แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 548 549 [550] 551 552 ... 554
8236
ข่าวสมาพันธ์ / มันต้องถอน..มันต้องถอย
« เมื่อ: 30 มิถุนายน 2010, 23:35:58 »
               ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขพ.ศ. ....
                     มันต้องถอน.............มันต้องถอย เพราะ ประชาชนส่วนใหญ่เสียประโยชน์   มีผลกระทบต่อระบบบริการสาธารณสุข    แต่ประชาชนส่วนน้อยคือผู้เสียหาย  และกลุ่ม  NGO บางกลุ่มที่ต้องการมีอำนาจควบคุมเงิน ได้ประโยชน์
เหตุผล
   
1.ชื่อไม่เป็นมงคล  ต่อวงการแพทย์ ส่อเค้าให้เกิดความเสียหายเป็นอาจินต์ ในความเป็นจริงไม่ใช่   ไม่ใช่เจตนารมณ์ของการแพทย์และการสาธารณสุข เราต้องการให้ผู้ป่วยหายจากโรคมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี

2. ชื่อ และเนื้อหาไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย  ทำลายสัมพันธภาพที่ดีระหว่างแพทย์และผู้ป่วย     และยิ่งตอกย้ำความไม่ไว้วางใจให้ร้าวลึกมากขึ้น   แพทย์ตรวจผู้ป่วยด้วยความระแวงว่าจะเกิดการฟ้องร้องหรือไม่   เกิดปรากฏการณ์ การแพทย์ที่ปกป้องตนเอง(defensive  medicine)     ซี่งคนทั่วไปยากที่จะเข้าใจ   ปัญหานี้เกิดขึ้นในปัจจุบันตั้งแต่ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ ฯ ม.41  ม42   และจะเกิดมากขึ้นในอนาคต ดังนี้ 
   2.1 ค่าใช้จ่ายในการแพทย์บานปลายมากขึ้นทั้งของรัฐและเอกชนเพราะแพทย์จะส่งตรวจและให้การรักษาเกินความจำเป็น  ร.พ.รัฐขาดทุน  505 แห่ง ต้นเหตุแห่งพ.ร.บ.ประกันสุขภาพฯ ( งบประมาณฯไม่พอ  ม.41และ ม.42 )  เราได้เตือนท่านแล้วแต่ไม่รับฟัง   หากเรียกเก็บเงินจากร.พ.ที่ขาดทุนอีกจะกระทบต่องานบริการของผู้ป่วยส่วนใหญ่อย่างแน่นอน
  2.2ผู้ป่วยหนักมีปัญหาซับซ้อนและรักษายากถูกส่งไปร.พ.ใหญ่มากขึ้น  รอคิวยาว  จนเสียชีวิตไปก่อน
  2.3ผู้ป่วยที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง  ฉุกเฉินและรุนแรงเมื่อถูกส่งต่อจะได้รับการปฏิเสธ จนต้องเสียชีวิต ณ
ร.พ.เดิม เพราะไม่มีศักยภาพที่จะรักษา  และขาดขวัญกำลังใจในการพัฒนาการรักษาในโรคที่ยาก  เพราะทำแล้วร.พ.ขาดทุน  ผุ้รักษาเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องสูง

3.ไม่สอดคล้องเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในประเด็นดังนี้
   3.1เลือกปฏิบัติไม่ให้ความเท่าเทียมในด้านสิทธิของทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการซี่งเกิดความเสียหายได้ทั้งคู่  เช่น  การติดโรคจากผู้รับบริการ   การถูกบังคับอยู่เวรนอกเวลาราชการจนสุขภาพกายและจิตเสื่อม   การรับผลกระทบจากรังสีและเคมีบำบัด    คุณภาพชีวิตที่แย่ลงฯลฯ
   3.2 ผู้ให้บริการตามมาตรฐานวิชาชีพไม่ได้รับการคุ้มครองทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ตามรัฐธรรมนูญ  ในร่างพ.ร.บ.นี้  คณะกรรมการฯไม่มีตัวแทนสภาวิชาชีพในการประเมินมาตรฐานวิชาชีพ  การให้บุคคลอื่นที่ไม่เข้าใจหลักการแพทย์ย่อมไม่ยุติธรรมและไม่ถูกต้อง
   3.3 มีการบังคับจ่ายเงินทั้งจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งกระทบสิทธิและเสรีภาพอย่างแรง    แต่ไม่มีการทำประชาพิจารณ์ ในบุคคลที่เกี่ยวขอ้ง

4.อายุความยาว 10 ปี  ยืดเยื้อยาวนาน  เช่นเดียวกับคดีอาญา สร้างความวิตกกังวล  รบกวนสมาธิการทำงาน  มีผลกระทบต่อผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่รับบริการ    ทำให้สูญเสียแพทย์ที่ดีออกจากระบบเพียงแค่ถูกกล่าวหา   

5.ภาระค่าใช้จ่ายจะถูกผลักไปยังผู้ป่วยที่รักษากับ คลินิกและร.พ.เอกชน

6.เพิ่มหน่วยงานที่มารับผิดชอบในการจ่ายเงิน   สร้างภาระงบประมาณและ  สร้างปัญหาเช่นเดียวกับสปสช.  ที่เรียกว่าเสือนอนกิน  ไม่มีหน่วยงานใดตรวจสอบ  และคานอำนาจ  บีบบังคับร.พ.ต่างๆโดยใช้เงินเป็นตัวล่อ   ซี่งรอ ฯพณฯ ร.ม.ต.สธ.มาแก้ไข     หากเกิดเสือ 2 ตัว ในวงการสาธารณสุข อีก  มวลชนบุคลากรสาธารณสุขจะหมดความอดกลั้น  จะเกิดการประท้วงกลางกระทรวงแน่นอน    ท่านเตรียมรับมือไว้ได้เลย

ทางออกของประชาชน
1.พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ ม.41 ควรครอบคลุมผู้ป่วยทุกประเภท และตัดเงินไปไว้ที่สถานบริการ  ดำเนินการเอง อย่าเอาไว้กับเสือนอนกิน (สปสช.)

2.รับเงินจากกองทุนต้องยุติคดีแพ่งและอาญา  หากไม่พีงพอใจ ประชาชนไปฟ้องศาลตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคได้ซี่งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น  รวดเร็วมีระบบเจรจาไกล่เกลี่ย    ซี่งศาลให้ความยุติธรรมอยู่แล้ว  ไม่ต้องตั้งคณะกรรมการใหม่  ไม่ต้องตั้งองค์กรใหม่เสียงบประมาณแผ่นดิน  ซี่ง แย่กว่าเดิมองค์ประกอบไม่น่าเชื่อถือ

3.ผู้ร่วมจ่าย มี สปสช.รัฐบาล  สำนักงานประกันสังคม 

4.ผู้ป่วยรักษาคลินิกเอกชนและร.พ.เอกชน  หากมีปัญหาสามารถบริหารจัดการได้เองอยู่แล้ว  ไม่ต้องรวมในพ.ร.บ.ดังกล่าว  ยกเว้นสมัครใจ
       เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ที่แท้จริงควรถอนร่าง พ.ร.บ.ออกจากสภาผู้แทนราษฎรก่อน   และ เริ่มต้นใหม่ในสิ่งที่ดีกว่า   ด้วยความรอบคอบรอบด้านและประชาชนทุกฝ่ายมีส่วนร่วม     
                                                พญ.สุธัญญา     บรรจงภาค   

8237
ข่าวสมาพันธ์ / บทสนทนา---หมอ-คนอันตราย ?
« เมื่อ: 24 มิถุนายน 2010, 09:48:57 »
ประชาชนคนหนึ่ง---ในสายตาของคนกลุ่มหนึ่ง ..หมอ ก็คือ คนที่อันตรายต่อสังคมผู้ใช้บริการทางสาธารณสุข ดังนั้น จึงต้อง ออก พรบ.เยียวยา....

หมอคนหนึ่ง---คนขับรถเมล์ แท็กซี่ คนขับเรือเมล์ ตำรวจ ครู ทนายความ พ่อค้า ผู้รับเหมา คนงานก่อสร้าง มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ฯลฯ แม้แม่ค้าขายส้มตำ ก็อันตราย

หากคนมันคิดจะทำชั่ว หรือแม้เลินเล่อ แม่ค้าขายส้มตำก็อาจนำเชื้อ
โรคร้ายแรงให้ลูกค้ากิน แล้วมีพรบ.คุมครองไหมครับ? อันตรายไม่ต่างกัน

มีครั้งหนึ่งยังไม่มีกฎหมายฟ้อร้อง มาตรา๔๑ ผมผ่าตัดให้ ปรากฏว่า ผู้ป่วยมีอาการออกซิเจนในเลือดต่ำลง ตรวจพบว่า หลอดลมหดตัว ไม่รู้สาเหตุมาก่อน ก็ช่วยให้รอดชีวิต แต่เพื่อความปลอดภัย ฝากนอนไอซียูเพื่อสังเกตอาการ

ญาติจะฟ้องครับ แค่อยากเรียกเงินจากผมเพราะคิดว่าหมอรวย ถึงเราช่วยให้รอดตายกลับบ้านอย่างปลอดภัย ผมช่วยสุดชีวิต

แม้ต่อมาเขาจะไม่ได้ฟ้องร้อง แต่เจอเรื่องเช่นนี้กระทบต่อศรัทธาที่ผมมีในความตั้งใจที่จะเป็นหมอที่ดี

อยากเป็นหมอของประชาชน เป็นอุดมการณ์ที่อยากจะช่วยคนให้พ้นทุกข์ ความเมตตาที่ผมมีความสุขใจที่ได้ช่วยชีวิตคน ครั้งนั้นไม่เหลือเลย ไม่รู้จะช่วยทำไม

คุณว่าอยากให้หมอทั้งหลายมีอาชีพแบบสิ้นศรัทธาไหมครับ?

