แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 648
46
จากกรณีข่าวชายต่างชาติ ทำร้ายร่างกายหมอธารดาว ที่บริเวณชายหาดยามู จังหวัดภูเก็ต ขณะนั่งเล่นริมหาด เนื่องจากชายต่างชาติอ้างว่าเป็นการบุกรุกพื้นที่วิลล่าของเขา ซึ่งวันนี้ทางฝั่งคู่กรณีได้ออกมาชี้แจงว่าไม่ได้เตะแต่อย่างใดเป็นเพียงล้ม พร้อมขอโทษหมอธารดาวและครอบครัวแล้วนั้น

ล่าสุด หมอธารดาว เปิดใจว่า ในวันนี้คู่กรณีได้มีการแถลงข่าวขอโทษ ซึ่งเธอมองว่าหากเป็นการขอโทษมาจากก้นบึ้งของหัวใจเธอก็ยินยอมและจะรับคำขอโทษนั้น แต่ในเมื่อกระทำผิดไปแล้วก็ควรเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย

และนอกจากนี้เธอมองว่าการทำร้ายร่างกายไม่ควรเกิดขึ้นกับใครไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหนหรือคนประเทศอะไร คนก่อเหตุก็ไม่ควรใช้ความรุนแรง  ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆคนรับไม่ได้ มองว่าไม่ได้ส่งผลต่อสภาพร่างกายเพียงอย่างเดียวยังส่งผลต่อสภาพจิตใจอีกด้วย

ขณะที่นายเกษม พ่อของหมอธารดาว เปิดเผยว่า การที่คู่กรณีซึ่งเป็นชาวต่างชาติมีพฤติกรรมดังกล่าวเชื่อว่ามีคนระดับสูงหนุนหลัง และเชื่อว่าคู่กรณีที่เป็นชาวต่างชาติจะต้องเป็นคนที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในพื้นที่ ส่วนประเด็นที่มีการแจ้งความและตำรวจมีลักษณะคล้ายข่มขู่  เนื่องจากกฎหมายในการบุกรุกมีทั้งหมด 3 ข้อแต่ทางเจ้าหน้าที่กลับเลือกที่จะบอกข้อหาที่หนักที่สุด ใครต้องการทำให้ลูกสาวของตัวเองเกิดความกลัว

ทั้งนี้มองว่าตำรวจที่เข้าไปในพื้นที่ควรจะปกป้องประชาชน ที่ถูกกระทำไม่ใช่ปกป้องคู่กรณี ซึ่งมันผิด ดังนั้นตำรวจอย่าเป็นเห็บ ต้องเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ไม่เช่นนั้นสังคมไทยจะอยู่อย่างไรต่อไป และอยากให้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่างในสังคมไทย
อย่างไรก็ตามควรจะมีการจัดการพื้นที่ในการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตใหม่ ต้องมีการจัดระเบียบพื้นที่สาธารณะในแหล่งท่องเที่ยวให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ในการเข้าไปใช้พื้นที่ได้ และอยากให้คนในพื้นที่ภูเก็ตออกมาเปล่งเสียงเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่

นอกจากนี้ยังมีอีก 1 คน ได้ส่งข้อความมาหา หมอธารดาว ผ่านทางโซเชียลว่า ตนเองก็ถูกกระทำจากชายชาวต่างชาติรายนี้เหมือนกัน โดยพฤติกรรมคือฝั่งคู่กรณี ขับรถหวาดเสียวตนจึงได้เข้าไปแจ้งความแต่ทางคู่กรณีได้แจ้งความกลับในข้อหาหมิ่นประมาท และเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2567 ทางคู่กรณีได้มีการยกนิ้วกลางใส่ชายคนดังกล่าว โดยที่ชายคนนี้ยังเผยว่าคู่กรณีที่เป็นชาวต่างชาติมีพฤติกรรมที่ค่อนข้างแย่

PPTVHD36
1มีค2567

47
สื่อนอกเกาะติดข่าว กรณีแพทย์หญิงชาวไทยเสียชีวิตจากการแพ้อาหารรุนแรง หลังทานข้าวที่ร้านอาหารในดิสนีย์เวิลด์ แม้ย้ำร้านหลายรอบ ด้านสามีไม่ทนยื่นฟ้องชดใช้

เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า สามีของแพทย์หญิงชาวไทยในสหรัฐ ไม่ทนยื่นฟ้องดิสนีย์เวิลด์ หลังภรรยาเสียชีวิต เนื่องจากแพ้อาหารอย่างรุนแรง รวมทั้งกล่าวหาทั้งดิสนีย์รีสอร์ทและร้านอาหารที่ฟลอริดาประมาทเลินเล่อ ทั้งที่แจ้งร้านหลายรอบ เป็นเหตุให้ภรรยาถึงแก่ชีวิต

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 66 ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในดิสนีย์ สปริงส์ เสิร์ฟอาหารที่มีสารก่อภูมิแพ้ให้กับ พญ.กนกพร วัย 42 ปี จากศูนย์การแพทย์แลนกอน มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ทั้งที่เธอและสามีได้ย้ำกับทางร้านมีอาการแพ้อาหารอย่างรุนแรง และไม่สามารถบริโภคอาหารที่มีสารก่อภูมิแพ้ได้

โดยทั้งคู่สั่ง ข้าวโพดทอด หอยเชลล์ บล็อคโคลี่ และหอมทอด และได้ถามย้ำกับพนักงานที่รับออเดอร์ว่ามีสารก่อภูมิแพ้ไหม และก็ได้รับคำตอบแบบเดิม แต่เมื่อมีอาหารบางจานที่มาเสิร์ฟโดยไม่มีธงจิ๋วปักอาหารว่าเป็น“เมนูปลอดสารภูมิแพ้” ทั้งพญ.และสามีได้ถามพนักงานอีกครั้ง แต่ก็ได้รับคำตอบแบบเดิมว่า ‘รับประทานได้’

ภายหลังไม่นาน พญ.กนกพร เริ่มมีอาการไม่สู้ดี เธอรู้ตัวว่ากำลังเกิดอาการแพ้อาหารอย่างรุนแรง  จึงหยิบเข็มฉีดยา แก้แพ้ ที่พกติดตัวมาด้วยฉีดเข้าร่างกาย แต่อาการไม่ดีขึ้น สุดท้ายเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในรัฐฟลอริดา ทางด้านผลชันสูตรของทางแพทย์พบระดับของนมและถั่วในร่างกายในปริมาณมาก

อย่างไรก็ตาม ด้านสามีของแพทย์หญิง ได้ยื่นฟ้องดิสนีย์เวิลด์เรียกร้องค่าเสียหายกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 1.7 ล้านบาท ภายใต้กฎหมาย Wrongful Death Act ของรัฐฟลอริดา

ขณะเดียวกัน ทาง Disney Parks and Resorts ในรัฐฟลอริดา ยังไม่ได้ให้ความเห็นใดๆ กับทางสื่อ โดยพนักงานที่ดิสนีย์รีสอร์ท ระบุว่า พนักงานทุกคนได้รับการฝึกฝนให้ใส่ใจเรื่องของการแพ้อาหารอย่างจริงจัง ตั้งแต่ก่อนข่าวการเสียชีวิตของพญ.กนกพร

นอกจากนี้ ทางผู้จัดการร้าน เผยว่า หลังเกิดเหตุสลดได้กำชับให้พนักงานใส่ใจดูแลลูกค้าที่แพ้อาหาร และให้กลับไปเช็กกับทางครัวทุกครั้งหากไม่แน่ใจว่าอาหารเหล่านี้มีสารก่อภูมิแพ้หรือไม่

ทั้งนี้ ตามข้อมูลระบุว่า พญ.กนกพร มีแรงบันดาลใจในการศึกษาด้านการแพทย์ เนื่องจากภาวะอาการแพ้ที่รุนแรงถึงชีวิตของเธอ และเป็นผู้ที่มีความระมัดระวังในการรับประทานอาหารนอกบ้านอย่างยิ่ง

ทั้งการแจ้งเตือนพนักงานเสิร์ฟเรื่องการแพ้อาหารของเธอทุกครั้ง รวมถึงการพกปากกา EpiPen หรือเครื่องฉีดอีพิเนฟรินอัตโนมัติ เพื่อรักษาอาการแพ้รุนแรงในกรณีฉุกเฉินอยู่ตลอดเวลา

