่องจากแพ้อาหารอย่างรุนแรง รวมทั้งกล่าวหาทั้งดิสนีย์รีสอร์ทและร้านอาหารที่ฟลอริดาประมาทเลินเล่อ ทั้งที่แจ้งร้านหลายรอบ เป็นเหตุให้ภรรยาถึงแก่ชีวิต

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 66 ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในดิสนีย์ สปริงส์ เสิร์ฟอาหารที่มีสารก่อภูมิแพ้ให้กับ พญ.กนกพร วัย 42 ปี จากศูนย์การแพทย์แลนกอน มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ทั้งที่เธอและสามีได้ย้ำกับทางร้านมีอาการแพ้อาหารอย่างรุนแรง และไม่สามารถบริโภคอาหารที่มีสารก่อภูมิแพ้ได้

โดยทั้งคู่สั่ง ข้าวโพดทอด หอยเชลล์ บล็อคโคลี่ และหอมทอด และได้ถามย้ำกับพนักงานที่รับออเดอร์ว่ามีสารก่อภูมิแพ้ไหม และก็ได้รับคำตอบแบบเดิม แต่เมื่อมีอาหารบางจานที่มาเสิร์ฟโดยไม่มีธงจิ๋วปักอาหารว่าเป็น“เมนูปลอดสารภูมิแพ้” ทั้งพญ.และสามีได้ถามพนักงานอีกครั้ง แต่ก็ได้รับคำตอบแบบเดิมว่า ‘รับประทานได้’

ภายหลังไม่นาน พญ.กนกพร เริ่มมีอาการไม่สู้ดี เธอรู้ตัวว่ากำลังเกิดอาการแพ้อาหารอย่างรุนแรง  จึงหยิบเข็มฉีดยา แก้แพ้ ที่พกติดตัวมาด้วยฉีดเข้าร่างกาย แต่อาการไม่ดีขึ้น สุดท้ายเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในรัฐฟลอริดา ทางด้านผลชันสูตรของทางแพทย์พบระดับของนมและถั่วในร่างกายในปริมาณมาก

อย่างไรก็ตาม ด้านสามีของแพทย์หญิง ได้ยื่นฟ้องดิสนีย์เวิลด์เรียกร้องค่าเสียหายกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 1.7 ล้านบาท ภายใต้กฎหมาย Wrongful Death Act ของรัฐฟลอริดา

ขณะเดียวกัน ทาง Disney Parks and Resorts ในรัฐฟลอริดา ยังไม่ได้ให้ความเห็นใดๆ กับทางสื่อ โดยพนักงานที่ดิสนีย์รีสอร์ท ระบุว่า พนักงานทุกคนได้รับการฝึกฝนให้ใส่ใจเรื่องของการแพ้อาหารอย่างจริงจัง ตั้งแต่ก่อนข่าวการเสียชีวิตของพญ.กนกพร

นอกจากนี้ ทางผู้จัดการร้าน เผยว่า หลังเกิดเหตุสลดได้กำชับให้พนักงานใส่ใจดูแลลูกค้าที่แพ้อาหาร และให้กลับไปเช็กกับทางครัวทุกครั้งหากไม่แน่ใจว่าอาหารเหล่านี้มีสารก่อภูมิแพ้หรือไม่

ทั้งนี้ ตามข้อมูลระบุว่า พญ.กนกพร มีแรงบันดาลใจในการศึกษาด้านการแพทย์ เนื่องจากภาวะอาการแพ้ที่รุนแรงถึงชีวิตของเธอ และเป็นผู้ที่มีความระมัดระวังในการรับประทานอาหารนอกบ้านอย่างยิ่ง

ทั้งการแจ้งเตือนพนักงานเสิร์ฟเรื่องการแพ้อาหารของเธอทุกครั้ง รวมถึงการพกปากกา EpiPen หรือเครื่องฉีดอีพิเนฟรินอัตโนมัติ เพื่อรักษาอาการแพ้รุนแรงในกรณีฉุกเฉินอยู่ตลอดเวลา

1 มีค 2567
ข่าวสด

69
29 ก.พ. คือเส้นตายที่รัฐบาลเกาหลีใต้กำหนดให้แพทย์ฝึกหัดและแพทย์ประจำบ้านที่หยุดงานประท้วงกลับมาทำงาน มิฉะนั้นจะถูกลงโทษสถานหนัก กระนั้น แม้เข้าสู่วันที่ 1 มี.ค. แล้ว แต่แพทย์ฝึกหัดส่วนใหญ่ยังคงหยุดงานอยู่