ความรู้สึกค่อยๆฟื้นกลับมาใหม่ เมื่อผมเปลี่ยนแผนก.....

ครั้งหนึ่ง ก็มีเหตุการณ์กลัวฟ้องตามกฎหมายหลักประกันสุขภาพ ผมต้องการเลือดช่วยชีวิตเด็ก พ่อเด็กยอมเอาเลือดตนเองให้ลูก แต่คลังเลือดไม่ยอมทำ เพราะกลัวว่าเลือดพ่อหากมีเชื้อโรคแล้วติดลูก เจ้่าหน้าที่จะถูกฟ้องเอาความผิด ผมไปบอกว่า พ่อแม่เขารับรองและเซ็นต์ชื่อให้ ก็ไม่ยอม สุดท้ายผมเองต้องเป็นคนลงชื่อเป็นผู้รับผิดชอบ

ครั้งต่อๆมาก็พบว่า หมอถูกพิพากษาจำคุกในคดีหมอโรงพยาบาลชุมชนผ่าตัดแล้วผู้ป่วยเสียชีวิตจากปัญหาแทรกซ้อนจากการใช้ยาสลบ แม้ต่อมาจะอุทธรณ์แล้วไม่ต้องจำคุก ก็มีผลกระทบให้หมอโรงพยาบาลชุมชนแทบทั้งประเทศ งดการผ่าตัด ส่งเข้าจังหวัด

โรงพยาบาลเอกชนตามต่างจังหวัดก็ไม่น้อยที่กลัวฟ้องร้องอาการไม่ดีก็ส่งโรงพยาบาลจังหวัด เพราะเอกชนจริงๆแล้วก็เพียงดีด่านหน้า มาตรฐานคือที่แปะไว้ข้างฝา

เรื่องเสียศรัทธายังมีอีกมากครับ ส่วนตัวผมไม่ตำหนิใครแล้วครับเพราะเรื่องมันผ่านไปแล้ว ตอนนี้เพียงคิดอย่างเดียวว่า จะช่วยทั้งหมอ(รวมทั้งวิชาชีพสุขภาพที่ได้รับผลกระทบ)และคนไข้อย่างไร

แต่ผมก็ไม่ต้องการปกป้องหมอ(และผู้ประกอบวิชาชีพสุขภาพ)ที่ไม่ดีหรอกครับ หมอด้วยกันก็รู้ครับ ว่าเลวๆมีและเป็นอย่างไร?

ที่มันแก้ยาก คือการสื่อว่าแพทยสภาปกป้องแพทย์ อันนี้มันเกิดจากคนที่ได้รับคำตอบไม่เป็นไปตามที่ตนเองประสงค์จะได้รับ แม้บางกรณีก็เกิดจากหมอบางคนที่ถูกแพทยสภาลงโทษ ก็มีความอาฆาตต่อองค์กรนี้ กลายเป็นคนที่ส่งเสริมให้ฟ้องหมอคนอื่น และเล่นงานแพทยสภาทั้งทางตรงทางอ้อม

แพทยสภา ถึงจะไม่ได้อย่างใจมากนัก แต่ก็ยังนับว่าเท่าที่องค์ประกอบและปัจจัยต่างๆได้เอื้อให้เท่าที่มีนั้น ก็ยอมรับได้ว่าการดำเนินงานนั้นไม่มีใครไม่ทำงาน ไม่มีใครคิดไม่ดีกับประชาชน และไม่มีใครปกป้องแพทย์จากความผิด

แต่แพทยสภากำลังทำ สิ่งที่ผมคิด คือ

ปกป้องมาตรฐานวิชาชีพภายใต้ข้อจำกัดที่มีกฎหมายสปสช.ส่งผลคุกคามการทำงาน

ป้องกันแพทย์ไม่ให้กระทำความผิด(แต่หากคนมันชั่ว จะช่วยได้อย่างไร?)

และปกป้องประชาชนจากการกระทำชั่วของคนที่มันชั่ว จากการดูแลรักษาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน จากการหาช่องทางแสวงประโยชน์จากกลุ่มคนที่แสวงประโยชน์ระหว่างแพทย์และประชาชน

นี่เป็นความเห็นของคนที่ประชาชนส่วนหนึ่งมองว่าเป็นคนที่อันตรายต่อสังคม คนหนึ่ง
............................













8238
“จุรินทร์” ปัดไม่ได้ดัน พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ เวอร์ชันฉบับเอ็นจีโอ เผยเข้า ครม.ย้ำแค่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านกฤษฎีกา แจงหากมีฝ่ายใดไม่เห็นด้วยเสนอแก้ผ่านกรรมาธิการได้ ด้านแพทยสภา ค้าน สธ.ตั้งผู้ไม่รู้วิชาหมอมาเป็นกรรมการด้านวิชาชีพแพทย์ ฝ่ายเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ แฉมี ร่าง พ.ร.บ.ดองใน สภา 7 ฉบับ เตรียมประชุมหาข้อสรุป เดือน ส.ค.
       
       นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีแพทยสภามีหนังสือถึงสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้มีมติทบทวนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ.... ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 ว่า เป็นเพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น และยืนยันว่า ข้อเท็จจริงนั้น ตนไม่ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ของฝ่ายใดเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเป็นหลัก เพียงแต่ระหว่างที่เข้ามาบริหารงานนั้นเลขาธิการ ครม.สอบถาม ว่า ตนเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ของ สธ.ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือไม่ ซึ่งตนก็เห็นด้วยและยืนยันร่างดังกล่าว เพื่อให้เข้าสู่ที่ประชุม ครม.และนำไปสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
       
       นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวจะมีประโยชน์กับทั้งฝ่ายผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากหากเกิดกรณีอุบัติเหตุ หรือความเสียหายใดๆ ก็จะมีคณะกรรมการชุดหนึ่งมาพิจารณาเพื่อชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยลดคดีการฟ้องร้องของแพทย์ และยังช่วยเหลือผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม สำหรับรายละเอียดในกฎหมาย หากกลุ่มใดไม่เห็นชอบ หรือมีอะไรเพิ่มเติมสามารถเสนอเพื่อแก้ไขได้ในขั้นของกรรมาธิการสภาผู้แทน ราษฎร แต่หากยังไม่แล้วเสร็จก็สามารถแก้ไขเพิ่มเติม โดยการตั้งกรรมาธิการร่วม 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและสภาวุฒิสภา เพื่อหาข้อสรุปได้เช่นกัน
       
       ขณะที่ ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า แพทยสภาเห็นด้วยที่จะมี พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ... เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย แต่ไม่เห็นด้วยในวิธีการโดยเฉพาะประเด็นที่จะเอาผิดกับแพทย์ พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ทำการรักษา และการให้ผู้ประกอบวิชาชีพอื่นร่วมเป็นคณะกรรมการในการพิจารณาเรื่องเกี่ยว กับทางการแพทย์ที่มีลักษณะเฉพาะ เพราะเป็นเหมือนการใช้ระบบเสียงข้างมากในการตัดสินหลักการทางการแพทย์ โดยไม่คำนึงถึงข้อมูลเชิงวิชาการด้านการแพทย์ใดๆ ทั้งสิ้น
       
       นายกแพทยสภา กล่าวด้วยว่า จากศึกษารายงานกฎหมายในลักษณะใกล้เคียงกันถึง 10 ฉบับ พบว่า หลักการดำเนินการในเรื่องนี้ของประเทศสวีเดน เหมาะที่ประเทศไทยจะนำมาปรับปรุง เนื่องจากการจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ได้รับความเสียหาย โดยยึดหลักหากแพทย์รักษาด้วยวิธีการที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แล้วเกิดความผิดพลาดขึ้น จะไม่มีการจ่ายเงินชดเชย แต่หากเกิดความผิดพลาดจากการรักษาที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงจะมีการจ่ายชดเชย การดำเนินการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นี้ในไทยจะทำแบบผิวเผินไม่ได้ ควรมีทบทวน พิจารณา และศึกษาข้อมูลอย่างลึกซึ้ง โดยเทียบกับประเทศต่างๆ ที่มีการดำเนินการเช่นนี้ เมื่อได้ข้อสรุปควรเริ่มทดลองใช้ในบางพื้นที่ก่อนไม่ใช่เริ่มพร้อมกันหมด ทั้งประเทศ
       
       “ท้ายที่สุดหากร่าง พ.ร.บ.นี้มีผลบังคับใช้โดยไม่มีการศึกษาข้อมูลอย่างลึกซึ้ง และรอบด้าน ผลเสียจะเกิดกับประชาชนเอง แพทย์ไม่เสียอะไรถ้าไม่อยากเสี่ยงกับการถูกฟ้องร้อง ก็แค่ไม่รักษา แต่ผู้ป่วยจะไม่มีคนรักษาโรค และจะเป็นช่องโหว่ให้คนหาเงิน ด้วยการไปพบแพทย์บ่อยๆ แล้ว อ้างว่า เกิดความเสียหายจากการรักษาของแพทย์เพื่อหวังได้เงินชดเชยโดยที่ไม่ต้องรอ พิสูจน์ถูกผิดใดๆ ทั้งสิ้น เช่น ไปพบแพทย์แล้วบอกว่าแพ้ยา ก็จะได้เงินทันที ซึ่งเงินที่นำมาจ่ายก็ได้จากรัฐบาลและประชาชนที่ต้องเสียเงินมากขึ้นทั้ง สิ้น” ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าว
       