1 มีค 2567
ข่าวสด

48
29 ก.พ. คือเส้นตายที่รัฐบาลเกาหลีใต้กำหนดให้แพทย์ฝึกหัดและแพทย์ประจำบ้านที่หยุดงานประท้วงกลับมาทำงาน มิฉะนั้นจะถูกลงโทษสถานหนัก กระนั้น แม้เข้าสู่วันที่ 1 มี.ค. แล้ว แต่แพทย์ฝึกหัดส่วนใหญ่ยังคงหยุดงานอยู่

เป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์แล้ว ที่แพทย์ฝึกหัดกว่า 9,000 คนทั่วประเทศเกาหลีใต้พากันหยุดงานหรือลาออกจากงาน เพื่อประท้วงการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะเพิ่มโควตานักเรียนแพทย์อีก 2,000 คนในปีหน้าเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแพทย์

แม้รัฐบาลจะขู่แพทย์เหล่านั้นว่า หากไม่กลับไปทำงานอาจต้องเผชิญกับการลงโทษ เช่น การระงับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์

แต่กระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้บอกว่า จนถึงขณะนี้ จากทั้งหมด 9,076 คนที่หยุดงาน มีแพทย์เพียง 294 คนเท่านั้นที่กลับมาทำงาน และดูเหมือนว่าจะไม่มีสัญญาณใดที่บ่งบอกว่าพวกเขาจะยุติการหยุดงานประท้วงโดยสิ้นเชิงด้วย

ในความเคลื่อนไหวล่าสุด กระทรวงฯ ได้ใช้คำสั่งรัฐ สั่งให้แพทย์ฝึกหัดในเครือโรงพยาบาล 12 แห่งกลับมาทำงาน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายสำหรับมาตรการลงโทษที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากรัฐบาลได้ส่งคำสั่งดังกล่าวผ่านทางอีเมล ข้อความ และส่งเจ้าหน้าที่ไปตามตัวถึงบ้าน แต่แพทย์หลายคนยังคงปฏิเสธที่จะรับคำสั่งดังกล่าวโดยบ้างก็เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ บ้างก็เปลี่ยนที่อยู่

เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ กล่าวว่า “รัฐบาลควรจะส่งคำสั่งผ่านทางอีเมลหรือด้วยตนเอง แต่อนุญาตให้โพสต์ประกาศได้ในกรณีที่ไม่สามารถใช้วิธีการเหล่านั้นได้ ... เราจะดำเนินมาตรการบริหารต่อไปตามกฎหมายและหลักการ”
ตำรวจยังได้บุกเข้าไปในสำนักงานของสมาคมแพทย์เกาหลี ซึ่งเป็นกลุ่มแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ หลังจากมีการยื่นเรื่องร้องเรียนต่ออดีตและผู้นำของสมาคมในข้อหายุยงให้แพทย์ฝึกหัดหยุดงานประท้วง

ช่วงที่ผ่านมา การดำเนินงานในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ทั่วประเทศหยุดชะงัก เนื่องจากแพทย์ฝึกหัดเป็นส่วนสำคัญของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ได้รับการรักษาในห้องฉุกเฉิน และการผ่าตัดต่าง ๆ ก็ถูกเลื่อนออกไป

กระทรวงสาธารณสุขได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อตำรวจเพื่อดำเนินคดีแพทย์หลายคนในข้อหาละเมิดกฎหมายการแพทย์และข้อกล่าวหาอื่น ๆ แต่ยังไม่ชัดเจนว่า มาตรการที่ยกระดับความรุนแรงขึ้นนี้จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ตอนนี้ได้หรือไม่

เรียบเรียงจาก Yonhap


PPTVHD36
1มีค2567

49
“วาการี” (Whakaari) หรือ “เกาะขาว” (White Island) คือภูเขาไฟที่ยังไม่ดับชื่อดังของนิวซีแลนด์ และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม แต่เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2019 เกิดเหตุสลด เมื่อภูเขาไฟเกิดระเบิดขณะที่มีนักท่องเที่ยวอยู่บนเกาะ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 22 ราย

ขณะเกิดเหตุ มีคนอยู่บนเกาะ 47 คน โดยผู้ที่รอดชีวิตมาได้นั้น หลายคนก็ถูกไฟไหม้หรือลวกอย่างรุนแรงจากก๊าซและเถ้าถ่านร้อน เหยื่อส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศต่าง ๆ เช่น ออสเตรเลีย สหรัฐฯ และมาเลเซีย

ล่าสุด ศาลนิวซีแลนด์พิพากษาสั่งให้บริษัททัวร์และผู้จัดการของเกาะขาว ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้รอดชีวิตมากกว่า 10 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ (ราว 218 ล้านบาท) และปรับพวกเขาเป็นเงินอีก 2.6 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ (เกือบ 57 ล้านบาท)
ที่มีคำพิพากษาดังกล่าว เพราะศาลประเมินว่า บริษัททัวร์ White Island Tours, Volcanic Air Safaris, Kahu New Zealand และ Aerius พร้อมด้วยบริษัท Whakaari Management Ltd ซึ่งเป็นผู้จัดการเกาะ ไม่ได้รับประกันความปลอดภัยของผู้มาเยือนเกาะอย่างเพียงพอ

อีวานเจลอส โทมัส ผู้พิพากษาศาลแขวงโอ๊คแลนด์ กล่าวว่า Whakaari Management จะต้องจ่ายค่าชดเชย 4.88 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ ในขณะที่ White Island Tours จะต้องจ่ายเงิน 5 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ และ Volcanic Air Safaris 330,000 ดอลลาร์นิวซีแลนด์

โทมัสกล่าวว่า แม้ว่าบริษัททัวร์จะทำการประเมินความเสี่ยงแล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ “บริษัททัวร์ให้บริการข้อมูลด้านความปลอดภัยแก่ลูกค้าที่เสียเงินไม่เพียงพอ โดยไม่ได้แจ้งให้ลูกค้าที่ชำระเงินทราบถึงอันตราย ความเสี่ยง และผลที่ตามมาของการเกิดภูเขาไฟปะทุอย่างเพียงพอ”

ทั้งนี้ บริษัททัวร์ระบุว่าพวกเขาไม่มีความสามารถในการจ่ายค่าปรับ และบริษัททั้ง 5 แห่งที่เกี่ยวข้องอยู่ในสถานะเลิกกิจการ มีสถานะทางการเงินที่อ่อนแอ หรือไม่มีทรัพย์สินเหลือแล้ว

เรียบเรียงจาก The Guardian

PPTVHD36
1 มีค 2567

50
สลด พยาบาลแม่ลูกอ่อน เพิ่งลาคลอดไม่กี่เดือน ขับเก๋งเสียหลักชนคนยืนโบกรถ ก่อนพุ่งอัดเสาป้ายตกร่องน้ำข้างทาง เสียชีวิตติดภายในรถ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 ก.พ.2567 ร.ต.ท.มารุต นิตย์จินต์ รองสารวัตร(สอบสวน) สภ.เมืองจันทบุรี รับแจ้งเหตุรถเก๋งเฉี่ยวชนคนเดินเท้าริมถนน ส่วนรถเก๋งพุ่งตกร่องน้ำข้างทาง ริมถนนสุขุมวิท ขาเข้าเมือง ม.14 ต.คลองนารายณ์ อ.เมือง จ.จันทบุรี จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมกู้ภัยสมาคมสว่างกตัญญูธรรมสถาน จันทบุรี ทีมแพทย์ฉุกเฉิน รถอุปกรณ์ตัดถ่าง และกำลังเจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ

ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกพ่วง 22 ล้อ บรรทุกท่อซีเมนต์ขนาดใหญ่ สภาพเสียหลักตกอยู่ในร่อง ขณะกำลังเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเร่งให้การช่วยเหลือนำร่างผู้บาดเจ็บ เบื้องต้นเป็นชายอายุประมาณ 50 ปี ขึ้นมาจากร่องน้ำข้างทาง สภาพขาด้านขวาผิดรูปมีอาการทางกระดูก รีบปฐมพยาบาลนำตัวส่งโรงพยาบาลพระปกเกล้าฯ