เป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์แล้ว ที่แพทย์ฝึกหัดกว่า 9,000 คนทั่วประเทศเกาหลีใต้พากันหยุดงานหรือลาออกจากงาน เพื่อประท้วงการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะเพิ่มโควตานักเรียนแพทย์อีก 2,000 คนในปีหน้าเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแพทย์

แม้รัฐบาลจะขู่แพทย์เหล่านั้นว่า หากไม่กลับไปทำงานอาจต้องเผชิญกับการลงโทษ เช่น การระงับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์

แต่กระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้บอกว่า จนถึงขณะนี้ จากทั้งหมด 9,076 คนที่หยุดงาน มีแพทย์เพียง 294 คนเท่านั้นที่กลับมาทำงาน และดูเหมือนว่าจะไม่มีสัญญาณใดที่บ่งบอกว่าพวกเขาจะยุติการหยุดงานประท้วงโดยสิ้นเชิงด้วย

ในความเคลื่อนไหวล่าสุด กระทรวงฯ ได้ใช้คำสั่งรัฐ สั่งให้แพทย์ฝึกหัดในเครือโรงพยาบาล 12 แห่งกลับมาทำงาน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายสำหรับมาตรการลงโทษที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากรัฐบาลได้ส่งคำสั่งดังกล่าวผ่านทางอีเมล ข้อความ และส่งเจ้าหน้าที่ไปตามตัวถึงบ้าน แต่แพทย์หลายคนยังคงปฏิเสธที่จะรับคำสั่งดังกล่าวโดยบ้างก็เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ บ้างก็เปลี่ยนที่อยู่

เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ กล่าวว่า “รัฐบาลควรจะส่งคำสั่งผ่านทางอีเมลหรือด้วยตนเอง แต่อนุญาตให้โพสต์ประกาศได้ในกรณีที่ไม่สามารถใช้วิธีการเหล่านั้นได้ ... เราจะดำเนินมาตรการบริหารต่อไปตามกฎหมายและหลักการ”
ตำรวจยังได้บุกเข้าไปในสำนักงานของสมาคมแพทย์เกาหลี ซึ่งเป็นกลุ่มแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ หลังจากมีการยื่นเรื่องร้องเรียนต่ออดีตและผู้นำของสมาคมในข้อหายุยงให้แพทย์ฝึกหัดหยุดงานประท้วง

ช่วงที่ผ่านมา การดำเนินงานในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ทั่วประเทศหยุดชะงัก เนื่องจากแพทย์ฝึกหัดเป็นส่วนสำคัญของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ได้รับการรักษาในห้องฉุกเฉิน และการผ่าตัดต่าง ๆ ก็ถูกเลื่อนออกไป

กระทรวงสาธารณสุขได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อตำรวจเพื่อดำเนินคดีแพทย์หลายคนในข้อหาละเมิดกฎหมายการแพทย์และข้อกล่าวหาอื่น ๆ แต่ยังไม่ชัดเจนว่า มาตรการที่ยกระดับความรุนแรงขึ้นนี้จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ตอนนี้ได้หรือไม่

เรียบเรียงจาก Yonhap


PPTVHD36
1มีค2567

70
“วาการี” (Whakaari) หรือ “เกาะขาว” (White Island) คือภูเขาไฟที่ยังไม่ดับชื่อดังของนิวซีแลนด์ และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม แต่เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2019 เกิดเหตุสลด เมื่อภูเขาไฟเกิดระเบิดขณะที่มีนักท่องเที่ยวอยู่บนเกาะ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 22 ราย

ขณะเกิดเหตุ มีคนอยู่บนเกาะ 47 คน โดยผู้ที่รอดชีวิตมาได้นั้น หลายคนก็ถูกไฟไหม้หรือลวกอย่างรุนแรงจากก๊าซและเถ้าถ่านร้อน เหยื่อส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศต่าง ๆ เช่น ออสเตรเลีย สหรัฐฯ และมาเลเซีย