       ด้านนางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 7 ร่าง ประกอบด้วย ร่างของ สธ.ที่รวมกับร่างของแพทยสภาและของภาคประชาชนเขย่ารวมกัน เป็นร่างหลัก แต่ประเด็น คือ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ สธ.มีความพยายามในการจัดตั้งสำนักงานกองทุนคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับ บริการสาธารณสุขไปอยู่ภายใต้กระทรวง โดยให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นผู้บริหาร ซึ่งไม่ถูกต้อง เนื่องจากสำนักงานกองทุนฯ ควรเป็นองค์กรอิสระ ไม่ควรอยู่ในสังกัดของ สธ.ที่มีฐานะเป็นผู้ให้บริการ ซึ่งเป็นคู่กรณีกับผู้เสียหายอยู่แล้ว
       
       นางปรียนันท์ กล่าวอีกว่า ส่วนร่าง พ.ร.บ.อีก 6 ฉบับ แบ่งเป็นของภาคประชาชน ซึ่งเสนอเข้าไปด้วยการรวมรวม 10,000 รายชื่อ โดยเน้นการตั้งสำนักงานกองทุนฯที่เป็นอิสระ ทั้งนี้ ที่ภาคประชาชนต้องเสนอร่วมด้วยนั้น เพื่อต้องการมีสิทธิเข้าเป็นกรรมาธิการ 1 ใน 3 ส่วน ซึ่งจะมีประโยชน์ในการเสนอความคิดเห็นในสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่อีก 5 ร่างนั้นเป็นของ ส.ส. อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่อยากมาถกเถียง แต่ขอให้ไปสู้กันในสภาเพื่อหาข้อยุติ ว่า ร่าง พ.ร.บ.ลักษณะใดจะดีที่สุด ซึ่งคาดว่าจะมีการนัดประชุมในช่วงเดือนสิงหาคมจากเดิมเข้าเป็นวาระเมื่อ 12 พ.ค.2553

8239
       วันนี้ (11 มิ.ย.) ที่ห้องประชุมชั้น 5 อาคารเฉลิมพระบารมี โรงพยาบาลมหาราช อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช ประธานวิปรัฐบาล ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับเชิญไปปาฐกถาพิเศษในโครงการสัมมนาบุคลากรสาธารณสุข ในเรื่อง “ระบบบริหารสาธารณสุขกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต” โดยมีแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์กว่า 300 คนเข้าร่วม และถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนหลังจากที่นายวิทยา ลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเพื่อรับผิดชอบต่อผลการสอบสวนของ นพ.บรรลุ ศิริพาณิช ประธานคณะกรรมการสอบสวนโครงการไทยเข้มแข็งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข

นายวิทยา กล่าวกับผู้เข้าร่วมสัมมนาว่า เวทีนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ที่ได้พูดกับบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข ครั้งแรกที่เข้าไปในกระทรวงสาธารณสุขเหมือนกับคนแปลกหน้า แต่หลังจาก 1 ปีผ่านไป ทำให้มีความชัดเจนและรู้ว่ามีปัญหาอย่างมากในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาใหญ่ทั้งสิ้น โดยเฉพาะในเรื่องของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีปัญหาสมองไหล เนื่องจากบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขถูกจัดให้เป็นเหมือนกับข้าราชการกระทรวงอื่น ประมาณ 5 ปีที่ผ่านมาหลังเกิดปัญหาข้าราชการล้นระบบจึงมีการปรับลดอัตรากำลัง กระทรวงสาธารณสุขถูกลากไปด้วย และเมื่อมีการตรวจสอบคนในกระทรวงสาธารณสุขพบว่ามีอยู่ 1.6 หมื่นคน เป็นพยาบาล 7 พันคนที่ยังรอการบรรจุ
       
       อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวต่อว่า ปัญหาต่อมาคือความขัดแย้งระหว่างผู้รับบริการกับผู้ให้บริการ รุนแรงที่สุดหลังจากศาลได้สั่งจำคุกแพทย์ รพ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ทำให้โรงพยาบาลขนาดเล็กขยาดที่จะทำงาน จึงมีปัญหาในระบบส่งต่อมายังโรงพยาลบาลจังหวัด โรงพยาลบาลศูนย์ เพราะโรงพยาลบาลอำเภอไม่กล้าที่จะจับมีดผ่าตัดเกรงว่าปัญหาจะตามมา โรงพยาลบาลขนาดเล็กจึงปฏิเสธรับงาน โรงพยาลบาลที่ใหญ่กว่าจึงแออัดยัดเยียด เป็นภาพชินตาที่ผู้ป่วยนอนบนระเบียง นอนทางเดิน นอนเตียงเปลสำรอง

 “ระบบเหล่านี้เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง และหนักหน่วงด้วยการนำเอาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาใช้ หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค เวลาเตรียมการสั้น ค่าใช้จ่ายต่อคนมีจำนวนน้อย จึงมีข้อครหาที่ตามมา คือเป็นทุกโรครับพาราเซตามอล พฤติกรรมคนเปลี่ยนไปเดิมคนในสังคมซื้อยากิน 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ปัจจุบัน 70 เปอร์เซ็นต์นี้มุ่งเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาล ร้านขายยาเริ่มเข้าสู่ระบบทุนนิยมขึ้นห้าง และค่อยๆ หายไป คนในระบบงานสาธารณสุขถูกตรึงอยู่กับที่ งานล้นมือ โรงพยาบาลแออัด” นาวิทยากล่าว
       
       นายวิทยา กล่าวต่อว่า หน่วยราชการสาธารณสุขในพื้นที่ภาคใต้ไม่เคยเกิดตึกใหม่ ที่เกิดขึ้นได้เป็นงบประมาณจากกองสลาก คนในระบบการสาธารณสุขไทยมีคุณภาพมาก แต่ขาดกำลังใจ มีคนมีความรู้มีความสามารถแต่เครื่องมือ สถานที่ตกต่ำ รัฐบาลมีโครงการไทยเข้มแข็งขึ้นมากระทรวงสาธารณสุขมีกรอบงบประมาณถึง 8.5 หมื่นล้านถือว่าสูงที่สุด โดยการเอาปัญหาในกระทรวงมารับงบนี้

 “ปัญหาความขัดแย้งในกระทรวงสาธารณสุขเป็นการบ่อนทำลายตัวเอง วันที่กรอบงบประมาณลงมายิ่งมีความขัดแย้งหนัก ซึ่งตามนโยบายที่ให้ไว้ 5 ข้อ เขาก็ไปทำทั้ง 5 ข้อ ส่วนตัวผมนั้นยอมรับว่าไม่รู้จักเครื่องมือแพทย์ใดๆ ไม่มีบริษัทเครื่องมือแพทย์ ไม่มีบริษัทรับเหมา ไม่ค้าขาย อาชีพของผมคือทนายความ วันที่มีเรื่องเครื่องยูวีแฟน ไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าคือเครื่องอะไร หลังจากถูกข้อครหาได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด สอบให้หมดทั้ง 8.6 หมื่นล้าน เมื่อผลการสอบออกมาในกระทรวงบางคนบอกว่าเชื่อถือไม่ได้ ต้องเอาคนนอกมาพิสูจน์ จึงเอาหมอบรรลุมา และผมบอกว่างบทั้งหมดของ สธ.ไม่ต้องจ่ายจนกว่าจะสอบเสร็จ และสั่งยุติโครงการทั้งหมด ประธานกรรมการบอกกับผมว่าเชื่อว่ารัฐมนตรีไม่โกงแต่ไม่เชื่อคนอื่น”

นายวิทยากล่าวต่อว่า หลังจากนั้นผลสอบออกมาปรากฏว่า ตนบกพร่องส่อไปในทางเอื้อให้มีการทุจริต ในวันที่ 28 ธ.ค. และในวันที่ 30 ธ.ค.ตนจึงลาออก มาถึงวันนั้น จึงเห็นเครือข่ายที่โยงใยอยู่ใน กระทรวงสาธารณสุขและเป็นเครือข่ายที่จะต้องได้รับการสะสาง การลาออกของตนนั้น เพื่อที่จะออกมาแสวงหาความเป็นธรรม การเป็นนักการเมืองมา 20 ปีเป็นรัฐมนตรีครั้งแรกต้องไม่มีใครเสียหายทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข แม้แต่คนใกลตัวยังโดนข้อหาประจบประแจงเอาใจรัฐมนตรี นพ.จักกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ ถูกข้อหาเอาเงินไปซื้อรถยนต์ตู้ให้รัฐมนตรีใช้ เพราะเหตุบังเอิญว่าตนมีรถที่สีเหมือนกันกับรถที่ นพ.จักกฤษณ์ ซื้อ และยังโดนเรื่องยูวีแฟนอีก