ห่างกันประมาณ 10 เมตร พบรถเก๋ง ยี่ห้อฟอร์ด ทะบียน กต852 จันทบุรี สภาพเสียหลักพุ่งชนหมุนฟาดกับเสาป้ายและโคนเสาไฟฟ้าแรงสูง พุ่งตกลงไปในร่องน้ำข้างทางพังเสียหาย ภายในรถพบผู้เสียชีวิตเป็นหญิง 1 ราย สภาพถูกแรงอัดติดอยู่บนที่นั่งคนขับ
ต่อมาตำรวจได้ประสานกู้ภัยฯ ใช้เครื่องตัดถ่างงัดซากรถ ช่วยนำร่างผู้เสียชีวิตมาออกมาชันสูตร โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที จึงสามารถนำร่างผู้เสียชีวิตออกมาได้สำเร็จ

จากการสอบสวน นายบี (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ให้การว่า ขณะเกิดเหตุ ตนพร้อมกับชายผู้บาดเจ็บ กำลังช่วยยืนโบกรถให้สัญญาณจราจรรถบรรทุกพ่วง 22 ล้อ บรรทุกท่อซีเมนต์ ที่เสียหลักตกลงไปในร่อง

นายบี กล่าวต่อว่า ต่อมามีรถเก๋งสีดำที่ขับมาทางตรง เสียหลักพุ่งเฉี่ยวชนลุงที่ยืนโบกรถอยู่ท้ายบรรทุกพ่วง ก่อนเสียหลักชนเสาป้ายตกลงไปในร่องน้ำจนทำให้เสียชีวิตดังกล่าว

ส่วนผู้เสียชีวิตจากการตรวจสอบเอกสารพบบัตรประจำตัวข้าราชการพยาบาล คือ น.ส.เพ็ญพิชชา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี เป็นพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ แผนกกุมารเวชกรรมโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

ขณะผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ทราบข่าวเศร้าว่า น.ส.เพ็ญพิชชา เพิ่งจะลาคลอดลูกได้ไปเพียงไม่กี่เดือน ก่อนจะมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต อย่างไรก็ตามสาเหตุยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของตำรวจ

เบื้องต้นได้ตรวจสอบถ่ายภาพร่องรอยที่เกิดเหตุ พร้อมสอบปากคำพยานแวดล้อม บันทึกไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นได้ประสานกู้ภัยฯ นำร่างผู้เสียชีวิตส่งโรงพยาบาลพระปกเกล้า เพื่อให้แพทย์ชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนมอบให้ญาติรับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

29 ก.พ.2567
ข่าวสด

51
ผกก.ถลาง ยันตำรวจไม่รู้จักชาวต่างชาติ เตะหมอหญิง หลังถูกอ้าง

จากกรณีแพทย์หญิงคนหนึ่งมาเที่ยวพักผ่อนที่ จ.ภูเก็ต แล้วถูกชายชาวต่างชาติเตะหลัง ขณะนั่งที่บันไดชมพระจันทร์ในคืนวันมาฆบูชา แถมถูกเมียฝรั่งคนดังกล่าวที่เป็นคนไทยด่ากราด ดูถูกเหยียดหยาม แถมยังอ้างว่ามีตำรวจยศใหญ่คอยดูแลอยู่เบื้องหลัง อ่านข่าว ขอความเป็นธรรม! แพทย์หญิง โดนผู้มีอิทธิพลทำร้าย เหตุนั่งพักที่บันไดหน้าวิลล่า

ล่าสุดวันที่ 28 ก.พ.67 เฟซบุ๊ก "สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว" ระบุว่า พ.ต.อ.นิกร ชูทอง ผกก.สภ.ถลาง เปิดเผยกรณีงกล่าวว่า วันที่เกิดเหตุมีการเจรจา และสายตรวจได้เสนอแนวทางในการไกล่เกลี่ย แต่ทั้ง 2 ฝ่ายไกล่เกลี่ยกันไม่ได้ ตำรวจสายตรวจจึงแนะนำให้ผู้เสียหายไปตรวจร่างกาย และแจ้งความ เมื่อวันที่ 25 ก.พ.67

พ.ต.อ.นิกร กล่าวต่อว่า ตำรวจไม่ได้สนิทสนมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามที่มีการกล่าวอ้าง และในเช้าวันที่ 29 ก.พ.67 พนักงานสอบสวนได้นัดสอบปากคำผู้เสียหาย ซึ่งเป็นคุณหมอมาสอบปากคำ รวมทั้งรวบรวมเอกสารใบตรวจร่างกาย และหลักฐานที่ผู้เสียหายมี เพื่อประกอบสำนวนคดี
ส่วนที่มีการระบุว่า รู้จักกับนายตำรวจยศใหญ่ในพื้นที่ สามารถเคลียร์เรื่องได้นั้นยืนยันว่า ไม่ได้รู้จักกับตำรวจรายใดเป็นพิเศษ คู่กรณีก็ประกอบธุรกิจส่วนตัว อาจจะรู้จักตำรวจที่อื่นเป็นการส่วนตัว แต่สำหรับตนไม่รู้จัก เพราะเพิ่งย้ายมาประจำการที่ สภ.ถลาง

28 ก.พ.67
ข่าวสด

52
เพื่อนบ้านแฉซ้ำ ฝรั่งเตะพญ. เจ้าของปางช้างดังภูเก็ต อารมณ์ร้อนโชว์ปืน มีลูกติดเป็นตำรวจ

จากกรณี ชาวต่างชาวสวิสเซอร์แลนด์ เจ้าของปางช้างดังที่ จ.ภูเก็ต เตะแพทย์หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเข้าไปนั่งเล่นบันไดที่ปลูกลงมาบริเวณชายหาดที่ต่อลงมาจาก วิลล่า หมายเลข 23 เพราะคิดว่าเป็นบันไดของชายหาด โดยแพทย์หญิงได้รับบาดเจ็บ และเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมขอความเป็นธรรมจากสังคมที่โดนทำร้าย ทั้งนี้ ชาวต่างชาติคนดังกล่าวอ้างว่า ไม่ได้ตั้งใจเตะแพทย์หญิง แต่สะดุดบันไดล้มลงนั้น

ผู้สื่อข่าว มติชนออนไลน์ ได้สอบถาม กับเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ซึ่งทำงานอยู่ปางช้างใกล้ๆกับปางช้างดังกล่าว ได้ความว่า นายซารา(นามสมมุติ) เป็นเจ้าของปางช้างที่มีนิสัยชอบโวยวาย อารมณ์ร้อน มักจะมีปากเสียงกับเจ้าของปางช้างอื่นๆเสมอ โดยนายซารามีภรรยาเป็นคนไทย ที่มีลูกติดทำงานเป็นตำรวจ ยศ สิบตำรวจ แต่ภรรยาชอบบอกกับคนอื่นๆว่า มีพรรคพวกเป็นคนใหญ่คนโต มีเส้นสาย และชอบร้องเรียนปางช้างคู่แข่ง ในขณะเดียวกัน จะไม่ยอมให้ใครเข้าไปใกล้พื้นที่ของตัวเอง โดยจะเข้าต่อว่าอย่างหนัก

ซึ่งที่ผ่านมานายซารา ก็มักจะมีปากเสียงกับคนอื่นๆในเรื่องนี้บ่อยๆ ซึ่งคนที่อยู่แถวนี้จะรู็กันดีว่านายซาราเป็นคนขี้โมโห ซึ่งวันดีคืนดี นายซารา เปิดหลังรถหยิบปืนออกมาโชว์แล้วเดินไปเดินมาอยู่แถวปางสร้างความหวาดกลัวแก่เพื่อนบ้านข้างๆมาก ทั้งนี้นายซาราได้สั่งลูกน้อง หรือควาญช้างในปางของตัวเอง ห้ามนำเพื่อน หรือญาติพี่น้องเข้าไปในปางอย่างเด็ดขาด จึงไม่ค่อยมีใครเห็นลักษณะในปางช้างของนายซารานั้นเป็นอย่างไร สำหรับลูกค้าของนายซาราทั้งหมดนั้น เป็นลูกค้าชาวต่างชาติที่จองตั๋วผ่านทางออนไลน์ ไม่มีคนไทย

