แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 451 452 [453] 454 455 ... 534
6781
 แพทย์ห่วงทหารใจดี ช่วยประชาชนช่วงน้ำท่วม แช่น้ำนานเท้าอาจเน่า-ติดเชื้อในอวัยวะเพศ ขณะที่ทหารหลายรายมีอาการติดเชื้อที่บริเวณขาหนีบ อวัยวะเพศ และ บางคนมีภาวะบวมแดงติดเชื้อที่อัณฑะ ชี้ หากดูแลไม่ดีเสี่ยงเป็นหนอง
       
       วานนี้ (16 พ.ย.) พญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวภายหลังจากรับมอบยาสำหรับทาแผลติดเชื้อฟิวิดีนครีม และยาหยอดตาฟิวซิทาลมิค ของบริษัท LEO Pharma ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเวชภัณฑ์ยาที่เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังสำหรับผู้ป่วยวิกฤตจากประเทศเดนมาร์ก มูลค่ากว่า 1.2 ล้านบาท ว่า จากการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม พบว่า ขณะนี้ ตัวเลขของผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางผิวหนัง ที่เกิดจากการลุยน้ำเป็นเวลานาน รวมทั้งถูกของมีคมบาด จนเป็นแผลเพิ่มขึ้นอย่างมาก ที่น่าเป็นห่วงอีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือ ทหาร เจ้าหน้าที่ และ จิตอาสา ที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นเวลานาน กำลังประสบปัญหาอย่างมาก จากโรคติดเชื้อทางผิวหนัง ซึ่งการติดเชื้อบาดแผลในลักษณะนี้ หากไม่มีการดูแลที่ดีพอ จะเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้เชื้อโรคที่มากับน้ำเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย โดยเชื้อโรคจะทำให้แผลอักเสบ เกิดการติดเชื้อและอาจลุกลามจนเป็นอันตรายร้ายแรงได้ เนื่องจากกระแสน้ำ พัดพาสิ่งสกปรก เชื้อโรค ของเสียและสารเคมีกระจายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่น้ำท่วมขังเป็นเวลานาน ขณะนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ อย่างมาก

แฟ้มภาพ
       ด้านนพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้รับผิดชอบหน่วยแพทย์และรพ.สนามของกรมการแพทย์ในพื้นที่เขต กทม.กล่าวว่า แหล่งน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ก่อให้เกิดแผลติดเชื้อ ผิวหนังอักเสบ (dermatitis) น้ำกัดเท้า และโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากการติดต่อสัมผัสโดยตรงกับน้ำ ที่น่าเป็นห่วงคือ ขณะนี้ ทหารจำนวนหลายสิบรายมีอาการติดเชื้อจากแผลน้ำกัด และแผลที่ถูกของมีคมบาด อีกทั้งในบางพื้นที่ที่น้ำท่วมสูงในระดับเอว หรือ อก พบว่า ทหารหลายรายมีอาการติดเชื้อที่บริเวณขาหนีบ อวัยวะเพศ และ บางคนมีภาวะบวมแดงติดเชื้อที่อัณฑะ ซึ่งถือว่าอันตรายมาก ที่สำคัญ ทหารเหล่านี้เหน็ดเหนื่อยกับการทำงานมานาน อาจไม่มีเวลาพักผ่อน ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำ โอกาสที่จะติดเชื้อรุนแรงก็เป็นไปได้สูง ยิ่งหากไม่มีการดูแลที่ดีพอ อาจลุกลามเป็นหนองและมีไข้ร่วมด้วย
       
       ด้านนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัญหาการติดเชื้อที่บาดแผลขณะนี้ พบว่า จำนวนผู้ป่วยเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียในชั้นหนังกำพร้า โดยได้รับเชื้อมาจากผู้สัมผัส หรือจากการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เมื่อเกิดรอยข่วน หรือรอยถลอกที่ผิวหนัง แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็สามารถเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังได้ โดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
       
       ที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ บาดแผลที่ได้รับจากการบาดเจ็บ อาจมีการติดเชื้อที่อาจจะก่อให้เกิดโรคบาดทะยัก เช่น เชื้อ Tetanus เนื่องจากบาดแผลสกปรกมากที่ผ่านมาพบได้ไม่บ่อย แต่ก็เป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในช่วงที่น้ำลด อาจมีดิน โคลน หรือน้ำขังเฉอะแฉะที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อเหล่านี้ รวมทั้งแบคทีเรียเลปโตสไปรา ที่ทำให้เกิดโรคเลปโตสไปโรซีสหรือโรคฉี่หนูด้วย
       
       ด้านภก.วิรัตน์ โพธิ์ทองคำนธุ์ ผู้จัดการอาวุโสบริษัท LEO Pharma กล่าวว่า ยาที่นำมามอบให้ครั้งนี้ เป็นยาจากต่างประเทศ ที่สามารถฆ่าเชื้อจากการติดเชื้อที่ผิวหนังได้ ส่วนยาหยอดตา เป็นยาหยอดตาชนิดพิเศษ มีลักษณะเป็นเจลสำหรับใช้รักษาโรคตาแดงที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากผู้ประสบภัยต้องอยู่กับน้ำที่ไม่สะอาด อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียทีทำให้ตาแดงและตาอักเสบได้ ยาตัวนี้จะช่วยครอบผิวที่ดวงตาพร้อมกับฆ่าเชื้อได้ด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 พฤศจิกายน 2554

6782
กระทรวงสาธารณสุขถือเป็นกระทรวงที่โชคดี แม้ว่าจะเป็นหน่วยงานที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนนทบุรีซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ถูกน้ำท่วมอย่างหนัก ซ้ำหัวน้ำยังจ่ออยู่ตรงแยกพงษ์เพชร ถนนงามวงศ์วาน แต่น้ำก็เดินทางข้ามมาไม่ถึงกระทรวง และไหลไปทางถนนวิภาวดีแทน จึงถูกเรียกเป็นพื้นที่ไข่แดง เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากก้อนน้ำมหาศาลในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่เป็นพื้นที่ระยะประชิด

                ทั้งนี้แม้ว่าที่ตั้งกระทรวงสาธารณสุขจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ต้องยอมรับว่าข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขส่วนใหญ่ต่างมีบ้านเรือน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีและปทุมธานี ซึ่งส่วนใหญ่ต่างประสบปัญหาน้ำท่วมที่เข้าขั้นวิกฤติ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่บางบัวทอง ไทรน้อยและท่าอิฐ เป็นต้น ซึ่งต่างได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก และต่างต้องการความช่วยเหลือเบื้องต้นจากหน่วยงานต้นสังกัด ในการดูแลชีวิตเช่นเดียวกับหน่วยงานอื่น

                แต่ที่ผ่านมากลับได้ยินเสียงบ่นด้วยความน้อยใจจากข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขที่ดังเป็นเสียงเดียวกัน ถึงการไม่ได้รับความเหลียวแลและช่วยเหลือใดๆ จากกระทรวง แม้แต่การจะขอยืมเรือที่จอดไว้เฉยๆ เพื่อรอการติดตั้งเครื่องยนต์ เพียงแค่วันเดียว เพื่อเข้าไปรับพ่อแม่ที่ติดอยู่ในบ้านก็ไม่ได้รับอนุญาตให้หยิบยืม

                ไม่นับรวมกรณีถุงยังชีพและยาที่ควรได้รับ เพราะในฐานะข้าราชการชั้นผู้น้อยที่บ้านถูกน้ำท่วม ย่อมไม่แตกต่างไปจากชาวบ้านที่ประสบภัยเช่นกัน แต่กลับถูกปฏิเสธและให้ขอรับที่ศาลากลางจังหวัดแทน เช่นเดียวกับการช่วยเหลือเบื้องต้นในด้านที่พัก ทำให้ต้องวิ่งไปขอรับการช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่น

                สิ่งเหล่านี้ จึงกลายเป็นสิ่งที่บั่นทอนขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ในกระทรวงเอง เพราะเหมือนถูกหน่วยงานทอดทิ้งยามเดือดร้อน โดยเฉพาะเมื่อมีการเปรียบเทียบความช่วยเหลือพนักงานและเจ้าหน้าที่ซึ่งประสบภัยน้ำท่วมของหน่วยงานอื่นๆ

              ปัญหาที่เกิดขึ้น ... จึงน่ามาจากการบริหารจัดการ
  ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขในฐานะที่เป็นหน่วยงานดูแลงานด้านการสาธารณสุข และรักษาพยาบาลความเจ็บป่วยของประชาชน โดยเฉพาะในยามที่ช่วงประเทศเกิดภาวะวิกฤติเหตุการณ์ต่างๆ ต้องยอมรับว่า เป็นหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่นี้ได้ดี และในสถานการณ์น้ำท่วมนี้เช่นกัน ภาพที่เห็นจนชินตาผ่านทางสื่อ จึงมีทั้งการออกหน่วยแพทย์ช่วยเหลือชาวบ้าน การรักษาพยาบาล โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ทั้งในพื้นที่น้ำท่วมและตามศูนย์อพยพ รวมไปถึงการลงพื้นที่เพื่อควบคุมโรค ที่ต่างสร้างความประทับใจให้กับชาวบ้านและได้รับเสียงชื่นชม โดยผลงานที่ปรากฏเหล่านี้ล้วนแต่ต้องใช้พลังจากคนในกระทรวงที่ต่างช่วยกันทำหน้าที่

                ดังนั้น ขวัญกำลังใจของคนในหน่วยงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ และต้องอย่าลืมที่จะดูแลกัน

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 17 พฤศจิกายน 2554

6783
 ลอสแองเจลิสไทมส์ - ณ ฝั่งตรงกันข้ามกับบ้านของลุงหลี่ สิ่วฉิน ชายวัย 68 ปี ซึ่งอาศัยในหมู่บ้านซุนอี้ ที่กรุงปักกิ่งมาตลอดชีวิตนั้น เป็นที่ตั้งของสวนปลูกผัก ที่ดูผิดสังเกตพิกล มันกั้นอาณาเขตด้วยรั้วสูง 6 ฟุต ตรงปลายเป็นเหล็กแหลม มียามเฝ้าหน้าประตู และเปิดให้เฉพาะรถยนต์บางคันเข้าไป
       
       สถานที่แห่งนั้นเคยมีป้ายติดประกาศว่าเป็น “แหล่งปลูกผักของสำนักงานศุลกากรแห่งปักกิ่งและคันทรี่คลับ” จนกระทั่งเมื่อเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา ป้ายก็ถูกรื้อออก หลังจากนักข่าวชาวจีนเล็ดลอดเข้าไปข้างใน และรายงานเรื่องราวเกี่ยวกับสวนผักแห่งนี้ ซึ่งผลิตอาหารด้วยวิธีการแบบเกษตรอินทรีย์ ที่ปลอดสารพิษถึงขนาด ที่สามารถเด็ดผลแตงกวาจากต้น มากินได้เลย โดยไม่ต้องนำมาล้างให้สะอาดเสียก่อน
       
       หากเป็นที่อื่นในโลก การมีสวนผักสุดยอดแบบนี้อาจเป็นเรื่อง ที่ต้องนำคุยอวดคุณสมบัติกันใหญ่โต ทว่าไม่มีสิ่งนี้เกิดขึ้นในจีน !
       