ล่าสุด ศาลนิวซีแลนด์พิพากษาสั่งให้บริษัททัวร์และผู้จัดการของเกาะขาว ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้รอดชีวิตมากกว่า 10 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ (ราว 218 ล้านบาท) และปรับพวกเขาเป็นเงินอีก 2.6 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ (เกือบ 57 ล้านบาท)
ที่มีคำพิพากษาดังกล่าว เพราะศาลประเมินว่า บริษัททัวร์ White Island Tours, Volcanic Air Safaris, Kahu New Zealand และ Aerius พร้อมด้วยบริษัท Whakaari Management Ltd ซึ่งเป็นผู้จัดการเกาะ ไม่ได้รับประกันความปลอดภัยของผู้มาเยือนเกาะอย่างเพียงพอ

อีวานเจลอส โทมัส ผู้พิพากษาศาลแขวงโอ๊คแลนด์ กล่าวว่า Whakaari Management จะต้องจ่ายค่าชดเชย 4.88 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ ในขณะที่ White Island Tours จะต้องจ่ายเงิน 5 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ และ Volcanic Air Safaris 330,000 ดอลลาร์นิวซีแลนด์

โทมัสกล่าวว่า แม้ว่าบริษัททัวร์จะทำการประเมินความเสี่ยงแล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ “บริษัททัวร์ให้บริการข้อมูลด้านความปลอดภัยแก่ลูกค้าที่เสียเงินไม่เพียงพอ โดยไม่ได้แจ้งให้ลูกค้าที่ชำระเงินทราบถึงอันตราย ความเสี่ยง และผลที่ตามมาของการเกิดภูเขาไฟปะทุอย่างเพียงพอ”

ทั้งนี้ บริษัททัวร์ระบุว่าพวกเขาไม่มีความสามารถในการจ่ายค่าปรับ และบริษัททั้ง 5 แห่งที่เกี่ยวข้องอยู่ในสถานะเลิกกิจการ มีสถานะทางการเงินที่อ่อนแอ หรือไม่มีทรัพย์สินเหลือแล้ว

เรียบเรียงจาก The Guardian

PPTVHD36
1 มีค 2567

71
สลด พยาบาลแม่ลูกอ่อน เพิ่งลาคลอดไม่กี่เดือน ขับเก๋งเสียหลักชนคนยืนโบกรถ ก่อนพุ่งอัดเสาป้ายตกร่องน้ำข้างทาง เสียชีวิตติดภายในรถ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 ก.พ.2567 ร.ต.ท.มารุต นิตย์จินต์ รองสารวัตร(สอบสวน) สภ.เมืองจันทบุรี รับแจ้งเหตุรถเก๋งเฉี่ยวชนคนเดินเท้าริมถนน ส่วนรถเก๋งพุ่งตกร่องน้ำข้างทาง ริมถนนสุขุมวิท ขาเข้าเมือง ม.14 ต.คลองนารายณ์ อ.เมือง จ.จันทบุรี จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมกู้ภัยสมาคมสว่างกตัญญูธรรมสถาน จันทบุรี ทีมแพทย์ฉุกเฉิน รถอุปกรณ์ตัดถ่าง และกำลังเจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ

ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกพ่วง 22 ล้อ บรรทุกท่อซีเมนต์ขนาดใหญ่ สภาพเสียหลักตกอยู่ในร่อง ขณะกำลังเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเร่งให้การช่วยเหลือนำร่างผู้บาดเจ็บ เบื้องต้นเป็นชายอายุประมาณ 50 ปี ขึ้นมาจากร่องน้ำข้างทาง สภาพขาด้านขวาผิดรูปมีอาการทางกระดูก รีบปฐมพยาบาลนำตัวส่งโรงพยาบาลพระปกเกล้าฯ

ห่างกันประมาณ 10 เมตร พบรถเก๋ง ยี่ห้อฟอร์ด ทะบียน กต852 จันทบุรี สภาพเสียหลักพุ่งชนหมุนฟาดกับเสาป้ายและโคนเสาไฟฟ้าแรงสูง พุ่งตกลงไปในร่องน้ำข้างทางพังเสียหาย ภายในรถพบผู้เสียชีวิตเป็นหญิง 1 ราย สภาพถูกแรงอัดติดอยู่บนที่นั่งคนขับ
ต่อมาตำรวจได้ประสานกู้ภัยฯ ใช้เครื่องตัดถ่างงัดซากรถ ช่วยนำร่างผู้เสียชีวิตมาออกมาชันสูตร โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที จึงสามารถนำร่างผู้เสียชีวิตออกมาได้สำเร็จ