อย่างไรก็ตาม มีเพื่อนควาญช้างมาเล่าให้ฟังเสมอว่า ช้างในปางของนายซารานั้นเป็นช้างที่เช่ามาจาก จ.สุรินทร์ โดยทราบมาว่า นายซารา มีมูลนิธิคอยรับบริจาคเพื่อช่วยดูแลช้างไทยจากต่างประเทศ ซึ่งมักจะมีการตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงมีมีปัญหาเรื่องโควิดนั้น ขณะที่ปางช้างอื่นๆมีปัญหาการเงินซบเซากันอย่างหนัก แต่ปางของนายซารายังอู้ฟู่ หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า นอกจากปางช้างแล้ว นายซาราทำงานอย่างอื่นด้วยหรือไม่

เมื่อถามว่า ในเรื่องการดูแลช้างในปางนั้น เพื่อควาญเคยเล่าให้ฟังหรือไม่ว่า นายซาราดูแลดีหรือไม่ อย่างไร เจ้าหน้าที่คนเดิม กล่าวว่า เพื่อเล่าว่า นายซาราจะให้ควาญฝึกช้างหนักมาก เพราะเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ จึงต้องการให้ช้างนิ่ง มักจะใช้ตะขอสับคอช้างแบบแรงๆเพื่อให้ช้างเชื่อฟัง ซึ่งปกติแล้ว ไม่จำเป็นต้องสับแรงขนาดนั้นก็ได้ แค่ทำให้ช้างจดจำ ซึ่งหากสับแรง หรือใช้ความรุนแรงเกินไปนอกจากไม่จำแล้ว ช้างจะดื้อและแค้นด้วย

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับพฤติกรรมของหนุ่มชาวสวิตเซอร์แลนด์นั้น ในช่วงที่ผ่านมาที่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านนั้น จากการลงพื้นที่ที่เกิดเหตุ และได้สอบถามตัวแทนประชาชนในหมู่บ้านยามู หมู่ที่ 7 ตำบลป่าคลอกอำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ทราบข้อมูลว่าหนุ่มสวิตเซอร์แลนด์รายนี้ ขับขี่รถยนต์ปิกอัพป้ายแดงส่วนตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ถนนในหมู่บ้านมีขนาดเล็กและในช่วงที่ผ่านมาเกิดปัญหารถยนต์เฉี่ยวชนและมีชาวบ้านเป็นคู่กรณี ชาวต่างชาติรายนี้เคยควักเอาอาวุธปืนในรถมาข่มขู่คู่กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และบางครั้งเมื่อมีการทะเลาะวิวาทหรือมีปากเสียงกับชาวบ้าน ชาวบ้านเคยเห็นอาวุธปืนตกมาจากรถของเขา

นอกจากนี้เมื่ออยู่ที่บ้านพัก มักออกมาไล่ประชาชนที่เดินทางไปพักผ่อนบริเวณชายหาดสาธารณะที่อยู่ใกล้บ้านของตนเอง กรณีที่เกิดกับแพทย์หญิงล่าสุด ไม่ใช่ครั้งแรกอย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการให้มีประสิทธิภาพอย่างเหมาะสม กรณีตรวจสอบเชิงลึกในการประกอบอาชีพธุรกิจ เช่น ปางช้าง เพื่อไม่ให้ชาวต่างประเทศที่เข้ามาเป็นคนในชุมชน/หมู่บ้าน มีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์กับสังคม ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิมอาศัยอยู่ในพื้นที่ บ้านยามู

มติชน
29กพ2567

53
แพทย์สาวร้อง ถูกเจ้าของศูนย์อนุรักษ์สัตว์ชื่อดังทำร้าย ขู่รู้จักตำรวจยศใหญ่ บอกยิงตายก็ไม่ผิด

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Chaiyachot Uttamang โพสต์ข้อความและภาพว่า ลูกสาวที่เป็นหมออยู่ใน จ.ภูเก็ต ถูกชาวสวิสทำร้าย โดยมีข้อความว่า

“#เรื่องเล่า_จากแพทย์หญิงไทยถูกชายต่างชาติชาวสวิสทำร้ายบนผืนดินไทย
ลูกสาวของผมผู้เป็นหมออยู่ที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นคนสุภาพและถ่อมตนเป็นปกติ เขียนข้อความออกมาจากร่างกายและจิตใจของเธอที่ถูกทำร้ายว่า…

สวัสดีค่ะ ขออนุญาตขอความช่วยเหลือเพื่อกระจายข่าวเพื่อความยุติธรรมด้วยค่ะ
เราถูกชาวต่างชาติที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้างทำร้ายร่างกายค่ะ
โดยมีลำดับเหตุการณ์ ดังนี้

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ 19.30 น. เราไปกินข้าวกับเพื่อนผู้หญิงที่เป็นหมอด้วยกัน ที่ร้าน Taste Yamu หลังกินเสร็จก็ชวนกันไปเที่ยวหาดสาธารณะแถวใกล้บ้านบริเวณ Cape Yamu คือ ปกติไปเดินเที่ยวบ่อยเนื่องจากเป็นหาดที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด และค่อนข้างปลอดภัย

ตอนเราเดินไปที่หาดกับเพื่อนเจอพี่ยามคนนึง แกก็ถามว่าเรามาดูดวงจันทร์ใช่มั้ย เพราะมันเป็นวันมาฆบูชา (ฟูลมูน) เลยตอบไปว่า ใช่ค่ะ พี่ยามก็บอกว่า ครับ เอนจอย ครับ แล้วเดินจากเราไป เรากับเพื่อนเดินดูดวงจันทร์บนชายหาดกันสักพัก รู้สึกเมื่อยและอยากนั่งพัก จึงเดินไปนั่งตรงบันไดที่ปลูกลงมาบริเวณชายหาดที่ต่อลงมาจาก วิลล่า หมายเลข 23 เพราะคิดว่าเป็นบันไดของชายหาด โดยที่เท้ายังจุ่มอยู่บนพื้นทราย

ในขณะที่เรานั่งอยู่รู้สึกเหมือนมีใครเดินมาข้างหลัง จึงหันไปพูดกับเพื่อนว่า รู้สึกเหมือนมีคนเดินมา จากนั้น พลันก็รู้สึกสะเทือนหนักหน่วงไปทั้งร่าง เมื่อได้สติก็ทำให้รู้ว่า เกิดจากหน้าแข้งที่กระหน่ำเตะลงมาที่กลางหลัง จากชายชาวต่างชาติตัวใหญ่น้ำหนักราว 100 กิโลกรัม ในสภาพหน้าแดง เหงื่อท่วม กำลังถือโทรศัพท์เพื่ออัดวิดีโอ และสบถด่าคำหยาบออกมาสารพัด เรากับเพื่อนเลยเดินไปหาพี่ยาม บนป้อมยามบนเนินข้างบน แล้วบอกว่า “พี่คะ หนูถูกทำร้ายร่างกาย” พี่ยามก็ตกใจและพาเราไปยังหน้าวิลล่า 23 ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ

ฝรั่งคนนั้นแสดงอาการโกรธสบถคำด่าออกมาสารพัด จากนั้นภรรยาชาวไทยพร้อมแผงสร้อยเพชรเม็ดโตก็เดินออกมา ตอนนั้นเรากับเพื่อนแอบดีใจเพราะคิดว่าจะเคลียร์กันได้ แต่ ประโยคแรกที่ภรรยาชาวไทยพูดถึงกับทำให้เรากับเพื่อนสตันท์ไป เพราะเธอบอกว่า “นี่อีดอ* สองตัวนี้มานั่งอยู่หน้าบ้านกุ พวกมึ* รู้มั้ยต่อให้พวกกุ ยิงพวกมึ*ตาย กุก็ไม่ผิด เพราะลูกกุเป็นตำรวจและรู้จักนายตำรวจใหญ่ของภูเก็ต กุจะเอาพวกมุ*เข้าคุกให้ได้ กุจะโทรหาท่านรองเดี๋ยวนี้” จากนั้นเธอก็โทรหาตำรวจยศใหญ่ของเธอว่าให้ส่งตำรวจมา

ผ่านไปประมาณ 15 นาที มีตำรวจ 2 คนเดินมา คนหนึ่งแต่งตัวนอกเครื่องแบบ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นตำรวจในเครื่องแบบ ตำรวจหนุ่มทั้งสองพยายามมาเจรจาเคลียร์เรื่อง หลังจากที่ตำรวจมาคุยกับเรา เราก็บอกกับตำรวจว่า เราถูกทำร้ายร่างกาย ชายชาวต่างชาติก็มาพูดกับเราว่า “อ่อเป็นชนพื้นเมือง เป็นคนไทยเหรอ รู้มั้ยชั้นไม่ได้จ่ายค่าเช่าวิลล่าเดือนละล้านบาท มาให้พวกมุ*นั่งหน้าบ้านกุ”

