แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 650
16
กรมการแพทย์แจงผู้บริหาร รพ.สงฆ์ ขอลาออกพร้อมกัน 4 ฝ่าย ติดตามรับฟังข้อมมูลใกล้ชิดรอบด้าน ล่าสุดยกเลิกและถอนใบลาออกแล้ว ยันตั้งใจทำงานเพื่อ รพ.และประชาชนต่อไป ด้านอธิบดีกรมการแพทย์ตอบเองผ่านเพจ เป็นเรื่องปกติระบบราชการ สามารถแสดงเจตจำนงตามสิทธิ

จากกรณีข่าวผู้บริหาร รพ.สงฆ์ 4 ราย ยื่นใบลาออกพร้อมกัน พร้อมแสดงเหตุผลว่าการบริหารงานของผู้มีอำนาจใน รพ.สงฆ์ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ ทำให้เกิดความไม่สบายใจและไม่ปลอดภัย โดยยื่นลาออกต่อ ผอ.รพ.สงฆ์ และอธิบดีกรมการแพทย์

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกแถลงชี้แจงกรณีผู้บริหาร รพ.สงฆ์ขอลาออก ว่า จากที่มีข่าวการขอลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารโรงพยาบาลสงฆ์ 4 คนพร้อมกัน เนื่องจากมีความกังวลใจในระบบการบริหารงานภายในโรงพยาบาลนั้น กรมการแพทย์ขอชี้แจงว่า ผู้บริหารระดับสูงของกรมการแพทย์ได้รับทราบและตั้งข้อสังเกตถึงสถานการณ์ที่ต้องติดตามในช่วงที่ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว และขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เพื่อดำเนินการตามระเบียบของทางราชการอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ ยังได้มีการรับฟังข้อมูลจากบุคลากรและผู้เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน โดยคำนึงถึงขวัญกำลังใจของบุคลากรภาพรวมขององค์กรเป็นที่ตั้ง ซึ่งสถานการณ์ในขณะนี้ ทุกคนยังมีความเข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ถวายการดูแลสุขภาพแด่พระภิกษุสงฆ์-สามเณรอาพาธได้ตามปกติ อย่างเต็มกำลังความสามารถ

สำหรับคณะผู้บริหารโรงพยาบาลที่ปรากฏในข่าวว่า ขอลาออกจากตำแหน่งบริหารก็ขอยกเลิกการลาออกแล้ว โดย นพ.สมเกียรติ เกษมธรรมคุณ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ ดร.ดุษฎี ใหญ่เรืองศรี รองผู้อำนวยการด้านการพยาบาล ได้แถลงว่าตนและคณะผู้บริหารโรงพยาบาลสงฆ์อีกสองท่าน คือ นพ.อนุตพงษ์ ชูจันทร์ รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบสุขภาพ และนพ.ประวิทย์ ตันติวัฒนาศิริกุล หัวหน้ากลุ่มงานศัลยกรรม ในฐานะคณะกรรมการบริหารหน่วยงานมีโอกาสได้ปรึกษาคณะผู้บริหารในระดับกรมอย่างใกล้ชิด ทำให้รับทราบถึงความใส่ใจและความห่วงใยของผู้บังคับบัญชาระดับสูง คณะผู้บริหารทั้ง 4 รายดังกล่าว รู้สึกขอบพระคุณในความเข้าใจและกำลังใจนี้ จึงขอถอนใบลาออก และขอยืนยันความตั้งใจดีที่จะเดินหน้าทำงานเพื่อโรงพยาบาลสงฆ์และประชาชนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ “สมาพันธ์แพทย์ รพ.ศ/รพ.ทั่วไป” โพสต์เรื่องดังกล่าว โดย พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้เข้ามาตอบในคอมเมนต์โดยส่งแถลงการณ์ของกรมการแพทย์ พร้อมทั้งได้ตอบกลับผู้ที่แสดงความคิดเห็น เพื่ออธิบายเรื่องดังกล่าว อาทิ

ความคิดเห็นที่ว่า : เรื่องปกติของการบริหารภายใน แปลว่า....

พญ.อัมพร : แปลว่าเมื่อผู้บริหารไม่สบายใจ ก็มีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นได้ รวมถึงสามารถแสดงเจตจำนงในการขอปรับบทบาทในงานบริหารได้ค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น : แต่คงหนักไม่งั้นไม่ลาออกพร้อมกันถึง 4 ฝ่าย

พญ.อัมพร : ในระบบบริหารราชการ การแจ้งความจำนงตามสิทธิของตน เป็นเรื่องปกติ แต่การมีผู้แสดงความเห็นเช่นนี้ อาจสะท้อนถึงปัญหาบางอย่าง ซึ่งกรณีนี้ผู้บริหารระดับกรมให้ความสนใจใกล้ชิดค่ะ


30 มี.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

17
ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้น เมื่อสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวในโรงพยาบาลสงฆ์ว่า ในช่วงปลายเดือน มี.ค.2567 ที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับสูง  4 ราย ของโรงพยาบาลสงฆ์ ประกอบด้วย นพ.สมเกียรติ เกษมธรรมคุณ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ ดร.ดุษฎี ใหญ่เรืองศรี รองผู้อำนวยการด้านการพยาบาล นพ.อนุตพงษ์ ชูจันทร์ รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบสุขภาพ และ นพ.ประวิทย์ ตันติวัฒนาศิริกุล หัวหน้ากลุ่มงานศัลยกรรม ในฐานะคณะกรรมการบริหารหน่วยงาน ได้ทำบันทึกถึงอธิบดีกรมการแพทย์และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อขอลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกัน

โดยผู้บริหารระดับสูงทั้ง 4 ราย ระบุถึงเหตุผลการลาออกเหมือนกัน ว่า "เนื่องจากการบริหารงานของผู้มีอำนาจในโรงพยาบาลสงฆ์ ที่ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ ทำให้เกิดความไม่สบายใจและความไม่ปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจรวมถึงครอบครัว จึงขอลาออกจากตำแหน่ง มีผลตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2567 เป็นต้นไป"

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ภายหลังได้รับทราบเรื่องนี้ ได้ติดต่อไปยัง พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ เพื่อสอบถามถึงข้อเท็จจริงถึงกรณีที่เกิดขึ้น

พญ.อัมพร ชี้แจงว่า เรื่องการลาออกจากตำแหน่งฝ่ายบริหารเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเป็นเรื่องของกลไกการบริหารภายใน แต่ยังไม่ได้เห็นเอกสารลาออกฉบับจริง ได้รับการแจ้งผ่านการบอกเล่า

เมื่อถามว่า มีการระบุเหตุผลในหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งเหมือนกันว่า การบริหารงานของผู้มีอำนาจในโรงพยาบาลสงฆ์ ที่ส่อไปในทางไม่โปร่งใสในการบริหารราชการ?

พญ.อัมพร กล่าวว่า "ไม่ทราบ ต้องถามเจ้าตัวเอง"



29 มีนาคม 2567
https://www.isranews.org/article/isranews-scoop/127436-isra-priest-hospital.html

18
วันนี้ (1 เมษายน 2567) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ปรับระบบให้หน่วยบริการในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) 902 แห่ง ใช้ระบบ Financial Data Hub (FDH) เป็นช่องทางในการเบิกจ่ายค่าบริการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้เป็นต้นไป หลังประเมินผลการเบิกจ่ายโครงการ 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ใน 4 จังหวัดนำร่อง พบว่าได้ผลดี สะดวกกับโรงพยาบาล และเดินหน้าสู่ Digital Transformation เต็มรูปแบบเพื่อช่วยให้การเบิกจ่ายรวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมมาตรฐานรักษาควาปลอดภัยไซเบอร์ อีกทั้งเตรียมขยายสู่สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และประกันสังคมต่อไป

นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองปลัดและโฆษก สธ. เปิดเผยว่า สธ.ได้พัฒนาระบบศูนย์กลางข้อมูลด้านการเงิน กระทรวงสาธารณสุข (Financial Data Hub : FDH) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพดิจิทัล เชื่อมโยงข้อมูลด้านการรักษาพยาบาลและการเงิน สนับสนุนการเบิกจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ และสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์วางแผนนโยบายด้านสาธารณสุขได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 หน่วยบริการในสังกัด สป.สธ.ทั้ง 902 แห่ง มีการส่งข้อมูลบริการมายัง FDH ครบทุกแห่ง และเมื่อเริ่มนำร่อง 30 บาทรักษาทุกที่ฯ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567 ได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พัฒนาระบบเพื่อสนับสนุนการเบิกจ่ายการค่าบริการของหน่วยบริการ 49 แห่ง ใน 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส พบว่า สามารถส่งข้อมูลได้ครบทุกแห่ง สปสช. รับข้อมูลไปพิจารณาและโอนจ่ายให้หน่วยบริการได้สำเร็จ รวมทั้งมีการขยายไปยังหน่วยบริการอื่นที่พร้อมส่งข้อมูลเพื่อขอรับค่าใช้จ่ายผ่านระบบ FDH ด้วย