       การทำสวนเกษตรอินทรีย์บนแดนมังกรเป็นเรื่อง ที่ต้องเหยียบเอาไว้ อย่าแพร่งพรายเป็นอันขาด เพราะผลผลิต ซึ่งสุดแสนจะสะอาด และปลอดภัยที่สุดเหล่านี้ สุดท้ายปลายทางของมันก็คืออยู่บนโต๊ะอาหารของพวกคนร่ำรวย และเจ้าหน้าที่ของรัฐ
       
       "สวนนี่สำหรับพวกเจ้าหน้าที่เท่านั้นแหละคุณ เขาปลูกผักปลอดสารพิษ พริกเอย หอมหัวใหญ่เอย ถั่ว ดอกกะหล่ำ แต่ไม่ขายให้ประชาชนหรอก" ลุงหลี่เล่าให้ฟัง
       
       " ชาวบ้านธรรมดาอย่าหวังได้เข้าไปเล้ย" แกว่า
       
       บริษัทผู้ผลิตอาหาร ที่ดีที่สุดหลายรายของจีนก็ไม่เผยแพร่โฆษณา เพราะไม่ต้องการให้สาธารณชนรู้ว่าผลผลิต ที่มีจำกัดนี้ ถูกส่งไปให้เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ ส่งไปยังห้องรับประทานอาหารของนักกีฬาชั้นยอด นักการทูตต่างชาติ และคนระดับบนพวกอื่น ๆ
       
       ส่วนประชาชนทั่วไปกินอาหาร ซึ่งนับวันมีแต่สารปนเปื้อนเพิ่มขึ้น หรือถูกสุขอนามัยน้อยลง เช่น เนื้อสัตว์เจือสารสเตียรอยด์ ปลาจากบ่อ ที่ใส่ฮอร์โมนกระตุ้นให้โตไว ๆ หรือนมปนเปื้อนสารเมลามีน
       
       "พวกเจ้าหน้าที่รัฐไม่สนหรอกว่า ชาวบ้านทั่วไปกินอะไร เพราะเขากับครอบครัวมีอาหาร ที่ผลิตป้อนให้เป็นพิเศษเฉพาะ" นายเกา จื้อหยง ซึ่งทำงานกับบริษัทผลิตอาหาร ซึ่งเป็นของรัฐ และเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ระบุ
       
       ในเมืองจีนนั้น การจัดส่งเสบียงอาหาร ซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะ มีมาตั้งแต่ยุคต้น ๆ ในสมัยการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ และมีหน่วยผลิตอาหาร คอยจัดสรรให้ตามฐานะตำแหน่ง
       
       "พวกผู้นำต้องการให้แน่ใจว่าพวกเขามีอาหารกินเพียงพอ และอาหารไม่ถูกใส่ยาพิษ" นายเกาอธิบาย
       
       ในหนังสือชีวประวัติของท่านประธานเหมา เจ๋อตง ซึ่งแต่งโดยนายแพทย์ประจำตัวของเขาเล่าว่า ในช่วงทศวรรษ 1950 ที่ปรึกษาชาวโซเวียตได้ช่วยจีนจัดตั้งแผนกจัดส่งอาหาร โดยมีเครื่องไม้เครื่องมือตรวจตราความปลอดภัยพร้อมสรรพสำหรับพวกผู้นำ
       
       การปันส่วนอาหารสำหรับเจ้าหน้าที่ระดับล่าง มีการแบ่งระดับของเจ้าหน้าที่ออกเป็น 25 ระดับ คุณภาพและปริมาณอาหารในการปันส่วนก็ลดหลั่นกันไปตามระดับ
       
       ครั้นมาถึงยุคปัจจุบัน ระบบการส่งป้อนอาหารพิเศษเฉพาะสำหรับชนชั้นสูงแดนมังกรเกิดขึ้นในสภาพการณ์ ที่สิ่งแวดล้อมกำลังเสื่อมโทรม และการผลิตอาหารปลอดสารพิษมีอย่างจำกัด
       
       Phelim Kine เจ้าหน้าที่ของกลุ่มฮิวแมน ไรตส ว็อตช์ ประจำฮ่องกงระบุว่า มีคนกลุ่มเดียวในสังคมจีนที่ได้กินอาหาร ที่เชื่อถือได้ว่าปลอดภัยก็คือพวกเจ้าหน้าที่ในพรรคคอมมิวนิสต์
       
       ในกรุงปักกิ่ง ฟาร์มผลิตอาหารจำหน่ายสำหรับลูกค้ากลุ่มพิเศษนั้นตั้งอยู่ใกล้กับสนามบิน ซึ่งเป็นละแวกอาศัยขอชาวต่างชาติ ที่ร่ำรวย มีโรงเรียนนานาชาติตั้งอยู่หลายแห่ง ส่วนทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเป็นย่านผู้คนอาศัยแออัด เหม็นกลิ่นควันพิษ และการจราจรบนท้องถนนจอแจคับคั่ง
       
       ตรงเชิงเขาทางด้านตะวันตกเป็นที่ตั้งของฟาร์มจี้ซาน ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีปลูกพืชผักป้อนให้แก่ห้องครัวส่วนตัวของท่านประธานเหมา ปัจจุบัน ยังดำเนินการภายใต้การอุปถัมภ์ของแคปปิตอลอะกริบิสซิเนส กรุ๊ป ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำหน้าที่จัดหาอาหารสำหรับการประชุมต่าง ๆ ในระดับชาติ
       
       ด้านคณะรัฐมนตรีของจีนเองก็มีผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารส่งให้โดยเฉพาะ ตั้งแต่อาหารชนิด ที่มีราคาแพง ไปจนถึงอาหารประเภทไข่เป็ดเค็ม
       
       โฆษกของบริษัทเว่ยซานหูโลตัสฟู้ด ในมณฑลชานตงระบุว่า ทางบริษัทจัดส่งอาหารให้คณะรัฐมนตรีมานานเกือบ 20 ปีแล้ว
       
       "ผลิตภัณฑ์ของเราหาซื้อในร้านซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปไม่ได้ เพราะปริมาณการผลิตของเราน้อยมาก" โฆษกเปิดเผย
       
       นอกจากนั้น เกษตรกร ซึ่งทำฟาร์มแบบเกษตรอินทรีย์หลายรายยังถูกกดดันให้จำหน่ายผลผลิต ที่มีจำกัดของตนให้แก่ทางการ
       
       "รัฐบาลอยากให้เราป้อนผลผลิตให้แก่เจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐมากขึ้น แต่เราคิดว่าการที่ผู้คนทั่วไปจะได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ของเราก็เป็นเรื่องที่สำคัญ" นายหวัง จ้านหลี่ เจ้าของโรงผลิตนมโคเกษตรอินทรีย์ "กรีน ยาร์ด" ซึ่งได้รับประกาศนียบัตรรับรองเมื่อปี 2549 ตั้งอยู่ในย่านหยานชิงของกรุงปักกิ่งกล่าวในตอนท้าย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 พฤศจิกายน 2554

6784
สำรวจ โครงสร้างโรงพยาบาล "เฉพาะกิจ" เพื่อคอยดูแลสุขภาพของผู้ประสบภัย ทั้ง หมอ พยาบาล อาจารย์ และนักศึกษา ต่างช่วยกัน "รันระบบ" ให้ไม่แพ้โรงพยาบาลจริงๆ ที่จมน้ำอยู่

ความเคลื่อนไหวของผู้คนกว่าครึ่งพัน ทำให้ "บริเวณ" ของอาคารกองกิจการนักศึกษา ในรั้วมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ดูเล็กลงไปถนัดตา

นับตั้งแต่ที่นี่ประกาศตัวเป็น "ศูนย์พักพิงผู้ประสบอุทกภัย" เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2554 จนมาถึงวันนี้ ก็ยังมีผู้คนเดินทางเข้ามา "หลบน้ำ" อย่างต่อเนื่อง

ทั้ง "บ้านใกล้" อย่าง อ.บางเลน อ.นครชัยศรี หรือ "เรือนเคียง" จากฝั่งธนฯ กรุงเทพฯ และปทุมธานี

อาคาร 4 ชั้น กินพื้นที่ไปถึงสนามหญ้า ลานดินโดยรอบถูก "ใช้สอย" และ "แบ่งส่วน" สำหรับรองรับการใช้ชีวิตของผู้ประสบภัย แบบ "ครบวงจร" ไม่ว่าจะเป็น ที่กิน ที่อยู่ ศูนย์ประสานงาน รวมไปถึงกิจกรรมจากหน่วยงาน และภาคส่วนต่างๆ ที่ระดมมาช่วยเหลือ

ทำให้ 624 ชีวิตของผู้ประสบภัย (ยอดวันที่ 14 พฤศจิกายน 2554) เมื่อบวกกับ อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ มีสภาพไม่ต่างอะไรกับชุมชนขนาดย่อม

จนล่าสุด ภายในศูนย์พักพิงได้เปิด "โรงพยาบาลสนาม" ขึ้นมา เพื่อรองรับผู้ป่วยที่ต้องอาศัย "เรือนนอน" และ "บุคลากรทางการแพทย์" หลังจากเปิดพื้นที่ช่วยเหลือมายังไม่เต็มเดือนดี

    โมเดล "30 เตียง"

ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยในการเดินทางสักเท่าไหร่อยู่แล้ว เมื่อถูกอาการเส้นเลือดในสมองตีบทำให้ร่างกายซีกซ้ายใช้การไม่ได้ "เล่นงาน" เข้าไปอีก ทำให้ชีวิตของ วิไลวรรณ รุ่งโรจน์ ในวัย 77 ปี ค่อนข้างลำบากพอสมควร

ทางครอบครัวจึงตัดสินใจ ส่งตัว "คุณยาย" จากบ้านใน ซอยวัดดงมูลเหล็ก บางกอกน้อย เข้ารักษาตัวที่ โรงพยาบาลศิริราช ก่อนจะมาพักฟื้นต่อยัง ศูนย์ภูมิบำบัดราชพฤกษ์ ตลิ่งชัน เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา

เมื่อตลิ่งชัน "จมน้ำ" เธอจึงกลายเป็นผู้ประสบภัยไปโดยปริยาย และถูก "ส่งต่อ" มาที่นี่ พร้อมๆ กับผู้ป่วยจากสถานพยาบาลอื่นๆ ในละแวกพื้นที่ใกล้เคียง

โรงพยาบาลสนาม เกิดขึ้นจากการประสานงานของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) กับมหาวิทยาลัยที่ต้องการ "พื้นที่" สำหรับรองรับผู้ป่วยจากสถานพยาบาลที่ถูกมวลน้ำ "เล่นงาน" อยู่ในขณะนี้

"จริงๆ เราทำก่อนหน้านั้นอยู่แล้วค่ะ" ผศ.ดร.หทัยชนก บัวเจริญ หรือ "อาจารย์นก" อาจารย์ประจำคณะพยาบาลศาสตร์ ที่รั้งตำแหน่งผู้ดูแลระบบบริการโรงพยาบาลสนามเท้าความ

ที่ทำอยู่ก่อน... ในความหมายของเธอก็คือ การดูแลผู้ป่วยที่เป็นผู้พักพิง ซึ่งทางศูนย์ฯ ได้ใช้พื้นที่ชั้น 2 ของอาคารจัดเป็นส่วนพยาบาล นอกจากห้องพยาบาลใต้ถุนอาคารที่เป็นฐานหลักในการดูแลผู้อพยพ และมีอาสาสมัครนักศึกษาพยาบาลของมหาวิทยาลัยมาช่วย

"เราจัดเซ็ตการปฐมพยาบาลเบื้องต้น (First aid) ให้ อย่างผู้ป่วยอัมพฤกษ์ของ 2 ครอบครัวที่เป็นผู้พักพิง เอาหนังสือมาให้ จัดเวรเด็กให้มาเยี่ยม วัดความดัน คอยแวะมาพูดคุย"

หลังจากผู้ป่วยเริ่มมีปริมาณมากขึ้น จนทาง สสจ. แสดงความจำนงอยากใช้พื้นที่ตั้งเป็นที่พักผู้ป่วยขนาด 30 เตียง ระบบ "โรงพยาบาลสนาม" จึงเป็นรูปเป็นร่างขึ้น โดยได้อาคารห้องสมุดของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ที่เพิ่งสร้างใหม่มาปรับเป็น "อาคารพยาบาล" หรือ "เรือนนอน"

ส่วน อุปกรณ์ หรือเวชภัณฑ์ต่างๆ นอกจากที่คณะฯ นำมาใช้เอง และขอรับบริจาคแล้ว ทาง สสจ.ก็ยังส่งมาช่วยเพิ่มเติมโดยเฉพาะ ทีมพยาบาลวิชาชีพ และแพทย์ ทั้งจากโรงพยาบาลในนครปฐมเอง และโรงพยาบาลชุมชน จากราชบุรี ซึ่งประสานงานผ่านโรงพยาบาลศูนย์นครปฐมเป็นแม่ข่าย โดยใช้ระบบเดียวกับการควบคุมโรค หรือติดเชื้อในโรงพยาบาลเป็นมาตรฐาน ทั้งการแยกถังขยะติดเชื้อ จัดเรื่องการล้างมือ เรื่องอุปกรณ์ เรื่องดูแลผู้ป่วย เป็นต้น

บทบาทหลักของตัวโรงพยาบาลที่ถูกวางไว้ก็คือ การเป็นที่พักพิง-ส่งต่อในกรณีที่ แพทย์เห็นว่า "ตึงมือ"

"ถ้าหายใจเองไม่ได้ ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ เราจะไม่รับ" อาจารย์นก ยกตัวอย่าง

หรือกรณี ต้องฉีดยาติดต่อกัน มีอาการติดเชื้อรุนแรง และแพร่กระจายเชื้อกับคนอื่น อย่าง วัณโรคปอด ตลอดจน กรณีที่มีอาการทางจิตประสาท ก่อกวนคนอื่น ทางโรงพยาบาลแห่งนี้ก็ต้อง "ขอผ่าน"

แต่คนไข้ทั้ง 26 คน ที่ประจำเตียงอยู่วันนี้ ก็มีตั้งแต่ภาวะติดเชื้อเรื้อรัง เส้นเลือดในสมองแตก เบาหวาน ความดัน หรือเคสที่ต้องรับยาต่อเนื่อง และคนไข้โรคจิต-ประสาทที่มีอยู่ แน่นอนว่าไม่ได้เบากว่าเคสที่ปฏิเสธไปสักเท่าไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.. "ผู้สูงอายุทั้งนั้นค่ะ" เธอบอก

    พยาบาล "ลูกผสม"

"เพราะเราไม่มีคนดูแล มีแต่นักศึกษาที่ประสบการณ์ยังไม่ถึง เด็กปี 2 เราเรื่องการพยาบาลยังไม่ได้ ได้แค่พื้นฐานดูแล ความสุขสบายทั่วไป" นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมพยาบาลที่ประจำอยู่ในส่วนนี้ จึงหน้า "ละอ่อน" กันส่วนใหญ่
 ด้วยความเป็นคณะเปิดใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ปีที่ 2 ของการศึกษา นักศึกษายังไม่เคยผ่านภาคปฏิบัติมาก่อน แต่สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ว่าที่พยาบาลทั้ง 54 คน ได้ลองลง "สนามจริง" ไปโดยปริยาย