เราก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร หลังจากนั้นตำรวจก็เดินมาพูดกับเราว่า ตอนนี้มันผิดกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเราเป็นคนบุกรุกมีโทษหนักกว่าต้องติดคุก 4 ปี ฝ่ายเขาแค่ทำร้ายร่างกายจ่ายเงินก็จบ เราเลยช็อกไป ตำรวจนายหนึ่งบอกว่าต้องเคลียร์ให้ยอมความกันให้ได้ จะได้ไม่ต้องถึงโรงพัก

เราจึงเสนอให้ 3 ทางเลือก คือ 1. ต่างคนต่างขอโทษแล้วจบ 2. ต่างคนต่างไม่ขอโทษแล้วจบ 3. ไปคุยกันที่โรงพัก ฝั่งนู้นเค้าบอกว่า “#เราขอโทษฝรั่งได้_แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษเรา #และเราจะต้องติดคุก”

หลังจากนั้นเราจึงไปแจ้งความที่ สภ.ถลาง หลังจากแจ้งความ เราได้ทราบชื่อของชาวต่างชาติคนนี้ซึ่งทำให้เราช็อคมาก เพราะชายคนนี้เป็นชาวสวิส ที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์สัตว์ดัง ที่เคลมว่าเค้าจะปกป้องดูแลช้างและไม่ทำร้ายช้าง แต่เค้าทำร้ายผู้หญิงค่ะ!

รบกวนขอความยุติธรรมกับเรื่องนี้ด้วยนะคะ เพราะอีกฝั่งเป็นชาวต่างชาติที่มีอิทธิพลในภูเก็ต มีข้อสังเกตว่ามีตำรวจยศใหญ่คอยช่วยเหลือดูแลอยู่เบื้องหลัง และเราคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น #ไม่สมควรมีคนไทยคนไหนโดนชาวต่างชาติทำร้ายร่างกาย #คนไทยผู้เป็นสุจริตชน #ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยค่ะ
จาก #ผู้หญิงไทยคนหนึ่งผู้ถูกชายชาวต่างชาติคนหนึ่งทำร้าย
(28 กุมภาพันธ์ 2024)

ผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้โทรศัพท์พูดคุยกับเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ผู้เสียหายเป็นลูกสาวของตนเองประกอบอาชีพเป็นแพทย์อยู่ในโรงพยาบาล ที่จังหวัดภูเก็ต ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อดูแล ครอบครัวให้ได้รับความเป็นธรรม มีกำหนดการเดินทางมาที่จังหวัดภูเก็ต ถึงในค่ำวันนี้เนื่องจากในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พนักงานสอบสวน มีกำหนดการเรียกไปพบ เพื่อต้องการที่จะเอาเอกสารใบรับรองของแพทย์ที่ตรวจร่างกายไปให้ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และเท่าที่ทราบ พนักงานสอบสวนยังไม่ลงหมายเลขคดีแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ลูกสาวต้องการขอความเป็นธรรม ในคดีให้อายัดตัวนักธุรกิจรายนี้ อย่างไรก็ดีทราบว่า มีนายตำรวจ ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 มีกำหนดการว่าจะมาร่วมพบปะลูกสาว ที่ สภ.ถลางในวันพรุ่งนี้ด้วย (ภรรยาชาวสวิสอ้างว่า มีลูกชายเป็นตำรวจและรู้จักตำรวจระดับรองฯ) อย่างไรก็ดีเท่าที่ได้พูดคุยกับลูกสาว ลูกสาวยืนยันว่า จะต่อสู้ในเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แพทย์หญิงรายดังกล่าว ยังได้นำใบลงบันทึกประจำวัน โพสต์ลงในเฟซบุ๊กด้วย


28 กุมภาพันธ์ 2567
มติชน

54
ชายต่างชาติ ยัน ไม่ได้ทำร้าย แพทย์หญิง ชี้ เป็นอุบัติเหตุ สะดุดบันไดจนเท้าไปโดนหลัง

จากกรณีแพทย์หญิงรายหนึ่งร้องขอความเป็นธรรม หลังจากไปนั่งชมตรงบันไดที่ปลูกลงมาบริเวณชายหาดที่ต่อลงมาจากวิลล่า เพราะคิดว่าเป็นบันไดของชายหาด โดยที่เท้ายังจุ่มอยู่บนพื้นทราย กลับถูกชายชาวต่างชาติทำร้าย แถมเมียของชายคนดังกล่าวยังข่มขู่ว่า ยิงตายก็ไม่ผิด เพราะมีลูกเป็นตำรวจ และรู้จักนายตำรวจยศใหญ่นั้น

ชายต่างชาติ ระบุว่า เสียใจ ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอุบัติเหตุ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ พร้อมกับยืนยันว่าไม่ได้เตะหมอ แต่สะดุดบันไดล้ม เพราะเกิดอุบัติเหตุ จนทำให้เท้าไปโดนหลังของอีกฝ่าย

ทั้งนี้ ขอโทษหากฝ่ายนั้นได้รับบาดเจ็บ

ชายต่างชาติระบุเพิ่มเติมว่า ตนมีหลักฐานชัดเจน หากตำรวจจะดำเนินคดี ก็พร้อมที่จะนำหลักฐานมาโชว์ โดยเป็นคลิปขณะเกิดเหตุ ว่ามีการสะดุดหรือกระทืบหรือไม่

ส่วนที่เดินเข้าไปหาหมอ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีคนบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ส่วนบุคคล กลัวว่าจะเป็นเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน จึงเดินเข้าไปหาคุณหมอ ขอให้ออกจากพื้นที่ แล้วเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว ยืนยันไม่มีเจตนาทำร้ายหรือข่มขู่ใดๆ

29กพ2567
มติชน

55
งานเข้าวิลล่าหรูภูเก็ต จนท.ตรวจสอบ สั่งรื้อบันไดทิ้ง เหตุรุกที่สาธารณะ หลังหมอโดนทำร้าย ถูกกล่าวหาบุกรุก ไปนั่งในจุดบันไดลงชายหาดวิลล่าหรู

จากกรณี พญ.น้อง อายุ 32 ปี เป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ประจำคลินิก รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต ว่าถูกชายชาวต่างชาติทำร้ายร่างกาย และกล่าวหาว่าบุกรุก ไปนั่งในจุดบันไดลงชายหาดวิลล่าหรู

โดยคุณหมอเผยต้องการขอความเป็นธรรม เนื่องจากภรรยาชาวต่างชาติที่เป็นคนไทย อ้างว่ามีลูกชายเป็นตำรวจและรู้จักกับนายตำรวจใหญ่ของ จ.ภูเก็ต ซึ่งตนเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้แจ้งความไว้กับพ.ต.ท.ปฏิวัติ ยอดขวัญ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.ถลาง เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง

สำหรับความคืบหน้า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 ก.พ.67 นายไพโรจน์ ศรีละมุล นายอำเภอถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมด้วยเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต อำเภอถลาง และนายปัณยา สำเภารัตน์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลป่าคลอก นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบแนวเขตที่ดิน บริเวณวิลล่าที่เกิดเหตุ ต.ป่าคลอก อ.ถลาง

จากการตรวจสอบพบว่า เจ้าของวิลล่าเคยนำชี้ขอออกโฉนด ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็น นส.3 ก. โดยแนวที่นำชี้คือ ขั้นบันไดที่ 1 ดังนั้นขั้นบันไดลงมา 2-4 เป็นการรุกล้ำที่ดินสาธารณะบริเวณแนวชายหาดทรายสาธารณะ จึงมอบหมายนายกเทศบาลตำบลป่าคลอก เข้าแจ้งความดำเนินคดีบุกรุกตามกฎหมาย และดำเนินการรื้อถอน

ด้านพ.ต.อ.ภาสกร สนธิกุล รองผบก.ภ.จว.ภูเก็ต กล่าวว่า สำหรับผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดตามข้อกล่าวหาก็จะออกหมายเรียก เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ไม่กังวลอะไร เพราะในวันนี้ทางคุณหมอนำรายงานการตรวจจากแพทย์โรงพยาบาลมาประกอบสำนวนแล้ว เพราะความหนักเบาของข้อหาอยู่ที่ลักษณะของบาดแผล และการรักษาที่แพทย์ลงความเห็นมา