จากการสอบสวน นายบี (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ให้การว่า ขณะเกิดเหตุ ตนพร้อมกับชายผู้บาดเจ็บ กำลังช่วยยืนโบกรถให้สัญญาณจราจรรถบรรทุกพ่วง 22 ล้อ บรรทุกท่อซีเมนต์ ที่เสียหลักตกลงไปในร่อง

นายบี กล่าวต่อว่า ต่อมามีรถเก๋งสีดำที่ขับมาทางตรง เสียหลักพุ่งเฉี่ยวชนลุงที่ยืนโบกรถอยู่ท้ายบรรทุกพ่วง ก่อนเสียหลักชนเสาป้ายตกลงไปในร่องน้ำจนทำให้เสียชีวิตดังกล่าว

ส่วนผู้เสียชีวิตจากการตรวจสอบเอกสารพบบัตรประจำตัวข้าราชการพยาบาล คือ น.ส.เพ็ญพิชชา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี เป็นพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ แผนกกุมารเวชกรรมโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

ขณะผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ทราบข่าวเศร้าว่า น.ส.เพ็ญพิชชา เพิ่งจะลาคลอดลูกได้ไปเพียงไม่กี่เดือน ก่อนจะมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต อย่างไรก็ตามสาเหตุยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของตำรวจ

เบื้องต้นได้ตรวจสอบถ่ายภาพร่องรอยที่เกิดเหตุ พร้อมสอบปากคำพยานแวดล้อม บันทึกไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นได้ประสานกู้ภัยฯ นำร่างผู้เสียชีวิตส่งโรงพยาบาลพระปกเกล้า เพื่อให้แพทย์ชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนมอบให้ญาติรับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

29 ก.พ.2567
ข่าวสด

72
ผกก.ถลาง ยันตำรวจไม่รู้จักชาวต่างชาติ เตะหมอหญิง หลังถูกอ้าง

จากกรณีแพทย์หญิงคนหนึ่งมาเที่ยวพักผ่อนที่ จ.ภูเก็ต แล้วถูกชายชาวต่างชาติเตะหลัง ขณะนั่งที่บันไดชมพระจันทร์ในคืนวันมาฆบูชา แถมถูกเมียฝรั่งคนดังกล่าวที่เป็นคนไทยด่ากราด ดูถูกเหยียดหยาม แถมยังอ้างว่ามีตำรวจยศใหญ่คอยดูแลอยู่เบื้องหลัง อ่านข่าว ขอความเป็นธรรม! แพทย์หญิง โดนผู้มีอิทธิพลทำร้าย เหตุนั่งพักที่บันไดหน้าวิลล่า

ล่าสุดวันที่ 28 ก.พ.67 เฟซบุ๊ก "สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว" ระบุว่า พ.ต.อ.นิกร ชูทอง ผกก.สภ.ถลาง เปิดเผยกรณีงกล่าวว่า วันที่เกิดเหตุมีการเจรจา และสายตรวจได้เสนอแนวทางในการไกล่เกลี่ย แต่ทั้ง 2 ฝ่ายไกล่เกลี่ยกันไม่ได้ ตำรวจสายตรวจจึงแนะนำให้ผู้เสียหายไปตรวจร่างกาย และแจ้งความ เมื่อวันที่ 25 ก.พ.67

พ.ต.อ.นิกร กล่าวต่อว่า ตำรวจไม่ได้สนิทสนมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามที่มีการกล่าวอ้าง และในเช้าวันที่ 29 ก.พ.67 พนักงานสอบสวนได้นัดสอบปากคำผู้เสียหาย ซึ่งเป็นคุณหมอมาสอบปากคำ รวมทั้งรวบรวมเอกสารใบตรวจร่างกาย และหลักฐานที่ผู้เสียหายมี เพื่อประกอบสำนวนคดี
ส่วนที่มีการระบุว่า รู้จักกับนายตำรวจยศใหญ่ในพื้นที่ สามารถเคลียร์เรื่องได้นั้นยืนยันว่า ไม่ได้รู้จักกับตำรวจรายใดเป็นพิเศษ คู่กรณีก็ประกอบธุรกิจส่วนตัว อาจจะรู้จักตำรวจที่อื่นเป็นการส่วนตัว แต่สำหรับตนไม่รู้จัก เพราะเพิ่งย้ายมาประจำการที่ สภ.ถลาง

28 ก.พ.67
ข่าวสด

73
เพื่อนบ้านแฉซ้ำ ฝรั่งเตะพญ. เจ้าของปางช้างดังภูเก็ต อารมณ์ร้อนโชว์ปืน มีลูกติดเป็นตำรวจ