นพ.สุรโชค กล่าวต่อว่า จากความสำเร็จดังกล่าว สธ. และ สปสช. จึงได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ว่าด้วยความร่วมมือการดำเนินการพัฒนาระบบข้อมูลการเบิกค่าบริการสาธารณสุข เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลการเบิกจ่ายบนระบบคลังข้อมูลสุขภาพของทั้ง 2 หน่วยงาน รองรับการเบิกจ่ายเงินค่าบริการสาธารณสุขกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของหน่วยบริการสังกัด สธ.ผ่าน FDH ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และทันเวลา เพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป หน่วยบริการในสังกัด สป.สธ.ทั้ง 902 แห่ง ส่งข้อมูลขอรับค่าใช้จ่ายสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผ่านระบบ FDH เพียงช่องทางเดียว เป็นการเปลี่ยนวิธีส่งข้อมูลจากการบันทึกในระบบเป็นการส่งข้อมูลด้วย “เทคโนโลยีดิจิทัล” แทน โดยระบบ FDH จะเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยบริการและ สปสช. ด้วย API และทำหน้าที่เสมือนเป็นไปรษณีย์ รับและส่งข้อมูลขอรับค่าใช้จ่ายสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

“เรื่องการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) จะมีการให้สิทธิและตรวจสอบสิทธิก่อนเข้าใช้งานระบบ FDH สิทธิการแก้ไขข้อมูล มีการเข้ารหัสข้อมูลส่วนบุคคลจากระบบสารสนเทศโรงพยาบาลก่อนส่งเข้าระบบ FDH ข้อมูลจะถูกจัดเก็บในระบบคลาวด์ ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ISO/IEC 27001 และ ISO 27799 โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ทำการเจาะระบบหาช่องโหว่ เพื่อนำไปสู่การรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน” นพ.สุรโชค กล่าว

โฆษก สธ. กล่าวอีกว่า สป.สธ.ยังได้พัฒนาบุคลากรของหน่วยบริการให้สามารถส่งข้อมูลและเรียกเก็บค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง ครบถ้วน ผ่านการประชุมชี้แจงและอบรมผู้ใช้งาน โดยร่วมกับ สปสช. ผู้พัฒนาระบบสารสนเทศโรงพยาบาล และบุคลากรจาก 4 จังหวัดนำร่อง ถ่ายทอดประสบการณ์ ปัญหา อุปสรรค และปัจจัยความสำเร็จในการเบิกจ่ายค่าบริการสาธารณสุขจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมถึงสนับสนุนผู้บริหารแต่ละระดับ ในการควบคุม กำกับ ติดตาม การปฏิบัติงานของบุคลากร โดยในระยะต่อไป สธ.จะดำเนินการให้ระบบ FDH สามารถทำงานร่วมกับระบบสารสนเทศของกรมบัญชีกลางที่ดูแลสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และระบบสารสนเทศของกองทุนประกันสังคม และสิทธิการรักษาพยาบาลอื่นๆ ต่อไป

https://www.matichon.co.th
1 เมษายน 2567

19
พระราชลัญจกรประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เรียกว่า พระราชลัญจกรพระเกี้ยว จุลมงกุฎ พระเกี้ยวยอด หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “พระเกี้ยว” เป็นศิราภรณ์ชนิดหนึ่งอย่างมงกุฎ

พระราชลัญจกรประจำพระองค์รัชกาลที่ 5 เป็นตรางา ลักษณะกลมรี ขนาดกว้าง 5.5 เซนติเมตร ยาว 6.8 เซนติเมตร รูปพระเกี้ยวมีรัศมี ประดิษฐานบนพานรอง 2 ชั้น ปากพานชั้นล่างมีรูปดอกกุหลาบ เคียงด้วยฉัตรตั้ง 2 ข้าง ที่ริมขอบทั้ง 2 ข้าง มีพานรอง 2 ชั้น วางพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรข้างหนึ่ง วางสมุดตำราข้างหนึ่ง

โดยเหตุที่รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเกี้ยวขึ้นองค์หนึ่ง เพื่อให้รัชกาลที่ 5 (ขณะดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ) ใช้ทรงในพระราชพิธีโสกันต์ เมื่อ พ.ศ. 2408 จึงได้เรียกกันว่า “จุลมงกุฎ” มาแต่ครั้งนั้น

ด้วยเหตุนี้เอง รัชกาลที่ 5 จึงทรงถือเอาพระเกี้ยวหรือจุลมงกุฎนี้มาเป็นสัญลักษณ์หรือพระราชลัญจกรประจำพระองค์ต่อมา

พระราชลัญจกรนี้ใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยในเอกสาร สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่ารัชกาลที่ 5 ทรงประทับพระราชลัญจกรพระเกี้ยวครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2410 กล่าวคือ

เมื่อ พ.ศ. 2410 จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ส่งมองซิเอแบลกัวต์เป็นราชทูตพิเศษเข้ามาแลกเปลี่ยนหนังสือสัญญากับสยาม ต่อมาวันหนึ่ง รัชกาลที่ 5 เสด็จฯ ทอดพระเนตรเรือรบฝรั่งเศสตามคำกราบบังคมทูลเชิญของราชทูต

จากนั้น “ราชทูตฝรั่งเศสจัดการรับเสด็จอย่างเต็มยศใหญ่ ชักธงบริวารและให้ทหารขึ้นยืนประจำเสาเรือรบ แล้วยิงปืนสลุตตามพระเกียรติยศรัชทายาททุกประการ อาศัยเหตุที่ราชทูตฝรั่งเศสแสดงความเคารพโดยพิเศษนี้ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (หมายถึงรัชกาลที่ 5) ลงพระนามและประทับพระลัญจกร ในหนังสือสำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนสัญญา กับกรมหลวงวงศาธิราชสนิท สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนบำราบปราบปรปักษ์ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ และเจ้าพระยาภูธราภัย…”
ดังนั้น รัชกาลที่ 5 ขณะดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ จึงน่าจะทรงใช้ตรา “พระเกี้ยว” ประจำพระองค์ ทรง “ลงพระนามและประทับพระลัญจกร” ในหนังสือสำคัญดังกล่าว เช่นเดียวกับเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของสยาม ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ข้างต้น

อย่างไรก็ตาม สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า “ดูเหมือนตราพระลัญจกรรูปพระจุลมงกุฎ (เกี้ยวยอด) จะคิดขึ้นในคราวนี้ แต่ข้อนี้ข้าพเจ้าไม่แน่ใจ”

อ้างอิง :
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. (2555). พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 5. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.
ส. พลายน้อย. (2527). ความรู้เรื่องตราต่าง ๆ เล่ม 1 พระราชลัญจกร. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์บำรุงสาส์น

เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 25 ตุลาคม 2564
https://www.silpa-mag.com


20
ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2024 กฎหมายใหม่ของเยอรมนีเกี่ยวกับการครอบครองกัญชาส่วนบุคคลมีผลบังคับใช้แล้ว ทำให้ประชากรที่มีอายุ 18 ขึ้นไป สามารถสูบกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย รวมถึงได้รับอนุญาตให้พกพากัญชาแห้งได้ไม่เกิน 25 กรัม และปลูกต้นกัญชาที่บ้านได้ไม่เกิน 3 ต้น

กฎหมายใหม่นี้เกิดขึ้นหลังการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการอนุญาตให้ประชาชนเข้าถึงกัญชาได้ง่ายขึ้น

รัฐบาลกล่าวว่า การลดทอนความเป็นอาชญากรรมของกัญชาจะช่วยในการต่อสู้กับตลาดมืด และลดการแพร่กระจายของกัญชาที่ไม่ได้มาตรฐานหรือปนเปื้อน กฎหมายใหม่จึงเป็นการปกป้องคนหนุ่มสาว

แต่แน่นอนว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเยาวชนเช่นกัน โดย คัตยา ไซเดล นักบำบัดที่ Tannenhof Berlin-Brandenburg ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติดในกรุงเบอร์ลิน กล่าวว่า “จากมุมมองของเรา กฎหมายนี้ถือเป็นหายนะ”

เธอเสริมว่า “การเข้าถึงผลิตภัณฑ์จะง่ายขึ้น ภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์จะเปลี่ยนไปและทำให้เป็นมาตรฐานมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาว คาดว่าจะเห็นการใช้กัญชาเพิ่มขึ้น อย่างน้อยในช่วงแรก”

ทั้งนี้ การใช้กัญชาโดยผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีจะยังคงผิดกฎหมายต่อไป

กฎหมายใหม่ยังมีมาตรการป้องกันบางประการเพื่อปกป้องเยาวชน รวมถึงการห้ามสูบกัญชาภายในรัศมี 100 เมตรจากโรงเรียน โรงเรียนอนุบาล สนามเด็กเล่น หรือศูนย์กีฬา

รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของเยอรมนี คาร์ล เลาเทอร์บาค ให้สัญญาว่า จะรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อให้ความรู้แก่เยาวชนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพและส่งเสริมโครงการป้องกัน