ตอนนี้ผู้ว่าราชการจังหวัด ตั้งคณะตรวจสอบความประพฤติของต่างชาติที่เข้ามาในภูเก็ต ผ่านคณะกรรมการ โดยมีตรวจคนเข้าเมืองเป็นเลขา เพราะในช่วงที่ผ่านมาจะมีชาวต่างชาติบางคน ประพฤติตนไม่เหมาะสม ก็จะมาเข้าคณะกรรมการชุดนี้ ถ้าเข้าข่ายในการเพิกถอนหนังสือเดินทาง ก็จะมีการดำเนินการอย่างเด็ดขาด

29 ก.พ. 2567
ข่าวสด

56
รัฐบาลเกาหลีใต้สั่งเร่งสอบสวนกรณีหญิงชราวัย 80 ปีเศษรายหนึ่งเสียชีวิต เนื่องจากรถพยาบาลที่ขับพาไปรักษาถูกโรงพยาบาลหลายแห่ง “ปฏิเสธ” ไม่รับ อ้างขาดแคลนบุคลากรจากการที่แพทย์ประท้วงหยุดงาน

แพทย์ฝึกหัดในเกาหลีใต้ราว 70% พร้อมใจกันหยุดงานประท้วงตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว เพื่อคัดค้านแผนของรัฐบาลที่จะเพิ่มโควตานักศึกษาแพทย์ ขณะที่รัฐบาลประธานาธิบดี ยุน ซุกยอล ออกมาตำหนิแพทย์ที่ประท้วงว่ากำลังเอาชีวิตผู้ป่วยมาเป็นเครื่องต่อรอง

รายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉินในเมืองแดชอน (Daejon) พยายามประสานไปยังโรงพยาบาลถึง 7 แห่งเพื่อขอส่งตัวหญิงชราเข้ารักษา แต่ก็ถูกปฏิเสธหมด โดยทางโรงพยาบาลอ้างว่ามีหมอและเตียงคนไข้ไม่เพียงพอ

สุดท้ายผ่านไป 67 นาที มีโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ยอมรับรักษา ทว่าเมื่อรถพยาบาลไปถึงคนไข้รายนี้ก็เสียชีวิตแล้ว เนื่องจากหัวใจล้มเหลว

เจ้าหน้าที่รัฐบาลเกาหลีใต้ยืนยันวานนี้ (27) ว่าจะมีการสอบสวนเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้อง หลังจากที่เรื่องนี้กลายเป็นข่าวดังที่สร้างความสลดใจต่อผู้คน

คุณยายท่านนี้ยังคาดว่าจะเป็นผู้เสียชีวิตรายแรกที่เชื่อมโยงกับกรณีแพทย์ฝึกหัดในเกาหลีใต้ประท้วงหยุดงาน

แม้รัฐบาลเกาหลีใต้จะยื่นคำขาดให้แพทย์ฝึกหัดเหล่านี้กลับมาทำงานภายในสิ้นเดือน ก.พ. ไม่เช่นนั้นก็จะมีการใช้กฎหมายลงโทษทั้งการดำเนินคดี จับกุม หรือแม้กระทั่งเพิกถอนใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ทว่ายังคงมีแพทย์กว่า 9,000 คนที่ขัดขืนคำสั่ง ขณะที่แพทย์อีกราวๆ 10,000 คนตามโรงพยาบาลกว่าร้อยแห่งทั่วประเทศก็ยื่นใบลาออกแล้ว

ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ก่อวิกฤตสาธารณสุขครั้งใหญ่ในเกาหลีใต้ เนื่องจากแพทย์ประจำห้องฉุกเฉินมีไม่เพียงพอ ขณะที่โรงพยาบาลหลายแห่งก็ต้องเลื่อนนัดผ่าตัดคนไข้ หรือไม่ก็ส่งตัวไปรักษาที่สถานพยาบาลอื่นๆ

ประธานาธิบดี ยุน เมินข้อเรียกร้องขององค์กรแพทย์ที่กดดันให้รัฐบาลยกเลิกแผนรับนักศึกษาแพทย์เพิ่มขึ้น 60% โดยอ้างว่าจำเป็นต้องทำเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนหมอซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรง เนื่องจากเกาหลีใต้กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงวัยเร็วเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

เกาหลีใต้ซึ่งมีประชากร 52 ล้านคน มีสัดส่วนแพทย์เพียง 2.6 ต่อประชากร 1,000 คนในปี 2022 ซึ่งถือว่ายังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3.7 ในกลุ่มประเทศองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และยังคงขาดแคลนแพทย์ในบางสาขา เช่น กุมารเวชศาสตร์ และสูติศาสตร์ เป็นต้น

รัฐบาลเกาหลีใต้หลายชุดที่ผ่านมาพยายามผลักดันให้วิทยาลัยแพทย์รับนักศึกษาเพิ่ม ทว่าก็ถูกต่อต้านจากองค์กรแพทย์เรื่อยมา ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขบางคนออกมาวิจารณ์ว่าแพทย์เหล่านี้เห็นแก่ประโยชน์ทางธุรกิจเป็นที่ตั้ง

ที่มา : BBC, รอยเตอร์

28 ก.พ. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

57
ไทยวิกฤติขาดพยาบาลราว 50,000  คน  สธ.เห็นชอบผลิตเพิ่ม 5,000 คน หลักสูตรเร่งรัดรับจบป.ตรี มาเรียน 2.6 ปี  ขณะที่ครม.เห็นชอบงบกว่า 37,000 ล้านบาท ผลิต “ทีมหมอครอบครัว” 9 สาขา ระยะ 10 ปี ราว 62,000 คน

เมื่อวันที่ 21 ก.พ.2567 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงสธ.ว่า ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการเรื่องการเพิ่มการผลิตบุคลากร สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ เพื่อรองรับวิกฤติการขาดแคลนบุคลากรทางการพยาบาลตามที่สถาบันพระบรมราชชนกและสภาการพยาบาลเสนอ โดยเป็นการผลิตพยาบาลเพิ่มแบบเร่งรัดระยะเวลา 2 ปี ปีละ 2,500คน รวม 5,000 คน

เป็นการรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทุกสาขาแต่ถ้าจะดีจบสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาเรียนเพิ่มเติม 2.6 ปี จะเริ่มดำเนินการในปี 2568  มอบหมายให้สถาบันฯไปพิจารณาต่อเรื่องของหลักสูตร แหล่งผลิต และงบประมาณก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของครม.ต่อไป

ความจำเป็นที่ต้องผลิตพยาบาลเพิ่มอย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีความขาดแคลนอยู่อีกราว 50,000 คน ซึ่งตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลกหรือ WHO สัดส่วนพยาบาลต่อประชากรอยู่ที่ 1 ต่อ270 คน แต่ภาพรวมของประเทศไทยอยู่ที่ 1 ต่อ 343 คน

อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องการกระจายด้วยมี 42 จังหวัดที่มีสัดส่วนพยาบาลต่อประชากรอยู่ที่ 1 ต่อ  400 คน  15 จังหวัดสัดส่วน 1 ต่อมากกว่า 500 คน และ 5 จังหวัดที่สัดส่วนสูง คือ หนองบัวลำภู 1 ต่อ 712 คน บึงกาฬ 1 ต่อ 608 คน เพชรบูรณ์ 1 ต่อ 572 คน กำแพงเพชร 1 ต่อ 571 คน และศรีสะเกษ 1 ต่อ 569 คน

นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2567 ครม.ได้เห็นชอบงบประมาณรว 37,200 ล้านบาทตามที่สธ.เสนอ  ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2568-2583 รวม 16 ปี เป็นโครงการผลิตแพทย์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ (Primary care service) หรือทีมหมอครอบครัว ใน  9 สาขา  ประกอบด้วย

แพทย์เวชศาสตร์
พยาบาล
นักวิชาการสาธารณสุข
ผู้ช่วยพยาบาล
ผู้ช่วยสาธารณสุข
ทันตแพทย์
เภสัชกร
นักฉุกเฉินการแพทย์
แพทย์แผนไทย

ครอบคลุมระยะเวลา 10 ปี ระหว่างปีการศึกษา 2568-2577 เมื่อครบระยะเวลาโครงการจะสามารถผลิตบุคลากรทางการแพทย์ได้ 62,000 คน โดยให้สถาบันพระบรมราชชนกผลิตเช่นกัน