 “งบประมาณที่ลงในโรงพยาลบาลนครศรีธรรมราช ไม่กล้าที่จะเอามาลงไว้ในสำนวนสอบสวน ไม่กล้าที่จะเขียนถึง โรงพยาลบาลในนครศรีธรรมราช แม้แต่โรงพยาบาลเดียว โรงพยาบาลที่ถูกทอดทิ้งมากที่สุดคือโรงพยาลบาลในภาคใต้ สภาพเลวที่สุด แย่ที่สุด คือ โรงพยาลบาลมหาราชนครศรีธรรมราช สอบแล้วไม่ได้มือเปล่ากลับได้ นพ.จักกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ ติดปลายนวมไปด้วย ทิศทางการพัฒนากระทรวงสาธารณสุขนั้น ผมไม่ขอชี้แนะ แต่ที่สามารถแก้ได้คือคนในกระทรวงเองทั้งหมดที่เป็นปัญหาภายใน”

ภายหลังนายวิทยา ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ขณะนี้ได้ฟ้องร้อง นพ.บรรลุ ศิริพาณิช ในฐานะประธานสอบในเรื่องนี้แล้ว และที่สำคัญข้อเท็จจริงของเรื่องทั้งหมดได้เริ่มทยอยออกมาสู่สาธารณชน ที่กรรมการวินิจฉัยในหลายเรื่องสุดท้ายมีการยืนยันที่ไม่ตรงกับกรรมการสอบ เห็นได้ชัดว่ากรรมการตั้งสมมติฐานขึ้นมาเอง ทั้งหมดนี้รัฐมนตรีจุรินทร์ทราบดี คนในกระทรวงไม่กล้าทำงาน และยิ่งเงินที่หายไปจากการที่วุฒิสภาไม่ผ่านนั้นอีก 7.5 หมื่นล้านการพัฒนาโรงพยาบาลทั่วประเทศกำลังไร้ทิศทาง นายวิทยากล่าวในที่สุด

8240
คมชัดลึก :  แฉกก.สอบไทยเข้มแข็งสธ.ชุดหมอบรรลุ อ้างหลักฐานราคาค่าก่อสร้างหอพักพยาบาลเท็จ บริษัทเอกชนร่อนหนังสือถึงสธ.ยืนยันราคาที่ 8.3 ล้านบาท ไม่ใช่ 7.2 ล้านบาทตามที่คณะกรรมการ
ระบุ “หมอวิชัย”รับ ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลเหตุเวลาแค่ 65วัน

จากกรณีที่รายงานการสอบ สวนข้อเท็จจริง ของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโครงการไทยเข้มแข็ง ของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ซึ่งมี นพ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธาน ระบุว่า ราคาค่าก่อสร้างอาคารแฟลตที่พักพยาบาล ขนาด 24 ห้อง แบบเลขที่ 9555 ที่ สธ.ตั้งไว้ 9.57 ล้านบาทและต่อมาปรับลดเพื่อใช้เป็นราคากลางสำหรับปี 2553 เหลือ 8.52 ล้านบาทสูงเกินสมควร ส่อเจตนาไม่สุจริต เนื่องจากคณะกรรมการได้ส่งแบบก่อสร้างให้บริษัท อรุณ ชัยเสรี คอนซัลติ้ง เอนจิเนียร์ส จำกัด คำนวณราคาได้ที่ 7.2 ล้านบาทเท่านั้น ราคาที่สธ.ตั้งไว้ จึงสูงเกินสมควรถึง 32.9%นั้น

 แหล่งข่าวสธ.เปิดเผยว่า การอ้างเอกสารหลักฐานการประมาณราคาจากบริษัท อรุณ ชัยเสรีฯของคณะกรรมการชุด นพ.บรรลุ เป็นเท็จ เนื่องจากเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 นายทยุติ อิสริยฤทธานนท์ รองประธานฝ่ายบริหารโครงการ บริษัท อรุณ ชัยเสรีฯ ได้ส่งหนังสือถึง นพ.สถาพร วงษ์เจริญ รองปลัดสธ. เรื่อง ขอนำส่งข้อมูลประมาณราคา อาคารพักพยาบาล 24 ห้อง เนื้อหาระบุว่า บริษัท อรุณ ชัยเสรีฯ ขอเรียนว่าราคาอาคารพักพยาบาล ขนาด 24 ห้อง ตามแบบเลขที่ 9555 ทางบริษัทประมาณเป็นเงิน 8,374,300 บาท มิใช่ 7.2 ล้าน

 นพ.สถาพรกล่าวว่า บริษัท อรุณ ชัยเสรีฯ ได้ส่งหนังสือถึงตนจริง เพราะก่อนหน้านั้นได้ส่งหนังสือถึงกรรมการผู้จัดการ บริษัท อรุณ ชัยเสรีฯ เพื่อขอข้อมูลการประมาณราคา แบบเลขที่ 9555 และเมื่อบริษัทมีหนังสือตอบกลับมา ปรากฏว่าราคาที่บริษัทประเมินใกล้เคียงกับที่กองแบบแผนคำนวณไว้ ซึ่งข้อมูลจากบริษัทนี้จะส่งให้กองแบบแผนวิเคราะห์ต่อไป

 นพ.วิชัย โชควิวัฒน เลขานุการคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโครงการไทยเข้มแข็งฯ กล่าวว่า ได้โทรศัพท์ไปสอบถามเจ้าหน้าที่ของบริษัทรายหนึ่งเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2552 และได้รับแจ้งราคาที่ 7.2 ล้านบาทจึงใส่ตัวเลขไปตามนั้น โดยไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลเพราะมีเวลาทำงานแค่ 65 วัน ต้องส่งรายงานการสอบสวนในวันที่ 28 ธันวาคม ทั้งที่ปกติใช้เวลาเป็นปี คงต้องดูว่าผู้ที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาโจมตีเป็นการวิจารณ์รายงานการสอบสวน โดยสุจริตหรือไม่

8241
แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ เผย ตำรวจไทยติดบุหรี่กว่า 80,000 คน พบ 1 ใน 3 ติดงอมแงม ดูดต่อเนื่องวันละ 2 ซอง เผยเตรียมร่วมโครงการ “คลินิกฟ้าใส” ลดจำนวนผู้สูบ ฝัน 3 ปี ทำสีกากีไร้สิงห์คมควัน
       
       วันนี้ (1 มิ.ย.) ที่หอประชุมพัชรกิติยาภา อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพฯ, สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.), กทม., องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ร่วมกันจัดแถลงข่าวโครงการ “คลินิกฟ้าใส” เพื่อร่วมรณรงค์การงดสูบบุหรี่ของคนไทย โดย พล.ต.ท.นพ.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า จากการสำรวจในปัจจุบัน พบว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยถึง 33% หรือ 70,000-80,000 คน ที่ติดบุหรี่ ในจำนวนนี้ยังไม่นับรวมครอบครัวข้าราชการตำรวจที่อาจจะเป็นผู้สูบมือ 1, 2 ด้วย ทั้งนี้ พบว่า 1 ใน 3 ของจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ที่ติดบุหรี่อย่างรุนแรง สูบตลอดเวลาวันละ 1-2 ซอง อย่างไรก็ตาม รพ.ตำรวจ ได้จัดรณรงค์งดสูบบุหรี่แก่บุคลากรอย่างต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา โดยนำร่องจากบุคลากรของโรงพยาบาลจำนวน 1,800 คน ซึ่งจำนวนนี้มีผู้ติดบุหรี่ 100 กว่าคน โดยมีการให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา จัดพื้นที่ปลอดบุหรี่ภายในโรงพยาบาล ขอความร่วมมือร้านค้าไม่ให้นำบุหรี่เข้ามาขาย รวมไปถึงการใช้ยาเข้ามาบำบัดผู้ที่ติดบุหรี่ ซึ่งภายใน 2 ปี เหลือผู้สูบบุหรี่อีกแค่ 40 คน
       
       “รพ.ตำรวจ คาดหวังว่า จะทำให้ตัวเลขเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดบุหรี่จำนวน 33% ให้หมดไปภายใน 3 ปี ซึ่งขณะนี้ได้มีการนำร่องโครงการดังกล่าวแล้วที่ สน.ปทุมวัน, สน.ทองหล่อ ซึ่งหากสามารถลดจำนวนผู้ติดบุหรี่ได้ทั้งหมด ก็จะมีการขยายผลไปยังโรงพักต่างๆ ทั่วประเทศ ตลอดจนมีการรณรงค์ในระดับภูมิภาคเช่นกัน” พล.ต.ท.นพ.จงเจตน์ กล่าว
       
       พล.ต.ท.นพ.จงเจตน์ กล่าวอีกว่า อัตราการติดบุหรี่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจถือว่าสูงมากหากเทียบกับประชากรไทย ทั้งประเทศ โดยผู้ชายติดบุหรี่ 25% ผู้หญิง 15% ซึ่งส่วนตัวแล้วคิดว่าการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจส่งผลให้เกิดความ เครียดสูง จนทำให้ติดบุหรี่ในปริมาณที่มากตามไปด้วย อย่างไรก็ตามในฐานะที่ตนเป็นนายกแพทยสมาคม 4 เหล่า หากทำให้ตำรวจสามารถเลิกบุหรี่ได้ 100% อาจขยายผลไปยังเจ้าหน้าทหาร และภาคส่วนอื่นๆ ด้วย