อย่างไรก็ตาม แคมเปญสื่อที่วางแผนไว้ไม่ทำให้นักวิจารณ์เชื่อถือเท่าไรนัก บอริส น็อบลิช โฆษกของ Tannenhof Berlin-Brandenburg กล่าวว่า “มันไม่สอดคล้องกับพวกเขา มันจะไม่มีวันได้ผล สิ่งที่ได้ผลคือคนที่เข้าไปคุยกับพวกเขาระหว่างดื่มกาแฟ โดยไม่มีครูอยู่ที่นั่น”
ด้านศูนย์สุขศึกษาของรัฐบาลกลาง ซึ่งเชื่อมโยงกับกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พวกเขาจะ “รับความรับผิดชอบโดยขยายข้อเสนอการป้องกัน”

ขณะเดียวกัน รัฐบาวาเรียทางตอนใต้กำลังทดสอบหลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์สำหรับครูเกี่ยวกับวิธีการพูดคุยเรื่องกัญชาในห้องเรียน

ตามสถิติอย่างเป็นทางการในปี 2021 ประมาณ 8.8% ของผู้ใหญ่ในเยอรมนีที่มีอายุ 18-64 ปีกล่าวว่าพวกเขาใช้กัญชาอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และในกลุ่มเด็กอายุ 12 ถึง 17 ปี สถิติดังกล่าวอยู่ที่เกือบ 10%

เรียบเรียงจาก The Guardian

PPTVHD36
1 เม.ย. 2567

21
วันโกหกโลก หรือ วันเมษาฯ หน้าโง่ ที่ผู้คนจะออกมาเล่นมุกตลก หรือเห็นแคมเปญการตลาดแปลก ๆในวันที่ 1 เมษายนของทุกปี แล้ววันนี้ที่มาเป็นอย่างไร

ประวัติศาสตร์ 1 เมษา วันโกหกโลก
วันโกหกโลก เริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1582 เมื่อชาติฝรั่งเศสเปลี่ยนจากปฏิทินจูเลียนเป็น ‘ปฏิทินเกรกอเรียน’ ซึ่งจะเปลี่ยนปีใหม่จาก วันที่ 1 เมษายน เลื่อนไปเป็น วันที่ 1 มกราคม ดังเช่นในทุกวันนี้

ทำให้เหล่าผู้คนที่เฉลิมฉลองในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคมถึง 1 เมษายน กลายเป็นเรื่องราวตลกขำขันและถูกเรียกว่า พวกหน้าโง่ ที่ตามไม่ทันข่าวสารบ้านเมือง

นอกจากนี้ยังมีการคาดเดาว่าวันโกหกโลกยังเชื่อมโยงกับวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ธรรมชาติหลอกผู้คน ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวนคาดเดาไม่ได้

ตัวอย่าง เหตุการณ์หลอกโลกลวงที่สุดในโลก
การเก็บเกี่ยวเส้นสปาเกตตีจากต้น
ในปีค.ศ. 1957 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่าเกษตรกรชาวสวิสกำลังประสบปัญหากับการปลูกสปาเกตตี และได้ฉายภาพผู้คนกำลังเก็บเส้นสปาเกตตีจากต้นไม้ จนกลายเป็นเรื่องฮือฮาในประเทศอังกฤษ

การปล้นทองคำ​ครั้งใหญ่ในกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448 หนังสือพิมพ์เยอรมันชื่อ Berliner Tageblatt ประกาศว่าหัวขโมยได้ขุดอุโมงค์ใต้กระทรวงการคลังสหรัฐในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อขโมยเงินและทองคำของอเมริกาได้มากกว่า 268 ล้านเหรียญ (ประมาณ 9750 ล้านบาท)

ก่อนที่ผู้คนจะตระหนักว่านี่เป็นการแกล้งกันในวันเอพริลฟูลส์โดย Louis Viereck นักข่าวชาวนิวยอร์กของ Berliner Tageblattซึ่งตีพิมพ์บทความเรื่องตลกโดยใช้ชื่อปลอม

Virgin Airlines ผู้สร้างตำนาน UFO
ในปี 1989 ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Virgin Group สร้างจานบิน UFO และมนุษย์ต่างดาวขึ้นมา โดยวางแผนที่จะลงจอดที่ไฮด์ปาร์คในวันที่ 1 เมษายน เพื่อแกล้งกัน อย่างไรก็ตาม กระแสลมที่เปลี่ยนแปลงทำให้พวกเขาต้องลงจอดเร็วขึ้นเล็กน้อยในเซอร์เรย์

กระดาษชำระสำหรับคนถนัดซ้าย
และสุดท้ายกับเรื่องตลกสุดขำขัน ที่เรียกเสียงฮา ในปี 2015 ซึ่งทางบริษัท Cottonelle ได้ออกทวีตข้อความว่า กำลังเปิดตัวกระดาษชำระสำหรับคนถนัดซ้าย

Beartai
1 เมษายน 2567

22
กระแสดราม่าเล็กๆ จากประโยคหนึ่งของท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา นักธุรกิจหนุ่มผู้ก่อตั้ง Bitkup Capital Group Holdings ที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายๆ ที่ว่าเขาไม่เชื่อเรื่อง Work Life Balance และไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ นอกจากกรณีนี้ยังมีกระแสเรื่องยูทูบเบอร์ช่องดังรายหนึ่งใช้แรงงานนักศึกษาฝึกงานแบบโต้รุ่งจนแทบไม่มีเวลานอน ทำให้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคม จากกรณีดังกล่าวทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าการสร้างสมดุลในชีวิตกับการทำงานที่ดีจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้จริงหรือ

Work Life Balance คืออะไร
Work Life Balance คือ แนวคิดเกี่ยวกับการปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เพื่อลดผลกระทบจากการทำงานหนักเกินไป ซึ่งมีประโยชน์สำหรับคนยุคใหม่ ทั้งที่ทำงานประจำและอาชีพอิสระ ไม่ว่าจะเป็น

ช่วยให้มีความสุขกับชีวิตมากขึ้นเนื่องจากการทำงานหนักอย่างต่อเนื่องอาจสร้างผลกระทบในหลายๆ ด้าน
สุขภาพกายและสุขภาพจิตดีขึ้น
มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่มีคุณภาพมากขึ้น
Work Life Balance ที่ดีก็ประสบความสำเร็จได้
ผลสำรวจจาก Adecco Group ที่สำรวจความคิดเห็นของคนทำงานจากกลุ่มตัวอย่าง 34,200 คนใน 25 ประเทศทั่วโลก ในช่วงอายุ 18-60 ปี พบว่า

40% ยกให้การมี Work Life Balance ที่ดีเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน
32% คือการมีความสุขกับการทำงานในทุกๆ วัน
30% มีงานที่มั่นคง
30% มีความยืดหยุ่นในการทำงาน
29% ได้ทำงานที่ตรงกับความชอบของตนเอง

...

ขณะเดียวกันผลสำรวจก็เผยว่า “เงินเดือนที่สูงขึ้น” เป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดพนักงานใหม่ แต่ไม่สามารถรั้งพนักงานเก่าให้อยู่กับองค์กรต่อไปได้ เพราะเงินเดือนคือเหตุผลอันดับ 1 ที่ทำให้คนตัดสินใจย้ายงาน แต่การมี Work Life Balance ที่ดี เป็นเหตุผลอันดับ 2 ที่ทำให้รักษาพนักงานเก่าไว้ได้นานยิ่งขึ้น

โดยปัจจัยหลักที่ทำให้คนทำงานเลือกที่จะอยู่ต่อกับบริษัทเดิม อันดับ 1 คือการมีความสุขกับงาน รองลงมาคือ งานมีความมั่นคง มี Work Life Balance มีความสุขกับเพื่อนร่วมทีม และการมีความยืดหยุ่นในการทำงาน นอกจากนี้ยังพบว่า 44% ของคนที่ยังต้องการอยู่ที่เดิม จะมีข้อเสนอว่าพวกเขาต้องการความก้าวหน้าภายในบริษัท และยังต้องการเพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งงานใหม่อีกด้วย

ส่วนความพึงพอใจเรื่องเงินเดือนกลับอยู่ในอันดับที่ 6 ของการตัดสินใจเลือกอยู่กับองค์กรเดิม ดังนั้นหากบริษัทต้องการเก็บรักษาพนักงานที่มีความสามารถ นอกจากเรื่องเงินเดือนแล้ว สิ่งที่จะต้องพิจารณาให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือ รูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการคนในปัจจุบัน มีการวางแนวการพัฒนาพนักงานให้มีการเติบโตในสายงาน และดูแลเรื่องสุขภาวะที่ดีของพนักงานควบคู่ไปด้วย

Work Life Balance สร้างได้อย่างไร
สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างสมดุลให้กับชีวิตและการทำงานก็สามารถเริ่มต้นด้วยตนเองได้ง่ายๆ ด้วยวิธีต่อไปนี้