"กลัว แถมเกร็งด้วยค่ะ" เป็นคำสารภาพของ อาย - ภัสราภรณ์ สมบุตร นักศึกษาพยาบาลปี 2 หนึ่งในพยาบาลจำเป็นที่มารับหน้าเสื่อครั้งนี้

ขณะที่ อะตอม - วิทย์วุฒิ จันทร์กระแจะ นักศึกษาพยาบาลร่วมห้องอีกคน มองว่าเป็นอะไรที่ต่างจากตำราอย่างสิ้นเชิง

"ตอนเรียนจะมีขั้นตอนค่อนข้างซับซ้อนอยู่แล้ว แต่ก็ฝึกกับหุ่น แต่พอมาเจอคนจริงๆ เขาเคลื่อนไหวตัวเองได้ ซึ่งก็ทำให้เป็นอุปสรรค บางคนก็มีโลกส่วนตัว บางเคสก็ต้องรีบทำแข่งกับเวลาก็มี ต้องปรับเฉพาะหน้าเยอะครับ" เขาแบ่งปันประสบการณ์

ทั้งอาย อะตอม และเพื่อนๆ ถูกเรียกตัวกลับระหว่างปิดภาคเรียน ภายหลังจากที่ โรงพยาบาลสนามเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 โดยก่อนหน้านั้น จะเป็นการ "ขอแรง" ช่วยดูแลผู้อพยพในศูนย์พักพิงฯ มากกว่า

"นักศึกษาเราทั้ง 2 ชั้นปี มีทั้งหมด 99 คน แต่เรียกกลับมาได้ 54 คน เพราะที่เหลือติดน้ำท่วม" อาจารย์นกเสริม
 แน่นอนว่า การเรียกกลับมานอกจากจะช่วย "ผ่อนแรง" ทีมพยาบาลวิชาชีพที่ถูกส่งมาประจำแล้ว "หน้างาน" ตรงนี้ยังถูกปรับให้กลายเป็น "วิชาเรียน" ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับตัวนักศึกษาเองก่อนลงปฏิบัติจริงอีกด้วย

"นอกจากเราบริการสังคมแล้ว เราก็ขอเรียนรู้จากสังคมด้วย" รศ.ดร.สุนุตตรา ตะบูนพงศ์ คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มองถึง "โอกาส" ใน "วิกฤติ" คราวนี้

ลักษณะการทำงานภายในอาคารโรงพยาบาลสนามจึงเป็นแบบ "คู่ขนาน" ที่นอกจากจะมีพยาบาลวิชาชีพประจำเวรตั้งแต่ 7.00 - 19.00 น. และ 19.00 - 7.00 น.ตามปกติแล้ว ยังมี "เวรเด็ก" ที่ทำงานล้อกันไปด้วย

"แต่เด็กจะอยู่แค่ 4 ทุ่มค่ะ คือ เวรเช้า 7.00 -15.00 เวรเย็น 15.00-22.00 ถือเป็นฝึกปฏิบัติเลย มีอาจารย์เข้ามาดูแล" ผู้ดูแลระบบโรงพยาบาลคนเดิมอธิบาย

ที่สำคัญ ถึงพยาบาลจะมีนักศึกษาเป็นส่วนผสม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ "มาตรฐาน" โรงพยาบาลตกลงแต่อย่างใด

"ไม่แตกต่างค่ะ" วาสนา ภูมิชัยศรี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลพุทธมณฑล หนึ่งในทีมพยาบาลที่มารับหน้าที่ระหว่างโรงพยาบาลต้นสังกัดกำลังจมน้ำยืนยัน เพราะความพร้อมด้านสถานที่ และอุปกรณ์จะไม่เท่าโรงพยาบาล แต่ก็ต้องปรับให้ได้มาตรฐานเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นโซนสะอาด หรือโซนติดเชื้อ

"อย่างน้อยคนไข้ที่มาอยู่ที่นี่ก็ต้องไม่ติดเชื้อเพิ่ม" เธอบอก

    "อาสา" พยุงระบบ

การมีโรงพยาบาลภาคสนาม ทำให้ภายในศูนย์พักพิงแบ่งระบบการดูแลออกเป็น 2 ส่วน คือ โซนศูนย์พักพิง และโซนเรือนนอน เพื่อให้การดูแลด้านสาธารณสุขเป็นไปอย่างทั่วถึง

เมื่อศักยภาพการดูแลเพิ่ม ปริมาณคน และปริมาณของ ย่อมเพิ่มตามไปโดยปริยาย บุคลากร เวชภัณฑ์ และการประสานงาน จึงถือเป็นปัญหาแรกๆ ที่อาจารย์นกในฐานะผู้ดูแลระบบต้องเจอ

วันนี้ แม้ทางศูนย์จะได้กำลังจาก นพ.พนมพันธ์ ศิริวัฒนานุกูล อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คุณหมออีกคนที่ "ตกงาน" เพราะน้ำท่วมโรงพยาบาล มาช่วยนั่งประจำห้องตรวจให้

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ทุกอย่าง "เสถียร" ขึ้น

"ปกติทาง สสจ.ก็จะหาแพทย์มา จาก รพ.พุทธมณฑล และรพ.นครปฐม มาตรวจทุกวัน แต่ตอนนี้ระบบยังไม่นิ่ง เขาก็เลยมาบางวัน บางเวลา แต่ก็มีมาทุกวัน" เธอบอก

ปริมาณเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์สนับสนุนต่างๆ ก็ยังเป็นปัญหาอยู่

"อุปกรณ์อะไรขาด ถ้าที่คณะมีก็มาหนุนเสริม ในช่วงแรก ของขาด ขอบริจาค ก็อาจารย์ และนักศึกษานี่แหละค่ะ ไปขอในตลาดองค์พระ เราก็ทำลิสต์รายการเวชภัณฑ์ รายการยา พ่อค้าแม่ค้า คนเดินตลาดก็ให้มาเยอะ ทั้งยา ผ้าถุง ผ้าปูเตียง ผ้าอ้อม ยาพื้นฐาน ก็ได้มา"

ยังไม่นับเรื่องการบริหารจัดการคนไข้ อาทิ บางกรณีที่พยาบาลไม่สามารถจ่ายยาเองได้ ก็พยายามแก้ไขปัญหาด้วยการส่งต่อไปยังโรงพยาบาล หรือไม่ก็เจียดเวลาหมอให้เข้ามาตรวจรักษา ซึ่งทั้งหมด เป็นสถานการณ์ที่ต้องแก้แบบ "วันต่อวัน" มากกว่า

"เฉพาะหน้ามากค่ะ" เธอยืนยัน

และ "ค่าใช้จ่าย" ที่เป็น "ปัญหาคลาสสิก" ตลอดเวลา

ภาระกว่า 20,000 บาทต่อวัน เฉพาะค่ายา ค่าอุปกรณ์ ไม่ได้นับค่าน้ำค่าไฟ หรือค่าแรงที่ส่วนใหญ่เป็นจิตอาสา ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า

..ส่วนนี้ ใครจ่าย ?

"ต้องทำใจนะ เพราะหน่วยราชการเรารู้ว่าทำงานยังไง" ผศ.สมเดช นิลพันธุ์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม บอกเอาไว้ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ตัดสินใจรับทำเรื่องโรงพยาบาลสนาม

สิ่งที่เขาวางแผนเอาไว้ก็คือ "ควักเนื้อ" การขออนุมัติงบประมาณจากสภามหาวิทยาลัยไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินการของโรงพยาบาล หากไม่มีหน่วยงานใดแสดงความรับผิดชอบ ตลอดระยะเวลาประมาณการ 2 เดือนเพื่อรอน้ำลด

"ตอนนี้โชคดีที่เรายังไม่ได้ใช้เงินมหาวิทยาลัย วันนี้เรายังมีเงินบริจาคที่บริจาคเข้ามา ยาก็องค์การเภสัชกรรม มีบางส่วนที่ซื้อบ้าง ที่จำเป็นจริงๆ ก็ใช้เงินบริจาคจัดหามา ใช้หน้าเสื่อตรงนี้  ได้มาใช้ไป จนท้ายสุด โอเค ไม่มีใครบริจาคแล้ว จึงเอาเงินที่มีอยู่มาใช้  เพราะการทำงานในมหาวิทยาลัยบางคนก็เห็นด้วย บางคนก็ไม่เห็นด้วย ต้องระมัดระวังเรื่องการใช้เงินตรงนี้เหมือนกัน"

ความระมัดระวังที่ ผศ.สมเดชพูดถึงก็คือ การตรวจสอบการใช้เงิน เพราะถึงแม้จะเห็นว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนจริงๆ แต่ด้วยระบบราชการ "การใช้เงินผิดวัตถุประสงค์" ก็อาจทำให้ ถูกตีความว่า "ทุจริต" ก็ได้

อย่างไรก็ตาม ภาพการดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ของบรรดาอาสาสมัครพยาบาล ก็ทำให้บรรยากาศในโรงพยาบาลเฉพาะกิจแห่งนี้ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา และเป็นยาบำรุงกำลังใจขนานเอกให้ผู้ประสบภัยสามารถยิ้มสู้ปัญหาผ่านไปได้อย่างดีอีกด้วย

"เหยียบไว้นะ หลานๆ เขาดูแลดีกว่าบางโรงพยาบาลที่เคยไปอีก" เสียงยายวิไลวรรณกระซิบกระซาบด้วยรอยยิ้ม

---------------
ส่งน้ำใจให้โรงพยาบาลสนาม

ผู้ที่ต้องการสนับสนุนศูนย์พักพิง และโรงพยาบาลสนามของ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม สามารถบริจาคได้ที่ บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย สาขามหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม เลขที่ 980-6-68225-4 โครงการมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมร่วมใจต้นภัยน้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

รายการสิ่งของที่ต้องการับบริจาค : ผงซักฟอกแบบห่อ 10 บาท, แปรงสี, ขวดนม, ผ้าอ้อมสำเร็จรูปผู้ใหญ่ ไซค์ใหญ่ กลาง, เจลล้างมือ, เชือกตากผ้า, แป้ง, หมอนผ้าห่ม, ชุดชั้นใน, ผ้าถุง, เสื้อผ้า, รองเท้า, น้ำยาซักผ้าเด็ก, แปรงล้างขวดนม, โลชั่นทาผิวแบบซอง, แปรงซักผ้า, พริกไทย, น้ำมันพืช, พริกแกงทุกชนิด, ซอสมะเขือเทศ, ซอสหอยนางรม, หมูบด, ไก่สับ, ต้นหอม, ผักชี, หอมแดง, ซี้อิ๋วดำ, กะปิ, กระเทียม, น้ำตาลปีบ, น้ำตาลทราย

โดย : ชัยณรงค์ กิตินารถอินทราณี
กรุงเทพธุรกิจ 16 พฤศจิกายน 2554

6785
เมเปิลครอฟต์ บริษัทวิเคราะห์ความเสี่ยงและจัดทำแผนที่ของอังกฤษ ดำเนินการศึกษา 193 ประเทศทั่วโลก

ระบุว่า ประเทศและเมืองขนาดใหญ่ในทวีปเอเชียและแอฟริกามีความเสี่ยงมากที่สุดที่จะต้องเผชิญกับอิทธิพลของสภาพอากาศโลกเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาไม่กี่ปีข้างหน้านี้

ขณะที่ระบุว่าประเทศไอซ์แลนด์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดในโลก

เมเปิลครอฟต์ได้จัดอันดับประเทศไทยเสี่ยงภัยพิบัติธรรมชาติ 10 อันดับ

1 เฮติ 2 บังกลาเทศ 3 ซิมบับเว 4 เซียร์ราลีโอน 5 มาดากัสการ์ 6 กัมพูชา 7 โมซัมบิก 8 คองโก 9 มาลาวี 10 ฟิลิปปินส์

และไทยอยู่อันดับที่ 37

รายงานบอกด้วยว่า หลายประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีเมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรเกิน 10 ล้านคน จะได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติมากที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล อุทกภัย พายุหรือภัยแล้ง

ในภูมิภาคอาเซียนมี 2 ประเทศที่ติด 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่ กัมพูชาอันดับ 6 ฟิลิปปินส์อันดับ 10

ในส่วนของประเทศไทยซึ่งรั้งอันดับที่ 37 ผลการศึกษาระบุว่าเป็นอีกประเทศเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และกำลังเผชิญกับภัยพิบัติครั้งรุนแรงซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

ขณะเดียวกัน เมเปิลครอฟต์ศึกษามหานครที่ขยายตัวรวดเร็วที่สุดในโลก 20 แห่ง ระบุกรุงธากา เมืองหลวงของบังกลาเทศเป็นเมืองที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด

ขณะที่กรุงเทพมหานครอยู่ในกลุ่มเมืองที่มีความเสี่ยงระดับสูง

ที่มา : โพสต์ทูเดย์, 27 ตุลาคม 2554

6786
    เมื่อเวลา 01.30 น.เจ้าหน้าที่วิทยุ สภ.หลังสวน จ.ชุมพร รับแจ้งจาก รพ.หลังสวนว่า มีผู้ป่วยจะกระโดดสะพานลอยคนข้ามถนนเพื่อฆ่าตัวตาย จึงแจ้งตำรวจสายตรวจรถยนต์ พร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยสมาคมพุทธประทีปหลังสวน นำกำลังไปยังที่เกิดเหตุ บริเวณกลางสะพานลอยคนข้ามถนนหน้า รพ.หลังสวน หมู่ที่ 4 ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร บนถนนสายเอเซีย41 ท่ามกลางความมืดมีเพียงไฟสลัวๆข้างถนนเท่านั้น พบนางปราณี จันทมา อายุ 28 ปี ทราบเพียงแต่ว่าบ้านเดิม อยู่ จ.หนองคาย กำลังยืนร้องไห้ สายตาเหม่อลอยทำท่าจะปีนราวสะพาน เจ้าหน้าที่จึงต้องพยายามพูดเกลี้ยกล่อม จนนางปราณี ยอมเดินลงจากสะพานลอยกลับเข้าไปใน รพ.หลังสวน
    จากการสอบถามนายสมศักดิ์ รื่นรมย์ อายุ 41 ปี บ้านเลขที่ 181 หมู่ที่ 6 ต.น้ำเป็น อ.เขาชะเมา จ.ระยอง อาชีพรับจ้าง สามีของนางปราณี ได้การว่า ในช่วงหัวค่ำ นางปราณีได้ใช้ผ้าเช็ดตัว และ ผ้าถุงต่อกัน แล้วแขวนคอตายในห้องน้ำในบ้านพัก แต่นายสมศักดิ์ไปพบเสียก่อน จึงช่วยนำส่ง รพ.หลังสวนในสภาพหายใจรวยริน แพทย์ต้องปั้มหัวใจ จนฟื้นขึ้นมาและให้นอนดูอาการในห้องผู้ป่วย ในจังหวะที่ไม่มีใครสังเกตุ นางปราณีได้หนีออกจากห้องผู้ป่วยเดินลัดเลาะท่ามกลางความมืดไปยัง สะพานลอยคนข้ามถนนหน้า รพ.หลังสวน นายสมศักดิ์จึงแจ้ง จนท.รักษาความปลอดภัยของ รพ.หลังสวนช่วยค้นหาจนพบว่า กำลังจะกระโดดสะพานลอยฆ่าตัวตาย นอกจากนี้ยังได้เขียนหนังสือลาตาย ระบุถึงความไม่ดีของตัวเองที่ไม่รักลูก และ ความรักที่ไม่ประสบความสำเร็จ
    นายสมศักดิ์ ยังเล่าอีกว่า นางปราณีเคยมีสามีและมีลูกด้วยกัน 1 คนมาก่อนแต่ได้เลิกรากันและได้มาอยู่กินกับนายสมศักดิ์กระทั่งมีลูกด้วยกัน 1 คน แต่เมื่อไม่นานเพิ่งทราบว่านายสมศักดิ์ ซึ่งมีภรรยาอยู่ที่ จ.ระยองอีกคนทำให้นางปราณีเครียดและพยายามฆ่าตัวตาย

เนชั่นทันข่าว 16 พย. 2554

6787
 วิทยา” เตรียมนัดกินข้าวภาคประชาชนกรณีเลือกผู้ทรงคุณวุฒิด้านแพทย์แผนไทย ในคณะกรรมการ สปสช. ขณะ “นิมิตร” ชู “ภญ.สำลี” นั่งแท่นแทน นพ.พิพัฒน์
       
       จากกรณีที่นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตรียมเสนอชื่อ “นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์” เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์แผนไทย ของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) แทน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เนื่องจากก่อนหน้านี้ภาคประชาชนได้ออกมาคัดค้านนพ.พิพัฒน์ ว่าไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง กระทั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ประกาศจะคัดเลือกใหม่ และเสนอชื่อดังกล่าวนั้น
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 17 พ.ย.นี้ ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายวิทยา ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. เรียกประชุมคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์แผนไทยขึ้น ซึ่งเลื่อนจากเดิมที่กำหนดคัดเลือกในวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่ติดปัญหาน้ำท่วม จึงต้องเลื่อนมาเป็นวันดังกล่าว ขณะเดียวกัน มีกระแสข่าวว่า นายวิทยาได้นัดทานข้าวกับภาคประชาชน นำโดยนายนิมิตร เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ในการหารือเกี่ยวกับการพัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และยังมีกระแสข่าวว่ามีการหารือถึงการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิอีกด้วย

       นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า นายวิทยาได้นัดหารือประเด็นภาพรวม แต่ไม่ได้เจาะจงเรื่องนี้ เพียงแต่มีพูดถึงในลักษณะว่าขอให้เชื่อใจว่าจะทำงานได้ ซึ่งพวกตนก็ไม่ได้ต้องการสร้างศัตรูกับใคร แต่ก็เสนอเหมือนเดิมที่เคยยืนยันมาตลอดว่า การคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิแทนนพ.พิพัฒน์ นั้น ไม่ควรต้องสรรหาใหม่ แต่ควรให้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกอันดับสองเข้ารับตำแหน่งโดยทันที คือ ภญ.สำลี ใจดี อดีตผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ด สปสช.ชุดเดิม ซึ่งมีความสามารถอยู่แล้ว แต่หากสุดท้ายไม่เป็นเช่นนั้นก็พร้อมยอมรับ
       
       ต่อข้อถามว่า ก่อนหน้านี้ทางภาคประชาชนได้ออกมาเรียกร้องว่าให้มีการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมด 7 คนใหม่ เหตุไม่มีความยุติธรรม เนื่องจากมีการล็อบบี้กันเอง หากไม่ดำเนินการจะฟ้องศาลปกครองนั้น นายนิมิตร์ตอบว่าจะให้โอกาสในการทำงานก่อน เพราะอย่างไรเสียพวกตนก็ต้องทำงานด้วยกัน เพื่อพัฒนาการบริการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ดียิ่งขึ้น ส่วนจะฟ้องร้องหรือไม่ขอพิจารณาหลังจากนี้
       
       อนึ่ง สำหรับประวัติ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ เบื้องต้นทราบว่า ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจแอนด์ดับบลิว ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด (J&W Development) ดำเนินธุรกิจหลักในด้านการพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ หลากหลายโครงการ และเป็นหนึ่งในเครือบริษัทเดคคอร์มาร์ท จำกัด ดำเนินธุรกิจเฟอร์นิเจอร์นำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนผู้ทรงคุณวุฒิอีก 6 คนที่คัดเลือกไปแล้ว ประกอบด้วย ด้านการประกันสุขภาพ คือ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ด้านการแพทย์และสาธารณสุข นพ.จรัล ตฤณวุฒิพงษ์ ด้านการแพทย์ทางเลือก นพ.พินิจ หิรัญโชติ ด้านการเงินการคลัง นางวรนุช หงสประภาส ด้านกฎหมาย นายเสงี่ยม บุญจันทร์ และด้านสังคม นาวอากาศเอกพิเศษ นพ.อิทธพร คณะเจริญ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 พฤศจิกายน 2554

6788
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ เสด็จเป็นประธานปล่อยคาราวาน เฮลิคอปเตอร์โปรยอาหาร-เวชภัณฑ์ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ใน 12 จุดที่ประสบเหตุน้ำท่วมที่ยากต่อการเข้าถึง
       
       วันนี้ (15 พ.ย.) ที่สนามกีฬา กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จ.นนทบุรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีปล่อยคาราวานเฮลิคอปเตอร์โปรยเวชภัณฑ์และถุงอาหารประทังชีพเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ซึ่งคาราวานดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติละสิ่งแวดล้อม (ทส.) ตลอดจนภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ. และข้าราชการ สธ.เฝ้าฯ รอรับเสด็จ
       
       โดยนายวิทยากล่าวถวายรายงานถึงสถานการณ์น้ำท่วมและการให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยครั้งนี้ว่า เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ได้ขยายวงกว้างอย่างมาก และมีผู้ประสบภัยหลายพื้นที่เกิดปัญหาในการอพยพไม่ทัน ประกอบกับอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งยากต่อการให้การช่วยเหลือทางรถและเรือ จึงจำเป็นต้องประสานความร่วมมือภาคีเครือข่ายให้มีการนำเฮลิคอปเตอร์เข้าให้การช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้
       
       รศ.ดร.นพ.พิชิต สุวรรณประกร รองประธานมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) กล่าวถวายรายงานถึงวัตถุประสงค์ในการปล่อยคาราวานฯ ครั้งนี้ว่า เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยครั้งนี้มีทั้งนำหลาก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำล้นตลิ่ง ทำให้ประชาชนบางส่วนต้องติดอยู่ในพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึงการช่วยเหลือซึ่งจากการสำรวจพื้นที่นั้นพบว่า ขณะนี้มี 12 จุดที่ต้องนำคาราวานเฮลิคอปเตอร์โปรยเวชภัณฑ์ช่วยเหลือ
       
       อนึ่ง พื้นที่ 12 จุดได้แก่
1.บ้านศรีสมบูรณ์ เทศบาลอ้อมน้อย อ.กระทุ่มเบน จ.สมุทรสาคร
2.วัดลาดปลาดุก อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี
3.อบต.บ้านม่วง หมู่บ้านพร้อมจิตร
4.สถานีอนามัยลำโพ อ.บางบัวทอง
5.ร.ร.ชุมชนบ้านใหม่ ต.ลุมพุก อ.บางใหญ๋ จ.นนทบุรี
6.อบต.คูบางหลวง อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี
7.ต.บางเตย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
8.ต.คูขวาง อ.ลาดหลุมแก้ว ชุมชนมุสลิมคลองบางโคเหนือ
9.อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
10.ลำลูกกา จ. ปทุมธานี
11.บ้านปิ่นเจริญ ดอนเมือง กทม. และ
12.ชุมชนบางคู้บอน กทม.
       
       ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.กล่าวว่า ในการดำเนินงานโปรยอาหารและเวชภัณฑ์ ใน 12 จุด นั้นทางหน่วยงานได้มีการสำรวจพื้นที่อย่างจริงจัง ตลอดจนมีการคัดเลือกอาหารและเวชภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้นที่น้ำหนักเบา มีภาชนะห่อหุ้มมิดชิด สามารถลอยน้ำได้ โดยสิ่งของทุกอย่างกำหนดวันหมดอายุในอีก 2 ปี ซึ่งทุกพื้นที่นั้นได้รับรายงานความเดือดร้อยโดยตรงจากผู้นำชุมชน และในการดำเนินการโปรยอาหารทางอากาศครั้งนี้จะทำโดยผู้เชี่ยวชาญทุกด้าน ซึ่งเฮลิคอปเตอร์ทั้ง 6 ลำได้รับการสนับสนุนจากศูนย์การแพทย์ กทม. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติแหละสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งจะทยอยลำเลียงอาหารและเวชภัณฑ์กระจายสู่ประชาชนอย่างทั่วถึง
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเสร็จสิ้นการถวายรายงานของผู้บริหารแล้ว พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ ได้ทรงโบกธงปล่อยคาราวานเฮลิคอปเตอร์เพื่อดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ โดยจะบรรจุอาหารและเวชภัณฑ์ได้เฉลี่ยลำละ 25 ชุด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 พฤศจิกายน 2554

6789
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ​เห็นชอบ​แผนจัด​การ​เพื่อคุ้มครองสมุน​ไพร​ในพื้นที่​เขตอนุรักษ์ พ.ศ.2555-2557(​แผนระยะสั้น) ตาม พ.ร.บ.คุ้มครอง​และส่ง​เสริมภูมิปัญญา​การ​แพทย์​แผน​ไทย พ.ศ.2542 ตามที่กระทรวงสาธารณสุข​เสนอ

​ทั้งนี้กรมพัฒนา​การ​แพทย์​แผน​ไทย​และ​การ​แพทย์ทาง​เลือก ​และจังหวัดกาญจนบุรี กำ​แพง​เพชร นครพนม พิษณุ​โลก สตูล สระ​แก้ว อุดรธานี ร่วมกับชุมชน ส่วนราช​การ/หน่วยงาน/องค์กรที่​เกี่ยวข้อง ​ได้สำรวจ​และศึกษาสภาพของสมุน​ไพร​ในพื้นที่​เขตอนุรักษ์ประกอบ​การพิจารณาจัด​ทำ​แผนดังกล่าว​เนื่องจาก​เห็นว่า บริ​เวณถิ่นกำ​เนิดของสมุน​ไพร​ซึ่ง​เป็นระบบนิ​เวศน์​เฉพาะถูก​ทำลายอย่างต่อ​เนื่อง ​และ​การ​เปลี่ยน​แปลงป่าธรรมชาติ​เป็นป่าปลูก​หรือพื้นที่​เกษตรกรรม​ซึ่ง​เป็น​การ​เปลี่ยน​แปลงระบบนิ​เวศน์​โดยถาวร​ทำ​ให้ชนิดพันธุ์สมุน​ไพร​และบริ​เวณถิ่นกำ​เนิดของสมุน​ไพร​ในหลายพื้นที่อาจ​ไม่สามารถฟื้นคืนสภาพ ​โดยมีสา​เหตุจาก​การลักลอบ​เข้า​ไป​ในพื้นที่​เขตอนุรักษ์ ​เพื่อ​เ​ก็บหาสมุน​ไพร ​การ​เ​ก็บหาของป่า ​การล่า/​หรือดักจับสัตว์ป่าของชาวบ้าน​ในบริ​เวณ​ใกล้​เคียงที่อาศัยอยู่รอบบริ​เวณพื้นที่ พฤติ​การณ์ดังกล่าวขัดต่อกฎ​หรือระ​เบียบของหน่วยงานที่กำกับดู​แลพื้นที่​และมีผลกระทบต่อสมุน​ไพร​และระบบนิ​เวศน์ที่​เป็นถิ่นกำ​เนิดของสมุน​ไพร