จากกรณี ชาวต่างชาวสวิสเซอร์แลนด์ เจ้าของปางช้างดังที่ จ.ภูเก็ต เตะแพทย์หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเข้าไปนั่งเล่นบันไดที่ปลูกลงมาบริเวณชายหาดที่ต่อลงมาจาก วิลล่า หมายเลข 23 เพราะคิดว่าเป็นบันไดของชายหาด โดยแพทย์หญิงได้รับบาดเจ็บ และเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมขอความเป็นธรรมจากสังคมที่โดนทำร้าย ทั้งนี้ ชาวต่างชาติคนดังกล่าวอ้างว่า ไม่ได้ตั้งใจเตะแพทย์หญิง แต่สะดุดบันไดล้มลงนั้น

ผู้สื่อข่าว มติชนออนไลน์ ได้สอบถาม กับเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ซึ่งทำงานอยู่ปางช้างใกล้ๆกับปางช้างดังกล่าว ได้ความว่า นายซารา(นามสมมุติ) เป็นเจ้าของปางช้างที่มีนิสัยชอบโวยวาย อารมณ์ร้อน มักจะมีปากเสียงกับเจ้าของปางช้างอื่นๆเสมอ โดยนายซารามีภรรยาเป็นคนไทย ที่มีลูกติดทำงานเป็นตำรวจ ยศ สิบตำรวจ แต่ภรรยาชอบบอกกับคนอื่นๆว่า มีพรรคพวกเป็นคนใหญ่คนโต มีเส้นสาย และชอบร้องเรียนปางช้างคู่แข่ง ในขณะเดียวกัน จะไม่ยอมให้ใครเข้าไปใกล้พื้นที่ของตัวเอง โดยจะเข้าต่อว่าอย่างหนัก

ซึ่งที่ผ่านมานายซารา ก็มักจะมีปากเสียงกับคนอื่นๆในเรื่องนี้บ่อยๆ ซึ่งคนที่อยู่แถวนี้จะรู็กันดีว่านายซาราเป็นคนขี้โมโห ซึ่งวันดีคืนดี นายซารา เปิดหลังรถหยิบปืนออกมาโชว์แล้วเดินไปเดินมาอยู่แถวปางสร้างความหวาดกลัวแก่เพื่อนบ้านข้างๆมาก ทั้งนี้นายซาราได้สั่งลูกน้อง หรือควาญช้างในปางของตัวเอง ห้ามนำเพื่อน หรือญาติพี่น้องเข้าไปในปางอย่างเด็ดขาด จึงไม่ค่อยมีใครเห็นลักษณะในปางช้างของนายซารานั้นเป็นอย่างไร สำหรับลูกค้าของนายซาราทั้งหมดนั้น เป็นลูกค้าชาวต่างชาติที่จองตั๋วผ่านทางออนไลน์ ไม่มีคนไทย

อย่างไรก็ตาม มีเพื่อนควาญช้างมาเล่าให้ฟังเสมอว่า ช้างในปางของนายซารานั้นเป็นช้างที่เช่ามาจาก จ.สุรินทร์ โดยทราบมาว่า นายซารา มีมูลนิธิคอยรับบริจาคเพื่อช่วยดูแลช้างไทยจากต่างประเทศ ซึ่งมักจะมีการตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงมีมีปัญหาเรื่องโควิดนั้น ขณะที่ปางช้างอื่นๆมีปัญหาการเงินซบเซากันอย่างหนัก แต่ปางของนายซารายังอู้ฟู่ หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า นอกจากปางช้างแล้ว นายซาราทำงานอย่างอื่นด้วยหรือไม่

เมื่อถามว่า ในเรื่องการดูแลช้างในปางนั้น เพื่อควาญเคยเล่าให้ฟังหรือไม่ว่า นายซาราดูแลดีหรือไม่ อย่างไร เจ้าหน้าที่คนเดิม กล่าวว่า เพื่อเล่าว่า นายซาราจะให้ควาญฝึกช้างหนักมาก เพราะเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ จึงต้องการให้ช้างนิ่ง มักจะใช้ตะขอสับคอช้างแบบแรงๆเพื่อให้ช้างเชื่อฟัง ซึ่งปกติแล้ว ไม่จำเป็นต้องสับแรงขนาดนั้นก็ได้ แค่ทำให้ช้างจดจำ ซึ่งหากสับแรง หรือใช้ความรุนแรงเกินไปนอกจากไม่จำแล้ว ช้างจะดื้อและแค้นด้วย