ตั้งเป้าหมายการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันควรตั้งเป้าหมายและจัดรายการลำดับการทำงานในแต่ละวันเพื่อการจัดการเวลาได้ดีขึ้น
เคารพเวลาพักผ่อนของตนเองเมื่อถึงเวลาพักผ่อนควรหยุดคิดถึงเรื่องงาน ไม่นำงานกลับมาทำที่บ้าน ปิดโทรศัพท์มือถือ ใช้เวลาพักผ่อนเพื่อเป็นรางวัลให้กับความอดทนและตั้งใจของตนเองในแต่ละวัน
เรียนรู้ที่จะปฏิเสธและต่อรองการขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานเพื่อแบ่งเบาภาระงานเพื่อช่วยให้จดจ่อกับงานและผลิตงานที่มีคุณภาพได้มากขึ้น
ใช้เวลากับคนรอบตัวให้มากขึ้น การแบ่งเวลาให้กับคนรอบตัวหรือคนในครอบครัวจะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ และช่วยบรรเทาความเครียดหรือความทุกข์ภายในจิตใจ จึงไม่ควรละเลยคนรอบตัวที่ควรให้ความสำคัญ
ใส่ใจกับตนเองมากขึ้น ควรแบ่งเวลาเพื่อดูแลสุขภาพตนเอง เช่น ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำกิจกรรมที่ชอบเพื่อผ่อนคลายความเครียด จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงพร้อมสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิต

การมี Work Life Balance ที่ดี แบ่งเวลาให้กับการทำงาน การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพ ก็ช่วยให้ชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คำว่า Work Life Balance ของหลายคนอาจไม่เท่ากัน บางคนอาจโฟกัสที่ความสำเร็จในการทำงานด้วยการเป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อยจึงต้องเร่งทำงานอย่างหนักเพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่วางไว้ หรือบางคนอาจเน้นที่ตัวเงินเดือนหรือรายได้เป็นหลักมากกว่าการแบ่งเวลาไปสร้างสมดุลในชีวิตด้านอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด และการที่คนอื่นๆ จะเลือก Work Life Balance เพื่อสร้างความสมดุลในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญก็ไม่ใช่เรื่องผิดเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ควรเอาชีวิตตนเองเป็นบรรทัดฐานว่าคนรอบข้างต้องคิดและทำแบบตนเองจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องของสังคมเสมอไป

...


ข้อมูลอ้างอิง : โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, สำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร

25 มี.ค. 2567
ไทยรัฐออนไลน์

23
ระทึกทั้งโรงพยาบาล ชายส่งยิ้มหวานให้พยาบาล บุกห้องพักหมอสาว ลวนลาม แม่ เผยเป็นแบบนี้จนออกไปไหนไม่ได้ แฉ เคยบุกโรงเรียนลวนลามครู

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 มี.ค.2567 ร.ต.อ.สายชล แสงทอง รองสารวัตร(ป้องกันและปราบปราม) สภ.เมืองฉะเชิงเทรา รับแจ้งเหตุชายพยายามบุกเข้าไปภายในห้องพักแพทย์ ของตึกผู้ป่วยอายุรกรรม ชั้น 7 ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ

ที่เกิดเหตุพบชายดังกล่าวถูกเจ้าหน้าที่ รปภ.ของโรงพยาบาลทำการควบคุมตัวเอาไว้แล้ว ชื่อ นายสมชาย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ซึ่งจากการสอบถามพยาบาลบนตึกให้การว่า

เมื่อช่วงเช้าของวันนี้นายสมชายมีพฤติกรรมส่งสายตายิ้มหวานกับพยาบาลสาวรายหนึ่ง และได้พยายามเดินตามพยาบาลสาว ขณะที่พยาบาลสาวกำลังเดินไปซื้อข้าวที่ร้านค้าสหกรณ์ของโรงพยาบาล

แต่ด้วยพฤติกรรมที่ผิดสังเกต พยาบาลสาวจึงได้สอบถามว่าเดินตามทำไม แต่นายสมชายอ้างว่าจะไปห้องน้ำ แต่ก็ยังคงเดินตามพยาบาลสาวอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดพยาบาลสาวเห็นท่าไม่ดี จึงได้ด่าออกไป 1 คำ ก่อนที่นายสมชายจะตัดสินใจเดินแยกทางออกไป

เมื่อพยาบาลสาวไปทำธุระเสร็จแล้ว พอเดินกลับขึ้นมาบนตึก ก็ได้ยินเสียงของคุณหมอกรีดร้องเสียงดัง เพราะนายสมชายบุกเข้าไปภายในห้องคุณหมอบนตึกผู้ป่วย ซึ่งกำลังพยายามที่จะลวนลามคุณหมอสาว

แต่โชคดีที่ภายในห้องมีคุณหมอผู้ชายอยู่ด้วย จึงได้ตาม รปภ.ของโรงพยาบาล และช่วยกันควบคุมตัวนายสมชายเอาไว้ได้ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวและนำลงมาจากอาคารผู้ป่วย

นางสุคนธ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 61 ปี ซึ่งเป็นแม่ของนายสมชายได้เดินเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ พร้อมบอกว่า ตนเดินตามหาลูกตั้งนาน หลังจากเมื่อเวลา 05.00 น. ตนเดินทางมาจาก ต.หนองไม้แก่น อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อพาลูกชายมาหาหมอจิตเวช ตามที่หมอนัด

นางสุคนธ์ กล่าวต่อว่า ช่วงที่ตนกำลังติดต่อทำเอกสารอยู่นั้น ไม่รู้ว่าลูกชายเดินหายไปไหน พยายามเดินตามหาแต่ก็ไม่พบ จนกระทั่งมาพบว่าลูกชายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวเอาไว้ เพราะมีพฤติกรรมพยายามจะลวนลามพยาบาลและคุณหมอ

นางสุคนธ์ ให้การว่า ความจริงแล้วตนไม่อยากพานายสมชายมา เพราะรู้ว่าเป็นคนอย่างไร แต่ก็ปล่อยไว้ที่บ้านไม่ได้ เนื่องจากนายสมชายมักแอบเดินไปที่โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งใกล้กับที่บ้าน และพยายามจะไปลวนลามคุณครูที่นั่น จนทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้เข้ามาในพื้นที่ของโรงเรียน ถ้าเข้ามาก็จะถูกด่าและไล่ออกไป

นางสุคนธ์ ให้การต่อว่า พอตนนำนายสมชายออกไปขายของตามตลาดนัดด้วย เพื่อหาเงินมาไว้ใช้จ่ายในครอบครัว ตลาดก็ไม่ให้ตนเอานายสมชายมาขายของ เนื่องจากนายสมชายจะมีพฤติกรรมในลักษณะแบบนี้กับร้านค้าด้วยกัน และชาวบ้านที่เดินมาจับจ่ายซื้อสินค้าภายในตลาด ทำให้ไม่สามารถออกไปขายของได้ เพราะต้องคอยเฝ้านายสมชายอยู่ที่บ้าน

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังทำการควบคุมตัวนายสมชายไว้บนท้ายรถตำรวจ นายสมชายได้มองหน้าพยาบาล และพูดไม่หยุดว่า อยากได้พยาบาลคนนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ฝากเตือนผู้ปกครองหรือญาติพี่น้องที่มีผู้ป่วยทางจิตเวช ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะอาจจะเป็นอันตรายกับผู้อื่นได้ หากขาดการควบคุมดูแล และเอาใจใส่

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่พยาบาลและคุณหมอ ได้เดินทางไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ส่วนการดำเนินคดีนั้นคงต้องอยู่ที่เจ้าหน้าที่ ว่าจะดำเนินการได้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากผู้ที่ก่อเหตุในครั้งนี้เป็นผู้ป่วย


https://www.khaosod.co.th
27 มี.ค.2567

24
เมื่อปี 2509 คณะสำรวจโบราณคดีกรมศิลปากร มหาวิทยาลัยฮาวาย ทำการขุดค้นที่โนนนกทา ต. บ้านโคก อ. ภูเวียง จ. ขอนแก่น หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบที่นี้ แสดงว่า พื้นที่เมืองไทย “ทำนาปลูกข้าว” มาแล้วประมาณ 5,500 กว่าปี ก่อนการปลูกข้าวที่จีนหรืออินเดียราว 1,000 ปี ทั้งเป็นการสนับสนุนสมมติฐานที่ว่า ข้าวเริ่มปลูกในเอเชียอาคเนย์ในสมัยหินใหม่ ก่อนแพร่ขึ้นไปสู่อินเดีย, จีน, ญี่ปุ่น และเกาหลี

หนึ่งในหลักฐานโบราณคดีสำคัญที่สุด ได้แก่ “รอยแกลบข้าว” ซึ่งติดอยู่ที่เศษเครื่องปั้นดินเผาใต้หลุมศพ หาอายุโดยตรวจคาร์บอน 14 ได้อย่างน้อยที่ 3,500 ปีก่อน ค.ศ. แกลบของเมล็ดข้าวดังกล่าวเป็นข้าวที่คนปลูก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Oryza sativa ข้าวพวกนี้แยกออกเป็น 2 พันธุ์ใหญ่ คือ