สำหรับพื้นที่​เขตอนุรักษ์ 7 ​แห่ง ประกอบด้วย
พื้นที่​เขตห้ามล่าสัตว์ป่า อุทยานสม​เด็จพระศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี,
พื้นที่อุทยาน​แห่งชาติ​แม่วงก์ จังหวัดกำ​แพง​เพชร,
พื้นที่อุทยาน​แห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม,
พื้นที่อุทยาน​แห่งชาติทุ่ง​แสลงหลวง จังหวัดพิษณุ​โลก,
พื้นที่อุทยาน​แห่งชาติทะ​เลบัน จังหวัดสตูล,
พื้นที่อุทยาน​แห่งชาติปางสีดา จังหวัดสระ​แก้ว ​และ
พื้นที่อุทยาน​แห่งชาตินายูง-น้ำ​โสม จังหวัดอุดรธานี

​โดยมี​แผนงาน​และ​แนวทางดำ​เนินงาน 4 ด้าน ​ได้​แก่
1.​การ​เสริมสร้าง​ความรู้ ​ความ​เข้า​ใจ​และประชาสัมพันธ์​เกี่ยวกับ​เงื่อน​ไข​ใน​การอนุญาต​ให้บุคคล​เข้า​ไป​ในพื้นที่​เขตอนุรักษ์อย่างถูกต้อง
2.​การกำหนดวิธี​การจัด​การ​เฉพาะ​ในพื้นที่ ​โดยประสาน​ความร่วมมือกับส่วนราช​การที่​เกี่ยวข้อง​และชุมชน​เพื่อ​ให้​เกิดกระบวน​การมีส่วนร่วม​ใน​การอนุรักษ์คุ้มครองสมุน​ไพร​และถิ่นกำ​เนิด
3.​การสำรวจ​และศึกษาสมุน​ไพร​แต่ละพื้นที่ ​เพื่อ​ให้มีระบบฐานข้อมูล ​และนำ​ไปสู่​การจัด​การอนุรักษ์​และ​ใช้ประ​โยชน์อย่าง​เหมาะสม ​และ
4.​การกำกับติดตาม ตรวจสอบ​และประ​เมินผล​การดำ​เนิน​การตาม​แผน​และกฎหมาย รวม​ทั้งรวบรวมรายชื่อสมุน​ไพรที่สำรวจพบ​ใน​แต่ละพื้นที่ ​และจำ​แนก​เป็น 3 กลุ่ม ​ได้​แก่ สมุน​ไพรที่มีค่าต่อ​การศึกษา​หรือวิจัย สมุน​ไพรที่มี​ความสำคัญทาง​เศรษฐกิจ สมุน​ไพรที่อาจสูญพันธุ์ ​และประมาณ​การงบประมาณ​ทั้ง 7 พื้นที่ รวม​ทั้งสิ้น 9,455,000 บาท

นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ยัง​เห็นชอบ​ให้​เพิกถอนพื้นที่​เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐานบางส่วน จำนวน​เนื้อที่ประมาณ 840 ​ไร่ ​เพื่อก่อสร้าง​โครง​การอ่าง​เ​ก็บน้ำห้วยตา​เปอะ(อัน​เนื่องมาจากพระราชดำริ) ตำบลบ้านค้อ อำ​เภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ตามที่กระทรวง​เกษตร​และสหกรณ์​เสนอ

อิน​โฟ​เควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 15 พฤศจิกายน 2554

6790
เหตุการณ์น้ำท่วมน้ำแล้งและดินโคลนถล่ม กำลังส่งสัญญาณสำคัญว่าประเทศไทยจะปล่อยให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆ เป็นไปอย่างไร้ทิศทางอย่างนี้หรือ?  ให้ใครก็ตามที่มีเงิน เศรษฐีต่างชาติ นักการเมือง หรืออดีตข้าราชการผู้ใหญ่สามารถใช้เงินวิ่งเต้นทำอะไรก็ได้เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและให้ประเทศต้องรับภาระความเสียหาย กรณีน้ำท่วมประเทศไทยที่สร้างความสูญเสียมหาศาลถูกอ้างเสมอว่าเกิดขึ้นเพราะฝนตกชุกฝนตกมากแต่แท้จริงแล้วต้นตอสำคัญของน้ำท่วมคือการใช้ประโยชน์ที่ดินผิดประเภทจากการแสวงหาประโยชน์
   
เราเห็นการใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศไทยเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง  เราเห็นพื้นที่ชายเขากลายเป็นสวนยางพาราหรือไร่ส้มและทำให้ชุมชนด้านล่างต้องเผชิญกับปัญหาดินโคลนถล่ม  กลุ่มทุนใช้พื้นที่ต้นน้ำในภาคเหนือเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งได้ทำลายความสามารถของธรรมชาติในการทำหน้าที่เป็นฟองน้ำหรืออ่างเก็บน้ำธรรมชาติเพื่อดูดซับน้ำฝนและอุ้มน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งจนนำมาสู่ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้   ที่ดินที่จัดไว้เพื่อเกษตรกรรมย่านรังสิตแปรสภาพไปเป็นหมู่บ้านจัดสรร   พื้นที่ๆ ควรอนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ เช่น อยุธยา ถูกล้อมรอบด้วยนิคมอุตสาหกรรม เราเห็นการสร้างบ้านเรือนบุกรุกเข้าไปในทางไหลของน้ำ  มีการสร้างบ้านจัดสรร ถนน หรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ขวางทางน้ำ  นิคมอุตสาหกรรมขยายตัวเข้าไปในพื้นที่กันชนหรือพื้นที่สีเขียวและมีโรงงานสร้างติดรั้วโรงเรียน ฯลฯ
   
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะมีบางคนในประเทศนี้ไม่เชื่อในเรื่องของการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน ไม่เชื่อเรื่องการกำหนดโซนนิ่ง (zoning) หรือ การบังคับใช้ผังเมืองของประเทศนั่นเอง คนกลุ่มนี้เชื่อว่าเจ้าของที่ดินมีสิทธิส่วนบุคคลที่จะใช้ประโยชน์ในที่ดินของตัวเองอย่างไรก็ได้ ความคิดเช่นนี้ทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง และที่สำคัญคือทำให้สภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยมีความเปราะบางไม่สามารถรองรับภัยธรรมชาติได้
   
ขอยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพนะครับว่า ในบ้านเราเองแท้ๆ เราจะปล่อยให้กิจกรรมต่างๆ ดำเนินไปโดยไม่มีกฎเกณฑ์เลยหรือครับ ในบ้านของเราๆ มีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น สนามหญ้า ฯลฯ ท่านคิดว่าบ้านหลังนี้จะน่าอยู่มั๊ยครับถ้าเราปล่อยให้มีการทอดไข่เจียวในห้องนอน มีคนเข้าไปนอนในห้องน้ำ มีการอาบน้ำในห้องนั่งเล่น หรือมีคนไปยืนปัสสาวะที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ดังนั้น แม้แต่ในบ้านของเราเองแท้ๆ เรายังอ้างสิทธิส่วนบุคคลและทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้เลย  แล้วในระดับประเทศจะมาอ้างว่าท่านมีที่ดิน 100 ไร่ 200 ไร่ แล้วจะลงทุนทำอะไรก็ได้เพราะเป็นสิทธิของท่านก็คงจะทำไม่ได้เหมือนกันเพราะท้ายสุด แล้วสังคมโดยรวมเป็นผู้สูญเสียจากการที่เราปล่อยให้กิจกรรมต่างๆ ดำเนินไปอย่างไม่เป็นที่เป็นทาง
   
ดังนั้นการที่ประเทศต้องจัดแบ่งพื้นที่ให้เป็น ที่คนอยู่ ที่อยู่ป่า ทางเดินน้ำ และที่ทำกิน หรือการมีผังเมืองไทย จึงเป็นโจทย์สำคัญสำหรับประเทศไทยวันนี้ และเป็นบททดสอบสำหรับนักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ รวมถึงนักวิชาการต่างๆ ด้วยว่าจะสามารถตั้งใจทำงานเพื่อร่วมกันเพื่อสร้างอนาคตให้กับประเทศได้หรือไม่
   
การมีผังเมืองไทยเพื่อจัดแบ่งที่ทางให้เป็นสัดเป็นส่วนว่าพื้นที่เกษตรที่เหมาะสมจะอยู่ที่ไหน นิคมอุตสาหกรรมควรอยู่จังหวัดใดบ้างที่จะไม่ถูกน้ำท่วมได้ง่าย พื้นที่ป่าต้นน้ำหรืออ่างเก็บน้ำธรรมชาติควรมีเท่าไหร่ ทางน้ำไหลมีเพียงพอแล้วหรือยัง และจะให้น้ำส่วนเกินไหลไปทางไหน คนจะสร้างบ้านเรือนย่านใดได้บ้าง และย่านธุรกิจจะอยู่ตรงไหน สิ่งเหล่านี้ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะนำไปสู่การใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นไปตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ สร้างความสามารถในการรองรับภัยธรรมชาติ และที่สำคัญคือลดความขัดแย้งในสังคมไม่เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่พบว่า ขณะที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งสร้างทำนบกั้นน้ำก็มีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งไปทำลายทำนบกั้นน้ำ และอื่น ๆ
   
การจัดแบ่งการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นสัดเป็นส่วนไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ที่จะไปขัดกับหลักการทางธุรกิจอย่างที่บางคนอาจคิด ในทางตรงข้ามกลับพบว่าธรรมชาติของการทำธุรกิจเองก็มีการจัดแบ่งธุรกิจต่างๆ ตามเขตหรือตาม “ย่าน” อยู่แล้ว ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสะดวกสำหรับผู้บริโภคเองในการซื้อหาสินค้าและสะดวกสำหรับผู้ประกอบการในการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพด้วย เช่น ร้านทองจะรวมตัวกันแถวย่านเยาวราช ร้านผ้าจะอยู่พาหุรัด อุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่แถวคลองถม ร้านต้นไม้รวมตัวกันที่อยู่ที่รังสิต เป็นต้น ดังนั้น การจัดให้กิจการต่างๆ มีการดำเนินการเป็นหลักแหล่งตามประเภทของธุรกิจนั้นๆ จึงเป็นสิ่งปกติอยู่แล้วในเชิงธุรกิจ หากภาครัฐจะเข้ามาดำเนินการเสริมภาคเอกชนโดยมีการกำหนดและบังคับใช้ผังเมืองไทยในระดับประเทศจึงเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้สูงและสมควรดำเนินการอย่างยิ่ง
   
มีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ 5 ประการที่สนันสนุนการบังคับใช้ “ผังเมืองไทย”
   
ประการที่หนึ่ง การบังคับใช้ผังเมืองไทยทำให้การใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพราะมีการใช้ที่ดินตามศักยภาพของพื้นที่นั้นๆ  พื้นที่ที่มีความเหมาะสมเป็นพื้นที่ต้นน้ำก็ต้องอนุรักษ์ไว้ให้เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำโดยไม่ปล่อยให้มีการปลูกพืชเศรษฐกิจที่ให้ประโยชน์ต่อสังคมต่ำกว่า   พื้นที่ๆ มีความได้เปรียบด้านการขนส่งทางเรือก็ควรจัดให้เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อลดต้นทุนการขนส่งและสร้างความได้เปรียบให้กับสินค้าส่งออกของไทย ส่วนที่ลุ่มหรือพื้นที่รับน้ำก็ควรจัดให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อตักตวงประโยชน์ด้านการชลประทาน ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม และถูกน้ำท่วมอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ การใช้ประโยชน์ที่ดินให้เต็มตามศักยภาพจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทย ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการและแรงงานไทยไปในตัว
   
ประการที่สอง เมื่อกิจกรรมต่างๆ ถูกจัดให้อยู่อย่างเป็นที่เป็นทางก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบสาธารณูปโภค เช่น หากพื้นที่เกษตรกรรมอยู่อย่างกระจัดกระจายรัฐก็ต้องเสียงบประมาณสูงขึ้นในการลงทุนในระบบชลประทานในหลายๆพื้นที่ แต่ถ้ากิจกรรมการเกษตรอยู่ร่วมกันก็จะใช้ประโยชน์จากระบบชลประทานร่วมกันได้ เช่นเดียวกันกับพื้นที่ๆ อยู่อาศัยของประชาชน หากมีการจัดให้ชุมชนที่อยู่อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันก็จะทำให้การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนก็ดีหรือระบบป้องกันน้ำท่วมก็ดีเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดงบประมาณของรัฐลดภาระหนี้ของประเทศ และลดภาระภาษีของประชาชนด้วย
   