8242
กรมควบคุมโรค เผย แนวโน้มไทยเสี่ยง 13 โรคติดต่ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ เหตุการเปลี่ยนแปลงประชากร การดื้อยาปฏิชีวนะ โลกร้อน แนะเร่งเตรียมพร้อมระดับสูงสุด พัฒนาเครือข่ายการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม พร้อมประเมินความเสี่ยงเป็นระยะ
       
       สพญ.ดาริกา กิ่งเนตร ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า แนวโน้มโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่มีความเสี่ยงสำหรับประเทศไทยในสถานการณ์ ปัจจุบัน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

1.โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่พบในประเทศไทย อาทิ
โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ (H1N1) 2009,
โรคไข้หวัดนก จากเชื้อสายพันธุ์ เอช5เอ็น1 (H5N1), 
โรคมือ เท้า ปาก จากเชื้อ EV71 (Enterovirus 71) และ
โรคลีเจียนเนลโลซิส (Legionellosis)

2.โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่อาจแพร่มาจากต่างประเทศ เช่น
ไข้สมองอักเสบนิปาห์ (Nipah Encephalitis),
ไข้สมองอักเสบเวสต์ไนล์ (Westnile Encephalitis),
โรคสมองฝ่อแบบใหม่ (variant-Creutzfelt-Jacob disease : vCJD)
ที่เกิดจากจากโรคสมองฝ่อในวัวหรือโรควัวบ้า (Bovine Spongiform Encephalophathy : BSE or Mad cow disease),
ไข้เลือดออกอิโบลา (Ebola Haemorrhagic Fever),
ไข้เลือดออกมาร์บวร์ก (Marburg Haemorrhagic Fever) ,
โรคฝีดาษลิง (Monkeypox),
โรคแอนแทรกซ์, ไข้ทรพิษ และกาฬโรค เป็นต้น และ

3.โรคติดต่ออุบัติซ้ำที่พบในประเทศ เช่น โรคไข้กาฬหลังแอ่นจากเชื้อสายพันธุ์ใหม่ ที่อาจเข้ามากับแรงงานต่างด้าว และโรคตาแดงจากเชื้อไวรัส
       
       “การค้นพบโรคติดเชื้อใหม่ๆ และโรคติดต่อมาจากสัตว์ที่ไม่เคยพบมาก่อน สาเหตุมาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงด้านประชากรและพฤติกรรมมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงของตัวเชื้อโรค การใช้ยาไม่ถูกต้องเกิดการดื้อต่อยาปฏิชีวนะ การพัฒนาด้านเทคโนโลยี และอุตสาหกรรม รวมทั้งผลจากเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาของสัตว์นำโรคและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญ เหล่านี้เป็นสาเหตุให้โรคอุบัติใหม่ส่วนใหญ่มีธรรมชาติที่ซับซ้อนยากต่อการ จัดการ ทั้งนี้ หากขาดระบบและเครื่องมือในการป้องกันควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพแล้ว โรคเหล่านี้ย่อมก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิต และสุขภาพของประชาชน สร้างภาระอันมากมายรวมถึงส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อสังคมตลอดจนเศรษฐกิจ อย่างมหาศาล”สพญ.ดาริกา กล่าว
       
       สพญ.ดาริกา กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่สุด ต้องเร่งรัดการเตรียมความพร้อมของประเทศในระดับสูงสุด ให้พอเพียงสำหรับการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่อุบัติ ซ้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถลดผลกระทบรุนแรงทั้งต่อสุขภาพของประชาชน สังคม และเศรษฐกิจของประเทศให้ได้มากที่สุด โดยดำเนิน 6มาตรการ คือ
1.พัฒนาเครือข่ายการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ
2.จัดทำมาตรฐานแนวทางการป้องกันและควบคุม
3.สนับสนุนการวิจัย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีการควบคุมป้องกัน
4.พัฒนาศักยภาพบุคลากรสาธารณสุข
5.ถ่ายทอดความรู้และข้อมูลข่าวสารโรคติดต่ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ และ
6.สนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ทีมเฝ้าระวังสอบสวนและควบคุมโรค เคลื่อนที่เร็ว (Rapid Response Team) ในทุกระดับทั่วประเทศ เพื่อพร้อมรับกรณีเกิดการระบาด หรือมีโรคติดต่ออุบัติใหม่แพร่เข้ามาในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังต้องมีการประเมินความเสี่ยงและแนวโน้มการเกิดโรคต่างๆ เป็นระยะด้วย

8243
นายธัญญา หนูเริก หน.สถานีอนามัยสะพานเคียน ต.วังมะปราง อ.วังวิเศษ กล่าวว่า ภาคีเครือข่ายหมอพื้นบ้านจังหวัดตรัง ร่วมกับสถานีอนามัยบ้านสะพานเคียน จัดทำโครงการสร้างสุขภาพชุมชนด้วยภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านจังหวัดตรัง โดยสร้างศูนย์การเรียนรู้หมอพื้นบ้าน รวบรวมข้อมูลสมุนไพรในท้องถิ่นและใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านผสมผสานกับการแพทย์ แผนปัจจุบันให้บริการด้านสุขภาพทางเลือกกับประชาชน โดยมีสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้ การสนับสนุน

นาย ธัญญา กล่าวว่า ปัจจุบันชาวบ้านมักจะหันไปพึ่งการรักษาจากโรงพยาบาลกันมากขึ้น เสียทั้งค่ายาและค่าเดินทางจำนวนมาก ซึ่งบางโรคสามารถดูแลรักษาเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง ทำให้เกิดแนวคิดเรื่องแพทย์ทางเลือกเพื่อรักษาโรคให้กับคนในชุมชน ทางอนามัยจะคัดกรองผู้ป่วยเบื้องต้น และให้คำแนะนำว่ามีทางเลือกในการรักษาให้กับชาวบ้าน ซึ่งผู้ป่วยสามารถเลือกที่จะรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์พื้นบ้าน โครงการนี้จึงส่งผลดีกับสุขภาพของคนในชุมชน ถ้าเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเดินทางไปรักษาในตัวเมือง ซึ่งเสียทั้งเงินและเวลา แล้วชาวบ้านก็จะสามารถพึ่งพาตนเองได้จากสมุนไพรพื้นบ้านในการรักษาตัวเอง เบื้องต้น

8244
สถานการณ์ม็อบแดงทำพิษ ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมดีๆของว่าที่นิสิตนักศึกษาอีกงาน ล่าสุดน้องใหม่คณะแพทย์ฯ จำต้องยกเลิกกิจกรรมแรกพบ สพท. 53 แล้ว
       
       เนื่องจากเหตุการณ์วุ่นวายของบ้านเมืองในช่วงนี้ คณะกรรมการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทย (สพท.) มีความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย และการเดินทางมาร่วมกิจกรรมของน้องๆทุกคน คณะกรรมการจึงขอ ประกาศยกเลิก “งานแรกพบ สพท.2553” ในวันเสาร์ที่ 15 พ.ค. นี้
       
อนึ่ง กิจกรรม“งานแรกพบ สพท.” เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นโดยสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทย ที่เปิดโอกาสให้น้องๆนิสิตนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์จากทุกมหาวิทยาลัย รวมทั้งนักเรียนแพทย์ทหาร ได้มาพบปะแลกเปลี่ยนรู้จักกับรุ่นพี่ และเพื่อนๆจากทั่วประเทศ โดยกิจกรรมดังกล่าวยังมีกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ แนะแนวการศึกษา และเตรียมความพร้อมก่อนเป็นนิสิตนักศึกษาแพทย์ อีกด้วย
       
       ซึ่งในปีนี้ เดิมกำหนดการแรกนั้น สพท. ตั้งใจจัดกิจกรรมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ใกล้เคียง ทาง สพท. จึงเปลี่ยนแปลงสถานที่จัดกิจกรรมไปที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต แทน
       
       แต่ด้วยสถานการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 1 – 2 วันที่ผ่านมา สพท.จึงประกาศยกเลิกงานดังกล่าวข้างต้นไปไม่มีกำหนด

8245
 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข หนุนให้โรงพยาบาลทั่วประเทศใช้สมุนไพรดูแลรักษาผู้ป่วย ตั้งเป้าปีนี้ให้ได้ร้อยละ 5 ขณะนี้มีสมุนไพรเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว 19 รายการ จะเพิ่มอีก 22 รายการ พร้อมทั้งส่งหมอแผนไทยประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลปีนี้ 150 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งหนุนนำตู้ยาสมุนไพรประจำบ้าน เข้าสู่ครัวเรือน ใช้บำบัดอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น เหมือนยาแผนปัจจุบัน
       
       ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติเมืองเก่า ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย ซึ่งจะพัฒนายกระดับให้เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เมื่อเช้าวันนี้ว่า ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายจะให้สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ทุกแห่งทั่วประเทศ ใช้สมุนไพรทดแทนการใช้ยาแผนปัจจุบัน เพื่อลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ โดยจะให้มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 1.78 ให้เป็นอย่างน้อยร้อยละ 5 ให้ได้ ซึ่งขณะนี้มียาสมุนไพรอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว 19 รายการ ในปีนี้จะพยามเพิ่มอีก 22 รายการ ซึ่งจะทำให้ประชาชนมียาสมุนไพรใช้ในการบำบัดรักษาโรคมากขึ้น และเป็นการส่งเสริมภูมิปัญญาไทยและสมุนไพรซึ่งมีในพื้นที่เป็นจำนวนมาก โดยสมุนไพรไทยได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ก็จะมีการศึกษาพัฒนาและนำใช้ประโยชน์ อย่างกว้างขวาง
       