1. อินดิคา (Indica) เป็นข้าวขึ้นในแถบร้อน ต้นมักจะสูง ฟางอ่อน เมล็ดมักยาว เป็นข้าวที่ปลูกกันในไทย ประเทศใกล้เคียง และทั่วไปในแถบร้อน

2. จาปอนนิคา (Japonica) ปลูกกันในญี่ปุ่น เกาหลี บางส่วนของไต้หวัน และสาธารณรัฐประชาชนจีน และทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา เมล็ดป้อม ต้นเตี้ย ฟางแข็ง เมื่อหุงต้มเมล็ดจะไม่ร่วน มักจะติดกันค่อนข้างแข็ง

พ.ศ. 2510 นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Tottor และกระทรวงเกษตรและป่าไม้ เริ่มต้นศึกษาวิจัยแกลบข้าวจากแผ่นอิฐโบราณในไทย 108 แห่ง จาก 39 จังหวัดทั่วทุกภาคของไทย ใช้เวลา 3 ปี (พ.ศ. 2510-2512)

การวิจัยแบ่งได้เป็น 4 ระยะคือ ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16, ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-20, ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-23 และระยะหลังพุทธศตวรรษที่ 23 ส่วนข้าวที่พบในแผ่นอิฐจากประเทศไทยแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ ข้าวเมล็ดป้อม, ข้าวเมล็ดใหญ่ และข้าวเมล็ดเรียว ผลการวิจัยปรากฏว่า

1. ก่อนพุทธศตวรรษที่ 16 มีข้าวเมล็ดป้อมมาก รองลงมาได้แก่ข้าวเมล็ดใหญ่ ข้าวเมล็ดเรียวพบบ้างโดยพบมากที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ไม่พบข้าวเมล็ดเรียวในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

2. ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-20 ก็ยังพบข้าวเมล็ดป้อมอยู่เช่นสมัยก่อน ข้อที่น่าสังเกตคือ ข้าวเมล็ดเรียวกลับทวีจำนวนมากขึ้น พบอยู่ทั่วประเทศ ส่วนเมล็ดข้าวใหญ่กลับมีจำนวนลดน้อยลง

3. ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-23 ข้าวเมล็ดป้อมพบกระจายทั่วไป ส่วนข้าวเมล็ดเรียวกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะที่ราบภาคกลาง ส่วนข้าวเมล็ดใหญ่กลับมีจำนวนลดลง

4. ระยะหลังพุทธศตวรรษที่ 23 เป็นต้นมา ข้าวเมล็ดเรียวพบมากที่สุด มีผู้นิยมปลูกข้าวเมล็ดเรียวกันอย่างมากในที่ราบภาคกลาง ส่วนข้าวเมล็ดป้อมและเมล็ดใหญ่กลับไปปลูกกันเฉพาะที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

สรุปได้ว่า “ข้าวเมล็ดป้อม” ปลูกกันอยู่ทั่วไปกว่า 1,000 ปี ก่อนพุทธศตวรรษที่ 11 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 23 ข้าวพันธุ์นี้คล้ายพันธุ์จาปอนนิคา หลังพุทธศตวรรษที่ 23 คงพบปลูกมากอยู่ที่ภาคเหนือ กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่หายไปจากภาคกลาง ข้าวเมล็ดป้อมนี้น่าจะได้แก่ “ข้าวเหนียว” ที่งอกงามในที่ลุ่ม (the glutinous–lowland variety)

ส่วน “ข้าวเมล็ดใหญ่” พบอยู่ทั่วไป เมื่อพุทธศตวรรษที่ 20 มีจำนวนลดน้อยลง โดยเฉพาะในภาคกลางเกือบสูญพันธุ์ จากแผนที่แสดงชั้นสูง (contour map) ของไทยพบว่า ข้าวเมล็ดใหญ่งอกงามอยู่ตามภูเขาหรือที่ราบสูง ที่ภาคเหนือปลูกข้าวเหนียวที่งอกงามได้ในที่สูงมาก ข้าวเมล็ดใหญ่นี้ก็น่าจะเป็น “ข้าวเหนียว” ที่งอกงามในที่สูง

“ข้าวเมล็ดเรียว” นั้น เมื่อก่อนพุทธศตวรรษที่ 16 อยู่ในทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-23 ปรากฏว่ามีผู้ปลูกข้าวเมล็ดเรียวกันในทุกภาค โดยเฉพาะภาคกลางปลูกมากกว่าที่อื่น ในภาคกลางข้าวเมล็ดเรียวก็เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้าวเมล็ดเรียวนี้ได้แก่ “ข้าวเจ้า”

ส่วนการ “ทำนาปลูกข้าว” ในประเทศไทย มีมาแล้วกว่า 5,000 ปี

สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) มีการปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและเมล็ดใหญ่
สมัยศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13-18) ที่ภาคใต้มีการปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและข้าวเจ้า
สมัยลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 16-19) ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและเมล็ดใหญ่กับข้าวเจ้า ภาคกลางนิยมปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมมาก และปลูกข้าวเจ้ามากขึ้น
สมัยเชียงแสน (พุทธศตวรรษที่ 17-25) ปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและเมล็ดยาวกับข้าวเจ้า ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าข้าวเหนียว
สมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19-20) ปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมมาก ข้าวเหนียวเมล็ดยาวมีบ้าง เริ่มปลูกข้าวเจ้ามากขึ้น
สมัยอยุธยา (พ.ศ. 1893-2310) ตอนต้น ปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อม ข้าวเหนียวเมล็ดยาวมีบ้าง เริ่มปลูกข้าวเจ้ามากขึ้น

ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-23 ปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อมบ้าง ข้าวเหนียวเมล็ดยาวเกือบสูญพันธ์ุ แต่ข้าวเจ้านิยมปลูกมากขึ้นหลายเท่า


เว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม
27 มีค 2567

25
เมื่อวันที่ 25 มี.ค. บรรดาอาจารย์แพทย์ในเกาหลีใต้เริ่มยื่นใบลาออกและลดชั่วโมงทำงาน เพื่อสนับสนุนการหยุดงานประท้วงของแพทย์ฝึกหัด แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามพูดคุยเกี่ยวกับแผนการปฏิรูปเพิ่มจำนวนนักศึกษาแพทย์ก็ตาม

คณาจารย์จากโรงเรียนแพทย์ 19 แห่งจาก 40 แห่ง ซึ่งเป็นแพทย์อาวุโสในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วม โดยระบุว่า พวกเขาจะ “ยื่นใบลาออก” แต่จะยังคงทำงานต่อไป

ปัจจุบัน แพทย์ฝึกหัดมากกว่า 90% ของประเทศได้นัดหยุดงานในรูปแบบของการลาออกครั้งใหญ่ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. เพื่อประท้วงการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะเพิ่มโควตานักเรียนแพทย์อีก 2,000 ที่นั่ง

แนวโน้มการเจรจาระหว่างรัฐบาลและวงการแพทย์เกี่ยวกับการหยุดงานประท้วงมีขึ้นเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ในขณะที่ประธานาธิบดี ยุน ซอก-ยอล เรียกร้องให้มีมาตรการยืดหยุ่นเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของรัฐบาลในการระงับใบอนุญาตของแพทย์ฝึกหัดที่หยุดงานประท้วง

อย่างไรก็ตาม อาจารย์แพทย์อีกกลุ่มหนึ่งเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกแผนการปฏิรูปที่เพิ่มที่นั่งในโรงเรียนแพทย์ โดยกล่าวว่าพวกเขาจะยอมหารือกับรัฐบาลเฉพาะในกรณีที่แผนถูกยกเลิกเท่านั้น
ข้อเรียกร้องของสมาคมศาสตราจารย์แพทย์แห่งเกาหลีคาดว่าจะทำให้ความพยายามของรัฐบาลที่จะจัดการเจรจากับแวดวงการแพทย์มีความซับซ้อนขึ้น

“เว้นแต่รัฐบาลจะยกเลิกแผนการเพิ่มจำนวนนักศึกษาแพทย์และถอนการจัดสรรที่นั่ง วิกฤตการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่นี้จะไม่สามารถยุติได้ ... หากรัฐบาลเต็มใจที่จะยกเลิกแผน เราก็พร้อมที่จะหารือเกี่ยวกับประเด็นที่ค้างคาอยู่ทั้งหมดต่อหน้าประชาชน” สมาคมฯ ระบุ

อาจารย์แพทย์จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยยอนเซ ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ได้ยื่นใบลาออกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยจำนวนที่แน่นอน

ในทำนองเดียวกัน คณาจารย์โรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยอุลซานก็มีการเคลื่อนไหวที่คล้ายคลึงกัน ส่งผลให้อาจารย์แพทย์ 433 คนจากทั้งหมดประมาณ 1,000 คนลาออก

ส่วนอาจารย์โรงเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลและโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ก็เริ่มสมัครใจยื่นใบลาออกเช่นกัน

นอกจากนี้ อาจารย์แพทย์จะเดินหน้าแผนลดชั่วโมงทำงานรายสัปดาห์ลงเหลือ 52 ชั่วโมง โดยปรับลดการผ่าตัดและการรักษาทางการแพทย์อื่น ๆ