ประการที่สาม การมีผังเมืองไทยเป็นการให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องกับประชาชน ทำให้ประชาชน นักลงทุน ทั้งชาวไทยและนักลงทุนชาวต่างชาติสามารถวางแผนธุรกิจล่วงหน้าด้วยความมั่นใจ ปัจจุบันคนที่ซื้อบ้านเพราะวางแผนจะใช้ชีวิตในพื้นที่ๆ สภาพอากาศดีและสงบเงียบกลับฝันสลาย เมื่อมีโรงงานหรือสนามบินนานาชาติมาตั้งอยู่ข้างบ้าน ดังนั้นการขาดการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินแก่ประชาชนก็นำมาสู่ปัญหาเช่นกัน ดังตัวอย่าง ความขัดแย้งระหว่างเจ้าของบ้านกับสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น การบังคับใช้ผังเมืองยังจะสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนเพราะจะทำให้นักธุรกิจทราบว่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมจะไม่ถูกแปรสภาพเป็นพื้นที่รับน้ำท่วมในที่สุดอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  การบังคับใช้ผังเมืองจึงเป็นการสร้างความเป็นธรรมและสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ และจะส่งผลทางอ้อมให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
   
ประการที่สี่ เมื่อมีการประกาศอย่างชัดเจนว่าพื้นที่ใดจะเป็นเขตเศรษฐกิจและพื้นที่ใดจะเป็นพื้นที่รับน้ำ จะนำไปสู่การพัฒนากลไกในการสร้างความเป็นธรรมในสังคมระหว่างผู้ที่อาศัยในพื้นที่รับน้ำกับผู้ที่อาศัยในพื้นที่ปลอดน้ำ รัฐบาลสามารถพัฒนาระบบการคลังสาธารณะเพื่อสร้างความเป็นธรรมโดยการเก็บภาษีที่ดินเพิ่มเติมจาก เขตเศรษฐกิจที่ปลอดน้ำท่วมและนำเงินมาจ่ายชดเชยให้ประชาชนที่อาศัยในเขตรับน้ำ สิ่งต่างๆเหล่านี้สามารถดำเนินการได้หากมีการบังคับใช้ผังเมืองและประกาศชัดเจนว่าพื้นที่ใดทำบทบาทอะไรซึ่งจะเป็นการช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำที่กำลังเกิดอยู่ในปัจจุบัน
   
ประการที่ห้า ผังเมืองไทยเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศไทยให้มีความสามารถในการรองรับภัยธรรมชาติได้ดีขึ้น การที่ประเทศไทยมีการรักษาระบบนิเวศต้นน้ำให้มีความอุดมสมบูรณ์เพื่อทำหน้าที่เป็นอ่างน้ำธรรมชาติ มีการสร้างทางไหลของน้ำให้เพียงพอ มีการกำหนดกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นเขตเมืองหรือเขตนิคมอุตสาหกรรมให้อยู่ในพื้นที่สูงหรือ มีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อเป็นพื้นที่รับน้ำฝนเมื่อยามจำเป็นบ้าง สิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินมีความสอดคล้องกับธรรมชาติ ลดความเปราะบางของระบบนิเวศและสร้างความสามารถในการรองรับกับภัยธรรมชาติด้วย ในที่สุดสังคมที่ประชาชนมีการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติจะไม่ต้องเผชิญกับความขัดแย้ง และความสูญเสีย ทั้งในรูปของชีวิต ทรัพย์สินรวมไปถึงงบประมาณของรัฐ
   
แน่นอนว่า การที่ประเทศไทยจะมีการจัด ที่คนอยู่ ที่อยู่ป่า ทางเดินน้ำ และที่ทำกิน หรือการมีผังเมืองไทย จะต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ทั้งในเรื่องของข้อจำกัดของกฎระเบียบที่เป็นสาเหตุหนึ่งของความล้มเหลวของการพัฒนาประเทศไทย การบริหารน้ำแบบแยกส่วนที่ให้ความสำคัญกับความเป็น “กรม” หรือ “จังหวัด” มากกว่าการร่วมกันทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม การป้องกันน้ำท่วมที่มีการเมืองและผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องโดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียของคนส่วนใหญ่ และที่สำคัญคือ ระบบอุปถัมภ์ที่ทำให้ไม่มีใครกล้าพูดความจริง และไม่กล้าพอที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง

ท้ายสุดผู้เขียนอยากบอกว่า น้ำฝนเป็นสิ่งที่ฟ้าประทานมาให้ น้ำให้กำเนิดชีวิตไม่ว่าจะเป็นคน พืช หรือสัตว์ น้ำเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงคนไทยมาเป็นเวลาช้านานจนประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็น “อู่ข้าว อู่น้ำ” ตั้งแต่อดีตกาลมา วิถีชีวิตคนไทยอยู่คู่กับน้ำมาโดยตลอดจนเกิดคำพังเพยมากมายที่คนเฒ่าคนแก่ใช้สอนลูกสอนหลาน ไม่ว่าจะเป็น “น้ำมาปลากิดมด น้ำลดมดกินปลา” หรือ “น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง” แต่ทุกวันนี้การพัฒนาประเทศแบบผิดๆ ได้ทำให้ “น้ำ” กลายเป็นอุปสรรต่อการดำเนินชีวิตและนำความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่มาสู่ประเทศไทย

“ผังเมืองไทย” เป็นการทำให้เรามาจัดระเบียบบ้านเมืองกันใหม่เพื่อให้การพัฒนาประเทศมีความสอดคล้องกับธรรมชาติมากขึ้น รู้จักที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างชาญฉลาดดังเช่นเคยเป็นมาแต่ในอดีต.

รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา adis@nida.ac.th
คณบดี คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และ
ที่ปรึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

เดลินิวส์ 27 ตุลาคม 2554

6791
ดร.พอล เดนนิสัน แห่ง Educational Kinesiology Foundation ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้คิดค้นพัฒนาวิธีบริหารสมองมากว่า 20 ปี เพื่อช่วยให้สมองทั้งด้านซ้ายด้านขวาทำงานประสานกันได้ดี ผ่านวิธีฝึกแบบ Brain Gym ข้อมูลจากนิตยสาร ผู้หญิงวันนี้

จิบน้ำเปล่าทีละน้อยตลอดวัน วิธีนี้จะช่วยให้จิตใจและร่างกายตื่นตัวตลอดเวลา และสมองก็จะเปิดว่าง สามารถรับข่าวสาร และข้อมูลได้ดี เพราะน้ำช่วยปรับสารเคมีที่สำคัญในสมองและระบบประสาท ในช่วงเวลาที่รู้สึกเครียด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะร่างกายขาดน้ำ ฉะนั้นจึงควรจิบน้ำเปล่าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้น้ำไปหล่อเลี้ยงระบบของร่างกาย

บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ ใช้มือซ้ายจับไหล่ขวา บีบกล้ามเนื้อให้แน่น พร้อมกับหายใจเข้า ลำดับต่อไป ให้หายใจออกและหันศีรษะไปทางซ้าย จนกระทั่งสามารถมองข้ามไหล่ซ้ายของตัวเองไปได้ จากนั้น ให้สูดลมหายใจลึก ๆ วางแขนซ้าย ลงบนไหล่ขวา พร้อมกับห่อไหล่ ค่อย ๆ หันศีรษะกลับ ไปตรงกลาง และเลยไปด้านขวา จนกระทั่งสามารถมองข้ามไหล่ขวาไปได้ ยืดไหล่ทั้ง 2 ข้างออก ก้มคางลง จรดหน้าอก พร้อมกับ สูดหายใจลึก ๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อ ได้ผ่อนคลาย เปลี่ยนมาใช้มือขวาจับไหล่ซ้ายบ้าง และทำซ้ำกัน ข้างละ 2 ครั้ง วิธีบริหารแบบนี้ จะช่วยกระตุ้นความชำนาญด้านการฟังและการได้ยิน

บริหารขาสวย ส่งผลดีต่อสมอง ยืนตรงให้เท้าชิดกัน ถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง โดยยกส้นเท้าขึ้น งอเข่าขวาเล็กน้อย แล้วโน้ม ไปข้างหน้าเล็กน้อยให้ก้นจะอยู่ในแนวเดียวกับส้นเท้าขวา สูดลมหายใจเข้า และ ผ่อนออก ในขณะที่ปล่อยลมหายใจออกนี้ ค่อย ๆ กดส้นเท้าซ้าย ให้วางลงบนพื้นพร้อมกับ งอเข่า ขวาเพิ่มขึ้น หลังเหยียดตรง สูดลมหายใจเข้า แล้วกลับไปตั้งต้นใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนจากขาข้าง ซ้ายเป็นขาข้างขวา โดยออกกำลังในท่านี้ทั้งหมด 3 ครั้งด้วยกัน การบริหารในท่านี้จะดีสำหรับการปรับปรุงสมาธิ รวมทั้งเพิ่มอัตราความเร็วในการอ่านหนังสือ

ขีด ๆ เขียน ๆ บริหารสมอง เขียนเส้นขยุกขยิก หรือ อะไรก็ได้ลงบนกระดาษ โดยเขียนด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมกัน ลายเส้นที่ได้อาจจะดูเพี้ยน ๆ แต่ได้ผลดี ต่อระบบสมองมากวิธีนี้จะช่วยปรับปรุง ระบบการประสานงานของสมอง ผลดีคือเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำในเรื่องทิศทาง และความชำนาญด้านการสะกดคำ การคำนวณ

นวดใบหู กระตุ้นความเข้าใจ นั่งพักสบาย ๆ แตะปลายนิ้วทั้ง 2 ข้างที่ใบหู เคลื่อนนิ้วไปยังส่วนบนของหู จากนั้นบีบนวด และ คลี่รอยพับของใบหูทั้ง 2 ข้างออก ค่อย ๆ เคลื่อนนิ้ว ลงมานวดบริเวณอื่น ๆ ของใบหู ดึงเบาๆ เมื่อถึงติ่งหู ดึงลง ให้ทำซ้ำกัน 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการได้ยิน และ ทำให้ความ เข้าใจดีขึ้น

นวดจุดเชื่อมสมอง วางมือข้างหนึ่งไว้บนสะดือ ส่วนมืออีกข้างหนึ่ง ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือ และ นิ้วชี้ วางบนกระดูก หน้าอกบริเวณใต้กระดูกไหปลาร้า ค่อย ๆ นวดทั้ง 2 ตำแหน่งประมาณ 10 วินาที วิธีการนี้จะช่วยลดความงง หรือความสับสน และกระตุ้นพลังงาน ช่วยให้มีความคิดแจ่มใส

กดจุด คลายเครียด ใช้นิ้ว 2 นิ้วกดลงบนหน้าผากทั้ง 2 ด้าน ประมาณกึ่งกลางระหว่างขนคิ้ว และ ตีนผม กดค้าง ไว้ประมาณ 3 - 10 นาที วิธีนี้จะช่วยคลายความตึงเครียด และ เพิ่มการหมุนเวียนโลหิตเข้าสู่สมอง

เดลินิวส์  27 ตุลาคม 2554

6792
ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประเสริฐ  ทองเจริญ ที่ปรึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล และที่ปรึกษากรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อดีตที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก(WHO) วันนี้ในวัย 79 ปี ได้ให้แง่คิดที่น่าสนใจในการดำเนินชีวิตผ่าน"มติชนออนไลน์"
พร้อมสะท้อน 4 นิสัยเน่าเสียของคนไทยในยุคปัจจุบันที่ทำให้คุณหมอประเสริฐรับไม่ได้ ?