การสร้างแรงจูงใจเพื่อให้คนมาเข้าศึกษาเป็นทีมหมอครอบครัว อาทิ

1.ปรับแก้ระเบียบการจ่ายค่าตอบแทนให้สอดรับกับงาน

2.เงินตอบแทนวิชาชีพหรือพตส.จาก 10,000 บาทต่อคนต่อเดือน เสนอขอเป็น 15,000 บาทต่อคนต่อเดือน

3.อายุงานของผู้ที่ลงไปปฏิบัติงานในระกับปฐมภูมิ กำลังหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) เพื่อให้นับอายุงานตั้งแต่ยังเรียน แต่ค่าตอบแทนได้รับเมื่อเรียนจบและปฏิบัติงานแล้ว

4.ความก้าวหน้า สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิได้

และ5.การจัดสรรงบประมาณให้สอดรับกับเนื้องาน เช่น งบฯเหมาจ่ายรายหัว ให้จัดสรรเรื่องของการส่งเสริมป้องกันโรคของปฐมภูมิแยกออกมา

นพ.ชลน่าน กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบเรื่องการช่วยผู้ป่วยจิตเวชที่อาการรุนแรงไม่ยอมทานยา โดยให้จัดหายาฉีด LONG ACTING ANTIPSYCHOTIC INJECTABLE มาใช้ดูแลผู้ป่วย เนื่องจากมีผู้ป่วยที่เป็นเป้าหมายที่เป็นผู้ป่วยจิตเวชเข้าข่ายสร้างความรุนแรงต่อสังคม 4.2 หมื่นคน แยกเป็นระดับ V1 ที่ทำร้ายตัวเอง และV4ที่ทำร้ายสังคม  เบื้องต้นให้รพ.ศูนย์/รพ.ทั่วไป มีสำรองยาไว้ใช้ได้ราว 3 เดือน

 “ยาตัวนี้ยังเป็นยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ จึงยังไม่อยู่ในสิทธิประโยชน์ประกันสุขภาพภาครัฐ ที่ประชุมจึงมีมติให้นำเสนอยาตัวนี้เข้าสู่ขั้นตอนเพื่อบรรจุในบัญชีบาหลักแห่งชาติ ส่วนระหว่างที่มีการพิจารณาให้เสนอเข้าสู่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.) เพื่อใช้เงื่อนไขเชิงนโยบาย พิจารณาใช้งบประมาณอุดหนุนมาจัดหาให้ผู้ป่วยใช้ก่อน”นพ.ชลน่านกล่าว

21 ก.พ. 2567
https://www.bangkokbiznews.com/health/public-health/1114254

58
ครม. เห็นชอบผลิตแพทย์ฯ 9 สาขาวิชาชีพ 10 ปี จำนวน 62,000 คน โดยอนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไปสำหรับโครงการผลิตแพทย์ฯ รวมกว่า 3.7 หมื่นล้านบาท

วันนี้ (20 ก.พ. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.วันนี้มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการผลิตแพทย์และทีมนวัตกรรมสุขภาพเพื่อเวชศาสตร์ครอบครัวตอบสนองต่อระบบสุขภาพปฐมภูมิทั่วไทย

พร้อมกันนี้ได้อนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป สำหรับโครงการผลิตแพทย์ฯ จำนวนทั้งสิ้น 37,234.48 ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ
 
นายชัย โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า โครงการผลิตแพทย์ฯ เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ (Primary care service) ซึ่งเป็นระบบบริการสุขภาพด่านแรกของระบบบริการสาธารณสุขเพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนในท้องถิ่นที่จะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างทั่วถึง ประกอบด้วย แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว และสหวิชาชีพ รวม 9 สาขาวิชาชีพ ได้แก่

1.แพทย์เวชศาสตร์
2.พยาบาล
3.นักวิชาการสาธารณ์สุข
4.ผู้ช่วยพยาบาล
5.ผู้ช่วยสาธารณสุข
6.ทันตแพทย์
7.เภสัชกร
8.นักฉุกเฉินการแพทย์
9.แพทย์แผนไทย
 
สำหรับโครงการผลิตแพทย์ฯ มีวัตถุประสงค์ เพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณสุข และกระจายโอกาสทางการศึกษาไปสู่ประชาชนในส่วนภูมิภาค ครอบคลุมระยะเวลา 10 ปี ระหว่างปีการศึกษา 2568 – 2577 ซึ่งเมื่อครบระยะเวลาโครงการจะสามารถผลิตบุคลากรทางการแพทย์ได้ 62,000 คน

โดยกรอบวงเงินงบประมาณที่ใช้ในโครงการผลิตแพทย์ฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 37,234.48 ล้านบาท ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2568-2583 รวมระยะเวลา 16 ปี ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.บุคลากรทางการแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณสุขสามารถพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิของประเทศตามแนวคิดเวชศาสตร์ครอบครัว
2.บุคลากรของสถาบันพระบรมราชชนกและหน่วยงานเครือข่ายใน สธ. ได้รับการพัฒนาให้มีสมรรถนะตอบสนองความต้องการการผลิตบุคลากรตามแนวคิดเวชศาสตร์ครอบครัว
3.กระจายโอกาสทางการศึกษาทางการแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณสุขไปสู่ประชาชนในส่วนภูมิภาค

20 ก.พ. 2567
https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1114136

59
“ปัญหาคนไม่พอ เร่งผลิต ถ้าให้คิดคือคุณดึงคนอยู่ในระบบไม่ได้…​วันนี้ คุณวิเคราะห์ปัญหาถึงรากเหง้ากันหรือยัง?” เป็นเสียงสะท้อนจากสหภาพพยาบาลแห่งประเทศไทย หลังมีข่าวนโยบายเพิ่มจำนวนพยาบาลเข้าสู่ระบบ

‘1 ต่อ 343 คน’ คือตัวเลขเฉลี่ยของสัดส่วนพยาบาลวิชาชีพต่อจำนวนประชากรในประเทศไทย และ 1 ต่อ 712 คน คือสัดส่วนในจังหวัดหนองบัวลำภูซึ่งพยาบาลขาดแคลนมากที่สุด ในขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุสัดส่วนที่ควรจะเป็นไว้ที่ 1 ต่อ 270 คนเท่านั้น โดยพบว่าเฉลี่ยแล้ว ไทยยังขาดแคลนพยาบาลอยู่มากถึง 51,420 คน

จากข้อมูลที่สะท้อนปัญหาขาดแคลนพยาบาลในการดูแลประชาชนนี้ สถาบันพระบรมราชชนก (สบช.) ร่วมกับสภาการพยาบาล จึงมีข้อเสนอในการผลิตพยาบาลเพิ่มเฉลี่ยปีละ 2,500 คน โดยให้ผู้ที่เรียนจบปริญญาตรีจากสาขาใดก็ได้ เรียนต่อในคณะพยาบาลศาสตร์อีก 2 ปีครึ่ง โดยเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข บอกว่าเห็นชอบกับนโยบายนี้ และจะเริ่มดำเนินการในปี 2568

การเพิ่มคนเข้าระบบเพียงอย่างเดียวจะเป็นการแก้ไขปัญหาพยาบาลขาดแคลนได้จริงหรือ?​ หรือมีปัจจัยอะไรมากกว่านั้น? นี่เป็นประเด็นที่บุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงประชาชนทั่วไปกำลังวิจารณ์ถึงนโยบายนี้บนโซเชียลมีเดีย The MATTER จึงไปรวบรวมคำตอบต่อคำถามเหล่านี้มาให้