ด้านรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้ โช คยูฮง กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งทำงานเพื่อจัดการเจรจากับวงการแพทย์

“กระทรวงที่เกี่ยวข้องได้เริ่มการเตรียมการระดับคนงานทันทีเพื่อจัดการเจรจากับวงการแพทย์ เราจะจัดการประชุมระหว่างรัฐบาลและวงการแพทย์โดยเร็วที่สุด” โชกล่าว

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าการเจรจากับวงการแพทย์จะสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้หรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลได้จัดสรรที่นั่งสำหรับมหาวิทยาลัยเพิ่ม 2,000 ที่นั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่า รัฐบาลจะไม่ถอยจากแผนดังกล่าว

รัฐบาลกำลังผลักดันให้เพิ่มโควตาการรับนักศึกษาแพทย์เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแพทย์ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและสาขาการแพทย์ที่จำเป็น แต่แพทย์แย้งว่า การเพิ่มโควตาจะกระทบต่อคุณภาพของการศึกษาทางการแพทย์และบริการ และสร้างแพทย์ส่วนเกิน และรัฐบาลจะต้องคิดค้นวิธีการที่ดีขึ้นในการชักจูงแพทย์จำนวนมากขึ้นมาปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ไม่เป็นที่นิยม

เรียบเรียงจาก Yonhap
25 มี.ค.2567
PPTVHD36

26


สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงศึกษาธิการ เป็นปีที่ 132 ในวันที่ 1 เมษายน 2567 สำหรับลงพิมพ์ในหนังสือที่ระลึกวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงศึกษาธิการ ครบรอบ 132 ปี ความว่า

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระอนุศาสน์สั่งสอนไว้ว่า “อนตฺถํ ปริวชฺเชติ อตฺถํ คณฺหาติ ปณฺฑิโต.” แปลความว่า “บัณฑิตย่อมเว้นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ถือเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์.” ดังนี้ ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติงานในฐานะครู อาจารย์ ผู้บริหาร และผู้จัดการศึกษาของชาติ จำเป็นต้องรู้จักฝึกฝนอบรมตนให้ถึงพร้อมด้วยปัญญาสอดส่องหลักแหลม ในอันที่จะรู้จำแนกแยกแยะสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ เพื่อให้เป็นบัณฑิต ผู้สามารถปฏิบัติบริหารภารกิจด้านการศึกษา ซึ่งเป็นเหตุโดยตรงต่อความรุ่งเรืองของชาติได้อย่างฉลาดรอบคอบ ไม่เผลอนำสิ่งไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์ หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนามนุษย์ เข้ามาเพิ่มพะรุงพะรังในการศึกษาของชาติ หากแต่ต้องเป็นผู้รู้รอบรู้ชัดที่จะจัดแจงแก้ไขปัญหาและอุปสรรค พร้อมสร้างเสริมสิ่งดีมีสาระมาสู่กระบวนการจัดการศึกษาของชาติ ยังให้การศึกษาเป็นกระบวนการแห่งความสุข เป็นสิ่งสวยงามสำหรับชีวิตผู้เรียน อันจักเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เรียนปรารถนาที่จะศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้งจนตลอดชีวิต

กระทรวงศึกษาธิการทำหน้าที่สร้างสรรค์สังคมไทยมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานถึง 132 ปี เป็นที่น่าอนุโมทนา ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจึงพึงอบรมตนให้เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาอย่างบัณฑิต เพื่อให้บังเกิดสัมฤทธิผลต่ออนาคตของสังคมส่วนรวมได้อย่างยั่งยืน สมตามนัยแห่งพระพุทธานุศาสนี

ขออำนวยพรให้กระทรวงศึกษาธิการ เจริญวัฒนาสถาพร สามารถสรรค์สร้างคุณูปการให้แก่สังคมไทย สืบไปตลอดกาลนาน


(สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ)

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

27
สืบเนื่องจาก ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ขับรถชน หมอกระต่าย ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 25 มี.ค. ศาลแพ่งนัดอ่านคำพิพากษาคดีแพ่ง หมายเลขดำที่ พ 846/2565 ที่ นพ.อนิรุทธ์ สุภวัตรจริยากุล นางรัชนี สุภวัตรจริยากุล เป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก จำเลย 1-2 โดยโจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีละเมิด ใจความโดยสรุปว่า โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ แพทย์หญิงว0ราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล ผู้ตาย หรือ หมอกระต่าย  จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 จำเลยที่ 2 เป็นข้าราชการตำรวจสังกัดจำเลยที่ 1 ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ กองร้อยที่ 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (กก.1 บก.อคฝ.)

โดย เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2565 เวลาประมาณ 15.00-16.00 น. จำเลยที่ 2 ขณะปฏิบัติหน้าที่รับเอกสารราชการไปส่งให้แก่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานในสังกัดจำเลยที่ 1 ได้ขี่จักรยานยนต์ออกจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลด้วยความเร็วประมาณ 108-128 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แซงขึ้นหน้ารถคันอื่นในระยะไม่ถึง 30 เมตร ก่อนถึงทางม้าลาย โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง พุ่งชนผู้ตาย ขณะเดินข้ามทางม้าลายบริเวณหน้าโรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ไม่ให้การช่วยเหลือ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย หลังเกิดเหตุประมาณ 30-60 นาที

จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ควบคุมดูแล กำกับการปฏิบัติงาน และธำรงวินัยของข้าราชการตำรวจ ปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ 2 ใช้รถจักรยานยนต์ที่ผิดกฎหมายในการปฏิบัติงาน ขับรถจักรยานยนต์ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และไม่จัดให้จำเลยที่ 2 เข้ารับการฝึกอบรมขับรถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานจราจร ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยบนท้องถนน ละเลยไม่จัดทำมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุตรงทางม้าลาย อันเป็นผลโดยตรงทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนั้น จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในผลแห่งละเมิดดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการจัดการศพเป็นเงินจำนวน 539,493 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 537,505 บาท และค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงินจำนวน 72,266,301 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 72,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง

ล่าสุด ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง กำหนดให้จำเลยที่ 1 เป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นนิติบุคคลอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี และมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้… (2) ดูแล ควบคุม และกำกับการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจซึ่งปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่น และ มาตรา 11 และมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ได้กำหนดให้จำเลยที่ 1 แบ่งส่วนราชการออกเป็นส่วนต่างๆ ดังนั้น หน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงหน้าที่โดยทั่วไปที่จะควบคุม กำกับดูแล บังคับบัญชาส่วนราชการและข้าราชการตำรวจในสังกัดจำเลยที่ 1 ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และนโยบายของจำเลยที่ 1 ในภาพรวม โดยมีผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นควบคุม กำกับดูแล บังคับบัญชาให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตนธำรงไว้ซึ่งวินัยของข้าราชการ

การที่จำเลยที่ 2 ไม่ประพฤติตนธำรงวินัยของข้าราชการตำรวจ ใช้รถจักรยานยนต์ผิดกฎหมายไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ไม่มีประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 ไม่เสียภาษีประจำปี ไม่ติดกระจกมองข้างและขับรถฝ่าฝืนกฎจราจร ผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 2 ได้ตั้งคณะกรรมการดำเนินการทางวินัยและพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลยที่ 2 ได้ความจาก พ.ต.ท.มนตรี ผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 2 ว่า ภายหลังเกิดเหตุ ผู้บังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน ต้นสังกัดจำเลยที่ 2 มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการทางวินัย และได้พิจารณาลงโทษกักขัง 30 วัน ตามสำเนาคำสั่งกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน ที่ 10/2565 และพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาจำเลยที่ 2 เพิ่มเติมว่า ขับรถจักรยานยนต์ไม่ชิดขอบทางด้านซ้าย ขับรถไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายบนพื้นทาง (ไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย) นำรถจักรยานยนต์ที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาใช้ในทาง นำรถที่ยังไม่ได้เสียภาษีประจำปีมาใช้ในทาง นำรถจักรยานยนต์ที่ไม่จัดให้มีประกันความเสียหายตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มาใช้ในทาง ใช้รถที่มีส่วนควบหรือเครื่องอุปกรณ์ไม่ครบถ้วน (ไม่มีกระจกมองข้าง) ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น และขับรถจักรยานยนต์ในทางเดินรถในเขตกรุงเทพมหานครโดยใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลอาญา ศาลมีคำพิพากษาเป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ1049/2565 ว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง เมื่อพฤติกรรมการขับขี่และใช้รถจักรยานยนต์ฝ่าฝืนกฎหมายเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 ที่ขาดความสำนึกรู้ผิดชอบ ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาวินัยจราจร และปฎิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ควบคุม เสริมสร้างความประพฤติ และวินัยข้าราชการตำรวจ ซึ่งจำเลยที่ 2 เคยเข้าร่วมอบรมประชุมกวดขันระเบียบวินัยเกี่ยวกับความประพฤติและระเบียบข้าราชการตำรวจที่หน่วยงานต้นสังกัดจัดขึ้นตามคำสั่งจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจโดยลำพังในการจัดระเบียบจราจร ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการจัดการระบบจราจร โดยมีกระบวนการและขั้นตอนดำเนินงานร่วมกันหลายหน่วยงาน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระทรวงคมนาคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ดังนั้น จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานจราจรมีหน้าที่ดูแลการจราจร รักษาความปลอดภัยบนท้องถนนให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งและนโยบายเป็นหน้าที่โดยทั่วไป หาใช่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบโดยเฉพาะของจำเลยที่ 1 เพียงหน่วยงานเดียว เมื่อเหตุคดีนี้เกิดจากที่จำเลยที่ 2 กระทำละเมิดขี่รถจักรยานยนต์ชนผู้ตายถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นนิติเหตุอันเป็นความรับผิดเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่อาจให้สัตยาบันเข้ารับเอาผลการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ได้ ดังนั้น จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ทั้งสอง