บทสัมภาษณ์พิเศษนี้ อ่านจบแล้วมีความสุข อมยิ้มไปได้หลายวัน

 คุณหมออายุใกล้ 80 ปี ทำอย่างไรถึงมีสุขภาพแข็งแรง และอารมณ์เบิกบานได้ตลอดเวลา

ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันต้องได้กิน ได้นอนพอ ถ่ายอุจจาระ ไม่ท้องผูก ไม่ท้องเสีย และได้อออกำลังกาย หลายคนมักพูดว่า ไม่มีเวลา ผมก็ไม่มีเวลา แต่ผมอาศัยเดิน เช่น การเดินจากป้ายรถเมล์มาบ้าน ก็ได้เหงื่อบ้าง เป็นการออกกำลังกายโดยไม่ต้องเสียเงิน ถ้ามีลูกก็ชวนลูกเดิน ไม่ต้องไปออกกำลังกายหักโหม หรือเดินขึ้นบันได ช่วยทำให้หัวใจได้ออกกำลัง แต่ถ้าหากมีโรคหัวใจ ไม่ควรหักโหมอย่างนั้น ผมเผอิญไปทดสอบหัวใจยังดีอยู่

ถัดไปเรื่องความเครียด พยายามอย่างเครียด อะไรลืมได้ลืม อะไรทิ้งได้ทิ้ง  ความเครียดสำหรับตัวผมเอง มีความเครียดจากการเดินทาง ผมไปทำงานที่ศิริราชทุกวัน ก็แก้ปัญหาด้วยการออกแต่เช้าตี 5.45 น.ออกจากบ้าน จะไม่พบความเครียดในการเดินทาง และเวลากลับบ้านก็กลับเร็วหน่อย เพราะไปแต่เช้า กลับเวลา15.00 น. หรือหาก 15.00 น.เปิดวิทยุฟังบอกรถติด ก็อาจจะกลับช้าหน่วยสัก 1 ทุ่ม 2 ทุ่ม ค่อยกลับ ลดความเครียดในการเดินทาง

ลดความเครียดในการใช้ชีวิตประจำวัน

ผมเป็นคนที่ค่อนข้างระมัดระวัง ผมกินบำนาญ ผมรายได้ทั้งเดือนมาเฉลี่ยว่า ต่อวันมีรายได้เท่าไหร่ ผมพยายามใช้ให้อยู่ในกรอบอันนั้น เช่น ผมมีวงเงินใช้ 100 บาท ต่อวัน หากวันนี้ผมใช้เกินไป 120 บาท พรุ่งนี้ผมจะใช้เพียง 80 บาท ให้ถั่วเฉลี่ยกันไปให้ได้ อย่าขนาดว่า เคร่งครัดกับตัวเองจนขยับตัวเองไม่ได้ ถ้าเราไม่สุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายมากไปพออยู่ได้ หากเย็นนี้ทำกับข้าวเหลือ พรุ่งนี้ก็ห่อไปทานกลางวันที่ทำงานได้

เมื่อก่อนแม่ให้ห่อข้าวไปโรงเรียน อายเพื่อน กลัวเพื่อนจะว่า พ่อแม่ไม่มีสตางค์ไปซื้อข้าวกิน อายเขา แต่ทุกวันนี้ผมกลับภูมิใจว่า พ่อแม่หัดเราไว้ ผมไปอยู่เจนีวาก็เอาข้าวกล่องไปกิน ผมมีความรู้ในการปรุงอาหารอยุ่บ้าง ผมไม่มีความเดือดร้อนการกินการอยู่

ผมไม่เที่ยวกลางคืนมานานแล้ว นอนสัก 6 ชั่วโมง แต่ถ้าไม่ได้ 6 ชั่วโมงไม่ต้องไปเคร่งเครียด
ถ้ามีเวลาว่างมีงานอดิเรกด้วยการเขียนหนังสือ เขียนทิ้ง ๆ ไปบ้างก็ได้ เปิดคอมพิวเตอร์ดูข้อมูล ดูข่าว ดูอีเมลล์บ้าง ในอินเตอร์เน็ตข่าวทุกอย่างอัพเดท  ทำให้เรามีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน จะไม่เครียด ต้องรู้จักปล่อยว่าง

การเสพสื่อในยุคนี้ มีข้อควรพิจารณาอย่างไร

ต้องระมัดระวัง เพราะสื่อบางอย่างช่วยให้เครียดมากกว่า คลายเครียด ต้องเลือกสื่อ

ความเหมาะสมของการดื่มในช่วงสูงวัย

การดื่มถ้าสมมติจะดื่มบ้าง พอให้เจริญอาหาร สดชื่นบ้าง ไม่ควรบังคับ หรือห้าม ยกเว้นถ้าไม่ชอบดื่ม ถ้าอยากจะดื่มก็ให้ดื่มบ้าง มีคนที่ผมรู้จักคนหนึ่งดื่มบรั่นดีวันละ 1 เป็ก และดื่มมา 30 ปีแล้ว อยู่มาวันหนึ่งตรวจพบความดันโลหิตสูง ลูกชายและลูกเขยซึ่งเป็นหมอห้ามไม่ให้ดื่ม แต่ปรากฎว่า ความดันก็ไม่ลดลง

วันหนึ่งมาคุยกับผม ผมบอกให้ลูกชายและลูกเขยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ และให้ดื่มได้ตามปกติ ปรากฎว่า ผ่านไป 1 สัปดาห์ความดันลดลง การที่ความดันเพิ่มจากความเครียด บังคับจิตใจกันมากความดันเลยไม่ลด พวกที่มีสตางค์ดื่มไวน์ยังไงก็ไม่เมา

เทคนิคการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี

การห่วงลูกห่วงหลานต้องห่วงพ่อแม่ก่อน ต้องสอนพ่อแม่ให้เลี้ยงลูกอยู่ในกรอบ อย่าปล่อยตามใจ ผมมีลูก 3 คน ผมเลี้ยง และมีการลงโทษ หากบอกว่า อย่าแล้วยังทำจะต้องถูกทำโทษ ผมบอกตะเกียบกายสิทธิ์ ผ่ามือผัดเผ็ดก็มี
แต่การทำโทษต้องมีเหตุผล ถามเขาว่าทราบใช่มั๊ยว่า ทำไมต้องถูกลงโทษ เขาก็บอกอย่างนั้นอย่างนี้ก็รู้ตัว ผมบอกลูกเสมอว่า เลี้ยงลูกต้องมีเหตุผล

ปัจจุบันเด็ก ๆ คุยโทรศัพท์มือถือนาน เราเตือนบอกคุยโทรศัพท์นานเสียเงินมาก พ่อแม่ต้องทำงานหนัก และการคุยโทรศัพท์นานมีผลกระทบต่อคลื่นสมอง นักวิจัยยังถกเถียงกันเรื่องนี้ว่า มีผลกระทบต่อสมอง และให้มีการทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว

คุณหมอทำงานแบบไม่มีวันเกษียณ

ถ้ายังทำงานไหว แม้จะต้องนั่งรถเข็นไป ก็ยังอยากไปทำอยู่ เพราะผมถือว่า คนเราจะเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อเมื่อเราทำประโยชน์ ถ้าหากเราไม่ได้ทำประโยชน์ ก็เท่ากับเราไม่มีประโยชน์ คนเราจะนึกว่า ตัวเองวิเศษไปคนเดียวไม่ได้หรอก ต้องทำประโยชน์ต้องเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน อยู่ที่ทำงานเดือนหนึ่ง 1-2 ครั้ง ผมจะทำกับข้าวให้กับผู้ร่วมงานรับประทาน คนที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน เราจะพยายามปรับให้เข้าหากัน เช่นว่า คนนี้คิดถูกแล้ว แล้วคุณจะว่าอย่างไร คุณคิดใหม่สิ จะได้ไม่ทะเลาะกัน ทุกวันนี้แตกแยกกัน

ที่ผมเคยเห็น สามี-ภรรยา 2 คู่ ทำงานอยู่ที่เดียวกัน สามีของฝ่ายหนึ่งได้เลื่อน 2 ขั้น ภรรยา 2 คนทะเลาะกัน ทำไมสามีเธอได้ 2 ขั้น สามีเธอเสนอหน้า เลียเจ้านายใช่หรือไม่ แต่ถ้าหากได้กินข้าวด้วยกัน แชร์ความรู้สึกกัน มันจะไม่ทะเลาะกัน

ผมมีความสุขในการที่ได้ไปทำงาน เด็ก ๆ ยังยอมรับนับถือเรา อันนั้นอันนี้เป็นอย่างไร อาจารย์คิดว่าอย่างไร ผมบอกผมคิดอย่างนี้ ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ อย่าไปคิดว่า ลื้อคิดผิด อั๊วคิดถูก คนเราทำไมจะคิดผิดไม่ได้ คนเราทำไมจะล้มเหลวไม่ได้ ผมไม่ถือเลย เช่น เด็ก ๆ ตั้งไข่ ต้องหกล้มหลายครั้ง กว่าจะเดินได้ ตอนหกล้มไม่ใช่ความผิดของเด็ก ผมก็พยายามพูดอย่างนี้

หลานผม สมัยที่เกิดการชุมนุนเสื้อเหลือง ผมบอกหลานว่า ฟังได้ แต่อย่าเพิ่งปักใจ 100% ว่า คนนั้นผิด คนนี้ถูก คนที่เราคิดว่า ถูกอาจจะผิด คนที่เราคิดว่า ผิดอาจจะถูก เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งปักใจ ดูเหตุแวดล้อมอะไรต่าง ๆ ก่อน หลานก็บอกผมว่า เขาฟังสนธิ(ลิ้มทองกุล) พูดก็น่าฟัง พูดเก่ง แต่ว่า เขาไม่รู้ว่า เขาจะเชื่อได้หมดหรือเปล่า เขาพูดอย่างนี้ ผมพอใจแล้ว ให้เขาแบ่งใจไว้สักนิดว่า อาจจะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ เราก็ชมหลานว่า ถูกต้อง ต้องคิดอย่างนี้ เราต้องคิดว่า เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ได้ฟังมาแต่ต้น เราฟังสิ่งที่เขาเหล่ามา ประโยคเขาอาจจะเล่าไม่หมดก็ได้ เขาอาจจะเล่าไม่จบก็ได้ เขาอาจจะทิ้งไว้ให้เราคิดต่อ แล้วเราก็คิดต่อ ไปในทางที่ผิดเอง เราต้องค่อย ๆ สอนเขาอย่างนี้ เขาก็เดินต่อไปได้

คนไทยเชื่ออะไรง่ายๆ จริงไม่จริงก็ไม่รู้ แต่เชื่อไปแล้ว

ผมมีความรู้สึกไม่ดีกับคนไทย 4   เรื่อง

1) คนไทยเชื่อง่าย เชื่อข่าวลือ ไม่สอบสวนว่า ต้นตอมาอย่างไร เช่น ถ้ามีคนไปลือว่า คุณยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร) เป็นผู้ชายแปลงเพศมา อาจจะมีคนเชื่อ และบอกว่า ปกติ ตระกูลนี้ต้องคางเหลี่ยม  จะสวยได้อย่างไร  คนไทยเชื่อข่าวลือมาก  เชื่อง่าย เชื่อข่าวลือ ของจริงมีคนชี้แจงจะไม่ฟัง ข่าวร้ายมาที่ 1 ข่าวลือมาที่ 2

2)สิ่งที่ผมไม่ชอบมากขณะนี้คือ อยากได้ของฟรี  คนขายหวยถึงรวย  กล้วยออกปลีกลางต้น ก็ไปขูดเลข ไหว้ ต้นไทรมีอะไรออกมาผิดปกติ ก็ไปไหว้แล้ว เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยอยู่เฉย ๆ แล้วรวย ผมว่า ไม่มี ตอนนี้ผมนั่งดูอีเมลล์และเก็บพวก Spam ทุกวัน ผมกำลังเก็บไว้ พวกต้มตุ๋นทั้งหลาย

เช่น ท่านถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 10 ล้านดอลลาร์ ผมก็ถามตัวเองว่า ผมไปทำอะไรถึงถูกหวย  Yahoo โปรโมชั่น ผมก็ไม่เคยใช้ Yahoo เขาจะให้โปรโมชั่นผมได้อย่างไร  บางทีมีเรื่องธนาคารในอัฟริกาจะโอนเงินมาให้  ผมจะนำมาวิเคราะห์ และพิมพ์แจกว่า ผมไม่เชื่อเพราะอะไร ตอนนี้มีเมียคนที่ 2 ของกัดดาฟี จะเอาเงินออกจากประเทศอย่างไร ช่วยรับไว้หน่อยได้หรือไม่  ภรรยาคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจก็มี เป็นลูกสาวคุณวัฒนา อัศวเหมก็มี ผมจะวิเคราะห์ให้ฟัง ว่าคนพวกนี้เขาไม่สิ้นไร้ไม้ตอกหรอก เขาจะลงทุนโยกย้ายอะไรเขามีวิธีทำ ถ้าเขาเชื่อให้ผมทำ แสดงว่า เขาอยากจะเจ็งเร็ว ๆ  ผมจะมีปัญญาไปทำอะไร  ประโยคชอบขึ้นว่า Can I trust you  ถ้ามึงเชื่อกูก็โง่เต็มที่

3)เรื่องไม่ดีของคนไทยเรื่องที่สามคือ วิสัยทัศน์มองใกล้ ไม่ค่อยมองไกล ผมไม่ได้ว่า ทุกคน คนส่วนหนึ่งชอบชักจูงคนส่วนใหญ่ให้เชื่อตาม คือ คนมองใกล้ไม่มองไกล

4)เรื่องไม่ดีเรื่องที่สี่ของคนไทยคือ คนไทยนับถือคนรวย เห็นว่า คนรวยเป็นคนดี แม้แต่พระในวัดดังองค์หนึ่ง ที่ผมทราบเรื่องนี้  เพราะพ่อเพื่อนผมเป็นคนนำมาบวช  จนได้เป็นพระดังอยู่ในเขตกรุงเทพฯ มีโยมอุปัฏฐากไปเรื่อย จนกระทั่งตอนหลังคุณพ่อพระไม่ไป เวลาคนจะมาหา ให้ลูกศิษย์ไปดูว่า คนที่จะมาพบนั่งรถอะไรมา เสียพระไปแล้ว  คนเขาจะเดินมา หรือพายเรือมาก็เป็นเรื่องของเขา มันจะมาหาที่พึ่งทางใจก็ให้เขาพบสิ นี่ขนาดเป็นพระ แล้วคนธรรมดา