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับพฤติกรรมของหนุ่มชาวสวิตเซอร์แลนด์นั้น ในช่วงที่ผ่านมาที่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านนั้น จากการลงพื้นที่ที่เกิดเหตุ และได้สอบถามตัวแทนประชาชนในหมู่บ้านยามู หมู่ที่ 7 ตำบลป่าคลอกอำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ทราบข้อมูลว่าหนุ่มสวิตเซอร์แลนด์รายนี้ ขับขี่รถยนต์ปิกอัพป้ายแดงส่วนตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ถนนในหมู่บ้านมีขนาดเล็กและในช่วงที่ผ่านมาเกิดปัญหารถยนต์เฉี่ยวชนและมีชาวบ้านเป็นคู่กรณี ชาวต่างชาติรายนี้เคยควักเอาอาวุธปืนในรถมาข่มขู่คู่กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และบางครั้งเมื่อมีการทะเลาะวิวาทหรือมีปากเสียงกับชาวบ้าน ชาวบ้านเคยเห็นอาวุธปืนตกมาจากรถของเขา

นอกจากนี้เมื่ออยู่ที่บ้านพัก มักออกมาไล่ประชาชนที่เดินทางไปพักผ่อนบริเวณชายหาดสาธารณะที่อยู่ใกล้บ้านของตนเอง กรณีที่เกิดกับแพทย์หญิงล่าสุด ไม่ใช่ครั้งแรกอย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการให้มีประสิทธิภาพอย่างเหมาะสม กรณีตรวจสอบเชิงลึกในการประกอบอาชีพธุรกิจ เช่น ปางช้าง เพื่อไม่ให้ชาวต่างประเทศที่เข้ามาเป็นคนในชุมชน/หมู่บ้าน มีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์กับสังคม ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิมอาศัยอยู่ในพื้นที่ บ้านยามู

มติชน
29กพ2567

74
แพทย์สาวร้อง ถูกเจ้าของศูนย์อนุรักษ์สัตว์ชื่อดังทำร้าย ขู่รู้จักตำรวจยศใหญ่ บอกยิงตายก็ไม่ผิด

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Chaiyachot Uttamang โพสต์ข้อความและภาพว่า ลูกสาวที่เป็นหมออยู่ใน จ.ภูเก็ต ถูกชาวสวิสทำร้าย โดยมีข้อความว่า

“#เรื่องเล่า_จากแพทย์หญิงไทยถูกชายต่างชาติชาวสวิสทำร้ายบนผืนดินไทย
ลูกสาวของผมผู้เป็นหมออยู่ที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นคนสุภาพและถ่อมตนเป็นปกติ เขียนข้อความออกมาจากร่างกายและจิตใจของเธอที่ถูกทำร้ายว่า…

สวัสดีค่ะ ขออนุญาตขอความช่วยเหลือเพื่อกระจายข่าวเพื่อความยุติธรรมด้วยค่ะ
เราถูกชาวต่างชาติที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้างทำร้ายร่างกายค่ะ
โดยมีลำดับเหตุการณ์ ดังนี้

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ 19.30 น. เราไปกินข้าวกับเพื่อนผู้หญิงที่เป็นหมอด้วยกัน ที่ร้าน Taste Yamu หลังกินเสร็จก็ชวนกันไปเที่ยวหาดสาธารณะแถวใกล้บ้านบริเวณ Cape Yamu คือ ปกติไปเดินเที่ยวบ่อยเนื่องจากเป็นหาดที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด และค่อนข้างปลอดภัย

ตอนเราเดินไปที่หาดกับเพื่อนเจอพี่ยามคนนึง แกก็ถามว่าเรามาดูดวงจันทร์ใช่มั้ย เพราะมันเป็นวันมาฆบูชา (ฟูลมูน) เลยตอบไปว่า ใช่ค่ะ พี่ยามก็บอกว่า ครับ เอนจอย ครับ แล้วเดินจากเราไป เรากับเพื่อนเดินดูดวงจันทร์บนชายหาดกันสักพัก รู้สึกเมื่อยและอยากนั่งพัก จึงเดินไปนั่งตรงบันไดที่ปลูกลงมาบริเวณชายหาดที่ต่อลงมาจาก วิลล่า หมายเลข 23 เพราะคิดว่าเป็นบันไดของชายหาด โดยที่เท้ายังจุ่มอยู่บนพื้นทราย