ในประเด็นว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ดั่งที่วินิจฉัยไว้ข้างต้นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำละเมิด จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง เหตุคดีนี้เกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 โดยลำพัง จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองเป็นการเฉพาะตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 บัญญัติให้ผู้กระทำละเมิดรับผิดใช้ค่าปลงศพรวมถึงค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นด้วย ในกรณีทำให้เขาถึงตาย ซึ่งการกำหนดค่าเสียหายดังกล่าว

ศาลจะต้องพิเคราะห์ถึงค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายตามจารีตประเพณีตามความจำเป็นและเหมาะสม ตลอดจนฐานานุรูปของผู้ตายและโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดา เมื่อพิจารณาตารางสรุปยอดค่าใช้จ่าย รายละเอียดค่าใช้จ่าย บิลเงินสด หลักฐานการชำระเงิน และภาพถ่ายงานศพซึ่งมีแขกร่วมงานจำนวนมาก ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และผู้บริหารระดับประเทศ ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอื่นๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 331,230 บาทนั้นเหมาะสมแล้ว กำหนดให้ตามขอ ส่วนค่ารักษาพยาบาลก่อนตาย เงินบริจาคมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และมูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก ค่าไอแพด กระเป๋า รองเท้า และเสื้อผ้าของผู้ตาย ไม่ใช่ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นตามคำขอโจทก์ทั้งสอง จึงไม่กำหนดให้ ส่วนค่าเรือลอยอังคาร โจทก์ทั้งสองไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากเป็นเรือของตำรวจน้ำไม่คิดค่าใช้จ่าย จึงไม่กำหนดให้

สำหรับค่าขาดไร้อุปการะ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคท้าย การกำหนดค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้จะต้องพิจารณาตามฐานานุรูปของผู้ตายและโจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดู ตลอดจนรายได้ของผู้ตายและระยะเวลาในการให้ความอุปการะเลี้ยงดูหากผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ ขณะเกิดเหตุ โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 มีอายุ 64 ปีเท่ากัน มีโอกาสได้รับการอุปการะตามกฎหมายได้ไม่น้อยกว่า 15 ปี ผู้ตาย อายุ 33 ปี ประกอบวิชาชีพจักษุแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทาง 2 สาขา อนุสาขาโรคจอตาและวุ้นตา และอนุสาขาโรคภูมิคุ้มกันและการอักเสบ ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งนายแพทย์ โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. 2564 ได้รับค่าจ้างเดือนละ 21,000 บาท และเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข (พ.ต.ส.) เดือนละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 31,000 บาท หากอยู่เวรนอกเวลาจะได้รับค่าตอบแทนครั้งละ 1,200 บาท ตามเอกสารหมาย จ.58 หรือ ล.73 และเอกสารหมาย จ.59 หรือ ล.74 ได้ความจาก พ.ต.ท.กมินทร์ สว่างจิตต์ ตำแหน่งสารวัตรฝ่ายธุรการกำลังพล กองบังคับการอำนวยการโรงพยาบาลตำรวจว่า

หากผู้ตายได้รับการคัดเลือกเป็นข้าราชการตำรวจในสังกัดโรงพยาบาลตำรวจในฐานะผู้มีคุณวุฒิ พบ.วว. สาขาจักษุวิทยา และอนุสาขาจักษุวิทยาภูมิคุ้มกันและการอักเสบ จะได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ (สบ.1) ชั้นยศว่าที่ร้อยตำรวจตรี และจะได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือนสูงขึ้นตามลำดับ นอกจากนั้น ผู้ตายทำงานนอกเวลาที่โรงพยาบาลเอกชนอีก 3 แห่ง มีรายได้เฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 1,800,000 บาท ถึง 2,400,000 บาท เมื่อมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากขึ้น ก็จะได้รับค่าตอบแทนมากขึ้นเป็น 3 ถึง 5 เท่า ซึ่งสอดรับกับคำเบิกความของนายแพทย์อดิศัย วราดิศัย จักษุแพทย์ด้านจอประสาทตาว่า

หากแพทย์มีอายุการทำงานมากขึ้น มีชื่อเสียง ทำงานหลายแห่ง จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเดือนละ 300,000 ถึง 500,000 บาท หรือมากกว่านั้น จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานหักล้างเป็นอย่างอื่น ดังนั้น หากผู้ตายมีชีวิตอยู่จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นตามประสบการณ์และอายุการทำงาน เมื่อคำนึงถึงโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ แม้จะมีรายได้จากเงินเดือน แต่อยู่ในวัยชรา มีปัญหาสุขภาพต้องไปพบแพทย์และรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง มีภาระค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวต่อเดือนจำนวนค่อนข้างสูง เห็นสมควรกำหนดค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 คนละ 13,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงิน 331,230 บาท 13,500,000 บาท และ 13,500,000 บาท ตามลำดับ นับแต่วันทำละเมิดวันที่ 21 ม.ค. 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

โดยศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 331,230 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง ชำระเงิน 13,500,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และชำระเงิน 13,500,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 21 ม.ค. 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

Thainewsonline
26  มี.ค. 2567

28
ต้องผ่าตัดสมอง ออฟฟี่ แม็กซิม เผยสาเหตุ-อาการล่าสุด สมองยังบวม ยังอยู่ที่ ICU งานที่รับไว้ ไม่มีความต้องการที่จะเบี้ยวงานแต่อย่างใด

เฟซบุ๊ก Yuttana Sutthiprapha เปิดภาพล่าสุด ออฟฟี่ แม็กซิม หรือ อรพรรณ ด่านศิริพัฒนกุล ซึ่งก่อนหน้านี้ แตงโม ลูกสาวออฟฟี่ เผยพาไปส่งโรงพยาบาล หลังหลับไป 2 วัน

โดยเผยภาพล่าสุด เฟซบุ๊ก Yuttana Sutthiprapha ขณะสวมกอด ออฟฟี่ นอนบนเตียงคนไข้ พร้อมแคปชั่น

“พระคุ้มครองนะครับออฟฟี่ อยู่ในการดูแลของคุณหมออย่างใกล้ชิดแล้ว พี่ขอให้หนูปลอดภัย พักผ่อนเยอะๆนะคะเดี๋ยวก็หายแล้ว Orapan Dansiriwattanakun”

โดยก่อนหน้านั้นได้อัพเดตอาการ ออฟฟี่ ด้วยว่า “อัพเดดอาการของออฟฟี่นะครับ วันที่ 24 มีนาคม 2567 หลังจากเข้ารับการตรวจบริเวณสมองตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2567

เนื่องจากมีอาการปวดหัวมาในรอบหลายๆวันก่อนหน้านี้ คุณหมอทำการตรวจ MRI พบว่าบริเวณสมองซีกซ้ายมีเลือดออก

มีเส้นเลือดโป่งพอง หมอจึงสันนิษฐานว่าบริเวณนั้นคือต้นเหตุที่ทำให้เลือดไหลออกมา จึงต้องทำการยิงสีเพื่อตรวจหาสาเหตุ
วันที่ 21 มีนาคม 2567 ออฟฟี่ได้เข้ารับการการฉีดสีเข้าไปในสมอง พบว่ามีเส้นเลือดในสมองโป่งพองเป็นสาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกบริเวณสมองซีกซ้าย

จึงต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองโดยเร่งด่วน หลังจากเข้ารับการผ่าตัดต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ อาการของออฟฟี่มีการตอบสนองลืมตาดูได้บ้าง

แต่ด้วยสภาวะร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนแอ มีอาการสมองบวม จึงไม่สามารถสื่อสารได้ หลังจากนั้นตรวจพบว่ามีเส้นเลือดตีบบริเวณสมองซีกขวา

ทำให้สมองซีกขวาไม่ทำงาน ร่างกายซีกขวาไม่ตอบสนองหลังการผ่าตัด จึงต้องเข้ารับการผ่าตัดรอบที่ 2 เพื่อขยายหลอดเลือด

วันที่ 22 มีนาคม 2567 ออฟฟี่เข้ารับการผ่าตัดเพื่อขยายเส้นเลือด เพื่อเข้าไปเลี้ยงบริเวณสมองซีกขวา ปรากฏว่าผลจากการผ่าตัดออกมาค่อนข้างดี แพทย์ทำการรักษาได้เป็นอย่างดี