 ผมเคยด่าพระในใจครั้งหนึ่ง ทนไม่ไหว สมัยที่ใครต่อใครไปรุมที่วัดพระธรรมกาย มีพระผู้ใหญ่องค์หนึ่งที่อยู่วัดนี้ ได้รับรถเบนซ์จากวัดพระธรรมกาย ก็มีหนังสือพิมพ์ไปสัมภาษณ์ว่า จริงหรือไม่ว่า วัดดังกล่าวเอารถมาถวายท่าน  พระองค์นั้นตอบว่า ผิดด้วยหรือที่อาตมาจะนั่งรถเบนซ์

ผมดูทีวีแล้ว หลุดปากออกมาทันที่ว่า ผิดตั้งแต่แม่เอ็งคลอดเอ็งออกมา ทำไมไม่ให้สำลักน้ำคร่ำตาย ไม่ใช่ผิดวันนี้ มันผิดตั้งแต่ตอนเกิดแล้ว เป็นพระผู้ใหญ่พูดอย่างนั้นได้อย่างไร ควรจะพูดว่า ได้รับกิจนิมนต์ต้องเดินทางบ่อย ปลอดภัยดี ผมก็ไม่ว่าอะไร  แต่กลับตอบว่า ผิดด้วยหรือ ที่อาตมานั่งรถเบนซ์ ผมรับไม่ได้ คือ มันแสดงให้เห็นว่า คนรวยคือ คนดี บางคนอาจจะรวยขึ้นมาด้วยการค้าของผิดกฎหมาย ฟอกเงิน

ตลอด 79 ปีปรัชญาชีวิตที่ตกผลึกแล้วคืออะไร

ช่วยตัวเองให้ได้ แล้วเราจะมีแรงช่วยคนอื่น  การที่จะช่วยให้ตัวเองอยู่รอดได้ เป็นเรื่องของความมัธยัสถ์ สมถะ เรื่องของความเอาใจใส่ ดูแลตัวเอง ให้เรารอดปลอดภัยได้ ถ้าเรามีความรู้ เราสามารถที่จะช่วยคนอื่นได้ อันนี้ถือสิ่งที่ผมทำ เมื่อผมแต่งงาน ยังไม่มีเงิน เวลาผมทำอะไร ผมต้องบอกภรรยาก่อนว่า อย่าหวังได้เงิน ได้กล่องก็ยังดี เมื่อก่อนผมทำคลินิกที่บ้าน เพื่อนบ้านผมไม่เคยเก็บสตางค์ อย่างน้อยช่วยดูแลบ้านกัน หรือเราเลี้ยงสุนัขอาจไปทำเสียงดังให้รำคาญ เขาก็เกรงใจไม่ว่า เรา บ้านผมมีอาหารอะไรก็ทำแบ่งกันกินให้เพื่อนบ้าน

นี่คือ ปรัชญาและความคิดที่ตกผลึกแล้วของคุณหมอประเสริฐ

ผู้ใดจะเอาแนวคิดดี ๆ ไปใช้ คุณหมอไม่สงวนลิขสิทธิ์

มติชนออนไลน์ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

6793
หลังจากใช้เวลา 6 ปี พร้อมกับผลาญงบประมาณไป 1 หมื่นเก้าพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาหรือ DARPA ก็ได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า เครื่องมือในการตรวจสอบระเบิดที่ดีที่สุดก็คือ... สุนัข และบทความต่อไปนี้จะทำให้คุณรู้ว่า ไม่มีเครื่องมือในการทำงานชิ้นไหนที่เยี่ยมยอดไปกว่าบรรดาสัตว์ผู้น่ารักทั้งหลายอีกแล้ว

เมื่อเร็วๆนี้เพนตากอนได้ออกมาประกาศว่าจากการทำงานของวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์เป็นเวลา6 ปี พวกเขาได้ค้นพบแล้วว่า "อุปกรณ์" ในการตรวจสอบระเบิดที่ดีที่สุดก็คือ สุนัขที่ได้รับการฝึกมาแล้ว โดยแม้แต่เครื่องตรวจจับระเบิดที่ซับซ้อนที่สุดที่มนุษย์เคยคิดค้นได้ในเวลานี้ก็สามารถตรวจจับวัตถุระเบิดได้เพียง 50 เปอร์เซ็นต์ขณะที่สุนัขที่ได้รับการฝึกจะสามารถตรวจจับระเบิดได้ถูกต้องถึง 80 เปอร์เซ็นต์

สิ่งนี้ทำให้เราเห็นว่า แม้วิทยาการที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาจะสามารถทำงานได้ดีกว่าสัมผัสและการรับรู้บางอย่างของมนุษย์ เช่นในเรื่องการมองเห็นและการได้ยิน แต่ในเรื่องการดมกลิ่นแล้ว ไม่มีอะไรจะสู้อวัยวะธรรมชาติอย่างจมูกของน้องหมาไปได้

นอกจากนี้ สุนัขยังเป็นสัตว์ที่ทำงานได้ดีในสนาม เนื่องจากความแข็งแรงทนทานของพวกมัน รวมทั้งการที่พวกมันเป็นสัตว์ที่ฝึกได้ง่าย แต่อย่างไรก็ดี สุนัขไม่ใช่สัตว์เพียงชนิดเดียวที่มีความสามารถในการตรวจจับวัตถุระเบิด โดยในประเทศอิสราเอล ได้มีการทดลองใช้ "หนูนักตรวจจับระเบิด" ภายในสนามบิน และผลการทดลองเบื้องต้นระบุว่า หนูสามารถตรวจจับวัตถุระเบิดแม่นยำได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

นอกเหนือไปจากสุนัขและหนูแล้ว  "หมู" ก็ถูกใช้ในการทำหน้าที่ตรวจหาเห็ดทรัฟเฟิล ซึ่งเป็นของกินเลื่องชื่อราคาแพงและหายากในฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ แม้ว่าพวกมันจะพยายามสวาปามเห็ดที่หาเจอก่อนที่มนุษย์จะยื้อแย่งเห็ดล้ำค่าเหล่านี้ออกมาได้ก็ตาม

มติชนออนไลน์ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

6794
ขอเรียนก่อนว่า ทีมงานฯ ไม่ได้จะเปิดคอลัมน์วาบหวิวให้ท่านผู้อ่านกลุ่มเป้าหมายเข้าใจผิด แต่เป็นอีกหนึ่งการสอบถามความเห็นของสาวๆ ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปจำนวน 1,031 คนของ HealthyWomen เกี่ยวกับมุมมองของการมีเพศสัมพันธ์ของพวกเธอ โดยสาวๆ เริ่มมองว่า การมีเพศสัมพันธ์นั้น เป็นแค่ “หน้าที่ที่ต้องทำ” มากกว่าจะทำไปเพื่อให้ได้รับความสุขความพึงพอใจกลับมา
       
       ในวันที่หลายประเทศมีปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร รวมถึงประเทศไทย แต่การสำรวจความคิดเห็นสาวๆ บางส่วนกลับพบว่า พวกเธอไม่ค่อยมองเห็นความสำคัญของการมีเพศสัมพันธ์นัก บ้างก็มองว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ โดยเมื่อสอบถามถึงความถี่ของการมีกิจกรรมทางเพศที่ควรจะเป็นจากสาวๆ เหล่านี้พบว่า 66 เปอร์เซ็นต์ระบุว่ามีเพศสัมพันธ์อาทิตย์ละครั้ง หรือบางทีก็ไม่มีเลยก็ได้ ขณะที่ 51 เปอร์เซ็นต์บอกว่า การมีเพศสัมพันธ์สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็ถือว่าดีต่อสุขภาพแล้ว และมีเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ที่บอกว่าควรจะมีความถี่มากกว่านั้นจึงจะดีต่อสุขภาพ
       
       นอกจากนี้ ผู้หญิง 42 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เชื่อว่า การมีความสุขในเพศรสมีความสำคัญต่อสุขภาพของเธอ
       
       ทั้งนี้ สาวๆ ให้ความสำคัญกับการมีเพศสัมพันธ์เพื่อช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเธอและคนรักเป็นประเด็นใหญ่ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่มีเพศสัมพันธ์เพื่อความพึงพอใจของตนเอง
       
       อย่างไรก็ดี ก็มีผู้เชี่ยวชาญบางท่านออกมาเผยถึงข้อดีของการมีความสุขกับกิจกรรมทางเพศที่ผู้หญิงจะได้รับนั่นก็คือ การชะลอความแก่ให้ดูอ่อนกว่าวัย
       
       “การที่ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 4 ครั้งต่อสัปดาห์จะช่วยให้ดูอ่อนกว่าอายุที่แท้จริงได้ถึง 10 ปี แถมยังช่วยลดความเครียด เผาผลาญแคลอรี ช่วยให้กล้ามเนื้อบางส่วนแข็งแรงขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยให้พวกเธอเกิดความใกล้ชิดกับคนรัก หรือสามีได้มากขึ้นด้วย” Naomi Greenblatt ประธานกรรมการ และผู้เชี่ยวชาญพิเศษของ women’s health กล่าว
       
       สุดท้ายแล้ว จะมีกิจกรรมทางเพศให้มีความสุขอย่างไรนั้น รบกวนแต่ละครอบครัวพิจารณาตามความเหมาะสมนะคะ
       
       เรียบเรียงจากเดลิเมล

ASTVผู้จัดการออนไลน์    10 พฤศจิกายน 2554

6795
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกปัจจุบันนี้ เราพบเห็นผู้หญิงประสบความสำเร็จในชีวิต"มากมาย" พวกเธอมีหน้าที่การงานดี ๆ ทำ สามารถซื้อบ้านได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง และมีเงินมากพอจะจับจ่ายใช้สอยได้ตามปรารถนา โดยที่โอกาสเหล่านั้น ผู้ชายยุคนี้บางคนอาจทำได้แค่มองตาปริบ ๆ
       
       แต่ก็ใช่ว่าสาว ๆ เหล่านี้จะมีแต่ความสุข - ความสมหวังในชีวิตเสมอไป เพราะเป็นไปได้ว่า เมื่อต้องแต่งงาน สาว ๆ เหล่านี้อาจต้องเลือกหนุ่ม ๆ ที่มีคุณสมบัติต่ำกว่าตนเองมาเป็นคู่ครอง และเทรนด์ดังที่กล่าวมานี้อาจเป็นตัวเร่งให้โครงสร้างครอบครัวเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง สลับขั้ว สลับบทบาท โดยผู้หญิงอาจเป็นฝ่ายเลือกผู้ชายที่สามารถเป็น "ช้างเท้าหลัง" (อาจจะมีรายได้ หรือตำแหน่งหน้าที่การงานด้อยกว่า) คอยดูแลบ้าน ดูแลลูก ๆ ในขณะที่พวกเธอเป็นทัพหน้าออกไปทำงานหารายได้เข้าบ้านนั่นเอง
       
       โดยศูนย์วิจัยจากแดนอินทรีอย่าง Pew Research ระบุว่า ปัจจุบัน ผู้หญิงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเพิ่มมากขึ้น หรือประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และมีหน้าที่การงานดีขึ้น ขณะที่เหล่าผู้ชายนั้น ตัวเลขการสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีอยู่ที่ 30 - 40 เปอร์เซ็นต์ ทำให้โอกาสในการเข้าทำงานในตำแหน่งดี ๆ นั้นยากมากขึ้น ซึ่งจากช่องว่างที่ทิ้งห่างกันขึ้นเรื่อย ๆ นี้ อาจเป็นคำตอบได้ดีว่า เพราะเหตุใด รายได้ของสองเพศจึงแตกต่างกันไปเรื่อย ๆ
       
       ดังนั้น สิ่งที่อาจเกิดในอนาคตอันใกล้นี้อาจมีดังนี้
       
       - ผู้หญิงเริ่มเข้ามามีบทบาทในด้านต่าง ๆ เหนือผู้ชายมากขึ้น ทั้งในด้านการศึกษา และการทำงาน
       - โครงสร้างครอบครัวในแบบเดิม ๆ อาจมาถึงจุดเปลี่ยนแปลง สลับขั้ว สลับหน้าที่กัน เมื่อผู้หญิงทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดี และมีรายได้สูงกว่าผู้ชาย
       - ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จมีความเป็นไปได้ว่าจะแต่งงานกับผู้ชายที่มีตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือมีรายได้ต่ำกว่า
       - เป็นไปได้ว่า ผู้หญิงอาจต้องเลือกผู้ชายจากความสามารถในการสนับสนุนเธอด้านครอบครัวมากกว่าด้านการเงินเหมือนในอดีต
       - ผู้หญิงรับหน้าที่หลักในการหารายได้เข้าบ้าน
       
       เทรนด์ดังกล่าวอาจส่งผลดีก็เป็นได้ เพราะทุกวันนี้มีคุณพ่อบ้านที่ไม่มีเวลาอยู่กับลูกกันมากมาย หลายคนแม้จะเบื่องานแต่ก็ต้องทนทำกันไปเพื่อครอบครัว ถ้าคุณแม่บ้านมีหน้าที่การงานดีพอ การสลับบทบาทดังกล่าวนี้อาจดีทั้งต่อครอบครัว และสุขภาพจิตของสามีภรรยาก็เป็นได้ค่ะ
       
       เรียบเรียงจากเดลิเมล

ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 พฤศจิกายน 2554

หน้า: 1 ... 451 452 [453] 454 455 ... 534