ในขณะที่เรานั่งอยู่รู้สึกเหมือนมีใครเดินมาข้างหลัง จึงหันไปพูดกับเพื่อนว่า รู้สึกเหมือนมีคนเดินมา จากนั้น พลันก็รู้สึกสะเทือนหนักหน่วงไปทั้งร่าง เมื่อได้สติก็ทำให้รู้ว่า เกิดจากหน้าแข้งที่กระหน่ำเตะลงมาที่กลางหลัง จากชายชาวต่างชาติตัวใหญ่น้ำหนักราว 100 กิโลกรัม ในสภาพหน้าแดง เหงื่อท่วม กำลังถือโทรศัพท์เพื่ออัดวิดีโอ และสบถด่าคำหยาบออกมาสารพัด เรากับเพื่อนเลยเดินไปหาพี่ยาม บนป้อมยามบนเนินข้างบน แล้วบอกว่า “พี่คะ หนูถูกทำร้ายร่างกาย” พี่ยามก็ตกใจและพาเราไปยังหน้าวิลล่า 23 ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ

ฝรั่งคนนั้นแสดงอาการโกรธสบถคำด่าออกมาสารพัด จากนั้นภรรยาชาวไทยพร้อมแผงสร้อยเพชรเม็ดโตก็เดินออกมา ตอนนั้นเรากับเพื่อนแอบดีใจเพราะคิดว่าจะเคลียร์กันได้ แต่ ประโยคแรกที่ภรรยาชาวไทยพูดถึงกับทำให้เรากับเพื่อนสตันท์ไป เพราะเธอบอกว่า “นี่อีดอ* สองตัวนี้มานั่งอยู่หน้าบ้านกุ พวกมึ* รู้มั้ยต่อให้พวกกุ ยิงพวกมึ*ตาย กุก็ไม่ผิด เพราะลูกกุเป็นตำรวจและรู้จักนายตำรวจใหญ่ของภูเก็ต กุจะเอาพวกมุ*เข้าคุกให้ได้ กุจะโทรหาท่านรองเดี๋ยวนี้” จากนั้นเธอก็โทรหาตำรวจยศใหญ่ของเธอว่าให้ส่งตำรวจมา

ผ่านไปประมาณ 15 นาที มีตำรวจ 2 คนเดินมา คนหนึ่งแต่งตัวนอกเครื่องแบบ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นตำรวจในเครื่องแบบ ตำรวจหนุ่มทั้งสองพยายามมาเจรจาเคลียร์เรื่อง หลังจากที่ตำรวจมาคุยกับเรา เราก็บอกกับตำรวจว่า เราถูกทำร้ายร่างกาย ชายชาวต่างชาติก็มาพูดกับเราว่า “อ่อเป็นชนพื้นเมือง เป็นคนไทยเหรอ รู้มั้ยชั้นไม่ได้จ่ายค่าเช่าวิลล่าเดือนละล้านบาท มาให้พวกมุ*นั่งหน้าบ้านกุ”

เราก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร หลังจากนั้นตำรวจก็เดินมาพูดกับเราว่า ตอนนี้มันผิดกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเราเป็นคนบุกรุกมีโทษหนักกว่าต้องติดคุก 4 ปี ฝ่ายเขาแค่ทำร้ายร่างกายจ่ายเงินก็จบ เราเลยช็อกไป ตำรวจนายหนึ่งบอกว่าต้องเคลียร์ให้ยอมความกันให้ได้ จะได้ไม่ต้องถึงโรงพัก

เราจึงเสนอให้ 3 ทางเลือก คือ 1. ต่างคนต่างขอโทษแล้วจบ 2. ต่างคนต่างไม่ขอโทษแล้วจบ 3. ไปคุยกันที่โรงพัก ฝั่งนู้นเค้าบอกว่า “#เราขอโทษฝรั่งได้_แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษเรา #และเราจะต้องติดคุก”

หลังจากนั้นเราจึงไปแจ้งความที่ สภ.ถลาง หลังจากแจ้งความ เราได้ทราบชื่อของชาวต่างชาติคนนี้ซึ่งทำให้เราช็อคมาก เพราะชายคนนี้เป็นชาวสวิส ที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์สัตว์ดัง ที่เคลมว่าเค้าจะปกป้องดูแลช้างและไม่ทำร้ายช้าง แต่เค้าทำร้ายผู้หญิงค่ะ!