       ดร.พรรณสิริ กล่าวต่อว่า ในการส่งเสริมการใช้ภูมิปัญญาไทยในการรักษาโรค นอกจากใช้ยาแล้วยังมีการนวดแผนไทยเพื่อรักษาโรค ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายจัดส่งแพทย์แผนไทย ลงประจำการในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อย่างน้อยจังหวัดละ 2 คน รวม 150 แห่งทั่วปะเทศ เพื่อดูแลด้านบริการการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรโดยตรง เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนและทำงานร่วมกับ อสม.เริ่มปฏิบัติงานพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2553 เป็นต้นไป
       
       นอกจากนี้ ยังมีนโยบายหนุนให้นำตู้ยาสมุนไพรประจำบ้าน กระจายเข้าสู่ระดับครัวเรือน สรรพคุณยาคล้ายกับยาสามัญประจำบ้านที่จำเป็นเบื้องต้นที่ต้องมีทุกบ้าน เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ยาแก้ท้องเสีย ยาใส่แผล ซึ่งในเบื้องต้น ได้แก่ ฟ้าทะลายโจรใช้แก้ไข้ ขมิ้นชันแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ยาอมฟ้าทะลายโจรแก้ไอ ขับเสมหะ เจลพริกบรรเทาอาการปวดเมื่อย เจลล้างมือว่านหางจระเข้ ทิงเจอร์สมุนไพรซึ่งทำจากสารสกัดเปลือกมังคุด ขมิ้นชันและแอลกอฮอล์ รักษาโรคผิวหนัง และยาหม่องพญายอทาแก้แมลงกัดต่อย รวมทั้งพลาสเตอร์ สำลีทำแผล ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้มีจำหน่ายทั่วไป ราคาไม่แพง โดยจะมอบสาธิตเป็นตัวอย่างให้ชุมชนที่สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติทุกแห่ง
       


8246
ผลวิจัยพบผู้สูงอายุ 55% เลือกใช้บริการบัตรทอง สาเหตุเพราะฟรี ประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนการรักษาอยู่ในเกณฑ์ดี รับได้ แต่ 21% เลือกรักษาที่รพ.เอกชน เพราะเชื่อว่ามีแพทย์รักษาดีกว่า และไม่อยากรอคิวนาน ที่เหลือ 24% เลือกใช้บริการแบบผสม หากเจ็บป่วยฉุกเฉินค่อยไป รพ.เอกชน เพราะรวดเร็ว เข้ารักษานอกเวลาราชการได้
       
       รศ.ดร.วรเวศม์ สุวรรณระดา คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการวิจัยการเงินการคลังสำหรับการดูแลระยะยาวผู้สูงอายุใน เขตกรุงเทพฯและภูมิภาค เปิดเผยผลวิจัยการศึกษาเชิงลึกด้านการใช้บริการทางด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ ในกรุงเทพมหานครและเทศบาลนครอุบลราชธานี เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้บริการและสถานการณ์การใช้สิทธิด้านการรักษาพยาบาล ของผู้สูงอายุ สนับสนุนโดย มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) พบว่า มีผู้สูงอายุที่ใช้บริการสุขภาพในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง มากถึงร้อยละ 55 ผู้สูงอายุที่ไม่ใช้สิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเลือกที่จะจ่ายเงินค่าบริการด้วยตนเอง ร้อยละ 21 ส่วนผู้สูงอายุที่ใช้บริการด้านสุขภาพทั้งสองแบบหรือแบบผสมคิดเป็นร้อยละ 24

รศ.ดร.วรเวศม์ กล่าวว่า สาเหตุที่ ผู้สูงอายุเลือกใช้สิทธิบัตรทอง ส่วนใหญ่ระบุว่าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและอยู่ใกล้บ้าน ทำให้ประหยัดเงินค่ารักษาพยาบาลได้จำนวนมาก ขณะที่ผู้สูงอายุบางคนไม่มีประกันสังคม เมื่อถามถึงการบริการของสถานพยาบาล ส่วนใหญ่เห็นว่าอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ ส่วนผู้สูงอายุที่ไม่เลือกใช้สิทธิบัตรทอง ระบุสาเหตุเพราะไม่มั่นใจในการรักษาพยาบาล และคิดว่ายาที่ได้รับ ไม่มีมาตรฐานเทียบเท่ากับโรงพยาบาลเอกชนหรือคลินิกนอกเวลา รวมทั้งยังไม่สามารถเลือกแพทย์ที่จะทำการรักษาได้
       
       “ผู้ที่ไม่เลือกใช้ใช้บริการบัตรทองบอกว่า แม้โครงการบัตรทองจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ต้องรอคิวนาน และมีแพทย์น้อย เพราะคนไข้มีจำนวนมาก ทำให้การรักษาพยาบาลไม่สะดวกรวดเร็วเหมือนโรงพยาบาลเอกชน การให้บริการก็ไม่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นกิริยามารยาทของแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่อื่นๆ ซึ่งต่างจากของโรงพยาบาลเอกชนโดยสิ้นเชิง” รศ.ดร.วรเวศม์ กล่าว

รศ.ดร.วรเวศม์  กล่าวว่า ที่น่าสนใจคือผู้ที่เลือกใช้บริการแบบผสม ส่วนใหญ่ระบุว่าหากเจ็บป่วยกรณีเป็นโรคเรื้อรัง ก็จะเลือกใช้สิทธิบัตรทอง เพราะไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะการรักษาโรคเรื้อรังต้องรักษาเป็นประจำ จึงไม่อาจแบกรับภาระได้ทั้งหมด แต่หากในกรณีที่เจ็บป่วยฉุกเฉิน จะเลือกใช้บริการของโรงพยาบาลเอกชน เพราะสะดวกรวดเร็ว บริการดี เข้ารักษานอกเวลาราชการได้
       
       รศ.ดร.วรเวศม์ กล่าวว่า การสำรวจยังได้สอบถามความพึงพอใจต่อโครงการบัตรทอง พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ค่อนข้างพอใจ และเห็นว่าการให้บริการของสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการฯอยู่ในเกณฑ์ดี และมีความเชื่อมั่นในตัวแพทย์ อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า ผู้สูงอายุบางคนเห็นว่าแพทย์ให้บริการไม่ตรงใจ เช่น ไม่ค่อยตรวจอาการป่วย เพียงฟังอาการที่เล่า แล้วสั่งยาให้รับประทาน หรือบางกรณีผู้สูงอายุได้พบเห็นการพูดจาไม่ดีทำให้บางคนที่พอจะมีกำลัง ทรัพย์ หันไปใช้บริการของเอกชนแทน หรือหากไม่มั่นใจในการก็จะไปตรวจรักษาเพิ่มเติมที่สถานพยาบาลอื่นๆ ที่ตนเองเชื่อมั่นมากกว่า โดยจ่ายค่ารักษาพยาบาลส่วนนั้นด้วยตนเอง
       
       “ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เห็นว่าแม้การใช้ บริการบัตรทอง จะเป็นการรักษาพยาบาลตามสิทธิ ไม่ต้องเสียเงิน แต่การกำหนดคิวนัดหมายในการรักษาพยาบาลค่อนข้างช้า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ต้องรอคิวนาน ผู้สูงอายุบางคนอาจไม่สามารถรอได้ ซึ่งปัญหาการกำหนดคิวนัดหมายนี้เอง เมื่อเปรียบเทียบกับการให้บริการของสถานพยาบาลภาคเอกชนจะความแตกต่างกัน อย่างชัดเจน ทำให้มีผู้สูงอายุส่วนหนึ่งเลือกที่จะรับบริการทางด้านสุขภาพแบบผสม” รศ.ดร.วรเวศม์ กล่าว

8247
ทุกครั้งที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวของคนไข้ ที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์ ผู้คนมักคิดว่าการเรียกร้องสิทธิผ่านสื่อจะได้รับความเป็นธรรมเร็วกว่าปกติ แต่ในความเป็นจริงการรู้จักใช้สิทธิหรือได้ใช้สิทธิ กับการจะได้รับความเป็นธรรมตามสิทธิหรือไม่นั้น เป็นคนละเรื่องราวฟ้ากับเหว

จากประสบการณ์ส่วนตัว ที่ใช้เวลายาวนานถึง 19 ปีเรียกร้องหาความเป็นธรรมให้ลูกที่พิการจากการทำคลอด ก็ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมตามสิทธิจนกระทั่งทุกวันนี้ อีกทั้งนานเกือบ 8 ปีที่ก่อตั้งเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหายนับจำนวนไม่ถ้วน เห็นว่าทุกครั้งที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมักแสดงตัวออก มารับปากต่อสังคมว่าจะให้ความเป็นธรรมโดยเร็ว แต่จากนั้นผู้เสียหายต่างก็นับวันรอโดยไม่รู้จุดหมาย ทุกกรณีล้วนเดินตามรอยผู้เสียหายรุ่นพี่ที่เคยรอกันนานสามถึงแปดปีมาแล้ว

คนไข้ที่ตกเป็นผู้เสียหาย ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไรหรือร้องเรียนเก่งแค่ไหน ล้วนตกอยู่ในสภาพที่ถึงทางตัน...และไร้ทางออก เมื่อเรื่องไปสิ้นสุดที่หน่วยงานชื่อ”แพทยสภา” และ“กองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ” หน่วยงานที่ล้าหลังและเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้านมาตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน

เมื่อมีคำถามว่าร้องเรียนแล้วต้องรอนานแค่ไหน หรือเมื่อไหร่จะได้รับความเป็นธรรม ข้าพเจ้ามักรู้สึกยากลำบากใจที่ต้องตอบว่าเราคือคนไข้ไทยหัวก้าวหน้าที่ รู้จักคำว่า ”สิทธิผู้ป่วย” แต่ระบบต่าง ๆ ยังล้าหลังอยู่ต้องทำใจรอเพียงอย่างเดียว เนื่องจากรู้ดีว่าแทบทุกกรณีล้วนถูกดึงเวลาให้หมดอายุความทางแพ่ง 1 ปี การที่หน่วยงานจะแจ้งมติให้ชาวบ้านทราบภายใน 1-3 เดือนนั้นเป็นเพียงความฝันที่ไม่เคยเป็นจริง

แพทยสภาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ยังคงประกอบไปด้วยแพทย์ทั้งสิ้นไม่มีคนนอกอยู่เลย มิหนำซ้ำกรรมการส่วนใหญ่เป็นเจ้าของหรือผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับโรงพยาบาลเอกชน เคยมีเหตุการณ์ที่คู่กรณีของผู้เสียหายนั่งเป็นประธานสอบสวนเรื่องร้องเรียนโรงพยาบาลของตนเอง ดูเป็นเรื่องธรรมดาที่ปฏิบัติกันได้อย่างไม่อายฟ้าดิน ส่วนกองการประกอบโรคศิลปะนั้นก็ไม่ได้ต่างจากแพทยสภาแต่อย่างใด เคยมีเหตุการณ์ที่ผู้อำนวยการกองละเมิดสิทธิผู้ป่วยเรื่องเวชระเบียนเสียเอง มิหนำซ้ำยังมีเจ้าหน้าที่บางคนออกหน้าเจรจาต่อรองค่าเสียหายกับผู้เสียหายแทนโรงพยาบาล ทั้งที่หน่วยงานนี้มีหน้าที่ต้องตรวจสอบโรงพยาบาลเอกชน

ผู้เสียหายส่วนใหญ่สิ้นหวังกับการรอคอยและหันไปพึ่งศาล แต่นั่นเท่ากับพาตัวเองไปพบศึกอันใหญ่หลวง เนื่องจากต้องไปเผชิญหน้ากับนายกแพทยสภา ที่นำทีมผู้เชี่ยวชาญจากราชวิทยาลัยไปเบิกความช่วยแพทย์ ขณะที่พยานทางการแพทย์ของฝั่งผู้เสียหายนั้นหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

ขณะที่ผู้เสียหายพบทางตัน และความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยถูกตอกลิ่มให้ห่างออกจากกันมากขึ้น พลันแสงสว่างในปลายอุโมงค์ก็ปรากฏ เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประกาศจะผลักดันร่างพรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ให้มีผลบังคับใช้ในเร็ววัน นั่นหมายถึงต่อไปจะมีกองทุนชดเชยความเสียหายให้คนไข้ไทยโดยไม่ต้องไปฟ้องศาล และคนไข้ไทยจะได้ปลดแอกออกจากหน่วยงานที่ไร้ประสิทธิภาพเสียที

แต่แล้ว...ความฝันของคนไข้ไทยแทบสลาย เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยืนยันให้นำ สำนักงานกองทุนไปอยู่กับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ให้บริการและที่ผ่านมาหน่วยงานแห่งนี้เป็นคู่กรณีกับ ผู้เสียหายทางการแพทย์มาโดยตลอด

กลุ่มผู้เสียหายคือคนไข้ที่โชคร้ายประสบเคราะห์กรรม พวกเราถูกหน่วยงานซ้ำเติมความทุกข์มาอย่างต่อเนื่องยาวนานโดยไม่มีทางต่อสู้ พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข คือความหวังเดียวที่พวกเราจะได้รับความเป็นธรรม แต่การนำสำนักงานกองทุนไปอยู่กับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพนั้น ใครก็ได้โปรดอธิบายให้พวกเราสบายใจด้วยเถิดว่า เหตุผลใดถึงทำให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเป็นหน่วยงานที่เหมาะสมที่สุด อีกทั้งใครจะเป็นผู้รับประกันว่าหน่วยงาน
เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ของสังคมไทย...ฤา...ชะตากรรมของคนไข้ไทย..กับทางตันคือของ คู่กัน


8248
ภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพฯ ออกแถลงการณ์ รุมประณามเสื้อแดงบุกค้นรพ.จุฬาฯ ชี้ละเมิดหลักสากล-มนุษยธรรม นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีประเทศไหนทำ คาดความเครียดเล่นงาน ทำให้หวาดระแวงเตือนม็อบแดงเสี่ยงเกิดอาการทางจิตชนิดหวาดระแวง วอนยุติการคุกคามรพ.-รถพยาบาล –บุคลากรทางการแพทย์ เตรียมร่อนหนังสือถึงสภาฯให้ความรู้ส.ส.หลักปฏิบัติสากล
       
       เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 30 เมษายน ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า ภาคีสภา วิชาชีพด้านสุขภาพแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม สภาเทคนิคการแพทย์ และสภากายภาพบำบัด ออกแถลงการณ์ เรื่อง “ขอให้ยุติการคุกคามและปฏิบัติต่อโรงพยาบาล รถพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และผู้บาดเจ็บ ที่ไม่เป็นไปตามหลักสากลและหลักมนุษยธรรม” เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ทางการเมืองมีความขัดแย้งนำมาซึ่งการสูญเสีย และบาดเจ็บของประชาชนและเจ้าหน้าที่จำนวนมาก และปรากฏว่า มีการบุกรุกตรวจค้นโรงพยาบาล คุกคามบุคลากรทางการแพทย์ และขัดขวางการเคลื่อนย้ายผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์การปะทะ มีความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและขอประณามการกระทำที่ไม่เป็นไปตาม หลักสากลและหลักมนุษยธรรม

ทั้งนี้ ภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพแห่งประเทศไทย ขอเรียกร้อง ให้ทุกฝ่ายมีสติ หนักแน่น เคารพหลักการสากลและหลักมนุษยธรรมในการดูแลรักษาผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บ ดังนี้ 1.ภาคีสภาวิชาชีพด้านสุขภาพฯ ขอให้สมาชิกยึดมั่นในจริยธรรมวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยอย่างเคร่งครัด ไม่เลือกปฏิบัติต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ว่าภายใต้เงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น 2. ในหลักสากลแม้กระทั่งในยามสงครามหรือความขัดแย้ง สู้รบระหว่างประเทศ โรงพยาบาล รถพยาบาล เครื่องมือทางการแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ ต้องได้รับการคุ้มครองจากทุกฝ่ายให้มีความปลอดภัยและสามารถปฏิบัติหน้าที่ ตามหลักมนุษยธรรมได้อย่างเต็มที่
       
       3. ในประเทศไทยขณะนี้เป็นเพียงความขัดแย้งทาง ความคิดของคนในชาติเดียวกัน จึงขอให้ทุกฝ่ายเคารพความเป็นกลางของบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล รถพยาบาล ถอยห่างจากพื้นที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 1๐๐ เมตร และละเว้นการกระทำใดๆ ที่ขัดขวางการปฏิบัติงานและกีดขวางทางเข้า-ออกโรงพยาบาล 4. ผู้บาดเจ็บไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม และผู้ที่เข้าให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ จะต้องได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการนำส่งเพื่อการ รักษาอย่างทันท่วงทีจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และ5.ขอให้ทุกฝ่ายยุติการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักสากลโดยทันที และขอให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านที่ปฏิบัติหน้าที่ตามหลัก มนุษยธรรมโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย
       
       ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า แนวปฏิบัติด้านการแพทย์ในยามเกิดเหตุความไม่สงบ กาชาดสากลได้ออกสนธิสัญญาเจนีวา ตั้งแต่ปี 1949 หรือพ.ศ.2492 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระบุแนวปฏิบัติ 3 ข้อหลัก คือ 1.รถพยาบาล โรงพยาบาล และบุคลากรด้านการแพทย์เป็นกลาง ต้องได้รับการคุ้มครองจากทุกฝ่าย 2.ประชาชนที่เข้าช่วยเหลือผู้ป่วยต้องได้รับการคุ้มครองและ3.ผู้บาดเจ็บและ ผู้ป่วยต้องได้รับการช่วยเหลือ
       
       ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ในกรณีของผู้ชุมนุมอาจจะไม่รู้และไม่ได้มีการศึกษาในเรื่องหลักสากลเกี่ยว กับเรื่องนี้ แต่ในที่ชุมนุมมีบุคลากรทางการแพทย์อยู่จำนวนไม่น้อย ซึ่งมั่นใจว่ารู้หลักเกณฑ์สากลเป็นอย่างดี จึงควรแนะนำให้ผู้ชุมนุมคนอื่นรู้จะได้ไม่กระทำสิ่งที่เป็นการละเมิดหลัก สากล และหวังว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก สิ่งที่ผู้ชุมนุมบุกค้นโรงพยาบาลอาจเป็นเพราะความเครียด ทำให้เกิดการหวาดระแวงเห็นอะไรขยับก็กลัว หากเป็นเช่นนี้เรื่อยๆก็เสี่ยงที่จะมีอาการทางจิตชนิดหวาดระแวง
       