แต่ยังคงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ มีอาการสมองบวม ออฟฟี่มีการตอบสนองจ้องมองได้และน้ำตาไหล มือด้านซ้ายพยายามสื่อสารกับเรา มือและเท้าด้านขวามีการกระดิกเริ่มขยับได้บ้าง

พยาบาลที่ดูแลบอกว่าดีขึ้นมากกว่าเมื่อวาน เริ่มรู้สึกตัวยกหัวขึ้นหมอนได้และถามว่าเจ็บมั้ยก็พยักหน้าและก็มีการมองตามและสื่ออารมณ์ได้แต่ยังพูดกับเราไม่ได้เพราะใช้เครื่องช่วยหายใจ

วันที่ 23 มีนาคม 2567 อาการของออฟฟี่ตอนนี้ยังทรงตัวอยู่ ในห้อง ICU ยังคงให้ยาลดอาการสมองบวม ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

วันที่ 24 มีนาคม 2567 อาการล่าสุดของออฟฟี่ร่างกายฝั่งขวามีการตอบสนองสามารถยกมือขวาได้มากขึ้น แต่ยังมีอาการสมองบวม แพทย์จึงให้ยาลดบวมอย่างต่อเนื่อง ยังคงต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

ส่วนเรื่องงานที่ออฟฟี่รับไว้ ออฟฟี่ขอรบกวนขอความเห็นใจจากพี่ๆทุกคนด้วยนะคะ ออฟฟี่ไม่ได้หนีหายไปไหน หรือไม่มีความต้องการที่จะเบี้ยวงานแต่อย่างใด

ออฟฟี่ยืนยันว่าป่วยจริง ได้รับการรักษาอยู่ที่ ICU จริง หากออฟฟี่อาการดีขึ้น แล้วจะรีบกลับมาทำงานที่รับไว้โดยเร่งด่วน

หากมีเรื่องด่วนที่เกี่ยวกับงานที่ออฟฟี่รับไว้ สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 080-955-5456 ส่วนเรื่องอาการของออฟฟี่ ทางเราจะพยายามอัพเดทให้เรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ” ท่ามกลางคนบันเทิงและเพื่อนๆ แฟนๆ เข้ามาให้กำลังใจจำนวนมาก


26 มีนาคม 2567
ข่าวสด

29
แพทย์หญิง เปิดใจทั้งน้ำตา เสียใจอดีตสามีปลิดชีพในรพ.ยันเลิกกันด้วยดี และไม่มีสัญญาณก่อเหตุ เผยอดีตสามีพิมพ์จดหมายสั่งเสีย

ภายหลังแพทย์หญิงพรนิภา ศรีประเสริฐ หรือ หมอแอม กุมารแพทย์โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งย่านโชคชัย 4 เข้าให้ปากคำกับตำรวจนานเกือบ 2 ชั่วโมง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนทั้งน้ำตา บอกว่า ก่อนเกิดเหตุวันนี้ตัวเองได้เดินทางไปทำงานตามปกติ แล้วต่อมานายสุทธิภัสส์ อดีตสามี ก็ได้มาหา ซึ่งตัวเองได้พูดคุยทักทาย ว่า “ พี่มาทำอะไร ” แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ และนั่งรออยู่ในห้องตรวจ ตัวเองจึงเดินเข้าไปเตรียมพร้อมเพื่อออกตรวจคนไข้ในอีกห้องนึง ซึ่งเป็นห้องที่เชื่อมต่อกัน แล้วก็เห็นอีกฝ่ายแง้มประตู โผล่หน้าเข้ามาดู หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงปืนดังขึ้น

 ขณะที่หลังเกิดเหตุ ตัวเอง พบว่า ฝ่ายชายได้นำเอกสารติดตัวมาด้วย โดยตอนแรกตัวเองไม่ทราบว่าเป็นเอกสารอะไร เพราะฝ่ายชายได้นำเอกสารคว่ำหน้าไว้ แต่หลังจากเกิดเหตุตรวจสอบพบว่า เอกสารที่ฝ่ายนำมา มีการเขียนที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของพ่อแม่ฝ่ายไว้ แล้วมีการเขียนข้อความบางอย่างไว้ในเอกสารด้วย แต่ตัวเองไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดในข้อความได้ เพราะอยู่ในสำนวนกาาสอบสวน

หมอแอม ยืนยันว่า ก่อนเกิดเหตุตัวเองไม่ได้มีปัญหาหรือทะเลาะกันกับฝ่ายชาย เพราะเลิกกันด้วยดี และยังมีความปรารถนาดีต่อกันมาโดยตลอด โดยเมื่อวันที่ไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอ ก็ผ่านไปด้วยดี อีกทั้งต่างฝ่ายต่างยังอวยพรให้พบเจอแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต ซึ่งก็ไม่คาดคิดว่าฝ่ายชายจะมาก่อเหตุแบบนี้

หมอแอม บอกด้วยว่า หลังจากจดทะเบียนหย่ากันประมาณ 10 วัน วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับอดีตสามี โดยเป็นการพบกันแบบไม่ได้นัดหมาย จู่ๆฝ่ายชายก็เข้ามาหา ส่วนเรื่องอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ ยืนยันว่าระหว่างคบหากัน ไม่เคยเห็นอดีตสามีพกปืน และไม่มีพฤติกรรมชอบยิงปืน โดยอดีตสามี มีความสามารถด้านกีฬา แล้วมักจะชอบถ่ายทอดทักษะด้านกีฬาให้เด็กและเยาวชน ซึ่งก็จะชอบส่งภาพฝึกซ้อมกีฬามาให้ดู แม้ว่าจะเลิกรากันไปแล้ว

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตัวเองก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง และไม่ทราบด้วยว่าอดีตสามีมีปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจหรือไม่ เพราะหลังจากแยกทางกันก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวเรื่องเงินหรือเรื่องส่วนตัวกันอีก

 ทั้งนี้ ตัวเองเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วอยากฝากผ่านสื่อมวลชน เกี่ยวกับมาตรการป้องกันเหตุในโรงพยาบาล ซึ่งยืนยันว่าทางโรงพยาบาลมีมาตรการที่เข้มงวด แต่เนื่องจากอดีตสามีเคยไปหาตัวเองที่ทำงานประมาณ 2-3 ครั้งแล้วเจ้าหน้าที่เคยเห็นหน้า จึงให้เข้าไปนั่งรอ

ขณะที่ทีมข่าวตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากทางตำรวจ ทราบว่า เอกสารที่นายสุทธิภัสส์ คนตาย นำมามอบให้กับแพทย์หญิงพรนิภา หรือ หมอแอม อดีตภรรยา เป็นกระดาษ A4 ที่พิมพ์และปริ้นออกมาจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นคำสั่งเสีย เกี่ยวกับเรื่องพินัยกรรม ระบุไว้ทำนองว่า ถ้าได้เจอจดหมายฉบับนี้แปลว่าตัวเองได้เสียชีวิตแล้ว และให้อดีตภรรยาช่วยติดต่อแม่และญาติตามเบอร์โทรศัพท์ที่พิมพ์ไว้ในเอกสาร เพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับพินัยกรรม และการจัดการทรัพย์สินต่างๆ

โดยในเอกสารไม่ได้มีการพิมพ์ข้อความตัดพ้อหรือต่อว่าอดีตภรรยาแต่อย่างใด

Amarin TV News
26 มีค 2567

30
ด่วน !! ผัวเก่าง้อเมียหมอไม่สำเร็จ ลั่นไกตัวเองดับที่ชั้น 2 โรงพยาบาลดังย่านโชคชัย 4 พบเพิ่งหย่ากันได้ 1 สัปดาห์

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีออนไลน์ได้รับการเปิดเผยจาก ร้อยเวร สน.โชคชัย เปิดเผยว่าเกิดเหตุยิงกัน ภายใน ชั้น 2 โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ย่านโชคชัย 4 จากการตรวจสอบพบว่าเป็นเหตุยิงตัวเองตาย ผู้ก่อเหตุเป็นสามี อายุ 46 ปี เดินทางมาหาอดีตภรรยา ซึ่งเป็นหมอ อายุ 36 ปี ใน รพ.ดังกล่าว

โดยก่อนก่อเหตุ ฝ่ายสามีได้ยื่นซองเอกสาร ให้อดีตภรรยา แล้วบอกว่า "พี่รออยู่ในห้องนี้นะ" ก่อนจะได้ยินเสียงปืนลั่นไกใส่ตัวเองเสียชีวิต

จากการตรวจสอบทราบว่าทั้งคู่เพิ่งหย่ากันได้เพียง 1 สัปดาห์ คาดว่าคงมาง้อขอคืนดี แต่เกิดเครียดจบชีวิตตัวเองเสียก่อน

ขณะนี้คุณหมอ อดีตภรรยาของผู้ก่อเหตุ อยู่ในอาการเศร้าเสียใจไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูล

25 มี.ค. 67
www.amarintv.com

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 650