รบกวนขอความยุติธรรมกับเรื่องนี้ด้วยนะคะ เพราะอีกฝั่งเป็นชาวต่างชาติที่มีอิทธิพลในภูเก็ต มีข้อสังเกตว่ามีตำรวจยศใหญ่คอยช่วยเหลือดูแลอยู่เบื้องหลัง และเราคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น #ไม่สมควรมีคนไทยคนไหนโดนชาวต่างชาติทำร้ายร่างกาย #คนไทยผู้เป็นสุจริตชน #ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยค่ะ
จาก #ผู้หญิงไทยคนหนึ่งผู้ถูกชายชาวต่างชาติคนหนึ่งทำร้าย
(28 กุมภาพันธ์ 2024)

ผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้โทรศัพท์พูดคุยกับเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ผู้เสียหายเป็นลูกสาวของตนเองประกอบอาชีพเป็นแพทย์อยู่ในโรงพยาบาล ที่จังหวัดภูเก็ต ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อดูแล ครอบครัวให้ได้รับความเป็นธรรม มีกำหนดการเดินทางมาที่จังหวัดภูเก็ต ถึงในค่ำวันนี้เนื่องจากในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พนักงานสอบสวน มีกำหนดการเรียกไปพบ เพื่อต้องการที่จะเอาเอกสารใบรับรองของแพทย์ที่ตรวจร่างกายไปให้ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และเท่าที่ทราบ พนักงานสอบสวนยังไม่ลงหมายเลขคดีแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ลูกสาวต้องการขอความเป็นธรรม ในคดีให้อายัดตัวนักธุรกิจรายนี้ อย่างไรก็ดีทราบว่า มีนายตำรวจ ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 มีกำหนดการว่าจะมาร่วมพบปะลูกสาว ที่ สภ.ถลางในวันพรุ่งนี้ด้วย (ภรรยาชาวสวิสอ้างว่า มีลูกชายเป็นตำรวจและรู้จักตำรวจระดับรองฯ) อย่างไรก็ดีเท่าที่ได้พูดคุยกับลูกสาว ลูกสาวยืนยันว่า จะต่อสู้ในเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แพทย์หญิงรายดังกล่าว ยังได้นำใบลงบันทึกประจำวัน โพสต์ลงในเฟซบุ๊กด้วย


28 กุมภาพันธ์ 2567
มติชน

75
ชายต่างชาติ ยัน ไม่ได้ทำร้าย แพทย์หญิง ชี้ เป็นอุบัติเหตุ สะดุดบันไดจนเท้าไปโดนหลัง

จากกรณีแพทย์หญิงรายหนึ่งร้องขอความเป็นธรรม หลังจากไปนั่งชมตรงบันไดที่ปลูกลงมาบริเวณชายหาดที่ต่อลงมาจากวิลล่า เพราะคิดว่าเป็นบันไดของชายหาด โดยที่เท้ายังจุ่มอยู่บนพื้นทราย กลับถูกชายชาวต่างชาติทำร้าย แถมเมียของชายคนดังกล่าวยังข่มขู่ว่า ยิงตายก็ไม่ผิด เพราะมีลูกเป็นตำรวจ และรู้จักนายตำรวจยศใหญ่นั้น

ชายต่างชาติ ระบุว่า เสียใจ ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอุบัติเหตุ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ พร้อมกับยืนยันว่าไม่ได้เตะหมอ แต่สะดุดบันไดล้ม เพราะเกิดอุบัติเหตุ จนทำให้เท้าไปโดนหลังของอีกฝ่าย

ทั้งนี้ ขอโทษหากฝ่ายนั้นได้รับบาดเจ็บ

ชายต่างชาติระบุเพิ่มเติมว่า ตนมีหลักฐานชัดเจน หากตำรวจจะดำเนินคดี ก็พร้อมที่จะนำหลักฐานมาโชว์ โดยเป็นคลิปขณะเกิดเหตุ ว่ามีการสะดุดหรือกระทืบหรือไม่

ส่วนที่เดินเข้าไปหาหมอ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีคนบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ส่วนบุคคล กลัวว่าจะเป็นเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน จึงเดินเข้าไปหาคุณหมอ ขอให้ออกจากพื้นที่ แล้วเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว ยืนยันไม่มีเจตนาทำร้ายหรือข่มขู่ใดๆ

29กพ2567
มติชน

หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 650