       “เชื่อว่าผู้ที่เป็นแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ ถูกสั่งสอนมาให้มีจิตสำนึกในเรื่องนี้ทุกคน การที่สภาวิชาชีพออกแถลงการณ์น่าจะเพียงพอ ที่จะทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีจิตสำนึกและรู้ว่าเป็นการกระทำที่ผิด พร้อมที่จะแก้ไขให้เป็นไปตามหลักสากล เพราะแม้ แต่ในประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์ก็ไม่มีใครไปยุ่งกับบุคลากรทางการแพทย์และรถ พยาบาล ที่ผ่านมานับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ไม่เคยมีประเทศไหนกระทำการเช่นนี้มาก่อน เนื่องจากรู้ดีว่าหากละเมิดจะถูกประเทศต่างๆรุมประณามอย่างหนัก ขายหน้าทั่วโลก ”ศ.นพ.สมศักดิ์กล่าว
       
       เมื่อถามว่า แกนนำผู้ชุมนุมในการบุกค้นรพ.จุฬาฯเป็นส.ส.มีความเหมาะสมหรือไม่ ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ส.ส.ไม่ควรกระทำการเช่นนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าส.ส.มีความรู้เรื่องหลักสากลนี้หรือไม่ จึงเตรียมส่งสนธิสัญญาเจนีวาไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ส.ส.มีความรู้ ความใจในแนวปฏิบัตินี้ด้วย

8249
ผลพวง “ไพร่แดง” ป่วน รพ.จุฬาฯ สะเทือนใจทั้งผู้ป่วย อาการโคม่า และอยู่ระหว่างรักษาโรคมะเร็ง ต้องระเห็ดหนีไปรักษาตัวโรงพยาบาลอื่น ขณะที่พยาบาล รพ.จุฬาฯ สะอื้นน้ำตานอง ระบุ รพ.จุฬาฯ เปิดมาเป็นเวลา 100 ปี ทุกคนถูกปลูกฝังให้ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์มาตลอด ชี้คืนวันอันโหดร้ายถึงขั้นต้องคอยหลบกระสุน คลานที่พื้นไปเปลี่ยนน้ำเกลือให้คนไข้ ย้ำไม่เคยฝักใฝ่ฝ่ายใด เพียงแค่ต้องการช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์เท่านั้น

 วันนี้ (30 เม.ย.) เมื่อเวลา 12.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย บริเวณอาคารคัคณางค์ติดกับตึกนวมินทราชินี ภายในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ว่า ทีมแพทย์และพยาบาลได้เร่งทำการเคลื่อย้ายผู้ป่วยไปตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยมีทั้งผู้ป่วยที่อาการหนัก และผู้ป่วยที่พักรักษาตัวมาเพื่อรอดูอาการ โดยบรรยากาศการเคลื่อนย้ายในวันนี้เป็นไปด้วยความโกลาหล และท่ามกลางความรู้สึกเสียใจของแพทย์และพยาบาล เนื่องจากผู้ป่วยที่ย้ายออกไปนั้นบางรายมีอาการโคม่า แต่ต้องย้ายออกไปเพื่อความปลอดภัย
       
       ส่วนกรณีที่มีข่าวออกมาว่ามีผู้เสียชีวิต จำนวน 2 ราย เนื่องจากเหตุความวุ่นวายที่กลุ่มเสื้อแดงบุกเข้ามาภายในโรงพยาบาลนั้น ทาง รศ.นายแพทย์อดิศร ภัทราดูลย์ ผอ.รพ.จุฬาฯ ได้ออกมาแถลงข่าวยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง
       
       ด้าน นางอุไร จันทร์ทอง อายุ 29 ปี มาดาของ ด.ญ.กานชนิต์ พวงแก้ว อายุ 1 ปี กล่าวว่า ลูกสาวป่วยเป็นโรคตับ ม้ามโต ตาเหลือง ตัวเหลือง และเข้ามารักษาที่ รพ.จุฬาฯ ตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่วันนี้ทางแพทย์ได้แจ้งว่าสถานการณ์ขณะนี้ไม่สงบ มีการชุมนุม อาจจะเกิดความไม่ปลอดภัย ให้พาลูกกลับไปรักษาตัวที่บ้าน และนัดมาตรวจอาการอีกครั้งในวันที่ 13 พ.ค. ซึ่งตนรู้สึกเป็นห่วงอาการของลูกสาวอย่างมาก ซึ่งเสื้อผ้าก็ไม่ได้เตรียมมาให้ลูกต้องหาเสื้อตัวเก่ามาใส่ให้ก่อน
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่พยาบาลได้เข็นเตียงคนไข้เป็นเด็กหญิงอายุ 7 ขวบ ชื่อ ด.ญ.อรนัท ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ลงมาจากอาคารคัคณางค์ โดยมารดาของ ด.ญ.อรนัท กล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า ลูกสาวป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว รักษาที่ รพ.จุฬาฯ มาเป็นเวลา 2 ปี แล้ว ตนเสียใจมากที่ต้องพาลูกย้ายออกจากโรงพยาบาลอย่างกะทันหัน เนื่องจากลูกสาวอาการไม่ค่อยดี กลัวว่าลูกจะแย่ลงกว่าเดิม จากนี้จะส่งตัวลูกไปรักษาต่อที่ รพ.ราชวิถี
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ทีมแพทย์และพยาบาล รพ.จุฬาฯ ได้ออกมายืนรวมตัวกัน เพื่อถือป้ายแสดงจุดยืนขององค์กรและความรู้สึกที่มีต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ ว่า “รพ.จุฬาฯ สภากาชาดไทย เป็นกลาง ยึดถือหน้าที่การดูแลผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด โดยไม่แบ่งแยก โปรดอย่ามารุกล้ำการปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ของพวกเรา”
       
       ทางด้าน น.ส.สุภาภรณ์ ศรีตังศิริกุล พยาบาลประจำโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวทั้งน้ำตาว่า โรงพยาบาลจุฬาฯ เป็นองค์กรที่ปฏิบัติงานมาเป็นเวลา 100 ปี ทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ ทุกคนถูกปลูกฝังให้ช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์มาโดยตลอด เมื่อคืนที่ผ่านมาตนเองก็ต้องคอยหลบกระสุน ต้องคลานที่พื้นไปเปลี่ยนน้ำเกลือให้คนไข้ ช่วงที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้มีการบริจาคอวัยวะและเลือดเยอะมาก แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้คนไข้เสียโอกาสที่จะได้รับการเปลี่ยนอวัยวะ เพราะต้องย้ายโรงพยาบาล ตนไม่เคยฝักใฝ่ฝ่ายใด เพียงแค่ต้องการช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์เท่านั้น พวกเราขอเพียงแค่ความปลอดภัยให้กับคนไข้ และความสะดวกในการทำงานเท่านั้น ซึ่งตนไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเวลา 5 วันแล้ว เนื่องจากต้องอยู่ประจำการเตรียมพร้อมช่วยเหลือผู้ป่วยหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางคณะแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้ประสานงานไปยังโรงพยาบาลศิริราช เพื่อจัดเตรียมห้องประทับให้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยขณะนี้ทรงประทับอยู่ที่อาคารเพิ่มพูล ว่องวานิช ชั้น 8 และจะสเด็จออกจาก รพ.จุฬาฯ เพื่อไปประทับรักษาพระอาการที่ รพ.ศิริราช ในเวลาประมาณ 15.00 น.

8250
วันที่ 29 เม.ย.ไปที่กระทรวงคุณหมอ ของ ฯพณฯ “จุรินทร์ ลักษณ์วิศิษฏ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเกิดอาการปรี๊ด! อารมณ์เสียอย่างหนัก หลังเกิดเหตุปะทะระหว่าง “โจรแดง” กับเจ้าหน้าที่ทหาร ทางสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้รายงานข้อมูลให้ “อู้ดด้า” ได้รับทราบ
       
       หลังจากได้ข้อมูลท่านจุรินทร์ ก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อทันทีว่า ผู้ป่วยที่ รพ.ภูมิพล เป็นเพศหญิง ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นผู้ชาย งานนี้ท่านจุรินทร์ถึงกับสะกิด นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.ถามว่า สพฉ.รายงานผิดอีกแล้วหรือ พร้อมสั่งการให้ตรวจสอบข้อมูลอีกรอบ
       
       “อู้ดด้า” ถึงกับ “เหวี่ยง” บอกว่า ที่ไม่อยากรีบแถลงต้องรอตรวจสอบให้มั่นใจก่อน ก็เพราะเป็นแบบนี้
       
       แถมที่ผ่านมาก็ช้าตลอด ตัวเลขยอดผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ผิดๆ ถูกๆ ล่าสุด แถมเหตุปะทะครั้งล่าสุด สื่อมวลชนโทรศัพท์ไปสอบถามสถานการณ์ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ก็ได้รับคำตอบจาก “นพ.ชาตรี เจริญปิยกุล” เลขาธิการ สพฉ.ว่า อยู่ที่ระยอง สัมมนาการแพทย์ฉุกเฉินระดับชาติ ไม่สามารถให้ข้อมูลได้
       
       งานนี้เลยไม่รู้ว่าจะมี สถานบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติไว้ ทำไม?????

หน้า: 1 ... 548 549 [550] 551 552 ... 554