สรุปปัจจัย ทำไมพยาบาลถึงลาออก

1.ไม่มีความก้าวหน้า : พยาบาลจำนวนมากตำแหน่งเงินเดือนตันเนื่องจากระบบ ระบบก้าวหน้าไม่เป็นไปตามความรู้ความสามารถ แม้จะจบปริญญาโท–เอก แต่ก็ยังต้องอยู่ในระดับชำนาญการ
2. งานหนัก : พยาบาลต้องทำงานติดต่อกันถึง 24 ชั่วโมง และเพราะคนไม่เพียงพอ จึงมีภาระงานมากถึง 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สวนทางกับประกาศจากสภาการพยาบาลเรื่องนโยบายชั่วโมงการทำงาน ว่าพยาบาลไม่ควรทำงานเกินสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง หรือหากมากกว่านั้นต้องเป็นไปตามความสมัครใจ และควรหลีกเลี่ยงการทำงานเกิน 12 ชั่วโมงต่อวันติดกันเกิน 3 วันใน 1 สัปดาห์
3. เงินน้อย : ค่าตอบแทนพยาบาลวิชาชีพ ตามประกาศจากกระทรวงสาธารณสุข อยู่ที่ 1,000-22,800 บาทต่อเดือน ซึ่งคิดจากค่าเวร 600 บาทต่อวัน และเวรบ่าย–ดึก 240 บาทต่อวัน นอกจากนั้นยังมีค่าตอบแทนที่ประมาณการไม่ได้ เช่น การช่วยผ่าตัด ช่วยเตรียมผู้ป่วย หรือคลินิกนอกเวลา
4. สวัสดิการบ้านพัก : สภาพบ้านไม่พร้อมแก่การอยู่อาศัยเพราะโครงสร้างไม่ได้รับการซ่อมแซมมาเป็นเวลานาน และจากสถิติในปี 2561 บ้านพักพยาบาลยังไม่เพียงพออีกกว่า 7,000 แห่ง

โดยผลสำรวจจากสหภาพพยาบาลแห่งประเทศไทย ในปี 2563 เก็บข้อมูลจากพยาบาลและบุคลากรสาธารณสุขจำนวน 4,563 คน พบว่า ‘เบื่อระบบ ไม่ก้าวหน้า และรายได้ไม่เพียงพอ’ เป็นปัจจัยสามอันดับแรกที่ทำให้อยากลาออก ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 46% ตอบว่าคิดจะลาออกก่อนเกษียณ ซึ่งในปัจจุบัน ข้อมูลจากสภาการพยาบาลเผยว่า มีจำนวนพยาบาลลาออกเฉลี่ยปีละ 7,000 คน

The MATTER ไปคุยกับ เตย (นามสมมติ) นักศึกษาพยาบาลจบใหม่ ถึงความรู้สึกที่มีต่อประเด็นนี้ เตยบอกเราว่า “เรามีความกังวลกับการทำอาชีพพยาบาลในอนาคต เพราะจบแล้วยังต้องใช้ทุนในโรงพยาบาลรัฐ แบกรับความเสี่ยงเรื่องการฟ้องร้อง และงานหนัก แต่เงินน้อย” 

เตยจึงเห็นว่านโยบายการแก้ไขปัญหานี้ไม่ตรงจุด และยังกังวลกับการให้เรียนพยาบาลต่อเพียงสองปีครึ่ง โดยเห็นว่าจำนวนเวลาที่น้อยอาจไม่เพียงพอต่อเนื้อหาทั้งหมดและไม่มีประสบการณ์มากเพียงพอ จึงอาจไม่เป็นผลดีกับผู้เข้าใช้บริการหรือผู้ป่วยได้

ในด้านของประชาชนทั่วไป มีการแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์ทั้งไม่เห็นด้วยกับนโยบาย เพราะมองว่าเป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด และคิดว่าทักษะที่ได้จากเวลาเพียงสองปีครึ่งอาจไม่มีคุณภาพ

อย่างไรก็ดี อีกฝั่งหนึ่งเห็นด้วยกับการให้เรียนจบปริญญาตรีสาขาใดก็ได้และเรียนต่อพยาบาลอีกสองปีครึ่ง เพราะพยาบาลเป็นอาชีพที่ขาดแคลนทั้งในและนอกประเทศ และเห็นว่าจะได้มีคนเพิ่มขึ้นเพื่อมาช่วยแบ่งเบาภาระงาน

โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เล่าถึงรายละเอียดหลักสูตรนี้ว่า “เป็นหลักสูตรเร่งรัดมาตรฐาน ใช้เวลาผลิต 2 ปีครึ่ง รับจากผู้จบการศึกษาปริญญาตรี ไปต่อยอดเร่งรัดการผลิต ซึ่งที่ประชุมเห็นด้วยในหลักการ แต่มีข้อสังเกตกระบวนการผลิต หลักสูตรการรับรอง ความพร้อมของแหล่งผลิต เรื่องงบประมาณ จึงให้ทาง สบช. และผู้เกี่ยวข้องไปจัดทำรายละเอียดเพื่อนำเสนอต่อ ครม. ต่อไป”

หลังจากมีการวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากถึงความไม่เหมาะสมของนโยบาย จึงต้องติดตามต่อไปว่าจะมีการแก้ไขนโยบายให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากขึ้นหรือไม่ รวมถึงสถานการณ์การขาดแคลนพยาบาล รวมถึงบุคลากรทางสาธารณสุขต่างๆ จะถูกแก้ไขอย่างไรไม่ให้เกิดภาวะสมองไหลออกจากระบบดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

23 February 2024
https://thematter.co/brief/thai-nurse-problems-in-system/222940

60
วันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2567) ศ.นพ.วิชัย เทียนถาวร อธิการบดีสถาบันพระบรมราชนก (สบช.) เปิดเผยถึงกรณีบุคลากรทางการแพทย์วิพาก์วิจารณ์เกี่ยวกับการเปิดหลักสูตรผลิตพยาบาลเร่งด่วน 2 ปีครึ่ง โดยเปิดให้ผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสายวิทยาศาสตร์เข้าเรียน เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนพยาบาล จำนวน 2 รุ่น ว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สบช. และสภาการพยาบาลมีความห่วงใยในเรื่องนี้ โดยสัปดาห์หน้า คณะพยาบาลศาสตร์ สบช. และ ผู้ทรงคุณวุฒิ สภาการพยาบาลจะมีการหารือเรื่องคุณภาพการเรียนในหลักสูตรนี้

“หลักสูตรการเรียนพยาบาล 2 ปีครึ่ง ไม่ใช่เรื่องใหม่ คณะพยาบาลทั่วประเทศมีการหารือร่วมกันและพิจารณา จนเกิดหลักสูตรการเรียนการสอนนี้ขึ้น มีการเริ่มเรียนไปแล้วในมหาวิทยาลัย 3 แห่ง ได้แก่ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช” ศ.นพ.วิชัย กล่าวและว่า การเรียนหลักสูตรพยาบาลนี้ เน้นกลุ่มคนเรียนวิทยาศาสตร์สุขภาพ มีการเจาะลึกข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ และภาคปฏิบัติ โดยคงหัวใจหลักของหลักสูตรไว้ คือ การขึ้นวอร์ด หรือ เวรปฏิบัติ ที่ต้องมีชั่วโมงการเรียนที่ครบถ้วน เพราะคือทักษะสำคัญของการเป็นพยาบาล

ศ.นพ.วิชัย กล่าวว่า ยืนยันว่า สบช.ที่มีวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีมากถึง 30 แห่ง ยังคงคุณภาพการเรียนการสอนเหมือนเดิม ไม่ได้ละวางหรือปล่อย โดยหลักสูตรพยาบาล 4 ปี กับ 2 ปีครึ่ง เนื้อหาและคุณภาพไม่แตกต่างกัน หากแต่นำบางวิชาที่ได้เรียนไปในพื้นฐานของปริญญาตรีมาเทียบโอน ส่วนวิชาการเป็นหัวใจ ยังต้องเรียนเสมอ

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีวิพากษ์วิจารณ์ว่า อาจไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องชั่วโมงการทำงานและค่าตอบแทน ศ.นพ.วิชัย กล่าวว่า ทราบว่า รัฐมนตรีว่าการ สธ. กำลังเตรียมพิจารณาเรื่องนี้ แต่ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า พยาบาลส่วนใหญ่ที่มีอายุการทำงานนาน มีประสบการณ์มาก หรือ มีอายุ 50 ปีขึ้นไป มักจะขอย้ายตัวเองไปขึ้นวอร์ดเช้า ทำงาน 8 ชั่วโมง หรือหันไปทำอาชีพอื่น เนื่องจากประสบการณ์การทำงานจนเชี่ยวชาญสามารถเป็นครูพยาบาลได้ มหาวิทยาลัย และวิทยาลัยหลายแห่งต้องการตัว ต้องยอมรับว่า บางคนพลาดหวังจากตำแหน่งราชการหรือเงินเดือน ด้วยอายุที่มากขึ้น มีภาระครอบครัว จึงหันไปทำอาชีพอื่นแทน

24 กุมภาพันธ์ 2567
มติชน

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 648